วารสาร Holy News ฉบับที่ 1351

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 3

“ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในการบรรยายของซีรี่ย์เดิมนี้อยู่ คือเรื่อง … “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ใช้ชื่อตอนว่า … “ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม” พระเยซูกำลังประกาศว่าไม่มีมนุษย์คนใดดีพร้อม “ดีพร้อม” อะไร? ดีพร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็หมายถึงโลกวิญญาณถูกไหม? อาจจะดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับการชื่นชมยินดี ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดี แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีใครเลย ที่ดีพร้อม ที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่มีใครดีพอ พระองค์ทรงพูดคำนี้อยู่บ่อยๆ บอกกับฟาริสีที่อ้างตนเองว่าบริสุทธิ์ ที่อ้างตนเองว่ากระทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด ที่พระเจ้าให้อย่างที่สุดแล้ว  ที่ได้รับความชื่นชมยินดี ได้รับการยกย่องจากบรรดาปากของมนุษย์ก็ตาม พระเยซูบอกว่า …

“คุณทำอย่างไร?” หรือ “ท่านทำอย่างไร?  ก็ไม่มีวันดีพร้อม ท่านต้องดีพร้อม สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า” ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ท้ายๆ ท่านต้องทำดีถึงขนาดไหน?  ต้องดีพร้อม ดีพร้อมแปลว่าอะไร?  ไม่ใช่ดีธรรมดา ดีพร้อม หมายถึงเพอร์เฟค เพอร์เฟค หมายถึงสมบูรณ์แบบ ท่านต้องดีสมบูรณ์แบบพระเจ้า ดีพร้อมแบบพระเจ้า ถึงจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เพราะฉะนั้น กำลังบอกว่าไม่มีใครดีพร้อมได้อย่างนั้นเลย โดยการกระทำด้วยตนเอง

อย่างที่ผมประกาศและพูดอยู่เสมอ ตามพระคัมภีร์ว่าทั้งหมดที่พระเยซูมาประกาศ ตระเวนสั่งสอนผู้คน มันเกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เป็นเรื่องราวของโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  ก็ประกาศถึงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น  และตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์ใหม่จนถึงพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่ปฐมกาล ทั้งเล่มเป็นผู้เดียวกันที่เป็นผู้ประกาศเรื่องนี้ คือเรื่องข่าวดี คือเรื่องสวรรค์ คือเรื่องโลกวิญญาณ  คือเรื่องไม่มีมนุษย์ผู้ใด ดีพร้อม ก็คือพระเยซูเป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ก็เพราะว่าพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้ามาในโลกนี้ แล้วประกาศอธิบาย เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่พูดถึงเรื่องการกระทำ บนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระองค์มีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มองเห็นและมองไม่เห็น  พระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์  พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่นี้  พระองค์ทรงรู้มากกว่าใครเพื่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นในสวรรค์ มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณ  และมนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร?  ทำอย่างไรถึงจะรอด จากความทุกข์ยากลำบาก พินาศนิรันดร์นั้นได้ จึงมีผู้เดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่มาอธิบาย ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ชี้ให้เห็นถึงสวรรค์ ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของมนุษย์  ที่ดำรงชีวิตอยู่ และสวรรค์ที่พระองค์กำลังอธิบายให้ฟัง เราเรียนรู้ไปแล้ว ก็คือโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น  แล้วพระองค์ก็มาบอกเลยว่าโลกวิญญาณนี้มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  มันเป็นอย่างนี้นะ  และจะเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณหรืออยู่ในสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า แบบมีความสุขได้อย่างไร? รอดจากความทุกข์นิรันดร์ รอดจากความพินาศนิรันดร์นี้ ได้อย่างไร?

นี่เป็นคำประกาศ เพราะบางทีเราพอบอกคำสอน ก็จะไปนึกถึงทำอย่างนี้ได้ดี ทำอย่างนี้ได้ชั่ว อย่าทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เป็นกฎศีลธรรม แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระเยซูมาชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าให้เราทำอะไร? แต่ให้เรารู้ว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?  และพระเยซูมาประกาศแค่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ไม่มีหนีจากนี้ไปเลย รับรองได้  ไม่เชื่อกลับไปอ่านดูก็ได้ อ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  มันจะอยู่ใน 4 ประเด็นนี้เท่านั้นในเรื่องเกี่ยวกับว่าสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร?  ที่มนุษย์มองไม่เห็นนั้น 4 ประเด็นนี้มีอะไร? …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป  อยู่ในกฎแห่งการกระทำ อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ อยู่ในตระกูลอาดัม  คือตกลงไปในความบาป ไม่มีพระเจ้า พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตนเอง

(2) เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป เกิดมาก็บาป เกิดมาก็ต้องพึ่งพาตนเอง  เพราะไม่มีพระเจ้า แล้วทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ จึงอ่อนแอ ไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีพร้อมอยู่กับพระเจ้าได้

หนึ่ง มนุษย์อ่อนแอ

สอง เมื่ออ่อนแอแล้วก็ทำให้ดีพร้อมไม่ได้

(3) พระเจ้ามาช่วยแล้ว ไม่ต้องทำ ให้มาพึ่งในพระเจ้า ประกาศว่าตัวพระองค์เอง คือพระเจ้า ผู้ที่สัญญาว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้มาแล้ว พระเจ้ามาพูดอย่างนี้

(4) คือให้มาพึ่งพระองค์ และเมื่อพึ่งพระองค์ วางใจในพระองค์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ให้ดีพร้อมเอง  โดยที่ไม่ต้องทำ แค่เชื่อในพระองค์

พูดอยู่แค่นี้เอง  นี่คือ 4 ประเด็นที่พระเยซูประกาศ ชี้ให้มนุษย์ได้เห็น ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และจะประกาศไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย สิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระองค์ทรงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

พระเยซูประกาศใน 4 ประเด็นนี้ตลอด ทั้งหมดเลย  คำว่า “ทั้งหมด” แปลว่าทั้งในพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่ประกาศเรื่องนี้  ประกาศอยู่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ซึ่งบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไว้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราถือกันอยู่ ที่บอกว่ามีเรื่องบันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวิวรณ์

พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ ชี้ให้เห็นเรื่องของโลกวิญญาณ แล้วก็ให้บันทึกลง ในพระคัมภีร์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์เป็นผู้พูดนั่นเอง  หรือเป็นผู้เขียนผ่านมนุษย์นั่นเอง

พระคัมภีร์เดิม คือคำพูดของพระเยซู โดยเริ่มต้นพูดปฐมกาล ผ่านทางโมเสส โมเสสเขียนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสวมทับโมเสส และให้โมเสสเขียนว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เกิดการผิดพลาด ตั้งแต่เริ่มปฐมกาล ตกลงไปในความบาปได้อย่างไร?  อยู่ใน 4 ประเด็น มนุษย์เป็นคนบาป  และอย่างไร? ช่วยตัวเองไม่ได้ และในข้อ 3 สัญญาว่าจะมาช่วย ตั้งแต่ปฐมกาล 3:15 เราจะมาเหยียบหัวงูให้แหลก  เราจะมาเกิดในหญิงพรหมจารี  เราจะมาช่วยให้รอด อยู่ 4 ประเด็นนี้  พระองค์ก็พูดในเรื่อง 4 ประเด็นนี้ต่อมา ผ่านทางโมเสส และผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าใช้ได้ ผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ หรือเป็นปุโรหิต หรือเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าผู้เผยพระวจนะ  อย่างเช่นอิสยาห์ เป็นต้น

เผยพระวจนะ แปลว่าที่ให้พระเจ้า ใช้ปากเขาพูด ก็คือพระเยซูพูดผ่านผู้คน พูดถึงเรื่อง 4 ประเด็นนี้ บอกว่าให้อดทนรอคอย เราจะมา เรามาแล้วจะเป็นอย่างไร?  ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ที่เรารู้จักกันดี ก็คือประเด็นที่ 4 ที่พระเยซูพูด คือเมื่อวางใจในเราแล้ว เชื่อในตัวเราแล้วว่าเราเป็นพระเจ้า  ที่เราบอกว่าเราจะมา เราเป็นพระมาซีฮาห์ เราเป็นพระคริสต์ที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความบาป พอเชื่อในเราแล้ว จะได้การอัศจรรย์บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์แล้วเป็นอย่างไร?

สดุดี 23:1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

ข้าพเจ้าไม่ขัดสน คือข้าพเจ้าไม่ขาดแคลนในทางวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าเป็นแกะของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกเราแล้วว่าท่านทั้งหลายเป็นแกะของเรา เมื่อเชื่อในเราแล้ว  เป็นแกะอยู่ในคอกเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากเราได้อีกแล้ว  จิตใจที่โหยหาความรอด ความดีนั้น  มันถูกทำให้สมบูรณ์แบบ โดยการบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจึงไม่ขัดสนทางวิญญาณอีกต่อไป ท่านไม่ต้องแสวงหาอะไรมาช่วยวิญญาณท่านให้รอดอีกแล้ว ท่านสบายใจ ท่านรู้ว่าท่านรอดแล้ว เพราะท่านดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นแกะของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน

นี่เฉพาะข้อหนึ่งข้อเดียวนะ ไปอ่านดูหมดเลย 6 ข้อ สดุดี บทที่ 22 คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขนว่ามันเป็นอย่างไร?  มาไถ่บาปเป็นอย่างไร?  บทที่ 23 คือเมื่อตรึงที่ไม้กางเขน  มีใครเชื่อแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เขาจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดทุกวันคืน ใช่หรือไม่? เอเมนไหม?

กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้เผยพระวจนะเขียน ใครเป็นคนบอกให้เขียน ใครเป็นคนดลใจให้ทำ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิด เป็นโยเซฟ เป็นใครก็ตาม จนกระทั่งถึงกำหนดเวลาจริงๆ ตามพระคัมภีร์เดิม  พระองค์บอกแล้วว่าพระองค์จะมาช่วย แล้วพอถึงกำหนดเวลา มาจริงๆ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตรงตามพระคัมภีร์เลยว่าจะมาเมื่อไร? อย่างไร?  ที่ไหน? ขนาดคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่รู้จักอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยังสามารถสืบเสาะหาประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเจอว่าพระเยซูมาที่นี่ ดวงดาว นักปราชญ์ 3 คนที่แสวงหา เดินตามดาวประหลาด ดาวที่บ่งบอกถึงพระเยซูคริสต์จะมา ตามพระคัมภีร์เดิมที่พระเยซูได้บอกเอาไว้นั่นแหละ เขายังเจอเลย พระเยซูคริสต์ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พอมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คราวนี้ไม่ต้องผ่านคนอื่น พระองค์พูดเอง ถามว่า พระองค์พูด ประกาศเรื่องเกี่ยวกับอะไรอีก ก็พระองค์เป็นผู้เดียวกัน ก็เป็นพระเจ้า เป็นพระเยซู ผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง เพราะฉะนั้น พระองค์ก็พูดอันเดิม ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ

(2) ช่วยเหลือตัวเองกระทำดีไปตลอดรอดฝั่งไม่ได้หรอก ดีพร้อมไม่ได้

(3) มาๆ เชื่อในเรา วางใจในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะรอด

(4) เมื่อวางใจในเราแล้ว พระเจ้าจะทำอะไร? เกิดใหม่เลย ดีพร้อม อัศจรรย์ ใช่หรือไม่?

เพราะฉะนั้น พระเยซูตอนที่มาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงพูด ประกาศ 4 ประเด็นนี้ เท่านั้น มิได้มาสอนเรื่องให้กระทำดี กระทำชั่ว เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม? ถึงไม่สอนตรงนั้น ถึงกำหนดเวลา พระองค์ก็มา เดินอยู่บนโลกใบนี้  สอนด้วยตัวเอง ประกาศด้วยตัวเอง เป็นเวลา 3 ปี

3 ปีเท่านั้นเอง  ประกาศย้ำยืนยันเรื่องเดิม  พระองค์พูดไว้ว่าที่เขาเขียนในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เกี่ยวกับเรา  ก็คือที่เขาเขียนในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้เกี่ยวกับตัวเรานั้น  มันต้องบังเกิดขึ้นตามนั้น  เพราะเราเป็นผู้ให้เขาเขียนเอง ใช่ไหม?

คราวนี้มาช่วงที่ 3 นี่ 2ช่วงแล้วใช่ไหม? ช่วงพระคัมภีร์เดิม ตอนนี้มาพระคัมภีร์ใหม่ ยังไม่ใหม่จริง คือถึงกำหนดเวลา  พระเยซูมาบังเกิดตามนั้น แล้วก็มาเดิน ประกาศเรื่องนี้อีก  แต่ยังไม่ถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ  พระคัมภีร์ใหม่เริ่มต้น เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์ และบอกว่า “สำเร็จแล้ว” อะไรสำเร็จ ก็ 4 ประเด็นนี้  มันสำเร็จแล้ว ที่พูดมาตลอด ในพระคัมภีร์เดิม มันสำเร็จแล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ คือการเริ่มต้นศักราชใหม่ ยุคใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่  พันธสัญญาใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูเป็นเบบี้อยู่ในรางหญ้า ซึ่งคนเข้าใจผิด

ทำไมรู้ว่าเข้าใจผิด เพราะพระคัมภีร์เดิมจบที่มาลาคี  และเขียนไว้ในนั้นว่าพันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ไม่ใช่ พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ก็ยังเป็นพระคัมภีร์เดิมอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไม่มีพระคัมภีร์ที่เขียนถึงพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ช่วง 33 ปี ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นช่วงปลายยุคพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง  พระองค์ก็มาพูดเหมือนเดิม จนพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี พระองค์ก็พูด 4 ประเด็นนี้ พูดให้ฟาริสีฟัง พูดให้ชาวยิวฟัง พูดให้สาวกคนที่เดินตามฟังว่าพึ่งตัวเองไม่ได้นะ ตัวเองอ่อนแอ จะทำดีต่อไปไหม?  ตายก็ไม่มีทางสำเร็จ ทำไม่ได้หรอก  เราคือพระมาซีฮาห์ที่เราบอกว่าเราจะมาๆ นี่เรามาแล้ว มาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เมื่อเจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็จะเข้ามาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เหมือนกิ่งก้านมาต่อกับลำต้น ถ้าขาดเราเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ เจ้าต้องอยู่ในเราเท่านั้นจึงจะเกิดผล เป็นชีวิตนิรันดร์ แล้วเมื่อเจ้าอยู่ในเราแล้ว มันจะเป็นเช่นไร? ก็คือเราจะสนิทกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เจ้ากับเราจะไม่มีขาดจากกันอีก เจ้ากับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ใช่หรือไม่? เป๊ะเลยนะ

อ้าว! เสร็จปุ๊บ ครบ 33 ปี พระองค์ก็ถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว กี่พันปีมาแล้ว ก็บอกมาอย่างนี้  แล้วพระองค์ก็ทำจริงๆ ในที่สุดพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ได้บอกไว้แล้วไงว่าจะสิ้นพระชนม์ บอกมาแล้วไงว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตาย  บอกหมดแล้ว นี่ก็ทำตามนั้นเป๊ะเลย เสร็จแล้วอย่างไรต่อ เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พันธสัญญาใหม่มา  พันธสัญญาใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่  ตามที่สัญญาไว้ ใครที่เชื่อพระเยซูก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เลย

สำคัญกว่านั้น ก็คือพระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกับเขา  ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเขาจริงๆ หลังวันเพ็นเตคอส ตั้งแต่วันนั้นมา ก็จะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์คริสเตียนแท้ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม ให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ และสวรรค์ก็มาอยู่กับเขา เรารู้แล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่  แล้วพระเยซูก็มาสถิตอยู่กับเขา แล้วก็ทำต่อเหมือนเดิม  ทำอะไร?  หัวใจของพระองค์เต็มไปด้วยความรัก ทำเหมือนเดิม คือประกาศ 4 อย่างนี้เหมือนเดิม ประกาศผ่านใคร?

อันดับแรกผ่านทางโมเสส  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม

อันดับที่ 2 ผ่านทางตัวพระองค์เอง เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พูดเองเลย

อันดับที่ 3 เมื่อเสด็จเข้าไปอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พูดผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลายรวมทั้งตัวพวกเราด้วยในขณะนี้  พูดผ่านทางผู้เชื่อ ก็คือพูดผ่านทางแรกๆ คือเปโตรและอัครสาวกเริ่มต้น  และต่อไปใครอีกไม่รู้เยอะแยะ และในที่สุด ก็มาถึงเปาโล และใครอีกเยอะแยะ รวมถึงพวกเราทุกท่านที่นั่งอยู่ขณะนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านยินยอม และให้พระเยซูพูด หรือท่านไม่รู้เรื่อง พูดออกมาจากข้างในใจของท่านจริงๆ จากวิญญาณท่านที่รู้เรื่องนี้ และความคิดของท่านที่เชื่อในพระเจ้า ท่านไม่รู้หรอก ท่านกำลังให้พระเยซูพูดออกจากปากของท่าน  เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น  ใครที่พูดถ้อยคำของพระเจ้า ใน 4 ประเด็นนี้ คนนั้นไม่ได้พูดด้วยตนเอง เขากำลังพูด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เป็นผู้สถิตอยู่ และเป็นผู้ให้คำพูดกับเขา เหมือนที่ก่อนพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงถามสาวก 12 คนใช่ไหม?

“เขาว่าเราเป็นใคร? คนนั้นก็ว่าอย่างนั้น คนนี้ก็ว่าเราเป็นอันโน้นอันนี้ต่างๆ เป็นผู้เผยพระวจนะ ทำการอัศจรรย์อะไรต่างๆ”

เปโตรบอกว่า “ท่านคือพระคริสต์ ท่านคือพระมาซีฮาห์ ผู้ซึ่งมาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย”

พอพูดปั๊บ พระเยซูหันกลับมาบอก “นี่ เปโตร เฉพาะเธอ ที่พูดเมื่อสักครู่นี้  ไม่ได้พูดด้วยตัวเธอเองหรอก  แต่พระวิญญาณเป็นผู้ให้เธอพูด”

เพราะมันตรงข่าวประเสริฐ คนอื่นอาจจะพูดบอกว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ อันนี้ไม่ตรง พระองค์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ในทำนองเดียวกัน ในปัจจุบัน ผู้เชื่อทั้งหลายที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างใน เมื่อท่านพูดอะไรก็ตาม ที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของข่าวประเสริฐนี้  พระเยซู พระวิญญาณของพระองค์เป็นผู้พูดออกมา แต่หลายครั้งเราพูดจากความคิดของเราเอง พูดจากเนื้อหนังของเราเอง  อันนั้นไม่ใช่พระเยซูพูด

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่ามีรถเฉี่ยวมา แล้วท่านบอก … “จงไปตายเสียเถิด” อย่างนี้ไม่ใช่พระเยซูพูดแน่นอน

ถ้าท่านบอกว่า … “ขอพระเจ้าอวยพรให้เธอได้รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฉันอภัยให้เธอ”

อย่างนี้มาจากพระเยซูแน่ หรือท่านบอกใคร? ว่า … “พระเยซู คือพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายเพื่อท่าน”

นี่ใครพูด? พระเยซูแน่นอน  ถ้าไม่ใช่พระเยซู ไม่มีใครพูดแบบนี้แน่นอน เห็นอะไรบางอย่างไหม?  พระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้วตอนนี้  มั่นใจได้เลย  และพระองค์เป็นผู้พูดตรงนั้นแหละ  ตอนที่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้า

“ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์สถาน”

หรือว่า “พ่อจ๋า  ในนามพระเยซู ลูกอธิษฐานขอพระองค์ อันโน้นอันนี้”

ใครพูด พระเยซูพูด  เพราะถ้าท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะบอกว่า “พระบิดา” “พ่อ” “พ่อที่อยู่ในสวรรค์” พ่อไหน? ไม่เห็นอะไรเลย  รูปเคารพก็ไม่เห็น รูปปั้นก็ไม่มี พ่อที่ไหนไม่เห็น แต่ที่ท่านเห็น  เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ  แล้วมันเป็นจริงตามนั้น

นี่พยายามย้ำยืนยันให้ท่านว่าเรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ และผู้ที่ประกาศนั้น  มีเพียงผู้เดียว  คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคตจนจบโลกวัตถุ  ตามพระคัมภีร์ที่บอกไว้นั้น คือตั้งแต่ปฐมกาล  ที่พระเจ้าทรงสร้างโลก จวบจนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้าง ที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งตามสัญญา  ทั้งหมดนี้ พระเยซูเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ  เป็นผู้พูดเองทั้งสิ้น  ประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม พูดจากปากของพระองค์ ในช่วงที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดผ่านอัครทูต หรือผู้เชื่อต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ ถึงพวกเราทั้งหลายด้วย พระเยซูเป็นผู้พูดเองทั้งหมด

ถามว่าผมอธิบายเรื่องนี้  เพื่ออะไร?  เพื่อจะได้ให้เห็นถึงว่าเมื่อพระเยซูเป็นผู้พูด เป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียว ทั้งเล่มเลย  ถ้อยคำทั้งหมด จึงควรที่จะสอดคล้องกันทั้งหมด  ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมพระคัมภีร์ตอนที่พระองค์ทรงเดินบนโลกใบนี้  รวมทั้งพระคัมภีร์ใหม่ มันควรจะสอดคล้องกันทั้งหมด  ไม่มีอะไรขัดแย้ง เพราะเป็นผู้เดียวกัน เป็นผู้พูด ไม่มีแย้ง ถ้อยคำทั้งหมดจึงวนเวียนอยู่ใน 4 ประเด็นที่ตะกี้นี้บอกมา ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น โลกวิญญาณเท่านั้น  สภาวะของโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งมนุษย์มีส่วนเกี่ยวพันในนั้นมากที่สุด เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นวัตถุนี้ เกี่ยวข้องมากที่สุด

คราวนี้มาพูดถึงตะกี้นี้ที่ผมบอก พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม อันนี้สำคัญ หลายคนไม่เข้าใจ พอผมพูดเรื่องนี้ เขาก็นึกว่าผมละเลยเรื่องศีลธรรม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม แล้วอย่างนี้จะดีได้อย่างไร?  เขาไม่เข้าใจตรงนี้  จุดประสงค์ของพระเยซู ที่ไม่สอนศีลธรรมคืออะไร? และเมื่อเรารู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร?  เราจะรู้ว่าถ้าทำตามความจริงที่พระเยซูสอนเราเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  เราจะสามารถทำความดี เป็นไปตามศีลธรรมได้มากกว่าที่เราคิดว่าเราจะทำเองด้วยซ้ำไป

ลองมาฟังดู พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำดีหรือชั่ว เพราะเรื่องกระทำดี กระทำชั่วนั้น  ถูกฝังลึก อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอน

การรู้ดีรู้ชั่ว  คือต้นเหตุของความบาป ที่มาจากบรรพบุรุษ  ตามพระคัมภีร์เป๊ะ ใช่หรือไม่?  พระองค์ไม่ต้องมาสอน มันอยู่ในจิตใจ อยู่ในวิญญาณ  อยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่มันทำไม่ได้ การรู้ดีรู้ชั่ว คือต้นเหตุของความบาปที่มาจากบรรพบุรุษของมนุษย์  ก็คืออาดัมและเอวา

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ คืออาดัมและเอวา ทุกอย่างดีหมดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์ก็มีกฎเกณฑ์ของสวรรค์ มนุษย์อยู่ในกฎแห่งสวรรค์ของพระเจ้า  ตอนเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  อยู่ในกฎของพระเจ้า  เรียกว่ากฎแห่งความดีงาม  ความดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในกฎนี้ ก็ดีพร้อมทั้งหมด มนุษย์ไม่รู้จักเลย อินโนเซ้นต์ ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ไม่รู้จักอะไรชั่วอะไรดี เหมือนเด็กไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่อง พระเจ้าบอกดี ก็ว่าดี นี่คือกฎในสวรรค์ที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ ตอนเริ่มต้น  แล้วมนุษย์ทำดีหรือทำชั่ว เขาไม่รู้ เขารู้อย่างเดียวว่าเขาเชื่อในพ่อผู้ให้กำเนิด พ่อบอกดี เขาก็บอกดี  พ่อบอกเลว เขาก็บอกเลว  แต่มีคำไหนไหมที่พระเจ้าบอกเลว ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงบอกว่าดี  จนกระทั่งสร้างถึงมนุษย์ พระองค์ทรงบอกว่าดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย

สร้างบ้านให้มนุษย์ คือสร้างโลกใบนี้ สร้างสัตว์ สร้างต้นไม้ใบหญ้า  สร้างธรรมชาติ  พระองค์ทรงบอกทุกครั้งว่าพระองค์สร้างมา มันดี แต่พอสร้างมนุษย์ พระองค์บอกว่าดีเยี่ยมเลย  เพราะว่าเป็นไปตามพระฉายของเรา  สร้างสิ่งอื่น ไม่มีพระฉายเลย  ดีเฉยๆ  แต่สร้างมนุษย์ เป็นพระฉายของเรา  สะท้อนถึงความดีงามของเรา ศักดิ์ศรีของเรา ดีเลิศ มนุษย์ก็มีแค่ดีเลิศ ฉันนะดีเลิศแล้ว  จบ  ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ  นี่เป็นต้นเหตุเลย  นึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าพระเยซูมาชี้ให้เราเห็นอย่างนี้ เราจะได้เห็น เห็นได้อย่างไร?  เราจะรู้เรื่องโลกวิญญาณได้อย่างไร? เราจะรู้เทือกเถาเหล่ากอของเรา ผู้เป็นมนุษย์ได้อย่างไร? ถ้าเผื่อผู้สร้างเรา ผู้ให้กำเนิดเรา  ไม่เล่าให้เราฟัง ถ้าพ่อแม่เรา ที่ให้กำเนิดเรา ไม่เล่าให้เราฟังว่าตอนเด็กๆ เราเกิดเป็นเบบี้เราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ไหม? เราไม่มีทางรู้ ในโลกวิญญาณก็เหมือนกัน มนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์เกิดมาเป็นอย่างไร? ผู้ที่ให้กำเนิดมนุษย์ ผู้นั้นที่จะรู้ว่าเธอเกิดมาตอนนั้นเป็นอย่างนี้ๆ  น่ารักอย่างนี้ๆ  ติดเชื้อเข้าไปแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกเราได้ ก็มีพระเจ้าเท่านั้น ผู้ให้กำเนิดเรา บอกเรา  เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เหลือก็ไม่มีใครรู้เรื่อง  เมื่อไม่รู้เรื่อง เขาก็ได้แต่สอน เรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม การทำดีทำชั่ว ก็ว่ากันไป เดี๋ยวท่านก็จะรู้ว่าทำไม ถึงต้องสอนตรงนั้น  สอนเพื่อย้ำยืนยันจากหัวใจที่ถูกเขียน ให้มีกฎของการรักษาความดีความชั่ว แล้วก็เขียนมันออกมา

โอเค กลับมาเมื่อตะกี้นี้  มนุษย์อยู่ในกฎของพระเจ้า ทำอย่างเดียว คือเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในพ่อ พ่อบอกให้โดด ก็โดด เหมือนมนุษย์เลี้ยงลูก เอาลูกขวบหนึ่งวางไว้บนโต๊ะสูงๆ  บอก …

“โดดมาเลย”

ลูกโดดไหม? โดด เพราะเขาเชื่อพ่อ  เขาไม่คิดมาก  อันนี้โดดแล้วมันจะตกลงไปไหม? ไม่ เขาเชื่อพ่อ ภาพเป็นอย่างนั้น จนเมื่อบรรพบุรุษ คือลูก คืออาดัมและเอวาหันไปเชื่อมาร ต้องการเทียบเท่าพระเจ้า ต้องการมีปัญญาแบบพระเจ้า  แบบดีงามเหมือนพ่อ นี่ถูกหลอกนะ ถูกหลอกโดยมาร ไปเชื่อมาร เหมือนคนข้างบ้าน หรือคนนอกบ้าน มาตะโกนที่รั้ว พูดอะไรอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่พระเจ้าพูด  แล้วเราหลงไปเชื่อเขา

พระเจ้าบอก “อย่าออกไป ยาเสพติดไม่ดี”

นอกรั้วตะโกนมา “มาลองแล้วจะรู้ว่ามันดีขนาดไหน?”

คล้ายๆ อย่างนั้น เมื่อถูกหลอก ก็เลยขัดขืนคำสั่งพระเจ้า เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสำคัญ ในพระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ถามว่ามันเป็นผลไม้ไหม? ไม่ใช่หรอก ยกตัวอย่างผลของต้นไม้ต้นนี้ พระเยซูยกตัวอย่างอยู่เรื่อย ผลดี ก็ได้ดี ผลเลว ก็ได้เลว ไปกินผลเลว ผลไม้ต้องห้าม ต้นนี้มันต้นเลว เพราะทำให้เกิดสำนึกของการพึ่งพาตนเองในการจะทำให้ดีพร้อม ตามที่พระเจ้าบอกว่าดีพร้อม แต่ไม่เชื่อพระเจ้าไง  อยากจะให้มันดีมากกว่านั้น  เรียกกันว่าเกิดการสำนึกถึงการทำดีและทำชั่ว  คือต้องการกระทำดี และละชั่วให้มากที่สุด ด้วยตัวฉันเอง พึ่งตนเอง ไม่ใช่คิดขึ้นมาเอง เชื่อใคร?  เชื่อต้นเหตุของความบาปนี้

ต้นเหตุของความบาปนี้ คือมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น มา อยู่ดีๆ มันก็คิด เขาเรียกว่าเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาว่า …

“ฉันจะอยู่ด้วยตัวฉันเอง  ไม่มีพระเจ้าก็ได้ ฉันทำด้วยตัวฉันเอง”

นั่นแหละ คือต้นเหตุของความบาป ก็คือการพึ่งพาตนเอง ปฏิเสธพระเจ้า ไม่เอาพระเจ้า ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตของพระเจ้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน ฉันอยู่ด้วยตัวของฉันเองได้  ฉันทำด้วยตัวฉันเองได้  แล้วมันก็ตกกระป๋องไป เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายถูกสร้างโดยพระเจ้า  ต้องมีชีวิตของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ ถ้าไม่มีชีวิตของพระเจ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  ก็คือตกสวรรค์นั่นเอง  ตกสวรรค์ก็ตกหมดเลย  ทุกอย่างร่วงหมดเลย  มันร่วงแล้วทำอย่างไร? มันก็มาหลอกอาดัมให้ทำเหมือนอย่างมันนั่นแหละ  เหมือนกันไม่มีผิด  ก็คืออยากจะพึ่งตนเอง  ถามว่าถูกหลอก โดยความคิด ที่หลอกนั้นนะ คิดดีนะ อาดัมและเอวาไม่ได้โกรธเกลียดพระเจ้า  อาดัมและเอวาไม่ได้มีความหวังว่าจะใหญ่กว่าพระเจ้า อาดัมและเอวามีความคิดที่ดีนะ ถูกหลอกโดยใช้ความคิดที่ดีของอาดัมนั่นแหละว่า …

“ฉันจะได้ทำได้ดีมากกว่านั้นอีก  ฉันจะได้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ฉันจะได้ทำแต่ความดี ละความชั่ว พระเจ้าจะได้ภูมิใจในตัวฉัน  ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเจ้าบอกยอดเยี่ยม ได้ช่วยตัวเองบ้าง”

จุดนี้ต่างหากที่มันเริ่มต้นกฎของมนุษยชาติใหม่ แทนที่จะอยู่ในกฎความดีงามของพระเจ้า กลายเป็นมาอยู่ภายใต้กฎของการทำดีทำชั่ว พึ่งพาตนเอง พึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าบาป

“บาป” คือการพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้า แผนงานของพระเจ้า ที่วางไว้  บาป แปลตรงตัวว่าการผิดเป้าหมาย จากที่พระเจ้าวางไว้  พระเจ้าวางไว้ว่าเจ้าดี โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพึ่งพาตนเอง มาพึ่งในเราอย่างเดียว รับความดีความงามจากเราอย่างเดียว จากสิริอย่างเดียวเลย นี่เจ้าพลาดไปแล้ว  เจ้าอยากจะไปอยู่ด้วยตนเอง อยากจะใช้กำลังของตนเอง  อยากจะทำด้วยตนเอง  เป็นความเย่อหยิ่งที่อยากจะอยู่ด้วยตนเอง  จะโชว์ให้ดูว่าเราทำได้  ก็เลยอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง เรียกว่ากฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีและทำชั่ว ซึ่งภาษามนุษย์เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม ที่ตะกี้นี้บอก  พระเยซูจึงไม่ต้องมาสอนกฎแห่งศีลธรรม เพราะว่ามนุษย์ทุกคนรู้ เขียนอยู่ในใจ

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มนุษย์ทุกคน จะถูกส่งทอดกฎนี้มา  เกิดมาก็อยู่ในกฎของอาดัม คือการพึ่งพาตนเอง  การพึ่งพา การกระทำดีด้วยตนเอง การตั้งใจทำดี ละชั่ว  ดูดีไปหมดเลย  เห็นไหม? ทุกคนก็บอก สังคมในโลกใบนี้เขาบอกว่าดีมาก  ทำดีละชั่ว เป็นสิ่งที่ดี ก็จะไม่ดีได้อย่างไร? เพราะในใจถูกเขียนอยู่ในกฎนี้แล้ว  แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าเมื่ออยู่ในกฎนี้แล้ว ทำดีละชั่ว มันก็ไม่สามารถจะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะเดี๋ยวมันก็ทำชั่วไง มันก็ลบไม่ออก พอเข้าใจไหม?  ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันทำไม่ได้ ทำดีแล้วละชั่วด้วยตนเอง มันทำไม่ได้ เพราะว่ามันไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าที่สร้างเรามาได้  ขาดพระเจ้าแล้วเราจะรู้สึก เพราะขาดพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถที่จะทำตัวเองให้ดีพร้อม  ไม่ทำชั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่คิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว  มันเป็นไปไม่ได้

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศให้มนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ และที่ผมถ่ายทอดให้ท่านฟัง ก็อย่าเข้าใจผิดว่าอย่างนี้ไม่สำคัญ  นี่คือความจริง  หนีไม่พ้น มนุษย์ทุกคนตั้งใจทำความดีอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่ตั้งใจทำความดีหรอก  ถ้าเป็นมนุษย์ เพราะว่ามันถูกเขียนอยู่ในวิญญาณ จิตใจของเขาแล้ว ตั้งแต่เกิด  ถ่ายทอดมาตั้งแต่อาดัมแล้วว่าเขาตั้งใจกระทำความดี ละความชั่ว อันนี้อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอนเลย  แต่ปัญหา คือมันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อมาหาพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์จะเป็นกำลังให้เขาสามารถกระทำทางฝ่ายร่างกายนี้ได้ดีมากขึ้นกว่าเก่า  แต่ทางวิญญาณนั้น สามารถให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ดีเลย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็สามารถทำดีได้มากขึ้น  ตามที่หลักการของความเชื่อทางศาสนาต่างๆ และมนุษย์ทุกคนต้องการให้ทุกคนทำความดี พระเยซูคริสต์มาเสริมให้ทำความดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์ทรงเข้ามาสถิตอยู่ในคนๆ นั้นแล้ว พระองค์จะเป็นกำลัง เป็นความรัก ให้คนๆ นั้นเข้าใจ และสามารถกระทำดีได้มากขึ้น  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ตรงนี้ คือหัวใจ มากกว่าที่จะมาสอนว่าตรงนี้ไม่ดีนะ อย่าทำ ตรงนั้นไม่ดีนะ อย่าทำ มันรู้แล้ว แต่เขากำลังถามว่าเขาไม่อยากทำ แล้วทำอย่างไร เขาถึงจะเลิกได้ นี่สำคัญกว่า เขาอ่อนแอ เขาทำไม่ได้ เขาต้องทำอย่างไร? ตรงนี้มากกว่าใช่ไหม ที่ควรมาประกาศให้ได้รู้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์มาสอน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้า ที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ พระคุณของพระเจ้าจะสอนเรา ฝึกเราให้ทำสิ่งที่ดี ปฏิเสธการทำชั่ว นี่คือพระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงบอกไว้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าจุดเริ่มต้นของบาป ก็คือมนุษย์ย้ายออกจากกฎของความดีพร้อม แห่งการดีพร้อม กฎแห่งการเชื่อในพระเจ้านั้น ดีพร้อม มาอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ต้องทำดี และละชั่วด้วยตนเอง เรารู้ตรงนี้แล้วใช่ไหม?  มาอยู่ภายใต้กฎแห่งการพึ่งตนเอง  หรือเรียกว่ากฎแห่งบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าทำชั่ว แม้เพียงนิดเดียว  ก็อยู่ในสวรรค์ไม่ได้  ก็คือมันไม่ดีพร้อม

ดีพร้อม คือไม่มีชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งผ่านมาทางพระเยซูคริสต์หรือผ่านมาทางพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เท่านั้น เมื่อไม่มีชีวิตนิรันดร์ ไม่มีชีวิตแห่งความดีพร้อม มันก็ไม่สามารถทำได้

และกฎแห่งความบาปและความตายนี้ ก็ถูกฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วันนั้น คือวันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  วันที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา ได้ตัดสินใจ ประกาศให้สวรรค์ได้รับรู้ว่า …

“ผมจะออกจากบ้านแล้วนะ  ออกจากสวรรค์แล้ว ผมจะดูแลชีวิตตัวเอง ผมจะทำให้ดีที่สุด ให้พ่อได้ภูมิใจ  ผมจะไปแล้ว”

คือไปเชื่อฟังคนนอกบ้าน  คือเชื่อมาร  ตกลงไปในการล่อลวง ออกจากบ้านไป  เข้าไปอยู่ในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งความดีงาม  กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็ตกทอดมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกหลาน เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัมนั่นเอง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็จะพูดต่อๆ กันมา จนถึงพวกเราทุกวันนี้ถ้ายังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะบอกว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที

“หมดเวรหมดกรรม” แปลว่าเมื่อไรจะหยุดทำชั่วเสียทีหนึ่ง

เพราะเรารู้ว่าเราทำชั่ว เราทำดีแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็ชั่วอีกแล้ว เดี๋ยวก็คิดชั่ว มันไม่มีหยุดเลย มันก็พยายามทำดีมากขึ้น เขาก็สอนมาอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กๆ ยิ่งคนไทย เห็นชัดเลย จริงๆ ทั้งโลกสอนอย่างนี้หมดแหละ แต่ถ้าคนไทยเราคุ้นๆ ก็คือตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่หรือคนอื่นเขาสอน

“อย่าโกหกนะ ถ้าโกหก ตกนรก”

“ให้เชื่อฟังพ่อแม่นะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ตกนรก”

พูดกันง่ายๆ เลย แล้วเราก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วคนพูดก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วก็พูดกันว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง กรรมที่ชั่ว ที่ทำ ทำให้เราตกนรก มันเขียนอยู่ในใจแล้ว

“อย่าขโมยของเขานะ เดี๋ยวตกนรก”

“ใครอกตัญญูต่อพ่อแม่ ตกนรก”

นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม แล้วไม่ได้มาประกาศเรื่องนี้จริงๆ ถ้าท่านสังเกตดู ใน 4 ประเด็นนี้ ไม่มีเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมว่าให้ทำอย่างนั้น อย่าทำชั่วอย่างนี้  ไม่มีเลย  ท่านไปหาดูก็ได้  เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความประพฤติ แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์ใน 4 ประเด็น เพราะมนุษย์ทุกคนรู้แก่ใจแล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว มันเขียนอยู่ในใจแล้ว  รู้ว่าประพฤติอย่างไรถึงได้ไปสวรรค์ รู้นะ หรือว่าไม่รู้

“อย่าอกตัญญูต่อพ่อแม่นะ ไม่ได้ไปสวรรค์” … รู้ไหม? รู้

“อย่าคิดลามกนะ”

รู้ไหม? รู้ มีใครสอน ไม่ต้องมี ผู้ที่สอน ก็เป็นเพียงแต่ผู้ที่ย้ำยืนยัน บอกอีกทีหนึ่งในใจของคุณ เป็นอย่างนี้ พอพูดปั๊บ เชื่อปั้บเลย  ทันทีเลย  รู้ไหมว่าโกหกไม่ดี รู้ ครูบาอาจารย์และพ่อแม่สอนไหมว่าอย่าโกหก รู้ เชื่อไหม? เชื่อ รู้ว่าไม่ดีไหม? รู้ รู้ง่ายมาก  ไม่ต้องเรียนรู้เยอะเลย  และรู้สิ่งที่ไม่ดีต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตนเองใช่ไหม? ใช่ ก็คือเวรกรรมนั่นเอง  หว่านอะไร ได้สิ่งนั้นรู้ว่าไม่ได้ไปสวรรค์แน่ รู้ไหม? รู้ รู้หมด

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ คือแล้วจะทำอย่างไรล่ะ  มันจึงจะหลุดจากพวกนี้ได้ หลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ วงจรวัฏสงสารของการทำดีทำชั่วได้อย่างไร? บางคนไม่รู้ก็บอกว่าต้องสะสมความดีเยอะๆ มันจะไปลบเอาความชั่วออก แล้วลบได้ไหม? ไม่ได้ ลบไม่ได้ทำอย่างไร? ตายไปทำอย่างไร? ตายไปก็ลงนรก ไม่เป็นไร? ลงนรกก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวไปสะสมความดีในชาติหน้า เกิดใหม่เป็นตัวอะไรก็ว่ากันไป นี่คือหาเหตุผลไม่เจอ

พระเยซูจึงมาประกาศ ฟังให้ดีๆ นะ เมื่อมนุษย์ในใจตัวเองรู้ว่ามันทำไม่ได้ ละชั่วไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์แน่นอน  ต้องได้รับเวรกรรม ต้องได้รับการตัดสินลงโทษ  หลังความตายแน่ๆ พระเยซูจึงมาชี้ว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตนเองสิ  อย่าเย่อหยิ่ง อวดตัว ฟังในใจตัวเอง แล้วอย่าหลอกตัวเองต่อไป อย่าพยายามอยู่ในกฎนี้ต่อไป  จงยอมจำนนว่าตัวเองทำไม่ได้ แล้วเมื่อ ยอมจำนนเมื่อไร? ก็คือถ่อมใจทันที หันกลับมาหาคนที่เขาบอกว่าเขาทำได้  ก็คือเรา  “เรา” ในที่นี้ คือพระเยซูผู้ประกาศ  จงหันมาถ่อมใจ พึ่งพระองค์ พึ่งพระเยซู พระมาซีฮาห์ ที่พระองค์ทรงบอก ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วว่า …

“เราจะมาช่วย เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเป็นอย่างนี้ เรารักเจ้ามากเลย เจ้ากระทำดีไป เจ้าไม่รอดหรอก แต่เรามาช่วยเจ้า อย่าพึ่งความดีของตัวเอง  แต่มาพึ่งเรา เราจะมาช่วย  และตอนนี้เรามาแล้ว  เราคือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ พึ่งพระองค์ ยอมรับความจริงว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป อยู่ในกฎแห่งกรรม อยู่ในกฎแห่งการทำดีทำชั่วและทำเองไม่ได้ จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้า ผู้กำลังมาช่วยเหลือเรา ให้เราเชื่อในพระองค์ และกลับมาอยู่ในกฎของพระองค์เหมือนเดิม  ตั้งแต่สมัยอาดัม ตอนที่ถูกสร้างใหม่ๆ  ก็คือกฎแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกดี ก็ดี พระเจ้าบอกเอเมน ก็คือเอเมน พระเจ้าบอกดีพร้อม ก็คือดีพร้อม  ก็คือมาเชื่อในตัวเรา  เชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะดีพร้อม ก็บอกว่า …

“เอเมน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันดีพร้อม”

แล้วมันดีจริงๆ วิญญาณก็ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ กลับมาที่เดิม กลับมาเหมือนตอนที่อาดัมหล่นออกนอกสวรรค์ ตอนนี้กลับมาอยู่ในสวรรค์ได้  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเรานั่นเอง พระองค์ก็จะมาประกาศอย่างนี้ ทั้งหมด ทั้งเล่มเลย อย่างที่ผมบอกว่าตั้งใจฟังสิ่งเหล่านี้ อาจจะไม่เหมือนข้อความอะไรที่ท่านเคยได้ฟังมาก่อน ที่เน้นเกี่ยวกับเรื่องการทำดีทำชั่ว  ทำตามศีลธรรม ซึ่งตามที่ผมบอก ท่านตั้งใจฟังด้วยจิตใจที่เป็นกลางจริงๆ  ท่านจะรู้ว่ามันเป็นจริงตามที่พระเยซูอธิบายให้ท่านฟัง เหมือนที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้จริงๆ  อย่าเพิ่งไปคิดว่าผมกำลังพูดว่าศีลธรรมนั้นไม่สำคัญ ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่ามันสำคัญอย่างไร? และมันสำคัญมากด้วย

พระเยซูบอกพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างกฎที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎแห่งศีลธรรมที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎบัญญัติที่ท่านกำลังตั้งใจทำดี มันดีอยู่แล้ว พระเยซูบอกเราไม่ได้มาลบ มันถูกต้องอยู่แล้ว  แต่เรามา เพื่อจะมาช่วย เพราะท่านทำไม่ได้  อย่าฝืนเย่อหยิ่งว่าทำได้ เพราะเราเป็นคนสร้างเจ้าเอง เรารู้ว่าเจ้าทำไม่ได้หรอก จะทำให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ เท่ากับพระเจ้า เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาเชื่อในเรา และเกิดอัศจรรย์ใหม่ เชื่อในเรา แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า

พระเยซูบอกว่าสำหรับมนุษย์การพึ่งพาตนเอง ในการกระทำดีนั้น เป็นไปไม่ได้  แต่สำหรับพระเจ้า ทำให้ท่านดีพร้อม ได้ครับ  โดยการให้ท่านบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก่อนจะบังเกิดใหม่ ต้องทำอะไรก่อน ให้ตัวเก่าของท่านที่ทำไม่ได้ ที่อยู่ในกฎเดิม มันตายก่อน วิธีตายทางวิญญาณ ก็คือไปตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้พระเยซูคริสต์แบกบาป เป็นต้นเหตุของการตาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะได้เข้าไปตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระองค์ พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านก็สามารถเป็นขึ้นมาใหม่ ในวิญญาณท่าน ใหม่เอี่ยม มาอยู่ในกฎของสวรรค์ มาอยู่ในสวรรค์ ในพระเจ้า ในพระคริสต์ได้นั่นเอง  และเมื่อมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว  ท่านก็อยู่ในความเชื่อ ในพระเจ้า เป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต  ชีวิตของพระเจ้า ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน  ในวิญญาณของท่าน

และด้วยวิญญาณที่เต็มไปด้วยชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้านี้ ท่านก็จะมีกำลังในการปฏิเสธการทำชั่วได้มากขึ้น กว่าเดิมด้วยซ้ำ ย้ำอีกที มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ  อาจจะไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ในระบบของความบาปและเคยชินกับการทำสิ่งเหล่านั้นมาตลอดชีวิตของท่าน อาจจะเผลอไปทำบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้นบ้าง แต่วิญญาณข้างใน  ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วนั้น  จะมีพลังจากข้างใน  พระเยซูที่สถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน ในจิตใจของท่าน  จะเป็นผู้นำท่าน จูงท่าน สอนท่าน กำลังนำท่าน ให้กำลังกับท่าน เรียนรู้จักในการปฏิเสธการทำชั่ว  ท่านก็จะปฏิเสธได้มากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น  ตามกำลังที่พระเยซูคริสต์ประทานให้

นี่ไง พระเยซูคริสต์ไม่ได้บอกว่าเราได้มาล้มเลิกกฎของศีลธรรม  เรามาทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น สมบูรณ์ทั้งวิญญาณเลย ก่อน และสมบูรณ์ทั้งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย  สมบูรณ์ขึ้น แปลว่าดีขึ้น พูดง่ายๆ พูดกันตามภาษามนุษย์บนโลกใบนี้ คือท่านสามารถทำดีได้มากขึ้น  ละชั่วได้มากขึ้นนั่นเอง โดยวิธีการของพระเจ้า ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่าน  เห็นไหมครับมันต่างกันอย่างไร?  มันต่างกันตรงที่ แรกๆ ที่ท่านไม่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านตั้งใจทำความดี เพื่อจะไปสวรรค์ แต่พอพระเยซูคริสต์มาช่วยท่านแล้ว และท่านเชื่อพระเยซู ท่านบังเกิดใหม่ เป็นความดีเลย ไปสวรรค์เลย พอไปสวรรค์เสร็จ แล้วพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  พระองค์ให้กำลังกับท่าน ทำความดี ให้สมกับที่อยู่ในสวรรค์ ท่านคิดว่าอันไหนมันทำให้เราประพฤติดีได้มากกว่ากัน และจริงใจมากกว่ากัน

การทำดี เพื่ออยากไปสวรรค์ กับการอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว รู้ว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว และมีกำลังจากในสวรรค์เรียบร้อย เป็นธรรมชาติ  เป็นการกระทำดีแล้ว  ทำดีตามธรรมชาติของวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว  โดยมีพระเยซูคริสต์นำ อันไหนจะโผล่ออกมาเป็นความประพฤติที่ดีได้มากกว่ากันและจริงใจกว่ากัน

อันแรก ท่านอาจจะตั้งใจทำความดี ไปสวรรค์ แต่ท่านละชั่วไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านอาจจะบริจาคสิ่งของ แต่บริจาคสิ่งของต่างๆ เหล่านั้นไป เพื่อหวังที่จะได้ผลตอบแทน มันก็ไม่ได้เป็นการให้ โดยจริงใจ  เพราะท่านเหมือนลงทุน ให้เพราะท่านลงทุนว่าอยากจะได้สิ่งของกลับคืน สิ่งที่ท่านอยากได้ คือท่านอยากได้บุญที่จะไปสวรรค์ เห็นหรือยังครับ?

แต่ถ้าท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่ พอเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไปให้เหมือนกัน ทำบุญเหมือนกัน  แต่ท่านทำบุญ เพราะว่าท่านมีความเมตตา อยากให้คนเขาพ้นทุกข์ อยากให้คนเขามีสุข  ท่านไม่ได้อยากจะไปสวรรค์สักหน่อย  เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ถามว่าอันไหนจริงใจต่อกัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  ท่านช่วยเหลือคนอื่นเขา เพื่อที่จะไปสวรรค์ กับช่วยเหลือคนอื่นเขา เพราะว่าเห็นเขามีทุกข์ เราอยากจะให้พ้นทุกข์ อันไหนที่มีเมตตาจริงๆ มากกว่ากัน

นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ท่านทั้งหลายลองไปคิด ใคร่ครวญในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดูว่าใช่หรือไม่ ที่ท่านคิดว่าพระเยซูกำลังสอนให้เรา หรือผมกำลังสอนให้เรา ไม่ให้เห็นความสำคัญของเรื่องศีลธรรมการทำดี ทำชั่ว หรือพระเยซู หรือผมกำลังสอน กำลังชี้ให้เห็นถึงทำอย่างไรถึงกระทำดีได้บริสุทธิ์ใจจริงๆ  และทำดีได้อย่างไรมากขึ้นกว่าเดิม ทำชั่วอย่างไรน้อยลงทุกวัน เห็นไหมครับ?  ใครมีหู จงฟังเถิด  ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประกาศให้กับเราทั้งหลาย

ไม่ใช่ความดีที่เราเคยทำ เราจึงมาได้รับความรอด พระเมตตา พระเยซูคริสต์มาตาย ที่ไม้กางเขน ไม่ใช่ เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรักเรา เมตตาต่อเรา  ผู้ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  และพอมาเชื่อพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็ไม่ต้อง กระทำดี เพื่อรักษาการอยู่ในสวรรค์ เพราะมันได้อยู่อยู่แล้ว แต่เรากระทำดี เพราะเราบังเกิดใหม่  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติของความดีงาม พร้อมอยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ในความคิดจิตใจของเรา เราเป็นคนดี โดยกำเนิด  และมีพี่เลี้ยงผู้ดีงาม  ก็คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา คอยสอนเรา คอยบอกเราว่าควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น นี่แหละ คือความดีงาม  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรารับรู้แล้วว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีแต่ความจริง  ยังมีอยู่อีกมากมาย

 

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย  เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้   ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู)  ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท หัวใจ ตา หู จมูก  ลิ้น  สมองทุกเซลล์กำลังเสื่อมโทรมเสื่อมสลาย  เสียหาย  เจ็บป่วยเป็นทุกข์ไปสู่ความตาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์  ปกคลุมควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ ที่กำลังเสื่อมสลายนั้นตลอดเวลา พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถชื่นชมยินดีทรหดอดทน เต็มไปด้วยสันติสุขท่ามกลางความทุกข์เหล่านี้ได้ จนสุดสิ้นกระบวนการเสื่อมสลายในที่สุด (หมดลมหายใจ)  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเราไปสวมร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสิริสง่าราศี เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู  ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าร่างกายสวรรค์

 

พระเจ้าอวยพรครับ