วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1453

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มกราคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  ไม่ได้เกี่ยวกันกับเรื่องของการกระทำ ความประพฤติ อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว  เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณจริงๆ เท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงให้เราเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ ทำไมต้องใช้ความเชื่อ  เพราะมันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงตรัสว่าสิ่งที่มองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน  คือสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้ที่แสวงหาความจริงของพระองค์ จะแสวงหาความจริงของพระเจ้าได้ ก็ต้องเชื่อในเรื่องโลกวิญญาณเท่านั้น

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องที่เขาฮิตกันเดี๋ยวนี้ ฮิตมากเลย  คือ Before and After มีรายการทีวี รายการโชว์ต่างๆ ฮิตมากเลยว่า Before and After ก่อนเป็นอย่างไร? และหลังจากนี้ เป็นอย่างไร? ก่อนหน้าจะเข้าโปรแกรมนี้ เป็นอย่างไร? ก็ถ่ายรูปให้ดู หลังโปรแกรมนี้ เป็นอย่างไรถ่ายรูปให้ดู ตื่นเต้นไหม?  นั่นเป็นสิ่งที่ตามองเห็น บนโลกใบนี้  แต่สิ่งที่เรากำลังจะมาเรียนรู้วันนี้ เป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่พระคัมภีร์ได้บอกไว้เลยว่าก่อนหน้า เป็นอย่างไร?  หลังขบวนการนี้เป็นอย่างไร? นึกออกหรือยัง? ก่อนหน้าจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราเป็นอย่างไร? หลังจากรับเชื่อแล้ว วิญญาณของเราเป็นอย่างไร?  เราไม่รู้เลย  เราก็ได้แต่มองกัน แล้วก็บอกว่า …

            “ผมหรือฉันเชื่อมา 2 ปีแล้ว”

            “แล้วก่อนหน้า 2 ปีล่ะ”

            “ก็ยังไม่เชื่อตอนนั้น”

            “แล้วดูในกระจก ตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?”

            “ไม่มี นอกจากแก่ลงนิดหน่อย  หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจึงมาเรียนรู้ดูว่าในถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ ถ้าเรารู้ว่าหลังเชื่อเป็นอย่างไร? เราก็อยากรู้ว่าก่อนเชื่อเป็นอย่างไร?  นี่ชัด  แต่ถ้าจะชัดกว่านี้ ก็คือรู้ทั้งสองฝั่งเลย ก่อนเชื่อ ฉันเป็นอย่างนี้  หลังเชื่อฉันเป็นอย่างนี้  ขอบคุณพระเจ้า มันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น

            “วิญญาณของฉันอยู่ที่ไหนก่อนเชื่อและหลังเชื่อ”

            เรื่องเกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการอภัยโทษบาปผิดของมวลมนุษย์เท่านั้น ซึ่งการอภัยให้กับมนุษย์ที่พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปให้กับเรา  ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม นั่นก็ขอบคุณมากแล้ว  นั่นก็เป็นอัศจรรย์ใหญ่ เป็นพระคุณยิ่งใหญ่แล้ว  แต่เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เรื่องเกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ตรงนั้นเป็นแค่น้ำจิ้มเฉยๆ  การอภัยบาปผิดของมนุษย์ เป็นแค่น้ำจิ้ม  แต่เนื้อแท้ๆ จริงๆ คืออัศจรรย์อันยิ่งใหญ่  หมายถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิต คือในตัวตน วิญญาณจริงๆ ของคริสเตียน หรือของมนุษย์ คนหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเขา ตัวนี้ ที่เรากำลังจะเรียนรู้ สำคัญมาก แล้วก็เนื้อๆ ของข่าวประเสริฐเลยว่าพระเจ้าทำอัศจรรย์อะไร?  นอกจากอภัยในความบาปผิดของเราเรียบร้อยแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเรา มันทันที ไม่ต้องไปรอว่าเดี๋ยวตายไปก่อน แล้วค่อยไปรับตรงโน้นตรงนี้  มันเกิดขึ้นทันทีเลย  ซึ่งตาเรามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้  แต่มันเป็นอยู่จริง เพราะพระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้น ในข้อพระคัมภีร์

            มันตรัสไว้ในข้อพระคัมภีร์เดียวกันกับเรื่องของการอภัยโทษ ในความบาป  และการได้รับเกียรติจากพระเจ้า นับเราเป็นผู้ชอบธรรม  อยู่ในเรื่องเดียวกันหมด  แต่ไม่ค่อยมีใครมาสนใจมากนัก ไม่ค่อยมีใครมาเรียนรู้ตรงนี้ มากนัก  เพราะว่ามันมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เลยไปสนใจสิ่งที่มองเห็นมากกว่าว่าชีวิตจะกิน จะอยู่ จะร่ำรวยได้อย่างไร?  จะแข็งแรงได้อย่างไร? จะเกิดอัศจรรย์บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?  จะประสบความสำเร็จในการงานที่กระทำได้อย่างไร?  ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร? คิดแต่เรื่องพวกนี้มากกว่า เพราะว่ามันสัมผัสได้ มันมองเห็น แต่เรื่องที่เรากำลังจะเรียนรู้ ในเรื่องโลกวิญญาณ  สำคัญกว่า คืออะไรที่เป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นในวิญญาณของคริสเตียน  เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ และที่อยู่อาศัยในวิญญาณของเขา  มีการที่เรียกกันว่าบังเกิดใหม่ รู้สึกไหมว่าบังเกิดใหม่ ไม่รู้สึก เห็นไหม? ไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกว่าบังเกิดใหม่

            ซึ่งพระคัมภีร์บอกการบังเกิดใหม่นี้  การเปลี่ยนแปลงในเรื่องโลกวิญญาณ เป็นอัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่เนรมิตสร้างขึ้นใหม่ในวิญญาณของคนๆ นั้น  ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มีอัศจรรย์ พระเจ้าเนรมิตอะไรบางอย่างขึ้นมาในวิญญาณของเขา เปรี้ยง ใช้คำเนรมิตเดียวกันกับสร้างโลกใบนี้ เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนเริ่มต้น  เนรมิตสร้างขึ้นมาเลย อัศจรรย์ยิ่งใหญ่เลย  แล้วพระเจ้าก็บอกเราว่ามนุษย์ประกอบไปด้วยตัวตนที่แท้จริง ก็คือวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณ  ต้องย้ำเยอะๆ เลย มนุษย์เป็นวิญญาณ  เราเป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย

            “ฉันเป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย”

            แต่ในโลกใบนี้ เขาเรียนรู้อะไรกัน ในโลกใบนี้เขาสนใจอะไรกัน มนุษย์เป็นร่างกาย  มีสติปัญญาแบบมนุษย์  ซึ่งเลิศกว่า ฉลาดกว่าสัตว์ และต้นไม้ใบหญ้าเยอะเลย ถูกไหม?  วิญญาณมีหรือไม่มี ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ  ไม่พูดถึง นี่มันตรงกันข้ามกันเลย  พระเจ้าบอกกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลาย เกิดจากครรภ์มารดา ก็เป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก  มีร่างกาย เป็นวิญญาณ  วิญญาณนั้นมีใจ ใจ ก็คือมีความคิดจิตใจ  ที่ติดอยู่กับวิญญาณ  เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้น

            นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเราจะได้รู้ว่าก่อนเชื่อเราอยู่ที่ไหน? เราจะเรียนรู้ได้อย่างไร? เรียนรู้ได้ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราถูกสร้างมาเป็นอย่างไรก่อน  เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องนี้  เรามองแบบชาวโลกเขามอง  มองแบบมนุษย์มอง ร่างกาย สติปัญญา  หรือความคิด  หรือจิตใต้สำนึก แล้ววิญญาณมองไม่เห็น  ไม่พูดถึง เราก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตเราจริงๆ  เมื่อตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  บังเกิดใหม่แล้ว  ที่เรามองอยู่ ร่างกายก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ นี่ไง ความจริงจึงทำให้เราเป็นอิสระได้ ก็เพราะว่าเราต้องรู้ความจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?

            พระเจ้าบอกความจริงว่าในร่างกายเกิดมาปุ๊บ มี 3 ส่วนนี่แหละ  วิญญาณอยู่ที่ไหน ก่อนเชื่อ  หรือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ วิญญาณอยู่ที่ไหน? ไม่เห็น  แต่ร่างกายอยู่ที่ไหน? เห็นไหม? ร่างกายเราตอนนี้อยู่ที่ไหน?  เห็นชัดๆ ก็คืออยู่ที่คริสตจักรอภิสุทธิสถาน แพรกษา สมุทรปราการ ประเทศไทย  ถูกไหม? ไม่ได้อยู่ที่อเมริกา ใช่ไหม? คนที่อยู่อเมริกา เขาก็อยู่อเมริกา คนอยู่เชียงใหม่ เขาก็อยู่เชียงใหม่ เขาไม่ได้อยู่ที่เดียวกับเรา แต่ในขณะที่เราอยู่ที่ประเทศไทย  อยู่ที่กรุงเทพ อยู่ที่สมุทรปราการ วิญญาณเราอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บอกวิญญาณอยู่ที่ไหน? วิญญาณก็อยู่ในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น

            และจะบอกให้ว่าโลกวิญญาณ คืออะไร? โลกวิญญาณ คือโลกจริงๆ มีอยู่จริงๆ เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจริงๆ จริงมากกว่าโลกวัตถุที่เรามองเห็น  จริงมากกว่าประเทศไทย จริงมากว่าแพรกษา  จริงมากกว่าอเมริกา จริงมากกว่าเชียงใหม่ จริงๆ เลย โลกวิญญาณมีจริงๆ  และที่บอกจริงๆ คือเพราะมันอยู่ตลอดไป  ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่านิรันดร์  มันอยู่นิรันดร์ ตรงนี้สำคัญมากๆ เลย  และอยู่นิรันดร์ตลอดไปด้วย  แต่โลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ประเทศไทยมันไม่ได้อยู่นิรันดร์ ทั้งโลกนี้ ไม่ได้อยู่นิรันดร์ ทั้งโลกนี้ กำลังเดินทางไปสู่ความดับสูญไป สิ้นไป จบไป มันต่างกันเยอะ  จึงเรียกว่าทางโลกกับทางวิญญาณ

            พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้เสมอ  พูดมาตลอดเลย 2 ทาง ก็คือ 2 อาณาจักร อาณาจักรทางโลกวัตถุที่มองเห็น อยู่ชั่วคราว  และอาณาจักรของโลกวิญญาณ  ที่อยู่นิรันดร์  และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือความจริง ที่ว่าในโลกวิญญาณนั้น มีความจริงอยู่อย่างเดียว ก็คือพระเจ้า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือปกครองใหญ่ที่สุด  อยู่มาก่อนใครเลย คือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ที่มีพระบุตรว่าพระเยซูคริสต์ และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย  3 พระภาคนี้  เป็นเจ้าของ เป็นผู้เริ่มต้น อยู่ตั้งแต่ไหน? แต่ไร ตั้งแต่ก่อนนั้น ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรคสถานของพระเจ้า  พระคัมภีร์จึงเรียกพระเจ้า พระนามของพระองค์ไม่มีชื่อ เพราะมีชื่อไม่ได้  ใครจะไปตั้งชื่อพระองค์ได้ ในเมื่อพระองค์ เป็นผู้เริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจะให้มาตั้งชื่อพระองค์หรือ?  ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ เหมือนกับเราเลี้ยงแมวเยอะแยะเลย เสร็จแล้ว แมวมาตั้งชื่อเรา  ไม่ใช่ เราตั้งชื่อแมว พระเจ้าตั้งชื่อเรา  แต่เราจะไปตั้งชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ พูดถึงพระเจ้า จึงใช้บุคลิกลักษณะของพระเจ้า แทนชื่อบ่งบอก

            ยกตัวอย่างเช่น  พระเยโฮวาห์ แปลว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้  พระองค์เดียวที่มาก่อนใคร  เยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าพระเยโฮวาห์ยีเรห์ ก็คือพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมจัดหาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระเจ้า 3 พระภาค เราไม่มีวันเข้าใจ แต่คือบุคลิกลักษณะของพระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงตรัส และประกาศเป็นประจำสม่ำเสมอ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่าถึงพระคัมภีร์ใหม่ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

            นั่นแสดงว่าสร้างทั้งโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ  โลกที่มองไม่เห็น  พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมดเลย เอาง่ายๆ คือเหล่าทูตสวรรค์ที่เราพอจะรู้ว่ามีอยู่ในโลกวิญญาณ พระองค์ก็เป็นผู้สร้างทั้งสิ้น และสร้างมนุษย์ ประกอบ 2 อย่างเลย คือทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย ทางวัตถุ  พอมองเห็นไหม? เราต้องศึกษาอย่างนี้  ถึงจะเห็นชัดเจน และศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันไม่มีอำนาจอะไรเลย  เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แล้วมันอยู่ที่ไหน?  อยู่ในโลกวิญญาณ ที่สวรรค์ ที่ไม่มีพระเจ้าอาศัยอยู่ด้วย  พินาศในนรก คือความตาย ความทุกข์  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ว่าถูกขับไล่ออกไปนอกสวรรค์ จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น  แต่ทำอย่างไร? มนุษย์ถึงจะเข้าใจได้ว่าถ้าปฏิเสธพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ เมื่อละเมิดกฎของสวรรค์ ก็ต้องอยู่นอกสวรรค์สิ  มันง่ายนิดเดียว  ถ้าละเมิดกฎหมายประเทศไทย  ท่านก็ต้องอยู่ในคุก  ก็คือเหมือนอยู่ในประเทศไทย

            ยกตัวอย่าง คุกสมัยก่อนเขาจะใช้เกาะร้าง เกาะที่ไม่มีคน  เขาเรียกว่าเนรเทศ ถูกเนรเทศออกจากประเทศอังกฤษ ก็ไปอยู่ในคุก  ในเกาะนี้  พอมองเห็นภาพ นรก ผลของความบาปที่ต่อต้านพระเจ้า กบฏต่อกฎของพระเจ้าที่วางไว้ ก็คือเขาจะถูกขับออกไป เนรเทศออกไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ที่ไม่มีพระเจ้าปกครอง ปกป้อง คุ้มครอง ไม่มีพระเจ้า ก็คือไม่มี บุคลิกของพระเจ้า ไม่มีความสุข ไม่มีสันติสุข ไม่มีความรัก  ไม่มีความเมตตา ไม่มีชีวิต  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรเลย แต่ที่มันยาก เพราะเราถูกปิดบังตามาตั้งนาน  ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ปิดบังตาในเรื่องโลกวิญญาณมาตลอด  ไม่พอดี จนงงไปหมด

            และผู้ที่ปิดบังตาเรา ก็คือมาร  มารมีหน้าที่ทำอะไร? ขโมย ฆ่าและทำลาย ขโมยด้วยวิธีอะไร?  ด้วยวิธีหลอก ไม่ให้เรารู้ความจริง หลอกเราไปเรื่อยๆ  หลอกว่าในโลกวิญญาณ ไม่มี ถ้าเราไปรู้เข้าว่ามีโลกวิญญาณ  มันก็บอกว่ามีโลกวิญญาณ แต่ไม่ใช่พระเจ้าใหญ่ผู้เดียว ฉันก็ใหญ่เหมือนกัน  ป้องกัน ให้รู้ว่าไม่มีสวรรค์ พอเราไปรู้ว่ามีสวรรค์ มันก็บอกว่าสวรรค์มีจริง แต่มีหลายขั้น มีสวรรค์ชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น 6 พอมองออกไหม? คือมันมีหน้าที่ ที่จะปิดบังความจริงที่สุด เท่าที่ทำได้ ไม่ให้คนรู้ว่าจริงๆ มันมีแค่นี้  หลอกให้เราบอกว่านรกก็มี 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น ทำผิดแค่นี้เป็นนรกชั้นที่ 1 นรก  มีที่เดียว สวรรค์ก็มีที่เดียว

            เพราะฉะนั้น นรก คือสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  พระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบนโลกใบนี้  เพื่อใครที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ แค่นั้นเอง ไม่พินาศ แปลว่าไม่ต้องไปอยู่ในคุกทางวิญญาณ ไม่ต้องไปอยู่ในเกาะๆ หนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าทุกข์หนักเลย มันไม่มีพระเจ้าอยู่เลย  จะอยู่กันอย่างไร? รวมความในพระคัมภีร์บอกว่าทุกข์สาหัส ทุกข์ไม่มีวันจบ  เพราะมันเป็นนิรันดร์ ถูกไหม? มันใช่ทุกข์บนโลกใบนี้ ซึ่งโลกกำลังจะจบสิ้น ร่างกายเราจะดับสูญ แต่ในนรก มันเป็นวิญญาณนิรันดร์ มันอยู่นิรันดร์ มันจะอยู่ในคุกนั้นนิรันดร์เลย  ไม่กลัวหรือ?  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นว่าไม่กลัวหรือ?  ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างมาก พระเยซูมาเตือนแล้วเตือนอีก อัครสาวกที่ประกาศ  เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าตัดสินใจซะ  ก่อนที่จะสายเกินไป มันอันตรายมากเลย ชีวิตนิรันดร์มันเทียบกันกับชีวิตชั่วคราวบนโลกใบนี้  แค่ไม่กี่ปี มันเสี่ยงมากเลยที่เราจะปล่อยวันคืนลอยไปเรื่อยๆ  แล้วไม่ตัดสินใจ ที่จะเตรียมที่ไว้ สำหรับที่อยู่ของเราในสวรรค์ พระเยซูบอกอย่างนั้น

            พระเยซูบอกขนาดคนบาป  คนที่ทำอะไรไม่ดีไว้  บนโลกใบนี้  เขายังมีสติปัญญา รู้ว่าถ้าเผื่อเขาโดนโทษทัณฑ์มา เขาจำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือบ้าง? เขายังรู้จักกระทำดี คือเตรียมแผนการไว้ สำหรับอนาคต  แต่ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่าตายไป ต้องเข้าสู่การพิพากษา ในใจท่านลึกๆ รู้อยู่แล้วว่าโลกหน้ามีจริง  แล้วท่านจะยังไม่เตรียมตัวอีกหรือ?  ท่านเป็นคนของสวรรค์อย่างไร?  จึงไม่เตรียมตัวตรงนั้น  พระเยซูจึงบอกว่าเราจึงต้องบังเกิดใหม่ไง เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้กฎตรงนี้ ซึ่งเรามองไม่เห็น เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต กฎความบาปและความตาย กฎเหล่านี้เรามองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง

            พระเยซูจึงบอกว่าเราต้องบังเกิดใหม่ เมื่อเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่  พอเกิดจากครรภ์มารดา เราก็อยู่ในบาปแล้ว วิญญาณเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว  วิญญาณเขาก็อยู่ในนรกแล้ว  ถ้าเรารู้ความจริงเมื่อสักครู่นี้ว่าวิญญาณเราเกิดมาอยู่ในอาดัม DNA ของเรา  อยู่ในบาปแล้ว ก็คืออยู่ในนรก  เราก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  พระเยซูมา เพื่อช่วยเราพ้นจากคุกนี้ โดยที่เราต้องเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราด้วย ยอห์น 3:18 บอกว่าเราถูกพิพากษาอยู่แล้ว  พระองค์มาเพื่อช่วย  ใครก็ตามที่รับความช่วยเหลือ ก็ได้รับความรอดไป  ก็ไปอยู่ในสวรรค์ ใครไม่รับความช่วยเหลือนี้ เขาก็อยู่ในการถูกพิพากษาอยู่ที่เดิม ก็คือเป็นนักโทษ ต้องอยู่ในคุก ก็คือคุกทางโลกวิญญาณ ก็คือนรก เรียกว่าพินาศในนรกนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าปัญหาของมนุษย์ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่แค่วัตถุสิ่งของที่มองเห็นได้แค่นั้น แค่กิน แค่อยู่ลำบากลำบนเท่านั้น แต่ปัญหาของมนุษย์ คือสถานะวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?  และที่อยู่อาศัยทางวิญญาณนั้น เขาอยู่ไหน? อยู่สถานที่ไหน?  ที่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าพินาศในนรก ปัญหาของมนุษย์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ

            “ปัญหาใหญ่ของมนุษย์  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ ความประพฤติ”

            นี่คือความจริง  เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่ามารพยายามปิดบังความจริงเรื่องนี้  ทำตรงกันข้าม ก็คือให้มนุษย์บอกว่าคนเราต้องมีสติปัญญา ต้องมีคุณธรรม ต้องมีอะไรต่างๆ มันก็เน้นเรื่องอะไร? ถ้าเผื่อเราเน้นว่าปัญหาของมนุษย์ ทั้งวิญญาณ ทั้งชีวิตของเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติ การกระทำ ถ้าเขารู้อย่างนี้ เขาก็จะแสวงหาเจอว่ามันอยู่ที่ไหน? เพราะฉะนั้น ความจริงเรื่องนี้ถูกปิดบังไว้  มารก็จะทำให้มนุษย์พุ่งไปที่การกระทำ ความประพฤติหมดเลย  แล้วก็บอกว่าดีเลิศ ยอดเยี่ยม สอนอย่างนี้ คนจะได้เป็นคนดี สอนอย่างนี้ คนจะได้ประพฤติดี ลืมเรื่องโลกวิญญาณไปหมดเลย ความประพฤติดี ศีลธรรมดี ศาสนาดี มันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ พระเยซูบอกสิ่งเหล่านี้มันจำเป็นนะ  สิ่งเหล่านี้มันดี  แต่มันไม่ได้ดีที่สุด  มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งที่สำคัญที่สุด คือท่านต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และแผ่นดินของพระองค์เสียก่อน  ท่านต้องรู้ตรงนั้นเสียก่อน  รู้ตรงนั้น แล้วตรงนี้จะได้ไปด้วย เอเมนไหม?

            ซึ่งข่าวดี ก็คือมนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่ไหน?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาร มารมีหน้าที่คอยรั้งเราไว้ ปิดบังความจริง  ข่าวดี คือมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้  ตัดสินใจทันที เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา เขาก็ได้ทันที เพราะพระเยซูทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

            เรามาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา (หมายถึงของคริสเตียน) ว่าคริสเตียนมีสถานะทางวิญญาณอาศัยอยู่ในที่ใด ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ  จากข้อพระคัมภีร์นะ  คัดข้อพระคัมภีร์มาให้เราวิเคราะห์กัน  จะได้เห็นภาพ ต่อจากนี้ไป เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ข้อใด ท่านจะได้สังเกตดูว่าพระคัมภีร์ข้อนั้น ได้บอกถึงสถานะและที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเราไว้ตรงไหน? อย่างไร?  นี่ตัวอย่างเท่านั้นนะ  ในโรม 8:9 …

        โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน ด้วยการบังเกิดใหม่ เกิดใหม่ทางวิญญาณ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อปุ๊บ  ท่านได้เกิดใหม่  ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่นะ แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ  ก็แสดงว่าก่อนเชื่อ อยู่ในบาป  ในเนื้อหนัง ถูกไหม? หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ  เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ก่อนเชื่ออยู่ในประเทศไทย หลังเชื่อ ก็อยู่ในอเมริกา เป็นไปได้ ก่อนเชื่อ อยู่ในประเทศไทย หลังเชื่ออยู่ในประเทศไทยเหมือนเดิม เป็นไปได้ ถูกไหม?  แต่ทางวิญญาณ ก่อนเชื่อไม่มีทางอื่น ก่อนเชื่อมีทางเดียว อยู่ที่เดียว ก็คืออยู่ในบาป  เพราะทุกคนเกิดมาอยู่ในบาป  อยู่ในเนื้อหนัง แล้วหลังเชื่อล่ะ หลังเชื่อบังเกิดใหม่ ได้ย้ายที่อยู่ในโลกวิญญาณ มาอยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า

            ไปช้าๆ ท่านจะได้เห็นว่ามีการย้ายเกิดขึ้น ตอนที่ท่านเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อ 2 วันที่แล้ว เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อ 20 ปีที่แล้ว  เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านบอกว่าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว มันได้เกิดการย้ายขึ้น วิญญาณได้ถูกย้าย

            เรามาดูสิว่าก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในบาป เนื้อหนังคืออะไร?  มารก็พยายามปิดบังความจริง ทำให้เขาไขว้เขว เรื่องของคำว่าเนื้อหนัง หมายถึงอะไร? ผมจะพยายามเอาความจริงนี้มา ตีแผ่ให้ละเอียด หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเนื้อหนัง คือตัวเรา เนื้อหนัง คือความชั่วที่อยู่ในตัวเรา  เนื้อหนัง คือนิสัยชั่วของเรา

            เนื้อหนัง ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของตัวเรานะ  ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใดของวิญญาณหรือจิตใจ หรือร่างกายของเราเลย  ร่างกายเราประกอบด้วย วิญญาณ จิตใจ และร่างกาย … เนื้อหนังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ไม่ได้อยู่ในร่างกายเรา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับร่างกายของเรา  แต่มันเหมือนกาฝาก  ปรสิต เหมือนพยาธิ ที่แอบซ่อนอยู่ เป็นพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด เป็นอำนาจหนึ่ง เป็นพลังงานหนึ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิญญาณ จิตใจและร่างกายของเรา ตั้งแต่ก่อนเชื่อแล้ว

            ซึ่งความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณ คำว่า “เนื้อหนัง” หรือภาษากรีกใช้คำว่า “ซาร์ซ” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Flesh” ซึ่งแปลว่าเนื้อหนัง หมายถึงอะไรในพระคัมภีร์บอก เอาให้ชัดๆ เลยนะ 

            คำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh”  หรือ “ซาร์ซ” ในพระคัมภีร์มี 2 ความหมาย  ความหมายหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุอย่างเดียว  ความหมายหนึ่งเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะฉะนั้น มีคำว่าเนื้อหนังในโลกวัตถุและเนื้อหนังในฝ่ายวิญญาณ

            อันดับแรก ก็คือความหมายของคำว่า “เนื้อหนัง” ในโลกวัตถุ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Flesh” หมายถึง “Body” หมายถึงร่างกาย เรือนดินที่ต้องตาย  ที่เรามองเห็นอยู่นี้เรียกว่า Body ในพระคัมภีร์บางตอนจะเขียนคำนี้เลยว่าเป็นเนื้อหนัง

            ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาบังเกิดในเนื้อหนัง ใน Flesh ในเนื้อหนัง แปลว่าในร่างกาย ในครรภ์ของแมรี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ  เฉพาะข้อความนี้นะ  ที่บอกว่าพระเยซูมาเกิดในเนื้อหนัง

            มนุษย์เป็นเนื้อหนัง ก็คือเป็นร่างกายเรือนดิน พระเยซูจึงเข้าเป็นส่วนร่วมกับมนุษย์ โดยการมาเกิดเป็นเนื้อหนัง  เกิดเป็น body เกิดเป็นร่างกาย เหมือนเรา

            แล้วความหมายที่ 2 ของคำว่า “เนื้อหนัง” คืออะไร? อันนี้ยากแล้ว เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  เมื่อเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เรามองไม่เห็น  มันก็อธิบายเป็นคำพูดลำบากนิดหนึ่ง  ก็ยากแล้ว แต่ว่าไม่ยากเกินกว่าที่พระวิญญาณจะค่อยๆ สอนท่านให้เริ่มเข้าใจขึ้น  จากความจริงเริ่มต้นในวันนี้ ความหมายที่ 2 หมายถึงหลักการพื้นฐานของระบบที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า เรียกว่า “Antichrist” ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืด  ซึ่งมีอิทธิพลผลักดันให้มนุษย์ตามมัน ท่านพอจะเห็นภาพหรือยัง?

            ถ้าท่านไม่เห็นภาพ ผมยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา ท่านจะเห็นชัดเลย มันมองไม่เห็น แต่มันมีพลังอำนาจ อิทธิพลอยู่จริงๆ ที่จะผลักดันให้เราทำอย่างนั้น  มันไม่ใช่ตัวของมนุษย์เลย  ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณ ร่างกาย ความคิดจิตใจของเราเลย แต่มันมีพลังอำนาจ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ถ้าพูดอย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดแล้วนะ แรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่มีอยู่ไหม? มีอยู่ ปกคลุมอยู่เหนือทั้งโลกไหม? ทั้งโลกเลย ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน? ก็มีแรงดึงดูดของโลก ยกเว้นท่านออกไปนอกโลก ไม่มีแรงดึงดูดแล้ว  ในทำนองเดียวกัน เจ้าเนื้อหนังตัวนี้  ที่แปลว่าอิทธิพล พลังงานของความบาปและความตาย  ซึ่งคือเนื้อหนังตัวนี้ มีพลัง แรงดึงดูดแบบแรงดึงดูดของโลกที่มองไม่เห็น คล้ายๆ กันอย่างนั้น  ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ค่อยผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์  ทำสิ่งที่ชั่วร้าย  สถานที่ไม่มีพระเจ้าเขาทำกัน  คือไม่มีความดีงามของพระเจ้าอยู่ ก็คือชักจูง ผลักดันให้มนุษย์ ฆ่ากันเอง ทำลายกันเอง และทำลายที่อยู่อาศัยของตนเอง คือโลกใบนี้ที่พระเจ้าสร้างมาอย่างดีนั่นเอง

            โลกใบนี้มันจึงวุ่นวาย สับสน มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก  เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน  เพราะว่ามีตัวกลางอยู่ ตัวกลางนี้ ก็คือมาร ซึ่งใช้กฎแห่งเนื้อหนัง ก็คือใช้อิทธิพลของความบาปและความตายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มาเป็นตัวหลอกล่อ ให้มนุษย์ทำ ใช่ไหม?  แรงนี้มันยังอยู่ มันอยู่ตลอดเวลาเลย  มันเหมือนอิทธิพลของแรงดึงดูดของโลก ที่ตะกี้นี้ผมบอก  จะหมดจากตัวนี้ไปได้ จะต้องหลุดออกจากอาณาจักรของมัน  ไม่อยากจะบอกว่าอาณาจักร หลุดจากวรจรแรงดึงดูดของโลก ก็คือหลุดจากกำลัง รัศมีของแรงดึงดูดของโลก มันดูดไปถึงชั้นบรรยากาศ เลยชั้นบรรยากาศไป ก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลก  เช่นเดียวกัน ถ้าเรายังอยู่ในโลกวิญญาณที่ไม่มีพระเยซูคริสต์ เราก็ยังถูกพลังตัวนี้ ดูด พลังของความบาป  ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันพยายามผลักดันเรา มีอำนาจอยู่เหนือเราตลอด จนกว่าเราจะย้ายออกมาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เราจึงจะหลุดออกจากมันได้  ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าโลกใบนี้ทั้งใบ มันจึงเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ เพราะไม่ใช่มนุษย์เลย มนุษย์ไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรมันอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือเนื้อหนัง

            ตะกี้เราอ่าน ก่อนเชื่อ วิญญาณของเราอาศัยอยู่ในอิทธิพลของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง เห็นไหม? ก่อนเชื่อวิญญาณของเราอยู่ใต้พลังอำนาจ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็คือกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ใจจดจ่อที่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายเดินตามอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเป๊ะ ไม่มีวันที่จะหลุดจากมันเลย

            หลังเชื่อ คือวิญญาณอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใจจดจ่อที่พระวิญญาณของพระเจ้า  ร่างกายดำเนินตามพระวิญญาณ หรือบางครั้ง อาจถูกหลอกล่อให้ทำตามอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังบ้าง

            อยู่ในกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คืออยู่ในขอบเขต ดินแดนที่อิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังยังอยู่ได้ ก็คือบนโลกใบนี้เท่านั้น ในโลกวิญญาณ มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  เหมือนขอบเขตดินแดนของแรงดึงดูดของโลก มีขอบเขตของมันอยู่ ซึ่งพลังอำนาจนี้ มันจะทำให้เราต่อสู้กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า และมันมีพลัง มีอิทธิพลต่อทุกๆ ชีวิตที่ดำเนินบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น รวมทั้งคริสเตียนด้วย  เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพลังอำนาจหนึ่ง มันเป็นอิทธิพลหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มีผลต่อชีวิตของเรา

            ผมจึงใช้คำว่า “มัน” จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวเรานะ  เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดชั่ว กระทำชั่ว มันมาจากตัวเราไหม? มันไม่มาจากตัวเรา  พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เราต่อต้านมัน  อย่ายอมมัน  แล้วถ้าเผลอยอมมันล่ะ  พระเจ้าอภัยให้ใช่  เราก็ได้รับผลอย่างนั้น  แต่ถามว่าถึงเราจะยอมมันหรือไม่ยอมมันก็ตาม สรุปแล้วว่าใครเป็นตัวตั้งตัวตี มัน ไม่ใช่ใจเราต้องการทำ  แต่มันชักจูง ซึ่งตรงนี้ยากมากเลย  อย่างที่บอกว่ามารปิดบังตา ปิดบังความจริง จนกระทั่งความจริงหายไปกว่าเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ มันยากเหลือเกิน อะไรตัวเองเป็นคนทำไม่ดี แล้วบอกว่าไม่ได้ทำ เป็นมารใช้อิทธิพลของความบาปของเนื้อหนังมากระตุ้นให้เราทำ จริงๆ ใจเราไม่อยากทำ แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นจริงๆ

            ทั้งโลกตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเนื้อหนัง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเรียกว่าระบบของโลกที่ปกคลุมไปด้วยกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  กฎแห่งกรรม  ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ในกฎนี้  โลกนี้ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  แล้วมันจะดีได้อย่างไร?  เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาให้ทำความดี จากพระเจ้าที่อยู่ในวิญญาณของเขา  แล้วพระเจ้าไม่อยู่แล้ว ในนรก ไม่มีความดีเลย สักนิดหนึ่ง

            กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ พึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพระเจ้า ไม่มีพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นความดีงาม  เราก็ต่อต้านความดีงาม แสดงว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำทั้งหมด แม้ว่าตาเรา มนุษย์มองเห็นว่าดี มันก็มาจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะมันไม่มีพระเจ้าอยู่ ยากมากนะ อธิบายลำบากนะ  พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว  ต่อให้ต้นไม้ดี แล้วให้ผลเลว เป็นไปไม่ได้เลย  ก็แสดงว่าถ้ามีพระเจ้าอยู่ ทำอะไรดูเหมือนไม่ดี มันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่มาจากต้นไม้ต้นนี้  มาจากข้างนอก ต้นไม้เลว คือข้างในไม่มีพระเจ้า ต่อให้ทำข้างนอก ดูเหมือนดี ใครๆ ก็มองดูว่าดี แต่ของจริง คือมันดูไม่ดีหรอก มันของปลอม

            อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่าง 2 คน คนหนึ่งถวาย 10 ล้าน อีกคนหนึ่งถวายแสนหนึ่ง คนถวาย 10 ล้านดูดี ตามสายตามนุษย์ แต่อาจจะถวายไปเพื่อที่จะได้เป็นกรรมการ ถวายไปเพื่อจะรักษาผลประโยชน์ อะไรบางอย่าง ถวายไปเพื่อจะมีตำแหน่ง นึกภาพออกไหม?  อีกคนหนึ่งให้แสนเดียวเอง  เพราะไม่ได้คิดอะไรเลย  คิดแต่ว่าอยากร่วมด้วย  มีจิตใจที่อธิษฐานมาแล้ว  พร้อมให้ด้วยใจ  ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลย เห็นไหม? นี่แหละ คือต้นไม้ดี ต้นไม้เลว  ซึ่งกฎเหล่านี้  ที่ล่อลวงมนุษย์ อิทธิพลนี้ ให้มองดูภายนอกแทนที่จะดูจากข้างใน เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย  กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง ซึ่งกฎนี้ควบคุมโดยมาร มารเอามาใช้ ผ่านทางการล่อลวง  หลอกลวงมนุษย์ให้เชื่อฟังและทำตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนังนี้

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังชัดเจนเลยนะ มันจะคอยกระตุ้น ส่งเสียง ข่มขู่คำราม แล้วแต่สถานการณ์นะ บังคับชักจูงให้มนุษย์ยอมเชื่อฟัง และเมื่อยอมเชื่อฟังปุ๊บ มนุษย์ก็ยอมมอบอวัยวะในร่างกายให้ และทำตามมัน คือทำการต่อต้านพระเจ้า  ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าทำชั่ว แทนที่จะทำดี  ตามความต้องการของพระเจ้านั่นเอง  นี่คือความเป็นจริง ไม่ใช่การตัดสินจากทางของมนุษย์ภายนอกมองเห็นการกระทำ อย่างนี้ดี มันอาจจะไม่ดีนะข้างใน มันอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว จงทำทุกสิ่งจากใจของท่าน  ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนดูภายนอก แล้วดูดีหรือไม่ดีอะไรต่างๆ ไม่ใช่  ทำจากใจของท่าน ให้ใจเป็นตัวสั่ง อย่างนี้เป็นต้น

            คำว่า “เนื้อหนัง” พระคัมภีร์มักจะใช้คำเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือความอยาก ความต้องการที่จะทำตามการชักจูงของมาร อิทธิพลของความบาป  ที่ต้องการพึ่งพาตัวเอง ตัวเองเป็นใหญ่แทนที่จะให้พระเจ้าเป็นใหญ่  แทนที่จะทำตามพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง หรือบางครั้ง ก็ใช้คำว่าทางโลก ฝ่ายโลก หรือของโลก พระคัมภีร์จะใช้คำเหล่านี้ เห็นชัดเจนว่าถ้าเป็นของโลก จับต้องมองเห็นได้ เป็นอิทธิพลของเนื้อหนัง

            อย่างเช่น โคโลสี 3:1-2 ได้บอกว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ ได้ย้ายมาอยู่ในพระเจ้า ได้ย้ายมาอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า อยู่ในพระวิญญาณแล้ว  ได้เชื่อแล้ว  ก็ให้ใจเราจดจ่อ ใจเราจดจ่อที่ไหน? ดำเนินชีวิต จดจ่อที่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่เบื้องบน  ไม่ใช่จดจ่อที่ฝ่ายโลก เห็นไหมครับ  ก็คือให้ต่อต้าน ระมัดระวังการล่อลวงของมาร ผ่านทางระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่าเนื้อหนังนั่นเอง

            หรือในฟีลิปปี 3:20-21 ก็บอกอย่างนี้ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่าโลกนี้  มีแต่ความตาย การหลอกลวง ล่อลวง  เราไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว มาอยู่ในพระวิญญาณแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว  อยู่ในพระเจ้า “แล้ว” หมายถึงเปิดใจต้อนรับ แล้วอยู่ในสวรรค์ทันที เดินอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ให้จดจ่ออยู่ตรงวิญญาณนี้ว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นพลเมืองของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เป็นพลเมือง เป็นประชากรของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ชื่อฉันจดอยู่ในทะเบียน สำมะโนครัวของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ฉันเป็นคนของพระเจ้าแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  แต่ในทางโลกวัตถุ กำลังดำเนินอยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน อยู่ในประเทศไทย อยู่ในกรุงเทพ จดทะเบียนเป็นประชากรของคนไทย”

            นี่มันต่างกัน มัน 2 อย่าง ให้เราเน้นที่ไหน? เน้นที่ในโลกวิญญาณว่าเราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้าแล้ว ที่ต้องเน้นตรงนี้ เพราะว่ามันมองไม่เห็น มันอยู่ในโลกวิญญาณ และมันมีศัตรูที่คอยจะยุแยง หลอกล่อ หลอกลวงให้เราไปสนใจสิ่งที่มองเห็นบนโลกใบนี้ นั่นก็คือมาร ใช้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาปและความตาย ที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้อยู่ คำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เอามาใช้หลอกล่อหลอกลวงเรา  ให้เราทำตามมัน ทำตามโลกนี้ ซึ่งเป็นทุกข์ ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า  ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ไม่รู้ …

            “ฉันไม่สนใจทั้งสิ้น  พระคัมภีร์บอกว่าฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันเป็นพลเมืองของสวรรค์ ฉันเป็นประชากรของสวรรค์ ฉันอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”

            และถ้าใครก็ตามไม่ตัดสินใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่บังเกิดใหม่ ไม่ยอมย้ายมา ไม่ยอมเชื่อ ไม่มีคำว่าหลังเชื่อแล้ว  ก็ยังอยู่ก่อนเชื่อ ก่อนเชื่อก็ยังอยู่ในโลกใบนี้  อยู่ในคุก อยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  แล้วจะอยู่ไปตามวิญญาณ วิญญาณเป็นนิรันดร์ ก็ต้องอยู่นิรันดร์

            วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้า อยู่ในโลกสวรรค์กับพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ก็อยู่นิรันดร์เหมือนกัน  เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้  เพียงแต่รอคอยวันที่จะรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เพื่อให้เข้ากันกับวิญญาณและใจใหม่นั้น  ที่เข้าสวรรค์เรียบร้อยไปก่อนหน้านี้แล้ว วันหนึ่งฉันจะไปรับตรงนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้เมื่อไร? หลับเมื่อไร? สิ้นลมเมื่อไร?  ฉันก็รับร่างใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณใหม่ เหมือนพระเยซู เข้าครอบครองโลกใหม่  และสรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นมาใหม่  ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ และพี่น้องคริสเตียนทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เช่นเดียวกันนี้ ร่วมกันครอบครองนิรันดร์ เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์  ถ้าไม่บัพติศมาในน้ำ ยังจะได้รับความรอดอยู่มั๊ย?

            เราจัดงานฉลองวันเกิด  อวยพรวันเกิด แฮปปี้เบิร์ดเดย์ สุขสันต์วันเกิด เพื่อระลึกถึงวันที่เราได้เกิดมาลืมตามองดูโลกใบนี้ ระลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้เราได้กำเนิดมาเป็นลูก  และตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตกตัญญูรู้คุณ เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน เพื่อให้ท่านมีความสุขมากที่สุด จากความประพฤติของเรา

            บางท่านจัดพิธีฉลองใหญ่ บางท่านจัดเล็กน้อย บางท่านไม่จัดเลย ก็ไม่มีผลอะไรที่จะทำให้การได้กำเนิดเกิดเป็นคนของเขา สมบูรณ์มากขึ้น หรือแย่ลงใช่หรือไม่?

            กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณก็เช่นเดียวกัน

            พิธีลงน้ำบัพติศมา ก็คือการฉลองวันเกิดในฝ่ายวิญญาณ ที่ได้เกิดใหม่แล้ว ร่วมกันแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้เกิดใหม่นั้น เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ได้ให้กำเนิดเรา เป็นลูกของพระองค์

            บางท่านจัดฉลองใหญ่ บางท่านจัดเล็กน้อย บางท่านไม่จัดเลย ก็ไม่มีผลอะไรทำให้การได้กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าดีขึ้น หรือแย่ลงเลย

            มนุษย์กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะพระคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่เพราะฉลองวันเกิดของตนเองฉันใด วิญญาณมนุษย์กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า เพราะความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นพระคุณของพระเจ้าผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่เพราะการลงน้ำบัพติศมา

            เพราะฉะนั้น ลงน้ำบัพติศมา ก็ควรจะกระทำสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าไม่ยุ่งยากมากนัก  จะเป็นประโยชน์ในการร่วมกัน ฉลองแสดงความยินดีได้หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกันในพระคริสต์ แต่ควรตั้งอยู่บนรากฐานของความจริง ในถ้อยคำของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ