วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1452

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2024

เรื่อง “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่องในวันนี้สำคัญมาก “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” นี่คือความเป็นจริงของโลกวิญญาณที่กำลังย้ำยืนยันกับเราในเช้าวันนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตทุกอย่าง ทำจากใจ ขอบคุณพระเจ้า ก็จากใจ  ทำทุกอย่าง ก็จากใจ ให้พระเจ้าก็จากใจ  อธิษฐานก็จากใจ  รักก็จากใจ ใจที่บังเกิดใหม่นั่นแหละ เราพูดจากใจสิว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดูสิว่าเราจะพูดเปลี่ยนแปลงไปไหม? นึกถึงในใจของเรานะ แล้วลองพูดใหม่

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            มันไม่ได้เกี่ยวกับเสียงที่เราพูดดังหรือไม่ดัง  แม้ว่าเราจะไม่มีเสียงพูดออกมาเลย แต่อยู่ในใจ อยู่บนรถเมล์ คนแน่นๆ เราพูดอะไรไม่ได้ อยู่คนเดียว เรานึกในใจ มันดังก้องอยู่ข้างในใจของเราว่า …

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            คนอื่นมาเหยียบเท้าเราบนรถเมล์ เราหันไปตวาดเขา เราก็นึกในใจ “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” เอเมน แล้วก็เดินลงไป  นี่แหละ คือคำพูดที่สำคัญมาก  และมีอะไรอีกล่ะ นอกจากเขาเหยียบเท้าเรา แล้วเราไม่ให้อภัย  แล้วแถมว่าเขาอีก หนักกว่านั้นอีก เขาเหยียบเท้าเรา เราไม่ให้อภัยไม่พอ แล้วแถมหาทางที่จะเหยียบกลับด้วย  ไม่ได้ อย่างนี้แค้นต้องชำระ  ทำอย่างนี้ไม่ดี ต้องสอนเขาสักหน่อย ในใจเรากำลังคิดอะไร? ในใจเราคิดแย่เหลือเกิน  เราเป็นคนเลวเหลือเกิน ทำไมเป็นคริสเตียนที่แย่อย่างนี้  ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงสักที หรือ? วันนี้มาฟังถ้อยคำพระเจ้าว่าเราควรจะทำอย่างไร?

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” เป็นได้อย่างไร? ถ้าเผื่อท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้กับท่านทั้งหลายบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ บนไม้กางเขน ท่านต้อนรับสิทธิของท่านที่พระเยซูได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านก็จะได้รับสิทธินี้ทันที  ก็คือการบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น  คำว่า “ฉันเป็นคริสเตียน” มันมีความหมายอย่างนี้นะ เวลาเราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน อย่าไปนึกถึงว่า “ฉันมาโบสถ์ ฉันอยู่ในศาสนาคริสต์” ไม่ใช่ มันมีความหมายว่า “ฉันได้บังเกิดใหม่จริงๆ” ตามหัวข้อเรื่องในวันนี้ และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้า หลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว ซึ่งเป็นข่าวดี และข่าวดีนี้ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้กระทำการอัศจรรย์นี้  มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลยว่าการบังเกิดใหม่ แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?  ลักษณะเป็นอย่างไร? ไม่มีทางเข้าใจหรอก  แม้ว่าขณะนี้เราทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม ได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์ เราเองก็ยังสามารถที่จะเข้าใจได้แล้วว่ามันมีลักษณะเป็นเช่นไร? ถูกไหม?  เราพอรู้คร่าวๆ  แต่เรารับรู้ได้จากวิญญาณข้างในใจของเรา  เรียกว่าข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ  ไม่ใช่อยู่ในความคิด ไม่ได้อยู่ในสมอง แต่อยู่ในใจ  เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่  ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ เอเมน นี่คือถ้อยคำพระเจ้า  1 เปโตร 1:3-4  บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 1: 3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

            “พระองค์ให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่” เราทั้งหลาย คือมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ผู้ใดได้ยินข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรให้กับเขาในโลกฝ่ายวิญญาณ บนไม้กางเขน  และเปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา แค่นั้นเอง  ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย พระองค์ทรงเปิดใจเขาทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับนั้น ได้บังเกิดใหม่  เป็นอัศจรรย์ เป็นการเนรมิตสร้างของพระเจ้า  โดยผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทำให้มนุษย์สามารถได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์

            และนอกจากบังเกิดใหม่ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว ในนี้ได้บอกว่าได้เป็นทายาทด้วย  เป็นลูกเฉยๆ ไม่พอ แต่เป็นทายาทอีก เป็นทายาท เพราะมีมรดก ทายาทมาพร้อมกับคำว่ามรดก

            และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก  ก็เป็นทายาท มีมรดก มันแปลว่าอย่างนั้น  แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่มีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์

            “ฉันมีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์”

            ในพินัยกรรมฉบับหนึ่ง ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ เป็นเจ้าของ มีชื่ออยู่ในนั้น ฉันมีชื่ออยู่ในหนังสือนั้นด้วย ฉันเป็นเจ้าของมรดกนั้นด้วย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และมรดกนี้ ตะกี้นี้อ่านชัดเจนว่าอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  แสดงว่ามันเป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ใน 1 เปโตร 1:14-15 ก็พูดในลักษณะนี้เหมือนกัน …

        1 เปโตร 1:14-15 “14 ในฐานะที่ (ได้รับการบังเกิดใหม่) ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีตเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตามด้วยความโง่เขลา ในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 15 แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝนประพฤติตนให้บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์ (ดีพร้อม)”

            ในฐานะที่ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟัง แสดงว่าความเชื่อฟังของเราในพระเจ้า เป็นความเชื่อฟังของเราเองหรือเปล่า?  เราดีใช่ไหม? เราจึงเป็นคนเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่  มันเป็นคุณสมบัติติดตัวเรามาตั้งแต่เราเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ปุ๊บ ในวิญญาณ ในจิตใจของเรา ข้างในที่ใหม่ๆ นั้น มีคุณสมบัติ คือมีความรัก  เชื่อฟังในพ่อของเรา ในพระเจ้าแน่นอน 100% เลย เอเมน ที่บอกว่าทำไมเราเป็นคนดื้อกับพระเจ้าอย่างนี้ ทำไมเราแย่อย่างนี้ ที่ตะกี้บอก พระเจ้าให้เราอภัย เราก็ไม่ให้อภัย ไม่จริง พระเจ้าบอกให้เราให้อภัย เราให้อภัยหรือเปล่า เพราะในนี้บอกว่าเราเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง  เราเชื่อฟังแล้ว วิญญาณเราให้อภัย

            แต่เดี๋ยวก่อน … “ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว” อย่ายอม แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้ว สังเกตสิ  เราเป็นลูกที่เชื่อฟัง  แต่อย่ายอมมันนะ แสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว เพราะมันมีคำว่ามันมา ผมใส่คำว่า “มัน” เข้ามา เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นศัตรู มันไม่ใช่ตัวเรา บางทีท่านคิดเองใช่ไหมว่าทำไมคิดแย่อย่างนี้  ทำไมเราไม่ให้อภัย สอนกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าบอกฟังเทศน์มาตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมไม่ยอมให้อภัย  แล้วเราก็ไม่ให้อภัย เราก็ตวาดเขา  ทนไม่ไหว  ทำไมเราแย่อย่างนี้  ใช่เราหรือเปล่า? ไม่ใช่เราแล้ว เราไปยอมมัน ยุงมากัดเรา เราคัน เราคันเองหรือเปล่า? ไม่ได้คันเอง แต่ยุงที่มากัดเรา ทำให้เราคัน  อย่ายอมมันสิ ปัดมันทิ้งสิ ถูกไหม?

            อย่ายอมกระทำตามมัน คือตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีต มันเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา  ก็คือในอดีต มันล่อลวง หลอกลวงท่านให้ทำตาม แล้วตอนนั้นท่านโง่เขลา  คำว่า “โง่เขลา” คือตอนนั้นท่านยังโง่เขลาอยู่ ไม่ฉลาด ไม่มีพระวิญญาณอยู่ในตัว เพราะในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือในขณะนั้น ท่านยังไม่รู้ข่าวดีของพระเยซู ท่านยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ท่านยังเป็นคนบาปอยู่ ท่านยังไม่มีอะไรจะสู้กับมัน  แต่ตอนนี้ ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว อย่ายอมมัน อย่างนี้ค่อยบังเกิดใหม่จริงๆ แล้วนะ เห็นไหม?

            จะได้ไม่ต้องเถียงกันอยู่ในตัวเอง …

            “บังเกิดใหม่ ทำไมฉันยังเป็นคนแย่อยู่”

            “บังเกิดใหม่ ทำไมฉันยังทำชั่วอยู่”

            “บังเกิดใหม่แล้ว ทำไมฉันยังมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ยังเป็นอย่างนี้อยู่”

            มันไม่ใช่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของฉัน แต่เป็นกิเลสตัณหาของมัน มันคือระบบของโลกใบนี้  เป็นศัตรู เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป

            “แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝน  ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมในการทุกอย่างที่ท่านทำ” แต่อย่ายอมมัน แล้วฝึกฝน ไล่ยุงสิ ปัดยุงทิ้งไป อย่าไปนึกว่าทำไมฉันเป็นคนแย่อย่างนี้  ทำไมฉันเป็นคันอย่างนี้ ฉันไม่ได้คัน เพราะตัวฉันเอง  คันเพราะยุง ไล่ยุงออกไปสิ คัน เพราะมีปรสิต คือเชื้อโรค ปวดท้อง เพราะว่ามีพยาธิอยู่ อย่ายอมให้มันอยู่สิ  กินยาถ่ายพยาธิซะ หมายถึงอย่างนั้นแหละ แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝนประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ก็ไม่ยอมมัน  อย่ายอมมัน ฝึกฝน แปลว่าทำผิดบ้าง ถูกบ้าง  แต่ค่อยๆ ฝึกไป มันค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ถูกไหม? เขาถึงเรียกฝึกฝน ในการกระทำทุกอย่างที่ท่านทำ ให้สมกับที่เป็นเหมือนพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ ดีพร้อม  เห็นไหม? ให้เหมือนตัวตนของท่าน ที่ท่านบังเกิดใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์ที่ตะกี้เราพูดตามหัวข้อเรื่อง

            เราบังเกิดใหม่แล้ว เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม นิรันดร์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำตัวให้เป็นเหมือนตัวตนที่ท่านเป็น

        1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มิใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า (คือพระเยซูคริสต์) ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์”

            ทำไมให้ท่านฝึกฝน  ปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็เพราะว่าท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้วไง เพราะตัวท่านจริงๆ เป็นคนดีมากเลย ดีพร้อม บริสุทธิ์ ยอดเยี่ยม  ไม่มีสกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความดื้อต่อพระเจ้า  มีแต่ความเชื่อฟัง เป็นลูกที่ดีของพระเจ้าแน่นอน 100% แล้ว  เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้ว และมิใช่บังเกิดใหม่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ เห็นไหม?  เมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย  ก็คือมันเป็นนิรันดร์ เกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ  … อมตะ คือนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย  คือพระวจนะของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์  เพราะว่าเราได้เกิดใหม่ด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์ก็แบ่งชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้เราเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์เดียวกันกับพระองค์

            เมล็ดพันธุ์ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ  คำว่า “เมล็ดพันธุ์” ตรงนี้ ภาษาเดิมใช้คำเดียวกันกับปฐมกาล 3:15 ที่บอกว่า “หน่อเชื้อของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” หน่อเชื้อของหญิงพรหมจารี ก็คือเชื้อสายทางวิญญาณของแมรี่ ก็คือพระเยซูคริสต์ คำเดียวกัน  เมล็ดพันธุ์ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ

            ที่เราบังเกิดใหม่ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า  พระเจ้าเป็นวิญญาณนิรันดร์ พระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณนิรันดร์ เราก็เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าอย่างนี้  เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย  แล้วจะเสื่อมสลายได้อย่างไร? แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นแหละ

            พระเยซูประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์จะสามารถเข้าสู่สวรรค์กับพระเจ้าได้นั้น มันจะต้องสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ ดีพร้อมอย่างนี้ พระองค์มาประกาศ พระองค์บอกว่าท่านทั้งหลายจะต้องดีพร้อม สมบูรณ์แบบ 100% เลย ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  ซึ่งไม่มีใครทำได้สักคนหนึ่ง  ดีพร้อมทุกประการเหมือนพระเจ้า ในความเป็นจริงไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่จะสามารถทำตัวเองให้ดีพร้อมตามเงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ได้ พระเยซูจึงเตือนว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้น เราบอกความจริงว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้น จริงๆ บอกมนุษย์แล้วบอกมนุษย์เล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือการวางใจและเชื่อในพระองค์ แล้วเมื่อเชื่อวางใจในพระองค์ รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้กับเรานั้น คือการพึ่งพาในพระองค์ เมื่อเปิดใจแล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นการเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ โดยพระเจ้า เราเรียกกันว่าอัศจรรย์ เนรมิตสร้างของพระเจ้า  ในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทำไม่ได้หรอก มันเป็นอัศจรรย์ ซึ่งเราเรียกกันว่าบังเกิดใหม่

            ยอห์น 3:3-4 ได้พูดถึงตอนที่พระเยซูประกาศอยู่บนโลกใบนี้ ถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะกระทำให้สำเร็จบนไม้กางเขน มีอาจารย์ทางศาสนายิวฟังพระเยซู แล้วก็สงสัย เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนายิว กฎอะไรต่างๆ แต่เขาก็ฟัง แล้วเขาก็เชื่อว่าพระเยซูพูดมีสาระ  คือเขาฟังในแง่ของเชื่อฟัง ไม่ใช่ฟังด้วยใจต่อต้าน  แต่เขาสงสัย เพราะว่าเขาไม่มีใจอย่างที่บอกว่ามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย เพราะว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ มันไม่ใช่เป็นสติปัญญาของมนุษย์  ในพระคัมภีร์บอกสำหรับสติปัญญาของมนุษย์ เรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า เรื่องการบังเกิดใหม่ เป็นเรื่องโง่เขลา  สำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับแล้ว เราได้พิสูจน์แล้ว  เราบอกว่ามันเป็นฤทธิ์เดช ก็คือเป็นการเนรมิตสร้างขึ้น โดยพระเจ้า เราลองมาอ่านดูว่าเขาสงสัยเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่อย่างไร? แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? …

        ยอห์น 3:3-4 “3 พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่าคนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่!”

            “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ก็คือไม่มีใครสามารถเข้าสวรรค์ได้หรอก ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่”  ใครจะไปเข้าใจเนอะ

            นิโคเดมัส คืออาจารย์ทางศาสนาได้ถามต่อว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไรล่ะ เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอนเขาจะไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาได้” จะให้คลานเข้าไปอยู่ในมดลูกแม่อีกครั้งหนึ่งหรือ? มันเป็นไปไม่ได้ เขาก็คิดอย่างนี้  เพราะมนุษย์ก็คิดตามสติปัญญาของมนุษย์ ก็คือคิดแค่การเกิดใหม่ทางร่างกายเท่านั้น ไม่มีวันที่จะคิดไปถึงโลกวิญญาณว่ามันเกิดใหม่ได้อย่างไร? เขาก็คิดได้แค่นั้น  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ในการที่จะกลับไปอยู่ในมดลูก ดังนั้น เลยงงว่าแล้วจะทำได้อย่างไร?  พระเยซูตอบว่าอย่างไร? เราลองมาดู ยอห์น 3:5-7 …

        ยอห์น 3:5-7 “5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และพระวิญญาณ 6 ร่างกายให้กำเนิดร่างกาย แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจ ที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่”

            พระเยซูบอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน” พูดจริงๆ เลย พระเยซูพูดอย่างนี้ ไม่ใช่จริงธรรมดา บอกเราบอกความจริงๆ กับท่าน ต้องย้ำตรงนี้ เพราะที่บอกนี้ท่านจะไม่เข้าใจหรอก แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะเราเป็นพระเจ้า เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรในโลกฝ่ายวิญญาณ  ท่านไม่รู้หรอก แต่เรากำลังบอกความจริงๆ กับท่าน ที่ท่านใช้สติปัญญาของมนุษย์ ท่านจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไร มันเป็นจริง

            “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ” เกิดจากน้ำ คือเกิดจากน้ำคร่ำ คือครรภ์มารดา ก็คือมนุษย์ ถ้าเขาไม่เกิดเป็นมนุษย์ เขาบังเกิดใหม่ไม่ได้  การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น เพื่อมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อสัตว์  ไม่ใช่เพื่อวิญญาณอะไร? แต่เพื่อมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ คือครรภ์มารดา และพระวิญญาณ  เขาต้องเกิด 2 อย่าง  คือเกิดเป็นมนุษย์ จากครรภ์แม่แล้ว  เขาต้องเกิดอีกครั้งหนึ่งทางวิญญาณ  เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ  เห็นไหม? ถ้าเขาเกิดจากแม่อย่างเดียว  ไม่ได้เกิดทางวิญญาณ  เขาก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า

            ข้อ 6 พระองค์ตอบต่อไปว่า “ร่างกายให้กำเนิดร่างกาย” ก็คือเกิดจากครรภ์แม่  ก็เป็นร่างกายเหมือนพ่อเหมือนแม่ ก็ว่ากันไป  “แต่วิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ” แต่วิญญาณที่บังเกิดใหม่อีกครั้งนั้น เป็นการบังเกิดจากพระวิญญาณ “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกท่านว่าเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง  เกิดใหม่ ภาษาเดิมเขาเรียกว่าเกิดครั้งที่สอง เกิดอีกครั้ง Born again

            เกิดครั้งแรก ก็คือเกิดทางเนื้อหนัง เกิดจากครรภ์มารดา เกิดแบบมนุษย์  เกิดครั้งที่สอง เกิดทางวิญญาณ  ครั้งที่สองสำคัญ  เพราะว่าทางวิญญาณมนุษย์ทุกคน ตกอยู่ในความตาย ความบาปอยู่ เกิดออกมา ร่างกายออกจากครรภ์มารดามาเป็นคน วิญญาณข้างใน  ที่เป็นตัวตนแท้ๆ เป็นบาปและตายอยู่ มันต้องการเกิดใหม่ ถึงจะได้ นี่แหละคำว่าบังเกิดใหม่

            พระเยซูกำลังจะชี้ให้มนุษย์เห็น ถึงสิ่งที่มองไม่เห็นทางโลกวิญญาณ ในโลกวัตถุ เราเห็นอยู่แล้ว ในทางร่างกาย เกิดมาเป็นร่างกาย  แต่ในโลกวิญญาณมองไม่เห็น  ก็คือมนุษย์และปกติเกิดจากครรภ์มารดา มีทั้งร่างกายและวิญญาณ  และวิญญาณนั่นแหละ เป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์มองไม่เห็น  แต่มันเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่สำคัญมาก ที่จะอยู่ตลอดไป ร่างกายนี้สำคัญน้อยกว่า มันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง และวิญญาณของมนุษย์นั่นแหละ ที่พระองค์ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นบาป เป็นความชั่วร้าย ตายอยู่ในบรรพบุรุษเดิม คืออาดัม  เป็นชีวิตที่มาจากหน่อเชื้อที่เป็นวิญญาณของอาดัม  ก็คือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เห็นไหม?  จำเป็นต้องบังเกิดใหม่  เข้ามาสู่วิญญาณของพระเจ้า ด้วยหน่อเชื้องของพระเจ้า

            วิธีที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อสามารถเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ คือวิญญาณจะต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น นึกภาพนะว่าถ้าเราไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราสกปรก วิญญาณเราตายอยู่ เราไม่มีทางดีพร้อมได้เลย และถ้าเราได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือโดยหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า ที่เราอ่านพระคัมภีร์มา ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าผู้ให้กำเนิดเรา  คือพระวิญญาณของพระเจ้านั่นเอง  เกิดทางวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณ  เกิดทางเนื้อหนัง ก็เหมือนเนื้อหนัง

            พระเยซูยกตัวอย่างเหมือนร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง บังเกิดจากครรภ์มารดาในมดลูก จะมีลักษณะท่าทางหน้าตาเหมือนพ่อแม่ ก็คือแบบเนื้อหนัง ผู้ให้กำเนิดทางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังถูกไหม? แต่ถ้าให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้านั่นเอง

            สรุปหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูประกาศ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ วิญญาณต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น  และการบังเกิดใหม่จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ คนนั้นเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ไม่สามารถสะสมความดีของตนเอง โดยการประพฤติ ให้ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อม  เพื่อให้ตัวเองได้บังเกิดใหม่  มันเป็นไปไม่ได้เลย พระเยซูจึงประกาศว่าจงอย่าเย่อหยิ่งจองหอง มนุษย์เอ๋ย อย่าทะนงตนว่าตัวเองทำได้ มันทำไม่ได้จริงๆ มัทธิว 18:3-4 พระองค์จึงกล่าวอย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 18:3-4 “3 เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย 4 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลง เหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”

            “ถ้าพวกท่านไม่กลับใจ ถ้ามนุษย์คนใดไม่กลับใจจากอะไร? กลับใจจากการพึ่งพาตนเอง ในการกระทำให้ดีที่สุด แล้วก็มาหนุนใจกันบอกว่าทำดีได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอกว่าต้องทำให้ไม่มีที่ติเลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า 100% ปุ๊บ ได้เข้าสวรรค์แน่นอน นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ มนุษย์บอกว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน ถูกไหม? ทั้งโลก ทุกศาสนา ทุกความเชื่อ  หรือความคิดของคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ถ้าจะไปสวรรค์นะ ทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน  ดีที่สุด ขนาดไหน?  เธอทำให้ดีที่สุด เท่าที่เธอทำได้ พระเจ้ารู้ พระเจ้าเข้าใจ พอเห็นภาพอะไรไหม? นี่คือความคิด นี่คือระบบของโลกนี้ ที่หลอกลวงมนุษย์ทุกคน ให้พลาดจากข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ที่เป็นอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเนรมิตสร้างขึ้นใหม่  เป็นฤทธิ์เดช  ไม่ใช่เป็นเหตุผลแบบมนุษย์

            “เธอทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทำดีได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเจ้าเป็นพระเจ้าดี พระเจ้าประเสริฐ พระเจ้ารู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว  ทำได้เท่าไร ทำดีที่สุด แค่นั้นพอแล้ว”

            ซึ่งพระเยซูแย้งบอกว่าไม่ใช่  ต่อให้เธอทำดีที่สุด ตั้งใจอย่างไรก็ตาม มันผิดกฎ มันไม่ตามกฎ มันก็ไม่มีทางได้รับตามกฎที่วางไว้

            ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างเช่น เราเป็นคนงานก่อสร้างตึกสูง เจ้าของบริษัทบอกว่าให้เราเซฟตี้ ขึ้นไปทุกครั้งเราต้องสวมหมวก และใส่ชุด มีเข็มขัดนิรภัยล็อคอยู่ตลอดเวลา  เพราะมีโอกาสพลาดได้ตลอดเวลา  พลาดลงมา จะได้ไม่ตาย  เราเป็นคนงานคนหนึ่งในกลุ่มคนงาน  ที่ไม่เชื่อฟัง แต่เป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยว ไม่เกเร เป็นคนใจบุญสุนทาน แต่เราละเลยกฎที่เขาบอกให้เซฟตี้ไว้ เพราะว่ามันมีแรงดึงดูดของโลก จึงตกมาตายจริงๆ แรงดึงดูดของโลกไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่ว่าใครจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ตาม แล้วในที่สุด คนๆ นี้ก็พลาดท่าเสียทีในวันหนึ่ง แล้วก็ตกลงมาตาย เพื่อนคนงานอีกคนหนึ่ง เป็นคนทั้งกินเหล้า เสเพล ขี้เกียจทำงานด้วย เขากลัวตาย  เขาเชื่อฟังกฎ กฎเขาบอกว่าอย่างนั้น เขาเชื่อ แล้วเขาเคารพต่อแรงดึงดูดของโลกว่าเดี๋ยวมันตกมาตายนะ เขาขึ้นไปทีไร แม้ว่าจะขี้เกียจทำงาน เมาเหล้าด้วย  เขาเอาตะขอเกี่ยวไว้ก่อน  เขาตกลงมาเหมือนกัน ตกมากกว่าอีก  แต่ไม่ตาย

            มนุษย์ก็จะคิดว่าอย่างนี้ ไม่ยุติธรรม คนดีๆ ทำไมตาย ก็มันไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี มันเกี่ยวกับว่ามันมีกฎระเบียบของมันตั้งไว้อย่างนั้น ไปเถียงกับธรรมชาติได้อย่างไร?  พระเยซูกำลังจะบอกว่าอย่าเย่อหยิ่ง  เชื่อและวางใจคำประกาศของพระเยซูคริสต์ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่เชื่อและวางใจในพระบิดา วางใจในพ่อ เด็กเล็กๆ ที่วางใจในพ่อ  อย่างไม่สงสัย ไม่คิดมาก  เพราะถึงคิดไป ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้  ไม่ต้องคิดมากเลย  ให้เชื่อฟัง วางใจในพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น เหมือนเด็กเล็กๆ ที่เขาวางใจพ่อแม่ เอาเด็กเล็กๆ สักขวบหนึ่ง วางบนโต๊ะ เล่นกับเขา แล้วบอกโดดมาเลย  แต่คนพูดเป็นพ่อของเด็กนะ  ที่สนิทกัน เด็กโดดไหม? โดด เด็กก่อนจะโดดไม่ได้คิด ไม่ได้ไปมองว่ามันจะลึกขนาดไหน? มันจะมีแรงดึงดูดของโลกหรือเปล่า?  เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยตอนนั้น บอกให้โดดเขาก็โดด

            ลักษณะเดียวกัน  พระเยซูกำลังพูดถึงว่าไม่ต้องเข้าใจหรอก เป็นเด็กเล็กๆ ให้เชื่อฟัง พระองค์บอกไว้อย่างนั้น ก็เชื่ออย่างนั้น  เพราะไม่มีทางเข้าใจ  ถ้ารอให้พวกเธอเข้าใจในสิ่งที่พวกฉันพูด เกี่ยวกับเรื่องการเข้าสวรรค์ได้ แล้วค่อยมาเชื่อวางใจฉันนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันสายเกินไปแล้ว มันต้องเชื่อและวางใจก่อน แล้วจึงค่อยๆ เข้าใจ หลังจากวางใจ แล้วได้เกิดใหม่  พอเกิดใหม่แล้ว จะค่อยๆ เรียนรู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เกิดใหม่ในวิญญาณ” และจะเรียนรู้จักโลกวิญญาณลึกไปเรื่อยๆ ทีละนิด เพราะได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว  เริ่มเข้าใจแล้ว จะมาบอกว่ายังไม่เข้าใจเลย รอให้เข้าใจข่าวประเสริฐก่อน สายไปแล้ว ข่าวประเสริฐต้องเชื่อและวางใจก่อน แล้วจึงจะได้รับผลบังเกิดใหม่  ถ้ารอให้เข้าใจก่อน มันไม่ได้ มันกลับกัน

            มนุษย์เกิดมาโดยธรรมชาติ ก็เป็นมนุษย์ แม้จะอยู่ในครรภ์ ก็เป็นมนุษย์แล้ว รู้การเดิน การปฏิบัติตัว ไม่ต้องรอเข้าใจ  ไม่ต้องรอจนอายุ 10 ขวบ 20 ขวบ 30 ขวบ 40 ขวบ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์  ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว เขาก็เป็นมนุษย์แล้ว ถูกไหม?  เพราะใครๆ ก็เกิดเป็นมนุษย์ทันที ปฏิสนธิเขาก็เป็นมนุษย์แล้ว  เกิดเป็นมนุษย์ 1 วันกับเกิดเป็นมนุษย์ 10 ปี ก็เป็นมนุษย์เท่ากัน แต่เป็นมนุษย์ที่เจริญเติบโตไม่เท่ากัน เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ ยังไม่เจริญเติบโต ยังเป็นทารก เด็กๆ อยู่ ยังอาจจะประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ตอนนี้ยังคลานอยู่ เดี๋ยวเขาก็เดิน อาจจะนอนอยู่เฉยๆ แต่เดี๋ยวเขาก็เดิน  อาจจะยังไม่พูดอะไร แต่เดี๋ยวเขาก็พูด เห็นหรือยัง?  อาจจะเหมือนลิง แต่เดี๋ยวเขาก็ทำเหมือนคน  เขาเดินเหมือนคน ใช่ไหม? เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ เขาอาจจะทำตัวไม่สมควร คืออกตัญญูกับพ่อแม่ ตีพ่อแม่บ้าง อะไรบ้าง? แต่เขาเป็นมนุษย์ไหม? เป็นมนุษย์แล้ว แต่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เดี๋ยวเขาก็เหมาะสม เรียนรู้โตขึ้น เขารู้ว่านี่คือพ่อแม่  นี่คือคน นี่คือใคร แล้วต้องรู้จักทดแทนพระคุณ อะไรสมควรหรือไม่สมควรทำ เขาก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์ และควรจะทำอะไรที่สมกับการเป็นมนุษย์

            เช่นเดียวกันกับการเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่กำลังพูดถึงนี้ ก็เช่นเดียวกัน  เกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ตอนแรกๆ ก็ อาจจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าได้ มองข้างนอก ไม่เห็นเหมือนลูกพระเจ้าเลย  แต่เขาเกิดใหม่แล้ว ก็คือเกิดใหม่จริงๆ  เพราะว่าเขายังเด็กอยู่ในวิญญาณ  ต้องรอการสอน การเรียนรู้ การเจริญเติบโตในวิญญาณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งลักษณะของเขาในพระเจ้า ยังคงเป็นลักษณะของพระเจ้า ยังคงเป็นวิญญาณ ธรรมชาติพระเจ้าอยู่ในตัวเขาอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้ามากี่วัน กี่เดือน กี่ปีแล้วก็ตาม  เหมือนกัน ผู้ที่เชื่อพระเจ้า  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่วันนี้ เขาก็เป็น คริสเตียน เท่าๆ กับผู้ที่เปิดใจและเป็นคริสเตียนมาแล้ว 10, 20 ปี มีค่าเท่ากัน ก็คือเป็นลูกพระเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้ว

            และธรรมชาติของการเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้พูดสรุป รวมๆ ว่าเกิดจากพระเจ้าปุ๊บ ก็เกิดจากวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความรักเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อม สง่างาม เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นเลย  เกิดมาเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เป็นทายาท รับมรดกนิรันดร์จากพ่อแม่ ก็คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเกิดมาทันที พระเจ้าก็รักดังแก้วตาดวงใจ เท่าๆ กันหมด ว่ากันตามจริงแล้ว รักตั้งแต่ก่อนยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป  ยอมทุ่มเทถึงขนาดสละพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ คนๆ นั้น  ก็คือรักเขาดังแก้วตาดวงใจ  2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปที่อยู่ในวิญญาณ)”

            “ผ่านทางพันธสัญญาเหล่านี้” พันธสัญญาอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ ก็คือสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ สัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว จะมาช่วยนะ วางแผนไว้แล้ว จะมาช่วยๆ ให้เธอได้บังเกิดใหม่ ให้เธอได้วิญญาณใหม่ ให้เธอได้ใจใหม่ และรวมทั้งร่างกายใหม่ด้วย จะมาช่วยเธอให้รอด พูดง่ายๆ นี่คือสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้ตั้งนาน แล้วในที่สุด พระองค์ก็ทำให้สำเร็จ

            สัญญานี่ คือพวกเท่านจึงได้มีส่วนเข้าร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า คือสภาพความเป็นธรรมชาติของพระเจ้า  เราทั้งหลาย มนุษย์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย โดยการบังเกิดใหม่  แค่เพียงแต่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ที่กระทำให้กับเราที่ไม้กางเขนเท่านั้นเอง มันง่ายจนกระทั่งกลายเป็นทางแคบที่พระเยซูบอก เพราะมันง่ายเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ทำไมมันง่ายอย่างนี้ การเข้าสวรรค์มันง่ายอย่างนี้หรือ? พึ่งพาตนเองดีกว่า นี่มันเป็นลักษณะอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลายทั้งมวล ก็เลยไปพึ่งพาตนเองทั้งหมด  พยายามที่จะทำความดี เพื่อที่จะไปสวรรค์ ซึ่งมันไม่มีทางที่จะทำได้

            เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ข้อมูลในวันนี้ ที่เกี่ยวกับเราทั้งหลาย ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  แต่ขณะเดียวกัน เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับความจริงของพระเจ้า เราจึงจำเป็นที่จะต้องจดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ถึงข้อมูลความจริงเหล่านี้ ที่กำลังพูดถึงนี้ว่าเราเป็นใครแล้ว ตลอดวันคืนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วจงต่อสู้กับระบบของโลกนี้ ซึ่งระบบของโลกนี้ เรียกว่าระบบของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ไม่ใช่กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนังของเรา แต่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลก  เราจงต่อสู้ให้ถึงที่สุด กับระบบของโลก  เพราะเรายังอยู่บนโลก โลกต่อสู้กับความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องต่อสู้ รักษาความจริง ในข่าวประเสริฐนี้ไว้  ต่อสู้กับข้อมูลทุกรูปแบบ จากโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทุกรูปแบบเลย ไม่ว่ามันจะมาทางทิศไหน? มาทางแบบไหน?  เยอะแยะมากมายไปหมดเลย

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันคืออะไร? ลองฟังดูนะ ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามันไม่ใช่ตัวเราชั่วร้าย  แต่มันเป็นระบบของโลกนี้ที่ชั่วร้าย  “ชั่วร้าย” มาจากคำว่า “บาป”  โลกที่เต็มไปด้วยความบาป  คือโลกที่เต็มไปด้วยการพึ่งพาตนเอง ไม่มีพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนั้น กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คืออิทธิพลของโลกใบนี้ คือการพึ่งพาตนเองนี้  เป็นอิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย  ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  กฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง กฎแห่งการทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว  กฎแห่งกรรมที่ปกคลุมอยู่เหนือทุกชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นระบบที่ต่อต้าน เป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับกฎของพระเจ้า ที่เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ คือพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎของพระคุณ กฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ 2 อันนี้มันต่อต้าน มันสู้กัน บนโลกใบนี้ เขาเรียกว่ากฎของเนื้อหนัง กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กฎในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ  กฎแห่งพระคุณ 2 อันสู้กัน

            เราอยู่ที่ไหนตอนนี้  ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในกฎของโลกนี้ อีกต่อไป แต่ก่อนเราอยู่ในกฎของโลกนี้ เราต้องพึ่งพาตนเอง ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ ชี้หน้าเราตลอดเวลา บอกเรา ฟ้องเราตลอดเวลาว่าเราต้องรับผิดชอบในการกระทำตรงนี้ เราไม่มีทางไปสวรรค์ได้หรอก เรามีบาปอยู่ เราสกปรกอยู่ เป็นไปไม่ได้เลย เราไม่สมบูรณ์ครบถ้วน  บริสุทธิ์พร้อม ที่จะอยู่ในสวรรค์ นี่คือกฎของโลกใบนี้ ที่คอยที่จะกล่าวหาเรา  ฟ้องเรา แต่บัดนี้ เราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราอยู่ในโลกวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากโลกเดิม โลกวัตถุ โลกแห่งความบาปเข้ามาอยู่ในโลกสวรรค์แล้ว ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            และในโลกสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ บนโลกใบนี้ กฎเขาบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งคอยฟ้องเรา คอยชี้เราว่าเราเป็นคนผิด เป็นคนบาป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎของโลกนี้ เราตายจากโลกนี้ไปแล้ว เอเมน เราเป็นอิสระแล้ว นี่คือความจริงที่เราต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

            อิทธิพลของเนื้อหนังนี้  หรืออิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้  มันทำหน้าที่อะไรบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็ทำ ยิ่งไม่เชื่อ มันยิ่งทำดีใหญ่เลย เพราะว่ามันต้องการทำลายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นศัตรู มันเป็นระบบที่อาดัมและเอวาถูกหลอก โดยมารให้นำเข้ามาเองนะ ไม่ใช่มารนำเข้ามา มารเป็นตัวหลอก เพราะมันไม่มีอำนาจจะทำอะไรสักอย่าง มันได้แต่หลอกเขา ทุกวันนี้มันก็หลอกต่อ หลอกโดยใช้อิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย ที่อาดัมกับเอวาเอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ก็คือคำสาปแช่งบนโลกใบนี้  ความเสียหาย ความวิปริตของโลกใบนี้  มันเอามาใช้ให้เป็นอิทธิพล เราเรียกว่าอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง

            อิทธิพลนี้ มันจะคอยผลักดัน  หลอกลวง  ชักจูง กดดัน ควบคุมให้มนุษย์หลงทำตาม มารจึงไม่มีอำนาจอะไรเลย ไม่มีน้ำยาอะไรเลย มันก็หลอกเขาต่อไป ขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง  คือไม่มีอำนาจเลยนะ  มันจึงทำได้แค่หลอกลวง บังคับโดยการหลอกลวง  ควบคุมโดยการหลอกลวง ให้มนุษย์ยอม ยอมให้มันควบคุม ก็คือถูกหลอก ยอมให้มันบังคับ  ก็คือถูกหลอก  มันบังคับเราได้ไหม? ไม่ได้ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า  มันก็ยังบังคับไม่ได้เลย  แต่มันหลอกได้ จนกระทั่งคนนั้นยอมทำตาม แล้วก็นึกว่าตัวเองแย่ ตัวเองเลว ตัวเองเป็นคนทำ ที่ไหนได้มีตัวยุแยงตะแคงรั่ว ให้เราด่าตัวเอง มันฟ้องเรา ให้เราแย่ พูดง่ายๆ ว่ามันทำให้เรารู้สึกว่า …

            “ฉันมันเลว ฉันมันชั่ว ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดหรอกอย่างนี้ สมควรได้รับแล้ว ก่อกรรมเวรไว้  ยิงนกตกปลา มีแต่เวรกรรม ต้องชดใช้  เกิดมา คนก็ต้องชดใช้กรรมเวรต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ  ไม่มีวันจบสิ้นหรอก ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด” อะไรประมาณนั้น  วันๆ หนึ่งมันคอยแต่หลอกลวงอย่างนี้

            แต่พระเยซูมาประกาศบอกว่า … “เรามาช่วยเจ้าหลุดพ้นจากความบาปนี้ วงจรนี้”

            มันคอยที่จะบังคับ ให้มนุษย์หลงทำตาม  คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้มนุษย์เชื่อฟังมัน คือความต้องการเกินกว่าที่มนุษย์ควรเป็น คือไม่สมดุลนั่นเอง

            ยกตัวอย่างเช่น รับประทานขนาดนี้พอดี ก็รับประทานให้มันเกินไปซะ ตะกละกินจนกระทั่งป่วย  หรือไม่ทำให้มันไม่สมดุล คือมีเกินไป หรือขาดไป คืออดอาหาร เพื่อให้เป็นคนที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม อดอาหาร เหมือนโยคีอด เป็นปีๆ รู้สึกเคร่ง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง มันจะทำให้มนุษย์ไม่ขาด ก็เกิน คือไม่สมดุลนั่นเอง  ซึ่งเราเรียกกันว่าความโลภ มีเงินเท่านี้ แทนที่จะพอใจ โลภกว่านี้ หรือบางคนไม่โลภ ก็เอาน้อยจนเกินไปเลย  ไม่ดูแลรับผิดชอบในสิ่งที่ควรรับผิดชอบ เอาเงินไปบริจาคหมด อะไรแบบนี้  เอามาถวายโบสถ์หมดเลย ที่บ้านไม่มีข้าวกิน  ลูกไม่สนใจ เราเอาไปให้โบสถ์ดีกว่า ทำเกินไป  เข้าใจไหม? ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ทำจนเกินไป นี่ก็คือระบบของโลกนี้ ซึ่งมันดูดีไหม? ดูดีนะ ดีสำหรับโลกนี้

            โลกนี้บอกทำบุญสุนทานนะ อดอาหารเยอะๆ อย่างนี้ดี ละกิเลส เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมด แทนที่จะดูแลลูกหลาน ไม่ต้องดูแลแล้ว  ทั้งหมด ยกไปให้โบสถ์ ให้วัด เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ทำบุญ ทำทาน มีแต่คนสรรเสริญ ดีนะ  แต่ท่านลองคิดเอาเองแล้วกัน พระเยซูกำลังจะพูดอะไร?

            นี่คืออิทธิพลของเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนังบนโลกใบนี้  ก็คือทำตัวเองให้เป็นเหมือนพระเจ้านั่นเอง เป็นรูปเคารพที่อยู่ในใจมนุษย์  ก็คือมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แทนที่จะฟังความรู้สึกหรือจิตใต้สำนึกที่บอกว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่ฝืน เชื่อมั่นในความคิด เราเรียกกันว่าเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นศัตรูต่อต้านกับถ้อยคำของพระเจ้าทั้งสิ้นเลยนะ แทนที่จะเชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ทั้งๆ ที่ส่วนลึกภายในจิตใจ ยังรู้ตัวอยู่ว่าตัวเอง พึ่งตนเองไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังฝืน

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ฟังข้อความพระเจ้าในวันนี้แล้ว จงหมั่นอดทน ฝึกฝน ธรรมชาติใหม่ในชีวิตของเรา  ก็คือสู้กับโลกใบนี้ ที่มันหลอกลวงเรา  เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว ด้วยความภาคภูมิใจ ในตำแหน่งของเรา ในความเป็นจริงของเรา และประพฤติตนให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มากเกินไปและน้อยเกินไป ให้สมดุล เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรกระทำอย่างนี้ ไม่ควรทำตามโลกใบนี้นั่นเอง

            ในขณะเดียวกัน ก็มีความมั่นใจในความรอด ที่ได้รับมาแล้ว ไม่ว่าโลกนี้จะหลอกลวงอย่างไร ไม่ว่าฉันจะมีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร? ประพฤติตัวอย่างไร? บนโลกใบนี้ ถูกล่อลวงด้วย กิเลสตัณหา ให้ทำผิดบาปแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            “เพราะฉะนั้น จงจดจำ จนขึ้นใจ  ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากหน่อเชื้อบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*****************************

จากใจศิษยาภิบาล

            คริสเตียนรอดโดยพระคุณ  ความเชื่อ! ไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมการบัพติศมาในน้ำ หรือการลงน้ำบัพติศมา หรือพิธีกรรมใดๆ เลยจริงๆ

            มัทธิว 3:11 … “ผู้เผยวจนะยอห์นบัพติสโตประกาศ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนสามปีว่า … “เราให้บัพติศมาด้วยน้ำแก่พวกท่าน  แสดงถึงการกลับใจใหม่  แต่ภายหลังเรา  จะมีผู้หนึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา  เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์  พระองค์จะทรงให้ท่านทั้งหลายบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”

            การบัพติศมาด้วยน้ำ เป็นพิธีกรรมของชาวยิวที่แสดงถึงการกลับใจใหม่ จากการละเลยไม่สนใจกับพันธสัญญาที่พระเจ้าได้เคยให้ไว้กับชาวยิว ตั้งแต่บรรพบุรุษว่าจะทรงประทานพระมาซิฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ (ให้กับมนุษยชาติ ) โดยเริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน ให้ชาวยิวหันกลับมาเตรียมตัว  จดจ่อที่พระมาซิฮาห์  คือพระเยซูคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอดที่กำลังจะมา อย่ามัวแต่หลงระเริงอยู่ในการสร้างความชอบธรรมของตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติ  และภูมิใจที่รักษาบทบัญญัติได้มาก  เย่อหยิ่ง  ทะนงตน จนเป็นคนหน้าซื่อใจคด

            และการลงน้ำบัพติศมา  เป็นเงาที่เล็งให้เห็นถึงการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ

            คือทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทรงถูกฝังในอุโมงค์  ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ใดเชื่อและยอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะบัพติศมา ผู้นั้นเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในทางวิญญาณ  ด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณ  เสด็จเข้ามาในวิญญาณของเรา  เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา  คือบัพติศมาเราย้ายเข้าไปในร่างกายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น

            เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ตายพร้อมพระองค์  ฝังพร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระองค์

            คือย้ายวิญญาณของเรา  จากที่ตายอยู่ในอาดัม  มาบังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า

            โรม 6:3-5 … “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่  เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์  เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนเพราะองค์ด้วย”

            โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าพระบิดา  เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์  มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์  โดยผ่านทางความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามเท่านั้น

            เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ  โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดีของเราเลย และไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมการบัพติศมาในน้ำ หรือการลงน้ำบัพติศมาเลย ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ