วารสาร Holy News ฉบับที่ 1350

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 7

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 เราจบบทที่ 1 เมื่อเดือนที่แล้ว ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม แผนการ ความรอดให้มนุษยชาติ โดยเริ่มต้นจากชาวยิว คนอิสราเอลก่อน เรียกชาวยิวมา เพื่อเป็นคนรักษากฎระเบียบที่พระเจ้าให้ไว้ เป็นแบบอย่างถึงความชอบธรรม ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัม จริงๆ พระเจ้าก็เตรียมแผนไว้ แล้วก็เลือกอิสราเอลมา แต่ไม่ได้หมายความว่าอิสราเอลถูกเลือกมา แล้วเขาก็ไม่ต้องมาเปิดใจเชื่อพระเยซูคริสต์อีก ในวันที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือยังคงต้องทำเหมือนพวกเราไม่มีผิดเลย พวกเราซึ่งเรียกว่าเป็นคนต่างชาติ  เราต้องมาเชื่อพระเจ้า โดยการเปิดใจต้อนรับพระองค์ อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเอาวิญญาณของเราเข้าไป ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์

และในบทที่ 1 ก็พูดถึงฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ แผนการไถ่ ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันนั้นที่พระเยซูทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเยซูก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

การนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เล็งถึงเสร็จงาน ไม่ต้องทำแล้ว จบแล้ว นั่งรออย่างเดียว รอเวลาที่พระเจ้าได้กำหนดว่ามนุษยชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ เราก็ไม่รู้ว่าพระองค์เลือกสรรอย่างไร? และกี่คน?  เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อครบจำนวน คนสุดท้ายที่พระเจ้าเตรียมไว้

สมมติว่า A-Z คนชื่อ Z เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูก็เสด็จกลับมารับพวกเราผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์ และในวันนั้น บอกว่าฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลกนี้ก็จะหายไป ในพระคัมภีร์เดิมเขาใช้คำว่า “ม้วนหายไป” เหมือนเราม้วนเสื่อ

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  เกิดความเสียหาย แล้วมันก็เสียหายมาเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์คิดว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คือมันเสียไปแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้นเองที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่ผู้เชื่อจะได้ไปอยู่ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ แล้วพวกเราทุกคน ผู้เชื่อ หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง อันนี้แล้วแต่ว่าใครไปก่อนไปหลัง บางคนจากโลกนี้ไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา หรือลูกหลานเหลนโหลน แต่พระสัญญาของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่วิญญาณของผู้เชื่อออกจากร่างปุ๊บ เขาก็อยู่ที่เดิม เปลี่ยนมิติจากที่ต้องใช้ร่างกายนี้ ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  ไม่ต้องใช้แล้ว คือวิญญาณก็ไปที่เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปลี่ยนมิติ เท่านั้นเอง นั่นคือความหวังใจที่พวกเราผู้เชื่อ สามารถมีกำลังในการฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคที่เราเจออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ความทุกข์ยากลำบากมันเข้ามา อย่างที่บอกพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบาก อันแรกเลย ทุกข์ยากลำบาก ในด้านของวิญญาณ  ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือจากวิญญาณเดิมที่เราอยู่พวกเดียวกันกับธรรมชาติเดิม ซึ่งเป็นของอาดัม หรือธรรมชาติบาป คือพวกเดียวกัน พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลายเป็นคนละพวกแล้ว พระเจ้าก็ย้ายเราจากที่เดิม คือสถานที่ที่เป็นความบาป และความตาย ย้ายเรามาอยู่ที่ที่เป็นชีวิต ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เราจะมีชีวิตนิรันดร์”

ชีวิตนิรันดร์เป็นคุณภาพชีวิตแบบพระเจ้าเลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เรามีแล้ว ได้รับแล้วในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพอบอกคำว่า “วิญญาณ” ปุ๊บ เราก็ต้องใช้ความเชื่อเอา เพราะเรามองไม่เห็น สัมผัสจับต้องไม่ได้ รู้สึกไม่ได้ คือแบบ …

“อยากจะรู้สึก พระองค์เจ้าข้า ทำให้รู้สึกได้ไหม?”

พระเจ้าบอกไม่มี ถ้าเราพึ่งความรู้สึก เราก็จะโดนหลอก พอวันนี้อารมณ์ดี พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ใกล้มากเลย พอพรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี เมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมา หงุดหงิด พระเจ้าหายไปไหน? แต่ว่าความรู้สึกของพวกเรา ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ในชีวิตของเรา ไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกว่าทันทีที่มนุษย์คนหนึ่ง คนใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ วิญญาณเราจะถูกนำไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ คือวิญญาณเก่าเราตายเลย วิญญาณใหม่ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่ มาจากฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นฤทธิ์อำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่ทำให้ผู้เชื่อสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าได้

พอบังเกิดใหม่เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นพวกเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูตอนที่พระองค์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่าท่านทั้งหลายจะประสบความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด เพราะว่าท่านชนะโลกนี้แล้ว  ความทุกข์ยากที่เราเจอในโลกใบนี้ มันก็จะมีอยู่ 2 แบบ …

แบบหนึ่ง คือความทุกข์ยากในฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเจอความทุกข์ยากเลย คือจะมีการต่อต้านในวิญญาณ คำว่า “ต่อต้านในวิญญาณ” เรามองไม่เห็นนะ แต่ในวิญญาณเรารู้เลย เรากับฝั่งที่อยู่บนโลกใบนี้  เราอยู่คนละพวก พอเราอยู่คนละพวกปุ๊บ เราจะไม่สามารถอยากจะไปทำเหมือนเดิมอีกต่อไป

หลายคนเข้าใจว่าถ้าสมมติว่าเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่สอนให้คริสเตียนพยายามทำดี เท่ากับเราส่งเสริมให้คริสเตียนทำชั่วใช่ไหม? หรือว่าเท่ากับเราปล่อยปละละเลยว่า …

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มาเชื่อพระเจ้าทำผิด ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเรารอดแล้ว”

อันนั้นจริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกจริงๆ วิญญาณเราเป็น แต่ว่าในด้านของวัตถุ เราก็ยังมีกฎของโลกนี้อยู่ ซึ่งพวกเรา ผู้เชื่ออยู่ในสภาวะที่เป็น 2 กฎด้วยกัน …

กฎหนึ่ง คือกฎของวิญญาณ ซึ่ง ณ เวลานี้ วิญญาณพวกเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณของพวกเราไม่ต้องถูกพิพากษาหลังความตายอีกแล้ว เราไม่ต้องไปนั่งกลัวว่าเกิดวันนี้ลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเรายังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ให้รับการพิพากษาไหม? ถ้าเราถูกหลอก เราก็จะคิดอย่างนี้ เพราะว่าก่อนที่เราจากไป เรายังทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่เลย สงสัยเราไม่รอด อันนั้นพระเจ้าบอกว่าอย่าโดนหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ มันจะไม่มีผลกับวิญญาณของเรา เมื่อวิญญาณของเราเชื่อวางใจในพระเจ้า คือรอดแล้ว รอดเลย ที่เราคุยกัน รอดแล้วรอดเลย

จะเปรียบเทียบง่ายๆ เลย คนที่มีครอบครัว จะชัดเจนมากๆ ในเรื่องนี้ สมมติเรามีลูก เราเป็นพ่อแม่ พอเราคลอดลูกออกมา คงไม่มีลูกคนไหน? หรือบ้านไหน? ที่ทำดี 100% ไม่เคยทำผิด ไม่เคยดื้อ ไม่เคยกบฏกับเรา หรือไม่เคยเถียงเรา พอลูกเราโตหน่อย เขามีความรู้สึกว่าเขามีความคิดของตัวเอง พอเราพูดอย่าง เขาก็จะพยายามเถียง เราเป็นรุ่นเก่า ไม่ต้องมาสอนฉัน ฉันรุ่นใหม่ ฉันรู้อะไร ไปหาในอินเตอร์เน็ต หาในอะไรเยอะแยะมากมาย ความรู้ท่วมหัว อะไรแบบนี้ แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อขนาดไหน? หรือออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นลูกของเรา มันเป็นไปไม่ได้ คือโดยเชื้อสาย โดยชาติกำเนิด เขาคลอดออกมาในครอบครัวของเรา มี DNA ของคุณพ่อคุณแม่ 100% เลย คือเป็นลูกเราเลย ต่อให้ลูกของเราจะดื้อ จะทำผิด จะอะไรก็ไม่สามารถทำให้สถานะเป็นลูกเปลี่ยนไปเลย เราอาจจะรู้สึก …

“ทำไมลูกเราเป็นอย่างนี้”

ถามว่าเกลียดเขาไหม? ไม่เกลียดนะ เราก็ลุ้น พอเรามาเป็นลูกพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อลูกเรา มีหลายครอบครัวที่พ่อแม่มาเชื่อพระเจ้า ลูกยังไม่เชื่อ  เราบังคับเขามาเชื่อพระเจ้าไม่ได้ เราทำอยู่อย่างเดียว คืออธิษฐานเผื่อเขา เราอยากให้เขาได้รับความรอด  เหมือนกับที่เราได้รับ  เราก็อธิษฐานเผื่อเขา หรือบางครอบครัว สามียังไม่เชื่อพระเจ้า พ่อแม่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อเขา

พอเรานึกภาพลูกของเรา เกิดลูกเราไม่ยอมเชื่อพระเจ้า เราทำอย่างไร? ไม่เชื่อพระเจ้าไม่พอ ไปเกเรข้างนอก เราพูดว่า “ตัดหางปล่อยวัด” เราอาจจะพูดไปอย่างนั้นแหละ มันตัดไม่ได้หรอก ยังไง ก็ลูกเรา พอเขามีปัญหาปุ๊บ พ่อแม่ก็จะวิ่งกุลีกุจอ ตาลีตาเหลือกเลย รีบไปช่วยเขา

นี่คือภาพแค่เฉพาะมนุษย์ ที่พระเยซูยกตัวอย่าง แม้แต่มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง เมื่อลูกขอขนมปัง คงไม่เอาก้อนหินให้ เพราะลูกคนนี้ดื้อ พูดไม่รู้เรื่อง สอนก็ไม่จำ ไม่ต้องกินขนมปัง เอาก้อนหินไปเคี้ยวให้ฟันหักแล้วกัน ไม่มีใครทำอย่างนั้น ก็คือต่อให้เป็นอย่างไร? พอลูกเราหิวโชกกลับมา เราก็ต้องรีบกุลีกุจอหาของให้กิน

นี่คือภาพปกติเลย ของมนุษย์ทั่วไป  ที่พระเจ้าให้เราเห็น แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างพวกเรา แล้วพระเจ้าจะไม่ห่วงใย และรักเรามากกว่านั้นหรือ?

เพราะฉะนั้น วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าหาวิธีทำทันทีเลย ถ้าเราอ่านปฐมกาล เราจะเห็นว่าพระเจ้าไม่รีรอ ไม่ชักช้าเลย หาวิธีแก้ไขทันทีว่าตอนนี้ลูกเราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมอยู่ในการดูแลของเรา  ไม่ยอมเชื่อฟังเรา อยากจะไปใช้ชีวิตของตัวเอง อยากจะใช้ความดีงามของตัวเอง  พยายามสะสมความดีงามด้วยกำลังของตัวเอง  พระเจ้าก็ต้องปล่อย คือพระเจ้าไม่ประสงค์

หลายครั้งเราใช้คำว่า “พระเจ้าอนุญาต” แล้วเราก็จะใช้คำถามว่าทำไม พระเจ้าถึงอนุญาตให้เหตุการณ์ร้ายอย่างนี้  เกิดขึ้นกับ … อาจจะเป็นตัวเรา ครอบครัวของเรา หรืออะไร? เราอาจจะถามอย่างนี้  แต่พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับเรา เพราะว่าพระเจ้าให้อิสระเสรีภาพให้กับมนุษย์ ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่เป็นลูกเท่านั้น ที่ตัดสินใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมา และพระเจ้ารักเขามาก  ที่พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์แทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน  คือไม่ใช่มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราผู้เชื่อเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติทั้งโลกใบนี้เลย คือพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบ ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออก วิ่งลงวิ่งขึ้น มาทำแล้วทำอีก ไม่ต้อง เกิดเป็นมนุษย์อีก มาตายอีก  เป็นขึ้นมาใหม่อีก ไม่ต้อง คือทำเที่ยวเดียว จบ ครบถ้วนสมบูรณ์

แปลว่าความรอด มันเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ความรอดนี้ คือทำสำเร็จแล้ว การไถ่มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว แปลว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์ในเรื่องนี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานเผื่อให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขาได้รับความรอด  เพราะว่าตามบริบทของถ้อยคำของพระเจ้า เขาได้รับความรอดแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้ความจริงว่าเขาได้แล้วไง เขาได้ของขวัญแล้ว ของขวัญผูกโบว์ไว้เรียบร้อยแล้ว มีชื่อเขาด้วย  เขาแค่ไม่รู้ความจริงว่าเขาสามารถเดินเข้ามารับของขวัญนี้ได้ มีสิทธิ์ที่จะรับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสเตียน ถึงออกไปประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือออกไปบอกให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขารู้ว่า …

“พระเจ้าทำให้เธอเสร็จแล้วนะ เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้ามารับเหมือนฉันเลย แล้วพระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าอนุญาตให้เธอตัดสินใจ”

เหมือนตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็ไม่ได้บีบคอเรา ให้มาเปิดใจต้อนรับ แต่เป็นช่วงเวลาที่เราฟังเรื่องของพระเจ้า ฟังแล้วก็สะสมๆ จนวันหนึ่ง ข้างในใจ เมล็ดมัสตาร์ดมันปังขึ้นมา เป็นระเบิดปรมาณู ทำให้เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือวางชีวิตของเรา  บอกกับพระเจ้าว่าไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งพาตัวเอง เราขอพึ่งพาพระเจ้าดีกว่า นั่นแหละ วันนั้น ทันที เกิดขบวนการการบังเกิดใหม่ แบบอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่

มนุษย์พยายามอยากให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ พระเจ้าบอกไม่ต้องทำหรอก  เพราะอัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่พระเจ้าทำให้มนุษย์คนหนึ่งบังเกิดใหม่ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ด้วยกำลังของตัวเอง หรือด้วยความสามารถของตัวเอง หรือการทำดีด้วยตัวเอง ไม่มีเลย อย่างที่บอก พระเยซูมาประกาศว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก ทำดีให้ตาย ก็ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่ามาตรฐานของพระเจ้า คือ 100%

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาบอกเราตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้มาสอนว่าเราต้องทำอะไร? พระเยซูมาแค่ประกาศข่าวดี ข่าวดี คือฉันมาแล้ว ฉันคือผู้นั้น คือพระผู้ช่วยให้รอด  คือคนที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่โน้น สมัยปฐมกาล ที่มนุษย์คนแรกล้มลงในความบาป แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

นี่แหละ คือการประกาศข่าวดี ตั้งแต่วันนั้นว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเรา มาชดใช้หนี้บาปเวรกรรมให้กับมนุษยชาติ แล้วบัดนี้ พระเยซูก็ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ฉะนั้น ข่าวดีตรงนี้แหละ คือการประกาศออกไป และหน้าที่ของพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ เราก็แค่บอกความจริง บอกข่าวดีว่าพระเยซูทำอะไรให้มนุษยชาติ พอเราบอกเสร็จ จบเลยนะ พี่น้องไม่ต้องไปพยายามบีบคอให้คนที่ฟังเรา มาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าจะทำงาน และเมื่อคนๆ นั้นเขาติดตาม เขาไม่ละทิ้ง เขาฟังมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เมล็ดนั้น มันเกิดออกมาเป็นผล นี่คือขบวนการของพระเจ้าที่ทำในชีวิตของเรา

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์ทำตรงนี้เสร็จ วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูก็เตรียมของขวัญให้กับมนุษยชาติ 3 อย่างด้วยกัน  …

อย่างแรก คือการอภัยบาป การยกโทษความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ  เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ตามที่กฎของพระเจ้าบอกอาดัม เอวาว่าผลไม้นี้อย่ากินนะ ขืนกินวันใด เจ้าจะต้องตาย คำว่า “ตาย” ที่พระเจ้าบอก ก็คือตายฝ่ายวิญญาณ  ต่อด้วยตายฝ่ายร่างกายด้วย จากก่อนหน้านั้น มนุษย์ไม่ตาย มนุษย์มีวิญญาณนิรันดร์ อาดัม เอวามีวิญญาณเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย  แต่ว่าอาดัมกับเอวาไปเชื่อฟังการหลอกลวงว่า …

“เธอสามารถทำดี เธอสามารถที่จะรู้จักความดีความชั่ว”

ซึ่งพระเจ้าบอก … “เธอไม่ต้องรู้หรอกความชั่ว เธอแค่รู้ความดี ก็พอ เพราะว่าฉันสร้างทุกอย่าง ฉันบอกว่าดี แล้วเธอดี เธอครบถ้วน เธอสมบูรณ์  เธอไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เธอแค่เดินไป เดินมา โฉบไปโฉบมา ดูสิ่งที่พ่อสร้างให้เธอ แล้วก็ไปดูแล มีความสุข” อย่างนี้

แต่เพราะอาดัมไปคิดว่าอยากจะทำดี เหมือนกับลูกบางคน อยากจะทำดีให้พ่อแม่เห็นว่า …

“ฉันทำได้นะ”

และการทำตรงนี้ อาจจะไปทำสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง หรือบางคนอาจจะคิดว่า …

“ฉันจะต้องหาเงินเยอะๆ มาให้พ่อให้แม่ชื่นใจ”

การหาเงินตรงนี้ อาจจะหาแบบไปทำผิดกฎหมาย ลักษณะเดียวกันที่มนุษย์คู่แรก ที่เขาเชื่อมารหลอก เพราะมารหลอกว่า …

“ไม่จริงหรอก ถ้าเธอกินผลไม้นี้ เธอจะเหมือนพระเจ้า เธอจะรู้จักความดีความชั่ว”

“ถ้ารู้จักนะ เราจะได้ทำดี ทำดีได้เพิ่มขึ้น เพื่อจะให้พระเจ้าชื่นใจ”

นี่คือความรู้สึก แต่ปรากฏว่าพระเจ้าบอก … “ฉันบอกเธอว่าดี ฉันสร้างเธอดีแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย ให้มันดีกว่านั้น”

พอมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เท่ากับกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ที่พระเจ้าพูด ไม่จริง พระเจ้าบอกดี ฉันยังรู้สึกไม่ดีเลย ฉันอยากทำดีด้วยกำลังของฉันเอง”

ก็เลยล้มลงในความบาป พอมนุษย์ตัดสินใจอย่างนี้ ถามว่าพระเจ้าอนุญาตไหม? ก็ต้องอนุญาต เพราะพระเจ้าให้สิทธิ์ไง ให้สิทธิ์มนุษย์ในการตัดสินใจ ก็ต้องบอกว่าพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าประสงค์ไหม? อยากให้มนุษย์ล้มลงในความบาปไหม? ไม่อยาก แน่นอน พระเจ้าอยากให้มนุษย์อยู่ดีมีสุข ได้เชยชมสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง มีความสุข แฮปปี้  แต่มนุษย์เลือกทางของเขาเองเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราเหมือนเดิมเลยนะ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้ เราตัดสินใจในแต่ละวันว่าเราจะเลือก ในการทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะทำตามการล่อลวงของระบบของโลกนี้ หรือโปรแกรมเก่าที่เราเคยทำอยู่ แล้วมันชิน  แล้วก็จะหลอกเรา ดังนั้น มันมีการเลือก เราอยู่ตรงกลาง ถ้าเราสะสมถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรม เราเป็นคนดีนะ ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก พระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในตัวเรา  เป็นความรัก และเราก็เป็นเลย พอเป็นปุ๊บ เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นความรัก เราก็จะค่อยๆ พัฒนาฝึกฝน ให้ความรักที่อยู่ในเราออกไป ให้คนอื่นได้สัมผัส

ฉะนั้นในโลกวิญญาณ อย่างที่เราบอก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักกันในวิญญาณ ผู้เชื่อทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่เรานั่งอยู่ด้วยกันว่าเรารักพี่น้องนะ  นั่นคือที่ตาเรามองเห็น เป็นเรื่องของสภาพร่างกาย แต่ในเรื่องของวิญญาณ เรารักซึ่งกันและกันทันทีเลย เป็นการสำแดงออก ที่พระเจ้าบอกเราเป็นความรัก เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ เรากับพี่น้องคนอื่นๆ ทั่วโลกใบนี้ ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาก็มีพระเจ้าทั้งสามพระภาคอยู่ในตัวเขาเหมือนเราเช่นเดียวกัน ก็คือพระเจ้าว่า …

“ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน แล้วโลกนี้จะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”

การรักซึ่งกันและกันในวิญญาณ เราไม่ต้องพยายามทำ แต่มันออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เรารักกันเลย

บทพิสูจน์ พี่น้องเคยเดินทางไปไหนมาไหน? สมมติเรานั่งรถ แล้วเราเห็นรถคันหน้ามีรูปปลา เวลาเป็นคริสเตียน เขาชอบแปะรูปปลา หรือเป็นคริสเตียน รถเขาก็จะแขวนไม้กางเขน  พอเราเห็นปุ๊บ ดีใจ เหมือนได้เจอญาติ ถามว่ารู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่พอเห็น นั่นข้างหน้าคริสเตียนๆ นั่นแหละ คือในวิญญาณเรารักกัน แล้วเราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าเราไปตื่นเต้นอะไรกับคนที่เราไม่เคยรู้จัก อยู่ดีๆ  แค่เห็นรถข้างหลังเขามีรูปปลา เราดีใจซะขนาดนั้น ก็คือในวิญญาณเรา เป็นความรัก รักซึ่งกันและกัน มันออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องไปฝืน หรือเวลาเราไปต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศ เจอใคร แล้วบอกว่าเป็นคริสเตียนปุ๊บ ดีใจ ยังกับเจอญาติ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ข้างในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้น พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราก็รักซึ่งกันและกันในวิญญาณ

เอเฟซัส 2:1 “และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิดและการบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า    จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

 

“และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว” นี่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงธรรมชาติเดิมของผู้เชื่อ ก่อนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาได้ตายแล้ว คือวิญญาณเขาตาย

“การล่วงละเมิดและการบาป”  คำว่า “บาป” หมายถึงการทำอะไรก็ตาม   ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้ตั้งไว้สำหรับมนุษยชาติ เป้าหมายที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรกมา เพื่อให้เขาอยู่กับพระองค์ นี่คือเป้าหมายหลัก อยู่กับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามพระองค์ พระเจ้าบอกว่าเขาดี  เราก็บอกว่าเอเมน เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็เอเมน  เราเป็นความรัก เราก็เอเมน ตอนนี้วิญญาณเราดี … ดีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราก็เอเมน นั่นคือจุดประสงค์และเป้าหมายแรกที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ฉะนั้น พอมนุษย์ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า  พระเจ้าบอกเขาดีแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม อาดัมกับเอวา ก็สำแดงออกมา คือไปหยิบผลไม้มากิน เป็นการบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ที่พระองค์บอกว่าลูกดีแล้ว ลูกยังรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ลูกอยากจะทำดีให้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้พระองค์ชื่นใจ”

เราเคยคิดถึงจุดนี้ไหมว่าธรรมชาติข้างในมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากทำบาป แต่ว่าจะถูกหลอก หลอกล่อ หลอกลวง ฉะนั้น คำว่า “บาป” ไม่ใช่เป็นการทำอะไรที่ไม่ดี แต่คำว่าบาป ที่พระเจ้าบอกตรงนี้  ก็คือการพยายามทำความดี หรือพึ่งพาการกระทำความดี พึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือเพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ทำอย่างไรก็ไม่ได้”

พยายามเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พยายามนะ คือความตั้งใจ ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ ถามว่าดีไหม? ในโลกมนุษย์นี้ดีนะ พระเจ้าบอกว่ากฎของมนุษย์ก็มี กฎของวิญญาณก็มี กฎของมนุษย์ ถ้าเราทำสิ่งทั้งหมดดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดี เมื่อเราเอื้อเฟือเผื่อแผ่คนอื่น เราก็ได้เก็บเกี่ยวผลดีกลับมา เมื่อเราทำสิ่งที่ดีลงไปปุ๊บ เก็บเกี่ยวอันแรกเลย ข้างในเรามีความสุขเลย แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดี เก็บเกี่ยวอันแรก คือข้างในเราจะทุกข์ ทำไปได้อย่างไร ยิ่งถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว  เรายิ่งทุกข์ใหญ่เลย เพราะธรรมชาติข้างในเรา คือความรัก  คือความดี พอเราทำอะไรผิดจากธรรมชาติ เราจะรู้สึกทุกข์ มันไม่ใช่ อะไรอย่างนี้

แต่ว่าด้วยความจริงในโลกวิญญาณ  ความจริงที่พระเจ้าบอก คือเมื่อเรากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในโลกวัตถุ กฎของโลกวัตถุมี ถ้าเราขับรถไปชนเขา เราก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เราจะมาอ้างว่า …

“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ฉันชนเธอ เธอจะมาเรียกค่าเสียหายจากฉันไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ”

มันคนละเรื่องกันนะ แยกให้ชัดเจน ที่บอกว่าไม่มีการลงโทษ คือเรื่องของวิญญาณ ยังไงก็ไม่มีการลงโทษ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีการลงโทษแน่นอน แต่ในด้านของวัตถุที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในกฎของความบาปและความตาย เรายังต้องเก็บเกี่ยวผลอยู่ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี เราเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดีแน่นอน อันนี้เราจะมาอ้างความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อที่จะหาผลประโยชน์ไม่ได้นะ

พอเราแยกแยะชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมพระเจ้าถึงสอนเราว่าให้เราเรียนรู้ว่าตอนนี้ ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างไร?  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่ดีงาม ตอนนี้ความดีงามอยู่ในเราแล้วนะ แค่เราใส่ใจ และรู้ว่าตอนนี้เราเป็นความดีงาม แล้วก็เอามันออกมาใช้ แค่นั้นเอง เหมือนเรามีเสื้อผ้าสวยๆ อยู่เต็มตู้ เราก็ต้องรู้ว่าในตู้ฉัน มีเสื้อสวยๆ เราจะได้หยิบมาใส่ ใส่แล้ว มันก็ดูดี หรือเราไม่รับรู้ว่าซื้อเสื้อสวยๆ ไว้เต็มตู้เลย แต่ไปหยิบเสื้ออะไรไม่รู้ ดึงออกมาทีไร ขาดหวิ่นทุกที ใส่ออกมา ดูแล้วก็ไม่สวยงาม

นี่เป็นลักษณะเดียวกัน เราเป็นลูกของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามา เหมือนเราใส่อาภรณ์ ในพระคัมภีร์บอกให้สวมตัวใหม่  แล้วก็ทิ้งตัวเก่า  “ตัวเก่า” คือโปรแกรมหรือความคิดเดิมที่มันยังอยู่บนโลกใบนี้ เพราะร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้  มีโอกาสที่เราจะถูกดึงให้ทำตามมัน แต่ว่าข่าวดี คือพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราปฏิเสธมันได้ มันหลอกเราว่าตรงนี้ไม่ได้ เธอต้องจัดการ แต่การตัดสินใจอยู่ที่เรา ถ้าเราจะโดนหลอก ใช่ๆ ที่เขาบอกไม่ได้ เขาต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำกับเรา แค้นนี้ต้องชำระ พอเราคิดอย่างนี้ พอสมองคิดเยอะๆ มันจะสั่งการลงไปที่ร่างกาย แล้วร่างกายเราก็จะทำตาม ที่สมองสั่ง มันเป็นอัตโนมัติ

ดังนั้น ถ้าเราใส่ข้อมูลที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นความชอบธรรม เราเป็นความดีงาม เราเป็นความรัก ใส่ข้อมูลไป พอมารมาหลอก การล่อลวง หรือระบบเนื้อหนัง มาหลอกเรา … “ไม่ใช่ๆ ตอนนี้เขาทำอย่างนี้ เธอต้องเกลียด เธอรักเขาไม่ได้หรอก มันรับไม่ได้จริงๆ”

ถ้าเรามั่นใจหรือแม่นในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา … “หลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันเป็นความรัก ฉันไม่เชื่อเธอหรอก”

แล้วเราก็สำแดงความรักออกไป มันจะอยู่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนสงครามระหว่างความคิด แล้วคนที่ตัดสินใจทำ คือเรา ตัวเรานะ ตัดสินใจทำ ถ้าเราทำตามที่พระเจ้าบอก  เราก็มีความสุข ชื่นใจ พระเจ้าก็หายใจโล่ง นึกออกไหม? เวลาพ่อแม่มองลูก ถ้าลูกไปทำไม่ได้ เราลุ้น  พอโตแล้ว เราไปว่าเขาไม่ได้นะ เขาจะไม่ฟังเรา เราก็ลุ้น …

“ลูกเอ่ยๆ อย่าเดินไป นั่นเหวนะ”

แล้วพอเขาคิดได้ ตรงนั้นเหว ถอยกลับ เราชื่นใจ มีความสุข ภาพเดียวกัน  พระเจ้าก็ลุ้นเรา เพราะพระเจ้าไม่บังคับเรา พอเราตัดสินใจ …

“พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ ตัวเก่าของฉันมันตายไปแล้ว ตัวอิจฉาริษยา โกรธ เกลียด มันตายไปแล้ว มันไม่มี ตัวใหม่ของฉัน คือความรัก เป็นความดีงาม ความชอบธรรม”

เราก็มาทางนี้ มันเอนมา พอเอนมาปุ๊บ สมองสั่งการ ร่างกายเราก็จะทำตาม เราก็สำแดงความรักออกไป  มันจะเป็นภาพอย่างนี้ทุกวัน  ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เรารับรู้ความจริง แล้วให้ความจริงนี้สะท้อนออกไป ให้คนอื่นรอบข้างได้เห็น  ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน  เขาจะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา ใช่เลย คริสเตียนเป็นความรัก ถ้าคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดี เขาจะพูดอย่างไร? …

“เป็นคริสเตียนทำไมทำอย่างนี้ล่ะ”

เมื่อก่อน เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ว่าเรานับถืออะไร? เราทำอะไรไม่ดี ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าทำไมถึงทำไม่ดี เขาก็เฉยๆ เพราะเขารู้สึกว่ามันเคยชิน แต่พอได้เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อ เชื่อพระเยซูคริสต์ ภาพของมนุษย์บนโลกใบนี้  เขาจะวาดภาพคริสเตียน สวยหรูมากเลย แบบสุดยอด พอคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ เขาจะพูดว่า …

“ทำไมคริสเตียนทำอย่างนี้”

แต่ว่าเราต้องรับรู้ความจริง ตรงนี้ว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอ่อนแออยู่ เรามีโอกาสที่จะพลั้งพลาดได้ ไปทำสิ่งที่ระบบของโลกมาดึงเราไป แล้วเราก็เผลอ อ่อนแอวันไหนเราก็ทำไป แต่ว่าเราทำไปตรงนี้ ผลมันจะเกิดเฉพาะในโลกใบนี้เท่านั้น แล้วพอเราได้คิด …

“พระเจ้า ลูกขอโทษนะ คือมันพลาดไป”

แต่ไม่ต้องมาสารภาพบาปแล้วนะ คริสเตียนไม่มีบาปแล้ว ไม่ต้องมาสารภาพ แค่

“พระเจ้า ขอโทษ ลูกทำตรงนี้ รู้เลย มันไม่ดี ข้างในไม่มีความสุข” แล้วเราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม

แค่นั้นเอง นี่คือลักษณะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง  ความจริงก็จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ เราก็จะไม่ถูกมารหลอก พอเราทำผิด มันก็มาซ้ำเติม …

“เห็นไหมๆ แกทำผิดๆๆๆๆ พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”

เราก็ต้องบอกว่า … “ต่อให้ฉันผิดแค่ไหน พระเจ้าก็รักฉัน  รักขนาดที่ยอมตาย เพื่อฉัน บนไม้กางเขน  แล้วตอนนี้วิญญาณฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีผิดอยู่แล้ว แกมาหลอกฉันไม่ได้หรอก”

นี่คือการพูดถ้อยคำของพระเจ้า ที่ทำให้เรารู้ว่าตัวจริงๆ ของเรา ณ ปัจจุบัน มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยบอกให้ชัดเจนว่าสมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เรายังอยู่ในบาปอยู่ ล่วงละเมิด เรายังอยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วต่อให้มนุษย์ทำดีขนาดไหน? ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ จนกว่ากฎของพระเจ้าจะทำสำเร็จ  ที่พระเจ้าบอกว่ามีความตายเท่านั้น ถึงจะสามารถมาชดใช้ ความผิดบาปของมนุษย์ได้ แล้วพระเจ้าก็ให้พระเยซูคริสต์มาตายแทนเรา

การตายแทนเรา พระเยซูคริสต์จำเป็นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เลย เพื่อที่จะมาช่วยมนุษย์ มาตายแทนมนุษย์ มีความรู้สึก มีเลือด มีเนื้อ ถ้าพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า คือพระเจ้าตายไม่ได้  พอเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนได้ แล้วก็ช่วยให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ถ้าใครเชื่อตามนี้ เราก็จะได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวเดิมนั่นแหละ เหมือนบุตรน้อยหลงหายไป มาเจอครอบครัวแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็กลับมาคืนดีกับพระเจ้า

แล้วตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อก่อนเราอยู่ในบาป และถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราไม่สามารถเดินด้วยกันกับพระเจ้าได้ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเข้าใกล้กันปุ๊บ เราตายนะ เพราะว่าความบาปเจอความสะอาด กระเด้งเลย ตายทันที

ฉะนั้น มนุษย์กับพระเจ้าก็เลยเดินกันเป็นเส้นขนาน แล้วต้องขนานไกลๆ ด้วยนะ ใกล้ไม่ได้ด้วย ขนานไปตลอด แล้วมนุษย์ก็พยายามหาทุกวิถีทาง พยายามทำความดี สะสมความดี เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้

กฎแห่งกรรม คือกฎของการกระทำ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะอยากจะพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ เหมือนคนไทยเขาจะพูดบ่อย … “เมื่อไรจะพ้นเวร พ้นกรรมสักที” เพราะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมันกดเราอยู่ ฉะนั้น มนุษย์ก็พยายามทำความดี

ดังนั้น การทำความดีด้วยกำลังของตัวเอง  ที่พระเยซูคริสต์ใช้คำว่า … “บรรดาผู้ที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

แบกภาระหนัก เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้หมายความว่าเราไปทำงานเหนื่อยนะ แต่ว่าเราพยายาม แสวงหาความชอบธรรมด้วยกำลังของตัวเอง คือพยายามทำดีๆ เพื่อว่าจะได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า มันเหนื่อยไง มันต้องออกแรงทำตลอด แล้วต่อให้ทำเยอะแค่ไหน ข้างในวิญญาณจะไม่รู้สึกว่ามันอิ่ม รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันยังไม่พอ พอมันไม่พอแล้วทำอย่างไร? ก็ต้องทำต่อ แล้วใครมาบอกต้องทำอย่างนี้แล้วจะได้ เราก็ไปทำ  ทำทุกอย่างเลย

ฉะนั้น มันเป็นงานเหน็ดเหนื่อย แล้วงานเหน็ดเหนื่อยอันนี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ค่าจ้าง คือความตาย” เหมือนในโรม 3:23 บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาปใช่ไหม? ค่าตอบแทนของความบาป  คือความตาย

ค่าตอบแทนของการทำงานเหน็ดเหนื่อย พยายามพึ่งการทำดี ทำความชอบธรรมด้วยตัวเราเอง ทำเท่าไรก็ไม่ครบ แล้วมีผล คือได้รับค่าจ้าง คือความตาย เพราะว่ากฎของพระเจ้ามีไว้อยู่แล้ว พระเจ้าตั้งกฎว่ามนุษย์จะสามารถหลุดพ้นจากความตาย มีวิธีเดียว คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อเรา บนไม้กางเขน เรียบร้อยไปแล้ว หนทางการไปสู่สวรรค์ มีหนทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ และพระเยซูบอกว่า

“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

พระเยซูบอกชัดเจน  ตอนที่พระองค์มาอยู่บนโลกใบนี้

ฉะนั้น เงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คือเราพึ่งกำลังของตัวเองไม่ได้  ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ และพระเยซูก็ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว ไม่ต้องไปพยายามดิ้นรน ทำความชอบธรรม ด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้องทำแล้ว หลังจากเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ

พระเจ้าบอกว่า … “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

เราฟังแล้ว … “ไม่ต้องทำอะไร จริงหรือ?”

เพราะพระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์”

ฟังชัดๆ นะ … ตอนนี้ผู้เชื่อไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อให้ขึ้นสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  แต่เราทำดี เพราะธรรมชาติใหม่ของเรา ข้างในเป็นความดี แล้วเราก็ให้ธรรมชาติใหม่ของเรา สำแดงออกมา แค่นั้นเอง

ฉะนั้น พอมนุษย์คาบเกี่ยวตรงนี้ บางทีเราก็ถูกหลอก แล้วความคิดเราก็กลับไปที่เดิม เราต้องทำความดี ให้พระเจ้าพอใจ

พระเจ้าบอก … “ไม่ต้องทำแล้ว ฉันพอใจแล้ว”

พอใจตรงไหน? เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา  แล้วเรามาเชื่อพระเจ้า  เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าผู้ชอบธรรมสะอาดหมดจด พระเจ้าพอใจแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้พระเจ้าพอใจอีก ก็คือพระเจ้าพอใจแล้ว แต่ที่เราทำความดี อย่างที่บอก พี่น้องต้องเน้น ตรงนี้เลย ที่เราทำดี เพราะข้างในเราดี  ข้างในเราดี จะให้เราไปทำไม่ดีได้อย่างไร? มันก็จะออกมาเอง แต่บางครั้ง เหมือนกับเผลอ หรือลืมตัว หรือถูกหลอกให้แถไปทำสิ่งที่ไม่ดี แป๊บหนึ่ง เราจะกลับมา เพราะว่าธรรมชาติข้างในเราเป็นความดี นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราสะอาดเลยนะ แต่ว่าเนื้อหนัง ธรรมชาติตรงนี้ เราก็ยังต้องต่อสู้ พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันก็จะมีความทุกข์ยาก ที่พระเยซูคริสต์บอก ใช่ไหม?

ทุกข์ยากอันแรก ก็คือในโลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ โลกเป็นศัตรูกับเราเลย โลก หมายถึงมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้า เขาอยู่ฝ่ายอาดัม ก็คืออยู่ฝ่ายมืด อยู่ฝ่ายความดำ อยู่ฝ่ายของความบาป อยู่ฝ่ายของการต่อต้านพระเจ้า ฝ่ายของการปฏิเสธพระเจ้า การกบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พอเรากลับมาเชื่อฟังพระเจ้าปุ๊บ  เรากับเขาต้องแยกกัน  เขาก็ต่อต้านเราในวิญญาณ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เราก็ไม่รู้ตัว ในโลกวิญญาณ

พอคนได้ยินคำว่า “คริสเตียน” ปุ๊บ ไม่ชอบ นั่นในวิญญาณนะ วิญญาณไม่ชอบ พี่น้องเคยเป็นไหม? สมัยก่อน ตอนที่ดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า พอคนมาประกาศเรื่องพระเยซู ข้างในเราไม่ชอบ คนที่มาประกาศน่ารักมาก พูดดีอีกต่างหาก แต่ไม่ชอบ แล้วเราก็ไม่เข้าใจ เราไม่ชอบเขาทำไม เขาแค่มาประกาศพระเยซู แต่พอเรามารู้ความจริง คือในวิญญาณ เราไม่ชอบเลย เป็นศัตรูกันทันที พอเรามาเชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่ชอบเรา  เป็นศัตรูเหมือนกัน เมื่อก่อนเราไม่ชอบคริสเตียน ตอนนี้เราเป็นคริสเตียน  เขาก็ไม่ชอบเรา  เพราะเราเป็นคริสเตียน  นี่คือการถูกข่มเหง อันดับแรกในวิญญาณ

อันที่สอง ประสบความทุกข์ยากลำบาก คือในโลกวัตถุนี่แหละ ที่เราสัมผัสจับต้องได้ ตามองเห็น  ก็คือเรายังอยู่ในโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ระบบของโลกใบนี้ เสียหายหมดเลย ทำให้ธรรมชาติของร่างกายเรา ร่างกายที่พระเจ้าสร้างมา ตอนที่มนุษย์ยังไม่ได้ล้มลงในความบาป ร่างกายเราดีมากเลยนะ ระบบทุกอย่างดี แต่พอล้มลงในความบาปปุ๊บ ร่างกายข้างในเรา เกิดความเสียหาย  มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอภัยพิบัติ สมมติว่าเขามีแผ่นดินไหว เราบังเอิญไปอยู่ตรงนั้น เราในฐานะคริสเตียน โอกาสตายก็มี นั่นแหละคือความทุกข์ยากในฝ่ายร่างกาย หรือทุกวันนี้ ที่มีโควิด ถามว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีผลกระทบ คนเชื่อพระเจ้า ก็มีผลกระทบเหมือนกัน  ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า  เราไม่มีผลกระทบ เราตัวลอย มันมีผลกระทบ แต่ผลกระทบตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา จะให้กำลังเรา ในขณะที่เราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ธรรมดา คือโลกนี้เสียหายไปแล้ว เราจะไปคาดหวังว่าโลกจะกลับมาสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้ หรือเราจะคาดหวังว่ามนุษย์จะดีเลิศประเสริฐศรีไม่ได้ แล้วเราจะมาคาดหวังว่าพอเราเป็นคริสเตียน เราจะไม่เจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เราจะไม่เจ็บ เราจะไม่ป่วย  เราจะไม่จน เราจะไม่เจอปัญหาครอบครัว มันไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญอยู่ เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย

นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้หมดเลย ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นอย่างไร? โลกฝ่ายร่างกายเราเป็นอย่างไร?  เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนป่วยเป็นนะ ไม่ใช่คริสเตียนป่วยไม่เป็น  พอป่วยปุ๊บ …

“ในนามพระเยซูจงหายๆ” แล้วไม่หายสักที

แล้วเราก็ … “อ้าว! พระเจ้า ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐรักษาเราหาย ทำไมไม่หายล่ะ”

แล้วเราก็เอาข้อพระคัมภีร์มาอ้าง สมัยก่อนเราเอามาอ้างบ่อยๆ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าข้อพระคัมภีร์ที่พระเจ้าบอกในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะทำให้เราหายเป็นปกติ ก็คือเราเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะรักษาเรา ให้เราหายเป็นปกติ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันไม่ใช่  และก็ไม่เกี่ยวกันด้วย  เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้  แล้วเราก็จะมีคำถามว่า …

“พระเยซูโกหกหรือเปล่า? ฉันยังป่วยอยู่เลย ทุกวันนี้ฉันยังต้องไปหาหมอ ฉันยังต้องไปตรวจร่างกาย ฉันยังต้องกินยาอยู่เลย  อ้าว! พระเยซูบอกรักษาฉันหาย”

ในพระคัมภีร์ที่บอกรักษาหาย คือรักษาโรคบาป ฟังดีๆ โรคบาป ที่เรากบฏกับพระเจ้าให้หาย ทำให้เราสามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ในโลกวิญญาณ

ฉะนั้น ในโลกใบนี้ ไม่ว่าเราเจออะไรก็ตาม เราก็จะมีกำลังจากพระเจ้าเสริมอยู่ข้างใน

บางทีเรา … “ไม่ไหวแล้วพระเจ้า อะไรเยอะแยะ ประดังเข้ามา”

บ่นได้นะพี่น้อง บ่นได้ไม่ผิดไม่บาปด้วย เพราะว่าพระเจ้ารู้ว่าเราอ่อนแอ

“พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาเจอกับพวกเรา”

แล้วพระเจ้าก็บอก จริงๆ นะ มนุษย์ก็ทำให้โลกเสื่อมเสียไปแล้ว เรายังอยู่ในระบบโลกนี้ เหมือนพระองค์ไม่อนุญาต ก็ต้องอนุญาตนั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นผู้ทำให้มันเสียหาย

มันก็ออกมาเป็นภาพนี้ พอเราเห็นภาพความจริง ทั้งโลกวิญญาณ  โลกวัตถุ เราก็จะมีกำลัง ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารับรู้ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้กายภายนอกของเรา ที่อยู่บนโลกใบนี้  มันจะค่อยๆ เสื่อมสลายไป แต่วิญญาณ ภายในของเรา ใหม่อยู่ตลอดเวลา แล้ววิญญาณข้างในเราตรงนี้แหละ คอยความหวัง ความหวังตรงนี้ ไม่ได้หวังว่าเราจะรอดได้ชีวิตนิรันดร์นะ  ไม่ต้องหวัง เพราะเราได้แล้วในโลกวิญญาณ  แต่เราหวังที่พระเจ้าบอกว่าร่างกายนี้ มันทรุดโทรมแล้ว มันไม่ไหวแล้ว ก็รอเวลาที่เราจะทิ้งร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที

นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ซึ่งความหวังใจตรงนี้แหละ จะทำให้เรามีกำลังใจ สู้อีกอึดใจหนึ่ง ความทุกข์ยากทำให้เราอดทน และความอดทนทำให้เราสามารถให้พระเจ้าใช้ได้ แล้วคนอื่นมองทำไมคริสเตียน เขาถึงทนได้ ชีวิตเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมเขายังทนได้ ทำไมเขายังขอบคุณพระเจ้าได้ นั่นแหละเรากำลังฉายแสงของพระเยซูคริสต์ออกไป ให้เขาเห็น …

“นี่ไง ฉันมีพระเจ้าไง ฉันถึงทนได้ ถ้าฉันไม่มี ฉันตายไปแล้ว ไม่อยู่ถึงตอนนี้หรอก”

มันเป็นภาพอย่างนี้ที่พระเจ้าจะให้เราเข้มแข็ง ให้กำลังเรา มีหนทางพาเราผ่านได้ …

“เอ๊ะ! พระเจ้าจะหาทางแบบไหน? อย่างไร?”

ไม่ต้องคิด คิดแล้วเหนื่อย พระเจ้าบอก พระเจ้ามีหนทาง หนทางมันมีคำตอบแน่นอน เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้จอกนี้เลื่อนไปได้ไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูเจอความทุกข์ทรมาน  แล้วรู้ว่าจะต้องเดินไปที่ไม้กางเขน  ต้องทุกข์ทรมาน ต้องถูกตอก ต้องเลือดออกจนหยดสุดท้าย  แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อล้างบาปให้กับมนุษย์ พระเยซูกลัวนะ ไม่ใช่ไม่กลัว ในตอนนั้นเป็นมนุษย์

พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้า … “พระองค์เจ้าข้า ไม่ต้องไปได้ไหม? ไม่เอาได้ไหม?”

แต่สิ่งที่พระเยซูพูดต่อจากคำว่า … “ไม่เอาได้ไหม?” … “ยังไงก็ตามให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

แล้วพระเจ้าก็ไม่ตอบพระเยซูว่า … “โอเค เธอไม่อยากไป ก็ออกมา”

เปล่าพระเจ้าก็ไม่ตอบ แต่ว่าพระเยซูรู้แล้ว พระเจ้าไม่ตอบ อย่างไรก็ต้องเดินไป ภาพเดียวกัน เป็นภาพที่อาจารย์เปาโลอธิษฐานขอให้หนามในเนื้อออกไป ตั้ง 3 ครั้ง

พระเจ้าก็บอก … “อยู่ตรงนั้นดีแล้ว  ที่เธอมีพระคุณของฉันก็พอแล้ว”

แล้วทุกวันนี้ พวกเราผู้เชื่อ เรามีพระคุณของพระเจ้าอยู่กับเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว และพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา กำลังในการเดินบนโลกใบนี้ พระเจ้ารู้ดีกว่าเรา ความรู้สึกเราว่าไม่ไหวๆ แต่พระเจ้ามองแล้ว เธอยังไหวอยู่ พระเจ้าก็พาเราเดินไป แล้วสิ่งที่พระเจ้าจะบอกเราตลอดเวลา คือ …

“ฉันไม่เคยทิ้งเธอ ฉันอยู่กับเธอ ฉันอยู่ในเธอ ฉันจูงมือเธอเดิน แม้ตอนที่เธอเจอความทุกข์ยากลำบาก เธอมีความรู้สึกว่าฉันไม่อยู่ด้วย แต่ฉันอยู่ด้วย”

เหมือนในพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าแม้หญิงที่ให้นมลูก สามารถลืมลูกได้ แต่พระเจ้าไม่เคยลืมเรา มันเป็นภาพที่พระเจ้ากำลังพูดให้เราเห็น ในอนาคตข้างหน้าว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มา แล้วพระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา ไม่ลืมเรา เหมือนกับแม่บางคนให้ลูกกินนม เดี๋ยวไม่เอาแล้ว ขี้เกียจแล้ว เอาลูกไปทิ้ง มีอยู่นะ แต่พระเจ้าบอกว่าแม้จะเป็นอย่างนั้น  แต่พระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา  พระเจ้าอยู่กับเราแน่นอน

นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่  แล้วในช่วงสภาวะที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ รู้นะว่าพี่น้องทุกคนเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่ละอย่างมันจะไม่เหมือนกัน  ให้เราขอบคุณพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ทิ้งเราแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรอย่างไร แต่พระเจ้าจะนำเรา ถึงเวลา พระเจ้าก็นำเราค่อยๆ เดินไป อย่างไรเราก็จะผ่านไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กาลาเทีย 2:16 “ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อในพระคริสต์  ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้  โดยการทำตามบทบัญญัติเลย”

 

โรม 5:17 “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครอง  ผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น  ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียวคือพระเยซูคริสต์”

 

โรม 3:22 “ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้  ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน”

พระเจ้าได้ฆ่าเราให้ตายแล้ว  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่กางเขน   ได้ฝังเราแล้วในอุโมงค์  และได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากตายบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยชีวิตจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเยซูคริสต์

 

กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า  ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า  ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เอง  เพื่อข้าพเจ้า”

 

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์ ​ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีที่สุดในมหาจักรวาล  แด่มนุษย์ทุกคนที่เชื่อ

 

พระเจ้าอวยพรครับ