วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1450

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  ธันวาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 33

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 5:21 …

            เอเฟซัส 5:21 “จงยอมเชื่อฟังกันและกัน  เนื่องด้วยใจเคารพยำเกรงพระคริสต์”

            เราเห็นข้อที่ 21 ปุ๊บ  ตัดช๊อตมาที่ข้อ 22  เราก็งงว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงได้เขียน มันไม่ได้โยงอะไรกันเลย  แต่ว่าการเขียนของอาจารย์เปาโลตรงนี้มีความหมาย เราเอาข้อที่ 24 ก่อน

        เอเฟซัส 5:24 “คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็วรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น”

            อาจารย์เปาโลให้เราทุกคน ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ก่อนหน้านั้นที่เขียนไว้ แล้วให้เราขอบคุณในทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ก็คือพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดกระทำให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  ณ ที่สวรรคสถาน พวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่นั่น  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ถ้าเราอ่านจากหนังสือเอเฟซัส ตั้งแต่บทที่ 1 มาถึงบทที่ 5 เราจะเห็นภาพทั้งหมดเลยที่อาจารย์เปาโลพยายามอธิบายให้เรา เห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

            พระพรนานัปการที่พระเจ้าให้กับเรา มีอะไร? ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะเดียวกัน เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เราได้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งทั้งหมด เราได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตแบบเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เป็นชีวิตแบบนั้นเลย ดีกว่าอีก ดีกว่ายุคของอาดัมกับเอวาตอนที่ยังไม่ล้มลงในความบาป พระเจ้าให้เขามีพระสิริของพระเจ้า  เมื่อล้มลงในความบาป พระสิริของพระเจ้าหายไป พระเจ้าเตรียมแผนการ เป็นหลายพันปี จนพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จ แล้วบัดนี้ พระสิริของพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ด้วยกับพวกเรา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่ายุคของพระเยซูคริสต์เป็นยุคพระคุณ เป็นยุคที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์เลย  ก็คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเมื่อก่อน ก่อนที่อาดัมกับเอวาล้มลงในความบาป พระเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในเขา พระเจ้าแค่วนเวียนมาทักทายตอนเย็น

            “อาดัมเป็นอย่างไร เจ้าสบายดีไหม?”

            เหมือนพ่อกับลูกคุยกัน แต่หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าเห็นว่ามนุษย์อ่อนแอ มนุษย์ไม่สามารถมีกำลังพอที่จะดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าต้องการได้ พระองค์เลยเปลี่ยนแผนตอนนี้เปลี่ยนแผนใหม่แล้ว พระเจ้าไม่ทำสัญญากับมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงกระทำสัญญา ด้วยตัวพระองค์เอง กับพระองค์เอง ก็คือไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคพระคุณนี้ ไม่ว่าเราจะทำผิดขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าให้อภัยเราหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ พระองค์บอกบาปของเจ้าได้ถูกชำระจนหมดสิ้นแล้ว  บาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ถูกชำระหมดแล้ว นี่คือพระคุณของพระเจ้า แล้วอาจารย์เปาโลยังบอกกับเราว่า ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ตอนที่พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณให้กับมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าได้เปลี่ยนความคิด จิตใจใหม่ให้กับพวกเราทุกๆ คน

            สมัยก่อนดิฉันก็เคยเข้าใจว่าพระเจ้าให้เฉพาะผู้เชื่อ แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเจ้าทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ว่าคนนั้นที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเขาเชื่อไหมว่าพระเจ้าทำให้แล้ว แล้วเขายอมเข้ามารับเอาของขวัญชิ้นนี้ไหม? เราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเรายอมเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้ เราเลยได้รับทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้รับชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่ขณะนี้ ที่เรายืนอยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนไม่ต้องกังวลว่าชีวิตนิรันดร์จะหลุดหายไป จากชีวิตของเราไหม ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง หัวทิ่มหัวตำบ้าง แล้วตกลงเรายังรอดอยู่ไหม? ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เรากับพระเจ้าบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ สามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้เลย  ในโลกวิญญาณขณะนี้  เรากับพระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกัน  ติดสนิทกัน  ไม่สามารถแยกได้เลย  เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เกิดแล้ว เกิดเลย มันเป็นอย่างนั้น

            มาดูข้อที่ 22 ทำไมอาจารย์เปาโลถึงพูดอย่างนี้ …

        เอเฟซัส 5:22 “ผู้ที่เป็นภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามี  เหมือนที่ยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า”

            นี่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ  ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ เราก็คิดว่าอาจารย์เปาโลสอนพวกเรา  ที่ได้เชื่อวางใจพระเจ้าว่าภรรยาทั้งหลายให้เชื่อฟังสามี เมื่อก่อนดิฉันก็สอนแบบนี้ ให้เชื่อฟังสามีทุกประการ  เหมือนเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า  ถามจริง มีใครทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เชื่อฟังบ้าง  ไม่เชื่อฟังบ้าง  ดื้อบ้าง เถียงบ้าง นี่คือความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่ได้พูดถึงเรื่องการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย แต่พูดถึงในโลกวิญญาณที่มันเป็นไปแล้ว  พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ที่เชื่อฟังเลย โดยในวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าเปรียบพวกเราทุกๆ คนผู้เชื่อ เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ จำได้ใช่ไหม?  เปรียบพวกเราเป็นเหมือนภรรยาของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นสามีของเรา ในโลกวิญญาณนส็็

            “ภรรยาทุกคน จงยอมเชื่อฟังสามีของท่าน เหมือนกับยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเกิดมาเป็นผู้เชื่อฟังเลย เราเชื่อฟังพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นแบบนั้นนะ

            แต่ส่วนโลกวัตถุ ร่างกายเราที่เป็นอยู่ตรงนี้ มันไม่เกี่ยวกัน เราเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง  ส่วนใหญ่ภรรยาจะเถียงเก่งด้วย คือขอให้ได้เถียง ซึ่งมันเป็นธรรมดาของสภาพร่างกายที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าพระเจ้าพูดเน้นถึงการประพฤติ ไม่มีใครผ่านเลย จริงไหม? เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ถามใจตัวเอง เราเชื่อฟังทุกประการไหม? ไม่มีทาง ไม่มีใครสอบผ่าน

            แต่พระเจ้าไม่ได้เน้นที่การประพฤติ หมายความว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว  วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น ส่วนการประพฤติเราจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ไม่เป็นไร ไม่ได้มีผลอะไรกับวิญญาณของเราเลย  แม้แต่นิดเดียว  แต่สิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้ามากขึ้น เราเรียนรู้จักธรรมชาติใหม่ของเรามากขึ้น เรียนรู้ว่าตอนนี้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังไปเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเริ่มเชื่อฟังได้ดีขึ้น มากขึ้น ใครเถียงสามีเก่ง เริ่มเถียงน้อยลง เริ่มมีเหตุผลขึ้น อะไรประมาณนั้น เพราะว่าพระเจ้าเปลี่ยนเราจากข้างในวิญญาณ แล้วเราจะสำแดงธรรมชาติใหม่ที่เป็นความรัก ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าความรักของพระเจ้า ไม่เป็นภาระสำหรับเรา ทำไมถึงไม่เป็นภาระถ้าเราต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ภาระแน่นอน แต่อันนี้เราไม่ต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง คือพระเจ้าให้มาอยู่แล้ว  แค่เรารับรู้ความจริงว่าข้างในเรา เป็นความรักนะ หยิบเอาความรักที่มันมีอยู่แล้ว ใช้ออกไปแค่นั้นเอง  ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ไม่ใช้ พอเราไม่ใช้ เราก็ถูกหลอก โลกนี้ก็จะหลอกเราว่า …

            “ความรักไม่มีจริงหรอก ที่บอกว่าเสียสละ ไม่มีจริงหรอก เราต้องเห็นแก่ตัวเข้าไว้”

            นั่นคือโลกส่งมา แต่ความจริงที่พระเจ้าบอกเรา คือพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์เป็นผู้เสียสละ เสียสละขนาดไหน? ขนาดยอมยกชีวิตของตัวพระองค์เอง มาตายแทนพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน นี่คือภาพนะ

            ฉะนั้น ในโลกวิญญาณ พวกเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครสามารถแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้เลย

            พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าถ้าการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ผิดพลาดไป แล้วเราก็ถูกสอนมา หรือเราฟังมา  ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ พระเจ้าจะทิ้งเรา  ให้รับรู้ความจริงว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร แบบไหน? ไม่ถูกใจพระเจ้าบ้าง ถ้าเราทำตามน้ำพระทัย พระเจ้ายิ้มเลย ทำไมพระเจ้ายิ้มรู้ไหม? เพราะพระเจ้ามีความสุข  แล้วพระเจ้ารู้ว่าลูกเราคนนี้เริ่มโต พอโต เถียงน้อยลง พอเริ่มโต เราก็เริ่มเรียนรู้ว่านี่คือธรรมชาติใหม่ของเรา ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นความรัก เป็นความอดทนนาน เป็นการรู้จักให้อภัย นี่เป็นธรรมชาติใหม่หมดเลย  ที่พระเจ้าให้กับเรา ซึ่งเรารับรู้ความจริง เราก็อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา ใช้เราเต็มที่  คือให้สำแดงสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว พระเจ้าให้อยู่แล้ว ออกไปจากชีวิตของเรา ซึ่งตรงนี้ เป็นภาพ แล้วพวกเราทุกคนสามารถมองภาพได้

            ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ กับ ณ ปัจจุบัน เชื่อมาแล้ว 1 ปี 2 ปี 3 ปี 10 ปี 20 ปี มันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจากข้างใน เริ่มต้นที่ความคิดเราเปลี่ยน  ความคิดเดิม คือโลกนี้ส่งเข้ามาว่าเราต้องเห็นแก่ตัวนะ ไม่อย่างนั้น เราแย่แน่ แต่พระเจ้าบอกเราว่าความรัก คือการให้ เรียนรู้ที่จะให้ออกไป

            คำว่า “ให้” หลายคนก็คิดว่าเราต้องมีเงินเยอะๆ เราถึงให้ได้  ไม่เกี่ยวกัน ความรัก คือการให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเงิน เราสามารถให้คำอธิษฐานได้ เราสามารถให้การดูแล เอาใจใส่  สมมติคนที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  เราไปให้ความช่วยเหลือเขา ไปช่วยพยุงเขา หรือช่วยบอกทางเขา นั่นคือการให้หมด ฉะนั้น มันมีแยกออกมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งเมื่อเราเชื่อพระเจ้านานๆ ธรรมชาติตรงนี้ มันจะออกมาเอง โดยอัตโนมัติ

        เอเฟซัส 5:23 “เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา   เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร  ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ ทั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรด้วย”

            เห็นไหม โยงมาที่พระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พวกเราทุกคนเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ว่าเราเชื่อที่ไหนก็ตาม  เชื่อที่โบสถ์นี้ เชื่ออีกโบสถ์หนึ่ง เชื่อโบสถ์ที่อยู่ขั้วโลกเหนือ อยู่ต่างประเทศ  อยู่ตรงไหนก็ได้  พอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราเป็นพี่น้องกัน  โดยอัตโนมัติ และเรารักกันเลย  โดยอัตโนมัติอีก มันเกิดทันทีที่เราบังเกิดใหม่

            สังเกตได้จาก พอเราได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียนปุ๊บ คนนั้นอยู่โบสถ์ไหนเราไม่รู้ ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำไป พอบอกเป็นคริสเตียนปุ๊บ ใจฟู ตื่นเต้นเหมือนเราได้เจอญาติ เราได้เจอพี่น้องของเรา  มันเป็นความผูกพันในวิญญาณ  ที่มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือแม้แต่เราขับรถ ตามรถคันหน้า เขามีรูปปลาปุ๊บ เรายิ้มเลย ยิ้มทำไม?  ไม่เห็นเกี่ยวกับเรา เราไม่รู้จักเขาด้วย  แต่เรายิ้ม เพราะมีรูปปลาสัญลักษณ์นี้ คือคริสเตียน แค่นั้นเอง มันเป็นความผูกพันในวิญญาณ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพวกเราทุกคน แล้วพวกเราเป็นพระกายของพระคริสต์ พอพูดถึงพระกายของพระคริสต์ปุ๊บ ร่างกายมีอวัยวะมากมาย  หลายส่วน ไม่ใช่มีอวัยวะเดียว  ถ้าร่างกายมีแต่ลูกตา ก็กลมดิ๊กเลย ไม่ใช่  หรือร่างกายมีแต่หู ก็คงตลกดี  แต่พระเจ้าสร้างร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา  โดยมีอวัยวะทุกส่วน ที่ประกอบร่างกัน  ตา หู จมูก ลิ้น กาย มือ ขา สะดือ ตับ ไต ไส้ พุง  คือทุกส่วนในร่างกาย ประกอบกันเป็นร่างๆ หนึ่ง  โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้แต่ละคนเป็นส่วนไหนของร่างกาย ตามชอบพระทัยของพระเจ้า เราเรียนไปแล้ว คุยกันแล้ว เรื่องของของประทาน ซึ่งแต่ละคนจะมีแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้แต่ละคนแบบไหน? อย่างไร?  สิ่งที่สำคัญ คือเมื่อพระเจ้าเลือกเรา มาเป็นชิ้นส่วนนั้นแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานความสามารถให้กับเราด้วย ไม่ใช่พระเจ้าบอกให้เราเป็นตา แล้วไม่ให้ความสามารถในการมองเห็น  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ความสามารถในการมองเห็น มันเกิดขึ้น โดยอัตโนมัติ เมื่อมีลูกตา นอกจากคนตาบอดเท่านั้น นึกออกไหม?  ฉะนั้น คนปกติเกิดมา เด็กตัวเล็กๆ  ตาอาจจะมองไม่เห็นชัด  แต่พอโตขึ้น พัฒนา ตาเขาจะสามารถมองเห็น เราเห็นเด็กทารก เวลาผู้ใหญ่เดินไปไหน เขาเห็น เขาก็จะกลิ้งตาตาม หูถูกสร้างมา เพื่อที่จะได้ยิน  ฉะนั้น ทุกส่วนในร่างกาย  มีประโยชน์หมด พระเจ้าใช้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน  แม้แต่ตับ ไต ไส้ พุง ซึ่งเรามองไม่เห็น  แต่มีประโยชน์มาก ใช้งานอย่างดี ถ้าตับ ไต ไส้ พุง  ไม่ยอมทำงาน ร่างกายเราก็ป่วย  แม้แต่ไส้ติ่ง ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ดิฉันเชื่อว่าน่าจะมีประโยชน์  ไม่อย่างนั้น พระเจ้าไม่รู้สร้างมาทำไม?  เพียงแต่เราไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทำอะไร? ไส้ติ่งเหมือนอะไรสักอย่างหนึ่ง ตั้งไว้เฉยๆ  ถ้าไม่มีมัน ร่างกายก็ไม่ได้กระทบกระเทือนมาก ประมาณนั้น แต่ว่าก็มีประโยชน์

            เหมือนหลายคนที่คิดว่าเรามาเชื่อพระเจ้า  แล้วเราไม่เห็นทำอะไรให้คริสตจักร ไม่เห็นทำอะไรให้โบสถ์เลย เราก็นั่งของเราเฉยๆ นั่งฟังเทศน์เสร็จ เราก็กลับบ้าน บางทีเราก็แทบจะไม่ได้ทักทายใครด้วย เพราะว่าบ้านเราอยู่ไกล มาก็ซกๆ กลับก็รีบๆ  เราก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนี้อยู่ ซึ่งพระเจ้าทรงรักทุกส่วนในร่างกายของพระองค์ และอันหนึ่งที่สำคัญ คือรักเท่ากัน พระเจ้ารักผู้รับใช้ของพระองค์ที่ยืนเทศน์อยู่ตรงนี้ เท่ากับผู้เชื่อคนหนึ่งที่มาอธิษฐาน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้ารักเท่ากันเลย  เรารู้ได้อย่างไรว่าเท่ากัน

            พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาตายแทนผู้รับใช้ 1 ชีวิต หรือคนนี้เป็นคนเล็กๆ พระเยซูคริสต์ตายให้ครึ่งชีวิตพอ ไม่ใช่ พระเยซูคริสต์ทุ่มสุดตัว ก็คือพระองค์ตายแทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหมด บนไม้กางเขน  แล้วการสิ้นพระชนม์ของเพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ทำให้พวกเราทุกคน สามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าได้  โดยพระคุณ โดยความเชื่อ  ซึ่งตรงนี้สำคัญที่สุด มนุษย์เยอะแยะมากมาย ในขณะนี้  ที่อยู่บนโลกใบนี้ หลายคน ยังไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะเขาคิดว่าเขามีความสามารถพอที่จะทำความดีได้บรรลุเป้าที่พระเจ้าตั้งไว้  ซึ่งความเป็นจริงพระเยซูคริสต์บอกไม่มีทาง ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำดีได้ครบถ้วน 100% แล้วทุกเวลาด้วย ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าให้พวกเราประกาศข่าวดีของพระองค์

            ดังนั้น การประกาศข่าวดี พวกเรามีหน้าที่อย่างเดียว ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาส อย่าไปฉวยโอกาส โดยเราอยากทำ ไม่ใช่ มันจะทำให้คนอื่นรำคาญ  แต่ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้มีคนมาถามเรื่องของพระเยซูคริสต์ หรือเปิดโอกาสให้มีคนสนใจ  แล้วเขาอยากมาโบสถ์  เราประกาศเลย เชิญชวนเขามาเลย  เพราะว่านั่นคือโอกาสที่พระเจ้าให้กับเรา

            ส่วนคนๆ นั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ขึ้นกับเราแล้ว  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานะ คนนั้นจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเขากับพระเจ้าจริงๆ  เพราะพระเจ้าทำให้เขาเสร็จแล้ว แค่เขาถ่อมใจ  ยอมเปิดใจ เขาก็จะได้รับ แล้วคนๆ นั้นจะโตหรือไม่โต ก็ไม่ขึ้นอยู่กับเราอีก ถ้าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราไปดูแลเขา บางส่วนบ้าง ส่งพระคัมภีร์ตอนเช้า ไปหนุนใจเขา  เห็นเขาหน้าเศร้า เราก็ไปนั่งเป็นเพื่อนเขา ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้เราทำ เราทำ ส่วนการเกิดผล อยู่ที่พระเจ้าอีก

            หรือว่าแม้แต่ผู้เชื่อคนหนึ่ง  มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะเจริญเติบโตแค่ไหน ก็ไม่เกี่ยวกับเราอีก  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการงานในชีวิตของเขา เหมือนที่ในหนังสือโครินธ์บอกว่าอปอลโลรดน้ำ เปาโลปลูก แต่พระเจ้าทำให้เกิดผล

            ฉะนั้น ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านั้น เราจะมีความสุขกับการดำเนินชีวิตแบบตามธรรมชาติที่พระเจ้าให้กับเรา เราไม่ต้องพยายามที่จะดิ้นรน พยายามที่จะหาโอกาสๆ พยายามจ้องว่าเราจะไปประกาศกับใครดี ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เมื่อคนๆ นั้นพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา บางทีเราพูดแค่ 2 คำ เขาก็มาโบสถ์ บางทียังไม่เปิดปากพูดเลย เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว

            ฉะนั้น เรื่องของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เรื่องของการบังเกิดใหม่ เป็นฤทธิ์เดช  ที่พระเจ้าทรงกระทำการงานในชีวิตของพวกเรา ใครก็ตามที่ถ่อมใจยอมเปิดใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเขา ให้เขาสามารถกลับใจใหม่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ คนๆ นั้น บังเกิดใหม่ทันที เขาได้อยู่กับพระเจ้าเลย ทันทีเขากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทันทีเขาได้รับชีวิตนิรันดร์เลย ทันทีเขาได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลย ก็คือมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ไม่ต้องรอ

            แล้วก็ให้มั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เป็นอย่างไรก็ตาม วิญญาณเรารอดแล้ว  การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เพราะพระเจ้าจะใช้งานเราอยู่ เราก็แล้วแต่พระเจ้า บอกพระเจ้าว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกปล่อยเกียร์ว่าง พระองค์จะใช้เมื่อไร พระองค์บัญชามาเลย”

            แล้วให้พี่น้องรับรู้ว่าถ้าพระองค์จะใช้เรา พระองค์ก็ให้กำลังเรา ให้ความสามารถ ให้สติปัญญา ให้กับพวกเราสามารถทำได้ด้วย

        เอเฟซัส 5:24-25 “24 คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร  ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น 25 ผู้ที่เป็นสามีจงรักภรรยาของตน  เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองแก่คริสตจักร”

            ตรงนี้เราก็เข้าใจผิดมาเยอะมาก เราก็สอนสมาชิกว่าถ้าเราเป็นสามี เราต้องรักภรรยา เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์รักเรา  ถามจริงมีกี่คนที่ทำได้  ไม่มี เราไม่สามารถมีความรักได้ถึงขนาดนั้น  ถึงขนาดเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ตรงนี้ พระเยซูคริสต์ผ่านทางอาจารย์เปาโลเน้นให้เราเห็นภาพของความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ แล้วเน้นภาพให้เห็นว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงรักเราขนาดไหน? ขนาดยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเรา บนไม้กางเขน เราทุกคนเป็นคริสตจักรของพระเจ้า  เป็นภรรยาของพระคริสต์ ในหนังสือวิวรณ์ใช้คำว่าเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์

        เอเฟซัส 5:26 “เพื่อทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระ ด้วยน้ำผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า”

            พระเจ้าชำระเรา ทันทีที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิด จิตใจ วิญญาณของเรา มันอัตโนมัติ เป็นเหมือนพระเยซูเลย

            แล้วพระเจ้า ยกตัวอย่างมา เปรียบสามีกับภรรยา เพราะสามีกับภรรยาผูกพันมากที่สุดแล้ว ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ในปฐมกาลบอกว่า … “เขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน”

            จำประโยคนี้ได้ใช่ไหม? สามีกับภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน  พอเป็นเนื้อเดียวกัน ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิดความอ่าน แทบจะมองตาก็รู้ว่าฝั่งตรงข้ามต้องการอะไร?  บางทีแทบจะไม่ได้ปริปากพูด เราแค่มองหางตา สามีเราต้องการแบบนี้ หรือมอง ภรรยาเราต้องการแบบนี้  เป็นหนึ่งเดียวกันถึงขนาดที่รับรู้ทั้งความคิด ทั้งจิตใจ และประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสามีกับภรรยาเหมือนกันหมด ไม่ใช่ แต่ว่าเราแต่ละคนแยก บุคลิกอาจจะแตกต่างกัน แต่ความคิดสามารถประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สามีก็ยังคงเป็นสามี ภรรยาเป็นภรรยาเหมือนเดิม  เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังคงเป็นพระองค์เหมือนเดิม พวกเราผู้เชื่อก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือเราผูกพันทางวิญญาณ และจิตใจ ความคิดของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า คือมันถูกเปลี่ยนเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าย้ายวิญญาณ จากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ มันเรียบร้อยไปแล้ว

        เอเฟซัส 5:27-33 “27 และเพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรอันงามผ่องแผ้ว    ปราศจากมลทิน  หรือริ้วรอย หรือตำหนิใดๆ แต่บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ 28 เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรรักภรรยาของตน  เหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง 29 ท้ายที่สุด ไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูทะนุถนอม  เหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร 30 เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะในพระกายพระองค์ 31 “เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” 32 ตรงนี้เป็นความลึกลับอันลึกซึ้ง แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร 33 อย่างไรก็ตามพวกท่านแต่ละคน   ต้องรักภรรยาของตนเหมือนที่รักตนเองด้วย และภรรยาก็ต้องเคารพสามีของตน”

            อาจารย์เปาโลพยายามโยงมาให้เห็นเป็นวิญญาณเดียวกัน  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณล้วนๆ ที่เรากับพระเจ้าผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน  นี่จุดเน้นนะ  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกจากกันไม่ได้  ความคิดความอ่านที่ถูกเปลี่ยนใหม่  ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เรา  เรามีความคิดจิตใจเหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ แต่ว่าในโลกวัตถุ เราอาจจะคิดต่างก็ได้ อันนี้แยกให้ชัด   เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าไม่ได้ถือสาเรื่องการประพฤติของเรา  เพราะไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหน?  เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ นึกภาพออกไหม?

            ถ้าเทียบให้เห็นชัดๆ คนที่มีครอบครัวจะเข้าใจ คนที่มีลูกแล้ว ยิ่งเข้าใจใหญ่เลย ลูกเราคลอดเข้ามาในครอบครัวของเราปุ๊บ เขารับทุกอย่างของเราเลย พ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แล้วลูกมีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทุกอย่างที่พ่อแม่หามา  พี่น้องนึกออกไหม? ตอนเราเป็นเด็ก เราไปชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน  บ้านใคร? บ้านพ่อแม่ แต่เราบอกเพื่อนเราว่า …

            “มาเที่ยวบ้านเรา”

            นึกภาพออกไหม? คือเรามีความรู้สึกเป็นเจ้าของบ้าน บ้านเรานะบ้านเรา ไม่ใช่บ้านพ่อแม่ ตังค์สักบาทเราไม่เคยจ่ายเลย ของทุกอย่างพ่อแม่ซื้อมาใส่ตู้เย็น เรากลับมาถึงบ้าน เราก็ไปเปิดตู้เย็นกินเฉยเลย ถ้าเป็นบ้านคนอื่น เรากล้าทำไหม? ไม่กล้า เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม?  แต่ถ้าเป็นบ้านเรา เรารู้ อะไรที่อยู่ในตู้เย็น พ่อแม่เตรียมให้เราหมด หิวเมื่อไร? เราเปิดตู้เย็นกินได้เลย เหมือน 7-11 หิวเมื่อไรก็มา  ก็คือความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ

            เหมือนกันเลย เป็นภาพในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าจะให้เราเห็นถึงความรู้สึกตรงนี้ว่าเราเป็นเจ้าของ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเจ้าของสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  อันนี้เรื่องจริง เป็นเจ้าของสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ภาพตรงนี้ จะแสดงให้เราเห็นชัดเจน ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและกระทำทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” คือทุกอย่างทำเสร็จครบถ้วน เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น พวกเรามารับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง  อย่าให้ใครหลอกเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วทำผิดพลั้งพลาด แล้วคนจะมาหลอกเราว่าทำอย่างนี้บ่อยๆ  พระเจ้าไม่รักแล้ว ไม่จริงนะ พระเจ้ารักเรามากที่สุด ดังแก้วตาดวงใจ รักถึงขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา หรือแม้แต่เราทำผิด แล้วเราต้องมาสารภาพบาป ก็ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  พระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงมาครั้งเดียวเป็นพอ ในพระธรรมฮีบรูบอกไว้  ครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือชำระล้างตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  บาปในปัจจุบัน ก็คือเราเริ่มต้นเดินทางมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรายังทำบาปอยู่ไหม? ผิดพลาดไม่ใช่บ้าง บ่อยๆ และในอนาคตข้างหน้า  เราก็ยังจะทำผิดอยู่

            ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดีที่สุดเลยว่าลูกของพระองค์เป็นแบบนี้ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย  พระเจ้าก็เลยต้องทำพระสัญญาของพระองค์เอง คือด้วยพระคุณพระองค์ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ล่วงหน้าด้วย  ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เก็บไว้ในคลังไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ทำผิดปุ๊บ พระโลหิตก็ชำระทันที ดังนั้น วิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด  ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งทำบาป

            เราเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นนะ  ซึ่งบางครั้ง ทำบาป ทำผิดบ้าง แต่เราจะเก็บเกี่ยผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ผิดกับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เขาเป็นคนบาป ที่บางครั้ง ทำดี ต่างกันไหม? ต่างกัน คนบาปที่บางครั้งทำดี ก็ไม่มีผลอะไร เพราะเขายังเป็นคนบาป เขายังอยู่ในธรรมชาติบาป ถ้าเขายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หลังความตาย เขาก็อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้าอย่างแน่นอน ตามในหนังสือยอห์น 3:16-18  พระเจ้าพูดไว้ชัดเจน

            ฉะนั้น หน้าที่ของพวกเรา ไม่ใช่หน้าที่หรอก คือมันจะออกมาเองนั่นแหละ พระเจ้าก็ต้องการที่จะให้มนุษย์บนโลกใบนี้  ใครก็ได้ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า ให้เขามากลับใจใหม่ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ถูกลงโทษ ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  ถูกพิพากษาแล้ว  แล้วหลังความตาย ก็ยังถูกพิพากษาอีก ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคน ได้บังเกิดใหม่ แต่พระเจ้าก็ไม่บังคับเรา พระเจ้าก็ให้มนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ  ถ้าคนๆ นั้นฟังแล้ว รู้ว่าดี แต่ไม่ตัดสินใจ ที่จะกลับใจใหม่  เขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง แล้วถ้าเขายังดำเนินชีวิตแบบนั้นอยู่ จนถึงวันที่ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง  ตอนนั้นแก้ไขไม่ได้เลย

            ฉะนั้น มีเพียงมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ถ้าเราตัดสินใจปุ๊บ เราได้เลย ย้ายจากในความตายเข้ามาสู่ในชีวิต ย้ายจากคำสาปแช่งเข้ามาสู่พระพรของพระเจ้า นี่คือพระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่เราได้เฉลิมฉลองเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันคริสต์มาส วันที่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นเหมือนพวกเราทุกๆ คน มีเลือด มีเนื้อ แต่ต่างกันตรงที่พระเยซูคริสต์ไม่มีบาป เกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วจากวันคริสต์มาส พระองค์ก็ดำเนินการงานของพระองค์จนถึงวันศุกร์ประเสริฐ ในอนาคตข้างหน้า  ที่พระเยซูคริสต์เจริญเติบโตถึงอายุ 30 พระองค์ประกาศข่าวดีของพระองค์ แล้ววันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่ไม้กางเขน  ก็คือพระเยซูตัดสินใจที่จะตายแทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหมดบนไม้กางเขน  เพื่อว่าพวกเราจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราจะได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เมื่อตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ จะได้มีโอกาสบังเกิดใหม่กับพระเยซูคริสต์ วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย คือวันที่มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านสามารถให้ โดยปราศจากความรัก … แต่ … ท่านไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้

            พระเยซูตรัสว่า … “การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ”

            2 โครินธ์ 9:6-8 … “6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก  7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน  เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถ ประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

            คนทั่วไปสามารถให้ โดยปราศความรักได้ แต่ผู้เชื่อที่วิญญาณ และใจที่เกิดใหม่แล้ว ข้างในเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้าแล้ว ไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ เพราะเป็นธรรมชาติที่บังเกิดใหม่แล้ว ข้างในวิญญาณพร้อมที่จะให้เมื่อใจสั่งมา

            การให้ไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองเสมอไป  เราสามารถให้ความรักที่ออกมาจากภายในใจเรา ให้เวลา ให้ความห่วงใย ให้คำหนุนใจ ให้กำลังใจ ให้รอยยิ้ม ให้การสวมกอด ให้คำแนะนำ หรืออื่นๆ อีกมายมาย ที่พระวิญญาณที่อยู่ภายในเราทรงขับเคลื่อน ทุกสิ่งที่ทำออกจากใจ ที่บริสุทธิ์ที่บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ ล้วนเป็นพรทั้งสิ้น ไม่ใช่ฝืนใจ ถูกกดดัน หรือแรงจูงใจ จากกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            “การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ” เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ