วารสาร Holy News ฉบับที่ 1330

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 3

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นตอนที่ 3 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ประเด็นหลักๆ ที่สรุปและย้ำกันมาตลอดในเรื่องนี้ ก็คือ …

          (1) การพิพากษาลงโทษมนุษย์ในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อหรือคริสเตียนอย่างแน่นอน

          (2) การกระทำใดๆ ของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือทำชั่ว ก็ไม่มีผลใดๆ ในโลกวิญญาณ ไม่มีการตัดสินลงโทษ ทำดีก็ไม่มีบำเหน็จรางวัลพิเศษใดๆ ในสวรรค์

          (3) ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า    ทุกคนได้เท่ากันหมด    ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าคนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย คือไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร? ไม่มีใครได้รับบำเหน็จรางวัลมากกว่าใครเลย

นี่พระเยซูตรัสเองนะ ทุกคนตกใจ ต้องกลับไปฟังทวนใหม่ กลับไปฟังทวนหลายๆ วันที่ผ่านมา 5 – 6 ตอน คิดอยู่ใช่ไหมว่าจะพูดอะไรต่อไป  ฟังเสร็จแล้ว ต้องบอกว่าแต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดมาก ใครที่ได้ฟังแค่นี้แล้ว แล้วคิดในใจว่า …

“ถ้าอย่างนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ จะทำชั่ว ทำบาปอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องทำความดีเลย ก็ได้ เพราะไม่เกิดผลอะไรๆ กับเราเลย ไม่มีใครระมัดระวังตัวเลยใช่ไหม?”

ใครก็ตามที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ต้องมีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คิดว่าทำงานบนโลกใบนี้แล้วจะมีรางวัลพิเศษ ยิ่งคิดใหญ่เลยว่า …

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีใครอยากทำดีเลยสิ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว”

ใครที่กำลังคิดเช่นนี้ กรุณาฟังคำบรรยายวันนี้ให้จบด้วยนะครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก ต้องฟังให้จบว่าผมหมายความว่าอย่างไร?

สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ คือผมกำลังจะพาท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปถึงแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าถูกดิสเครดิต ถูกทำให้มันด้อยลง ถูกทำให้เสียหายด้วยสติปัญญาความคิดของมนุษย์ คิดกันเองเป็นอย่างนั้น

แก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าการกระทำของผู้เชื่อบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนในการพิพากษาหลังความตายเลย บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ ก็ 6 ตอนที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ได้บอกอย่างนั้นใช่ไหม? มันเรื่องจริงใช่ไหม? ท่านลองไปศึกษาดู ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเป็นข่าวดีไง ถ้าเผื่อเรายังคิดถึงการกระทำของเราเอง  มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกกว่าความเชื่ออื่นๆ หรือหลักการของศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงปัจจุบัน หรืออนาคตที่มี ก็ต้องพึ่งการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ใช่หรือไม่? แล้วมันจะไปเกี่ยวอะไรกับข่าวดีล่ะ ก็ไม่ใช่ข่าวดี ก็ข่าวธรรมดาอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อประกาศข่าวดี มีข่าวดีเดียวในโลก ในเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติที่ได้ยิน คือข่าวดีของพระเยซู คือไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดีหรือชั่วไม่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำนะว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ก็ตาม มีความหมายและมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเหมือนกัน

โคโลสี บทที่ 3 ที่มีการตีความเรื่องนี้  เรื่องการลงโทษและรางวัลที่จะได้รับหลังการตาย ไม่ตรงตามหลักความจริงของข่าวประเสริฐ เราลองมาพิจารณากันดู ด้วยจิตใจที่เปิดออก ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา โคโลสี 3:23-25 …

โคโลสี 3:23-25  “23 ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใด จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ 24 เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละ คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่ 25 ผู้ใดทำผิดก็จะได้รับผลตอบสนองตามความผิด และไม่มีการลำเอียง เข้าข้างใครเลย”

 

ประเด็นที่หลายคนยังเข้าใจผิด ในความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็คือเรื่องของรางวัลกับผลตอบสนองตามความผิด ในข้อ 24 และข้อ 25 ใช่ไหมครับ? อันนี้ต้องใช้ความคิดนิดหนึ่ง

ข้อ 24 บอกว่าอย่างนี้ … “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล”

หลายคนก็ไปแปลความหมายพระคัมภีร์ข้อนี้ว่าหมายถึงการรับใช้พระเจ้าบนโลกนี้ จะส่งผลให้เราได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในสวรรค์ ยิ่งรับใช้เยอะ ยิ่งได้รางวัลเยอะในสวรรค์ ถูกไหม? มีคนคิดอย่างนั้นใช่ไหม?

ซึ่งจริงๆ แล้วข้อนี้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่ารางวัลที่ได้รับ คือมรดก  ท่านผู้ที่เชื่อ เป็นคริสเตียน จะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล เพราะฉะนั้น รางวัลของเรา ก็คือมรดก

มรดก แปลว่าทรัพย์สินของผู้ตาย ที่ตกทอดแก่ทายาท  ผู้รับมรดกได้รับสิ่งนี้มา เพราะว่าเป็นทายาท ไม่ใช่ได้รับมา เพราะทำดีนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  เห็นไหมครับ? ชัดเจนเลย

พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าเมื่อเรามาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงให้เราบังเกิดใหม่เลย และบังเกิดใหม่เป็นทายาท พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมายืนยัน และเป็นพยานในใจเราเลยว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และเป็นทายาท

การเป็นทายาทตรงนี้แหละ คือสิทธิ์ในการรับมรดกของพระองค์ โดยอัตโนมัติทันที ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งดีหรือชั่ว แค่เชื่อปั๊บ เกิดใหม่ ได้รับมรดกนี้ทันที ไม่มีตรงไหนบอกว่าให้เราเป็นทายาทก่อน แล้วถ้าทำความดีเยอะ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จะได้รับมรดกเป็นรางวัล ไม่มีที่ไหนเป็นอย่างนี้นะ แม้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ก็ยังไม่ได้กระทำกันอย่างนี้ด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ เจอคำว่า “บำเหน็จ” หรือ “รางวัล” ท่านก็จะได้เข้าใจแล้วว่ารางวัลหมายถึงมรดก  มรดกหมายถึงรางวัล ก็มีอยู่ 2 อัน ไม่ต้องทำอะไรเลย  ได้รับรางวัล   ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ได้รับมรดก ว่ากันตามจริงแล้วพอพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มรดกก็ตกทอดถึงมนุษย์ทุกคนแล้ว ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็เป็นของเขาแล้ว แต่เขาไม่มาใช้สิทธิ์ เมื่อมาใช้สิทธิ์ของเขา เขาก็ได้รับมรดก เหมือนเดิมนั่นแหละ

ท่านเห็นภาพไหมครับว่ามันจะไม่เท่ากันได้อย่างไร? เพราะมันเป็นมรดก พระเยซูคริสต์กระทำให้เราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม ทั้งหมดนี้เป็นมรดกที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว มรดกถึงทำงาน

ท่านรู้ไหมครับคำว่า “มรดก” ในพระคัมภีร์ภาษาไทย ยังแปลได้อีกความหมายหนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นคำเดียวกันกับที่ใช้ในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ หรือเรียกว่า New testament คือมรดก  เพราะฉะนั้น เมื่อท่านถือพระคัมภีร์ใหม่  ท่านกำลังถือมรดก พินัยกรรมที่พระเยซูทิ้งไว้ให้กับท่าน ทำให้กับท่าน นั่นแหละ คือมรดก ยังไม่ทำอะไร ท่านก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจะมาทำเพิ่มอย่างไร ก็ได้เท่าเดิมนั่นแหละ มันเพียงพอแล้ว และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่และเป็นทายาท เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน จึงได้รับมรดก เป็นรางวัลเท่ากัน

คำว่า “รางวัล” ในภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกใช้คำว่า “Reward” คือภาษาไทย เนื่องจากจะทำเป็นพหูพจน์ ทำยาก รางวัลหลายๆ รางวัล แปลว่าเป็นรางวัลเฉยๆ ก็พอ แต่ในภาษาอังกฤษจะมี “S” หรือไม่มี S” คือเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ แค่ตัวเดียวเอง เพราะฉะนั้น ภาษาอังกฤษตรงคำว่ารางวัล ใช้คำเอกพจน์ เป็นหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่ามีอยู่แค่รางวัลเดียว คือรางวัลนั้นเป็นมรดก มรดกเดียว  ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับเหมือนกันหมด เท่ากันหมด ซึ่งก็คือชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ วิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายใหม่ และจะไปอยู่ในสวรรค์ โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมให้กับเรานิรันดร์กาล นั่นแหละคือมรดก ไม่มีรางวัลพิเศษ ไม่มีเสื้อคลุมพิเศษ หรือที่นั่งพิเศษ  หรือบ้านใหญ่พิเศษ  หรือมีบริวารอยู่ในบ้าน อยู่ในสวรรค์ พิเศษกว่าบ้านอื่นๆ  เพราะเราอยู่บนโลกใบนี้ เราทำเยอะ เรารับใช้มาก เราประกาศเยอะ เราอธิษฐานมาก ไม่มี

ในข้อ 25 ตรงนี้น่าสังเกต บอกว่า “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิด และไม่มีการลำเอียงเข้าข้างใครเลย”

ฟังตรงนี้ ก็รีบมาแย้ง อ้าว! ในนี้เขียนไว้นี่ไง “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิดไง ไม่มีการลำเอียงอีกด้วยต่างหาก”

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงผลกระทบที่ท่านทำ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม การกระทำบนโลกใบนี้ จะได้รับผลตอบสนอง ไม่มีลำเอียงเด็ดขาด การกระทำของมนุษย์ทุกคน มีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน จริงๆ และเปาโลยังย้ำด้วยว่าไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างใครเลย พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล อาจารย์เปาโลกำลังจะเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ใช่เป็นลูกพระเจ้า เป็นทายาท แล้วจะมีสิทธิพิเศษ จะทำอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

ก็เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ เรื่องเกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลกใช่ไหม? นี่คือกฎบนโลกใบนี้ วันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แรงดึงดูดของโลก คือขึ้นไป ตกแน่นอน โยนเงิน โยนก้อนหินขึ้นไป มันร่วงลงมาแน่นอน แต่ท่านอยู่ในสวรรค์ลอยได้ พระเยซูลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย อีกหน่อยเราได้รับร่างกายใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็อยู่ในกฎใหม่ ก็ลอยได้เหมือนกัน ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าสร้างกฎนี้ขึ้นมา คือกฎแรงดึงดูดของโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงๆ เชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอยู่จริงๆ ถ้าเราไปยืนอยู่ที่ระเบียงตึกสูงๆ โดยไม่เคารพต่อกฎของวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ต้องว่าเป็นกฎของวิญญาณ เพราะว่ามองไม่เห็น แต่เป็นวิญญาณที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นกฎของสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง คือกฎของแรงดึงดูดของโลก ถ้าเราไม่ระมัดระวัง แล้วเราก็ก้าวพลาด เกิดอะไรขึ้น แรงดึงดูดของโลก ซึ่งเป็นกฎ ก็จะทำงาน ก็จะทำให้ท่านร่วงตกลงมาอย่างแน่นอน เจ็บตัวอย่างแน่นอน ไม่มีการเห็นแก่หน้าผู้ใด  พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม แรงดึงดูดของโลกไม่มีความลำเอียง เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ ไม่มีการเข้าข้างใครเลย มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นคริสเตียน ไปยืน ก้าวพลาดมาตะโกนขอพระเยซูช่วย พระเยซูลงมารับ อย่างนั้นมีในหนังอย่างเดียว  ถ้าในหนังเป็นไปได้ โดยเฉพาะ หนังกำลังภายใน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันไม่มี

ถ้าใครไม่ระมัดระวัง ไปยืนกลางทุ่งนา ใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะที่มีฝนตกฟ้าร้อง ก็ถูกฟ้าผ่าตาย แม้ไม่เคยสัญญากับใคร ก็ถูกฟ้าผ่าตาย ต่อให้เป็นคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย ก็ถูกฟ้าผ่าใช่หรือไม่? หรือว่าผ่าเฉพาะคนเลว คนที่ไม่เชื่อ คนที่เชื่อแล้ว ไม่ถูกฟ้าผ่าแล้ว อย่างนั้นหรือ?

ใครที่ขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร หรือขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็โดนตำรวจจับ ปรับโทษทุกคน พอตำรวจเรียกเรา เราเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว

เราบอก … “หมวด ผมเป็นคริสเตียน ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์”

หมวดก็บอกว่า … “โอเค เอาไป 2 ใบเลย ใบหนึ่ง คือฝ่าฝืนกฎจราจร อีกใบคือฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่”

ถูกปรับพิเศษกว่าชาวบ้านเขาอีก ใช่หรือไม่?  ลองคิดตามดู นี่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้คริสเตียนและคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็ฟังไปด้วย ใครที่ไปทำร้ายคนอื่น ดูหมิ่นคนอื่น ก็ถูกปรับโทษตามกฎหมาย กฎหมายไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างผู้ใด และใครเป็นคนดูแลกฎหมาย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณและบนโลกใบนี้ มีผู้พิพากษาผู้หนึ่ง ที่ดูแลทุกอย่างอย่างยุติธรรม สำหรับมนุษย์ทุกคน สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกใบนี้ แน่นอน 100%

ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเอาน้ำกรดไปรดต้นไม้ ต้นไม้มันจะอ้างไม่ได้เลยว่าไม่ตายได้ไหม? มันเป็นไปตามกฎ คนไหนหายใจ แล้วไม่มีอ๊อกซิเจนเพียงพอ ออกซิเจนทำให้ชีวิตอยู่ได้

“ผมเป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้น ผมกลั้นหายใจก็ได้ ไม่ตายหรอก พระเจ้าช่วยผม” เป็นอย่างนั้นหรือ?

กฎที่พระองค์ทรงวางไว้ว่าชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องอาศัยอ๊อกซิเจน ไม่มีออกซิเจนก็ตาย หายใจเอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เข้าไปมากๆ ก็ตาย จะทำดีทำชั่ว ก็ตายนั่นแหละ เราจึงจะเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้

สิ่งที่ผมได้ย้ำตลอด เสมอมาว่าการกระทำของเราในร่างกายนี้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนใดๆ ในการพิพากษา หรือการพิจารณารางวัล หลังความตายเด็ดขาด  ไม่มีเลย มันคนละกฎกัน พอหลังความตายแล้ว กฎที่เรายืนอยู่ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์” ไม่ใช่กฎของความบาปและความตาย การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  กฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว แล้วมันล่มสลายลงไป  ย้ำอีกทีหนึ่งว่ามันไม่มีจริงๆ

ตรงนี้ คือหัวใจ ความจริงของข่าวประเสริฐ ที่จะทำให้เราเป็นไท ทุกคนเป็นไท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ลูกของพระองค์ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อแล้ว เป็นไท ไม่กลัวการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไม่กลัววันแห่งการพิพากษาลงโทษอีกต่อไป นี่คือความจริงที่จำเป็นต้องรับรู้และใส่ใจให้มากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือการกระทำชั่วไม่สำคัญ ผมรู้ ท่านก็แย้งในใจ ผมเองในอดีตก็เคยคิดอย่างนี้แหละ

“สอนอย่างนี้ คนอื่น ฟังแล้วเหมือนเราไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำหรือไง”

ผมไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือกระทำชั่วไม่สำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำอีกทีไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น การกระทำดี ทำชั่วบนโลกใบนี้ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็น คริสเตียนแล้วพระเยซูจะเป็นผู้นำพาสอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ตามธรรมชาติของวิญญาณ ที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ตัวตนภายในได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตอนรับเชื่อแล้วนั่นแหละ ให้มันสมศักดิ์ศรี เป็นลูกของพระเจ้า แล้วใครจะช่วยเรา สอนเรา ฝึกเรา เหมือนเด็กเกิดใหม่ พ่อแม่สอนตั้งแต่นอนแบเบาะ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง มนุษย์เป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ มนุษย์ก็ต้องเดินได้ นี่ยังเดินไม่ได้ พ่อแม่ประคบประหงม เพื่อให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ตามธรรมชาติ เพราะว่ามนุษย์ต้องเดินได้ตรงๆ ไม่ใช่คลาน เขาก็ฝึกฝนตั้งแต่นอนแบเบาะ เริ่มหัดพลิกตัว ใครไปฝึกเขาหัดพลิกตัว พ่อแม่ช่วย แต่ช่วยตามธรรมชาติของเขา ฝึกพลิกตัวปุ๊บ ฝึกคลาน แล้วก็คลานต่อไปเรื่อยๆ ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะธรรมชาติของเขาเป็นมนุษย์ เขาจะต้องเดินในที่สุด  และใครช่วย? พ่อแม่ช่วย ฝึกฝน เริ่มคลาน ตั้งไข่ แล้วก็เริ่มเดิน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า คือหน้าที่ของพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา พอเราบังเกิดใหม่ พระวิญญาณได้รับหน้าที่นี้เลย คือเป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลประคบประหงมเรา เหมือนพ่อแม่ดูแลเด็กๆ เกิดใหม่ ทารกเกิดใหม่ พระองค์จะสอนเรา นำเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้เรากระทำดี (ดีจริงๆ)  ดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดีตามสติปัญญาของพระเจ้า ดีกว่าเดิมอีก ดีกว่าก่อนที่เราจะเกิดใหม่ จะรับเชื่อพระเจ้า แล้วเราคิดว่าเราทำดีแล้ว ตอนนี้ดีกว่าเดิมอีก คือไม่ใช่การกระทำดีอันเนื่องมาจากความกลัวกฎหมาย กลัวการถูกลงโทษ ใช่ไหม?

อดีตก่อนเราจะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนเราจะเกิดใหม่ เราทำดี เพราะเรากลัว เรากลัวกฎหมายลงโทษ เรากลัวตายแล้วจะตกนรก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสอนเราให้กระทำดีตามธรรมชาติภายใน ดีกว่าเดิมอีก คือจะสอนเราให้ทำดี จากธรรมชาติตัวตนที่แท้จริง ภายใน ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นความรัก ที่เป็นลูกของพระเจ้า ออกมาตามธรรมชาติเลย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรัก เพราะมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นเอง …

“ไม่ใช่กระทำ เพราะว่ามีกฎห้าม กฎเขาไม่ได้ห้ามหรอก แต่ฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่ทำ ไม่ใช่ฉันเป็นคนดีหรอกนะ ฉันไม่ทำ เพราะว่าฉันไม่มีธรรมชาติที่ชอบแบบนั้น ฉันเกิดใหม่แล้ว” อย่างนี้เป็นต้น “เหมือนฉันเป็นปลา ฉันก็จะอยู่ในน้ำ อยากอยู่ในน้ำๆ เอาฉันไปขึ้นบก ฉันก็ดิ้นพร๊ากๆ”

ผมเคยบอกว่าพอเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านจะเริ่มต้นแพ้แล้ว แพ้อะไร? แพ้ความบาป เคยนึกถึงคนที่แพ้อาหารทะเลไหม? กินปุ๊บ พุพองขึ้น จะอาเจียน พะอืดพะอม กินอาหารทะเลไม่ได้เลย  ไม่มีใครห้ามเขานะ ไม่มีกฎอะไรห้าม กินอาหารทะเล แต่เขากินไม่ได้ เพราะตัวเขาเอง แพ้ ในทำนองเดียวกัน เป็นคริสเตียนแล้วแพ้ความบาป พระเจ้าไม่ห้าม อยากจะทำบาป เชิญทำเลย แต่ทำทีไร มันแพ้ มันพะอืดพะอม ทางวิญญาณไม่สบายใจเลย นั่นแหละ หน้าที่ของพระวิญญาณจะสอนเราว่า …

“ทำอย่างไร ลูกเอ่ย ถึงจะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้มีความสุข มันจะได้ไม่แพ้ ไม่บวม ไม่ปวด ไม่เมื่อย  ไม่พะอืดพะอม ไม่เป็นพิษ”

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า การได้รับรู้ความจริงเหล่านี้ ยิ่งเป็นการให้เกียรติ ให้ความเคารพ ยำเกรงพระเจ้า ให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้นด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่? ใช่

การรับรู้ความจริงเหล่านี้ มันกลับกลายเป็นเน้นให้เราเคารพยำเกรงพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลย เราจะให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะเรารู้แล้วว่าความจริงคืออะไร? เรารู้ว่าความจริงตัวเราเป็นใครในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว นั่นเอง นี่คือข่าวดีของพระเยซู คือพึ่งในพระองค์ทุกอย่าง ทุกสิ่ง แล้วมันเป็นจริงๆ ด้วย พระคริสต์อยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ นี่คือหัวใจของคริสเตียน คือพระคริสต์อยู่ในเรา ทำการงานอยู่ในเรานั่นเอง

สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ก็คือให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ที่ถูกสอนให้กระทำแต่สิ่งที่ดี ตามบทบัญญัติ ตามกฎเกณฑ์ของศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นความเชื่อต่างๆ ศาสนาอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่เรื่องของข่าวดี แม้กระทั่งศาสนาคริสต์ก็เหมือนกัน แม้ว่าถ้าท่านทำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นศาสนาคริสต์ ท่านก็จะพึ่งพาการกระทำของตนเอง ท่านก็ให้ความสำคัญกับการกระทำอีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้  เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าการสอนตามบทบัญญัติของหลักการของศาสนา ซึ่งมีบทลงโทษบนโลกใบนี้  ขู่ให้กลัว บอกห้ามอะไรต่างๆ เหล่านั้น

นี่คือความหมายของข้อ 23 ที่บอกว่า … “ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใดๆ จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์”

“เหมือนทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้า” ก็คือให้ทำด้วยสุดใจ ให้รู้ว่าพระวิญญาณกำลังนำท่าน กำลังสอนท่านให้สมฐานะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ในทิตัส 2:12 ได้ยืนยันตรงนี้ …

ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บังเกิดใหม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” ก็คือสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตะกี้ผมพูดมา ถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ จากความกลัว และพร้อมที่จะเผชิญกับความตาย หรือการจากร่างกายนี้ ไปสู่โลกวิญญาณ  แล้วเราจะเห็นความตาย เป็นประตูแห่งชัยชนะสุดท้ายของเรา ที่จะนำพาเราหลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ซึ่งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความทุกข์ลำบาก นี่ก็คือกฎของพระเจ้า ที่จัดการ เพราะพระเจ้าลงโทษ สมัยอาดัมมอบโลกใบนี้ให้กับมารไปแล้ว เชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้แล้ว คำสาปแช่งเข้ามา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันมีวันสิ้นสุดของมัน โลกนี้มันเสียหาย ล่มสลาย พร้อมมนุษย์ทั้งหลาย ถูกสาปแช่ง ล่มสลายไปตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ สมัยบรรพบุรุษของเรา อาดัมแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ  เราแค่อดทน รอคอย อีกแป๊บเดียว อีกไม่กี่ปี เราก็จะได้พักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ด้วยความสุขอันแท้จริง อยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูในสวรรคสถานเป็นนิรันดร์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอีกเลย และนี่คือมรดก รางวัล สำหรับผู้ที่มาเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าเมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ หลังจากทิ้งร่างอันอ่อนแอ อันด้อยนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ระบบเก่าบนโลกใบนี้ที่ถูกสาปแช่งไว้นั้น มันก็ได้สูญสิ้นไปจากเราแล้ว เราก็จากมันไปเลย และเราจะอยู่ในโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ให้กับเราทั้งหลายในสวรรคสถาน ได้อยู่อาศัยในครอบครัวของพระคริสต์ คือครอบครัวของผู้เชื่อทั้งหลาย  ร่วมกับพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์เลย นี่คือมรดกรางวัลสำหรับผู้เชื่อ

ถามว่า “เชื่อแล้วต้องทำอะไร? ต้องทำไม๊?”

“ทำสิ”

“ต้องทำอะไรล่ะ”

“อดทน รอคอย”

แสดงว่าทุกอย่างมันเสร็จหมดแล้ว เพียงแต่อดทน รอคอย รอรับ เข้าคิว แป๊บเดียวเอง ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำ  พระวิญญาณทำให้เรา นำพาชีวิตเรา เราแค่อดทนๆๆ และอดทน พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสืออิสยาห์ 65:17-19 ย้ำยืนยันให้เรารอคอย รอคอยอะไร? รอคอยวันเวลาที่เราจะออกจากร่างนี้ หมดสิ้นกันที ประตูแห่งชัยชนะของมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความตาย … ความตาย คือชัยชนะสุดท้าย  การจากร่างนี้ไป คือชัยชนะสุดท้าย อดทนแค่อีกไม่กี่ปี  กี่เดือน เราก็จากไป และตอนจากไปนั่นแหละ คือชัยชนะสุดท้าย ชัยชนะนิรันดร์ สุดท้าย และสิ่งที่เราจะได้รับ ก็คือเหล่านี้แหละ  นี่คือตอนหนึ่งที่พระเจ้าได้ตรัสให้เราได้รู้ว่า … “อดทนนะลูกเอ๋ย แล้วเจ้าจะเห็นอะไร?”  อิสยาห์ 65:17-19 …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่ เราจะสร้างขึ้น เพราะเราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่น จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

“เราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็ม” … เยรูซาเล็ม คือใคร?  คือผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นธรรมิกชนของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นั่นแหละ “จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป” นี่พระเจ้าตรัสเลยนะ ดังนั้น ในวันเดินทางเข้าสู่สวรรค์สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ วางภาระลง ไม่ต้องกลัว เดินเข้าไปสู่ชีวิตหลังความตาย ด้วยความร่าเริง และด้วยความมั่นใจได้แล้ว เพราะท่านไม่ได้นำเอาความผิดบาป ที่ได้กระทำบนโลกใบนี้ไปกับท่านด้วย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ลืมการละเมิด ความผิดบาปของท่านบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น และจะไม่จดจำมันอีกเลย อยากรู้ไหมพระเจ้าพูดตรงไหน? ฮีบรู 10:16-17 จริงๆ พูดหลายแห่ง แต่อ้างข้อนี้ก็ได้ ฮีบรู 10:16-17 ไม่ต้องกลัว …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เดินทางเข้าสู่สวรรค์ แม้แต่ตัวเราเอง ตัวท่านเองที่เชื่อ ก็จะไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาปของตัวเองเลยด้วยซ้ำไป

ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงวันที่จากโลก ทิ้งร่าง เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ท่านเองไม่ได้พกเอาความบาปไป และท่านก็จดจำความผิดบาปที่เคยทำไว้บนโลกใบนี้ไม่ได้เหมือนกัน พระเจ้าลืม ท่านก็ลืมเหมือนกัน ท่านพอเข้าใจไหม?

ผมเคยได้ยินคำพยานหลายคนเลยนะว่าแม่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พออายุมากๆ แล้ว แม่เป็นอัลไซเมอร์ แต่จำเรื่องพระเจ้าได้หมดเลย เรื่องอื่นจำไม่ได้เลยสักนิดหนึ่ง นี่เรื่องจริงๆ นะ นี่ยกเปรียบเทียบให้ท่านฟังเท่านั้นเองว่าถึงวันนั้น วันที่ท่านทิ้งร่างกายสกปรกนี้ไปแล้ว ท่านก็ไม่สามารถที่จะจดจำอะไร ที่ได้กระทำในร่างกายนี้ ความชั่วอะไรต่างๆ เพราะวิญญาณและใจใหม่ที่เดินทางไปสู่สวรรค์นั้น นึกให้ดีๆ ใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ วิญญาณใหม่ที่พระเจ้าทรงให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้านั้น ที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้  เรารับเชื่อปุ๊บ ก็เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไม่มีความคิดสกปรก ไม่มีความจำเรื่องความชั่วร้ายอีกเลยแม้แต่นิดเดียว และท่านไปเฉพาะวิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เกิดใหม่เท่านั้น เพื่อไปรับร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น ส่วนร่างกายเก่า โปรแกรมเก่า ที่เคยมีอิทธิพลความบาปมาเขี่ยๆ อยู่ มันได้ตายไปพร้อมกับร่างกายอันด้อย ที่ดำเนินบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว มันถูกเผาไปแล้ว มันถูกฝังไปแล้ว มันจบไปแล้ว ตัวท่านเองไป ตัวท่านจริงๆ คือวิญญาณ  และความคิดจิตใจใหม่ที่เกิดใหม่นั้นแหละ

อย่างที่ได้เรียนมาหลายตอนแล้ว คือวิญญาณเรา ความคิดจิตใจเราบังเกิดใหม่ ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ผ่าตัดชีวิตของเรา ให้วิญญาณเราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหมือนพระเยซูเลย ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีทันใด ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ร่างกายยังเป็นร่างกายเดิม ซึ่งตกอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่ ใต้กฎของความบาปและความตายมาตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตายลงสักวันหนึ่ง มันต้องหมดสิ้น แต่มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเหมือนเสื้อ เสื้อเก่ามันก็ต้องถูกทิ้งไป ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจ นั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเยซูแล้วตอนนั้น  และเวลาเราออกจากร่าง ก็ออก แต่ตัวตนจริงๆ เท่านั้น ทิ้งเสื้อไว้ วิญญาณและความคิดจิตใจตัวจริงๆ ก็ออกจากร่าง ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เวลาเท่าไร? ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ? ก็คือแค่พริบตาเดียว หลังจากที่เราผลักประตูเข้าไปสู่มิติสวรรค์ มิติวิญญาณ รับร่างกายใหม่ ก็เหมือน ใส่เสื้อผ้าใหม่

รับร่างกายใหม่ จำไว้นะวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่อยู่แล้ว ทิ้งร่างเก่านี้ไปปุ๊บ แค่พริบตาเดียว เสี้ยววินาที แป๊บ เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่ คือร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  ท่านก็จะไม่มีความบาป ความชั่วร้าย  ไม่มีความสกปรกโสโครก ในความคิดจิตใจ ในร่างกายของท่านด้วย ในขณะนั้น ไม่มีความกลัว มีแต่ความบริสุทธิ์สะอาด สุข สงบ ร่าเริงยินดี ใช่หรือไม่? ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในความคิดเลย  ความคิดเก่า โปรแกรมเก่ามันตายไปกับร่างกายเก่านี้เรียบร้อยแล้ว เพราะที่นั่น ในสวรรค์ หลังมิติโลกวิญญาณที่เราผลักเข้าไปแล้ว หลังความตายนั้น ที่นั่นไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความเศร้าโศก พระเจ้าจะมาซับน้ำตาทุกหยดที่เราร้องไห้ ด้วยความอดทนบนโลกใบนี้ ให้กับเราแต่ละคนเลยนะ ไม่ใช่ให้โดยรวม แต่ให้กับแต่ละคน มาปลอบโยนจิตใจเขา มากอด เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า นั่นแหละคือมรดกของเรา

เพราะฉะนั้น จงมั่นใจ วิ่งไปสู่หลักชัย ก็คือรับมรดกที่พระเยซูคริสต์จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงวิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูรอเราอยู่ รอให้เราไปรับรางวัลเดียว พอแล้ว คือมรดกชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าให้อะไรมาถ่วงกับการอดทนรอคอย ไปสู่หลักชัยนี้ อย่าให้มาถ่วง เหมือนเราเดินเข้าไปสู่สวรรค์ ก็เดินเข้าสู่สวรรค์อย่างเบาสบายที่สุด เท่าที่ทำได้ ขนาดเบาสบาย ก็ยังใช้ความอดทน พระคัมภีร์บอก

ทำไมถึงใช้คำว่าอดทน เพราะว่ามันมีความทุกข์ยากลำบาก อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ได้เท่ากันหมด คือทุกข์ยากลำบากหมด เป็นกฎ มันเป็นมาแล้ว โลกถูกสาปแช่งมาแล้ว จะอยู่โดยมีพระเจ้าหรือไม่มี ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้เช่นเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีการยกเว้น แต่คริสเตียนเรามีความหวังชัดเจน ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาเรา ทุกข์ก็ทุกข์น้อยลง เพราะเรามีความหวังข้างใน มีพลังข้างใน พระเจ้าอยู่ข้างในเรา เพราะฉะนั้น มั่นใจในการเดินไปรับมรดกของพระเจ้าด้วยความอดทนและเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ อย่าให้อะไรมาถ่วง เหมือนเรากำลังเดินขึ้นสวรรค์ใช่ไหม? ก็ไม่ต้องหาอะไรมาถ่วง เคยได้ยินคำนี้ไหม? เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เอาภูเขาเป็นสวรรค์แล้วกัน เหมือนเดินเข้าสวรรค์ มันเหนื่อยนะ นี่ยังไปเข็นครกขึ้นสวรรค์อีก …

“จะไปสวรรค์ อันนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้  จะไปสวรรค์ เธอต้องทำให้ดีมากกว่านี้ เธอถึงจะไปสวรรค์ได้ เธอจะไปสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนี้”

แล้วพระเยซูหายไปไหน? พระเยซูที่ไถ่บาปเราแล้ว แล้วมาสถิตอยู่กับเรา ข้างในตัวเราแล้ว แล้วบอกเราว่าชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ทรงอยู่ไหน? ถ้าเรายังคงพึ่งตนเองอยู่ เราก็ดิสเครดิตพระเยซู กำลังไม่เชื่อพระเยซูใช่ไหม? ว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระองค์เพียงพอเสมอในการไถ่บาปเรา  การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ทำให้เราบังเกิดใหม่ นี่เรื่องจริง พระองค์ได้บังเกิดใหม่จริงๆ ถ้าเชื่อว่าพระองค์บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่ใช่ตายพร้อมพระองค์อย่างเดียว แต่ถ้าตายพร้อมพระองค์ ก็ต้องเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นจริงๆ ไม่ใช่รับการไถ่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้ ท่านต้องได้รับเป็นแพ็คเกจ ก็คือถ้าท่านได้รับการไถ่บาป โดยการตายของพระเยซูคริสต์ โลหิตของพระองค์ ท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับการเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้เลย เพียงแต่ว่าท่านรู้ความจริงหรือไม่? หรือถูกปิดบัง ถูกหลอก ได้แล้ว แต่ดูเหมือนไม่ได้ มีเหมือนไม่รู้ตัวว่ามี มันมีอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้ตัวว่ามี เป็นมหาเศรษฐี แต่จน เพราะถูกหลอก เป็นอย่างนี้แหละ

พระคัมภีร์จึงใช้คำนี้เสมอว่า “จงรู้เถิด … ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเก่าท่านตายไปแล้ว” วิญญาณที่ตายอยู่ ท่านก็ตายไปแล้ว ท่านได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่รู้หรือ ขณะนี้วิญญาณของท่านและความคิดจิตใจของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และร่างกายของท่านได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นร่างกายที่อ่อนแอ ต้องอยู่ตามกฎของโลกใบนี้อยู่ ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง เดี๋ยวมันก็ต้องตายแล้ว  แต่ว่าไม่ต้องไปห่วงมัน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพา และวิญญาณของท่านที่บังเกิดใหม่ เป็นทายาทของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด พร้อมทั้งความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น  จะไปรับร่างกายใหม่ ถ้ารู้ความจริง มันก็ทำให้ตัวเบา ไม่ต้องเข็นครกขึ้นภูเขา ก็คือเชื่อ เต็มเปี่ยมในหัวใจว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระองค์เป็นจริง 100% ก็ 100 อย่าให้ใครหน้าไหน มาขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราเลยว่า …

“100% ฉันเชื่อในฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซู และฉันเชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ฉันได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า ตัวบาป ตอนนี้ฉันเกิดใหม่พร้อมพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระองค์เลย ฉันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป อดทนรอรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง”

เพราะฉะนั้น ถ้าเชื่ออย่างนี้ มันก็ชัดเจน เพราะการกระทำผิดพลาด บาปอะไรต่างๆ ในอดีต ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มารพยายาม ไม่ว่าจะทำผิดมาก ผิดน้อย ก็ตาม นี่พูดถึงคริสเตียน มารจะใช้การกระทำผิดบาปของเรา ให้เป็นอาวุธของมัน คือมันจะใช้ความบาป ตรงที่เราทำพลาดมาเกาะติดในความคิดของเรา ให้เรารู้สึกฟ้องผิดตลอดเวลา ทำให้กลัว วิตกกังวล ไม่พร้อมที่จะวิ่งไปรับรางวัลของเรา

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกว่า “เราจะไม่จดจำความผิดของท่านอีกเลย ความผิดบาปของท่าน เรายกออกไปแล้ว ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? เราได้เอามันออกไปห่างไกลจากเจ้าเท่านั้นแล้ว เราไม่จดจำความบาปผิดของท่านอีกแล้ว แล้วลูก แล้วท่านไปจดจำความบาปผิดของตัวเองอีกทำไม”

หันมามองพระเจ้า เออ! ใช่ “เราไม่จดจำความบาปผิดของเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะไปจดจำความบาปผิดของตัวเองทำไม?”

“เออ! นั่นนะสิ แล้วใครเป็นผู้ให้เราจดจำ”

“ก็ไอ้นี้ไง (โทษทีนะ) ไอ้นี้ไง (ชี้ต่ำๆ หน่อย)”  ก็คือมาร

แต่การจากไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว บนสวรรค์ ไม่มีใครมาฟ้องผิดแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำ ผู้ที่ทำให้เราจดจำ ก็คือมารที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  เพราะเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว ใครจะมาฟ้องผิดเรา ไม่มีแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำสักหน่อย เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์ของการสู้รบ ก็คือรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา ที่ไปจดจำ พอเราผิดพลาด มารพยายามเอามาแปะ ที่ความคิดของเรา แล้วก็กลัว ทำอย่างนี้เยอะขึ้นๆ เริ่มต้นจากวันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า ไปสวรรค์แน่นอน 100% ขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามารับไปวันนั้น ดี ถ้ายังไม่มารับไป ขอบคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตคริสเตียนไปเรื่อยๆ ไปเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ไปเรียนพระคัมภีร์ มารก็ค่อยๆ ใส่เข้ามาทีละนิดๆ เข้าใจนั่นผิด เข้าใจนี่ผิด เริ่ม อันนั้นก็มีบาป อันนี้ก็มีบาป  อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ได้อธิษฐานขออภัยโทษจากพระเจ้าเลย  ก็จดจำแต่สิ่งที่ผิดพลาดเท่านั้น  ไม่ได้จดจำสิ่งที่ดีหรอก มารมันมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันฟ้องว่าผิด อันถูก มันไม่มาชี้หรอกว่าถูก

มันจะชี้ว่า … “แกผิดๆ”

เขาเรียกว่า … “แกเป็นคนบาป”

เพราะฉะนั้น ต้องยืนยันในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าว่า … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ฉันไม่ได้เป็นเลย ตัวจริงๆ ของฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตลอดชั่วชีวิตนี้นิรันดร์ เพราะฉะนั้น จงมองไปที่ผู้เดียวเท่านั้น  อย่าไปมองสิ่งผิดพลาด ที่เราเคยทำ มารพยายามจะจับมันยัดเข้ามาในความคิดจิตใจของเรา  ทิ้งมันไปซะ พระเจ้าบอกไม่ต้องไปจดจำ เราก็ตอบพระเจ้าบอกว่าเอเมน เพราะพระเจ้ามีพระนามว่าพระเจ้าแห่งเอเมน เชื่อพระเจ้า นมัสการพระองค์ วิธีนมัสการ ก็คือเอเมน นี่นมัสการพระองค์แล้ว ท่านเอเมน ก็คือนมัสการพระองค์ พระองค์ทรงชอบ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก เมื่อท่านเอเมนไปกับสิ่งที่พระองค์ทรงบอก  พระองค์บอกไม่จดจำ ท่านก็บอกฉันก็ไม่จดจำ เพราะฉะนั้น มองไปที่พระเยซูเป็นหลักชัยเท่านั้น เพ่งไปที่พระองค์เลย อดทนก็มองเห็นพระเยซู ทุกข์ยากลำบากก็เห็นพระเยซู ทำผิดพลาดอะไรไป ก็มองเห็นพระเยซู เชื่อและวางใจในพระโลหิตและการไถ่บาป  สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างเต็มเปี่ยมเลย มองไปที่พระเยซูเพียงผู้เดียว ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ

ในหนังสือฮีบรูบอกว่ามองไปที่พระเยซู เป็นเป้าเป็นหลัก ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ เป็นผู้เริ่มต้นแห่งความเชื่อของเรานั่นแหละ เชื่อในการไถ่บาป ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อและความหวังของเรา ในชีวิตนิรันดร์  ที่เรารอคอย พระเยซูผู้ที่ตรัสว่า … “สำเร็จแล้ว”  … และก็สำเร็จจริงๆ ชั่วนิรันดร์

“สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมก้า เราเป็นผู้ต้นและเป็นผู้ปลาย”

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ฟีลิปปี 1:6 พอฟังมาอย่างนี้แล้ว อาจารย์เปาโลอยากจะบอกให้ผู้เชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่งมารับเชื่อพระเจ้า เพิ่งได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ยังไม่รู้ความจริงอะไรมากนัก อาจารย์เปาโลจึงเขียนไปหนุนใจ แล้วก็บอกว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลบอกว่ามั่นใจมาก  พี่น้องที่รับจดหมายฉบับนี้ เพิ่งเชื่อพระเจ้า แล้วก็มีความประพฤติน่าเกลียดอีกหลายอย่าง ประพฤติบาปอีกตั้งเยอะแยะ ยังถกเถียง ริษยากัน เห็นแก่ตัว วุ่นวาย เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อเลย  แต่เปาโลเขียนตรงนี้ ไปหนุนใจ นอกจากสอนว่าให้กระทำสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ให้สมศักดิ์ศรีกับการเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ อย่าให้ขายหน้าพระเจ้าอะไรประมาณนั้น พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดให้ผู้เชื่อใหม่ที่ยังประพฤติไม่ดีเลย ตามสายตาของมนุษย์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาดูแล้วก็ไม่ดี แต่ยังประพฤติอยู่ แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว”

ก็หมายถึงว่าท่านรับเชื่อปุ๊บ พระเยซูคริสต์และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน และก็เริ่มนำพาชีวิตของท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยงดูแลวิญญาณที่เติบโตของท่าน และเปาโลบอกข้าพเจ้ามั่นใจ พระวิญญาณผู้นี้ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว เริ่มเมื่อไร? เริ่มเมื่อท่านเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาการกระทำตนเองอีกแล้ว แต่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว เปิดใจต้อนรับพระเยซู นั่นแหละพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ตั้งแต่วันนั้น

เปาโลบอกอย่างไรต่อไป และพระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จอย่างแน่นอน  จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือจนกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมารับท่าน จะเป็นท่านกลับไปรับพระเยซูคริสต์ หรือพระเยซูคริสต์กลับมารับท่าน อันใดอันหนึ่งก็แล้วแต่ คือถ้าพระเยซูยังไม่ได้กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ เราตายก่อน  เสียชีวิตก่อน  เราก็ไปพบกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์มารับเรา แต่ถ้าเราอยู่จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา พระเยซูคริสต์ก็กลับมารับเรา จะเอาอย่างไร? จะไปหาพระเยซูคริสต์ หรือให้พระเยซูคริสต์มารับเรา ได้ทั้งคู่ ไม่ต้องห่วง เปาโลยังบอกมั่นใจมาก เป็นอย่างนั้น เพื่อประชากรของพระเจ้า  ที่ได้เชื่อแล้ว และยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าไปคิดมาก มันเรื่องธรรมดา ปล่อยให้พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ค่อยๆ สอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ยังเดินไม่ได้ ยังคลานอยู่ เดี๋ยวพระวิญญาณ ก็จะนำพาเรา ค่อยๆ ฝึก ตั้งไข่  แล้วค่อยๆ เดิน ยังวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวพระวิญญาณค่อยๆ ฝึกเรา สอนเรา จนกระทั่ง ค่อยๆ วิ่งได้  เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นเลย เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะว่าสติปัญญาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปอธิบายถึงเหตุผล หรือความเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรายอมรับรู้ เรารู้แล้ว รู้ว่ามันเป็นจริง ถามว่ารู้ว่าเป็นจริงเพราะอะไร? เพราะเรารู้จักพระเจ้าที่เราเชื่อแล้ว เรารู้จักพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อแล้ว  เราไม่ได้รู้ด้วยความคิด เรารู้ด้วยวิญญาณของเรา เรารู้ว่าเรารู้ความจริงนี้ ไม่ใช่เราคิดว่าเรารู้ แต่เรารู้เพราะความเชื่อ และความเชื่อนี้จะประทับอยู่ในใจของเรา พระวิญญาณเป็นพยานในใจของเราว่าสิ่งนี้เป็นจริงทั้งหมด เพราะเรารู้จากข้างใน เรียกว่ารู้อยู่ในใจนั่นเอง ให้เราอธิษฐานร่วมกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สองสิ่ง ที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับคุณ …

  1. ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกคุณถึงความสำเร็จในโลกวิญญาณที่ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้คุณสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

ปากพูดว่า “เอเมน” โดยไม่มีข้อแม้

พระเจ้าตรัสว่า … “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจในคนนั้นเลย’”   ฮีบรู 10:38 KJV

  1. ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมองให้พระองค์ใช้ … “อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ”  โรม 6:13

คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว  ถวายเครื่องบูชาได้สองอย่าง คือ …

ถวายลิ้น สารภาพยอมจำนนต่อถ้อยคำความจริงของพระเจ้า เชื่อแล้วขอบคุณเอเมนในความจริงเหล่านั้น ซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก …และ…

ยอมมอบร่างกายและอวัยวะทุกส่วน  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมอง  สติปัญญาให้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

 

ยอห์น 15:1-6  “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษาสวน 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตัดแต่งทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระและได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นแถวองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น  ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร  ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ