วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1455

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เข้าซีรี่ย์นี้ต่อ คือ “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” จากตอน 1 ที่แล้ว เราได้คำตอบแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ  เรียนรู้กันตอนที่แล้ว

            “ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ”

            ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น ก็ไปเปิดฟังเอาจากยูทูป หรือจากเฟสบุ๊คที่บันทึกไว้ครั้งที่แล้ว จะได้รู้ว่าอยู่ในเนื้อหนังเป็นอย่างไร? อยู่ในพระวิญญาณเป็นอย่างไร? ปูพื้นฐานเกี่ยวกับวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ Before and After” ปูพื้นฐานไว้อย่างละเอียดเลย ฟังดูแล้วจะได้มีพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องนี้ ซีรี่ย์นี้จะได้เข้าใจมากขึ้น

            วันนี้มาต่อตอนที่ 2 “ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์” นี่คือความจริงของกฎในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้ตั้งขึ้นและเป็นผู้ดูแล  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นเรื่อง พื้นฐานในการเรียนรู้จักพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์ทั้งหมด ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:21-22  คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าได้สอน ได้สำแดงให้เราได้รู้ ได้เข้าใจมากขึ้น 1 โครินธ์ 15:21-22 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ …

        1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวง จะได้รับชีวิตฉันนั้น”

            เพราะในเมื่อความตายฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าพินาศ … พินาศ คือความตาย … ความตายทางฝ่ายวิญญาณ สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากความตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน  เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ เห็นไหม? เหมือนกัน ในลักษณะเดียวกัน  เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ก็คือความตายในวิญญาณ ก็คือตายอยู่ในอาดัม  วันนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าอดีต ก่อนเชื่อ เราอยู่ในอาดัม หลังเชื่อ เราอยู่ในพระคริสต์ ความสว่าง คือสภาพของพระคริสต์นั่นเอง

            “คนทั้งปวงตายฉันใด” คือคนทั้งปวงตายในวิญญาณฉันใด อยู่ในอาดัม ฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น  ลักษณะเดียวกันเลย อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ชีวิตนิรันดร์

            ถามว่า “ความตายทางฝ่ายวิญญาณคืออะไร?” ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ความตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  ไม่ได้หมายถึงตายสูญหายไปเลย ไม่ใช่  ตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  หย่าจากพระเจ้า ใช้คำนี้ก็ได้ คำเดียวกันกับเขาเอามาใช้ในเรื่องของสามีภรรยาหย่ากัน แยกกันอยู่ แยกจากพระเจ้า ตายจากพระเจ้า  ออกจากพระเจ้าไป

            โรม 5:12 ได้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกันว่า …

        โรม 5:12  “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว ก็คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา

            บาป คือความไม่เชื่อฟังพระเจ้า การกบฏต่อพระเจ้า  การดื้อต่อพระเจ้า  การทิ้งพระเจ้ามา ไม่ใช่พระเจ้าทิ้งเรานะ  การที่เราทิ้งพระเจ้า  ออกจากพระเจ้า หย่าขาดจากพระเจ้า  มาพึ่งในตัวเอง  เรียกว่าความชั่ว ความบาป และตัวความชั่ว ความบาปนี้ มันจึงก่อให้เกิดความประพฤติชั่วตามมา  เพราะความดีหายไปแล้ว  ความดีอยู่ในพระเจ้า

            ในนี้จึงบอกว่า “บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว คืออาดัม และบาปนำความตายมา”  ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ดื้อต่อพระเจ้า ก็คือออกจากพระเจ้ามา  เรียกว่าทำผิดจากความประสงค์ของพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระเจ้า  ความประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่กับพระองค์ แต่มนุษย์ออกมาจากพระองค์ เรียกว่าทำบาป  กบฏ การกบฏนี้ นำความตายมา ก็คือการกบฏ ออกจากบ้านพระเจ้าไป  ก็คือเกิดความตายทางฝ่ายวิญญาณขึ้นมา ก็ตายจากพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้าไปนั่นเอง

            “และโดยทางนี้เอง” โดยทางนี้ คือทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้าทำบาป  ทำให้เกิดการตายจากพระเจ้า โดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนได้ทำบาป  พอออกมาจากพระเจ้าปุ๊บ ไม่ได้มาคนเดียว  มาทั้งเผ่าพันธุ์ มาทั้งครอบครัวเลย เพราะว่าอาดัมเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ นึกภาพออกใช่ไหม? แทนที่ลูก หลาน เหลน โหลนจะอยู่ในอาดัม และอยู่ในบ้านกับพระเจ้า พระเจ้าต้องการเช่นนั้น  แต่มนุษย์ไม่ฟัง ไม่เชื่อ อยากจะออกมาพึ่งพาตนเอง อยากจะออกมาทำมาหากินนั่นแหละ ก็เลยพาครอบครัวออกมาด้วย ครอบครัวมีเราอยู่ในนั้นด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งบ้าน ทั้งหมดเลย  … บ้าน ก็คือโลกใบนี้

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน เกิดมาบนโลกใบนี้  จึงไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เท่ากับได้ทำผิดบาปแล้ว  เพราะเป็นลูกหลานของอาดัม  คือเกิดในความบาป เกิดมาเป็นบาป เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้าเลย เกิดมาไม่มีพระเจ้าอยู่ เกิดมา ก็เป็นนักโทษของความบาป อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาป  เกิดมา ก็ตายทางวิญญาณ  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เกิดมา วิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  พระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรม  … คนอธรรม คือคนไม่ชอบธรรม … คนไม่ชอบธรรม คือคนชั่ว  … ชั่ว เพราะกระทำชั่ว ไม่ใช่ เพราะเกิดมามีสภาพ ลักษณะทางธรรมชาติเป็นคนชั่วในวิญญาณ คนชั่ว คือคนบาป  คนบาป คือคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วยนั่นเอง  และคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย คือลูกหลานของอาดัม  ที่อาดัมพาออกมาจากพระเจ้านั่นเอง  โรม 5:15 ได้บันทึกว่าแล้วพระเจ้าทำอย่างไร? …

        โรม 5:15 “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น มัน​แตกต่าง​กัน ​เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง ​ขณะ​ที่​ความผิด​บาปของ​คนๆ ​หนึ่ง คือ​อาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​ และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว ​คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น  ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

            เมื่อตะกี้ในข้อ 12 เราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในบาป ก็คืออยู่ในอาดัม เป็นลูกหลานของอาดัม

            “มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในอาดัม”

            มีปัญหาแล้วนะ  แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่าน โรม 5:15 ว่า …

            “แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้ มันแตกต่างกัน เพราะในทางหนึ่ง ขณะที่ความผิดบาปของคนๆ หนึ่ง คืออาดัม ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย” อย่างที่ตะกี้เราเรียนรู้ไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่ง ก็คือลักษณะเดียวกัน แต่เป็นทางตรงกันข้าม ก็คือพระเมตตา กรุณาของพระเจ้า  พระคุณของพระเจ้านั่นเอง  และของขวัญที่ผ่านมาทางความเมตตาของคน คนเดียว คือความเมตตาของพระเยซูคริสต์ ที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย

            พระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ที่เกิดมาอยู่ในอาดัม ให้มีทางออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ลักษณะเดียวกันเลย  ก็คือให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน เพราะว่าตอนเราเกิด เราอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป เราทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไร เราก็เป็นคนบาปแล้ว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเกิดใหม่ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ เป็นประตูสวรรค์ให้เราบังเกิดใหม่ เข้าอยู่สวรรค์กลับมาสู่อ้อมกอดของพระองค์ โดยความเชื่อและวางใจในของขวัญนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เหมือนกันเลย แต่คนละขั้ว เอเมน น่าคิดนะ

            น่าคิดตรงไหน?  น่าคิดตรงที่มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชีย ยิ่งชัดใหญ่เลย มันจะชินหูกับคำพูดที่บอกว่าคนเราเกิดมา ต้องใช้หนี้เวรกรรม คุ้นไหม? มีหมดนะ ทั้งโลกเลย  คนเราเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม เป็นเรื่องธรรมดา เวรกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่ปางก่อน ทำเป็นเพลงเยอะแยะ ทำเป็นโคลง เป็นกลอน อะไรต่างๆ  พูดถึง พรรณาถึงสิ่งนี้ว่าเกิดมาใช้กรรม ไม่มีใครพูดเลยนะ เกิดมาอยู่ในสวรรค์ มีแต่เกิดมาใช้กรรม  และกรรมแต่ปางก่อน  แล้วเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อกันง่ายๆ  คนเราเกิดมาก็ต้องใช้กรรม แล้วไปทำอะไรมา ไม่รู้ ต้องใช้กรรมแหละ กรรมอะไร? เมื่อไร? โบ้ยไปโน้น เมื่อชาติที่แล้ว กรรมเก่า กรรมโน้น กรรมนี้ไปเรื่อยเปื่อย หาไม่เจอ แต่เชื่อนะ  ทำไมรู้ว่าเชื่อ ก็ไปหาวิธีการต่างๆ ทำพิธีต่างๆ เพื่อชดใช้กรรมเหล่านั้น ใช้อย่างไร? มันก็ไม่หมดสักที ไปทำพิธีโน่นพิธีนี่ เพื่อใช้กรรมเขาไป  ใช้กรรมเมื่อไรจะจบสักที นี่เป็นต้น

            แต่ว่าพอพูดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ให้มนุษย์ได้ยินได้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเช่นเดียวกัน พูดว่าอย่างไร? คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  โดยการเชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกันเลย  เชื่อไหม? ไม่เชื่อ คิดดูหลายปี ก็ไม่เชื่อ หลายคนคิดจนกระทั่งถึงจบสุดท้าย ในชีวิต ก็ยังไม่เชื่อ ก็ยังเชื่ออันเดิมอยู่ว่าคนเราเกิดมา ก็ต้องใช้กรรมเก่า เมื่อไรมันจะหมดสักที ขณะที่ข่าวประเสริฐ ข่าวดีอีกอันหนึ่ง พระเจ้าบอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เป็นอิสระแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่านออกจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวงแล้ว มารับไปเลยฟรีๆ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ประกาศก้องมา 2,000 ปีแล้ว สำเร็จแล้วๆ มารับไปเถิด นี่คือข่าวดี

            ข่าวดีรับยาก มนุษย์รับแต่ข่าวร้าย  ซึ่งเราก็พอรู้แล้วนะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้  เราเรียนรู้จากโลกฝ่ายวิญญาณไปบ้างในตอนที่แล้วว่ามนุษย์ถูกชักจูงในทิศทางที่ไม่เชื่อในความจริงของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในความจริงของข่าวดี เพราะว่าโลกนี้มีกฎของความบาปและความตาย  กฎของคำสาปแช่ง ปกคลุมอยู่ ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มาข้อต่อไป โรม 5:16 …

        โรม 5:16  “แน่นอน​ ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น แตกต่าง​อย่าง​มาก ​จาก​ผล​ของ​ความผิด​บาปที่​อาดัม​ได้​ทำ เพราะ​การ​ทำ​ผิด​บาปเพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม) ทำ​ให้​ทุก​คน​ ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิดบาป แต่​ของขวัญ​นั้น​ ทำให้​คน​เรา​ได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่า​ไม่​ผิดบาป ทั้งๆ ​ที่ ​ทำ​ผิด​บาปตั้ง​หลาย​ครั้ง”

            นี่พระเจ้ามาเปรียบเทียบให้เราได้เห็นเลยว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราฟรีๆ ของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่มากๆ ที่ทำให้มากล้นกว่าตอนที่ได้รับมา โดยไม่อยากได้  ก็คือได้รับเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้พระคุณของพระองค์มา  ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มาในลักษณะเดียวกัน  คือใช้ความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน แต่แถมเป็นพระคุณมากกว่าตั้งเยอะ กว่าที่เราเกิดมาแล้วต้องรับโทษเป็นคนบาป ในลักษณะอย่างนั้น แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น  แตกต่างกันอย่างมาก แตกต่างกันจากผลของความผิดบาป ที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดบาปครั้งเดียวของอาดัม  ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป เรารู้แล้ว เกิดมาก็เป็นบาปแล้ว

            ในทำนองเดียวกัน แต่เป็นผลมากกว่ามาก ก็คือแต่ของขวัญนั้น ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป เป็นคนชอบธรรม แค่นั้นไม่พอ ของขวัญนั้น ไม่ใช่ให้เราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป คือยกโทษ อภัยในความผิดบาปทั้งสิ้น ที่เรารับมาเป็นมรดก จากอาดัม  มาถึงชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ดำเนินมาจนกระทั่งถึงก่อนจะเชื่อในพระเจ้า  ก่อนจะเชื่อในพระเยซู อภัยให้หมดเลย  แค่นั้นไม่พอ  เพราะถ้าให้อภัยแค่นั้นอย่างเดียว  เราก็ยังมีโอกาสไปทำบาปอีก 

            แต่ของขวัญในพระเยซูคริสต์ คือไม่ใช่ให้อภัยในความบาปผิดอย่างเดียว  แถมให้เราได้บังเกิดใหม่ ทั้งวิญญาณและใจใหม่ ร่างกายใหม่ ซึ่งร่างกายใหม่นี้จะเตรียมไว้ สำหรับเราในอนาคต หลังความตาย หลังจากทิ้งจากร่างกายนี้แล้ว แต่ให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลยบนโลกใบนี้ คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ไม่มีวันทำผิดบาปอีกเลย  เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง หมายถึงว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้านี้ เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าตัดสินเราทันทีเลยว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป  เราพ้นจากความผิดบาปแล้ว บาปในบรรพบุรุษ ในอาดัม  ที่เรารับถ่ายทอดมา  และบาปในปัจจุบันที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ หลังเชื่อแล้ว  เรายังคงกระทำอยู่ ก็ได้รับการอภัย อภัยเมื่อไร? อภัยให้ทันที  ก่อนที่เราจะกระทำ ก็อภัยแล้ว เพราะในนี้ระบุไว้ว่าทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง  ไม่รู้จะกี่ครั้ง ไม่รู้ล่ะ  อภัยหมด  ถามว่าอภัยหมดเพราะอะไร?  เพราะตะกี้ผมบอก เพราะว่าเราได้รับวิญญาณและใจใหม่แล้ว  สะอาด บริสุทธิ์แล้ว  ไม่มีบาปเลย โรม 5:17 บอกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:17  “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น (คืออาดัม) ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์”

            “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว คืออาดัม เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น คืออาดัม” ก็คืออาดัมทำบาป  เราทั้งหลายติดเชื้อบาปไปด้วย เราทั้งหลายเป็นคนบาปไปด้วย  เป็นนะ เรายังไม่ได้ประพฤติเลยนะ เราเป็นคนบาป  แต่พระเยซูคริสต์ทำความเชื่อฟัง คือเชื่อฟังพระเจ้า มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่  ในลักษณะเดียวกัน เห็นไหม? พอเราเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เป็นคนบริสุทธิ์  เราเป็นนะ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกันเลย

            นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้งก็ตาม” ก็คือทั้งๆ ที่หลังจากเชื่อแล้วประพฤติไม่ถูกต้อง ทำบาป คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยังโกรธเขาอยู่ ยังเกลียดเขาอยู่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำอะไรไม่ดีอยู่ กินเหล้าก็ยังกินอยู่ โกหก ก็ยังโกหกอยู่ พระเจ้าไม่ได้นับตรงนั้นว่าเป็นบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้ง ก็ไม่นับว่าเป็นบาป  เพราะว่ามันเป็นความประพฤติ  เราจะสังเกตได้ ทุกคนไม่เข้าใจตรงนี้  มันเป็นไปได้อย่างไร? อ้าว! แล้วตอนที่เราติดเชื้อบาปมาจากอาดัม ทำไมมันเป็นได้  เราไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง เราก็ชั่ว เป็นคนบาป  ต่อให้เราทำดีเยอะแยะมากมาย  จนกระทั่งถึงวันตาย เราก็เป็นคนบาปเท่าเดิม  คนชั่วกว่าเราตั้งเยอะ ทำชั่ว ทำเลว อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้  เวลาตายจากโลกใบนี้ ถ้าเขายังไม่เชื่อพระเยซู เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนกับเรา เท่ากับเราเลย แล้วที่เราทำดี เกิดอะไรขึ้น? ในลักษณะเดียวกัน นี่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ผมจึงได้นำท่านพูดตั้งแต่แรกว่าเรากำลังคุยกันเรื่องโลกวิญญาณ  ต้องแฟร์ๆ กันนะ อย่าเอามาผสมผสานกันนะ  ทำให้ในที่สุด ไม่มีเหตุผล ตอนที่รับกรรมจากบรรพบุรุษ ฉันมีหนี้เวรกรรม มาตั้งแต่เกิด เมื่อไรชดใช้หมดสักที มีเหตุผลหรือนั่นนะ  ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน  เพราะมันเป็นโลกวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ทางฝ่ายมนุษย์ แต่ทางพระเจ้าเห็นชัดเจน  อุตส่าห์อธิบายแล้วอธิบายอีกว่ามันเป็นลักษณะเดียวกัน  แต่คนละขั้วกัน  ขั้วไปในทางดีกับขั้วไปในทางไม่ดีนั่นเอง

            “บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์” ก็คือได้เกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ เกิดเมื่อไร? ทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีบนโลกใบนี้ เขาเกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย ถูกย้ายออกมาจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ทันที พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตเขาทันที  เขาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ทันที โรม 5:18 ต่อไป …

        โรม 5:18 “ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น”

            เห็นไหมครับ? อธิบายอย่างละเอียดมากเลย ละเอียดจริงๆ พิจารณาดูสิครับ ภาวนากับพระเจ้า ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า  ท่านก็ลองค่อยๆ คิดใคร่ครวญดูว่ามันเป็นจริงตามนั้นไหม? แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องบอกเลยนะ ใคร่ครวญในลักษณะความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ และหาเหตุผลทางฝ่ายวิญญาณ  นี่ชัดๆ เลย

            มันก็เหมือนกัน คือ “การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด” คนทั้งปวง คือมนุษย์ทุกคนได้เป็นคนบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย รับมาจากคนๆ เดียว ไม่มีเหตุเลยใช่ไหม?  แต่มันเป็นจริง การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็คือพระเยซูเพียงครั้งเดียว ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่มนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นคนชอบธรรม เห็นไหม? ได้เกิดใหม่ พ้นจากบาป เหมือนกันไม่มีผิดเลย แล้วทำไมไม่รับ พูดง่ายๆ พระเยซู พระเจ้ากำลังพูดกับเรา มนุษย์ในยุคปัจจุบันว่าทำไมไม่รับ  มันง่ายมากเลยอย่างนี้ ผมเชื่อว่าในอดีต เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนประกาศข่าวดี  คนจะเชื่อง่ายกว่านี้เยอะ ไม่ต้องคิดมาก ทุกวันนี้คิดเยอะ เพราะว่าฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  คน ฉลาด ปัญญาทางมนุษย์ ปัญญาทางโลกนี้เยอะเหลือเกิน ปรัชญาชีวิตมันเยอะมาก เรียนรู้ทางสติปัญญาของมนุษย์ แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ปรัชญาของมนุษย์ ไม่ใช่ความเข้าใจแบบมนุษย์  แต่เป็นฤทธิ์เดช  ข้อ 19 ต่อมาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:19  “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป ฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น”

            ชัดเจนเลยนะ คือในอาดัมไม่เชื่อฟัง  ทำให้มนุษย์เป็นอันมากตกลงไปเป็นคนบาป  ไม่ใช่ไปทำบาปนะ เป็นคนบาปฉันใด  การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เดินทางไปตาย ด้วยความทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป  ชำระหนี้บาปให้กับเราทั้งหลาย เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่ได้  พระองค์ยอม  การเชื่อฟังของพระเยซูนี้ ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ก็คือเกิดใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้บอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าในบริบทของโรม บทที่ 5 จริงๆ แล้วโรม หนังสือทั้งเล่ม พูดถึงโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย  หนังสือโรม เป็นหนังสือพื้นฐานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐอย่างดีมาก ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัมกับเอวา ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างโลกเลยว่าพระเจ้าเตรียมแผนการไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์โรม แล้วอยู่ในพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว แล้วค่อยๆ สืบเสาะไปเรื่อยๆ จะเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นอย่างไรทางวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ ของมนุษย์แท้ๆ เป็นปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของการรู้ ที่มาที่ไปของชีวิตของตนเอง ก็คือชีวิตของมนุษย์เองว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ  และวิญญาณจะอยู่ตลอดไป ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว  แล้ววิญญาณจะอยู่ตลอดไป อยู่อย่างไร? วิญญาณตอนนี้อยู่ไหน?  และถ้าไม่เชื่อพระเยซูคริสต์จะอยู่ที่ไหน? และถ้าเชื่อพระเยซูคริสต์อยู่ไหน? ชัดเจนมาก ในโรมบทที่ 5 นี้ ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ง ที่จริงพูดมาทั้งเล่ม  หนังสือโรม แต่ที่มันชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน และละเอียดมากกว่าหนังสืออื่น ก็คือบอกชัดเจนว่าในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ก็คือในอาดัมหรือในพระคริสต์

            ซึ่งจริงๆ อย่างที่ตะกี้นี้บอกหนังสือไบเบิ้ลทั้งเล่มพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องโลกวิญญาณ พอเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณปุ๊บ นึกภาพไม่ออก มันมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในอาดัม หรือในพระคริสต์ โลกวิญญาณที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ความเป็นมาของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งไปถึงสุดท้าย จนไปถึงอนาคตนิรันดร์เลย สรุปแล้วว่าในโลกวิญญาณมีแค่ในอาดัมกับในพระคริสต์

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นคนบาปแล้ว ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตน และได้รับเชื้อบาปนี้กันทุกคน  โดยรับเชื้อมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัมที่ทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำพาครอบครัวบ้านช่องตกลงไปอยู่ในการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ที่เรียกว่าทำบาป ไม่เชื่อ ถูกหลอก ให้หนีออกจากบ้าน

            เช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เป็นผู้เชื่อฟังพระเจ้า

            อย่างที่ตะกี้ผมได้อธิบายให้ฟัง มันง่ายมากเลยนะ เรื่องมีอยู่แค่นี้เอง ในโลกวิญญาณ เล่าแล้วเล่าอีก ประกาศแล้วประกาศอีก ประกาศทางวิธีนี้วิธีนั้น วิธีโน้น สรุปแล้วเรื่องราวมีแค่นี้  คือเกิดมา ไม่ต้องทำอะไร ก็บาป เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้า

            อาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาป ทำบาปเพียงครั้งเดียว ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม  ก็คืออยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ถ้าพูดอย่างนี้ชัดเจนขึ้น  ในยุคปัจจุบัน เรารู้จัก DNA แล้ว  คือเชื้อสายของชีวิต  แต่อันนี้เป็นเชื้อสายของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ  ทุกคนเกิดมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม เป็น DNA ที่เป็นบาป หมดเลย แก้ไขไม่ได้  เกิดมาก็มี DNA ฝ่ายวิญญาณเป็นบาป ไม่ใช่ทำบาปนะ เป็นบาป คือวิญญาณเป็น แล้วมันค่อยๆ ออกมาทำบาป แต่ DNA เป็นบาปอยู่ มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ยังอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ตอนเกิดมาบนโลกใบนี้  อาดัม ซึ่งไม่เชื่อฟังพระเจ้า อยู่ในบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เรียกว่าตายจากพระเจ้า  อยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            ถ้าเขายังอยู่ที่นี่อยู่ เขาก็ต้องรอรับการตัดสิน สำเร็จโทษตามที่อยู่ของเขา  ก็คือเป็นคนบาป ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และเมื่อวันสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้  เมื่อเขาจากโลกนี้ไป หมดลมหายใจ เขาก็จะถูกตัดสินให้เป็นไปตามความเป็นจริง ก็คือวิญญาณอยู่ที่ไหน? ก็จะอยู่ที่นั่น ตลอดไป เพราะวิญญาณไม่มีวันสูญสิ้น วิญญาณอยู่ในบาป อยู่ในความพินาศ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ก็จะอยู่อย่างนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เรียกว่าพินาศนิรันดร์นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเขาไม่ตัดสินใจ  ใครที่ไม่ตัดสินใจย้ายจาก DNA ในอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ เขาก็ต้องรอรับวันสำเร็จโทษตรงนี้แหละ

            ทางฝ่ายพระเยซูคริสต์คืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา เพียงครั้งเดียวเหมือนกัน  ก็คือยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ชดใช้หนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  ก็ทำให้มนุษย์คนใดก็ตามที่ต้องการย้ายสำมะโนครัวในวิญญาณ  จากอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ได้ทันที ใช้สิทธิของเขาได้ทันทีเลย  เพราะพระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน 2,000 ปีแล้ว เขาสามารถมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของพระคริสต์ได้  เมื่อเข้ามาอยู่ใน DNA ของพระคริสต์ เขาก็เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนอยู่ใน DNA ของอาดัม อาดัมไม่เชื่อฟัง เป็นบาป  เขาก็เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เป็นบาปด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไร? เช่นเดียวกัน เมื่อเขาย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เชื่อฟัง เป็นผู้ชอบธรรม เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เขาก็ได้รับอย่างนั้นเช่นเดียวกัน ไม่มีผิดเลย พระเจ้านับเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้อะไร?  เขาก็ได้อย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

            และเมื่อได้เป็นผู้เชื่อฟังตามพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ ชื่อของเขา แทนที่จะจดอยู่ในหนังสือแห่งความตาย ในอาดัม ก็ถูกย้ายสำมะโนครัว มาจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เห็นไหมมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง

            แล้วในพระเยซูคริสต์นี้ ในครอบครัวนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้รับการยกโทษความผิดบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย  แม้ว่าจะทำบาปกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่เหมือนเดิม เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์คนนั้น มันจึงไม่สามารถกระทบกระทั่งต่อการบังเกิดใหม่และผู้ชอบธรรมของท่านได้  ความประพฤติจึงไม่สามารถมีผลต่อวิญญาณของท่าน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหมครับ? ต้องค่อยๆ แกะทีละนิด ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ฟังดูเหมือนง่าย แต่จะให้เข้าใจ  อาจต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง  เพราะว่าเราเคยชินกับความรู้แบบเดิมๆ ความรู้แบบสติปัญญามนุษย์ เขาเรียกตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์ว่าถ้าทำอย่างนี้ ต้องได้รับอย่างนี้  ถ้าทำดี จึงจะได้ดี ทำไม่ดี แล้วได้ดี ได้อย่างไร?  อะไรแบบนี้ ยังไงๆ เขายังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ แม้เขาจะทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม  เขาเป็นลูกพระเจ้า เพราะเขาได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้เขาคนนั้น เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว รับได้ไหม?  รับไม่ได้ง่ายๆ หรอก  ไม่มีการลงโทษ ทำอะไรก็ได้ ใช่จริงๆ  นี่มันข่าวประเสริฐจริงๆ นะ  เขาจะประพฤติอะไรก็ได้ ต่อไปนี้ไปสวรรค์แล้ว ใช่ไหม? ใช่ จริงๆ  เพราะเขาบังเกิดใหม่แล้ว  และเขาแพ้ความบาป เขาทำบาปไม่ได้อีกต่อไป  หมายถึงในใจของเขา ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว อันนี้แยกไปอีกเรื่องหนึ่งว่าเมื่อเขาไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขายังคงอาจเผลอทำบาปบ้าง ซึ่งมาจากความเคยชิน และมาจากการหลอกลวง ล่อลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งพระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกสอนเขา ในการดำเนินชีวิตแบบใหม่ ไปเรื่อยๆ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ วางแผนไว้อย่างไร? แต่ละชีวิตไม่เหมือนกันว่าเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน?  พระเจ้า พระวิญญาณที่อยู่ภายใน จะเป็นผู้นำ  ช่วยให้เขาค่อยๆ ฝึกฝนชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ที่ชอบธรรมแล้ว ในพระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ฝึกฝนเขา พระคัมภีร์ในหนังสือทิตัสบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้านี้ จะสอน ฝึกฝนให้เขา ลูกๆ ของพระองค์เหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการฝึกฝนให้เขารู้จักปฏิเสธ การล่อลวง การหลอกลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อย่าไปทำตามมัน  ก็แล้วแต่ชีวิตแต่ละคนว่าฝึกฝน แล้วได้มากหรือน้อย ไม่เท่ากัน  ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับใคร? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ขึ้นอยู่กับใคร? พระเจ้าที่อยู่ข้างในจะจูงมือท่านเดิน  พระคุณของพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้  ของขวัญหมายถึงอย่างนี้ ฟรีมันหมายถึงอย่างนี้  พระเจ้าจะจูงมือท่านเดินเอง ไม่ใช่ตัวท่าน ต้องมารับผิดชอบ            “ฉันจะต้องประพฤติอย่างนี้ สมกับเป็นคริสเตียน ฉันจะต้องๆ”

            ท่านไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพระเจ้าจะจัดการท่านเอง พูดอย่างนี้ ทุกคนก็จะบอก อ๋อ! จะจัดการ ลงโทษ ตีสอน  ไม่ใช่ตีสอน ฝึกสอน ฝึกฝน  ในฐานะเป็นลูกของพระคริสต์ ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจ  ด้วยความทนุถนอม ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ  เพราะว่าเราได้เกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ลูกพระเจ้ามีแต่ความดีบริสุทธิ์  ดีพร้อม  ชอบธรรม มีแต่ความดีอย่างเดียว  รักแต่ความดีอย่างเดียว  เหมือนที่เขาเอาไปแต่งเพลงรัก แล้วยกตัวอย่างว่าเหมือนมัจฉารักวารี เหมือนปลารักน้ำ  ขาดน้ำไม่ได้ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาก็ทำดี  ทำบาปไม่ได้  แต่มีบางครั้ง ขึ้นมาบนบกไหมปลา  มี มีบางครั้งเชื่อแล้ว  ถูกหลอกให้ขึ้นบกไหม?  ก็มีเหมือนกัน  แต่ไม่เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ คือวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์เท่านั้น เป็นเครื่องตัดสินเลยว่าเขาจะอยู่ที่ไหน? ตลอดไป ตลอดชีวิตของเขา ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องนี้ว่าถ้าเรารู้ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? เราก็ดำเนินชีวิตได้ ถูกต้องและสงบ

            เหล่านี้คือพระคุณ ซึ่งพระคัมภีร์บอกพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการกระทำให้กับมวลมนุษยชาติ ทุกคนบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  แค่เข้ามารับสิทธิของเขา เขาแค่ตัดสินใจ เหมือนเราที่ได้ตัดสินใจแล้ววันนี้ วานนี้ ในอดีตเมื่อไรก็ไม่รู้ เราแค่มารับสิทธิ์ ตัดสินใจย้าย จากการอยู่ในอาดัม ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พึ่งพาในตนเองกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง  ซึ่งไปไม่รอด ชดใช้บาปด้วยตนเอง จะรอดได้อย่างไร?  เกิดมาต้องชดใช้เวรกรรม เมื่อไร? กี่ชาติก็ไม่รู้ ในใจก็รู้อยู่ดีว่าเราทำไม่ได้หรอก ก็ให้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ มีพระเจ้าเป็นพ่อ  อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  เป็นลูกที่รักของพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้า

            จำพระเยซูตอนที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ได้ไหม? เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูประกาศ เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระองค์ เรื่องนี้ ด้วยพระองค์เอง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ  พระองค์ประกาศอย่างนี้ชัดเจน มากเลย  ในหนังสือยอห์น 15:5-6 ได้ยกตัวอย่างอุปมาเรื่องนี้ พอท่านได้ยินเรื่องนี้ หลังจากที่ฟังคำบรรยายเมื่อสักครู่นี้ ตั้งแต่ต้นมา ฟังอุปมาเรื่องพระเยซู ที่ตรัสไว้  จะร้องอ๋อเลย โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า นี่เรื่องจริงๆ เลย พระเยซูประกาศแล้วประกาศอีก  เรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือหนึ่งในจำนวนที่พระองค์ได้ประกาศเท่านั้นเอง  ลองอ่านดู ในยอห์น 15:5-6 นึกถึงอาดัมให้ดีๆ ในอาดัมกับในพระคริสต์ …

        ยอห์น15:5-6 “5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใด ไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            “เราเป็นเถาองุ่น” พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยพระองค์เอง อุปมาว่าพระองค์ คือพระคริสต์ พระคริสต์ แปลว่าพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งมา เป็นผู้ช่วยให้รอด  “เราเป็นเถาองุ่น” ก็คือพระคริสต์เป็นเถาองุ่น … เถาองุ่น คือลำต้นต้นองุ่น ท่านทั้งหลาย คือมนุษย์ทั้งหมด เป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติด กิ่งก้านต่อติดอยู่กับลำต้นใช่ไหม? อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในพระคริสต์ แล้วเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา กิ่งก้านต้นไม้กับลำต้น ดูไม่ออกเลยว่าใครต่อใคร? เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน “ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” หมายถึงชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตของกิ่งก้านมาจากลำต้น  มาจากรากของลำต้น รากเป็นชีวิต ชีวิตก็มาจากพระคริสต์ นี่กำลังพูดถึงคนที่อยู่ในพระคริสต์

            “หากแยกห่างจากเรา” ก็คือไม่ได้อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ “ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย” ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ก็ไม่มีผลดีเลย ไม่ว่าท่านจะทำดีมากขนาดไหน? ก็ไม่ได้ผลดีเลย

            “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา” ก็คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม  คืออาดัม  ซึ่งตายอยู่ในบาปนั่นเอง  เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง ก็คือพินาศในบึงไฟนั่นเอง  เขาจะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

            แถมให้อีกอันหนึ่ง มัทธิว 7:17-20 ในเรื่องเดียวกัน พระเยซูอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างให้อีกเรื่องหนึ่ง …

        มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลว ย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดี ไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลว ไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”

            อย่างที่บอก เรียนรู้จักพื้นฐานของเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ  ผลของต้นไม้ดี คือชีวิตนิรันดร์ คือความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ผลของต้นไม้เลว คือตายในบาป  สกปรก ไม่ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่ดูภายนอกแล้ว ดูดีคล้ายๆ กัน กำลังพูดถึงโลกวิญญาณนะ ถ้าดูภายนอกแล้วดูคล้ายๆ กัน ซึ่งเปรียบเหมือนผลไม้พลาสติกของเทียม นี่พูดถึงผลจากต้นไม้เลว

            วิญญาณดี ก็ให้ผลดี วิญญาณชั่ว เลว บาป ก็ให้ผลชั่ว  เลว  บาป  วิญญาณดี อยู่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณชั่ว เลว บาป อยู่ในอาดัม นี่คือความหมายของข้อความเมื่อตะกี้นี้ ที่พระเยซูพูด ฟังให้ดีๆ ถ้าคุณยังอยู่ในอาดัม ต่อให้คุณทำความดี  ประพฤติดี ความชอบธรรมของคุณที่กระทำนี้  ก็เป็นเหมือนเศษผ้าที่สกปรก  ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม

            ดังนั้น สรุป ในโลกนี้ จึงมีเพียงแค่คน 2 ประเภทเท่านั้น  มีต้นไม้อยู่ 2 ประเภท คือผู้ที่อยู่ในอาดัมและผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  มีต้นไม้ดีและต้นไม้เลว  มนุษย์เป็นกิ่งก้าน จะไปต่อกับอะไร?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์เลย  ขึ้นอยู่กับต้นไม้ต้นนั้น  มนุษย์เลือกที่จะไปอยู่ ไปต่ออยู่กับตรงไหน?  ในโลกนี้จึงมีผู้ที่อยู่ในอาดัมและอยู่ในพระคริสต์ มีคนที่ทำดี ในอาดัม เป็นคนใจบุญในอาดัม นึกออกไหม?  และคนที่ใจบุญในอาดัม และมีคนที่ดูเหมือนทำไม่ดีในพระคริสต์ ดูไม่ดีในพระคริสต์ ประพฤติไม่ดีในพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าคริสเตียน ก่อนเชื่อท่านอยู่ที่ไหน?  หลังเชื่อท่านอยู่ที่ไหน? ก่อนเชื่อท่านอยู่ในอาดัม ทำอย่างไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ประพฤติดีอย่างไร ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ท่านอยู่ในพระคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน ท่านอยู่ในพระคริสต์และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป   พระเจ้าอวยพรครับ

***************************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าชี้ให้เห็นพิษสงร้ายแรงของความบาป ที่อยู่ในวิญญาณของมวลมนุษย์

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติ (คือมนุษย์ทุกคน) ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า  “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม  (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้)  ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ (โลกฝ่ายวิญญาณ) ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” (คือทำดีจากใจ ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า) 13 “ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่  พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน” “พิษงูร้าย (คือพิษสงของบาป การเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม) อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา” 14 “ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน” 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา” 18 “เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย” 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคนไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า  20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้) ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังแก้วตาดวงใจ จึงได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป

            ยอห์น 3:16 …  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม สามารถเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์   ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ