วารสาร Holy News ฉบับที่ 1352

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 4

“การพึ่งพาในการกระทำดีของตน  เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถ้อยคำของพระเจ้าในวันนี้ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็น ตอนที่ 4 ซึ่งผมให้ใช้ชื่อเรื่องว่า “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว อย่างที่ผมสรุปหลายๆ ครั้งแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นการบรรยายเรื่องอะไร? ตอนอะไร? ถ้าเป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จะหนีไม่พ้น เรื่องราวใน 4 ประเด็นหลักนี้เท่านั้น ตามที่พระเยซูได้มาประกาศ และตระเวนสั่งสอนผู้คนในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็มีอยู่แค่ 4 ประเด็นเท่านั้น

“ฉันต้องจำตรงนี้ให้ได้ ตรงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของความจริง ความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อย่าให้ใครหลอกได้ 4 อย่างนี้เท่านั้น”

ประเด็นที่ 1 คือมนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ มีบรรพบุรุษอยู่ในอาดัม ตายจากชีวิตนิรันดร์ คือความดีงามของพระเจ้าตายไปแล้ว ตายจากความดี ก็มีธรรมชาติของความชั่วอยู่ในตัว

ประเด็นที่ 2 คือเมื่อมีบาปมาตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีบาป ก็อ่อนแอ จึงไม่สามารถที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการพึ่งการกระทำของตนเอง ให้เป็นคนดีได้ เพราะว่าเกิดมาในวิญญาณ ใน DNA ก็เป็นบาปแล้ว

ประเด็นที่ 3 คือเมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ ไปสวรรค์ด้วยตนเองไม่ได้ ก็ให้มาพึ่งเรา “เรา” คือพระเยซู ให้มาพึ่งพระเจ้า และพระเยซูสัญญาว่าพระเจ้า พระบิดา จะส่งพระบุตร คือพระเยซูมาประกาศว่าพระองค์เป็นทางนั้น ที่เราจะเข้าสวรรค์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อ พึ่งพาในพระองค์เท่านั้น

ประเด็นที่ 4 เมื่อเชื่อพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้น อัศจรรย์เกิดขึ้น บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิต ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ดีครบถ้วนบริบูรณ์ในวิญญาณเลยทันที พิสูจน์ได้บนโลกใบนี้  ขณะที่มีลมหายใจเลย

นี่คือ 4 ประเด็นหลักของข่าวประเสริฐ ของเรื่องราวของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งวิวรณ์ ย้ำกันอีกว่าคำประกาศ หรือคำสอนของพระเยซูทั้งหมด ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย

ถามว่าทำไมพระเยซูไม่เน้นสอนเรื่องศีลธรรมและความประพฤติ การทำดีทำชั่ว ทั้งๆ ที่ทั้งโลกก็บอกว่าดี ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ก็เพราะว่าเรื่องการทำดีทำชั่ว มันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกและมนุษย์ทุกคน รู้อยู่แล้วในใจ รู้อยู่แล้วในวิญญาณ ไม่ต้องสอน เรื่องความดีความชั่ว มันถูกฝังเอาไว้แล้ว ตอนที่เกิดมา ก็เป็นแล้ว ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ในวิญญาณนั่นแหละ

การสำนึกในการทำดี การทำชั่ว มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ครั้งที่มนุษย์ บรรพบุรุษของเราคู่แรก คืออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ในการพึ่งพาตนเอง ตายจากชีวิตนิรันดร์ ตายจากความดีงามของพระเจ้า นั่นแหละ มันเกิดขึ้นตอนนั้น

ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก ทุกอย่างมันดีหมด ทั้งโลกที่เป็นสรรพสิ่ง เป็นโลกวัตถุก็ดีหมดเลย มันไม่วิปริต ยุ่ง วุ่นวายอย่างนี้ แล้วในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ก็สวยสดงดงามทั้งสิ้น มีเพียงกฎเดียว ที่มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของพระเจ้า กฎแห่งความรัก มนุษย์ยังไม่รู้จักเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย ทำอยู่อย่างเดียว คือเชื่อพ่ออย่างเดียว เชื่อพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไร? ก็ว่าอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “ดี” ก็โอเคดี

พระเจ้าบอกว่า … “เราสร้างเจ้าดีมากกว่าอย่างอื่นตั้งเยอะ” ก็ดี

จนเมื่ออาดัมและเอวาไปเชื่อมาร ที่ล่อลวงให้ขัดคำสั่ง ให้กบฏต่อพระเจ้า ให้กินผลไม้ต้องห้าม เพื่อที่จะมีปัญญามากขึ้น เหมือนพระเจ้า ถูกหลอก จึงทำให้มนุษย์เกิดสำนึกของการเรียนรู้จักความดีและความชั่ว คือต้องการกระทำดี และละความชั่ว ด้วยความสามารถของตนเอง พึ่งตนเอง ตนเองเป็นใหญ่แล้ว คราวนี้ตนเองก็เป็นพระเจ้า บูชาความดีงามของตนเอง ซึ่งสิ่งที่อาดัมและเอวาทำ ก็คือการขัดคำสั่ง กบฏ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบาป คือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าวางไว้

สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็ตาม  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ คือเชื่อฟังในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ก็จะถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎ มนุษย์ก็ไม่เว้น แม้ว่าจะถูกหลอกก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา อยู่ในกฎแห่งพระพร เชื่อพระเจ้าเฉยๆ ก็ดีแล้ว ไม่เอา อยากจะมาอยู่ด้วยตนเอง ก็ไปอยู่ด้วยตนเอง ก็เลยเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย

นี่แหละ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ที่ตัวเองเป็นคนเลือก พวกเราไม่ได้เลือกหรอก แต่บรรพบุรุษของเราเลือก ต้นตระกูลของเราเลือก แล้วเราก็ต้องอยู่ในต้นตระกูลของเรานั่นแหละ DNA เหมือนกัน ก็คืออยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย แล้วมนุษย์ก็ถูกย้าย ออกจากการอยู่ในกฎของพระเจ้าในสวรรคสถาน ตกกระป๋อง มาพึ่งตนเอง มาอยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าไม่ใช่เชื่อพระเจ้านะ เชื่อในตัวเอง ต้องทำด้วยตัวเอง มีบัญญัติไว้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” คุ้นไหม? เกิดมา ก็ไม่ต้องมีใครสอนแล้ว รู้ว่าทำดี ก็ต้องได้ดี ทำชั่ว ก็ต้องได้ชั่ว ทำชั่วแม้นิดเดียว ก็ต้องได้ชั่ว ก็ต้องตาย เพราะในวิญญาณมันตาย อยู่แล้ว เข้าสวรรค์ไม่ได้ อยู่คนละข้างกันกับกฎของพระเจ้า ซึ่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ต้องไม่มีการตาย คือไม่มีการทำชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่อมนุษย์ต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความพยายามที่จะทำดีและละชั่ว เพื่อให้หลุดพ้นจากโทษของความบาป ที่กระทำนั้น ละจากโทษของการทำชั่ว ซึ่งรู้ว่าทำชั่ว แล้วถูกลงโทษ แต่มันก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ตามที่ในใจอยากทำ เพราะว่ามันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคนไปแล้ว

นี่คือเหตุผลที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องมาประกาศเรื่องความประพฤติว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ชั่ว เพราะรู้อยู่แล้ว แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ใน 4 ประเด็นที่บอกเมื่อสักครู่นี้ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ว่าทำไม่ได้หรอก ที่อยู่ในใจนั้น แต่ถ้าผ่านในความเชื่อของเรา มาเชื่อพระเยซูแล้ว ทำได้ๆ อะไรประมาณนั้น เพราะว่ามีผู้ช่วย

อย่างที่บอก มนุษย์รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าต้องประพฤติอย่างไร ถึงจะได้ไปสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่ใช่? ลองคิดในใจตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาสอนเลยนะ เกิดมามนุษย์ทุกคนจะรู้เลยว่าถ้าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วต้องตกนรก โดยพลัน รู้หมด แต่ว่าทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น ก็รู้ว่าแนวโน้มตกนรกแน่นอน ก็พยายามต่อไป นี่คือความวนเวียนของมนุษย์ที่อยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กรรมเวรเอ๋ย กรรมๆ เมื่อไรมันจะหมดกรรมสักที พระเยซูก็ไม่ต้องมาย้ำตรงนั้นแล้ว เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้ว  และมนุษย์ก็จะสอนซึ่งกันและกัน มาเตือนซึ่งกันและกัน ในสิ่งที่รู้อยู่แล้วนั้นแหละ ย้ำยืนยันในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งกรรมนั่นแหละ

พระเยซูจึงมาชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันดี แต่มันช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พระเยซูจึงมาประกาศ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตัวเอง อย่าเย่อหยิ่ง อวดดี หลอกตัวเองต่อไปว่า …

“ฉันทำได้”

ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ ก็ยอมรับซะสิ ก็หยุดพยายามซะ หาตัวช่วยๆ แสวงหาตัวช่วย ก็จะเจอ พระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงเปิดออกให้เห็นเถิด”

มองอะไรให้เห็น มองในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังมาประกาศ 4 ประเด็นนี่แหละ ยอมรับตัวเองว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ เพราะว่าพระองค์มาประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? เมื่อกระทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ไม่ได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ตายแล้ว จะไปที่ใดที่หนึ่งแน่นอน แล้วก็กลัวนรก เพราะรู้ว่าแนวโน้มไปนรกแน่นอน ก็พยายามทำ และในใจก็รู้ว่าทำไม่ได้ ก็ถ่อมใจมาพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าทำได้ ก็พึ่งในพระองค์สิ เพื่อที่จะไปสวรรค์ หลังความตาย

พระองค์มาทำแค่ 4 ประเด็นนี้ มาเตือน มาบอก (ทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดเหมือนผมอย่างนี้นะ พระองค์พูดนุ่มนวลกว่านี้เยอะ) พระองค์พูดด้วยความรัก ความเมตตา ความห่วงใย รักมนุษย์ยิ่งนัก กระทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเอาไปเถิด มาเอาสิทธิของเธอไปเถิด หยุดพึ่งตนเอง แล้วมาพึ่งเราเถิด

นี่คือสรุปรวมเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อพระเยซูมาประกาศเรื่องข่าวดี เรื่องสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันต่ออีก ไม่ว่าจะพูดในลักษณะไหน ก็พูดแค่ใน 4 ประการนี้แหละ ท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็พูดอยู่แค่นี้แหละ ไม่เชื่อ ท่านลองไปเช็คดูตัวเอง ก็ได้ วันนี้เราก็จะมาพูดเรื่องนี้ต่อ จากเรื่องที่สอนและประกาศ โดยเจ้าของสวรรค์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อจะย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะพยายามพึ่งในการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ไปสวรรค์ หลังความตาย มันเป็นไปไม่ได้เลย

“อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร?”  ตอนที่ 4 “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ชื่อเรื่องวันนี้

อูฐลอดรูเข็ม เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย พระเยซูสอนในเรื่องนี้ ที่เรากำลังจะเรียน ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะ บอกว่า “ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้” มันคืออะไร? เป็นไปไม่ได้ คือสำหรับเรา เราก็พอแล้วนะ พระเยซูบอกยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย

เรามาอ่านในหนังสือมาระโก 10:17-27 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาพระเยซู …

มาระโก 10:17-27 “17 ขณะพระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” 18 พระเยซูทรงตอบว่า “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่น ที่ประเสริฐ 19 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” 20 เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก” 21 พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขา และตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น จงตามเรามา” 22 เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด แล้วจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก 23 พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนัก ที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (ยากเป็นธรรมดา แต่ยังเป็นไปได้ ที่เค้าจะต้อนรับ ข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซู)” 24 เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส  แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนัก  ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เค้าเชื่อว่าเค้าสามารถใช้ทรัพย์สินแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปกระทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย)  25  ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวย (ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ) จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” 26 เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้” 27 พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้

 

ฟังเมื่อสักครู่นี้แล้ว ทำตามที่บอกหรือเปล่า? ฟังไป นึกถึง 4 ประเด็นไหม? นี่สอบเลย ตรงเลยนะว่าจำได้ไหม 4 ประเด็น คืออะไร? เรากำลังจะมาพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่? 4 ประเด็นนี้ พูดกันไปเรื่อยๆ บรรยายกันไปเรื่อยๆ ถึงข้อนั้นข้อนี้ นึกในใจตามไปด้วยนะว่านี่มันประเด็นที่เท่าไร? สนุก และทำให้ต่อไปนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านจะสนุกด้วย  นึกในใจ 4 ประเด็นนี้ แล้วอ่านข้อพระคัมภีร์อะไรที่อยากจะอ่าน

เรื่องที่พระเยซูกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวยิว เป็นอิสราเอล ซึ่งรักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเคร่งศาสนายิวมากนั่นเอง

ในข้อที่ 17 เริ่มต้นนั้น … “ขณะที่พระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำอะไรบ้าง?”

ลองสวมเป็นเด็กหนุ่มคนนี้สิ “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง? จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์” ก็คือจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า หลังความตาย

คำถามแบบนี้ เป็นคำถามที่อยู่ในใจเรา มนุษย์ทุกๆ คนอยู่แล้วใช่หรือไม่? ใช่ ทำอย่างไรถึงจะไม่ตกนรก เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าถ้าทำบาป ถ้าทำชั่ว ได้ไปนรกแน่นอน ไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำไม่ดี ตีพ่อตีแม่ ไปอยู่ในนรก โกหกตกนรก คือมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าต้องทำดี จึงได้ไปสวรรค์ แต่มนุษย์ทุกคนก็รู้แก่ใจว่ายังทำดี ได้ไม่เพียงพอ เพราะยังทำชั่วอยู่บ้าง? “อยู่บ้าง” นั้น ไม่ว่ามากหรือน้อย ในใจก็จะบอกว่าชั่วนั้นจะพาเราลงนรก ความดีไม่สามารถลบล้างได้ จริงหรือไม่? ถามใจตัวเองก็แล้วกัน อย่าหลอกนะ ถามจริงๆ

กฎแห่งการทำดี แล้วไปสวรรค์นี้ มันฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ เขาเรียกว่าอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน มันฝังอยู่ ทำให้เราอยากได้ดี ใครอยากไปอยู่ในนรกล่ะ ไม่มีใครอยากอยู่ในนรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่มีคนใดเลยที่อยากทำชั่ว เพราะวิญญาณเขารู้อยู่แล้วว่าทำชั่ว มันได้ชั่ว และชั่วที่สุด กลัวที่สุด คือเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่ในนรกนิรันดร์ มันเขียนอยู่ข้างในใจอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงพยายามทำความดีไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที เพราะการทำดีไปนั้น มันสลับด้วยความชั่ว และความชั่วนั้น มันฝังอยู่ มันจะเป็นตัวฟ้องบอกว่า …

“เธอลงนรกแน่ๆ”

และมันก็เป็นจริงตามนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ยังอยู่ในกฎแห่งการทำดี ทำชั่ว

ในข้อ 18 ดูสิพระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็นถึง 4 ประเด็นนี้ อย่างไร?

ข้อ 18 พระเยซูตอบว่า … “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครที่ประเสริฐ”

คำว่า “ประเสริฐ” ตรงนี้ คือดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าไม่มีมนุษย์คนใด ที่เป็นคนบริสุทธิ์อย่างนี้เลยแม้แต่คนเดียว คือมนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์แห่งบาป ไม่มีคนไหน ไม่มีตำหนิเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีคนไหนไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็เป็นบาปแล้ว เกิดมา ก็อยู่ในกฎของความชั่วร้ายแล้ว เกิดมา ก็ไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว

ถามว่านี่ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 1 มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป อ่อนแอ ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความดีงามของพระเจ้า เห็นไหม?

พระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็น โดยผ่านทางเศรษฐีหนุ่มคนนี้  เพื่อจะสอนคนทั้งโลกเลย โดยเฉพาะผ่านทางผู้ที่ฟังในตอนนั้น ก็คือชาวยิว เน้นไปที่เศรษฐีหนุ่ม แต่กำลังพูดถึงชาวยิว สะท้อนไปถึงชาวคริสเตียนทั้งโลก  ก็คือยิวในวิญญาณ ก็คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียนนั่นแหละ พูดไปถึงมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ใช่ คริสเตียนก็จะได้รับรู้ด้วยว่าพระองค์กำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? สภาพของมนุษย์ในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นเช่นไร? ทำอย่างไรถึงรอดพ้นจากการพิพากษา หลังความตายได้ พระเยซูก็มาบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นคนดีพร้อม สักคนหนึ่งหรอก

เศรษฐีหนุ่มก็บอกว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้ดีเหมือนอาจารย์”

เพราะเขาเห็นพระเยซูทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ สอนอะไรต่างๆ เขามีความรู้สึกว่าดี เขาจึงไปบอกว่าพระองค์ดี เขามองดูพระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนดีเลยสักคนหนึ่ง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น

ข้อที่ 19 พระเยซูเริ่มสอนแล้วนะ.ว่าทำไมถึงไม่ดี …“ท่านก็รู้บทบัญญัติว่าอย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย  อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”

พระเยซูกำลังยกบัญญัติ กฎ รากฐานของบัญญัติ ที่ชาวยิว บันทึกเอาไว้ในสมัยโมเสส เป็นฐานของกฎข้อบังคับอีกเยอะแยะ ในด้านศีลธรรม อีก 600 กว่าข้อ นี่คือพื้นฐานหลักใหญ่ๆ ที่พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนี้ให้ได้รับรู้ เพื่อจะนำพาเขาไปถึงซึ่งความอ่อนแอ ทำไม่ได้ ตามที่เขาคิดไว้

ข้อที่ 20 เขาก็ทูลว่า … “ที่อาจารย์พูด 5 ข้อหลัก ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฟังดูก็รู้ ในข้อ 17 ตอนแรกๆ ถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพิ่มอีกบ้าง? ถึงได้ไปสวรรค์ ถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

พอพระเยซูพูดรากฐานมาปั๊บ … “โอ้! สบายมากครับ พวกนั้น ผมทำหมด เรียบร้อยแล้ว”

ตอบด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดีและสะสมความดีของตนเอง ตามกฎบัญญัติ ตามหลักศาสนา และคิดในใจว่ามันได้มาก รู้ได้อย่างไรว่าได้มาก ก็เขาทะนงตนอย่างนั้น เขารู้สึกว่าเขาทำมาก

คำว่า “มาก” มันต้องไปเปรียบเทียบกับใครสักคนหนึ่ง มันถึงจะรู้ว่ามากหรือน้อย ถ้าไม่ไปเปรียบเทียบกับใครก็ไม่รู้ว่ามากหรือน้อย แสดงว่าเขามองไปที่คน ว่าคนอื่นทำได้น้อยกว่าเขา เขามากกว่า เขาก็หยิ่งทะนง เขาเห็นพระเยซูทำได้ดีกว่า เขาก็บอกว่าพระเยซูยอดเยี่ยม นมัสการ หรือนับถือพระเยซู ทำได้ดีกว่าเขา  เขาไม่ได้มองพระองค์เป็นพระเจ้าหรอก  เขามองพระองค์เป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ที่ทำได้ดีกว่าเขา สละได้มากกว่าเขา อะไรประมาณนั้น เขาคิดของเขาเองตามประสาของมนุษย์ ด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดี สั่งสมความดีด้วยตนเองว่าทำได้มากกว่าคนอื่น พอเราทำดีๆ แล้วเรายึดมั่นอยู่ในความดีปุ๊บ เราอดไม่ได้หรอก ที่จะอยากรู้ว่าตัวเราเองทำดีมากขนาดไหน? แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร? ถ้าอยู่คนเดียวในโลก มันไม่ได้ อันนี้มันอยู่หลายคน มันก็พอจะรู้ได้ว่าทำอะไร? ก็ไปหา มองดูคนอื่น …

“ฉันรักษาศีล ได้ 5 ข้อ เธอได้ 2 ข้อ”  ใครดีกว่า อันนี้มันชัวร์เลย คิดในใจเองแล้วกัน

ชายคนนี้ก็ตอบพระเยซูว่า … “บทบัญญัติต่างๆ ที่มีกำหนดไว้นั้น ที่พูดมาทุกข้อ เขาสามารถประพฤติได้ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

คือในใจของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขารู้ตัวว่าถึงแม้จะประพฤติตามบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด อย่างที่เขาได้ทำ มาตั้งแต่เด็ก แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพร้อม ยังไม่มั่นใจว่าจะได้เข้าสวรรค์หรือไม่? เขาก็เลยมาถามพระเยซูว่าต้องทำอะไรเพิ่มอีก จะพยายามทำต่อไป จึงจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? ใช่ แล้วพระเยซูกำลังทำอะไร? พระเยซูกำลังประกาศตามที่ในใจเขาบอกนั่นแหละ ต้องการพาเขามา รอดพ้นจากสิ่งที่เขาพึ่งพาตนเอง ให้มาพบความจริงว่าถ้ามาหาพระองค์ ไม่ต้องพยายาม ให้มาหา ให้มาเชื่อในพระองค์ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว

ประเด็นสำคัญตรงนี้ พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าต่อให้พยายามรักษาบทบัญญัติ เคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีทางเลยที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามมาตรฐาน กฎเกณฑ์ของพระเจ้าในสวรรค์ได้ ย้ำยืนยันเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ย้ำยืนยันลงไปในจิตใต้สำนึกของฟาริสี และพวกชาวยิวที่กำลังฟังทั้งหลาย และย้ำไปถึงจิตใต้สำนึกของพวกเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้ ขณะนี้เลย และต่อไปเป็นนิตย์ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ความจริง อย่าปฏิเสธ ในใจของเราเองนั่นแหละ เป็นตัวบอก

ตะกี้นี้ข้อ 18-20 พระเยซูกำลังพูดถึงประเด็นที่เท่าไร?  ประเด็นที่ 2 เห็นไหม? ทำไม่ได้หรอก

ประเด็นที่ 2 ก็คือช่วยตัวเองไม่ได้

ข้อที่ 21 อันนี้เจ๋งมากเลย  … “พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” ตรงนี้ต้องจำใส่ใจ ระลึกไว้เลย อ่านพระคัมภีร์ครั้งใด นอกจาก 4 ประเด็นนี้ จงนึกถึงผู้ที่พูด 4 ประเด็นนี้ คือพระเยซูคริสต์ พูดในความรู้สึกอย่างไร? พูดในท่าทีอย่างไร? ตัวนี้เป็นอีกตัวหนึ่ง ที่เราจะต้องสำนึกตลอดเวลา อย่าให้ผิด เพราะนี่คือหัวใจของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลายว่าพระองค์มีความรู้สึกกับเราอย่างไรบ้าง?

“พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” บันทึกไว้ว่า “ทรงรักเขาและตรัสว่า” แล้วคนที่บันทึกรู้ได้อย่างไรว่า “ทรงรักเขา” แสดงว่าพระเยซูแสดงหลายอย่าง อาการออกมา เป็นความเมตตา กรุณาต่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ อย่างมากมายเลย ถูกไหมครับ

แล้วพระองค์ก็ตรัสชี้ให้เห็น รู้แล้วนะว่าพระองค์กำลังพูดถึง 4 ประเด็น และพระองค์กำลังพาเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ไปในทิศทางใด  เพื่อจะช่วยเขา

พระองค์ตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ แจกจ่ายให้คนจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น ก็ตามเรามา”

พระองค์ทรงรู้จุดอ่อนของแต่ละคน รู้ดีว่าจุดอ่อนของเศรษฐีหนุ่มนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่คลังทรัพย์ในใจของเขา ทรัพย์ที่เขามีอยู่ และทรัพย์ในใจของเขา

ข้อที่ 22 “เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด”

นี่คือจุดอ่อน เขานึกว่าเขาทำได้หมด แต่มันมีจุดอ่อนที่เขาทำไม่ได้ เขาก็รู้อยู่

“เขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็หน้าสลด และจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก”

เศรษฐีคนนี้ มาหาพระเยซู มั่นใจมากว่าตัวเองรักษากฎอย่างยอดเยี่ยม รักษาศีลธรรมตลอดชีวิต สั่งสมความดีมาเยอะมาก มากกว่าคนอื่นตั้งเยอะเลย สมมติว่ามาตรฐานในจิตใจของมนุษย์ต้อง 100% ใช่ไหม? ถึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาอาจจะบอกว่าเขาทำมาตั้งมากแล้ว อาจจะได้ 95% แล้วล่ะ เหลืออีกนิดเดียว  ทำเพิ่มแค่นิดเดียว ก็เลยมาหาพระเยซู

“พระเยซู 5% นั้น จะทำเพิ่มได้อย่างไร? จะได้เติมให้มันเต็ม มันไม่เต็มสักทีในใจ ขนาดทำดีขนาดไหน ยังไม่เต็มสักที ไม่เต็ม 100% ที่จะเข้าสวรรค์ได้ เลยมาถามพระเยซูว่าอีก 5% ทำอย่างไร?พระองค์ทรงช่วยได้หรือเปล่า?  ไหนลองบอกสิ  ฉันต้องทำอะไรเพิ่ม”

แต่คำตอบของพระเยซูบอกว่า … “95% ที่ทำมาทั้งหมดนั้นแหละ ทิ้งไปซะ”

โอ๊ย! เจ็บๆ นี่คือทำให้เขาสลด เขาคิดว่าอีก 5% คนอื่นทำได้ ไม่ถึง 10% ตั้งอีก 90% ทำยาก ของเขาอีกนิดเดียว ก็ถึงแล้ว พระเยซูทำอะไรเพิ่มอีกนิดหนึ่งน๊า ทำอะไรได้ เพิ่มอีกนิดหนึ่ง

พระเยซูบอกที่มีอยู่ขายไปให้หมดเลย คือทิ้งไปให้หมดเลย มันไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย 95% ที่ท่านคิดว่ามันช่วยอยู่ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ มีอยู่ทางเดียว คือทิ้งให้หมด นั่นแหละที่มีอยู่ 95% นั้น แล้วหันมาหาพระองค์อย่างเดียว พึ่งในพระองค์อย่างเดียว ไม่พึ่งในทรัพย์สิน ในความดีที่ตัวเองสะสม

เป็นเราสลดไหม? สลด

ซึ่งเศรษฐีหนุ่มคนนี้  ก็ทำใจไม่ได้ เพราะตัวเองพยายามทำมา สะสมความดี มาทั้งชีวิตอย่างงดงาม ทั้งรักษาบทบัญญัติอย่างยิ่งยวด ทั้งทำความดีมาเยอะมาก เต็มไปหมดเลย ตรงนั้น ก็ดี ตรงนี้ก็ดี เขาก็บอกว่าเราดี ผู้คนรอบข้างก็บอกว่าเราทำดีมากเลย ชื่อเสียงก็ดีมาก ใครๆ ก็สรรเสริญ ยกย่องว่าเราเป็นคนดี สมควรได้ไปสวรรค์ แต่ในใจลึกๆ เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป จะเอาอย่างไร? ทิ้งชื่อเสียง ทิ้งโลกที่เขาบอกว่าเราไปสวรรค์ แต่เราเองลึกๆ เราบอกเราไม่ได้ไป เราไม่พร้อม จะเลือกข้างไหนดี? เลือกข้างจิตใต้สำนึกดี หรือเลือกข้างที่โลกบอกเธอว่าเธอดีกว่าคนนั้นตั้งเยอะ เธอไปสวรรค์แน่ แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป เขาตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุด ก็ต้องทนทุกข์อยู่ต่อไป ต้องจมอยู่กับความพยายามสั่งสมความดีต่อไป และความพยายามนี้ ก็ไม่สามารถพาเขาไปสู่สิ่งที่เขาอยากได้ในจิตใจของเขา ในวิญญาณของเขา เป้าหมาย คือความรอดนิรันดร์ การไปอยู่สวรรค์สถานหลังความตาย เขายังคงดำเนินตามความเชื่อเดิม คือพยายามทำดีต่อไป  ซึ่งพระเยซูกำลังบอกว่าความพยายามของเขาอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น พระองค์กำลังบอกว่าให้มาเชื่อพระองค์ เชื่อพระองค์อยู่ที่ไหน? ความสำเร็จในการได้รับชีวิตนิรันดร์ก็อยู่ที่นั่น

ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 3 คือเมื่อทำไม่ได้อย่าทำ ให้มาพึ่งเรา ให้มาตามเรา ตามหาเรา ก็คือทิ้งการกระทำของตนเอง ทิ้ง 95% ที่คิดว่าตัวเองได้ขนาดนั้น ทิ้งไปเลย ใครจะมี 10%  20%  90%  99%  ก็ทิ้งให้หมดเลย แล้วก็มาหาเรา เท่านั้น ถึงจะทำได้ ก็คือท่านทำเองไม่ได้หรอก ต้องมาพึ่งเรา

ก็คือกำลังประกาศอันที่ 3 เมื่อทำไม่ได้ มาพึ่งเรา พระมาซีฮาห์ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา  พระบิดาทรงสัญญาว่าจะส่งมาช่วย  คือเรามาแล้ว  และทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

ต่อมาข้อ 23 “พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ” เพื่อจะดูบรรยากาศมั้ง “แล้วก็ตรัสกับเหล่าสาวกว่า”

คราวนี้เห็นภาพนะ ตะกี้คุยกับเด็กหนุ่มคนเดียว แล้วก็ทะลุเล็งไปถึงคนยิวทั้งหมด แล้วเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตอนนี้มองไปรอบๆ พูดกว้างๆ เลย  นึกถึงภาพนะ

“แล้วตรัสกับเหล่าสาวก” สาวก ก็คือผู้ที่ติดตามมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งเป็นชาวยิวทั้งนั้น ส่วนใหญ่นะ ตอบว่าอย่างไร? บอกว่าอย่างไร? ประกาศว่า …

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ หรือจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”

ตรงนี้ ตั้งใจฟัง “ยากนัก” ก็คือยากเป็นธรรมดา แต่ยังพอเป็นไปได้ ที่เขาจะต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันยากสำหรับเขาที่จะทิ้งทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ แต่ยังพอทำได้ เดี๋ยวฟังดูต่อไปว่าตรงนี้พระองค์หมายถึงอะไร? มันยากนะ สำหรับคนที่มั่งมีที่จะเข้าสวรรค์ เพราะตัดสินใจลำบาก มีถ่วงอยู่

ข้อ 24 “เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า”

สาวกแปลกใจเพราะอะไร? คนนี้มีชื่อเสียงในการกระทำดีมากเลยนะ เอาเงินช่วยคนจน อะไรต่างๆ และเป็นคนที่มีชื่อเสียงในการรักษากฎเกณฑ์ อยู่ในศีล ในธรรม อยู่ในบทบัญญัติ เป็นคนธรรมะ ธรรมโมมากเลย อย่างนี้ยังไม่รอดเลย สมมตินะ เปโตรหันมาถามยอห์น …

“นายทำได้ถึงเท่านี้ไหม?”

“ฉันไม่ได้ถึงครึ่งเขาหรอก ยากอบทำได้ไหม?”

“ไม่ไหวหรอก เราก็ไม่ได้”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร? แล้วพวกเราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่ได้เลย?

นี่คือความคิดของมนุษย์ทั่วไป คือจะเปรียบเทียบอยู่เรื่อยว่าเท่าที่ตามองเห็น คนนี้ทำดีหรือไม่ดีเยอะขนาดไหน? น่าจะไปสวรรค์ เราทำน้อยกว่า เราคงไปนรก คนนี้ทำชั่วกว่าเรา ดังนั้น เขาไปนรก เราตัดสินเขาหมด จากความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูกลับพูดกับเราอีกอย่างหนึ่ง

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า”

ข้อที่ 24 เหล่าสาวกแปลกใจในดำรัสนั้น พระองค์ทรงรู้ กำลังซุบซิบกันใหญ่เลย

“มันเป็นไปได้อย่างไร? นี่ไม่ได้ไปสวรรค์แล้วเนี้ย”

พระเยซูตรัสต่ออีก คราวนี้เปลี่ยนคำว่า “ยากนัก” เป็น “ยากยิ่งนัก” คือเป็นไปไม่ได้เลย ตะกี้ยากนัก ยังพอเป็นไปได้ ตอนนี้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออันนี้เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า

ตะกี้นี้ “ยากนัก สำหรับคนที่มีทรัพย์สมบัติ” ยังเป็นไปได้ที่จะเข้า มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่วางใจในทรัพย์สมบัติ แต่ถ้า “มีทรัพย์สมบัติและวางใจในทรัพย์สมบัตินั้นด้วย” อันนี้ ที่ทำให้เข้าไม่ได้ คืออะไร? คือวางใจในทรัพย์สมบัติหรือไม่? สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้ทรัพย์สมบัติแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไป ก็มีความคิดเช่นนี้ กระทำเช่นนี้ ถามว่าใช่หรือไม่? ท่านลองคิดตาม พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็น ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? พระเยซูกำลังตอบว่าเป็นไปไม่ได้เลย “ยากยิ่งนัก” ยากขนาดไหน?

ข้อที่ 25 ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนรวยที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เพื่อจะเข้าสวรรค์ จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้

ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่า อูฐลอดรูเข็มทำได้ไหมครับ? ทำไม่ได้ เอาอูฐลอดรูเข็มมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าอีก พูดง่ายๆ ว่า …

“เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้  เป็นไปไม่ได้เลย”

กำลังย้ำยืนยันว่าคนที่วางใจในทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ โดยพึ่งพาในทรัพย์นั้น ในสิ่งที่ตนเองหามานั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เข้าไปในสวรรค์ได้ เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น พระเยซูไม่ได้ชี้แค่ทรัพย์ที่เป็นวัตถุสิ่งของอย่างเดียว อันนี้ลึกซึ้ง …

ประเด็นที่ 1 กำลังชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เป็นชั่ว

ประเด็นที่ 2 กำลังชี้ให้เห็นถึงเขาช่วยตัวเองไม่ได้    เขาอยู่ในบาป    อยู่ในความชั่วนั้น    ในวิญญาณของเขา ถ้าเขาไปพึ่งตนเอง ก็พึ่งในความตายนั่นแหละ

ประเด็นที่ 3 คือมีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำได้ คือพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ตรงนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าประเด็นอยู่ที่วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ซึ่งทรัพย์สมบัติตรงนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติทางวัตถุสิ่งของ เงินทอง และทรัพย์สมบัติทางวิญญาณด้วย ก็คือการทำดี สะสมความดีไว้มากเลย มันอยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์สมบัติอยู่ ตะกี้ผมยกตัวอย่าง 99% เขาอาจจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ 20% เอง สมมติว่ามีอยู่ 2 ล้านบาท แต่สิ่งที่เขามีอยู่ เกินกว่า 2 ล้านบาท คือเขารักษาบทบัญญัติได้มาก กระทำดีมาตั้งแต่เด็กๆ ตรงนี้ อีก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์รวมเป็น 90 กว่าเปอร์เซ็นต์มันอยู่ในใจของเขา นี่คือทรัพย์สมบัติที่เขาหวงมากเลย …

“อย่าเอาออกไปนะ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยทรัพย์สมบัติตรงนี้ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยการรักษาบทบัญญัติที่ฉันรักษามาตลอดชีวิต ฉันจะไม่ทำผิดอีกเลย ทำผิด ก็จะแกล้งลืมไป”

ไม่ใช่แกล้งลืมไป ตั้งใจจะทำต่อ ตั้งใจจะแก้ไขมัน ก็เลยมาหาพระเยซู ตั้งใจจะถามพระเยซูว่าต้องทำอย่างไร?

นี่แหละจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาพูดอะไร? เห็นไหมครับ? มาบอกว่ามันทำไม่ได้ เพราะอะไร? วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุและทางวิญญาณ คือการกระทำดี มันไม่ใช่ตัวทรัพย์สมบัติเอง ที่มีปัญหา แต่มันอยู่ที่ใจของคนๆ นั้น มีปัญหา พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น ใจ ความคิดที่สกปรก ที่อยู่ในความชั่ว อยู่ในความบาปนั้น นั่นมีปัญหา  มันไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่มีปัญหา วัตถุที่มีปัญหา อาจจะแก้ไขได้ สละได้ แต่ความดีงาม ถ้าไม่รู้ความจริง มันทำยากมากเลย ที่คนทำดีจะทิ้งความดีของตัวเอง แล้วบอกว่า …

“ฉันจะมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทิ้งทั้งหมดเลยไม่ว่าอะไร? ที่ทำดีในอดีต ฉันเลิกเลย ฉันมาพึ่งพระเยซูอย่างเดียว” มันยากกว่าเยอะ

เพราะฉะนั้น คำว่า “ยากนัก” เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนรวยที่วางใจ ที่พึ่งพาทรัพย์สมบัติ คือพึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุสิ่งของและการกระทำดีของตัวเอง จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์ได้เลยใช่ไหม?

ซึ่งตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ไปตีความว่าหมายถึงคนที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ จะไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ คนเอาไปตีความเฉพาะเรื่องวัตถุสิ่งของเท่านั้น ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองรวย มั่งมี ทรัพย์สิ่งของเงินทอง เขาก็แนะนำว่าจงไปขายซะ หรือแจกจ่ายทรัพย์สิน เพื่อที่จะทำให้ตัวเองหายรวย เขาก็จะสอนกันอย่างนี้ มันพูดตรงๆ มาถึงตรงนี้ ท่านจะรู้แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย คนร่ำรวยที่เชื่อพระเจ้าแล้ว และได้รับความรอด มีเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็พูดถึงเยอะแยะมากมายไปหมด ซึ่งจริงๆ ตรงนี้ อย่างที่บอกแล้วว่าพระเยซูกำลังใช้ตัวอย่าง เรื่องนี้ การมั่งมี ทรัพย์สมบัติ เงินทอง และทรัพย์สมบัติในใจ คือวิญญาณที่เกาะติดกับการสั่งสมความดี และการทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์ เปรียบได้กับคนที่คิดว่าจะสั่งสมความดี ตามความประพฤติของตัวเอง อยู่ในบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด เหมือนทรัพย์สินอันมีค่าที่มีอยู่ในใจว่าตนสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการกระทำดีได้มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งเยอะ ยิ่งมีความภูมิใจมากว่าหลังความตาย จะได้เกาะความดี ความชอบธรรม ที่สะสมไว้นี้ด้วยตนเองนั้น ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ที่จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ และจิตใต้สำนึกข้างใน ก็ยังบอกว่ามันยังไม่ได้ มันยังไม่ดีพอ ต้องทำอีก ก็พยายามต่อไป ชดใช้เวรกรรมต่อไป และแม้กระทั่งถึงจะตาย ถ้าไม่รู้ความจริง เรื่องนี้ ก็จะบอกต่อไปว่า …

“ไม่เป็นไร ตายไป แล้วเกิดมาใหม่ในชาติหน้า ก็จะสั่งสมความดีนี้ต่อไป จะพยายามต่อไป”

ซึ่งความจริงพระเยซูบอกแล้ว มันไม่มี กฎของพระเจ้า ธรรมชาติของโลกวิญญาณ ความเป็นจริง ก็คือมนุษย์ตายจากร่างกายนี้ เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น เข้าสู่พิพากษาทันทีว่าจะอยู่ในสวรรค์ หรืออยู่ในที่ไม่ใช่สวรรค์

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างเรื่องคนรวย ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ยิ่งร่ำรวยเงินทองมากเท่าไร? ยิ่งสละละทิ้งเงินทองได้ยากมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น พระเยซูบอก ยิ่งพึ่งตัวเอง รักษาบัญญัติ และสั่งสมความดี คือทรัพย์สมบัติในใจที่หวงแหนได้มากเท่าไร? ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะหันมาพึ่งพระเยซูเท่านั้นแหละ เอเมนไหม?

นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น พระเยซูจึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเอาอูฐลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าที่คนรวย ที่วางใจในทรัพย์สมบัติทั้ง 2 อย่างที่ว่ามา  จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พระเยซูกำลังบอกว่าข่าวประเสริฐเป็นประตูแคบ สำหรับอิสราเอล อิสราเอลเป็นชนชาติที่คงแก่การเคร่งครัดในศาสนา การเคร่งครัดในบทบัญญัติของพระเจ้ามากๆ มากกว่าชนชาติอื่นๆ ตั้งแต่ดึกดำบรรพมาแล้ว  พระเยซูกำลังเปรียบเทียบให้เขาว่าถ้าเขาพึ่งพาในกฎบัญญัติอย่างนั้น เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม เพราะตอนนี้พระเจ้ามาช่วยแล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์ตามพระสัญญาของพระองค์แล้ว ถ้าเขาพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในความดี ในการเคร่งศาสนาด้วยตนเอง แบบฟาริสี แบบธรรมาจารย์ของยิวแล้ว ไม่มีทางรอดเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งใครก็ตามที่ได้ฟังแบบนี้ ก็คงคิดว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครรอดเลยสักคน โดยเฉพาะชาวยิว อย่างที่ตะกี้นี้บอกสาวกทั้งหลายเป็นชาวยิวเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า …

“แล้วใครจะได้ไปสวรรค์”

เข้าทางพระเยซูเลย พระเยซูรู้แล้ว ชี้ให้เห็นถึงว่าสุดท้ายนั้น ฟังหมดแล้ว รู้ใช่ไหม? มันแรงเลย รักษาความดีไป ไม่มีทางเลย ขนาดฟาริสีเขารักษาความดีขนาดนั้น ยังไปไม่รอดเลย แล้วใครรอดล่ะ ถามกันใหญ่เลย พระเยซูบอกมาถูกทิศแล้ว พระองค์กำลังจะประกาศให้รู้ว่าทางรอดอยู่ที่ไหน? ก็คือประเด็นที่ 3 ที่ 4 นั่นเอง สาวกทั้งหลายก็คิด พระเยซูก็เอาล่ะ ได้ทีแล้ว เขาเรียกอะไรล่ะ ยิงโกลลูกสุดท้ายเลย ยิงเผาขน ได้ประตูแน่นอน เลี้ยงมาตั้งนาน คราวนี้ยิงประตูเลย เข้าไคร์ซแม๊ก

ข้อ 26 “เหล่าสาวกยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น จะมีใครรอดได้เล่าลูกพี่ หรือเจ้านาย หรือว่าอาจารย์เยซู พูดอย่างนี้ ก็ไม่มีใครรอดดเลยสิ เป็นไปไม่ได้หรอก”

เข้าทางไหม? เข้าทาง ก็คือในที่สุด ยอมรับแล้วว่าทำไม่ได้ใช่ไหม? ใครจะรอดได้

“รอด” หมายถึงรอดตาย ตายทางวิญญาณ คือรอดตายจากวิญญาณ ก็ได้มารับชีวิตนิรันดร์ ตามที่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ถาม

“ทำอย่างไรถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ ทำอะไรเพิ่มถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

ตอนนี้เหล่าสาวกคงคิด “ทำขนาดนั้น ยังไม่ได้เลย พวกเราเป็นไปไม่ได้เลย แล้วมีใครไปทำได้ขนาดนั้นเล่า มองหญิง แค่กำหนัด ก็ทำชั่วแล้ว แค่คิดเคืองคนนี้ ก็เท่ากับไปฆ่าเขาตายแล้ว แล้วใครจะไปทำได้ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์เล่า จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ลบเลือนหายไป ต้องทำให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ แล้วใครจะทำได้เล่า ก็ไม่มีใครได้รับความรอดนี้สักคนหนึ่งเลยใช่ไหม?”

ถามในใจ ไม่กล้าถาม พูดกันเอง “ทำอย่างนี้ ใครจะรอดได้  ใครจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้ไปอยู่สวรรค์หลังความตาย”

หมดอาลัยตายอยากเลย ไม่ใช่เหล่าสาวกพูดอย่างเดียว ผู้คนทั้งหมดที่ได้ฟัง ต้องกระซิบกัน สมมติมีคนฟังอยู่ ห้าพันคน หันหน้าเข้าหากัน

“นี่ขนาดฟาริสีทำขนาดนี้ ยังไม่ได้ แล้วเราจะไปเหลืออะไร?” เข้าทาง

ข้อที่ 27 “พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา”

เติมเอาเอง ทอดพระเนตรด้วยอะไร? ด้วยความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน ปรารถนาดี อยากจะให้เขาได้รับความรอด อยากให้เขามาอยู่ในสวรรค์ อยากให้เขามาพบกับพระบิดา เหมือนกับเราทั้งหลายใช่หรือไม่? นี่ลองคิดในใจ อย่างที่บอก

“พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา แล้วตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ (ที่พยายามพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปอยูในสวรรคสถาน หลังความตายนั้น มันยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนพยายามเอาอูฐลอดรูเข็ม เหมือนชาวยิวส่วนใหญ่ที่เคร่งศาสนา เคร่งการประพฤติ เคร่งการทำดี บูชาความดีของตัวเอง ความชอบธรรมของตนเอง เป็นเหมือนทรัพย์สินที่อยู่ในใจ ที่มีค่าของตนเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับเขาที่จะไปอยู่ในสวรรคสถาน ประโยคสุดท้าย

“แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ครับ”

สำหรับพระเจ้า ทำไม่ได้ปุ๊บ มาถึงประเด็นที่ 3 มาเชื่อในเรา และสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้ แปลว่าทุกสิ่งเป็นอัศจรรย์ได้ อัศจรรย์คืออะไร? ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์เลย นี่คืออัศจรรย์มันเกิดได้ นี่คือประเด็นที่ 3 และ 4 ต่อกันเลย ชัดเจนเลย

ประเด็นที่ 4 ก็คือมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าอัศจรรย์มันสามารถเกิดขึ้นได้ อัศจรรย์ คือวิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ได้รับเป็นชีวิตนิรันดร์ จากตาย เกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความชั่วใดๆ ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของท่านที่จะอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์นั่นแหละ

ตรงนี้เหมือนพระเยซูมองดูด้วยความรัก ความเมตตา กำลังบอกกับคนที่ร่ำรวยมาก ตั้งแต่สมัยโน้น 2,000 ปีแล้ว มาเรื่อยๆ จนถึงสมัยนี้ พูดผ่านทางเรื่องนี้มาเลย กำลังบอกกับคนรวยมาก ทั้งสองแบบ รวยทั้งสองอย่าง ทั้งวัตถุและวิญญาณ ในยุคปัจจุบันจนถึงสิ้นยุคว่าที่พวกเราทั้งหลาย เห็นในสังคมโลกว่าคนโน้นคนนี้เป็นคนดีมาก ช่วยเหลือมนุษย์ มีเมตตา เสียสละ ให้ทรัพย์สินเงินทอง จำนวนมากมาย เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ที่ยากจน อาจจะเป็นพันๆ ล้าน  เป็นหมื่นๆ ล้าน ที่เราเคยได้ยิน แต่พระเยซูกำลังบอกว่าให้เขากำจัดออกไปให้หมด ไม่ใช่ทรัพย์สินตรงนั้นอย่างเดียว แต่ในใจของเขา ให้ขายมันออกไปซะ คือสละมันออกไป พระองค์กำลังหมายถึงเอาคุณค่าที่คุณให้กับมันในสิ่งที่คุณมีอยู่ ที่คุณทำได้นั้น ให้มันไม่มีคุณค่าซะ เอาคุณค่าที่คนร่ำรวยได้ให้กับทรัพย์สมบัตินั้น ออกไปจากใจของเขา คุณค่าที่เขาจะพึ่งการกระทำดีของเขา พึ่งพาทรัพย์สมบัติของเขา เพื่อจะแลกเอาสวรรค์นั้น ให้เอาออกไปจากใจของเขา  และมาหาพระเยซู อย่าพึ่งพากำลังทรัพย์ อย่าพึ่งพาคลังทรัพย์ในใจ ทั้งสองอย่าง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจ คือวัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจอันที่สอง ก็คือการกระทำดี สั่งสมความดี สั่งสมบุญบารมีไว้เยอะแยะ เอาตรงนั้นออกไปซะ อันแรกยังเอาออกไปง่ายหน่อย คือไม่วางใจในทรัพย์สินเงินทอง แต่ไม่วางใจในการกระทำดีมากๆ มันยากมาก และทรัพย์สิน 2 อย่างนี้ คือความดี ความชอบธรรม ที่ตนเองทำ บวกกับทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ ซึ่งไม่มีวันที่จะทำดีได้ จนครบถ้วนบริบูรณ์ แบบเดียวกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน  ไม่มีทางท่านจะไม่บกพร่องเลย มันต้องบกพร่องแน่ๆ ในใจของท่าน ในจิตใต้สำนึกก็รู้อยู่ว่าท่านไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียวเลยใช่ไหม? ในใจท่านจะเป็นตัวบอกเอง

จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ไม่เคยทำบาปเลยใช่ไหม? จิตใจท่านก็จะเป็นตัวฟ้องเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นกฎของสวรรค์เป็นอย่างนี้ การเข้าอยู่ในสวรรค์หลังความตาย ถูกพิพากษาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ท่านต้องตายด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีที่ติแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีชั่วเลยในวิญญาณของท่าน ทำได้อย่างไร? เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้วางไว้ เป็นกฎของมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้าง ก็อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ทั้งหมด กฎของพระเจ้า ก็คือกฎเหล่านี้ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้ว่าท่านจะทำดีหรือทำชั่ว ไม่ว่าคุณจะกระทำดีหรือกระทำชั่วขนาดไหน ท่านปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ท่านก็มีโอกาสตกจากต้นไม้ ถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาได้เช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกันกับกฎโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าท่านยังพึ่งพาตนเองอยู่ เพื่อที่จะไปสวรรค์ ท่านกำลังทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ ท่านจะซื้อสวรรค์ด้วยทรัพย์สินของท่าน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเอาความดีงามของท่าน เพื่อที่จะเกาะความดีงามนั้น เพื่อไปสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  สิ่งเดียวที่ท่านจะกระทำได้ ก็คือวางใจในพระเจ้า เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2  โครินธ์  4:16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน”

 

ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป

คำว่า “ท้อถอย” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษบางฉบับ ใช้คำว่า “Lose Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ” .. ก็คือท้อแท้ หมดหวัง นั่นเอง

 

เราไม่ท้อแท้หรือเราไม่ถอดใจ จากเหตุอะไร? จากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นๆ อยู่ จับต้องมองเห็นได้ คำว่า “กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้ หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ที่เป็นไปตามอายุขัย ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ เครียด จนนอนไม่หลับ รวมถึงความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ ที่เราได้รับอยู่  ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลจากกายภายนอกของเราที่อ่อนแอ กำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น

 

แต่ถึงแม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้  เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ  เพราะอะไร? เพราะตรงนี้ บอกต่อว่าถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรา (ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจที่เหมือนพระเยซู ที่ได้รับจากการบังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ด้วยพลังฤทธิ์เดช  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา

 

ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่ อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงภายในของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

 

ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ