วารสาร Holy News ฉบับที่ 1331

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กันยายน  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย”  ตอนที่ 1

โดย นคร เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  หลังจากที่เราได้ฟังการบรรยายกันไปหลายๆ ตอนแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ คือการพิพากษาของพระคริสต์บนบัลลังก์สีขาว เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น หลังความตาย มนุษย์ทุกคนต้องพบกับการพิพากษาตัดสินว่าวิญญาณนั้นจะไปอยู่ที่แห่งใด? จะได้รับสิ่งใด? ซึ่งสรุปสั้นๆ ชัดๆ ตามที่เราเรียนรู้กันว่า …

“ไม่มีการพิพากษาลงโทษสำหรับผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน 100%”

และสรุปสั้นๆ ชัดๆ อีกว่า … “ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า 100% เช่นเดียวกัน”

สาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซู ได้รับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาลงโทษ  ได้ไปสวรรค์ ทั้งหมดมีแค่นี้  เพียงแค่เชื่อ วางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลยแม้แต่นิดเดียว  เพียงแค่นี้จริงๆ นี่คือข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้มนุษยชาติทุกคนสามารถที่จะไปสวรรค์ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดมาก คิดมากเกินไป ก็เลยไม่ได้  นี่คือข่าวดี เป็นเรื่องความรู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  สาระสำคัญของข่าวดี  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มีแค่นี้เอง  คือเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะได้รับความรอด

แต่ในชีวิตจริงของหลายๆ คน แม้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าปฏิบัติตามที่พระเยซูบอก ก็คือพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ คือเชื่อด้วยความคิดทั้งหมดเลยว่าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตนเองเพิ่มเติมอีก เพราะไม่ค่อยแน่ใจ มันก็เป็นอย่างนี้  นี่คือเรื่องจริงของการดำเนินชีวิตคริสเตียน บนโลกใบนี้ แทนที่จะเชื่อและวางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก เลยกลายเป็นว่าเชื่อและวางใจ หายเหนื่อย กลายมาเริ่มต้นเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการที่จะไปสวรรค์ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย ก็ได้ไปสวรรค์อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มันก็เปรียบเหมือนไม่จำเป็นต้องทำ แต่ไปทำให้มันมากขึ้น ผมก็เลยใช้สุภาษิต ก็เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขาใช่ไหม? อันนี้มันเหมือนเข็นครกขึ้นสวรรค์ หมายถึงการทำงานที่ยากลำบากเกินความสามารถของตนเอง เช่นเดียวกัน ความพยายามพึ่งพาตนเอง เพื่อไปสวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับมนุษย์  เกินความสามารถของมนุษย์ พยายามไปก็เหนื่อยเปล่าๆ เราจึงควรมาพึ่งและวางใจในพระเยซู เมื่อมาพึ่งและวางใจในพระเยซู ก็ควรจะพึ่งและวางใจ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพราะทำอะไรเพิ่ม ก็ช่วยเราไม่ได้อยู่แล้ว คิดไปคิดมา วนไปวนมา มันก็แปลกดีนะ

เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย มาวางใจในเราเถอะ แล้วจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า … “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” … พี่น้อง หมายถึงผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งก็พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่  สวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง เดินไปบนโลกใบนี้กับพระองค์  อย่างหายเหนื่อยเบาสบาย เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติ ให้มันเป็นการเข็นครกขึ้นสวรรค์

เราได้รับรู้ความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราก็รอดจากการถูกลงโทษของการเป็นคนบาปของเราทันทีเลย ทันทีทันใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์นั่นเอง อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าแสงสว่างเรียบร้อยแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  และขณะเดียวกันนั้น วิญญาณและใจใหม่ของเรา ได้รับการบังเกิดใหม่ ตอนนั้นเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว 1 ยอห์น 1:7 บอกไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ จึงเป็นแค่เดินทางไปสู่สวรรค์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์เท่านั้น คือเดินทางไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งที่นั่นจะไม่มีบาป ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาป ทำชั่วอีกต่อไป ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นิรันดร์ ก็คือโลกใหม่นั่นเอง

ชีวิตคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เกิดใหม่แล้ว เกิดในโลกวิญญาณ  เหมือนกับเด็กทารก เกิดแล้ว เป็นคนแล้ว  แต่ยังไม่เห็นตัวเลย  อยู่ในครรภ์มารดา เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว รออะไร? ดิ้นไปๆ ตามธรรมชาติ เดี๋ยว 8, 9 เดือนก็คลอดออกสู่โลกใหม่

“โลกนี้เป็นอย่างนี้เองหรือ?”

ถามว่าเด็กคนนี้ เป็นคนตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ 9 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นคน ตอนที่อุแว้ออกมาที่โรงพยาบาล  เช่นเดียวกัน คริสเตียนก็เหมือนกัน  เมื่อรับเชื่อ วันนั้น มันเกิดแล้วทันที อยู่ในครรภ์อีกเมื่อไร? ดิ้นไปเถอะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีความหวังใจ เหมือนกับหญิงตั้งครรภ์ที่กำลังจะคลอด มีความชื่นชมยินดีมากเลย กำลังจะคลอด เมื่อคลอดออกมา ก็ได้เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ตื่นเต้น เช่นเดียวกัน อย่างนั้นแหละ

การบังเกิดใหม่เหล่านี้ การเข้าสู่สวรรค์เหล่านี้ เป็นผลของข่าวดี และข่าวดี คือผลของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้รับความรอด เชื่อและวางใจในพระเยซูท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครรภ์ของพระคริสต์ รอวันที่จะคลอดออกมา ก็คือวันสิ้นสุด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สู่ความตาย วิญญาณออกมาจากร่าง เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ฉันใดฉันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ อยู่ในครรภ์ 8, 9 เดือน อึดอัด มืดๆ หายใจก็ลำบาก พอคลอดออกมา เขาก็มีความสุข เห็นโลกใหม่

เอเสเคียล 36:25-27 ได้บอกถึงพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้าคืออะไร?  พระเจ้าได้บอกว่าอย่างนี้ แล้วพันธสัญญานี้ ทรงสัญญาแล้ว และได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เอเสเคียล 36:25-27 พระเจ้าได้บอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จแล้ว ในข้อนี้ บอกมาประมาณสัก 7-8 ร้อยปีแล้ว ลองอ่านดู …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นึกถึงภาพพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน อันนี้บอกล่วงหน้า  เหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง

“เรา” คือพระเจ้า “เราจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ใต้กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย วิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป  ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่จากความตาย บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้า  เข้ามาอยู่ในสวรรค์นั่นเอง และพระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่าเมื่อพระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ให้เราแล้ว พระองค์จะไม่จดจำการละเมิด การผิดบาปของท่านอีกต่อไป  ไม่จำมันอีกเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ ที่ท่านได้บังเกิดแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระบุตร ก็คือเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าบอกว่าดีพร้อมแล้ว ดีแล้ว จึงไม่จดจำอะไรอีกเลย จดจำอย่างเดียว คือดีแล้ว ดียอดเยี่ยม ดีพร้อมแล้ว ดีเท่ากับใคร? ดีเท่ากับศิษยาภิบาล หรือดีเท่ากับเปโตร ไม่ใช่ ดีเท่ากับเปาโล ไม่ใช่ เพราะว่าเปาโลทำเยอะนะ  ดีเท่ากับเปโตรก็ไม่ใช่ เพราะว่าเปโตรมีความเชื่อเยอะ ไม่ใช่ แต่น้อยไป ดีเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย  พระเจ้าดูเราดีเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอไหม? พอ ฮีบรู 10:16-17 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเจ้าทำพันธสัญญาใหม่ให้เป็นอย่างนี้ คือ …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าไม่จดจำความผิดบาปทั้งหมดของเราเท่านั้น เมื่อถึงวันที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่แล้ว แม้ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาป ความชั่วใดๆ ที่อยู่ในความคิดจิตใจเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณและใจใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีการคิดสกปรก ไม่มีความจำ เรื่องความชั่วอะไรอีกเลย เป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และเราไปสวรรค์ เฉพาะแค่วิญญาณ และความคิดจิตใจเท่านั้น ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ซึ่งมันมีแต่ความสกปรกอะไรต่างๆ ที่เราทำบ้าง พลาดบ้าง อยู่บนโลกใบนี้ เลอะเทอะจากการดำเนินบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้าย สกปรกนั้น รวมทั้งสมอง โปรแกรมเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ที่ยังอยู่ในร่างกายนี้ มันตายแล้ว เมื่อคลอดเข้าไปอยู่ในสวรรค์ มันเป็นโลกใหม่แล้ว มันไม่มีของเก่าอยู่เลย เพราะฉะนั้น ท่านเองก็จะไม่มีความคิดสกปรก โสโครก ไม่มีความริษยา ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในตัวท่านเลย  เพียวๆ ตัวท่านจึงสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ และแถมได้สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตัวเราเองก็ยังจำความสกปรกของตัวเราเองไม่ได้เลย ไม่ต้องห่วงแล้วนะ

บางคนบอก เก็บความลับไว้ตั้งนาน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว น่าเกลียดมาก เคยทำอะไรผิดที่น่าละอายมาก กลัวไปสวรรค์ ไปเจอหน้าคนนี้แล้ว …

“วันนั้น ฉันโกหกเธอ ต่างคนต่างเป็นคริสเตียนแล้ว  เจอหน้าเธอ แล้วเขินจัง วันนั้น ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันทำความชั่ว วันนี้เธอเห็นแล้วเนี้ย”

ไม่เห็น ไม่มีใครเห็นอะไรทั้งสิ้น ความชั่วนั้น ถูกฝังลงไปกับความตายบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว  อิสยาห์ 65:17-19 พระเจ้าตรัสว่า …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ  หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่เราจะสร้างขึ้น เพราะเรา จะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่นจะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

นี่พระเจ้าตรัสเองเลย เยรูซาเล็ม คือประชากรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง

ดังนั้น พี่น้อง ความจริงเหล่านี้ ควรเป็นเป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิต ในการเดินทางไปสู่สวรรค์ เพื่อคลอดเขา อยู่ในโลกสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ความจริงเหล่านี้ควรจะเป็นเป้าหมายให้เราเดินไปสู่สวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างเบาสบาย เต็มไปด้วยความเชื่อและความหวังใจ เหมือนเดินทางขึ้นสวรรค์ อย่างที่บอก เดินทางขึ้นสวรรค์ เหมือนกับกำลังอยู่ในครรภ์มารดา เกิดแล้วก็จริง อยู่ในครรภ์มารดา มันก็เหนื่อยบ้างอยู่แล้วนะ แต่อย่าให้ถึงขนาด เดินไปด้วย แล้วเข็นครกไปด้วย  เข็นครกขึ้นสวรรค์ มันเหนื่อยขึ้น โดยไม่จำเป็น และไม่ได้เป็นที่พอใจ สำหรับพระเจ้าด้วย เพราะว่าพระเจ้าเสียใจ …

“ลูกเอ๋ย ทำไมทำอย่างนั้น”

และก็ไม่ได้สามารถทำให้เรามีชีวิตเป็นพยานให้กับคนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อได้เห็น นี่แหละ คริสเตียนเขาเป็นอย่างนี้ เขามีความเชื่ออย่างนี้ แสดงว่ามันต้องมีสวรรค์หลังความตายแน่นอน  พิเศษแน่นอน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ฮีบรู 12:1-4 เราจะมาเรียนเรื่องนี้ด้วยกัน เพราะว่ามีหลายคนเข้าใจผิดในหนังสือฮีบรู บทที่ 12 ตรงนี้เยอะ เราจะมาเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวถ่วงเรา อะไรที่ทำให้เรารู้สึกหนัก อะไรที่ทำให้เราถูกแปะเข้ามา เหมือนเราเข็นครกขึ้นสวรรค์ แทนที่จะเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว แต่ไปใส่ภาระหนัก เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นครกเข้าสู่สวรรค์ หนักเกินไป  เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้ เริ่มต้นที่ฮีบรู 12:1-2 …

ฮีบรู 12:1-2  “1 เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่นอดทน  ไปตามลู่วิ่งที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา 2 ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู ผู้ทรงก่อตั้งความเชื่อ และทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์แบบขึ้น พระองค์ทรงทนแบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า”

 

ข้อ 1 บอกว่า “เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว”

ใครคือพยานจำนวนมากที่รายล้อม? ตรงนี้ กำลังพูดถึงบทที่แล้ว ก็คือฮีบรู บทที่ 11 พูดถึงบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อ ในสมัยอดีตของชาวยิว ที่วางใจและเชื่อในพระเจ้า เป็นวีรบุรุษเลย คือเชื่อ ถึงขนาดทำอะไรบางอย่างที่มันเกินกว่าที่ความคิด สติปัญญามนุษย์ จะกล้าทำ หรือมีเหตุผล ที่จะให้ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าบุตรของตนเอง  หรือยอมให้เขาเลื่อยเป็นท่อนๆ หรือยอมให้เขาเอาไปเผาไฟเป็นต้น ด้วยเหตุของความเชื่อในพระเจ้า

ตรงนี้กำลังกล่าวถึงบรรดาผู้คนที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ผู้คนเหล่านั้น คือชาวยิว ที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าสัญญาว่าจะให้พันธสัญญาใหม่ แต่ยังไม่ได้รับ เขายังอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เป็นตัวอย่างของการรักและเชื่อฟัง อย่างสุดใจของพวกเขา  แม้ว่าจะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ซึ่งไม่ใช่พันธสัญญาใหม่เหมือนเราก็ตาม  พวกเขาทั้งหลายมีความมั่นคงในความเชื่ออย่างมาก จนถึงลมหายใจสุดท้าย อย่างที่บอก เราได้เห็นตัวอย่างมากมายของผู้ที่ถูกข่มเหงรังแก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกฆ่าตายอย่างโหดร้าย เพราะความเชื่อในพระเจ้าที่เขามองไม่เห็น

เราได้เห็นตัวอย่างมากมาย และพันธสัญญาเดิมที่เชื่อฟังพระเจ้า และยอมทำทุกอย่าง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ยอมอดทนต่อการถูกข่มเหงรังแก อดทนต่อการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส อดทนต่อการถูกฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ โดยที่เขาเหล่านั้น ยังไม่เคยได้เห็น และยังไม่เคยได้รับในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว ที่เราอ่านพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ในอิสยาห์ ในเอเสเคียล ที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำสำเร็จ เขายังไม่ได้รับอย่างนั้นเลย เขายังไม่เคยเห็นเลย แต่เขาเชื่อวางใจในพระเจ้า ถึงขนาดยอมทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ยอมทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “พวกเราในวันนี้”  คือในปัจจุบัน ในสมัยพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อ อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่แล้ว เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีกว่า มากกว่าบรรดาผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เชื่อพระเจ้า เขาไม่มี เราได้รับแล้ว อย่างง่ายๆ เลย แตกต่างกันมาก และตอนสมัยนั้น เขาก็หวังว่าเขาคงจะได้รับในเร็วๆ นี้ แม้กระทั่งเขาตายไปแล้ว เขายังไม่ได้รับเลย พันธสัญญาใหม่ก็ยังไม่เกิดขึ้น หลังที่เขาตายแล้ว มันถึงค่อยเกิดขึ้น

สิ่งที่ดีกว่าคืออะไร? ก็คือสิ่งที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ไง  การให้วิญญาณใหม่ การให้ใจใหม่  ในขณะที่ผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม ยอมอดทนทุกอย่าง โดยที่ไม่เคยได้รับ เหมือนที่พวกเราได้รับตามพันธสัญญาใหม่เลย แต่พวกเราผู้เชื่อ ที่อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ เราได้รับการเปิดเผยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ ในเรื่องความจริงของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ อย่างง่ายๆ ได้รับรู้แล้วว่าทุกสิ่งตามพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยโน้น เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์ ข่าวดีนั้น เรียบร้อยแล้ว เราสามารถบังเกิดใหม่ เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ตั้งแต่สมัยโน้น สมัยวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่เขาอยากได้ แต่เขายังไม่ได้

เราได้รับรู้อะไรในข่าวดีนี้ เราได้รับรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว  เราได้รับการย้ายจากการมีชีวิตอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เรารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เราได้รับรู้ว่าวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตน ที่แท้จริงของเรา ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับเชื่อ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น วิญญาณเราเปลี่ยนแปลงแล้ว วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ความคิดจิตใจใหม่แล้ว เราได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดอย่างนิรันดร์ และนิรันดร์ และนิรันดร์ ตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว

สิ่งเหล่านี้แหละ บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พูดตรงๆ นะ เขาไม่อิจฉาแล้ว เพราะเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่อิจฉาแบบโฮลี่ …

“แหม! ทีเรายังไม่ได้อย่างนี้เลย” ลองคิดถึงภาพ เป็นความจริงนะ

เพราะฉะนั้น เขาเหล่านี้กำลังมองเราอยู่ มองด้วยความหมั่นไส้หรือ? ไม่ใช่ มองด้วยความอิจฉาแบบโฮลี่ มองด้วยความแบบ …

“โอ้โห! น้องเอ๋ย พี่อยากได้อย่างนี้ตั้งนานแล้ว พี่ยังไม่ได้ พี่ต้องใช้ความเชื่อ ถึงทุกวันนี้ น้องสบายจังเลย” น้องๆ ของความเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าบรรดาผู้คนเหล่านั้น ในพันธสัญญาเดิม ล้วนเป็นพยานให้กับเราในเรื่องของการเชื่อฟังและทำตามพระเจ้า ก็หมายถึงเป็นพยานว่าขนาดเขาไม่ได้อย่างเรา เขายังเชื่อพระเจ้าถึงขนาดนั้น ยอมทนทุกข์ทรมาน  ยอมถูกรังแก เลื่อยเป็นท่อนๆ ถูกเอาไปเผาไฟ ยังทำได้เลย แล้วพวกเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน ทำบาปอะไรก็ได้รับการยกโทษ ไม่จดจำ มากกว่านั้นสักเท่าใด  ที่ความเชื่อเราจะ … ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน

เป็นพยานว่าเขาเหล่านั้น ทำสิ่งต่างๆ อดทนสิ่งต่างๆ ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าความหวังอยู่ที่ไหน? แต่พวกเราได้รู้ได้เห็น ได้สัมผัสแตะต้อง ได้มีพระเจ้าจูงมือเราเดินทุกวัน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าในเมื่อเรามีพยานจำนวนมากเหล่านี้ รายล้อมเรา เยอะแยะไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพยานเหล่านี้ จึงควรเป็นสิ่งที่เรายึดไว้ ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ เพราะเห็นคำพยานเหล่านั้น ความเชื่อของเราง่ายกว่าตั้งเยอะ  ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน ไปตามลู่วิ่งที่กำหนดไว้สำหรับเรา

ลู่วิ่ง ก็คือลู่วิ่งที่พระเยซูวางไว้ ก็คือเดินตามพระเยซู พระองค์กรุยทางไว้เรียบร้อยแล้ว เราก็วิ่งไปตามลู่นี้ ไปถึงสบายๆ แต่มันก็ต้องเหนื่อยบ้างนะ วิ่ง มีหอบบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูแล้ว เหมือนกำลังวิ่งแข่งในสนาม แต่ละคนมีลู่วิ่งของตนเองและเส้นชัย อยู่ที่เบื้องหน้า ก็คือรางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ไปรับ รางวัลนั้น คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ คือได้รับร่างกายใหม่  และอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ทั้งหมด  ที่ตะกี้เราได้พูดถึงกันมา คือการคลอดจากในพระเยซูคริสต์เข้าสู่โลกใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า

รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จำได้ไหมที่เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว รางวัล ก็คือมรดก … มรดก ก็คือรางวัล  รางวัลเดียวที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ ก็คือมรดกเดียว มรดกนั้น ก็คือชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน นี่คือเป้าหมายเดียวที่ให้เราวิ่งไป

ขอให้เราละทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน หมายความว่าต้องมีความทุกข์ยากลำบากด้วย วิ่งไป มันก็เหนื่อยนะ เดินยังเหนื่อยเลย แต่มันเหนื่อยแบบสามารถที่จะทำได้ เพราะพระเยซูเป็นผู้วางลู่นี้ไว้ให้เราสามารถที่จะทำได้ อดทนได้นั่นเอง

“บากบั่นด้วยความอดทน” หมายความว่าลำพังแค่วิ่งบนลู่วิ่งของเรา ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ต้องใช้ความบากบั่น ต้องใช้ความอดทน ก็คือมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่เหนื่อยแบบธรรมชาติ แต่หลายคนก็ยังอุตส่าห์ไปหาห่วงมาถ่วงขา ให้วิ่งยากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง หรือบางคนยากมาก ลำบากมากขึ้นไปอีก พระคัมภีร์บอกว่าอย่าไปเอามาถ่วง แค่เดินเฉยๆ มันก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ห่วงที่มาถ่วงขา ท่านลองคิดดู ท่านวิ่งไป แล้วก็มีอะไรมาเกาะแข้งเกาะขา ในขณะวิ่ง มันทำให้วิ่งลำบาก

ถามว่าห่วงนี้คืออะไร? ในนี้บอกว่าก็คือบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ก็คืออะไรที่เกี่ยวกับบาป ที่มารใช้ความบาปเป็นอาวุธ มาเกาะเราอยู่ แม้ว่าเราเป็นอิสระ จากมันแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เราวิ่งสบายหน่อย วิ่งไปตามลู่ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์วางไว้ให้กับเราแบบธรรมชาติ ลำบากน้อยหน่อย ก็จงอย่าไปสนใจ ละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่นสนิทอยู่นั้น ออกไปเสีย

ตัวอย่าง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง นึกภาพนะ ชีวิตคริสเตียนเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เข้าสู่ลู่วิ่ง นึกถึงภาพกีฬา วิ่งแข่งโอลิมปิกก็แล้วกัน มีลู่วิ่ง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง กำลังเข้าสู่เส้นชัย รอบสุดท้าย เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ตรงเส้นชัย  แล้วในขณะที่เรากำลังจะเข้าสู่เส้นชัย อาจจะ 100 เมตรสุดท้าย กำลังวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย ดีใจเหลือเกิน แล้วข้างสนาม ก็มีคนคอยกล่าวหา  พูดใส่เรา  ขณะที่เราวิ่งว่า …

“นี่วิ่งผิดกฎนี่น่า นี่วิ่งผิดระเบียบ  อย่างนี้ปรับฟาวล์ ไปถึงเส้นชัยก็ไม่ได้หรอก ฟาวล์แล้ว”

ถามว่าใครล่ะ ที่มาเชียร์อย่างนี้ วิ่งไป มันก็คอยพูด …

“โอ๊ย! ฟาวล์ แกไปไม่ถึงหรอก ถึงไปก็ไม่ได้รับรางวัล เพราะว่าวิ่งผิดกติกา ถูกปรับโทษให้แพ้ ไม่ได้รับรางวัลที่ตั้งใจไว้หรอก”

ก็คือเสียงของมาร นี่แหละ คือมาถ่วงเรา วิ่งไปแล้ว ก็ต้องหันกลับมาดู …

“เหรอๆ” วิ่งไป กลัวไป  ก้าวขาก็ไม่ค่อยออก

“ผิดตรงไหน?” เผลอๆ หยุดวิ่ง แล้วก็มาคุยกับเขา

“อ้าว! เหรอ” แล้วก็วิ่งต่อ

นอกจากข้างสนามจะมีมาร ผ่านทางเนื้อหนัง มาคอยฟ้อง คอยบอก คอยว่าเราผิดกฎ ผิดระเบียบอะไรก็แล้วแต่ แต่ขณะเดียวกัน  ก็มีอีกข้างหนึ่ง  ก็คือพระวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในเรานั่นแหละ พระวิญญาณของพระเจ้าก็บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

อ๋อ! ไม่มีการลงโทษ ตะกี้ ฝั่งหนึ่ง มารบอกว่า … ‘ฟาวล์แล้ว อย่างนี้ถูกปรับโทษ เป็นฟาวล์ ไม่ได้เข้าสู่เส้นชัย’ แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระวิญญาณบอกอย่างนี้ ‘เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้เรา พ้นจากกฎของบาปและความตาย’ บอกไว้เสร็จเรียบร้อย ผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  แค่นั้นพอแล้ว  เขาก็จะได้รับความรอด ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แล้ว อย่าไปสนใจ ไม่ฟาวล์หรอก ชนะเรียบร้อยแล้ว  เพราะเจ้ากำลังวิ่งในกฎของวิญญาณ อย่าไปสนใจมัน และอย่าให้มันถ่วงเรา พอได้ยินอย่างนั้น ก็วิ่งสุดชีวิตต่อไปเหมือนเดิม ก็จะเป็นอย่างนี้

และวิธีการที่จะสลัดทิ้ง สิ่งที่ถ่วงอยู่  หรือห่วง ที่คล้องอยู่ ในข้อ 2 บอกต้องทำอย่างไร? ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู เพ่งมองที่พระองค์เป็นหลักชัยอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่จะวิ่งแข่ง แล้วมัวแต่มองด้านหลัง มองด้านข้าง มองแต่คนเขาประท้วงเรา  มองไปที่พระเยซู ขณะเดียวกัน หูฟังเสียงเชียร์ จากคำพยานรอบข้าง ก็คือบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้ชอบธรรมทั้งหลายกำลังเชียร์

“ไปเลย โลทๆ”

ให้เราวิ่งแข่งอย่างนี้แหละ ไม่หันหลังกลับเลย มองข้างหน้าอย่างเดียว พระเจ้าบอกให้เราวิ่ง เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์และไปรับรางวัล ที่รอเราอยู่ เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์ คือเป็นผู้เริ่มต้นของความเชื่อ เรามาวิ่ง เพราะว่าเราวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ข้างหน้าแล้ว ก็จงวิ่งไป จงวางใจไปจนที่สุด จนถึงสำเร็จนั่นแหละ เพราะพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พันธสัญญาของพระองค์เป็นจริงอย่างแน่นอน มันหมายถึงอย่างนั้น

อย่ามัวแต่หันไปดูข้างหลังว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง? เขาบอกเรา เขามาพูดอะไรกับเราบ้าง ให้เราท้อใจ เราเคยทำผิดอะไรมาบ้าง เคยมีบาปอะไรติดตัวมาบ้าง อย่ามัวแต่เฝ้ามองการกระทำในอดีตว่ายังทำไม่ดีพอ ยังอธิษฐานไม่พอ ยังถวายไม่มากพอ ยังเฝ้าเดี่ยวไม่มากพอ ยังประกาศไม่มากพอ ยังทำความดีไม่มากพอ อันนั้นก็ไม่ดีพอ อันนี้ก็ไม่ดีพอ วิ่งไป ลิ้นห้อยไป ไม่ดีๆ

พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ดีพร้อมแล้วๆ เสียงอยู่ที่โน้น เป้าหมายอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ดีพร้อม ข้างทางบอกไม่ดีๆ พระเยซูคริสต์ตะโกนเลยบางครั้ง ต้องตะโกนดังๆ ผ่านทางพระวิญญาณบอกว่า …

“ใครเป็นคนบอกว่าแกไม่ดี ใครเป็นคนบอกว่าน้องไม่ดี ก็ฉันเป็นคนบอกว่าเธอดีพร้อมแล้ว ใครเป็นคนบอกว่าไม่ดี?”

นั่นสิใครล่ะ? ก็หันหน้าหันตา

“พระวิญญาณหรือ?”

พระวิญญาณก็บอกว่า “เธอดีพร้อม  ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วใครล่ะ?”

“รู้แล้ว ตัวฉันเอง”

เสร็จอีก ก็ไม่ถูกอีก … “ตัวฉันเองสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วใครบอกฉันยังไม่ดีพร้อม ใครๆๆๆๆ”

ท่านก็รู้แล้วว่าใคร? ท่านตอบเองสิว่าใคร? ก็มารมันอยู่ข้างๆ คอยฟ้อง มารมีชื่อว่านักฟ้องหมดโลกนี้ คอยกล่าวโทษ เวลามันกล่าวโทษคนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มันโอเค มันถูกต้อง  แต่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์หลุดจากการเป็นทาสมันแล้ว  เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว มันไม่มีสิทธิ์มาฟ้องเหมือนเดิมอีกต่อไป

“โอ๊ย! ยังไม่ดี ยังทำไม่ดี ยังโกหกเขาอยู่เลย ยังริษยาเขาอยู่ จะเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?”

“เอ่อว่ะ”

พอเอ่อว่ะเมื่อไร? ก็เท่ากับไปฟังมันนะ เราต้องบอกว่า …

“ฉันดีพร้อม”

แล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน ไม่ต้องตอบมันบ่อยๆ นานๆ ตอบทีพอ ตอบ แล้วมันแย้งมากๆ …

“ฉันดีพร้อมแล้ว  ไม่มีการลงโทษใดๆ ฉันวิ่งหน้าต่อไป”

หลายคนในวันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างนี้ ชื่นชมยินดี น้ำหูน้ำตาไหล สารภาพบาป

“ลูกเป็นคนบาป ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มาช่วยให้ลูกเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาด ชำระบาปให้ลูกสะอาดหมดจด ให้ลูกบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดนิรันดร์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ เป็นลูกของพระองค์นิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า”

ดีใจ เป็นอิสระอยู่แค่ อาจจะไม่กี่วัน  หรือไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี น่าจะไม่ถึงปีหรอก  เป็นอิสระ มีความสุขอยู่ไม่กี่วัน ก็เริ่มไปเจอคำพูด คำสอนว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นคริสเตียนแล้วทำไม? พูดแล้วยังขำไม่หายเลยนะ  ทุกคนมีชีวิตอยู่ ผ่านอย่างนี้มาทั้งนั้นแหละ หมายถึงชีวิต เมื่อรับเชื่อแล้วนะ  ก็จะได้ยินเสียงมาร  ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า เสียงมารผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าได้เหรอ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  ก็มารมันบิดถ้อยคำพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าผิด  และใครสอนถ้อยคำนั้นล่ะ ก็ผู้เชื่อด้วยกันเองนั่นแหละ  เพราะคนอื่นเขาไม่มาสอนถ้อยคำพระเจ้า เราก็ฟังเขา พอฟังไปฟังมา มันก็เป็นอย่างนี้แหละ …

“เป็นคริสเตียนแล้วนะ ได้รับการไถ่บาปแล้วนะ  จากนี้ไป”

เอาแล้วสิ มาแล้ว แต่ก่อนนี้ เริ่มรับเชื่อใหม่ๆ … “เป็นคริสเตียนแล้วนะ สบายแล้ว พระเยซูบอกว่าจากนี้ไป หายเหนื่อยและเป็นสุข เดี๋ยวพระองค์จะนำพา พระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านทั้งหลาย จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ พระองค์สามารถที่จะทำได้ พาท่านไปสู่ความสำเร็จในวันสุดท้ายได้อย่างแน่นอน พระองค์ทรงจูงมือท่านเดินอยู่ ท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าใช่ไหม? บัดนี้ พระเยซูจะจูงมือท่านเดินในหุบเขาเงามัจจุราช ผ่านหุบเขาเงามัจจุราชไปได้อย่างแน่นอน”

แต่นี่ไม่ใช่ … “ท่านได้รับการไถ่บาปแล้วนะ จากนี้ไป ต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตนะ มารมันเต็มไปหมดเลยนะ ระวัง ต้องหมั่นอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องเฝ้าเดี่ยวเป็นประจำ ต้องอดอาหาร อย่าหลุดจากความเชื่อนะ  และต้องระวังตัวให้ดีด้วย อย่าเผลอไปทำบาปอีก ทำบาปซ้ำๆ กัน เดี๋ยวพระเจ้าคายทิ้งเลย ทำอย่างนี้ วันพิพากษาไม่รอดแน่ ถ้ารอด ก็รอดด้วยไฟ แล้วขาดรุ่งริ่ง”

ท่านจะมีกำลังวิ่งไหมเนี้ย ถามจริง ถ้าโดนไปเยอะๆ ท่านก็เข็นครกเยอะหน่อย ถ้าโดนไปน้อยๆ ก็เข็นครกน้อยๆ ถ้าไม่โดนเลย ก็เหนื่อยธรรมดา เบาสบาย ตามที่พระเยซูบอกว่า …

“แอกของเราก็พอเหมาะ พอดี สำหรับแต่ละคน”

เหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ที่เราควรสลัดทิ้งออกไปให้หมด เอามันออกไปให้หมด ทุกคนเคยเป็นคนบาป ทุกคนล้วนเคยทำผิดบาป และทุกคนล้วน กำลังทำบาป อันนี้เป็นเรื่องจริง พระคัมภีร์ก็บอกเป็นอย่างนั้น สอนอยู่เชื่อเรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ก็สอนอย่างนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังทำบาปอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าบาปเราได้รับการอภัยโทษ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งบาปในอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตที่กำลังจะทำด้วย

พูดอย่างนี้ หลายคนคงคิดว่าส่งเสริมให้คนทำบาป  รู้แล้วนะ ผมสอนไปหลายครั้งแล้วนะว่าไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย ไม่ส่งเสริม ไม่ได้ด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว ธรรมชาติมันเปลี่ยนไป เป็นตัวตนแท้จริงของเขา มันแพ้บาปแล้ว ทำบาปไม่ได้เลย ผะอืดผะอม ทำนิดหนึ่ง ก็อึดอัดในใจ มันเป็นไปไม่ได้ ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ว่าทุกคนก็เคยทำบาป ล้วนทำบาป แต่อย่าให้มารเอาสิ่งเหล่านี้มาฟ้องเรา ซึ่งทันทีที่เรากลับใจใหม่แล้ว มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ความบาปผิดทั้งหลายเหล่านั้นในอดีต และในปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้รับการอภัย ได้รับการลบล้างจนหมดสิ้นแล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ ชำระล้างบาปเราจนหมดสิ้นแล้ว เกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  พระเยซูเป็นพยาน พระเยซูอยู่ที่เส้นชัยนั้น ตะโกนสิ่งนี้มาให้เราฟังตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดว่าเราเป็นคนบาป ทำบาปอยู่ พระเจ้าไม่ให้อภัยแล้ว ลบคำว่าเราเป็นคนบาป  ลบคำว่าความผิดบาปออกไปจากความจำ และเพ่งมองที่พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว ผู้ลบล้างความผิดบาปของเราทั้งสิ้นแล้ว  มองที่พระองค์อย่างเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ล้มลงไป ก็ลุกขึ้นมา มองไปที่พระเยซู วิ่งไปทางเดียว คือวิ่งไปข้างหน้า อย่าถอยมาข้างหลัง อย่าหันรีหันขวาง

ถามว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำตัวแบบมีสิ่งที่ถ่วงอยู่ มีบาปที่เกาะแน่นอยู่ เรายังได้ไปสวรรค์อยู่ไหม? ก็ต้องตอบว่าไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน แต่ก่อนอยู่ มันทุกข์ทรมาน มันไม่สมควรเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันเหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ไปยอมมันทำไม? ใช่ไหม? และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่เราจะเสียโอกาสที่จะได้เป็นพยานให้กับคนอื่นในการบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันเป็นจริงอย่างนี้แหละ ทำให้คนอื่นสังเกตดู และก็รู้ว่านี่คือความหวังใจของคริสเตียนจริงๆ คือเขาพ้นบาปแล้ว เขาได้ไปอยู่ในสวรรค์ ณ วินาทีนี้ ณ เดี๋ยวนี้เลย เป็นมัดจำให้เขา เป็นความหวังที่มีมัดจำ เป็นตัวอย่างให้กับเขาได้ว่าเขาสามารถ ที่จะมาเชื่อแบบเราได้

พระคัมภีร์บอกว่าการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ  ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคต แต่อย่างที่บอกเสียงต่อต้าน เสียงฟ้องผิด เสียงชี้นิ้ว มาจากมาร เต็มไปหมดทั้งโลกใบนี้ ทั้งผ่านมาทางเนื้อหนังของเราเอง จากการถูกล่อลวงโดยมาร ส่งกระแส อิทธิพลของข้อมูลความบาป มาฟ้องเรา บอกเรา บางทีกระตุ้นให้เราทำผิดด้วย พอกระตุ้นให้เราทำผิด แล้วตัวมันเอง มันมาฟ้องเรา พูดง่ายๆ ว่าตัวมันเอง เป็นผู้กระตุ้นให้เราทำ นำให้เราทำผิดบาป แล้วตัวมันเอง ก็เป็นคนฟ้องเรา …

“แกทำๆ”

ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำ เราถูกมันล่อลวง จนเราหลุด พลาดไปทำ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจสิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์จึงบอกให้เรามองที่พระเยซูเป็นตัวอย่าง มองที่พระเยซูอย่างเดียว มารมาได้หลายรูปแบบ เราจะมาดูรูปแบบของมาร อ่านข้อ 3 กับข้อ 4 …

ฮีบรู 12:3-4 “3 ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้า และไม่ท้อแท้ใจ  4 ซึ่งอันที่จริงในการต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้ จนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย”

 

“ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป” … ให้เรานึกถึงใคร? เวลามีความทุกข์ยากลำบาก ให้เรานึกถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งถูกบรรดาคนบาป ที่ตะกี้ผมบอกว่ามารมันสามารถใช้ได้ทั้งหมด ใช้ระบบของโลกใบนี้ เป็นอาวุธ ใช้คนที่เป็นคนบาป ก็ได้ เป็นเครื่องมือในการเป็นปฏิปักษ์ ข่มเหงรังแกผู้เชื่อทั้งหลาย และสามารถใช้อะไรได้อีก? สามารถใช้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบแฝงอยู่ในร่างกาย และความคิดของผู้เชื่อ อยู่ในร่างกายภายนอกนี้ คอยกระตุ้นให้เชื่อฟัง และทำบาปได้  พลาดไปทำบาปได้เช่นเดียวกัน มารก็จะใช้สิ่งเหล่านี้

ในนี้จึงบอกว่าถ้าเราเจออย่างนี้ ให้เราทำอย่างไร? ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง ให้เราอดทน แต่ตอนนี้ กำลังบอกว่าเราอดทนต่อบรรดาคนบาป พระเยซูคริสต์อดทนต่อบรรดาคนบาป ที่ต่อต้านพระองค์อย่างไร? ก็ทรมานพระองค์ เฆี่ยนพระองค์ จับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน ดูถูกพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง เราจะได้ไม่อ่อนล้า ไม่ท้อใจ ในนี้บอกว่าในการต่อสู้กับบาป … ต่อสู้กับบาป ก็คือ …

(1) ต่อสู้กับเนื้อหนัง กิเลสตัณหา ซึ่งมาเกาะเหมือนปลิง เกาะอยู่ที่ร่างกายของเรา คอยจะส่งกระแสให้เรา ทำผิดบาป พอเราทำบาปปุ๊บ มันก็ซ้ำเติมเลย บอกว่า

“แกทำบาป แกไม่ได้ไปสวรรค์แน่”

แต่พระเยซูบอกว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซูชำระหมดเรียบร้อยแล้ว อย่าไปสนใจมัน  อย่าไปสนใจปลิงพวกนี้ มันเป็นปลิง มันไม่ใช่ตัวเจ้า มันมาเกาะตัวเจ้า มันเองเป็นคนทำทุกอย่าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ เห็นไหม?

(2) อดทนต่ออิทธิพลของความบาป ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว โลกที่ได้ถูกสาปแช่งไปแล้วตั้งแต่สมัยอาดัม มันยังคงอยู่ มันยังทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเป็นเรื่องธรรมดา อดทนกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยความเชื่อ อย่าให้มารมาหลอกว่าพอมีเหตุการณ์ไม่ดี ต้องทุกข์ยากลำบาก มันก็จะบอกว่า …

“เพราะแกทำบาป เพราะวันก่อน แกโกหก แกก็เลยได้อย่างนี้ เพราะวันก่อน แกไม่ได้ไปโบสถ์ แกเลยถูกรถชน เห็นไหม? เพราะว่าแกทำอย่างนี้ แกจึงได้รับโทษอย่างนี้”

ไม่ใช่เลย นี่คือการต่อสู้กับมันอย่างนี้ หรือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่ไม่เชื่อ และได้รับอิทธิพลจากมาร มาข่มเหงรังแกเรา เหมือนเปาโลที่อดีต ชื่อเซาโล ข่มเหงรังแกคริสเตียน เพราะว่าความไม่รู้จักข่าวประเสริฐ และถูกครอบงำโดยมาร ลักษณะเดียวกัน เราอาจจะถูกข่มเหงรังแก โดยผู้คน ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เราอดทน

ในนี้บอกว่าอดทน ถึงขนาดยังไม่ได้เสียเลือดเลย คืออดทนหนักถึงขนาดพระเยซูคริสต์ต้องหลั่งเลือด  อาจจะถูกใส่ร้าย  อาจจะถูกอัปเปหิออกจากสังคมของชาวยิว  ไม่ได้สวัสดิการเหมือนแต่ก่อนนี้ อาจจะถูกรังแกสิทธิเสียหายไป อาจจะถูกรังแก ถูกจับ แล้วก็ป้ายความผิด โยนเข้าคุกไป  อะไรอย่างนี้ คือการถูกข่มเหงรังแก โดยมาร ผ่านทางผู้คน

ให้เราอดทน เพราะสิ่งเหล่านี้  คือสิ่งที่มันจำเป็นต้องเกิด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เดินไปสู่สวรรค์แล้ว สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรค สิ่งเหล่านี้คือข้างทาง ที่จะคอยมาถ่วงเราอยู่ อย่าไปมองมัน มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นความเชื่อของเรา  และเป็นผู้ทำให้ความเชื่อนั้นสำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์ทรงสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ให้มองไปที่เป้านี้อย่างเดียวเลย ชัดๆ อย่างเดียวเลย นอกนั้นอดทน … อดทน เพราะมันต้องเกิด มันเกิดแน่นอน แต่อดทน เพราะเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ในชัยชนะที่เรากำลังวิ่งอยู่นี้แล้ว

และขณะเดียวกันที่มันเกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างนี้ ในความทุกข์ยากลำบากบ้าง ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ได้หนักหนา สาหัสสากันอะไร เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้าปกปักคุ้มครองดูแลเรา พระเจ้าอยู่ในเรา และพระองค์จะทรงใช้อุปสรรคเหล่านี้ ความทุกข์ยากเหล่านี้ เป็นเครื่องมือของพระองค์เลย นี่แหละยอดเยี่ยมเลย เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างเรา ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแกร่ง เพื่อเราจะได้คลอดออกมา ในวันสุดท้าย ด้วยความสง่างาม เป็นลูกของพระเจ้าที่สมเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และตัวเราเองก็ภูมิใจ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการที่พระองค์จะได้ทรงสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางชีวิตของเราออกมาได้ เพราะว่าเราผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นยังไงล่ะ เมื่อเราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น กล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณ เราจะเจริญเติบโตแข็งแกร่งๆ แล้วค่อยเรียนรู้กันต่อไป สำหรับเรื่องนี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เรามองที่พระเยซูเป็นแบบอย่าง และทำตามอย่างที่พระองค์ได้กระทำมาเรียบร้อยแล้ว คือพระองค์ทรงทนทุกข์ แบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า อดทนคนข่มเหงรังแก คนเอาไปเฆี่ยนตี ด้วยความทุกข์ทรมาน ตรึงพระองค์ ดูถูกพระองค์ พระองค์ทนได้ เพราะความยินดีในข้างหน้าว่าการกระทำอย่างนี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รอดพ้นจากนรก พ้นจากความพินาศ  พ้นจากการเป็นทาสของมาร ให้เราทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ

นี่คือเสียงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่คอยเชียร์เรา พร้อมทั้งวีรบุรุษแห่งความเชื่อดั้งเดิม ที่ตะกี้นี้บอกไว้ ทั้งอัฒจันทร์กำลังเชียร์เรา  พระเยซูก็เชียร์เราอยู่ ให้เราอดทน เต็มไปด้วยความหวัง วิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูบอกว่าเราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อดทน รอคอยเท่านั้น เราเกิดแล้ว เราอดทนรอคอยคลอดเท่านั้นเอง เราชนะโลกนี้ไปแล้ว ใน 1 ยอห์น 4 บอกว่าเราชนะโลกนี้แล้ว ใครเล่าที่ชนะโลก โลกเต็มไปด้วยความสาปแช่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยนรกทั้งนั้น ใครล่ะ ที่ชนะโลกนี้ พระคัมภีร์พูดชัดเจน ก็เขาผู้นั้นไง ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เขานั่นแหละ คือผู้ที่ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ลำบากทุกอย่างเป็นหยากเยื่อ อย่าให้บาปที่เราทำพลาด ทำผิดตั้งแต่ในอดีต หรือในปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม มาเกาะถ่วงเรา ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะเขาชนะโลกแล้ว ไม่มีการลงโทษสำหรับเขาอีกต่อไป ชีวิตเขาก็คือรับรางวัลชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถาน อย่างเดียวเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าในนามพระเยซู  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

อย่างนี้! เรียกว่า “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” …

คริสเตียนได้อยู่ในพระคริสต์  แต่ยังสวมเสื้ออาดัม  เป็นผู้บริสุทธิ์  แต่ยังสวมเสื้อสกปรก  เหมือนเกิดเป็นคน  แต่ยังสวมเสื้อลิง

โคโลสี 3:12-14 “12 เหตุฉะนั้น  ในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้  เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก (เป็นลูก) จงสวมความเมตตา ความปรานี ความถ่อม ความอ่อนสุภาพ ความอดทนไว้นาน 13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด  ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน 14 แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์”

อย่างนี้สิ!  เรียกว่าสมฐานะลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ราชาจอมราชาพระเยซูคริสต์

 

โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

 

เชื้อบาปก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณ ที่ทำให้มนุษย์ถึงตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนคนเดียว คืออาดัม  ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง  ก็คือปฏิเสธการรักษานั่นเอง

 

1 ยอห์น 1:8-10  “8 ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเราเลย 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”

 

ถ้าท่านยอมรับความจริง  พระเจ้าสามารถรักษาท่านให้หาย  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ฉะนั้น ยอมจำนนต่อความจริงแล้วรับการรักษาเถิด

บางคนพูดว่า  “ฉันไม่ได้ติดไวรัสบาป แต่มีอาการ เดี๋ยวก็หาย”

ท่านคิดอย่างไร?

 

พระเจ้าอวยพรครับ