วารสาร Holy News ฉบับที่ 1353

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 8

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 2 เรามีเวลาคุยกัน เรื่องราวของถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าเราจะฟังเมื่อไร? อย่างไร?  ตอนไหน? เราก็จะฟังอยู่เรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม คือเรื่องในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์มาบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ? เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด? หลังจากที่เราเปิดใจแล้ว พระเจ้าทรงเตรียมอะไรบ้างในโลกวิญญาณ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คน แล้วพระองค์ทรงนำพาเราอย่างไร? ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ซึ่งพระเจ้าก็บอกเราว่าเรื่องของโลกใบนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือเป็นการอวยพร หรือพระพรทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจอะไรก็แล้วแต่ บนโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าทำเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว อันนั้นไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา  แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับเราแน่นอน

บนโลกนี้เราอาจจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร? ซึ่งความทุกข์ยากลำบากในแต่ละคน ก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่ขนาดที่พระเจ้าใส่ให้ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ คือพระเจ้าจะนำพาเราอย่างไร? แต่สิ่งที่แน่ๆ คือพระองค์ผู้เริ่มต้นการดีจะทรงนำพาเรา จนถึงจุดสุดท้าย ก็คือถึงชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่แล้ว อย่างที่เราคุยกันบ่อยๆ ต้องย้ำ เพื่อให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก เหล่านี้ ก็คือเป็น เกิดแล้ว พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทุกๆ คน เรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็สัญญาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา

นี่คือความจริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์อยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม  พระเจ้าจูงมือเราเดิน เดินไม่ไหว พระเจ้าก็อุ้มเรา แบกเรา พาเราจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราจากโลกนี้ไป พระองค์จะรักษาวิญญาณจิตของเราไว้ จนถึงวินาทีสุดท้ายแน่นอนพี่น้อง ให้มั่นใจได้เลยว่ายังไง ท่านก็ไม่หลุดไปจากความรักของพระเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าความรู้สึกของเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่อยู่กับเราหรือเปล่า? พระเจ้าทิ้งเราไหม? ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เหตุการณ์ยุ่งยากวุ่นวาย เข้ามาสู่ชีวิตของเรา เรื่องแล้วเรื่องเล่าเหมือนกับความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรก คือเรื่องนี้เพิ่งจบไป มาอีกแล้วหรือ? อะไรประมาณนั้น

แต่ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นแบบไหน? อย่างไร? ให้พี่น้องรับรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา แล้วพระเจ้าจูงมือเรา พระเจ้าให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านได้ ด้วยวิธีไหนไม่รู้ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้รับประกัน วิญญาณที่อยู่ข้างใน พระวิญญาณของพระเจ้าจะบอกเราเองว่าพระเจ้าไม่ทิ้งเราแน่ๆ เราผ่านได้อย่างแน่นอน แต่ผ่านด้วยวิธีไหนอีกเรื่องหนึ่ง บางคนผ่านได้ โดยที่พระเจ้าบอกว่า …

“โอเค เจอกับความทุกข์ยากลำบากเยอะ มากจนเกินไป เหนื่อยแล้วนะลูก กลับบ้านเถิด”

พาเราผ่านเหมือนกัน ก็คือผ่านจากโลกนี้ ไปสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เลย คือสบายแล้วตอนนี้ ไม่ต้องทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องอะไร? ก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือการผ่าน หรือจะผ่านอีกวิธีหนึ่ง คือทำให้จิตใจเราสงบสุข ปัญหาก็ยังอยู่รอบข้างเรา แต่ข้างในเราเริ่มเย็นแล้ว แล้วเราก็ค่อยๆ เดินต๊อกแต๊กผ่านไป หรือบางครั้งพระเจ้าให้ปัญหาหยุดเลย เรากำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ พระเจ้าแก้ปัญหา ให้เราเลย แล้วเราก็เดินฉลุยไป

คือวิธีการแต่ละอย่าง ไม่สามารถเลียนแบบได้ หรือไม่สามารถเอามาเป็น แบบฉบับว่าเราเคยเจอแบบนี้ เดี๋ยวเราเจออีก เราจะต้องได้รับผลแบบนี้ ไม่ใช่ แล้วแต่พระเจ้า แต่ว่าที่มั่นใจได้มากที่สุด คือพระเจ้ารักเรา พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรา พระองค์โอบอุ้มเรา นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา คอยมองดูเราตลอดเวลา ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน

เอเฟซัส 2:2 “ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณซึ่งบัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์)”

 

ตรงนี้ สืบเนื่องจากข้อที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงว่า “ท่านทั้งหลายตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิด” คือตั้งแต่เริ่มต้นบรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป แล้วจากเชื้อตรงนี้ DNA แห่งความบาป ได้ไล่เคลื่อนมาจนถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน ดังนั้น มนุษย์ทุกคนได้รับ DNA เดียวกัน คือ DNA บาป ที่มาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปเลย เกิดมาก็ไม่เชื่อฟังเลย เป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย หรือถึงแม้ว่าในสายตาของเรา มองดูแล้ว เหมือนกับ …

“คนนี้น่ารักนะ เป็นคนดี เป็นคนที่เชื่อฟัง เป็นคนที่รักษากฎระเบียบนะ  เขาทำดีมากเลย”

แต่ความเป็นจริง ต่อให้เขาทำดีแค่ไหน มันไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ได้ดูที่เราทำอะไร? แต่พระองค์ดูที่เราเป็นใคร? ฉะนั้น คนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า เมื่อก่อนวิญญาณเขาอยู่ในบาป คือวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป อยู่ในความมืดบอด อยู่ในคำสาปแช่ง ตั้งแต่บรรพบุรุษมา คือ DNA มาเป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครสามารถที่จะทำตัวเองให้หลุดพ้น จากการติดเชื้อบาปนี้ได้เลย ทำไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าจะทำตามมาตรฐานของพระเจ้า คือทำทุกขีด ทุกจุดได้ 100% ทุกเวลาด้วย ไม่มีว่างเว้น ถึงจะสามารถทำได้

หรืออีกนัยหนึ่ง พระเจ้าบอกว่า … “ท่านจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา ผู้เป็นผู้ดีรอบคอบ”

ซึ่งมนุษย์ฟังแล้ว ผงะเหมือนกัน ใครจะไปทำได้ ให้เป็นคนดีรอบคอบเหมือนพระเจ้าพระบิดา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้  เพราะเหตุที่เป็นไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อให้มนุษย์สามารถตาย แล้วก็เกิดใหม่ เข้ามาในโลกวิญญาณ นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าประกาศในเรื่องนี้

พอวิญญาณเราอยู่ในความบาปปุ๊บ เราก็ดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ดำเนินชีวิต ก็คือข้างในบาปอยู่แล้ว การกระทำก็บาปไปด้วย ต่อให้บางครั้งเราจะทำดี

มนุษย์ที่ข้างในเป็นคนบาป สามารถทำดีได้  หรือมนุษย์ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ข้างในเป็นคนชอบธรรม คือเป็นเลยนะ เป็นคนชอบธรรม ก็สามารถที่จะประพฤติไม่ดีได้  แยกให้ออกเลยระหว่างวิญญาณกับการประพฤติ วิญญาณของมนุษย์ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ย้ายจาก DNA เดิม คือในอาดัม เข้ามาสู่ DNA ใหม่ คือในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเขาจะกระทำดีขนาดไหน? เขาก็ไม่รอด เพราะว่าวิญญาณเขาถูกตัดสินเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณถูกตัดสินไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเขาตาย ตายก็คือขาดจากความรักของพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าหลุดไปจากมนุษย์เลย  ฉะนั้น ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถดำเนินชีวิต ให้ดีครบถ้วนได้ นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เมื่อเป็นคนบาป ทำดีแค่ไหน ก็ยังเป็นคนบาปอยู่

มนุษย์บนโลกนี้ ถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกในปฐมกาล ที่พระเจ้าบอกว่าถ้ากินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม เขาจะตายกับตาย ตาย ก็คือตายจากพระเจ้า ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากการคุ้มครองของพระเจ้า ก็คือตายจากความดีงามของพระเจ้าเลย มนุษย์ไม่มีความดีงามของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้า มนุษย์ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่เกิดผล ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น

เอเฟซัส บทที่ 2 อาจารย์เปาโลกำลังอธิบาย ถึงก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่มาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเดิมเขาเป็นแบบนี้ วิญญาณเดิมเขาถูกควบคุม ถูกครอบงำ โดยเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ก็คือมารครอบงำ ครอบคลุม จริงๆ แล้ว มารมันทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม มารทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจ แต่มารสามารถที่จะใส่ข้อมูลลงมา ที่สมองของมนุษย์

เราเคยเห็นสมัยก่อนเขาเล่นปั่นจิ้งหรีดกันไหม? จิ้งหรีดอยู่เฉยๆ แต่พอปั่นๆ งง มันตีกันเลย นั่นแหละภาพเดียวกัน คือมารทำได้อย่างเดียว ก็คือพยายามปั่นหัวมนุษย์ ให้ทำตามมัน ตอนปั่นไปใหม่ๆ มนุษย์อาจจะ …

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

แต่พอปั่นเยอะๆ เข้า คล้อยตาม พอระบบความคิดคล้อยตามปุ๊บ สมองจะสั่งการมาที่ร่างกาย  ทำให้เราทำตามที่มารมาหลอกเรา มันจะเป็นภาพอย่างนี้แหละ  เป็นภาพที่ว่ามารทำอะไรเราไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ยอม คำว่า “เรา” ยังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านะ และยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่ในเรา แล้ววิญญาณใหม่ของเรา คือชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักคำว่าบาป คืออะไร? แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ฉะนั้น ร่างกายหรือสมอง ความคิดของเรา ยังสามารถที่จะรับสื่อของมารเข้ามาได้อยู่ ถ้าเรารับสื่อของมารเข้ามาเยอะๆ ปุ๊บ สมองเก็บข้อมูลๆ ที่มารใส่เข้ามา สมมติว่ามีคนทำไม่ดีกับเรา มารก็จะใส่ข้อมูลเข้ามา …

“เขาทำไม่ดีกับเธอ เธอให้อภัยเขาไม่ได้หรอก เธอต้องเก็บและเธอต้องจำ เธอต้องแก้แค้น เธอต้องตอบแทน  เธอต้องโต้กลับไปเลย” นั่นคือข้อมูลของมารใส่เข้ามา ในความคิดของผู้เชื่อ

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ก็บอกว่า … “ให้อภัยเขาเถิด”

พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันมี 2 ขั้วแล้วตอนนี้ เรามีกำลังพอที่จะต่อสู้ พอรับรู้ความจริง ในเรื่องของพระเจ้าว่าตอนนี้เราเป็นคนใหม่แล้วนะ  พระเจ้าให้ธรรมชาติใหม่กับเรา ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  คือความชอบธรรม คือความสว่าง  คือความดี นั่นคือธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ใหม่ของเรา ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ เราก็ต่อต้าน ขัดขืนมัน เราไม่เชื่อมัน พอเราไม่เชื่อมัน เราก็ไม่ทำตามมันใช่ไหม? เราก็เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้ามา พอข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาในสมองของเราเยอะๆ สมองของเรา ก็จะสั่งการ ให้ร่างกายของเราสำแดงความรัก  สำแดงการให้อภัย  ไม่ว่าคนนั้นเขาจะทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็จะสำแดงการให้อภัย ออกไป แต่ว่าการสำแดงจะมากหรือน้อย  ก็แล้วแต่ ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเราเลย ตรงนี้พี่น้องต้องชัดเจน แยกให้ออกเลยว่าคริสเตียน อย่างที่เมื่อกี้บอก คนที่เป็นลูกพระเจ้า มีโอกาสที่จะประพฤติไม่ดี มีโอกาส เพราะสมองเราไปฟังระบบของโลกนี้ มันปั่นเรา หรือพยายามที่จะส่งข้อมูลที่ไม่ดี แล้วเราก็ไปฟังมัน …

“เหรอๆ อย่างนี้ให้อภัยเขาไม่ได้ใช่ไหม? ต้องฉะเลย”

เอาแล้ว เราก็ฉะเลย อะไรประมาณนี้ แต่ว่าไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลยนะ อันนี้ชัดเจน  สมัยก่อน เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับมาร ไม่มีกำลังพอจริงๆ พอมารมันปั่นหัวเราปุ๊บ ใส่ข้อมูลมาปุ๊บ เราก็รับข้อมูล บางครั้งด้วยกำลังเราเอง เราก็สู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง  แต่พอเสร็จสรรพ เราก็อาจจะทำสิ่งที่ดีออกไป  หรือทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แต่ว่าไม่ว่าทำดี หรือทำไม่ดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติข้างใน คือ DNA ที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ให้เป็นคนชอบธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้ทำดีให้ตาย ก็ยังคงอยู่ในการพิพากษาอยู่ ก็คือถ้ามนุษย์คนนั้น ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อมนุษย์ พอมนุษย์ตาย คือไม่ใช่มนุษย์แล้ว เป็นวิญญาณ วิญญาณ ก็คือ จบแล้ว ลมหายใจออกจากร่าง จบแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับใจใหม่ได้อีกเลย แล้วถ้ามนุษย์คนนั้น รอจนวันสุดท้ายของชีวิต ที่ลมหายใจออกจากร่าง  แล้วเขายังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของเขา ไม่เปลี่ยนจากการพึ่งการทำดีของตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง  พยายามรักษากฎบัญญัติด้วยตัวเอง เพื่อมาพึ่งในพระเจ้า ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เขาอยู่ที่เดิม คือยังอยู่ในบาปอยู่ ยังอยู่ในการพิพากษาอยู่ วิญญาณเขาก็ต้องไปถูกพิพากษาในนรก หรือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า หลังความตาย  นี่คือสิ่งที่น่ากลัว

ฉะนั้น ถ้าใครก็ตาม ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ปุ๊บ ให้สบายใจได้เลย พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสามารถเอาแกะออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ เมื่อเราเกิดแล้ว เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ว่าพฤติกรรมที่เราทำบนโลกใบนี้ จะออกผลมาเป็นอย่างไร? ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็อยู่โลกนี้ ลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่ากฎของโลกนี้ ก็มี พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ควบคุมทั้งกฎของวิญญาณ และกฎของโลกใบนี้ด้วย ถ้าคริสเตียนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ทำตามกฎ ที่ถูกวางไว้บนโลกใบนี้ ทำตามใจตัวเอง  คริสเตียนคนนั้น ก็ต้องรับผลของการกระทำของเขา เพราะว่าพระเจ้าเรายุติธรรม พระเจ้าไม่ได้เข้าข้างใคร? ไม่ได้ลำเอียงว่า …

“คนนี้เป็นลูกฉัน ไม่เป็นไร เขาทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผลหรอก บนโลกใบนี้”

ไม่จริงนะ อย่าโดนหลอก พี่น้องต้องรับผลแน่นอน บนโลกใบนี้ แต่ผลทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องรับ เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อันนี้ชัดเจน

หลายคนจะคิดว่าถ้าเราสอนว่าไม่ว่าเราทำอะไร ก็ตามที่ไม่ดี  ไม่มีผลเกี่ยวกับโลกวิญญาณ คืออย่างไรเราก็เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนทำอะไรก็ได้  ทำชั่ว ทำบาป ก็ไม่มีผลอะไร? ไม่จริงนะ พระเจ้าบอกผลของร่างกายนี้ เรายังต้องรับอยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรายังต้องรับผลตรงนี้อยู่ แต่ผลวิญญาณไม่ต้องรับ ถ้าพี่น้องไม่แยกให้ชัดเจน เราก็จะงง ตกลงเราจะโดนหรือไม่โดน แต่พระเจ้ายังคงยืนยันว่าวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แต่ผลของโลกใบนี้ ถ้าเราอยากจะอยู่ให้ลำบากน้อยลง เพราะปกติมันก็ลำบากอยู่แล้ว มาเชื่อพระเจ้า  ก็ยังลำบากอยู่ เพราะพระเยซูบอกว่า …

“ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้วไง”

ลำบากอยู่ แล้วถ้าเรายังทำไม่ดี เราก็เพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง ซึ่งพอเราเพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง  พระเจ้ามองแล้ว  …

“ลูกเอ๋ย ลูกทำทำไม ลูกทำเหมือนถีบประตัก ก็เจ็บตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรลูกเลยนะ ลูกทำเอง แล้วลูกก็ต้องรับด้วย” นี่คือความยุติธรรมของพระเจ้า

พอเสร็จในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “วิญญาณที่ยังมีอำนาจอยู่ในย่านฟ้าอากาศ ตอนนี้ทำการงานอยู่ในบรรดาผู้ไม่เชื่อ”

“บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ” คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของการไม่เชื่อฟัง วิญญาณเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง มันไม่ใช่ลักษณะอาการที่เราแสดงออกว่าไม่เชื่อฟัง แต่อันนี้เป็นธรรมชาติ ความเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือมันเป็น DNA ที่ไม่เชื่อฟัง มันเกิดขึ้น แม้ว่าดูเหมือนบางครั้งคนนี้เชื่อฟัง แต่วิญญาณข้างในเขาเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟัง พอเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังปุ๊บ มันก็อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง  คือเราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้เชื่อฟัง วิญญาณเราเปลี่ยนเป็นวิญญาณเชื่อฟังเลย  แต่หลังจากนั้น พอเรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังแล้วนะ เราก็เริ่มต้นฝึกฝนตัวเอง ให้ทำตามวิญญาณใหม่ของเรา ก็คือทำตามวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า

ฉะนั้น เรามีสิทธิ์เลือก พระเจ้าให้อิสระเรา ไม่ว่าก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า หรือหลังเชื่อพระเจ้า พระเจ้ายังเป็นองค์เดิม วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้า หรือยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจให้กับมนุษย์

พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าในขณะที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นความสว่างแล้ว เราเป็นความดีงามแล้ว แล้วเราเลือกที่จะประพฤติตามธรรมชาติใหม่ของเราหรือไม่ในแต่ละวัน

การประพฤติตามธรรมชาติใหม่ตรงนี้ เราก็ไม่ต้องพยายามประพฤติอีก พูดแล้วพี่น้องอาจจะงง แต่มันเป็นเรื่องจริง พอเรารับรู้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะรู้ว่าข้างในเราเป็นอย่างนี้ พอเราเจริญเติบโตขึ้นระดับหนึ่ง เราก็จะทำเองได้ มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ

ในพระคัมภีร์ พระเยซูพยายามที่จะยกตัวอย่างของต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ทำไมพระเยซูต้องยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าพวกต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้ มะละกอ ส้ม มะพร้าว อะไรก็แล้วแต่ ก็คือแต่ละอย่างมันเป็นชนิดของมัน ที่พระเจ้าสร้างไว้ชัดเจนว่าต้นมะละกอ ปลูกลงไป ผลมันออกมา ต้องเป็นลูกมะละกอ ไม่ใช่ต้นมะละกอ ผลออกมาเป็นมะพร้าว เราปลูกมะละกอ ไปดูอีกที …

“มันออกมาเป็นมะพร้าวได้อย่างไง เราไม่ได้อยากกินมะพร้าว เราอยากกินมะละกอ”

คือผลมันจะออกมาอย่างนั้น แล้วผลมันออกเองไม่ได้ ต้นมะละกอจะอยู่เฉยๆ แต่ขึ้นอยู่กับคนปลูก ถ้าเรามองตามสายตาของมนุษย์ ก็คือมนุษย์คนหนึ่งคนใด นาย ก. นาย ข. ปลูกใช่ไหม? แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปอีก คนที่ปลูกจริงๆ คือพระเจ้า คนหว่านและคนปลูก ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดผล ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้ต้นมะละกอนี้เกิดผล ต่อให้เราปลูก เราประคบประหงม เราดูแลอย่างดี มันก็ตาย  มันมีสิทธิ์ที่จะโดนแมง โดนหนอนกัดกิน จนตายไปได้  แต่พอมันเจริญเติบโตถึงระดับหนึ่ง

พี่น้องดูจากต้นไม้ใบหญ้าอย่างนี้ จะชัดเจนมาก ตอนถูกหว่านไปเป็นเมล็ด เมล็ดต้องเน่า แล้วมันก็เกิดออกมาเป็นต้นกล้า แล้วมันก็จะค่อยๆ โต แล้วคนที่ปลูก เขาก็จะไปเฝ้ามอง วันนี้โตขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วเขาจะรู้ว่าแต่ละต้น  แต่ละอย่างต้องใช้เวลากี่ปี? กี่เดือน? มันจะออกผลให้เรา พอถึงเวลากำหนด สมมติว่ามะม่วงปลูก 5 ปี มันจะออกผลให้ นอกจากเราไปซื้อต้นที่มันพร้อมจะออกผลแล้ว มาลง มันเกิดผลเลย ถ้าตามที่เราปลูกตั้งแต่ต้น 5 ปี คนปลูก ก็ทำหน้าที่ของเขาไป รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย  เก็บเล็มอะไรที่มันไม่ดีออกไป พอถึงเวลากำหนดมันออกดอก แล้วผลมันก็ออกมาเอง ต้นมะม่วงไม่ได้ทำอะไรเลย ยืนเฉยๆ ตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนใครไม่รู้ เขาปลูกเอาไว้เฉยๆ เลย แต่เขาเกิดออกมาเป็นผล ภาพเดียวกัน

หรือแม้แต่ดอกไม้ ที่เราปลูก พอถึงเวลา ตอนนี้ต้นหางนกยูง  ที่อยู่หน้าโบสถ์เริ่มออกดอกแล้ว  เป็นฤดูกาลของมัน ปีนี้ออกเร็วนะ มันออกมาช่อหนึ่ง  ปกติพอถึงเดือนเมษา ใบมันจะผลัดออกเกือบหมด แล้วดอกมันก็เริ่มขึ้นเป็นช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง แล้วต้นนี้เราดูมา 19 ปีแล้ว มันออกดอกให้เราทุกปี ออกมาสวยมาก พอเมษาปุ๊บ มันจะออกเต็มทั้งต้นเลย แล้วมันจะอยู่ประมาณเดือน, สองเดือน  หรือสามเดือน ไม่แน่ใจ มันก็จะสวยงาม ต้นหางนกยูงมันไม่ได้ทำอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ ผู้ที่ทำให้มันออกดอก ออกผล คือพระเจ้า นี่เราต้องเล็งไปที่พระเจ้า มนุษย์มีหน้าที่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย  แต่พระเจ้าทำให้เกิดผล ทำให้เติบโต คริสเตียนเหมือนกัน เราจะพยายามไปเร่ง บีบให้ตัวเอง ออกผลไม่ได้ เพราะผลมันไม่ได้เกิดจากความคิด ความสามารถ หรือความตั้งใจของเราว่าอยากให้มันออกผลเยอะๆ ไปเลย รีบๆ โต มันรีบโตไม่ได้นะ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป พอถึงเวลาที่โตจริงๆ แล้วพระเจ้าเห็นว่าคนนี้โตพอ ที่กิ่งของคนนี้ สามารถที่จะรับผลได้ รับผลตรงที่ไม่ทำให้กิ่งหัก พระเจ้าก็จะให้ผลมันออกมาตามน้ำพระทัยของพระองค์

ตอนที่เราต้อนรับพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกหักกิ่ง  จากต้นเดิม  คือต้นอาดัม ต้นแห่งความบาป มาปักเสียบในต้นใหม่ คือต้นของพระเยซูคริสต์ พอปักเสียบใหม่ๆ คริสเตียนที่เชื่อใหม่ๆ ไม่มีผลอะไรหรอก ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดผล กิ่งนี้อาจจะหัก เพราะว่ายังต่อไม่สนิท เมื่อยังต่อไม่สนิท แล้วพยายามให้ผลมันออก มันก็รับน้ำหนักไม่ไหว มันก็หัก แล้วก็ตายไป เหมือนมนุษย์พยายามที่จะผลักดันให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ รีบออกไปรับใช้ รีบออกไปทำให้เกิดผล กิ่งเขายังแบเบาะมากเลย ยังไม่ติดสนิทเลย พี่เลี้ยงก็ผลักดันออกไป ปรากฏว่ามันรับน้ำหนักไม่ไหว ผลมันไม่ใช่ผลจากพระเจ้า มันก็เลยหักคาต้น แล้วมันก็ตายจากไป มันก็หายไปเลย นึกออกไหม? มันเป็นภาพเดียวกัน เป็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้ทำการงานอยู่ในใจของพวกเราทุกคน พระเจ้ามีแผนการสำหรับแต่ละคน ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ทำอะไร? อย่างไร? เหมือนกับร่างกายของมนุษย์

ผู้เชื่อเป็นเหมือนอวัยวะในร่างกาย โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ ฉะนั้น อวัยวะในร่างกาย ก็คือแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน ในหนังสือโครินธ์บอกว่าไม่ใช่ทั้งร่างกาย มีแต่ลูกตา หรือทั้งร่างกายมีแต่จมูก ทั้งร่างกายมีแต่ปาก ก็กลมดิ๊ก ทำอะไรไม่ได้ แต่ร่างกายประกอบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ตับ ไต ไส้ พุง แขน ขา หัวใจ ปอด ม้าม คือพระเจ้าเตรียมทุกส่วน ในร่างกายของเรา ให้ทำงานตามความเหมาะสม เนื่องจากมนุษย์ล้มลงในความบาป ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหลาย มันก็เลยต้องสูญเสีย คือใช้งานนาน มันก็เริ่มเสื่อมถอยไป นี่เป็นเรื่องปกติของโลกวัตถุ ณ เวลานี้ ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ร่างกายเราก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมไป ตามสภาพที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  แต่ในโลกวิญญาณ พระจ้าทรงเตรียมผู้คนของพระองค์ ผู้เชื่อ คือให้แต่ละคนทำหน้าที่ตามความเหมาะสม ตามชอบพระทัยของพระเจ้า  ไม่ใช่เราเป็นคนเลือก พระเจ้าเลือกให้ ใครเป็นหู เป็นตา เป็นจมูก เป็นลิ้น เป็นกาย เป็นตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ ม้าม ปอด อะไรก็ว่าไป ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกส่วนสำคัญหมด เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าใคร?

เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าหมด เป็นน้องของพระเยซูหมด ดังนั้น แต่ละคนแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้งานอะไร? แล้วเมื่อพระเจ้าจะใช้งาน พระเจ้าก็จะให้ความสามารถ พระเจ้าไม่ใช่ผลักเราออกไป แล้วก็ไปตายเอาดาบหน้าเลย ไปหาวิธีเอาเอง ไม่ใช่ พอพระเจ้าจะใช้เรา พระเจ้าจะให้เครื่องไม้ เครื่องมือ ให้ความสามารถ ให้กับแต่ละคน จะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนกับพรสวรรค์ พี่น้องนึกพรสวรรค์ออกไหม?

พรสวรรค์  พระเจ้าให้คนที่มีพรสวรรค์เขาจะทำอะไรเหมือนกับง่ายดาย มองแล้ว ทำไมเขาทำง่ายอย่างนี้  เรามาฝึกแทบตาย เราไม่เห็นทำได้อย่างนี้เลย แต่บางคน เขาเรียกว่าพรแสวง พยายาม ไม่ได้ เราไม่มีความสามารถตรงนี้ แต่เราอยากทำ เราก็พยายามทำ พอทำจนเสร็จ บางทีมันไม่ได้ เราก็จะทิ้งมันไป ท้อใจ

พูดถึงพรแสวง ตอนที่เรามีโบสถ์นี้ใหม่ๆ เรียนพระคัมภีร์ มีหลักสูตรหนึ่งให้เล่นดนตรี ทุกคนก็ไปซื้อกีต้าร์ ดิฉันคนหนึ่งล่ะ ไปซื้อกีต้าร์มา ดีดมา 2 ปี ร้องอยู่เพลงเดียว …

“ขอโปรดเตรียมเรา  ที่จะถวายเป็นเครื่องบูชา”

ร้องนะ แต่ดีดไม่เคยตรงคีย์ แล้วจนทุกวันนี้ ร้องไม่เคยตรงจังหวะ  ถ้ามีขึ้นดนตรีปุ๊บ ไปไม่ถูก คืออันนี้พยายามเป็นพรแสวง แต่แสวงจนเสร็จต้องถอดใจว่ามันไม่ใช่  พระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาอย่างนี้ เราไปหาที่ที่พระเจ้าเรียกเรา ใช้เรา ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้ศักยภาพ หรือให้เป็นพรของเราดีกว่า แล้วเราจะทำงาน แบบไม่เหนื่อย มันเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้กับเรา เราทำ แล้วเรามีความสุขด้วย เหมือนกับเราใช้ขาเดิน  เรามีความสุขเนอะ ถ้าวันหนึ่งเราจะไปใช้มือเดินแทน เดินแป๊บหนึ่ง เราก็เหนื่อยแล้ว ไม่ไหว พอเดินเยอะๆ มือเราเดี้ยงเลย อย่างไงก็ไม่ได้

พอเราเห็นภาพ ความเป็นจริงในทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเรา เราก็จะอยู่อย่างมีความสุข บนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วเรารู้ว่าน้ำพระทัยที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคน ดีที่สุด เพราะว่าพระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของเรา แล้วพระเจ้ามอง ไม่ใช่มองตอนนี้ ที่เราเป็น แต่พระเจ้ามองตอนที่มันจบสิ้น เรียบร้อยแล้ว เราแต่ละคนสวยงาม ตามที่พระเจ้าได้เขียนไว้

นี่แหละ คือการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการของพระเจ้า เข้าใจถึงทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เราจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข และเราสามารถสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณ สำหรับพระเมตตา  ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดูแลพวกเรา

คำว่า “ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง” ก็ไม่ได้หมายความว่าพอพระเจ้าดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง แล้วเราจะไม่เป็นอะไร อันนั้นไม่เกี่ยว ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองวิญญาณจิตของเราแน่นอน ไม่เป็นอะไรแน่นอน เราปลอดภัย แต่ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย เยอะแยะมากมาย

สมมติ ถ้าเราอายุเยอะ แล้วเดินไม่ระวัง อย่างดิฉัน เดินไม่ระวัง ก็หัวทิ่ม เราก็เจ็บ ได้แผล ประมาณนี้ คือเราต้องรับรู้ความจริงว่าร่างกายเรา สังขารเราไม่ได้แล้ว  ตอนนี้อายุเยอะแล้ว ไม่เหมือน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลุกปุ๊บ ไปเลย ตอนนี้เวลาลุกก็ค่อยๆ ลุกเร็ว มีสิทธิ์หน้ามืด หัวขมำได้

พี่น้อง พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ ถ้าเรารักษาเต็มที่แล้ว มันยังเกิด อันนั้น มันช่วยไม่ได้ ช่างมันเถิด ดูแลสุขภาพร่างกายอย่างดีแล้ว มันยังเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังขาร ที่เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ จริงหรือไม่จริง? คริสเตียนป่วยตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนถูกอุบัติเหตุตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนไปเจอแจ๊คพอต ไปอยู่ในที่ที่เขาตีกัน แล้วเราก็ถูกลูกหลง ถูกมีดฟันตายก็มี ฉะนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่าปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองเรา เราจะไปไหนก็ได้ฉลุย รับรองพระเจ้าดูแลเรา ส่งทูตสวรรค์มาช้อนเราไว้ ไม่ใช่ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่ในโลกวัตถุ ไม่มีใครสามารถเป็นหลักประกันได้ เพราะว่าตรงนี้ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขแห่งพันธสัญญา  ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น พออยู่บนโลกใบนี้ เราก็ระวังให้เต็มที่นั่นแหละ เราจะไปไหน เราก็อธิษฐาน ขอพระเจ้าดูแลปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง เรายังคงอธิษฐานได้อยู่ แต่ถ้าบังเอิญเจอแจ๊คพอต มาเจออย่างนี้ เราอธิษฐานไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจอ ก็ขอบคุณพระเจ้า อย่างไรก็ต้องเจอ ก็ไม่เป็นไร ให้รับรู้ว่าเมื่อเจอ เราก็รับตรงนั้นมา แล้วพระเจ้าจะให้กำลังเราผ่านไปได้

พอเรารับรู้ตรงนี้ เราก็จะไม่ต่อว่าพระเจ้า … “อธิษฐานแล้ว ทำไมพระเจ้ายังให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

อะไรประมาณนั้น เพราะว่าโลกนี้ได้ถูกทำให้เสียหายไปหมดแล้ว มันรวนไปหมดแล้ว  เราจะคาดหวังให้ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี เหมือนที่เราอธิษฐานไว้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ดีเลิศ ประเสริฐศรีจริงๆ ก็คือในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกมันเรียบร้อยแล้ว มันสวยงาม

นี่คือภาพที่พระเจ้าให้เรามองเห็น ฉะนั้น มนุษย์ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าเขามีวิญญาณไม่เชื่อฟัง พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีวิญญาณที่เชื่อฟังทันทีเลย ไม่ต้องพยายามทำ แล้วต่อจากนั้น เรียนรู้ความจริงมากๆ ผลมันจะออกมาเอง

พอเราเข้ามาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าปุ๊บ เราก็จะเห็นภาพหนึ่ง ที่พระเจ้าให้เราเห็น ก็คือตอนนี้ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้เราอยู่ในไหน? เราต้องรู้ตรงนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในฝั่งชอบธรรม เราอยู่ในฝั่งของความดีงาม เราอยู่ในฝั่งของความเชื่อฟัง เราอยู่ในฝั่งของความสว่าง เราอยู่ในฝั่งของพระเจ้าทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงกันข้าม  ถ้าพระเจ้าเป็นความสว่าง คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  คือความมืด ถ้าพระเจ้าเป็นความดีงาม คนที่ไม่เชื่อ คือความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าเป็นความเชื่อฟัง คนที่ไม่อยู่ในทางพระเจ้า ก็คือคนที่ไม่เชื่อฟัง มันจะอยู่ตรงกันข้ามเลย พอเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็จะไม่โดนหลอก เวลาเราเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มารมันก็จะมาหลอกเราทันที  มารก็ใส่มาในความคิดของเราเลยว่า …

“เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอทำอย่างนี้ๆ ทำได้อย่างไร พระเจ้าไม่รักเธอ”

ยืนยันกลับไป … “ไม่ว่าฉันทำอะไรก็ตาม ฉันเผลอทำ หรือถูกเธอหลอกให้ทำ ฉันก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักมากด้วย ดังแก้วตาดวงใจอยู่ดี” … ต้องยืนยันตรงนี้ให้ได้

คือจริงๆ อยากจะให้ความชัดเจนกับพวกเรา พอเรารู้ความจริงชัดเจนมากขึ้นเท่าไร? เราก็จะไม่โดนหลอกมากเท่านั้น พี่น้องอดทนฟังไปนิดหนึ่งนะ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เหมือนเดิม แต่ว่าตรงนี้เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เป็นเรื่องที่พวกเราถ้ารู้ทะลุปรุโปร่ง เราจะเป็นไท เป็นอิสระเลย แล้ววิญญาณเราจะไม่ต้องมานั่งกังวล คือทุกวันนี้มารพยายามใส่ความคิดให้เรากังวล  ทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็เริ่มกังวล ตกลงตรงนี้อะไรอย่างไง? พอเรารู้ความจริง เราจะเลิกกังวล ในเรื่องนี้เลย และเราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ที่เป็นผู้เชื่อ รับรู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระเจ้าไม่เคยละสายตา จากชีวิตของเราเลย แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว แม้บางครั้งเจอความทุกข์ยากลำบาก เราอาจจะคิดว่าพระเจ้าไม่สนใจเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงยืนยัน ในขณะที่เราทุกข์มากที่สุด พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระเจ้าคอยดูแลเราอย่างแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2 โครินธ์ 4:17 “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น  เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย”

 

สังเกตให้ดีนะครับ  ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งที่ต่างกัน

 

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบเทียบระหว่าง  …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก และ …

(2) สง่า ราศี และพระสิริ

 

มาดู ลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เรากำลังเปรียบเทียบกัน …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย

(2) สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ? อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ในขณะที่สง่า ราศี และพระสิริพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์และยิ่งใหญ่

นี่คือที่บอกว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เล็กน้อย  ชั่วคราว กับยิ่งใหญ่ ถาวรนิรันดร์

 

โรม 8:18 “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น  ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

 

แต่ไม่ใช่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์เลยนะครับ ตรงนี้ ยังบอกว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่ สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดี ในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐาน ที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”

 

ดังนั้น เมื่อเราได้รู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา จับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อย และเป็นสิ่งชั่วคราว

(2) สง่าราศีและพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราแล้ว … เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ถาวรนิรันดร์

 

เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว  เราจะจดจ้อง มองไปที่ใด?

คำตอบ คือ …

2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตา มองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้า) เป็นถาวรนิรันดร์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ