วารสาร Holy News ฉบับที่ 1328

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”  ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สองครั้งที่แล้ว ที่ทำให้เรารู้ความจริงที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ กันไปแล้ว ในวันพิพากษา ในวันสิ้นโลก คือวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกและมนุษย์ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันเยอะๆ บ่อยๆ เพราะเป็นเรื่องใครๆ ก็รู้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ทราบดีว่าเรื่องราวข้อมูลเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน เรียนรู้กัน ให้ตระหนักกันตั้งแต่มีชีวิตอยู่ เริ่มเรียนรู้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น  ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเรา เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร? ชีวิตหลังความตาย เป็นอย่างไร? ตายแล้วจะไปไหน? ไปอย่างไร? คือการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนตาย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะมาเมื่อไรความตาย  มนุษย์ทุกคนจะทราบดี เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังความตาย  ชีวิตก็จะสุขกาย สบายจิต สบายใจมากยิ่งขึ้น ไม่วิตกกังวล คั่งค้าง ไม่เครียด ไม่กลัว ภายในลึกๆ ว่า …

“เกิดอะไรขึ้น แล้วฉันจะไปไหน? แล้วฉันจะเป็นอย่างไร?”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเจ็บป่วย  หรือในช่วงของการประสบปัญหาอะไรต่างๆ  ทำให้รู้สึกว่ามันใกล้ความตายเข้าทุกทีแล้ว  เช่นในช่วงระยะนี้ทั่วโลก ความตายค่อนข้างจะเห็นชัดเจนมากขึ้น  จากโควิด-19 ทำให้เราเห็นความตายใกล้เข้ามามากขึ้น มันก็ดีอย่างหนึ่งนะ ทำให้เกิดระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเราพร้อมหรือยัง? ถ้าเผื่อเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราพร้อมไหม? เราเห็นอะไรบางอย่างไหม? หลังจากที่เราตายแล้ว  ฉะนั้นเรื่องราวชีวิตหลังความตาย รู้ก่อนวิญญาณออกจากร่าง มันก็ทำให้ชื่นใจ มีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพใจที่ดี

ครั้งที่แล้วเราได้อ่านในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่จะพิพากษาโลกและมนุษย์ ที่แยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่ไม่เชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ซึ่งอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งเราได้เรียนรู้กัน กับผู้เชื่อในวิวรณ์ บทที่ 21ว่าผลแตกต่างกันอย่างไร? ระหว่างผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ

วิวรณ์ บทที่ 20 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือข่าวดีนั่นเอง  ซึ่งหมายถึงผู้ที่พึ่งตนเอง  ต้องการไถ่บาปของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง

ส่วนวิวรณ์ บทที่ 21 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่พึ่งและวางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา ไม่พึ่งการกระทำของตนเอง

จำได้ใช่ไหมครับ นี่สรุปแบบเร็วๆ สั้นๆ สรุปข้อความในหนังสือวิวรณ์ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็คือคนที่พึ่งตนเอง  วิวรณ์ บทที่ 20 ก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง ก็คือจะไถ่บาปด้วยตนเอง พึ่งในการกระทำของตนเอง อยู่ในความพินาศ ในบาป ก็คือรับโทษของความบาป ต้องไปอยู่ในบึงไฟนรก  เพราะไถ่ตัวเองไม่ได้

ส่วนคนที่พึ่งพระเยซู ก็รับผลจากการกระทำของพระเยซู พึ่งพระเยซู คือให้พระเยซูลบล้างบาปหมดสิ้น  และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ก็ได้ลบล้างบาปหมดสิ้นแล้ว  ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว  ไม่มีการพิพากษาอีกแล้ว  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ด้วยความเชื่อ

และเราก็ได้ยืนยันในหนังสือมัทธิว บทที่ 25 เหมือนๆ กันว่าถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์นั้น จะมีการแบ่งแยกระหว่างแพะกับแกะ ไม่มีแผะกับแก๊ะ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีหัวแกะ หางแพะ มีแต่แกะก็คือแกะ แพะก็คือแพะ ผู้เชื่อก็คือผู้เชื่อ ผู้ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ

แพะ ก็คือคนที่ต้องการจะพึ่งตนเอง  พึ่งความดีของตนเอง พึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะไถ่บาปให้ตนเอง  เพื่อจะได้ไม่มีบาป ด้วยตนเอง

แกะ ก็คือคนที่พึ่งพระเยซูคริสต์ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เห็นไหมแยกกันระหว่างวิวรณ์บทที่ 20 และบทที่ 21 ชัดเจน  และวันนี้ เราก็จะมาย้ำยืนยันกันในเรื่องนี้กันอีก ให้เห็นชัดเจนว่านอกจากวิวรณ์และมัทธิว ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ก็จะมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกหลายแห่งที่บันทึกให้เรามั่นใจ 100% ว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วจริงๆ สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น หัวข้อบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

ที่นำเรื่องนี้มาเน้น ก็เพราะว่ามีหลายท่านในอดีตและปัจจุบัน  ที่รู้จักกัน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว บางท่านก็หลายปี ก็ยังมีความกลัว ถามอยู่นั่นแหละ ไม่แน่ใจว่าตายแล้ว เขาจะไปสวรรค์ไหม?  ตายแล้ว เขาจะถูกพิพากษาในการกระทำอะไรต่างๆ ที่เขาทำไหม?  อะไรแบบนี้  กลัวถูกอยู่ในการพิพากษา ก็เลยอยากจะบอกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ว่าทั้งหมดนี้ จะนำมาซึ่งการปลอบโยนจิตใจ และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ากำลังบอกเราว่าอย่ากลัวเลย ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อหรือคริสเตียนอีกแล้ว  ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน 100%  เอเมน

ถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็คือพระเยซูประกาศเอง บอกเองเลยตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าอย่างไร ในยอห์น 3:16 …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

“ไม่พินาศ” ก็คือไม่อยู่ในความตายในวิญญาณ  วิญญาณที่อยู่ในความบาป  ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษสู่บึงไฟนรก แต่กลับมีชีวิตนิรันดร์ คือกลับมาเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นเมื่อตอนอยู่บนโลกนี้เลย เมื่อรับเชื่อ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นทันที  นี่พระเยซูประกาศเองเลย  เราได้เรียนรู้กันไปแล้วนะ

เพราะว่าเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ตั้งแต่วินาทีแรกที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว มันเป็นอย่างนั้น คือเราได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณแล้ว ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  การบังเกิดใหม่นั้น คือการได้รับชีวิตนิรันดร์นั่นเอง ตามที่หนังสือยอห์น 3:16 ได้บันทึกเอาไว้ ลองไปอ่านดูอีกครั้ง ในยอห์น 3:16-18 พระเยซูประกาศชัดเจนเลย ในหนังสือ โรม 8:1-2 ก็บอกไว้ชัดเจนว่า …

โรม 8:1-2  “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ไม่ต้องถูกลงโทษใดๆ อีกแล้ว ปัจจุบันอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่ถูกลงโทษ เพราะไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ถูกลงโทษ คือไม่เชื่อ ก็ถูกลงโทษตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนจากโลกนี้ไป ก็อยู่ที่เดิม คือถูกลงโทษอยู่แล้ว  เหมือนในเอเฟซัส บทที่ 2 บอกไว้ว่าเราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ในความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และด้วยความเชื่อนี้ เราได้บังเกิดใหม่ ทางวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าเลยทันที  และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เลยทันที  มันบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เลยทันที เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์หลังจากนี้ มันจึงเชื่อถือได้

ใน 1 ยอห์น 4:17 ก็บอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราผู้ที่เชื่อ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว และมันก็จะเป็นอย่างนั้น หลังจากความตาย หลังจากวิญญาณออกจากร่างไป ก็จะอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย  …

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มีขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

เห็นไหม ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ เราเหมือนพระองค์เลย ทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจของเรา ที่ได้รับจากพระเจ้าในการบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู

เราต้องเห็นภาพนั้นว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่กลัวการต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา เพียงแต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างเดิมนี้อยู่ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ร่างกายที่ต้องเสื่อมสลาย และต้องตายในที่สุด เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป  วิญญาณก็อยู่ที่เดิม  ก็คือวิญญาณอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่ร่างกายนี้เน่าเปื่อยไป พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าคริสเตียน เราไม่ได้ตาย แต่เราหลับ ล่วงหลับไป แป๊บเดียว  ตอนนี้มีวิญญาณ จิตใจ เหมือนพระเยซู มีใจใหม่เหมือนพระเยซู มีวิญญาณใหม่เหมือนพระเยซู แต่ร่างกายทางโลก ยังเป็นกายเดิมอยู่นั่นเอง  จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก สมมติว่าพรุ่งนี้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนี้และมนุษย์ทั้งปวง ถ้าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เป็นคริสเตียน และยังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ชั่วพริบตา  ร่างกายเปลี่ยน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู ได้รับการเปลี่ยนแปลงทันที เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเยซู อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือทั้งร่างกาย วิญญาณ จิตใจเหมือนพระเยซูหมดเลย ลองคิดภาพ เพราะว่าวิญญาณกับจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูอยู่แล้ว วันหนึ่งออกจากร่างไป ได้รับร่างใหม่ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่าวกาย จิตใจและวิญญาณ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย ก็ไปยืนอยู่ข้างพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ความคิดชั่ว ความคิดสกปรก การกระทำไม่ดีต่างๆ ที่อยู่ในโปรแกรมความคิด สมอง ในร่างกายเดิมนี้  ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อ มันก็ได้ตายไปแล้ว ได้สูญสิ้นไปแล้ว พร้อมๆ กับร่างกายที่จบชีวิตลง ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ที่ตะกี้นี้บอก ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายใหม่ ที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้านั้น มันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความชั่ว ปราศจากความคิดสกปรก ไม่มีอีกแล้ว ความคิดที่เคยอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป  ไม่มีอีกแล้วความคิดที่อยู่ในความชั่ว ไม่มีอีกแล้วนั่นเอง  ก็จะเหลือแต่ธรรมชาติใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ที่เป็นเหมือนพระเยซู เป็นความรัก มีความคิดสะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ดังนั้น ในวันพิพากษาเราก็แค่ปรากฎตัว ยืนอยู่ข้างขวาของพระเยซูในฐานะผู้ชอบธรรม ธรรมิกชน คนของพระเจ้า  พลเมืองสวรรค์ ที่มีฐานะเป็นน้องของพระเยซู ได้ยืนอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยืนอยู่ เพื่อจะถูกพิพากษาลงโทษ จากการกระทำที่ผ่านมาของเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง จำได้ไหมครับที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ พระเจ้าตรัสในหนังสือสดุดี 103:11-12 บอกอย่างนี้ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด  พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

เอาความบาปออกไปแล้ว ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ที่เราเริ่มต้นรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฮีบรู 10:14 ก็เหมือนกัน บอกว่า …

ฮีบรู 10:14  “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระเจ้าได้ชำระล้างเรา ครั้งเดียวเป็นพอ ให้ผู้ที่เชื่อ คือเราทั้งหลาย ได้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เท่าๆ กับพระเยซู อยู่บนสวรรค์ได้กับพระองค์ นี่ชัดเจน

และในเอเสเคียล 36:25-27 ยังบอกไว้ว่า … “พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์ได้ให้ใจใหม่กับเรา และให้วิญญาณใหม่กับเรา” ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ ได้ใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่นั่นเอง

2 โครินธ์ 5:17 ก็บอกไว้ว่า … “ผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ใดที่เชื่อและอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นได้รับการทรงสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่บริสุทธิ์ สะอาดเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจ  รอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง” ชัดเจน

พอได้คุยเรื่องนี้ ก็ยังมีคนถามว่า … “แล้วร่างกายใหม่ที่เรารอคอย วันหนึ่งจะได้รับ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว ร่างกายใหม่จะเป็นลักษณะเช่นไร?”

ก็จะตอบสั้นๆ ว่า … “มีลักษณะเหมือนพระเยซูทุกประการ” เหมือนเลย ซึ่งวิญญาณและจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูอยู่แล้ว ตอนที่เริ่มต้นเชื่อ  ดังนั้น ตัวตนใหม่ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดกาลนั้น ในโลกใหม่ ก็คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกายที่เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เหมือนหมดเลย เหมือนทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย อยู่ในครอบครัวของพระเยซู เป็นเหมือนพระเยซู มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต เราเป็นน้อง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าร่วมกับธรรมิกชน ผู้เชื่ออื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด  เป็นพี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้น เราจึงเรียกกัน สรรพนามบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่ว่าพี่น้อง เกิดการเรียนรู้ไปเลย พี่น้องทางไหน? ทางวิญญาณ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว  เมื่อจากโลกนี้ไป เราก็ไปอยู่ที่เดิม คือเป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต หัวหน้าครอบครัวใหม่

ซึ่งอย่าลืม ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้วว่าความคิดสกปรก ความคิดชั่ว ความคิดไม่ดี ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สูญสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว พร้อมกับกายเดิม ซึ่งเป็นกายที่ได้รับผลกระทบ จากการถูกสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยอาดัมมา กายเดิมตายไปแล้ว พร้อมกับความชั่ว ความบาป เพราะว่ามันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ตายไปพร้อมกับการหมดลมหายใจของเรา มันจบแล้ว มันไม่ได้ติดตัวเราไป พูดง่ายๆ  บนสวรรค์เรามีแต่ความคิดที่ดี ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

บางคนก็เลยถาม พูดกันสั้นๆ ตรงนี้ว่า … “ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มันเป็นอย่างไร?”

“ก็เหมือนพระเยซู”

พระเยซูเดินทะลุกำแพงได้ ตอนที่พระองค์ปรากฏตัว หลังจากเป็นขึ้นจากความตายมา 40 วัน มาดำเนินกับสาวก นั่นแหละ เป็นลักษณะอย่างนั่นแหละ เดินผ่านทะลุกำแพงได้ ยังกินอาหารได้ ยังกินปลาได้  ยังพูดคุยได้ ไปไหนมาไหน แบบเร็วกว่าธรรมดา อยู่ดีๆ จะปรากฏตัวที่นั่น ก็ปรากฏตัวที่นั่นเลย ไม่ต้องใช้เวลา อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือแม้กระทั่งผู้คนของพระองค์ บรรดาสาวก ก็ยังจำพระองค์ได้ว่าเป็นพระองค์ อาจจะจำไม่ได้ตอนแรกๆ เพราะว่าราศีเปลี่ยนไปเยอะ แต่พอสักพักหนึ่ง พอสังเกตดู พระเยซูเนี้ย จำได้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เราค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วกัน

แล้วก็มีคนถามว่าแล้วเช่นนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว  รับเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ชีวิตหลังความตายว่าเราไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว เราทิ้งร่างกายนี้แล้ว เราได้รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยวิตกกังวล คือความวิตกกังวล เหมือนเดิม เหมือนสมัยก่อน  ตอนยังไม่เชื่อ

ก็คือ … “แล้วพอวิญญาณออกจากร่าง แล้วร่างกายเดิม เราควรจะทำอย่างไร? เอาไปเผาได้ไหม?  เอาไปฝังดินได้ไหม? หรือควรจะทำอย่างไรดี มันเกี่ยวอะไรกับร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับไหม?”

ขอตอบสั้นๆ ว่าร่างกายใหม่ เป็นร่างกายใหม่เอี่ยม ไม่เกี่ยวอะไรกับร่างกายที่เราอยู่กันทุกวันนี้  บนโลกใบนี้เลย  ร่างกายเดิมมันจะกลับไปสู่ดิน  กลับไปสู่ที่มันเกิดมา ที่มันได้ถูกปั้นขึ้นมา  ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน คือจากดิน น้ำ ลม ไฟ วัสดุที่ทำจากโลกใบนี้นั่นเอง มันก็จะสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้ถูกตัดสินแล้ว โลกใบนี้จะดับไป จะสูญไปพร้อมกับร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้น เมื่อมันคนละเรื่องกัน ถามว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะทำอย่างไรดี? ก็ทำตามสบาย ถ้ามีเงินหน่อย ก็เอาไปฝัง เพราะถ้าฝัง ต้องใช้เงินเยอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ 2-3 แสน หรือ 3-4 แสนก็มี หรือถ้าไม่มีเงิน ก็เอาไปเผา เผาที่ไหน? ที่เขารับเผาฟรี ก็มี เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะไปเผา หรือไปฝัง หรือเอาไปทำอะไรก็ตาม ผลออกมา ก็เหมือนกัน เพียงแต่ต่างเวลากันเท่านั้น คือถ้าเอาไปฝัง ก็จะใช้เวลา 7-8 ปี  จนสูญสิ้นไป กลายเป็นดินไป ถ้าเอาไปเผา ก็อาจจะใช้เวลา 10 นาที เตาแบบสมัยเก่า แต่ถ้าเป็นสมัยใหม่ อาจจะใช้เวลา 1-2 นาที หายเกลี้ยงเลย  ไม่สำคัญเลย เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับร่างใหม่ที่เราจะได้รับ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เพราะฉะนั้น ร่างกายเดิมนี้ จะไปทำอะไรกับมัน ก็มีค่าเท่ากัน ก็คือในที่สุด มันก็คือสูญสิ้น

ตอนนี้รู้แล้วนะ ไม่ต้องกังวลใจว่ากลัวไปเผา บางคนบอกเอาไปเผา กลัวร้อน บางคนเอาไปฝังบอกกลัวหายใจไม่ออก อะไรประมาณนั้น นี่คุยกันเล่นๆ

สิ่งเหล่านี้ สมควรที่จะมานั่งคุยกัน มาเรียนรู้กันบ่อยๆ เขาเรียกว่ามรณานุสติ นึกถึงความตาย  พอนึกถึงความตาย แล้วรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระเจ้าบอกเราถึงความจริงเหล่านี้  ทำให้เราเป็นอิสระ เราก็ไม่กลัว ก็ไม่กังวล ไม่วิตก เราก็มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไปสู่จุดหมายปลายทาง รางวัลที่จะได้รับหลังความตาย คือพักผ่อนนิรันดร์นั้นเอง

ดังนั้น พื้นฐานของความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ทั้งหมดในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่าง และการไปอยู่ในสวรรค์ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ความจริงเหล่านี้ จึงต้องเรียนรู้กันบ่อยๆ ให้มันฝังหัวเลย เรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ เลย ให้เป็นธรรมชาติเลยว่าเราอยู่บนโลกนี้เพียงชั่วคราว  แค่ทางผ่าน เป้าหมายของเรา คือหลังจากจากร่างนี้ไปแล้วมากกว่า มันจึงสำคัญ  ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว หลุดจากความสงสัย ความวิตกกังวล เพราะเราจะได้มั่นใจ 100% ว่าในวันที่เราออกจากร่าง จากโลกนี้นั้น  เราก็จะไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ สู่สวรรค์ สู่อ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ สู่ที่พักนิรันดร์ของเรากับพระเจ้าตลอดไป วิญญาณออกจากร่าง แค่พริบตาเดียว หายใจออก ก็คือลมหายใจครั้งสุดท้าย  เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  สู่อ้อมกอดของพระเจ้า จบงาน ได้พักนิรันดร์ ไม่มีการพิพากษาตัดสินการกระทำของผู้เชื่อในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว

ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อ คริสเตียนหรือเปล่า? ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน  พูดให้ตัวเองชัดเจนเลยนะ  ทุกท่านเชื่อและมั่นใจตามนี้แล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่เชื่อ ไม่มั่นใจตามนี้ ฟังแล้วฟังอีก  ใน 2-3 ครั้งที่แล้ว ที่ได้บรรยายถึงเรื่องนี้ และฟังเรื่องนี้อีกสักหลายๆ ครั้ง ให้มันฝังหัวว่ามันใช่จริง  พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนมาก  แล้วผมจะค่อยๆ เอาพระคัมภีร์มาอธิบาย มาแจง มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นไทมากยิ่งขึ้น ทุกท่านจะได้เชื่อและมั่นใจตามนี้เลย

มีพระคัมภีร์หลายข้อ  ที่มีคริสเตียนหลายคนได้อ่านแล้ว ก็เริ่มสงสัย มีความไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่าจะต้องพบกับการพิพากษา ก็คือเกิดความสงสัย เกิดความกังวลเล็กๆ ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัยว่า …

“เอ๊ะ! เรื่องนี้หมายถึงอะไร?”

วันนี้เลยจะยกมาข้อหนึ่งก่อน ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:10  ก็เป็นหนึ่งข้อของผู้คนที่สงสัยในเรื่องนี้ว่าตรงนี้หมายถึงใคร ที่ต้องได้รับการพิพากษา 2 โครินธ์ 5:10 …

2 โครินธ์ 5:10 “เพราะพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

 

หลายคนพออ่านถึงตรงนี้ ก็เริ่มต้นสับสนว่า “เพราพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

“เอ๊ะ! หมายถึงเราหรือเปล่าหนอ?”

หมายถึงคนที่เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ก็กังวล สงสัย หลายคนชักเริ่มไม่ค่อยแน่ใจ คำว่า “พวกเรา” กับ “แต่ละคน” ตรงนี้ จะหมายถึง รวมถึงพวกเราที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อด้วยหรือเปล่า?

จริงๆ แล้วคำว่า “บัลลังก์และการพิพากษาของพระคริสต์” ในข้อนี้  ก็มีความหมายเดียวกันกับที่เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วมา ก็คือเรื่องของการแยกวิวรณ์ 20 กับวิวรณ์ 21 นั่นเอง คือผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ  การแยกแพะกับแกะ ในมัทธิว บทที่ 25 นั่นเอง ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ การแยกผู้ที่พึ่งพาตนเองกับผู้ที่พึ่งในพระเยซู การแยกระหว่างผู้ที่อยู่ในอาดัมกับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ การแยกผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดกับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนั่นเอง มันหมายความเรื่องเดียวกันเลย  เป็นเหตุการณ์เดียวกัน ลักษณะเดียวกัน

ข้อนี้ ที่ตะกี้นี้เราอ่านร่วมกันบอกว่า … “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่ได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้  ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ นะ แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งเขาได้ทำ  “เขาได้ทำ” นะ ขณะอยู่ในกายนี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว เราจะมาวิเคราะห์กัน

ไม่ว่าดีหรือชั่ว การทำชั่วคืออะไร? การทำชั่ว ก็คือการทำบาป ถูกไหม?  เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องไปยืนที่หน้าบัลลังก์ เพื่อฟังคำพิพากษาในความบาป ที่ตนได้กระทำ เพราะพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และจึงทำบาป “เป็นคนบาป” หมายถึงเป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่อาดัม เป็นเชื้อสาย เป็นเชื้อที่ติดมา เกิดมาก็ทำบาปแล้ว เพราะฉะนั้น การทำชั่ว ก็คือการทำบาป เพราะเป็นคนบาป  จึงทำบาป

ฟังแค่นี้ หลายท่านก็รู้สึกเลยว่าการพิพากษาลงโทษ การกระทำบาปไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อ หรือเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เลย เพราะผู้เชื่อทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ ที่พึ่งการกระทำ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับเรานั้น ได้รับการไถ่บาป ได้รับการลบล้างความบาปหมดสิ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ การกระทำของเราผู้ที่เชื่อ ในขณะที่อยู่ในกายนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือการทำชั่วก็ตาม พูดง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำดี หรือทำบาปก็ตาม ก็ไม่มีการพิพากษาใดๆ อีกแล้ว  เพราะเราไม่ได้พึ่งในการกระทำของตัวเราเอง แต่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนต่างหากล่ะ

โลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ได้ชำระล้างบาป ความชั่วร้ายทั้งสิ้นของเรา ที่ได้กระทำไป ในร่างกายนี้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดสิ้นแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ เห็นไหมครับ? บาปจบไปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าครั้งเดียวเป็นพอ ในหนังสือฮีบรู บทที่ 10 ได้บอกไว้ ครั้งเดียวเป็นพอ เราไม่ได้สกปรก ไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ไม่นับเป็นคนบาปอีกแล้ว เราถูกนับเป็นคนชอบธรรม ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเรา อันนี้ชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อหรือคริสเตียน ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้วนั้น  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนั้น  เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์สีขาวของพระเยซู เพื่อรับการพิพากษาลงโทษอีก มันเป็นไปไม่ได้เลย มั่นใจได้ 100% ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนตะกี้นี้ที่บอกตอนต้น  เหมือนในโรม บทที่ 8 ที่บอก …

“ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ ชีวิตในพระเยซูได้ทำให้เรา

พ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

โรม บทที่ 8 ร้องเพลงนี้ให้ได้ มั่นใจได้เลย  ย้ำนะว่าการทำชั่ว  หรือการทำบาปของผู้เชื่อ  ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาวเลย ไม่มีการตัดสิน ลงโทษใดๆ อีกแล้ว  อยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีการลงโทษ ตัดสินใดๆ อีกแล้ว  และไม่มีการตัดสินลงโทษ หลังจากความตาย ก็ไม่มี และไม่มีการตัดสินลงโทษตลอดไปเลย ชั่วนิรันดร์ โรม 8:1-2  ต้องจำให้แม่นๆ เลย มันเป็นอย่างนั้น

ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวเช่นเดียวกัน ทำบาป ก็ไม่ได้รับการลงโทษ ทำดี ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ พูดง่ายๆ ไม่มีการพิจารณาเฉพาะคริสเตียนว่าใครทำดีขนาดไหน?  ทำดีได้น้อย ได้มากขนาดไหน มีรางวัลพิเศษ ไม่มี ทำดีมากขนาดไหน ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ  ทุกคนได้รับรางวัลเหมือนกัน ฟังให้ดีๆ ฟังอีกที ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ว่าเชื่อมากี่ปี ก็ตาม เชื่อมามาก อีกคนเชื่อมาแค่ 1 ชั่วโมง อีกคนเชื่อมา 10 ปี 20 ปี ได้รางวัลเหมือนกันหมดเลย  ได้รางวัลเท่ากันหมดเลย ไม่ว่าคนนี้จะทำงานมาก ทำงานน้อย ได้เหมือนกันหมดเลย  ไม่ว่าท่านประกาศมาก ประกาศน้อย ท่านก็ได้เท่ากับอาจารย์เปาโล   อาจารย์เปโตร อัครทูตเปาโล อัครทูตเปโตร ได้เท่ากันเลย

รางวัลเดียวที่ได้รับเหมือนกัน เท่ากัน คือชีวิตนิรันดร์ แบบฟลูอ๊อบชั่น (Full option) เป็นมรดกด้วยนะ  คือได้รับมรดกแห่งชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับมาฟรีๆ จากพระเจ้าทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ชีวิตนิรันดร์ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจเหมือนพระเยซู อยู่ในร่างกายที่เหมือนพระเยซู และอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา โลกที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากโลกเก่านี้ ที่อยู่ในคำสาปแช่ง  มันสูญสิ้นไป  และเราจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้านิรันดร์ ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันเป็นมรดก พระคัมภีร์บอกเป็นมรดก แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้ต่อไป  เป็นมรดก คือเราไม่ต้องทำอะไร? ให้กับเราฟรีๆ ให้ก่อนที่เราจะรับสิทธิของเราอีกด้วยซ้ำไป นี่คือความหมายของคำว่าไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ทำชั่ว ก็ไม่มีการพิพากษาลงโทษ  ทำดี ก็ไม่มีการให้รางวัลพิเศษ  เพราะได้รางวัลกันไปแล้ว  เท่ากันหมด

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่ต้องหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษ และไม่โลภที่คิดว่าจะได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะทำเยอะกว่าคนอื่นเขา  ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้บอกเอาไว้อย่างนี้ว่า … “พระคริสต์สถิตในท่าน”  พอท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ให้รู้ว่าพระคริสต์ทำงาน มีชีวิตอยู่ในท่าน ท่านไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว แต่พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ทำการงาน ดำเนินชีวิตอยู่ภายในร่างกายของท่าน ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย

และในฟีลิปปี 2:13 ยังได้บันทึกอย่างนี้บอกว่า “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน  ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”

 

พูดง่ายๆ ก็คือทำดี พระคริสต์ทำ ทำชั่ว ก็คือไม่ใช่พระคริสต์แล้วนะ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า ถ้าทำดี ก็คือพระคริสต์เป็นผู้นำเรา เราเชื่อฟังพระเยซู ด้วยวิญญาณและจิตใจที่ฟังพระเยซู เหมือนพระเยซู ยอมให้พระเยซูกระทำการงานผ่านทางร่างกายนี้อยู่ บางครั้งเราถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวง ด้วยเนื้อหนัง … เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป และกระบวนการความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าของเก่าที่ยังกระทำการงานอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตาย มันมีอิทธิพลอยู่ และบางครั้งเราถูกล่อลวงให้เป็นทาสมัน เชื่อมัน ก็หลงไปทำตามมัน เรียกว่าทำบาป ทำการเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับพระเยซูที่อยู่ในเรา ตรงนั้น เรียกว่าทำบาป  คือการถูกล่อลวง ถูกใครล่อลวง? ถูกมันล่อลวง ซึ่งการกระทำเหล่านั้น พระเจ้าทรงอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ การหลั่งพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เหมือนในโรม บทที่ 6 ก็บอกไว้ว่าอย่าไปทำตามมัน

“มัน” คือเนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ระบบของความคิดเก่าๆ ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม อิทธิพลเหล่านี้มันจะยุแยงเขี่ยเรา และจะพยายามผลักเราให้ทำตาม มันล่อลวงเราให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามที่ใจอยากทำ ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง แต่พระเจ้าอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว วิญญาณที่บังเกิดใหม่ข้างในของเรา ธรรมชาติ ที่บังเกิดใหม่ จากความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะเป็นแหล่งแห่งผลงานออกมาทางการกระทำนี้

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณท่าน วิญญาณเกิดใหม่ไหม?  ถ้าวิญญาณเกิดใหม่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย  พระเยซูก็จะทำการงานให้ผลของพระวิญญาณออกมาเป็นการกระทำ เป็นผลดี ก็ไม่ใช่เราทำ เป็นพระเยซูทำ  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นั่นเอง  จะเห็นภาพชัดเลย

สรุป ก็คือความหมายของพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 5:10 ซึ่งเราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้  ที่บอกว่า “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะซึ่งอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว” ก็เหมือนกับการแยกแพะกับแกะ แยกวิวรณ์ บทที่ 20 กับบทที่ 21 แยกคนตายกับคนเป็น  แยกคนตายกับคนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิต ก็คือแยกคนที่เป็นคนบาป ทำบาป  จากข้างใน  จากวิญญาณ ซึ่งเราเรียกว่าเขาพึ่งตนเอง จะให้พ้นบาป ซึ่งมันไม่ได้ ไม่พึ่งพระเจ้า แยกคนบาป ซึ่งพึ่งตนเองกับคนที่เชื่อพระเจ้า คนที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ที่พึ่งการกระทำของพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา  จะเห็นชัดเลย  เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเราเชื่อและวางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มองไปที่ไม้กางเขน มองไปที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เราก็มั่นใจได้แน่นอนว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วครับท่าน ไม่มีอย่างแน่นอน

จำที่พระเยซูบอกได้ไหมครับว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด คนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย”

หมายถึงอะไร? พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้แหละว่าทั้งหมดนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน ถ้าวิญญาณข้างในเราเปลี่ยนแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้างในจะส่งผลออกมา เป็นการกระทำที่มีคุณภาพ เรียกว่าดี  เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่การกระทำดี ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการทำดีว่าทำดีมาก ทำดีน้อย  ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ มันอยู่ที่คุณภาพ

คุณภาพของการทำดี มาจากวิญญาณที่เกิดใหม่ วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าเป็นวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ยังไงๆ มันก็ไม่ดี พูดง่ายๆ  ถ้าเป็นวิญญาณของพระเจ้าที่เกิดใหม่ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ยังไงๆ มันก็ต้องดี  เพราะเป็นผลของพระวิญญาณ ตรงนั้นนั่นเอง

คราวนี้เราจะมาเสริมตรงนี้อีกนิดหนึ่ง  ในข้อที่ 11 ต่อมาเมื่อสักครู่นี้  เป็นการเสริมให้ชัดเจนว่าบริบทนี้ เขาพูดถึงเรื่องอะไร?  2 โครินธ์ 5:11 …

2 โครินธ์ 5:11 “เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร เราจึงพยายาม  โน้มน้าวใจคนทั้งหลาย เราเป็นเช่นไรนั้น ย่อมปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งนี้จะปรากฏชัด ต่อจิตสำนึกของพวกท่านด้วย”

 

อาจารย์เปาโลเลยอธิบายเมื่อสักครู่นี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า … “เช่นนั้นแล้ว” ก็คือกำลังจะบอกให้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่ามันอันตราย ขนาดไหน? ถ้าท่านต้องเข้าไปสู่การพิพากษา บนบัลลังก์สีขาว วันที่พระเจ้ามา

“เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร” ถามว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร? อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศข่าวประเสริฐ รู้แล้วว่าความเฉียบขาด การเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองทั้งหมดนั้น ด้วยความยุติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะไม่มีการลำเอียงเลย  ไม่มีการว่าชอบใคร? ไม่ชอบใคร? ไม่มี กฎว่าอย่างไร? ถึงวันพิพากษา มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้น  บอกให้เชื่อในพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปแล้ว ถ้าไม่เชื่อวันนั้น วันที่ถูกพิพากษา ก็ไม่มีคำว่าแม้ หรือว่าแต่ว่า

“แต่ว่าฉันทำดีมากๆ” อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษ สู่บึงไฟนรก ซึ่งมันน่ากลัวมาก ไม่มีการลำเอียง ติดสินของพระเจ้า  ความน่ากลัวตรงนี้ หมายถึงอย่างนี้  ให้เคารพยำเกรงในการตัดสินใจของพระเจ้า  ซึ่งพูดคำไหน ต้องเป็นคำนั้น  แม้กระทั่งลูกของตนเอง  คืออาดัมและเอวา ทำผิดพลาดไป ละเมิดคำสั่ง  ทำบาปครั้งแรก  เมื่อตอนยุคโน้น ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าสั่งว่าอย่า แล้วเขาไม่เชื่อฟัง เขาฝืนคำสั่งของพระเจ้า  กระทำสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เกิดตามผลที่บอกไว้ตามกฎแล้วว่า …

“อย่ากินนะ กินวันใด เจ้าจะต้องตาย เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย”

แล้วกินไหม? กิน ในที่สุด ก็ต้องถูกลงโทษให้ตาย หลายคนบอกครั้งเดียวเอง ก็นี่แหละ คือความน่ากลัวของพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น

อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศ ก็บอกว่าเพราะเห็นความน่ากลัวของกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ความเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามหาจักรวาลที่ยุติธรรมอย่างนี้ มันน่ากลัวมาก ที่ท่านต้องเข้าไปถูกพิพากษา ไม่มีอะไรช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านเท่าไร? ก็ช่วยไม่ได้  แม้พระเยซูจะมาไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว  ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้  แม้พระเยซูจะรักท่านมาก ยอมสละชีวิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เต็มด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อท่าน ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ เมื่อวันพิพากษามาถึง เมื่อถึงวันนั้น เพราะมันเป็นไปตามกฎ

“กฎ” ก็คือท่านต้องเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย เท่านั้น ท่านถึงจะได้รับความรอด หลังจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรแก้ไข ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกเลย ท่านต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ถ้าจะอยู่ในสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอให้ตายก่อน ไม่ทันแล้ว  นี่น่ากลัวไหม? น่าเกรงขามไหม? ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า

และเมื่อเราได้รับรู้แล้วว่าความกลัวพระเจ้าที่แท้จริง คืออะไร เราจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจของคนทั้งหลาย “เรา” ในที่นี้ คืออาจารย์เปาโลและบรรดาอัครทูตที่ตระเวนประกาศข่าวประเสริฐอยู่ไง ประกาศเรื่องพระเยซูอยู่

คำว่า “โน้มน้าวคนทั้งหลาย” คือตระเวนประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู เรื่องความจริง ที่ผมอธิบายให้ฟังมาตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่าอย่ารอให้ถึงวันที่วิญญาณท่านออกจากร่าง คือการตายจากโลกใบนี้ มันไม่ทันแล้ว ท่านกลับตัวไม่ทัน  ท่านจะพบกับการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ ไปสู่บึงไฟนรกนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเจ้าจึงใช้ผม คืออาจารย์เปาโลและอัครทูต ทีมงานเหล่านั้น ในการที่จะโน้มน้าวจิตใจ และประกาศข่าวดีนี้ให้กับท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

โน้มน้าวให้บรรดาทุกคนบนโลกใบนี้ที่ยังพึ่งในตนเองอยู่ พึ่งในการทำดีของตนเอง พึ่งในการที่จะไถ่บาปตนเอง ให้กลับใจใหม่ หันกลับมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ มายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ โน้มน้าว ก็คือประกาศข่าวประเสริฐให้บรรดาผู้คนในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งในวิญญาณตายอยู่ และต้องพบกับความพินาศนิรันดร์ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง วิงวอนให้เปลี่ยนมาอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 21 มาได้รับความรอดนิรันดร์ มาเป็นคนของพระเจ้า มาเป็นแกะของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดกนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษนิรันดร์นั่นเอง

โน้มน้าวผู้คนที่ยังอยู่ในกลุ่มแพะให้มาอยู่ในกลุ่มแกะ เห็นไหมครับ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราประกาศโน้มน้าวคนเหล่านี้ โน้มน้าวให้คนที่อยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องตัดสินใจตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น อย่างเดียวเลย อาจารย์เปาโลเลยเร่งวันเร่งคืนที่จะประกาศโน้มน้าวให้ผู้คนได้รับรู้สิ่งนี้ แล้วก็ตัดสินใจรีบเปลี่ยนซะ ไม่เช่นนั้นวันพิพากษา ท่านต้องไปชดใช้ในสิ่งที่ท่านกระทำบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว โดยการพึ่งในตนเอง ซึ่งไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะเปลี่ยนตัวเองจากคนบาป ให้เป็นคนชอบธรรม มันเป็นไปไม่ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงพูดในบริบทนี้ ในข้อต่อๆ ไป อาจารย์เปาโลก็บอกว่า …

“พวกท่านก็รู้ดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ พระเจ้าก็รู้ พระเจ้าเป็นคนให้ภาระนี้กับข้าพเจ้าในการที่จะออกไปประกาศ ท่านเองก็รู้ดี รู้จักนิสัยข้าพเจ้าดี วันทั้งวันข้าพเจ้ามีแต่ประกาศพระคริสต์ ประกาศข่าวประเสริฐ ไปที่ไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ถูกต่อต้านอย่างไร ถูกข่มเหงอย่างไร ถูกเอาหินขว้าง จะฆ่าให้ตายอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงประกาศอยู่ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะเป็นห่วงท่าน ไม่อยากให้ท่านต้องไปถึงซึ่งความพินาศ ในการถูกพิพากษานิรันดร์ ในวันข้างหน้านั่นเอง”

อาจารย์เปาโลประกาศถึงขนาด ในตอนสุดท้ายของบริบทนี้บอกว่าพระเจ้าแต่งตั้งให้อาจารย์เปาโลและทีมงานเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาหาพระเจ้า ขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด  กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระเจ้าขอร้อง อาจารย์เปาโลเลยมีหน้าที่ออกไปบอกคน บอกว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?

ท่านจะเห็นภาพเช่นเดียวกันผมเองก็เหมือนกัน ที่ทำอยู่นี้ ทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวัน พูดแต่เรื่องพระคริสต์ พูดลักษณะเดียวกัน เหมือนกัน ก็คือขอร้องท่าน โน้มน้าวท่าน ชักจูงท่าน ขอร้องและขอร้องอีก ในนามของพระเจ้านะ  ในนามของพระเยซูที่ทรงรักท่านมากมาย ขอร้องแล้วขอร้องอีก โน้มน้าวแล้วโน้มน้าวอีก ให้กลับมาหาพระเยซู กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมารับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเถิด กลับมารับพระพรต่างๆ นานาที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นแกะของพระเจ้า  กลับมาเตรียมตัวรับร่างใหม่  และสวรรค์โลกใหม่ ที่จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

ที่พูดอยู่นี้ ก็พยายามเหลือเกิน  ที่จะชักจูง อธิบายด้วยน้ำตาว่าถ้าท่านยังไม่ได้กลับใจมา ท่านจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา คือพระเจ้า หลังความตาย และวันนั้นมาถึง ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านมากมาย แม้พระเยซูจะรักท่านมากมาย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงบอกแล้ว เป็นกฎเกณฑ์แล้ว เป็นกฎหมายของพระองค์แล้วว่าความรักนั้นได้ปรากฏที่พระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระองค์ต้องการ ขอร้องท่านให้มาเชื่อในพระบุตรนี้  เพื่อจะได้รับความรอดนิรันดร์ รอดจากนรกนิรันดร์ พระองค์ทรงให้แล้ว และขอร้องให้ท่านมารับสิทธิของท่าน มารับของขวัญชิ้นนี้ ไปโดยด่วน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการถูกโกหกหลอกลวง”

พระเยซูตรัสว่า … “คนทั้งปวงที่ยอมต้อนรับพระเยซู มาเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานฤทธิ์อำนาจ ทำให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า” ยอห์น 1:12-13

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1  หรือ  2 …

“แล้วทาร์ซานก็ฝึกฝน ประพฤติตนเหมือนคนมากขึ้น เพราะ?” …

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำเหมือนลิง
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาเป็นคน

 

“รับรู้ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”

พระเยซูตรัสว่า … “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา   เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

1 ยอห์น 4:17

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1 หรือ 2 …

“แล้วคริสเตียนก็ฝึกฝน  ประพฤติตนเหมือนพระเยซูมากขึ้น เพราะ …?”

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำบาป เดี๋ยวตกนรก
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาได้บังเกิดใหม่ด้วย DNA ชีวิตของพระเยซู

 

พระเจ้าอวยพรครับ