วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1454

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มกราคม  2024

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” ตอน 3

“ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

            วันนี้เราก็จะมาคุยกันอีกครั้งในเรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทางของเรา” ครั้งนี้อยู่ในหัวข้อ ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ “โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า” เรามาดูในยอห์น 16:33 …

        ยอห์น 16:33 (THSV11) “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

พอฟังพระวจนะตอนนี้ “เราชนะโลกแล้ว” เราก็จะเอาประโยคสุดท้ายเลย แต่มาดูตรงนี้ “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด” คำพูดนี้ เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์เอง ในยอห์น บทที่ 16 ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์เป็นผู้พูดเอง หมายความว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรายังคงเหมือนคนทั่วไป คนอื่นประสบความทุกข์ยากอย่างไร? เราประสบความทุกข์ยากอย่างนั้น คนอื่นต้องเผชิญหน้ากับสึนามิ กับภูเขาไฟระเบิด กับสังคมที่กำลังเสื่อมทรามลง เกิดเหตุการณ์ยากลำบากในเศรษฐกิจการงานในชีวิตประจำวันของเรา ทุกคนมี แล้วแต่เราสร้างฐานตัวเองมาแบบไหน? เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีใคนหนีพ้นเลย

            แต่ทำไมพระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นพวกที่ชนะโลกแล้วละ! เพราะว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ความเป็นจริงในชีวิตของเรา อยู่ในโลกวิญญาณ ความเป็นจริงของเราอยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือมิติมันซ้อนกัน วิญญาณก็อยู่ตรงนี้แหละ เพียงแต่เรายังไม่หลุดออกจากร่างนี้ ถ้าเราหลุดออกจากร่างนี้ ก็สัมผัสได้ พอเรายังอยู่ในร่างนี้ เราก็สัมผัสแตะต้องโลกวิญญาณไม่ได้ แต่โลกวิญญาณมีอยู่จริง ไม่ใช่จริงธรรมดา จริงมากๆ จริงกว่าโลกนี้อีก โลกนี้ยังมีการดับสูญ ร่างกายเรายังจะมีการตาย ดับสูญไป กลับกลายเป็นดิน แต่วิญญาณของเราจะดำรงอยู่นิรันดร์กาล ฉะนั้น พระองค์จึงต้องการให้จดจ่ออยู่กับโลกวิญญาณมากกว่าโลกใบนี้ ความจริง คือว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

เมื่อมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป เลือกที่จะเชื่อมาร สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือมนุษย์ได้มอบอำนาจที่เรามีนั้น ไว้ในมือของมาร ในพระวจนะของพระเจ้า ในปฐมกาล เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลกใบนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจในการปกครองโลกให้กับมนุษย์ทันที พระองค์บอกว่า …

“จงครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ”

            ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในโลกใบนี้ พระองค์ทรงมอบไว้ในมือของมนุษย์ นั่นหมายความว่ามนุษย์มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดในการทำทุกอย่างในโลกนี้ โลกนี้จะไปในทิศทางใด อยู่ที่การกระทำของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้พลาด โดยการตัดสินใจที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง มนุษย์ได้ล้มลงในความบาป โดยเลือกที่จะพึ่งพาตนเอง ในการที่จะปกครองโลกนี้ ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานสมองและสติปัญญาให้กับเราในการคิด กว่าจะมาถึงการล้มลงในความบาป น่าจะหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่ถูกนับเป็นอายุ เพราะว่าวันเวลายังเป็นนิรันดร์กาลอยู่ อายุของอาดัมและเอวาก็ยังเป็นนิรันดร์กาล ยังไม่มีการนับอายุ

            ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ยาวนานมาขนาดไหนแล้ว? ก่อนที่อาดัมและเอวาจะล้มลงในความบาป เมื่อเกิดการล้มลงในความบาป อาดัมและเอวาก็ยังเป็นหนุ่มสาวตลอด ช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น เราก็ไม่รู้ว่ายาวนานขนาดไหน? แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความปุ๊บ โลกนี้ได้เกิดการนับถอยหลัง เพราะโลกนี้ได้ดำเนินไปสู่ความตายแล้ว

            พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “อย่ากินผลไม้จากต้นนั้น เพราะเมื่อเจ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”
ในภาษาฮีบรู คำว่า “ตาย ตาย” คือการตายฝ่ายร่างกายและการตายฝ่ายวิญญาณ โลกนี้ที่อยู่ในมือของมนุษย์ ที่ตายแล้ว ก็ตายไปกับเราด้วย

เราจะเห็นว่าโลกใบนี้ถูกครอบงำ และถูกทำลาย เมื่อมนุษย์ตาย พฤติกรรมของเรา ก็เต็มไปด้วยความตาย พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเสียพระทัย เพราะเมื่อทอดพระเนตรลงมา พระคัมภีร์บอกว่าเค้าโครงความคิดของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วร้าย มนุษย์ตกอยู่ในการทำลายล้าง และทำลายซึ่งกันและกัน เข้าไปสู่การทำลายโลกนี้ วิวัฒนาการของโลกนี้ สูงส่ง สติปัญญาของมนุษย์ พระเจ้าให้มา พระองค์ไม่เอาคืน สติปัญญาของมนุษย์นั้นจะบอกว่าสุดยอดมากๆ เช่น หากเรานำคำหรือบทความหนึ่งมาขบคิด ทบทวน เมื่อคิดๆ มันก็จะถูกการสาน เสริมต่อ เหมือนหลักวิทยาศาสตร์ ที่เรารู้กัน ก็คือการผลิตออกมาลักษณะของ แผนที่ความคิด (Mind map) พระเจ้าสร้างคลื่นเสียง เมื่อมนุษย์รู้ว่ามีคลื่นเสียงในอากาศ ก็ขบคด คิดไปคิดมา ก็สามารถหยิบมาใส่โทรศัพท์ ให้เราสามารถพูดคุยกันได้ จากประเทศหนึ่งมาสู่ประเทศหนึ่ง ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้น จนกระทั่ง กลายมาเห็นหน้ากัน จากขั้วโลกนึ่ง มาสู่ขั้วโลกหนึ่ง สามารถที่จะพูดภาษาเดียวกันได้ เป็นไปตามพระวจนะที่บอกไว้ว่า ยุคสุดท้าย โลกนี้จะสามารถพูดเป็นภาษาเดียว เราสามารถสื่อสารกันได้ สมัยก่อนเราสื่อสารกันไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หอบาเบล มนุษย์ได้พูดหลายภาษา ดังนั้น มนุษย์ก็สื่อสารกันไม่ได้ ต่างคนก็ต่างจับกลุ่มกัน แล้วก็แยกย้าย เดินทางออกไป มนุษย์ก็กระจัดกระจาย จนเต็มแผ่นดินโลก ดังนั้น มนุษย์ก็จับกลุ่ม ใครพูดภาษาเดียวกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง ก็ไปด้วยกัน แยกย้ายกันไป จนกระทั่งเต็มแผ่นดินโลก
คิดดู มันเท่ากับการเอามนุษย์ที่ตายแล้ว กระจายไปในแผ่นดินโลก วิวัฒนาการจำเริญขึ้น แต่จิตใจของมนุษย์เสื่อมทรามลง ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกกับเรา พระเยซูคริสต์บอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมทรามลง ลูกก็จะไม่เคารพพ่อแม่แล้ว การกตัญญูก็จะไม่มีแล้ว การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็น้อย ถอยลงไปเรื่อยๆ มนุษย์เริ่มจะอยู่กับตัวเอง เห็นแก่ตัว แล้วก็ทำลายล้างกันมากยิ่งขึ้น แต่วิวัฒนาการก็โดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ?

            สมมติว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เก่งมาก มีสติปัญญา สามารถผลิตหลายสิ่งหลายอย่างที่คนในยุคเมื่อ 2 ปีที่แล้วทำไม่ได้ แต่ว่าในด้านจิตใจไม่ได้เกิดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือครอบครัว ก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ พอแต่งงาน มีลูก การเชื่อมกันในจิตใจ ก็ยิ่งจางลงไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จางลงไปเรื่อยๆ แต่วิวัฒนาการกลับสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ววิวัฒนาการนั้น ก็คือการทำลายล้างโลกนี้

ชีวิตของพวกเรา ในยุครุ่นของดิฉัน เทคโนโลยี่วิ่งเร็วมาก ดิฉันเห็นตั้งแต่โทรศัพท์ รุ่นยกใหญ่ แล้วหิ้วไป ค่าโทรแต่ละครั้งแพงมาก ติดต่อกับต่างประเทศ ก็จะเป็นหมื่น อันนี้ คือการมีส่วนตัวนะ และหลังจากนั้น ก็เริ่มเป็นรุ่นทรงกระติกน้ำ แล้วก็เลื่อนมาเป็นโทรศัพท์ตามตู้ ต่อแถวกันยาวเลย แล้วก็มาเป็นเพจเจอร์ แล้วมาเป็น PCT ต่อมาก็เป็นโมบาย รุ่นที่เราฮิตกัน โนเกียสมัยก่อน เป็นหมื่นกว่าบาท แพงมาก ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากโทรกับรับ ส่งข้อความ แล้วก็มาเป็นที่วัยรุ่นนักเรียนอินเตอร์เขาใช้กัน BlackBerry แล้วก็ข้ามมาเป็นโทรศัพท์ แบบที่เรามี แล้วก็เป็นสมาร์ทโฟน เป็นแท๊บเลต (แผ่นศิลา) เป็นไอแพด ทำงานได้ทุกที่ ทุกอย่างมารวมตัวอยู่ในเครื่องเดียวกัน ก็คือทั้งเพลง อัด พิมพ์งาน ส่งงาน ค้นหาคำศัพท์ได้หลายภาษา สมัยก่อนเราต้องใช้เครื่องอัดเสียงอันหนึ่ง โทรศัพท์อันหนึ่ง โน๊ตบุ๊คอันหนึ่ง หิ้วกันหนักมาก แต่ทุกวันนี้ อยู่ในเครื่องเดียวหมด
วิวัฒนาการสูงขึ้น แต่สภาวะของโลกนี้ ก็จะใจร้ายกันมากขึ้น ทำลายกันมากขึ้น โลกก็เสื่อมทรามกันมากขึ้น โลกกำลังเข้าไปสู่ความตาย

            สิทธิอำนาจในการครอบครองโลกนี้ จึงตกเป็นของอำนาจแห่งความบาปและความตาย อยู่ในมือของความบาป เท่ากับเราย้ายมันมาอยู่ที่เรา ที่เป็นคนบาป มารถูกขับมาในโลกนี้ แต่ไม่มีอำนาจ แต่เมื่อเราตายแล้ว มารเข้ามาง่าย ครอบงำง่าย ยุยงง่าย เป่าหูเราง่าย โกหกง่ายไหม? ง่าย เพราะเรามีความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ จึงถูกอำนาจมืดชักจูงได้ง่าย เราตกเป็นทาสของความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ เป็นเครื่องมือของมาร ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือโดนมารรังแก มันโกหกเราให้ห่างพระเจ้ามากขึ้น ความบาปนี้ ทำให้ถูกตัดขาดจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า แต่ว่าวิญญาณเรา เป็นของโลกวิญญาณ จึงตะเกียกตะกายหาสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ แต่ก็ไปเจอความมืด ไปเจอผี ไปเจอไสย ไปเจออะไรก็ตามที่มันสกปรกทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นพระเจ้าจริงๆ เพราะว่ามันไปไม่ได้ ประตูมันถูกปิด เพราะมนุษย์กับพระเจ้าถูกทำให้แยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงเพราะเราเป็นคนบาป เข้าถึงความบริสุทธิ์ไม่ได้

            พระคัมภีร์บอกว่าถ้าพระเจ้าปิด ไม่มีใครเปิด ถ้าพระเจ้าเปิด ไม่มีใครปิด แต่พระเจ้าทรงเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ เพื่อให้พระมาซีฮาห์มาเกิด ในปฐมกาล บทที่ 3 ซึ่งได้พูดไว้ บอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก ก็คือมีผู้หนึ่งที่จะเกิดมา เป็นพระเจ้ามาเกิด ไม่ใช่เลือดเดียวกันกับอาดัม เป็นเลือดบริสุทธิ์ เลือดนี้แหละ ที่จะชำระล้างความผิดบาปให้กับเราได้ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทรงมาบังเกิดบนโลกนี้ ได้ตายบนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงตรัสคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว”

            เหตุการณ์ต่างๆ สถานการณ์ต่างๆ ที่เราพูดกันไม่รู้กี่ครั้ง ก็คือว่าบ่าย 3 โมง ม่านในพระวิหารฉีกขาด ระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน ได้ถูกเปิดให้เชื่อมต่อกัน นั่นหมายความว่าพระเจ้ากับมนุษย์พบกันได้แล้ว มนุษย์ได้ถูกนำมาสู่การกลับคืนดีกับพระองค์ มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ โดยการบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการวางใจ เข้าประตูทางเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์จึงเป็นประตูเดียว ที่เราจะเข้าไปหาพระเจ้าได้ แล้วพระองค์ก็ทำให้เราบัพติศมา อย่างที่อาจารย์เปาโลพูดบ่อยๆ ในจดหมายฝากของท่าน เกือบทุกฉบับ จะเน้นเรื่องนี้มากๆ ก็คือการที่เราได้บัพติศมาในพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

            เพราะว่าพอเราบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราก็เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า เมื่อเป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณของพระเจ้า ก็อยู่ในเรา คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ที่สวนเกเสมเน ที่บอกว่า …

            “พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา แล้วขอพระองค์ทรงเมตตาให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ เหมือนกับที่ข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์”

            พวกเราทั้งหมดที่เชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วพวกเราทั้งหลายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา พระบิดาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา ซึ่งเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันซ้อนๆ แล้วห่อหุ้ม เราได้รับการปกป้องคุ้มครองเรียบร้อย เราได้รับการช่วยให้ปลอดภัยทางวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในองศาที่ปลอดภัยแล้ว วิญญาณเรารอดพ้นแล้ว ฉะนั้น การกระทำใดๆ ในการงานของเนื้อหนัง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่สามารถนำให้เราพินาศได้ ไม่มีทางทำได้เลย เพราะว่าอันนี้เป็นการเก็บเราเข้าตู้เซฟ เก็บเราในพื้นที่ที่ปลอดภัยฝ่ายวิญญาณ ส่วนการงาน การกระทำใดๆ ในโลกนี้ เราทำไม่ดี เรากินผลเต็มๆ เหมือนคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าก็ยุติธรรม

            เราอาจจะพูดว่าทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทุกข์ยากลำบากอยู่ อย่าลืมว่าเรายังอยู่ในโลก ถ้าโลกเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย เราเหยียบบนโลกก็หนีไม่พ้น ส่วนชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็กินผลแห่งการไม่ดีนั้น ถ้าเราทำไม่ถูก เราก็กินผลแห่งการทำไม่ถูกนั้น ถ้าเรานินทาว่าร้ายคนอื่น การนินทาว่าร้ายนั้น ก็จะย้อนกลับมาหาเรา และทำร้ายเรา เรากินผลเท่าเทียมกับคนอื่น เราหนีรอดสิ่งนี้ไม่ได้

            ในเรื่องของพระเยซูคริสต์นั้น ถูกกระทำให้กระจ่างชัด ชัดเจน โลกใบนี้เห็นชัดเจนมาก ในสดุดี 98:2 บอกว่า …

        สดุดี 98:2 (THSV11) “พระยาห์เวห์ทรงให้ชัยชนะของพระองค์ประจักษ์ พระองค์ทรงเปิดเผยความชอบธรรมของพระองค์ต่อสายตาบรรดาประชาชาติ”


            ไม่มีใครไม่รู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งจะไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะว่าการสื่อสาร ระบบทุกอย่าง มันถูกเปิดเผย ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            เพราะพระเยซูคริสต์ทรงชนะความบาปและความตายให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะความบาปและความตายให้พวกเรา เราอยู่ในพระองค์ แสดงว่าเราชนะร่วมกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว

        ในยอห์น 16:33 (THSV11) บอกว่า … “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

            ใน 1 ยอห์น 4:4 อันนี้เป็นคำพูดของยอห์น ผู้เป็นอัครทูต …

        1 ยอห์น 4:4 (THSV11) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก”


            ไม่พอ ยังมีอีกหลายๆ ข้อ แต่ยกมา แค่ 3-4 ข้อ …

        1 ยอห์น 5:4 (THSV11) “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”


            เอ๊ะ! อย่างไรกัน? เราอยู่ในโลกนี้ บางวันเรายังขาดแคลนอยู่ บางวันเราก็เจ็บป่วยอยู่ อธิษฐานแล้วหาย หายแล้วก็เป็น เป็นแล้วก็หาย แบบนี้ มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เรื่อยๆ มีปัญหาเข้ามาเรื่อยๆ แล้วยังบอกว่าชนะได้อย่างไร?

            เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ไถ่ถอนโลกนี้ พระองค์ไถ่ถอนเฉพาะมนุษย์ แม้ว่าในพระวจนะของพระองค์ ในยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16 (THSV11) “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            ที่ทรงรักโลกใบนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นมา รักโลก แต่ไถ่โลกไหม? ไม่ได้ไถ่ ไถ่แต่เรา ไถ่แต่มนุษย์ ส่วนโลกนั้น พระองค์ทรงเตรียมโลกใหม่ไว้ สำหรับมนุษย์ที่วางใจในพระองค์
พระองค์ไถ่แต่มนุษย์ ไม่ได้ไถ่โลก โลกนี้ยังเข้าสู่วัฏจักรของการดับสูญ ยังไปในทิศทางที่มันต้องไป พระวจนะของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อให้เกิด ข้อแก้ไข คือเพิ่มสัญญา มีพันธสัญญาเดิมใช่ไหม? พระองค์จะทำใหม่ พระองค์เพิ่มพันธสัญญาใหม่ขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ลบล้างบทบัญญัติเก่า แต่พระองค์ทำให้บทบัญญัติเก่านั้น เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อลบล้างบทบัญญัติ แต่มาทำให้บทบัญญัติทั้งปวง หรือพระคัมภีร์เดิมสมบูรณ์ขึ้น เพราะว่าพระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพระองค์ เผยพระวจนะถึงพระองค์ ถึงการที่จะมาไถ่ถอนโลกใบนี้ โดยผ่านทางพระองค์

            พระเยซูคริสต์บอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์เดิม อันนี้เป็นภาษาพูดของดิฉันเอง ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์เพื่อค้นหาความรอด และความรอดนั้นอยู่ในเรา ค้นหาเรา แต่เรายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านปฏิเสธ อันนี้พระองค์พูดกับคนยิวนะ ท่านปฏิเสธ มันก็ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ เพราะว่าคนยิวไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีลูกได้ พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะมีลูกได้อย่างไร? อย่าว่าแต่คนอิสราเอลหรือคนยิวเลย แม้แต่พวกเราที่เป็นคนไทยเอง เมื่อมาบอกว่าพระเจ้ามีลูก มันต่อต้านความเชื่อ เราอาจจะเชื่อเทพนิยายกรีก หรือเทพของกรีก บูชาเทพของกรีก หรือเทพของทุกอย่างได้ เทพเหล่านั้น แต่งงานมีลูกได้นะ แต่พอพูดถึงพระเจ้า แล้วพอบอกว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ แล้วมีลูก เราต่อต้านทันที มันเชื่อไม่ได้ แต่ถ้าใครเชื่อ

            พระเยซูคริสต์จึงบอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุดของคนอิสราเอล ของคนยิว เพราะว่าถ้าทุกคนผ่านหินนี้ได้ เท่ากับทุกคนวางเท้าลงบนศิลานี้ได้ และยืนอยู่อย่างมั่นคง และเห็นถึงความรอด ความรอดมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเชื่อวางใจในเรื่องนี้ว่าพระเจ้าทรงมีพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรได้ นั่นแหละ ท่านวางใจและเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆ ไม่คิดเยอะ ท่านก็รอด …

        เอเฟซัส 6:10 (THSV11) “สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์”

            ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อท่านยืนอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เปาโลได้กำชับประชากรของพระเจ้าในเอเฟซัส คือเอเฟซัสเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับเทพเยอะมาก เพราะว่าเขาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า และเป็นเมืองที่ก่อกำเนิดเทพเจ้า เทพเจ้ามีหลายองค์ แล้วมีวิหารเยอะแยะมากมาย มีพิธีกรรมที่กระทำในนั้นเยอะมาก ถ้าใครไปที่ตุรกีทุกวันนี้ คริสตจักรเอเฟซัส ก็ตั้งอยู่ในตุรกี เราก็จะเห็นซากปรักหักพังของคริสตจักรเอเฟซัส ที่นั่นเต็มไปด้วยการแตกแยกถึงความเชื่อ และมีความสับสนในด้านความคิด ฉะนั้น เปาโลจึงปรารถนาที่จะให้คนเอเฟซัสเข้มแข็ง โดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

            อย่าลืมว่าคนเอเฟซัสแต่ก่อนนี้ เราจะเห็นว่าพวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนัก คริสเตียนเป็นผู้ถูกหมายหัวจากทางการ ถ้าคริสเตียนถูกจับได้ ต้องต่อสู้กับสิงโต ถูกตรึงบนไม้กางเขน เอาหัวห้อยลงมา ถูกเผาไฟ ถูกหลายอย่าง ยากลำบากมาก การข่มแหงเหล่านี้มีมายาวนาน แม้นจะพ้นยุคของอัครทูตไปแล้ว คริสเตียนก็ยังโดนข่มแหงอยู่ไม่หยุด ถ้าไปตุรกี ท่านจะไปเห็นภูเขาเยอะแยะมากมาย ที่คัปปาโดเกีย (The Land of Beautiful Horses) ในยุคสงคราม คนพื้นที่ได้ขุดภูเขาเป็นอุโมงค์ ไว้เป็นที่หลบภัยในยามสงคราม ในยุคที่คริสเตียนได้กระจายเพิ่มมากขึ้นก็ได้ใช้ที่แห่งนี้ เป็นที่หลบภัยเช่นกัน ชีวิตพวกเขายากลำบากมาก อดอยาก ทุกข์ยากลำบากมาก หนีหัวซุกหัวซุน เข้าไป ขุดภูเขา อยู่ในอุโมงค์ สร้างเป็นเมืองใต้ดิน ในนั้น มีทั้งตลาด โรงเก็บม้า โบสถ์ พวกเขาจะเชี่ยวชาญในการทำสิ่งเหล่านี้มาก แล้วเข้าไปอยู่ในนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ออกมาตอนกลางคืน หาสิ่งของ เพื่อจะเอาไปดำรงชีวิตได้ บางครั้งต้องหลบถึง หกเดือน หาเวลาที่ปลอดภัยออกมาหาของอยู่กิน แล้ว ก็กลับเข้าไปใหม่ เพื่อหลีกหนีการฆ่าฟันของคนในยุคโรมันครอบครอง และยุคที่เติร์กเข้าครอบครอง

            สารพัดที่คริสเตียนสมัยก่อนเจอ ในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลกลับบอกคริสเตียนทั้งหลายว่า “ท่านมีชัยแล้วในโลกนี้” เปาโลก็เขียนไปถึงคริสตจักรเอเฟซัส บอกว่าให้เข้มแข็ง

        เอเฟซัส 6:10-12 (THSV11) “10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์ 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ 12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน”

            พออ่านมาถึงตอนนี้ สติปัญญาของเราก็จะคิดแล้ว …

            “ฉันคือนักรบที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะออกรบ ฉันต้องต่อสู้ ต้องเข้าไปสู่การต่อสู้”

            คำว่า “สู้” ที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ เราอย่าเข้าใจผิด พระเจ้าไม่ให้เรามานั่งต่อสู้กับมาร คิดดูถ้าชีวิตคริสเตียนของเรา วันๆ เดินไปเจอบางสิ่งบางอย่าง เราสั่งการ ขับไล่ ไปถึงตรงนั้น สั่งการ ขับไล่ พูดภาษาแปลกๆ ขับตรงนั้น ขับตรงนี้ ท่านคิดว่าชีวิตคริสเตียนจะเหนื่อยไหม? ท่านคิดว่าพระคัมภีร์จะบอกว่าเราจะหายเหนื่อยเป็นสุข เป็นจริงไหม? คงไม่ใช่ และคงไม่จริง แน่นอน

            พระคัมภีร์พูดถึงตอนนี้ พระองค์ไม่ได้ให้เราไปนั่งสู้กับมาร ชีวิตของเราสามารถมีสันติสุขได้ ในโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกเราว่าเราชนะโลกนี้ ชนะอย่างไร? อยู่เหนือโลกนี้ แม้ว่าโลกนี้มันจะแย่ขนาดไหน? หรือมีปัญหา สถานการณ์ในชีวิตของเรามันจะแย่ขนาดไหน? ดิฉันเชื่อว่าพี่น้องหลายคนในคริสตจักรของเราฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบากในชีวิตมาเยอะแล้ว เห็นมาเยอะแล้ว แต่ยังนิ่งอยู่ได้ เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของท่านมีมากเพียงใด?

            พระวจนะบอกว่าให้เราสวมเสื้อใหม่ ให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด พระองค์ให้เราสวม “สวม” อะไร? เดี๋ยวเราค่อยๆ ไปทีละข้อ …

        เอเฟซัส 6:13 (THSV11) “เพราะเหตุนี้ จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้”

            ให้สวมเฉยๆ สวมใส่ไว้ เฉยๆ แล้วจะต่อสู้ยังไง?

        เอเฟซัส 6:14 (THSV11) “เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก”

            ความจริง คือท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ความจริง คือท่านได้ถูกชำระล้างจากอำนาจของความผิดบาปและความตาย ท่านบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณท่านเป็นของพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นของพระเจ้า ในยอห์น 10:10 บอกว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงท่านไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีการฟ้องผิด ไม่มีอำนาจใดๆ มาติเตียน ตำหนิท่านได้ เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรคสถาน อธิษฐานเผื่อท่าน พระองค์กระทำสิ่งนี้ตลอดวันคืน แล้วเราจะร้องเพลง “พระองค์ไม่เคยหลับใหล” เคยฟังเพลงนี้ใช่ไหม?

                        ** พระองค์ไม่เคยหลับใหล **

                        **ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซูคริสต์ **

            แม้ว่า นี่คือเพลง แต่นี่ก็คือเพลงที่เอาเนื้อความมาจากพระวจนะของพระเจ้า

            สิ่งที่ดิฉันแบ่งปันจะไม่ขัดกันกับพระคัมภีร์ตอนใดๆ ถ้ามันขัดกัน แสดงว่ามันต้องมีเครื่องหมายคำถามแล้ว (?) แต่จะบอกได้เลยว่าสิ่งที่กำลังแบ่งปันนี้ เป็นสิ่งที่กำลังจะบอกท่านว่านี่คือลู่ทาง นักวิ่งต้องวิ่งในลู่ที่เป็นลู่ของตัวเอง เราจะวิ่งลู่ตัวตนเก่าเราไม่ได้ เราจะไปวิ่งในลู่ของมารชักจูงไม่ได้ เราต้องวิ่งในลู่ของพระเยซูคริสต์ เราต้องวิ่งให้ถูกลู่ ถ้าเราวิ่งไม่ถูกลู่ เราก็จะไปชนคนอื่น สับสน

            ฉะนั้น เอาความชอบธรรมเป็นเกาะป้องกันอก จิตใจความรู้สึกเราบอบบางไหม? บอบบาง แต่ให้รู้ว่ามารสามารถเข้ามาวนเวียน พระคัมภีร์บอกมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา คอยหาช่องทางที่จะกัดกินเราได้ มันหาช่องทางว่าเมื่อไรเราจะใจขมขื่น ใจเกลียดชัง ใจโกรธ ใจรู้สึกหมกมุ่นอยู่กับทางด้านลบ มันก็จะสามารถเข้ามาทางความคิดของเราได้ มันจะเข้ามายุยง ปั่นเราได้ ฉะนั้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ความชอบธรรมนี้ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ถูกลบไปแล้ว ลบเดี๋ยวนั้น ลบทันที เหมือน ลิควิดเปเปอร์ที่ไวมากของพระเจ้า ทำปุ๊บลบปั๊บ คือมันจะถูกลบเป็นระบบอัตโนมัติ ฉะนั้น มันไม่ถูกจดบันทึก ไม่ถูกจดจำ ไม่ถูกเขียนไว้ ให้มาฟ้องผิดเราได้ เมื่อท่านเชื่อและวางใจแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดอวดได้ ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ …

        เอเฟซัส 6:15 (THSV11) “และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า”

            เวลาเราจะออกบ้านไปไหนมาไหน สิ่งที่จะอยู่ในเราตลอดเวลา ก็คือเรารู้ถึงความจริงแห่งขบวนการการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหนก็ตาม มันจะเกิดเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ คืออยากบอก อยากเล่า รัก ต้องการให้คนอื่นรอด ต้องการให้คนอื่นเชื่อ ไม่ต้องมาตั้งความคิดว่า … “ฉันออกจากบ้าน ให้ฉันสวมรองเท้า ข่าวประเสริฐเป็นรองเท้า ฉันออกไป ฉันจะต้องบีบบังคับตัวเองให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปเคาะบ้านคนอื่น ถ้าไม่ประกาศวิบัติจะเกิดกับเรา ไปเคาะบ้านคนอื่น เธอรู้จักพระเจ้าไหม?” เพราะกลัววิบัติ พระเจ้าจะให้เราวิบัติจริงหรือ นั่นคือบุคลิกของพระเจ้าหรือ?

            พี่น้องที่รัก เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้นไหม? ถ้าเราไม่เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้น ก็อย่าทำ เมื่อพระเยซูคริสต์ส่งสาวกของพระองค์ 12 คนออกไป เหมือนฝึกงาน พระองค์บอกว่าเข้าไปบ้านไหนต้อนรับท่าน ก็ให้อวยพรผู้นั้น ถ้าบ้านไหนไม่ต้อนรับท่าน ก็จงล้างมือล้างเท้า ให้นับว่าความรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา

            ฉะนั้น นอกจากจะทำให้เรานำเอาข่าวดีไปให้คนอื่นแล้ว ไม่พอนะ ข่าวประเสริฐนี้ ยังทำให้เรายืนหยัด ฟันฝ่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าเราจะออกไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ สิ่งที่เราคิดใคร่ครวญอยู่นั้น จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราได้อย่างง่ายขึ้น …

        เอเฟซัส 6:16 (THSV11) “และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย”

            จำได้ไหม เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ยิ่งนานวันเข้า โล่ของท่านก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเมื่อไรก็ตามที่การโกหกหลอกลวง ที่จะมาตำหนิติเตียนเรา โกหกเรา ฟ้องผิดเรา เรายกโล่ขึ้นมาเลย บอกออกไปว่า “ไม่จริง”  เราบอกเลยว่าเราเป็นใคร? พูด เหมือนที่พระเยซูคริสต์พูดกับมัน พูดนิ่งๆ… “ในพระวจนะเขียนไว้ว่ามนุษย์จะบำรุงชีวิต ด้วยอาหารด้วยสิ่งเดียว ก็หามิได้ แต่จะต้องบำรุงด้วยพระวจนะ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

            เมื่อมันบอกให้พระเยซูคริสต์กราบนมัสการมัน พระเยซูคริสต์พูดนิ่งๆ เลย … “ไสหัวไป เพราะว่าต้องกราบนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

            บอกให้กระโดดลงไป พระเยซูคริสต์ตอบนิ่งๆ พระองค์บอกความจริงเลยว่า … “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ไม่ต้องไปเยอะกับมัน การต่อสู้จะเกิดที่ระบบความคิดของเรา ระบบความคิดเราเป็นที่มั่น(เป็นฐานรบที่มีระบบป้องกันเอาไว้แล้ว) เอาความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา บอกลงไปในความคิดหรือความรู้สึกที่มันยิงเข้ามาในเรา บอกถึงความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ลงไปในความคิดของเราด้วยความเชื่อ แค่นั้น เราก็ชนะแล้ว

        เอเฟซัส 6:17 (THSV11) “จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า”

            พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในลู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ทุกคนอ่านพระคัมภีร์ สามารถรู้พระคัมภีร์ แต่เราใช้พระคัมภีร์แบบไหน? เราใช้มาตีกัน เราใช้มาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเราเองรึเปล่า? เมื่อ มีถ้อยคำบอกเราว่า อย่าโกรธ อย่าโมโห แต่ตอนนี้มีคนทำให้ฉันโกรธ ฉันอยากโกรธ ฉันขอโกรธ มันไม่ไหว ก็ต้องโกรธใช่ไหม? แล้วมันเหมือนพยายามจะยิงข้อความมาฟ้องผิดเรา ให้เราเอาพระวจนะของพระเจ้า ที่อยู่ในทางแห่งความจริงนี้ พูดกับตัวเอง หรือพูดกับความคิดของเราเอง พระคัมภีร์บอกว่า  …

        สุภาษิต 3:6 (THSV11) “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

            ในโรม 12:1-2 พระคัมภีร์ข้อนี้ใช้บ่อยมาก …

        โรม 12:1-2 (THSV11) “1 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน 2 อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            สิ่งสารพัดทั้งปวง พระเจ้าทำให้เราหมดแล้ว แค่เรารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ นั่นเท่ากับว่าท่านกำลังสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ท่านที่จะแสดงออก หรือโต้ตอบอย่างทรงอำนาจ อย่างอยู่เหนือทุกอย่าง เพราะท่านชนะมันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้เรียบร้อยไปแล้ว เปาโลได้พูดย้ำออกไปในตอนสุดท้าย …

        เอเฟซัส 6:18-19 (THSV11) “18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลา โดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียร และด้วยการวิงวอน เผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ 19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้า ที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            การอธิษฐาน คืออะไร? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง แล้วทำไมให้เราอธิษฐาน เราไม่อธิษฐานได้ไหม? ได้ ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้ายังอวยพรเราไหม? อวยพร ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะปกป้องเราไหม? ปกป้อง พระเจ้าจะดูแลเราไหม? ถามจริงๆ พี่น้อง ทุกคนที่อ่านบทความนี้อยู่ ท่านอธิษฐานทุกวันหรือ? ท่านทุกคนถ้าไม่หลอกตัวเองคงมีคำตอบในใจต่างกันออกไป ขณะที่เราไม่สมบรูณ์ ไม่ดีพร้อม ทำไมเรารอดพ้นสถานการณ์หลายๆ อย่างล่ะ? ทำไมเรายังสามารถเห็นถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าหลายๆ อย่างในชีวิตเราล่ะ? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอธิษฐานตลอดเวลา? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา? พูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา? ไม่จริง แต่ทำไมท่านยังรอดพ้นสถานการณ์ต่างๆ ได้ เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าสัญญาฉบับนี้ พระเยซูคริสต์เซ็นต์สัญญากับพระบิดา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน สัญญาฉบับนี้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานมากหรือน้อย พระเจ้าก็ยังทรงดูแลชีวิตของท่านปกติ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ผู้ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีความบกพร่องสักขีดเดียวในพระองค์เลย นั่นคือพระองค์ เราเข้าใจพระเจ้าหรือเปล่า? เรารู้ไหมว่าความจริงพระเจ้าของเราองค์นี้ เป็นอย่างไร?
การอธิษฐานของเรา คือการที่เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนร่วมกับเรา เราย้อนกลับไปอ่านในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1 (THSV11) “ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน”

            ทำไม? เพราะพระเจ้ายังเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่ตั้งต้นไม้ไว้ในสวน ให้เรามีสิทธิ์เลือก แต่การเลือกครั้งที่แล้ว เมื่อล้มลงในความบาป มนุษย์ก็ตายและตายเลย แต่ครั้งนี้ ต่อให้เราเลือก ไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ยังตกลงไปในเบาะนุ่มๆ เจ๋งไหม? แต่กินผลไหม? กินผล กินผลเต็มๆ กินผลในโลกนี้นะ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรายังกินผลในโลกนี้ ถึงเวลาที่จะกินอาหารที่ดี เราไม่กินอาหารที่ดี เราไปกินอาหารไม่ดี เราจะมาบอกว่าพระเจ้าจะดูแลร่างกาย ไม่เป็นไร กินเข้าไป พระเจ้าจะดูแล อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 30 เกือบ 40 ปีที่แล้ว เกิดน้ำท่วมเกาหลีใต้ น้ำมันหลากแรงมาก ผู้หญิงคนนั้น ก็บอกว่า …

            “โดยพระเจ้า พระองค์บอกว่าให้เราเดินผ่านน้ำได้ เรามีชัยชนะแล้ว”

            เราหักกฎของโลก โลกนี้มีกฎของเขา เราไปหักล้างกฎโลกนี้ เธอเดินฝ่าน้ำ น้ำพัดเขาไป และเสียชีวิต ผู้หญิงคนนั้นเป็นคริสเตียน แล้วเพื่อนที่บอกไม่เอา ฉันไม่ไป ยังอยู่ แล้วก็มาเป็นพยานเรื่องนี้ เราจะมาหักล้างกฎของโลกนี้ แล้วมาอ้างสิทธิ์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าอย่างนั้นไม่ได้ ลักษณะของการใช้สิทธิของเรา คือการรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มีสิทธิอำนาจอย่างไรในโลกวิญญาณ จัดการแบบไหนในโลกวิญญาณ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าทุกวันๆ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเรา

        โรม 12:2 (THSV11) พระวจนะบอกว่า … “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            ฉะนั้น การอธิษฐาน คือการยินยอม แสดงออก ให้เห็นชัดเจนว่าเรายินยอมให้พระเจ้ามีสิทธิ์ในชีวิตประจำวันของเรา มีสิทธิ์ในความคิดของเรา มีสิทธิ์ในความรู้สึกของเรา มีสิทธิ์ในความปรารถนาของเรา ฉะนั้น ความปรารถนาของเรา ไม่ว่าจะถูกจะผิด สุดท้ายจะถูกปรับเข้ามาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า การอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้เกิดความปรารถนาของเรา เป็นไปในแบบเดียวกันกับพระเจ้า เหมือนกับในโรม 12:2 บอกว่าเราจะได้รู้ว่าเราจะกลายเป็นคนที่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอย่างไร? รู้ว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม และอะไรเป็นที่ชอบพระทัย

            เวลาเราอธิษฐาน คำอธิษฐานของเราต่อๆไป ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นอธิษฐานแล้วถูกจูนเข้าไปในความปรารถนาของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาชนิดเดียวกัน แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อความปรารถนาชนิดเดียวกันนี้ เราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น

            นั่นคือพระคัมภีร์ที่ตอบเรา เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้าคงไม่เกินความจำเป็นในชีวิตแน่ๆ บางคนพระเจ้าก็อาจจะให้รวย ปรารถนาในทางที่จะรวยได้ แต่ละคนก็จะถูกนำไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่ได้ให้รวย บางคนก็ให้อีกแบบหนึ่ง ให้มีของประทานอีกแบบหนึ่ง เพื่อจะให้เสริมสร้างกันและกันในพระเยซูคริสต์ เกิดการให้ เกิดการรับ เกิดการแบ่งปัน เกิดการค้ำจุนกัน เกิดการชูใจกัน ผสมผสานเป็นตึกอันงดงามของพระเจ้า ที่ก่อร่างสร้างกันขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเราทั้งหลาย นั่นคือความงามที่จะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างขึ้นภายในพระกายของพระองค์ …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป”

            พอเราอ่านพระวจนะตอนนี้ ก็เกิดการเข้าใจผิด อย่างที่บอก ก็คือมีการลุกขึ้นมาสั่งการ จัดการ สั่งพระเจ้าให้จัดการนี่ สั่งพระเจ้าให้จัดการนั่น สั่งโน่นสั่งนี่ บอกโน่นบอกนี่ ต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้  เรามามองย้อนดูพระเยซูคริสต์ เวลาพระองค์สั่งผีออกจากชายคนนั้น ไปอยู่ที่หมู แล้วหมูก็ตกลงไปในน้ำ พระองค์ใช้ความรุนแรงสั่งไหม? เวลาที่พระองค์บอก พูดถึงความรอด หรือพระ
องค์พูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือต่อสู้กับความคิดของคนเหล่านั้น ที่ไปในทิศทางของการเป็นศาสนาจัด พระองค์ไม่ได้ใช้อารมณ์ใดๆ เลย แม้พระองค์จะบอกว่าวิบัติเกิดแก่คนเหล่านั้น

            พระองค์ก็ไม่ได้ใช้อารมณ์ พระองค์พูดธรรมดานี่แหละ แต่พระองค์พูดความจริง และเป็นความจริงที่บาดหัวใจ เป็นความจริงที่เป็นดาบที่แทงทะลุตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก วินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมาย ในจิตใจของมนุษย์ มันทำให้คนที่เป็นคนละขั้วกับพระองค์เกิดความทนไม่ได้ อยากจะฉีกเสื้อ แล้วเอาดินโกยใส่หัว แล้วก็เอาหินขว้างพระเยซูคริสต์ เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนไม้กางเขน เขารู้ดี ต่อให้เป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว สำนึกของเขาก็ตายไปด้วย แต่ว่ามนุษย์ยังเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง รู้ดีรู้ชั่ว เขารู้ว่าสิ่งไหนคือดี สิ่งไหนคือชั่ว แต่ทำไม่ได้ พอมีคนมาชี้ความไม่ถูกลงไปในจิตใจ ทนไม่ได้ โมโหกลับ โต้กลับอย่างรุนแรง อยากจะทำร้าย เพื่อให้คนนั้น ดับสูญไปซะ จะได้ไม่มาพูดคำนี้กับเราอีก มนุษย์ไม่ชอบฟังความจริง ในพระวจนะยากอบบอกว่า …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า”

            คำว่า “นอบน้อม” คือการยอมรับรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิทธิอำนาจนั้นอยู่ในเรา สิทธิที่มโหฬารใหญ่โตมากของพระองค์ อยู่ในท่าน ท่านต้องไปแสดงอย่างนั้นหรือ? ท่านต้องไปจัดการอย่างนั้นหรือ? ท่านชี้นิ้วสั่งพระเจ้า ท่านชี้นิ้วสั่งทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ ควรไหมถามใจของท่านที่มีพระวิญญาณอยู่ภายในดู เราจัดการได้ แต่จัดการอะไร? จัดการตัวเองไงคะ เราจัดการระบบความคิดของเราได้ เราบอกความคิดของเราไปในทิศทางของพระเจ้าได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะจัดการ นั้นคือสิ่งที่เราเลือกได้ ไม่ต้องไปจัดการอย่างอื่น หรือคนอื่น เพราะอย่างอื่น อำนาจมันอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ไปแล้ว มันหมดอำนาจไปแล้ว สิ่งที่มันทำได้ ก็คือล่อลวงเราเท่านั้นเอง สิ่งที่เราจัดการ คือระบบความคิดของเรา มันใหญ่กว่าพระเจ้าตอนนี้ ที่ใหญ่กว่าพระเจ้า ก็คือเรานี่แหละ ไม่ใช่มาร ฉะนั้น สิ่งที่ต้องจัดการ คือเรา ความคิดของเรา ความรู้สึกของเรา

            พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อยากให้ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจที่อยู่ในตัวท่าน มหึมามาก ท่านสามารถจะยืนอยู่อย่างสง่างามในโลกใบนี้ หรือจะอยู่แบบคนที่ไม่รู้ตัวตนจริงๆ ว่าตัวเองเป็นใคร? แล้วใช้วิธีผิดๆ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ต่อให้ท่านดำเนินชีวิตคริสเตียนผิดๆ อธิษฐานผิดๆ พระเจ้าก็ไม่ว่าท่านหรอก พระองค์ก็ยังดูแลช่วยเหลือนำพา

            ดิฉันเคยไม่พอใจกับสถานการณ์ หรือคำสั่งที่จะต้องให้เปลี่ยนแปลง ดิฉันก็เข้าไปเถียงกับพระเจ้า เถียงไปเถียงมาใครชนะ? พระเจ้าชนะ ดิฉันก็ต้องยอม เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงอดทนต่อการกระทำของเรา พระองค์ทรงอดทนต่อการเถียงคำไม่ตกฟาก การยืนยันว่าตัวเองถูก การแข็งไม่งอของเรา

            ตอนนี้ดิฉันกลายเป็นตัวนิ่มแล้ว ตอนนี้นิ่ม แต่ยังไม่นิ่มถึงที่สุด ยังมีปฏิกิริยาโต้ตอบอยู่ บางทีหนักๆ อาจจะเผลอต่อย แต่ต่อยไปแล้ว ก็เสียใจ รับรองว่าดิฉันเสียใจอย่างหนักแน่นอน ไม่เหยียดยาวกับความผิดพลาดของตนเอง (ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี แต่เพราะอยู่ในอาการและอารมณ์แบบนั้น มันทรมานฝ่ายวิญญาณจริงๆ ทนไม่ไหว ก็ต้องหาทางออก ทางออกคือ ยอมเชื่อฟัง ยอมตามวิถีทางของพระเจ้า พอหลุดออกมาได้ก็สบายกว่ากันเยอะเลย)

            พี่น้องที่รักค่ะ พระคริสต์ที่อยู่ในท่านมีสิทธิอำนาจ มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แทรกซึมไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน ความเมตตากรุณา และใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งนั้นอยู่ในท่าน จงรับรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ยอมรับรู้พระองค์ในทุกทาง แล้วให้เรายอมรับรู้ว่า เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ทุกวัน

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักข้าพเจ้า และได้สละพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

            และเมื่อเรารับรู้ความจริงนี้ ความจริงจะเปลี่ยนเราให้เป็นไท ความจริงนี้จะสร้างเราใหม่ ความจริงจะทำให้เราสามารถยืนอยู่บนศิลาอันเข้มแข็งและดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาในโลกนี้ และอยู่เหนือโลกนี้ เป็นดั่งนกอินทรีที่อยู่เหนือสภาวะของพายุได้ เอเมนไหม? และดิฉันเดินคนเดียวไม่ได้นะ โปรดจับมือกันเดิน เราจะเดินไปด้วยกัน เอเมนไหมคะ? พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิว และมนุษย์ทั้งปวงได้เห็น ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ คือโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่

            และทางแห่งความรอดนี้ คือกฎแห่งพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับมนุษย์ทุกคน คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย เรียกว่ากฎวิญญาณในพระเยซูคริสต์

            ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎที่เรียกว่า กฎของความบาปและความตาย พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง คือกฎแห่งกรรมทำดีก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา ซึ่งเรา รู้กันอยู่แล้ว เพราะมองเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น

            เพราะฉะนั้น ใครที่พยายามบังคับควบคุมตนเองได้มาก ก็มีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่นเรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มความทุกข์ให้กับร่างกาย

            เพราะฉะนั้น ทั้งสองโลก คือโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้นสำคัญกว่ามาก เพราะอยู่นิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น

            ดังนั้น การรักษาเชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ทุกข์น้อยลง แต่ไม่มีผลอะไรกับโลกวิญญาณ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณหลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติวิญญาณ

            พระเยซูจึงอยากให้เราให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ได้ โดยความเชื่อผ่านทางพระองค์เท่านั้น

            ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามีสองกฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุนี้ จึงหวังผลสลับกันมั่วไปหมด เช่นกระทำดีตามกฎหมายศีลธรรมอันดีงาม ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณซึ่งเป็นไปไม่ได้ หรือรอดในวิญญาณแล้ว คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย เช่น เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากบาป

            ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมดเหมือนแดดส่องมาบนโลก เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน คอยนำพา

            ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎทั้งสองนี้ ยำเกรงโดยความเชื่อฟัง พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตรพระเยซูคริสต์ ที่จะช่วยวิญญาณให้ได้รับความรอด จากการพิพากษาหลังความตาย ได้อยู่ในสวรรค์ ให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัประการในพระคริสต์ และพรบนโลกใบนี้ มีความสุขสงบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย

            นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่งเป็นไปตามกฎระเบียบของถ้อยคำของพระองค์ ที่ได้ให้ไว้แล้วกับสรรพสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ  พระเจ้าอวยพรครับ