วารสาร Holy News ฉบับที่ 1329

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นตอนที่ 2 ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว หัวเรื่องที่บอกว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

การบรรยายช่วง 2, 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราน่าจะรู้และน่าจะมั่นใจ เพราะได้บรรยายไปหลายครั้ง ก่อนหน้านั้นได้พูดไว้ว่าการพิพากษาลงโทษโลก และมนุษย์บนโลกในวันสุดท้าย วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่ออย่างแน่นอน 100% ผู้เชื่อไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษแล้วแน่นอน  เพราะผู้เชื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู เมื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู  … พระเยซูได้ทำสำเร็จที่ไม้กางเขน ลบล้างบาปออกไปจนหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย  และใครก็ตามที่รับเชื่อ และใช้สิทธิของเขา เขาก็ได้รับการชำระล้าง ให้พ้นจากความบาป ลบเอาความบาปของเขาออกไปหมดสิ้นแล้ว  ทั้งบาปที่ทำในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย

เพราะฉะนั้น การกระทำของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในกายบนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดี หรือการกระทำชั่วก็ตาม ก็ไม่มีการพิจารณาใดๆ อีกแล้ว ในโลกวิญญาณในวันพิพากษา  บทสรุปของความหมายของคำว่าไม่มีการพึ่งพาตนเองอีกแล้วบนโลกใบนี้ ก็คือการไม่พึ่งในการกระทำของตนเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือจะเลว ก็ไม่พึ่ง พึ่งพระเจ้า พึ่งพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว  ซึ่งเราได้เรียนรู้ในครั้งที่แล้ว  ก็คือว่าการไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ก็คือการทำชั่วหรือการทำบาปของผู้เชื่อนั้น  ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น  ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่มีการตัดสินลงโทษใดๆ อีกแล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว  ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพกาษาของพระคริสต์เช่นเดียวกัน ไม่มีการพิจารณารางวัลพิเศษใดๆ เช่นเดียวกัน

บางคนเขาก็คิดว่าพูดอย่างนี้ คนก็ไม่มีแรงจูงใจในการกระทำดีของคนที่กลับใจ หรือเป็นคริสเตียนเลย แล้วเอาอะไรมาเป็นแรงจูงใจของเขา ความรักไงครับ  ความรักที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักข้างใน เกิดมาเป็นความรัก ทำตามธรรมชาติที่อยู่ข้างใน เป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่  ไม่ได้ทำจากความกลัว ที่มีกฎบัญญัติห้ามไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราขึ้นเครื่องบิน เราไม่สูบบุหรี่ ถูกไหมครับ?  แต่ก็มีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าปกติเขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของเขาเอง เขาเป็นคนไม่ชอบบุหรี่ เขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว แต่มีคนอีกจำพวกหนึ่ง ไม่ได้สูบบุหรี่ บนเครื่องบิน เหมือนเราเลย  ทำเหมือนกันเลย ประพฤติเหมือนกันเลย แต่ในใจเขาไม่ทำ เพราะแรงจูงใจ ก็คือมีป้ายเขียนห้าม และต้องถูกปรับอย่างสูง ถ้าไปสูบบุหรี่บนเครื่องบิน อะไรอย่างนี้ พอลงจากเครื่องบิน  ป้ายหายไปปุ๊บ วิ่งไปหาห้องสูบบุหรี่ทันที นึกภาพออกไหม? คล้ายๆ อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

แรงจูงใจของคริสเตียนที่จะทำดี ทำจากข้างในที่เกิดใหม่แล้ว เป็นธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้เอง พระคัมภีร์จึงมีบันทึกไว้ว่าบรรดาอัครทูตและสาวกของพระเยซู ก็ออกไปหาบรรดาผู้คนทั้งหลาย เพื่อโน้มน้าว เพื่อประกาศ เพื่อสอนชักชวน ให้บรรดาผู้คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐนั้น ที่ยังพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตัวเอง สั่งสมความดีด้วยตัวเอง ไปสอนเขา บอกเขา ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาเปลี่ยนใหม่ มาพึ่งในพระเยซู คือออกจากกฎเดิม ก็คือออกจากกฎที่อยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในบาป ให้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ มาพึ่งในพระคริสต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการถูกพิพากษาลงโทษ ในวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์ ตามการกระทำของเขา  ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ เขาก็ต้องถูกพิพากษาตามการกระทำของเขา  แต่คริสเตียนผู้ที่พึ่งพาในการกระทำของพระเยซู ก็ไม่ต้องได้รับการพิพากษาใดๆ เลย เพราะได้รอดพ้นจากการกระทำของตนเอง ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เหล่าอัครทูตและนักประกาศทั้งหลาย จึงออกไปประกาศตามที่พระเจ้านำพา สอนเขา ให้เขาออกไปประกาศอย่างนี้

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อเรื่องเกี่ยวกับการพิพากษา ในวันสุดท้าย วันสิ้นโลก วันที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษานั้น รางวัลของผู้เชื่อ คืออะไร?

รางวัลของผู้เชื่อ คือความครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์นั่นเอง  ซึ่งเป็นรางวัลเดียว ที่พระเยซู หรือพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อทั้งหลาย

ย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่ง เราได้เรียนรู้ว่าพอเราเชื่อ ในข่าวดีแล้ว เราไม่พึ่งพาตนเองแล้ว เราพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราได้เกิดใหม่ ความคิดจิตใจเราได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ทั้งสองสิ่งนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น  เป็นเหมือนพระเยซูเลย เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับการอภัยโทษ และได้รับการรับเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขาดอยู่นิดเดียวเอง คือเพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิม ที่จะต้องตายในวันหนึ่งเท่านั้นเอง  ก็อดทนรอคอยแค่นั้น ร่างกายสิ้นสุดลงเมื่อไร ลมหายใจสุดท้าย วิญญาณออกจากร่าง ก็เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่กับพระเจ้า พระเยซูในสวรรคสถาน บนโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ๆ ทั้งหมด ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่งอีกต่อไป  ตลอดชั่วนิรันดร์ นั่นแหละ เรารอแค่นิดเดียว แค่นั้นเอง

เราได้เรียนรู้กันแล้วว่าการพิพากษาและรางวัลของผู้เชื่อ เป็นอย่างไร?  ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ก็ยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกเยอะ ที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการเข้าใจผิด เนื่องจากแปลผิดความหมาย  สอนกันมาผิดๆ เรื่อยๆ เป็นระยะ อยู่อีกหลายข้อ เราจะมาทำความเข้าใจกัน

วันนี้เริ่มต้นที่หนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 3 ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนจดหมายไปถึงบรรดาผู้เชื่อในคริสตจักรโครินธ์ อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด และสำคัญมาก สำหรับพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า  และจดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลได้เริ่มต้นด้วยการตำหนิผู้เชื่อ ชาวโครินธ์ที่เริ่มมีการแบ่งแยก อ้างตัวเป็นศิษย์เปาโล ศิษย์อปอลโล ศิษย์เคฟาส (คือเปโตรนั่นเอง)

อาจารย์เปาโลได้ใช้คำว่า “ประพฤติตนเหมือนคนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง” คนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง คนที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของการบาป  ก็คือคนบาป คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั่นเอง เพราะว่าพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ ยังมีการประพฤติ คืออิจฉาริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่เชื่อแล้ว  วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว นึกภาพออกใช่ไหม? มันแยกกัน ทำให้เราได้เห็นชัดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็มีสิทธิ์ถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ด้วยอิทธิพลของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  ก็คือโปรแกรมเก่าๆ  อิทธิพลของความบาป ที่เราเคยอยู่เก่าๆ ออโตเมติกเก่าๆ เหล่าานี้  สามารถล่อลวง ชักจูงให้เราหลงไปประพฤติสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวจริงๆ ที่เราเป็นอยู่ภายใน เราไม่ได้เป็นคนบาป แต่เราไปประพฤติบาป นึกภาพออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความประพฤติกับการเป็นจริงๆ ตัวตนเรานั้น มันคนละเรื่องกัน ความประพฤติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วได้

ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “ความประพฤติ การกระทำของคริสเตียน ไม่สามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงวิญญาณของเขา เขาบังเกิดใหม่ รับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะตรงนี้ได้อีกเลย จากการประพฤติของเขา ไม่ว่าประพฤติดี ก็ไม่ได้ทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้น ประพฤติไม่ดี ประพฤติตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ไม่ได้ทำให้สกปรกลง เขาสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพราะเขาได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เรามาอ่านกัน 1 โครินธ์ 3:3-5 …

1 โครินธ์ 3:3-5 “3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยา และการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดามิใช่หรือ? 4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

“ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก” นี่กำลังเขียนถึงคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ของแท้ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก ก็คือท่านยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เพราะท่านประพฤติอย่างนี้แหละ ยังมีการอิจฉา ริษยา มีการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ?  ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?

“ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดา” ก็คือท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนบาป นั่นน่ะ โดยทั่วๆ ไป ใช่ไหม? ก็คือท่านและคนบาปนั้น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละสถานะกัน ท่านประพฤติตัวอีกแบบหนึ่ง  แทนที่ท่านจะประพฤติตัวให้เหมือนกับท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว  แต่ท่านประพฤติตัวเหมือนคนบาป  ชัดเจนไหมครับ?

“ในเมื่อคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามเปาโล และอีกคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามอปอลโล พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ?” คนธรรมดา คือคนบาปทั่วๆ ไปไม่ใช่หรือ?  คนบาปทั่วๆ ไป ก็อย่างนี้ ในใจชิงดีชิงเด่นกันใช่ไหม? ริษยากันใช่ไหม? มันจะเกิดเหตุการณ์แตกแยกกันเกิดขึ้น ก็เพราะอย่างนี้ แต่ท่านไม่ใช่ ท่านเป็นคริสเตียน ท่านบังเกิดใหม่แล้ว  วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณท่านเป็นวิญญาณแห่งความรักแล้ว ท่านควรจะประพฤติตัวตามวิญญาณของท่านข้างใน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่ นี่ท่านไปทำอีกแบบหนึ่ง ท่านไม่ได้ทำตามธรรมชาติของท่าน แต่ท่านทำตามตัณหาของเนื้อหนัง มันล่อลวงท่าน ให้ท่านทำ ระบบของโลกนี้ คือระบบของการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันล่อลวง มันชักจูงให้ท่านทำ  กำลังจะบอกว่าอย่างนี้

เปาโลพยายามเน้นย้ำว่าไม่ว่าจะเป็นนักประกาศ  ครูสอน หรือนักบรรยาย นักเทศน์อะไรก็ตาม ที่เป็นอาจารย์ระดับไหนก็ตาม ทุกคนเป็นเพียงแค่ผู้รับใช้เท่านั้นเอง  ที่ทำหน้าที่ในการโน้มน้าว ในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่เชื่อให้กลับใจใหม่ แล้วก็สอนคนที่เชื่อแล้ว ให้จำเริญเติบโตในความจริง ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร?  ไม่มีอาจารย์คนไหนใหญ่กว่าใคร? ไม่ต้องอวดอ้างว่าคนนี้เป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนี้ คนนั้นเป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนั้น เพราะทุกคนต่างฝ่ายต่างเป็นแค่เครื่องมือ หรือเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เปาโลต้องการเน้น ทุกคนเป็นเพียงผู้รับใช้ในการทำหน้าที่โน้มน้าว ในการช่วยเหลือ สอน เลี้ยงดูให้กับบรรดาผู้คน ให้เจริญเติบโต ให้เข้ามาอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้ใช้เขาเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 3:6 “ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต”

 

“ข้าพเจ้า” ก็คืออาจารย์เปาโล … เปาโลปลูก  อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต เห็นชัดเลย เปรียบเทียบดีมาก ความหมายของการปลูกและรดน้ำ ตรงนี้ เปาโลกำลังบอกว่าหน้าที่ของผู้รับใช้ ก็คือการสอน การโน้มน้าว การหว่านเมล็ด ข่าวประเสริฐ การประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐ ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ เมล็ดพันธุ์ของสวรรค์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่จะทำให้มันเกิดผลหรือไม่  ไม่ใช่ตัวคนหว่านเมล็ด และไม่ใช่ตัวคนมาสอน มารดน้ำ แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก  ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ประเด็นที่สำคัญ คือสิ่งที่ประกาศไปนั้น ต้องเป็นการประกาศข่าวดีที่ถูกต้อง บนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ซึ่งบนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ก็คือในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือนความจริง  ข้อมูลคล้ายๆ ความจริง ไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นความจริงตรงนี้ที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ผลเกิดขึ้น ได้อย่างไร?

ทั้งหลาย ทั้งปวง หน้าที่ของผู้รับใช้ เพียงแค่คนที่ทำหน้าที่หว่านข่าวประเสริฐ เมล็ดพันธุ์นี้ออกไป  คือเป็นแค่คนปลูกกับคนรดน้ำเท่านั้น  แต่ผู้ที่ทำให้เติบโต เกิดผล คือพระเจ้า เพียงผู้เดียว ซึ่งมันก็คือข่าวดี แห่งพระคุณของพระเจ้า ข่าวดีที่ไม่ได้พึ่งพาการกระทำของผู้คน ของใครก็ตาม รวมทั้งของตนเองด้วย  ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า คือทุกสิ่งพึ่งในพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว ไม่พึ่งพามนุษย์เลย  รวมทั้งตัวเราเอง และคนที่มาประกาศด้วย คือไม่พึ่งคนเลย พึ่งแต่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เรามาอ่านข้อ 7, 8 ต่อว่าเปาโลว่าอย่างไร? …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ดังนั้น ไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

พูดง่ายๆ มนุษย์ไม่ได้สำคัญเลย ทำหน้าที่ตามที่พระเจ้าได้กำหนดให้ทำ และนำให้ทำเท่านั้นเอง  คนปลูกและคนรดน้ำ มีเป้าหมายเดียวกัน

เป้าหมาย คืออะไร? และต่างก็รับบำเหน็จตามการงานของตน เป้าหมาย ก็คือช่วยคนให้เจริญเติบโตในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้พึ่งในพระเยซูคริสต์ พึ่งแล้วพึ่งอีก อย่าหลบเลี่ยงหรือหนีไปพึ่งอย่างอื่น มนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น นี่คือหน้าที่คนปลูกและคนรดน้ำ

ในข้อ 8 ตรงนี้ มีคนเข้าใจผิดเยอะ ที่บอกว่า “ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของเขา” เพราะฉะนั้น เราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เราออกไปสอนผู้คน เราก็ได้รางวัลสิ คิดอย่างนั้นใช่ไหม? ก็ไม่ผิดนะ ลองคิดต่อไปว่ารางวัลที่ท่านจะได้รับ มันคืออะไรก่อน  คิดในใจของท่าน ต่างคนต่างคิด ไม่ต้องถามคนข้างๆ นะ หรือถามคนข้างๆ ก็ได้ว่าที่ท่านประกาศข่าวประเสริฐ ที่ท่านสอนข่าวดีของพระเจ้า ที่ท่านออกไปเลี้ยงดูลูกแกะ ผู้เชื่อใหม่ ในเรื่องของข่าวดีของพระเจ้า  ท่านทำเพื่อจะได้รางวัล และรางวัลคืออะไร?

เพราะว่าในนี้บอก … “แต่ละคนจะได้รับรางวัล ตามการงานของตน” ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน ชัดๆ ซึ่งหลายคนก็มีความคิดว่ามันหมายถึงรางวัลที่จะได้รับในสวรรค์ ตอนที่จากร่างนี้แล้ว  สู่โต๊ะการพิพากษา จะมีการพิพากษาคริสเตียนด้วย คริสเตียนจะถูกพิพากษาว่าได้รางวัลนี้หรือไม่? ได้เท่ากันหรือเปล่า? หรือได้ไม่เท่ากัน อย่างไร? ใช่ไหมครับ?

ซึ่งจริงๆ คำว่า “ได้รับบำเหน็จตามการกระทำของตน” ตรงข้อความใน 1 โครินธ์ 3:8 ตามบริบทนี้ หมายถึงผลงานที่เกิดจากการปลูกและการรดน้ำ  นั่นแหละคือบำเหน็จ  การวางรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ให้กับชาวโครินธ์ ในที่นี้ ก็คือการหว่านข่าวดี สอนตามข่าวดี ที่เป็นจริง บนพื้นฐานของการพึ่งพระเยซูคริสต์นั้น มันก็จะเกิดผลเป็นบำเหน็จได้รับ ก็คือผลงานที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน บนโลกใบนี้เลย ถ้าหว่านถูก และบำเหน็จ หรือผลงานที่ได้รับ ณ บริบทนี้ ก็คือชาวเมืองโครินธ์ได้กลับใจใหม่เพิ่มขึ้น เป็นคริสเตียนมากขึ้น จากการที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐที่แท้จริง และมีพื้นฐานของข่าวประเสริฐ ข่าวดีที่ได้ถูกหว่านลงไปอย่างถูกต้อง คือพึ่งในพระเยซู เกิดเป็นชุมชนที่ประพฤติตามแบบอย่างของผู้ที่เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโต ทางฝ่ายวิญญาณ เต็มไปด้วยความรัก  ความสามัคคี เติบโตในความรัก สำแดงความรัก ซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน  ไม่อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวกกัน เข้มแข็งขึ้น นี่แหละคือผลงานในการปลูก รดน้ำ หรือประกาศข่าวประเสริฐ หรือสอน หรือบรรยาย หรืออธิษฐานให้ หรือเลี้ยงดู ผลงาน ก็คือผู้เชื่อเหล่านั้น เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง แข็งแกร่ง หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ ได้รับการหว่านไปถึงและเชื่อจริงๆ มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อที่ถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง

คำว่า “ได้รับบำเหน็จ ตามการงานของตน” หมายถึงผลงานตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรางวัลพิเศษ บนสวรรค์ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่งเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นรางวัลที่เก็บเกี่ยวได้เลยเดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลย ได้เห็นกับตาเลย ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ มาอ่านต่อข้อ 9 กับข้อ 10 …

1 โครินธ์ 3:9-10 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญและคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร”

 

ในข้อที่ 10 บอกว่า … “โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้า” ก็แสดงว่าเปาโลไม่ได้ทำด้วยความสามารถของตัวเองเลย ก็พึ่งในพระเจ้าอยู่ดี พระเจ้าเป็นผู้ประทานความสามารถ เป็นผู้บอกว่าจะให้ประกาศอย่างไร?  ผู้ให้ความรู้ ความจริงว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เป็นผู้ให้กำลัง ให้ฤทธิ์อำนาจ ความสามารถ ชี้ให้เห็น

“ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า” เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็นว่าที่ข้อตะกี้บอกว่าเปาโลเป็นคนปลูก และอปอลโลเป็นคนรดน้ำ และผลที่ได้รับ ก็คือการเกิดผลในชีวิตของผู้เชื่อ  ก็คือเกิดผลในไร่นาของพระเจ้า เกิดเป็นผล เพื่อพระเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลเหล่านั้น เพราะเป็นไร่นาของพระเจ้า  หมายถึงผู้ที่เชื่อ ที่อยู่บนรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ได้บังเกิดใหม่ นั่นแหละ  คือผลงานของการปลูก และการรดน้ำที่ถูกต้อง  มันก็เกิดการเก็บเกี่ยว เกิดผลออกมา  พระเจ้าก็เป็นผู้เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้น โดยพระวิญญาณ

เช่นเดียวกัน “เป็นตึกของพระเจ้า” ก็หมายถึงเปาโลเป็นช่างที่วางรากฐาน อปอลโลเป็นผู้ก่อสร้าง เปาโลลงเสาเข็มไว้ อปอลโลมาสร้างชั้นหนึ่งต่อ ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มาต่อจากชั้นหนึ่ง ก็ต้องวางให้ดีๆ ต่อให้มันตรงๆ  เสาเข็มก็วางตรงนี้ จะก่อเสาขึ้นมา ก็ให้มันตรงกับเสาเข็มข้างล่าง  ถ้ามันเฉเมื่อไร ข้างบนก็ไปไม่รอดอีก ไปไม่นาน ก็ล้มโครมลงมา อปอลโลและเปาโลช่วยกัน เปาโลวางรากฐาน อปอลโลก่อสร้างขึ้นมา  จนเกิดเป็นตึกของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อที่อยู่บนรากฐานข่าวประเสริฐที่เข้มแข็ง มั่นคง  ก็คือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์

“ขอทรงสร้างเราให้มั่นคงเถิด     ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร”

สร้างเราด้วยวิธีใด? ก็ผ่านทางผู้รับใช้ที่ได้ยินได้ฟังพระวิญญาณของพระองค์ ที่ได้เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างถูกต้อง และได้ประกาศด้วยความสัตย์ซื่อ นี่แหละ เป็นฐาน ทำให้คริสตจักรเข้มแข็งและแข็งแรง เป็นอาคารที่มั่นคง

นึกถึงภาพนะ เขาสร้าง วางรากฐานไว้อย่างดี แล้วเราไปก่อแบบเอาใหม่ ไปก่อที่ไม่ตรงกับรากเดิม มันก็พังในที่สุด แต่รากยังอยู่นะ รากมันไม่ไปไหน รากมันถูกต้อง

ตอนท้ายของข้อ 10 ที่บอกว่า … “กระนั้น แต่ละคนควรระวังตนก่อขึ้นอย่างไร?” กำลังพูดถึงใคร? ก็คือแต่ละคนที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้า มาเป็นผู้รับใช้พิเศษ ก็คือมาเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ มาเป็นผู้สอน บรรยาย เลี้ยงดู ผู้เชื่อ อะไรประมาณนี้ บรรดาคนเหล่านี้ ที่ผมบอกว่าคนพิเศษ หมายถึงบริบทนี้ เป็นคนพิเศษ จากนี้แล้ว ผู้เชื่อทุกคน พอมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าใช้ในลักษณะนี้หมด ทั้งนั้น  แต่ใช้ต่างลักษณะ ต่างบุคลิก ต่างชนิดกัน หลายๆ อย่างที่พระองค์ใช้ แม่บ้าน พระองค์ก็ใช้ได้ เด็กนักเรียนพระองค์ก็ใช้ได้ คนมีชื่อเสียงพระองค์ก็ใช้ได้ คนไม่มีชื่อเสียง พระองค์ก็ใช้ได้ หมายถึงชื่อเสียงบนโลกใบนี้นะ

“กระนั้น แต่ละคนควรระวัง” ก็คือทีมงานแต่ละคนมีหน้าที่ปลูก หว่านเมล็ด มีหน้าที่รดน้ำ มีหน้าที่สอน ต้องระวังตนให้ดีว่าสอนเขาไปอย่างไร? ประกาศให้เขาถูกต้องไหม?  คือทั้งอาจารย์เปาโลและอปอลโล อุตส่าห์ช่วยกันวางรากฐานของข่าวประเสริฐ อย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ขอให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งผู้ที่สอนด้วย ให้ระวัง สำหรับผู้เชื่อ ที่ไม่ได้สอน ที่ได้ฟังเขา ให้คอยระวังตัวด้วยว่าอย่าให้มีใครที่มาสอนผิด จากรากฐานจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลและอปอลโลได้วางรากไว้อย่างดีแล้ว เรียบร้อยแล้ว ก่อขึ้นมาแล้ว เราฟังดู คอยสังเกตให้ดีๆ มันตรงไหม? มันใช่ไหม? มาข้อ 11 …

1 โครินธ์ 3:11 “เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลกำลังบอกว่าชาวโครินธ์ทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าได้วางรากฐานที่ถูกต้องให้กับท่านแล้ว อย่าให้ใครมาวางรากฐานอื่น อย่าให้เขามาสอนสิ่งที่ผิดไปจากรากฐานนี้ คือสิ่งที่ผิดไปจากข่าวประเสริฐ ให้พึ่งพาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์เท่านั้น อย่าให้ใครมาบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐนี้เด็ดขาด  อย่าให้ใครมาทำให้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งพาพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ต้องกลายเป็นเรื่องยาก หรือกลายเป็นภาระมาก สำหรับผู้ที่เชื่อ จงยึดมั่นในรากฐานแห่งความจริง ในข่าวประเสริฐที่ผมได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว  ความจริงนี้ทำให้ท่านเป็นอิสระ

พระเยซูคริสต์บอกว่า … “ผู้ใดแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข” ไม่ใช่มาเชื่อแล้วยิ่งหนักใหญ่ ยิ่งเหนื่อยใหญ่ ยิ่งแบกภาระของตนเอง ต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ได้ความรอดนี้  ความรอดนี้ ต้องเชื่อและต้องทำ  ถ้าไม่มาชุมนุมที่สถานที่ชุมชนเป็นประจำ ขาดการประชุมบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้าทิ้งเลย อะไรประมาณนั้น ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ? ถ้าไม่ออกมารับใช้พระเจ้าบ้าง ท่านจะไม่ได้รับพระพร ถ้าท่านไม่อธิษฐาน อาจจะหลงหายไป และทิ้งความเชื่อไปก็ได้ อะไรประมาณนี้ หรือท่านต้องปฏิบัติพิธีกรรม กิจกรรมทางศาสนา มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับความรอด อะไรเหล่านี้ คือเป็นภาระเพิ่มขึ้น

ในพระคัมภีร์บอก … “เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น วางใจในเรา เจ้าก็ได้รับความรอด วางใจในเรา เจ้าก็ได้พบกับพระเจ้า วางใจในเรา เจ้าก็เข้าสวรรค์ วางใจในเรา เจ้าก็จะไม่ถูกพิพากษา พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ วางใจในเรา เจ้าก็จะได้รับการอภัยโทษ จากการพิพากษาลงโทษอยู่แล้วนั้น  ไม่ต้องถูกลงโทษ  เป็นอิสระเลยทันที” แค่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มาต่อข้อ 12 และ 13 …

1 โครินธ์ 3:12-13 “12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน”

 

“ไฟจะทดสอบคุณภาพ ผลงานของแต่ละคน” เน้นตรงนี้ ไฟทดสอบคุณภาพของผลงาน ไม่ใช่ไฟทดสอบคน เอาใหม่อีกทีหนึ่ง ไฟจะทดสอบคุณภาพของผลงานของคน ไม่ใช่ไฟไปทดสอบคนนะ ทดสอบคุณภาพของผลงาน ใครที่มาบิดเบือนรากฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลได้วางไว้ ซึ่งเป็นความจริงอย่างแน่นอนมีอันเดียว คือรากฐานของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใครที่มาบิดเบือน ไม่ใช่รากฐานข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็เปรียบการกระทำงานของเขา เป็นผลงานหรือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหญ้าแห้ง  หรือฟาง หรือไม้ ซึ่งไม่สามารถทนไฟได้ สักวัน ก็จะต้องถูกเผยความจริงออกมา เหมือนกับเราคุ้นๆ กัน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ข่าวประเสริฐพิสูจน์กันอย่างนี้แหละ  ต้องใช้เวลา

ผู้ที่สอนหรือประกาศข่าวประเสริฐ ที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะมีผลงานที่คงทน ถาวร เปรียบได้กันกับผลงานทำมาจากทองคำ เงิน พลอย ที่สามารถทนไฟได้  เมื่อระยะเวลานั้นมาถึงมันยังอยู่  ความจริงเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตลอดไป อันนี้ชัดเจนเลยนะ ข้อ 14 และ 15 …

1 โครินธ์ 3:14-15 “14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

“ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่” ก็คือคุณภาพของผลงานเขาผ่านการทดสอบ ยังอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน … “ได้รับบำเหน็จ” อีกแล้ว เขาจะได้รับรางวัลในสวรรค์ใช่หรือไม่? ท่านลองคิดดู ถ้าเขาประกาศถูกต้อง พูดง่ายๆ ผลงานยังอยู่ คือประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซู พาคนมารู้จักพระเยซู พึ่งในพระเยซูอย่างเดียวจริงๆ เลย แท้ๆ เลย เขาจะได้รับบำเหน็จ คือเขาจะได้รับรางวัลพิเศษกว่าคนอื่นๆ หรือ? ลองคิดดูนะ

“บำเหน็จ” ตรงนี้ คืออะไร? บำเหน็จตรงนี้ คือผลงานที่จะได้รับ  เมื่อผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วว่าคุณภาพใช้ได้ บำเหน็จตรงนี้ ก็คือผลงานที่จะได้รับจากการพิสูจน์ด้วยไฟเรียบร้อยแล้ว ก็คือผลงานที่จะได้รับจากงานรับใช้ ที่สัตย์ซื่อ ตามความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้บอก ได้สอนในข่าวดีนั้น ซึ่งสามารถทนไฟได้  เป็นความจริง  ก็คือข่าวประเสริฐแห่งความจริง ที่นำพาผู้คนมาเชื่อพระเจ้า  มาเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า เป็นผลงานจากการปลูก และรดน้ำ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้านั่นแหละ ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้อง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตรงนี้แหละ

ผลงานจากการหว่าน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ

ผลงานการรดน้ำ ก็คือการสอน หนุนใจ เลี้ยงดู บรรยาย ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า สำหรับผู้เชื่อ เกิดเป็นผลในชีวิตของผู้ที่เชื่อ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือผลแห่งพระวิญญาณ ผลแห่งความดีงาม ในทางพระเจ้า ผลแห่งความรัก มันเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเริ่มต้นตั้งแต่หว่านเมล็ด รดน้ำอย่างถูกต้อง ไม่ใช่รดน้ำกรด แทนที่เมล็ดจะโต  ยิ่งเหี่ยวแห้งหัวโต เผลอๆ ตายไปด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้องเท่านั้น ถึงจะทำให้ผลมันเกิดขึ้น

วางรากฐาน ก็คือการหว่านเมล็ดข่าวประเสริฐ การรดน้ำ ก็คือการสอน วางรากฐาน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือการวางเสาเข็ม ต่อมาก็คือเหมือนกับการดน้ำ คือการก่อสร้างจากเสาเข็ม ถูกต้อง กลายเป็นตึกของพระเจ้า คือผู้เชื่อได้เกิดนั่นเอง

ดังนั้น รางวัลตรงนี้ บำเหน็จตรงนี้หมายถึงอะไร? ง่ายๆ ก็คือหมายถึงการได้เห็นบรรดาผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า การได้เห็นผู้คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง บนความจริงบนข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พึ่งพาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือรางวัลที่เขาได้รับ ได้รับทันที เดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลยครับ ไม่ใช่รางวัลที่จะไปรับเอาในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ไม่ใช่

คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับรางวัลพิเศษ ตามผลงานที่เราคิดกันนะ ซึ่งคาดว่าจะได้รับบนสวรรค์ไม่เท่ากัน มันไม่ได้หมายถึงชุดเสื้อผ้าอย่างดี หรือเครื่องประดับพิเศษ หรือมงกุฎเพชร หรือบ้านที่ใหญ่ขึ้น ที่จะเตรียมไปรับในสวรรค์วันหนึ่งข้างหน้า มันคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกันเลยนะ เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ อยู่บนโลกใหม่ และศักดิ์ศรีที่พระองค์ทรงสร้างให้ใหม่เอี่ยมทั้งหมดเลย ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ใจ ทุกข์กายอีกต่อไปเลย นั่นแหละ คือรางวัลเดียว เท่ากันหมดที่ทุกคนจะได้รับ พระเจ้าเตรียมรางวัลนี้ให้เรียบร้อยแล้ว

ในข้อ 15 บอกไว้อย่างไร? อันนี้ก็เข้าใจกันผิดเยอะ “ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้น ถูกเผาวอด” ก็คือผลงานที่เขาประกาศไป ไม่ได้วางบนรากฐานอย่างถูกต้องในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่เปาโลบอก ผลงานของเขาถูกเผาวอด ไม่ใช่ตัวเขาถูกเผานะ ผลงานของเขาถูกเผาวอด สิ่งที่เขาก่อขึ้น ก็คือผลงานของเขา แรงกาย แรงใจ แรงอะไรต่างๆ ที่เขาลงไป ไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยไฟ เขาก็จะสูญสิ้น  ภาษาเดิมตรงนี้ หมายความว่าเขาก็จะทุกข์ใจ เพราะขาดทุน

ขาดทุนอะไร?  ขาดทุน เพราะว่าลงแรง ลงกาย ลงใจไปตั้งเยอะ แล้วมันไม่เกิดผล หมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้รับรางวัล คือขาดทุนนั่นเอง แต่ส่วนเขาเอง ตัวเขาจะรอด เพราะว่าใจจริง เขาเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่ออยู่แล้ว แต่อาจจะถูกสอนมาผิด หรืออะไรก็แล้วแต่ เน้นรวมความแล้ว ก็คือถูกล่อลวง ทำให้สอนในถ้อยคำที่ผิดจากหลักการจริงๆ ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผลงานเขาก็สูญหาย เสียไปเปล่าๆ  เขาก็รอด รอดด้วยความสูญหาย ด้วยการขาดทุน  ขาดทุนรางวัลบนโลกใบนี้ ขาดทุนความชื่นชมยินดี ขาดทุนความชื่นใจ ขาดทุนการเห็นผลงานคนนี้ไม่เชื่อ คนนี้ประกาศไปตั้งนานเขาไม่เห็นเชื่อเลย เพราะว่าเราพูดแต่เรื่องสร้างความเชื่อ แล้วได้รับผลตอบแทนบนโลกใบนี้ เช่น ถวาย แล้วจะได้เงินเข้ามาเยอะๆ มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้หายโรค มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ร่ำรวย ปรากฏว่าเขามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เห็นจะร่ำรวยจริงๆ  เขาพยายามทำตามเราแล้ว พยายามสร้างความเชื่อด้วยตนเอง  ก็ไม่เห็นรวยสักทีหนึ่ง  ไม่เอาดีกว่า กลับไปอยู่ศาสนาเดิม ก็ไม่ต่างกันเท่าไร? ใครๆ ก็อยากได้ตรงนี้ ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพดี มีสุขทุกประการ บนโลกใบนี้ใครๆ ก็อยากได้  แล้วเราก็ประกาศตรงนี้ให้เขาฟัง  แล้วให้เขาพึ่งพาตนเอง ก็คือสร้างความเชื่อด้วยตนเอง ถ้าทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้รวย ทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้มีความสุข ทำอย่างนี้เยอะๆ จะได้แข็งแรง จะได้หายโรค

ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ใครๆ ก็อยากได้อย่างนี้ทั้งนั้น ใครๆ เขาก็สอนแบบนี้ทั้งนั้น ให้พึ่งพาตนเอง แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไม่ได้สัญญาอะไรอย่างนั้นเลย แต่สัญญาให้พึ่งพาพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว  จะได้รับความรอดทางวิญญาณ จะได้บังเกิดใหม่  ส่วนการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระเจ้าเป็นผู้นำเอง พระเจ้าให้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้ว จะนำเราเดินวันต่อวัน ทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น อะไรประมาณนี้นะ เราจะเห็นภาพเลยว่าคือความเข้าใจผิด

พระคัมภีร์มีอุปมาอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ย้ำให้เห็นว่าการกระทำใดๆ บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีผล ที่จะทำให้เราได้รับรางวัลบนสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว มันคนละเรื่องกันเลย ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า แด่พระเจ้า เพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้าเท่านั้น รางวัลก็มีอยู่แค่รางวัลเดียวเท่านั้นเอง ที่ตะกี้นี้บอก และเป็นรางวัลที่เหมือนกันหมดทุกคน เท่ากันหมด สำหรับผู้เชื่อ ใครมาเชื่อพระเยซูคริสต์ มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อย่าหวังว่าจะได้รับรางวัลมากกว่าคนอื่นเขา และอย่ากลัวว่าจะได้รับรางวัลน้อยกว่าคนอื่นเขา พระเยซูเป็นผู้ทำทั้งสิ้น ไม่ว่าสายตามนุษย์จะรู้สึกว่าคนนี้ทำเยอะ คนนี้ทำน้อย ไม่มีใครทำเยอะทำน้อย พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในเขา ไม่ว่าจะทำเยอะ พระเยซูทำ ไม่ว่าจะทำน้อย ก็พระเยซูทำ  ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับพระเยซูผู้เดียว ไม่ว่าจะเชื่อมานานแค่ไหน? ไม่ว่าจะเพิ่งเชื่อ  ผู้รับใช้ตำแหน่งอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนำคนมาเชื่อมากเท่าไรก็ตาม เหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเอาเอง ตามสายตาของมนุษย์ ตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่ว่าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือมีเมตตาขนาดไหนก็ตาม ก็รู้สึกไปวัดเทียบกันเองว่าอันนี้มีเมตตามาก อันนี้มีเมตตาน้อย อันนี้มีความดีเยอะ ความดีน้อย เราคิดของเราเอง แต่ในความเป็นจริง คือรางวัลที่จะได้รับจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกให้มารับรางวัลจากพระองค์นั้น คือรางวัลเดียวเหมือนกันหมด พระคัมภีร์ทั้งเล่มจะบอกไว้หมดเลยว่าให้เราอดทน รอคอยวันนั้น วันที่เราจะได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเริ่มต้น เมื่อวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นั่นแหละเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว แต่มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันยังรอรับร่างกายใหม่  และโลกใหม่ที่จะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานด้วย  เพราะฉะนั้น รางวัลที่จะได้รับเหมือนกันหมด ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์ ตลอดไปนั่นเอง

เราจะมาอ่านในข้อพระคัมภีร์นี้ ในมัทธิว  บทที่ 20  อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาแบบขำขันเลยนะ  พระเยซูยกตัวอย่างมาน่ารักมาก และเป็นอุปมาที่จะว่าแทงใจดำ ก็ไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น แต่เป็นแบบเอาเป็นว่าฟังดูแล้วมันมัน คือเหมือนสอนแบบลึกๆ น่ารัก และแถมขำขันนิดหนึ่งด้วย มัทธิว 20:1-16 …

มัทธิว 20:1-16 “1 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน  ซึ่งออกไปแต่เช้า  เพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอัน  แล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น 3 ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา “ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก

6 ราวห้าโมงเย็น เขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ 7 พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’ 8 “พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็น รับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน

11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้ว จึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ 13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นเราใจกว้าง?’ 16 “ดังนั้น คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

 

พระเยซูสติปัญญา สมกับที่พระคัมภีร์บอก พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเราทั้งหลาย  ก่อนสร้างโลก พระองค์ทรงรู้จักเราทั้งหลายแล้ว พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งเราทั้งหลายทุกคน และรู้ในใจว่าเราคิดอย่างไร? แต่ละคนนะ … แต่ละคนทรงรู้ว่าคิดอะไรในใจ เป็นอย่างไร? ชันสูตรลึกซึ้งว่าเราเป็นใคร? อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบเข้าไปในใจของคนคิดอะไรแบบมนุษย์ มนุษย์บาป อยู่ใต้ความบาป คิดอย่างไรบ้าง? พระองค์ทรงทราบหมดทุกอย่างเลย และพระองค์ทรงสอนอย่างละเอียด ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความขำขัน เหมือนกับสอนเด็กๆ คนหนึ่ง น่ารักมาก นี่คือสิ่งที่เราได้อ่านมาสักครู่นี้

ในนี้บอกว่าตกลงค่าจ้างคนละเท่าไร? 1 เหรียญ คนที่มาทำงานตั้งแต่เช้า ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่ทำงานตอนเที่ยง ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่เริ่มงานบ่าย 3 โมงก็ได้ 1 เหรียญ  คนที่มาหลังสุด เริ่มงาน 5 โมงเย็น ทำแค่ชั่วโมงเดียว เลิกงานแล้ว ก็ได้ค่าจ้าง 1 เหรียญเท่ากัน ในสายตามนุษย์ตั้งแต่สมัยโน้น จนถึงเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาปแล้ว แม้เราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณก็ตาม แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ยังอยู่ใต้กฎ อิทธิพลของความบาปและความตายอยู่ และในโลกใบนี้ก็ยังเต็มไปด้วยระบบของความบาปอยู่ คือต่อต้านกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น มันอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ยุติธรรม คือมนุษย์บาป ในระบบบาป คิดแค่นี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้ว คือในสายตาของมนุษย์ มันไม่ยุติธรรมเลย ทำงานชั่วโมงเดียว ได้เท่ากับคนที่ทำงาน 9 ชั่วโมง แต่ในนี้บอกว่าความยุติธรรมมาแล้ว เจ้าของเงินบอกว่า …

“นี่เงินของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา จะให้ใครเท่าไรก็ได้ ไม่ใช่หรือ?”

ตอบไม่ออกเลยนะ เราคิดในใจนะ ตะกี้ที่เราคิดว่าไม่น่า ไม่ยุติธรรม ตอนนี้พระเยซูบอก จะเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ นี่เจ้าของเงินเขาพูดอย่างนี้ แล้วเจ้าของเงินยุติธรรมไหม? ถ้าคุณอยากได้ความยุติธรรม คุณก็ต้องดูเจ้าของเงินเขายุติธรรมไหม? ยุติธรรมสิ คุณบอกไม่ยุติธรรม เพราะคุณเห็นแก่ตัว ถ้าคุณไม่เห็นแก่ตัว ก็จะเห็นเจ้าของเงินเขาก็ยุติธรรม เพราะเป็นเงินของเขา เขาจะให้ใครอย่างไร? ก็เรื่องของเขา สมมติคุณเป็นเจ้าของเงิน คุณก็พูดอย่างนี้  …

“อ้าว! ก็เงินของผม ผมไม่มีสิทธิ์จะให้คนนี้ หรือไม่ให้คนนี้ จะซื้ออันนี้หรือไม่ซื้อ จะต่อราคาหรือไม่ต่อ ก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”

และข้อสำคัญ ก็คือสัญญาไว้ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา สัญญากับคนงานไว้ว่าจะได้ 1 เหรียญ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา ก็ได้ 1 เหรียญ ไม่ได้สัญญาสักหน่อยว่าต้องทำงานเป็นชั่วโมงๆ เข้ามาทำงานวันหนึ่ง ได้เท่านี้ แต่กี่ชั่วโมงไม่รู้ เช่นเดียวกัน มายุคปัจจุบันแล้วนะ บางคนบอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งหลายปี รับใช้พระเจ้ามาตั้งหลายสิบปี ประกาศทุกวัน เลี้ยงดูทุกวัน ทำงานรับใช้มามากมาย นับไม่ถ้วนเลย แถมยังทำความดีเพิ่มอีก มีอดอาหารอธิษฐานให้กับลูกแกะด้วย ยังถวายสิบลด ถวายพิเศษด้วย แล้วเธอคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย อดอาหารก็ไม่ได้อด ถวายสิบลดก็ถวายแค่สองลด หรือไม่ได้ถวายเลย ฉันพยายามทำตามคำสอนทุกคำในพระคัมภีร์เลย ตัวหนังสือแดงที่พระเยซูสอน ฉันพยายามทำตามทุกอย่างเลย  เพื่อไม่ให้ตกหล่นเลยแม้แต่นิดเดียว บอกให้อภัยใคร ฉันก็พยายามให้อภัย บอกให้รักใคร ฉันก็พยายามรัก บอกให้อย่าโกรธ ยกโทษให้คนอื่น ฉันก็พยายามยกโทษ แล้วอย่างนี้จะให้ฉันรับรางวัลเท่ากับคนที่มาเชื่อ แล้วยังเมาเหล้าอยู่เลย มาเชื่อแล้วยังสูบบุหรี่เลย  มาเชื่อ แล้วยังทำอะไรน่าเกลียดๆ อยู่เลย มาเชื่อแล้วยังริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งก๊กอยู่เลย เหมือนชาวโครินธ์อย่างนั้น จะให้ฉันรับเท่าเขาหรือ?”

อปอลโลพูดอย่างนี้ อปอลโลบอก “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ?”

เปาโลบอกว่า “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ? ที่แบ่งพรรค แบ่งพวกอย่างนี้หรือ?  ฉันรับใช้พระเจ้า ฉันถูกเขาเอาหินขว้าง ฉันก็ทำ ฉันควรจะได้เยอะกว่าสิ ถ้าให้เขาได้เท่ากับฉัน อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมนี่

มันควรจะได้เท่ากัน แต่มีรางวัลพิเศษก็ยังดี สมมตินะ มีรางวัลพิเศษมากกว่าเขาสักหน่อยหนึ่ง ก็ยังดี อย่างน้อย เข้าไปในสวรรค์แล้ว นั่งใกล้ๆ พระเยซูมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เข้าไปในสวรรค์ แล้วมีเสื้อคลุมพิเศษให้กับฉัน ฉันทำงานเยอะบนโลกใบนี้กว่าเขา หรือไม่ก็ เมื่อขึ้นไปในสวรรค์แล้ว อย่างน้อย มีคำชมพิเศษ จากพระเยซูว่า … ‘เจ้าทำงานดีมากเลย เจ้ายอดเยี่ยมนะมากกว่าอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไร?’ ขึ้นไปในสวรรค์ปุ๊บ พระเยซูบอกเข้าสวรรค์ไปเลย”

ไม่ได้รับคำชม แถมอายเขาอีก อย่างนั้นหรือ? เรียกว่ายุติธรรม ท่านลองไปคิดดูกันเองแล้วกันนะ เหมือนตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ แม่พายากอบกับยอห์นมาถึงบอกว่าฝากไว้ด้วยนะ มีเส้นๆ นั่นความคิดมนุษย์ มีเส้นว่าเมื่อไรไปถึงสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์ ให้ลูกสองคนนี้ คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งอยู่ขวา เปโตรยังถามพระเยซูเลยว่าใครจะนั่งอยู่ข้างขวา ใครจะนั่งอยู่ข้างซ้าย ใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นรองจากพระองค์ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น

พระเจ้าก็ตอบเหมือนกับเจ้าของสวนองุ่น เหมือนในอุปมานี้ว่า … “ของขวัญ หรือรางวัล มันเป็นของเราไม่ใช่หรือ? เราอยากจะให้ใครเท่าไร เราก็มีสิทธิ์ให้ไม่ใช่หรือ? มันเป็นของเรา  ก็เราให้เปล่าๆ ไม่ใช่หรือ? ให้ด้วยพระคุณ ท่านก็ได้รับพระคุณ เขาก็ได้รับพระคุณ ให้เปล่าๆ  มันเป็นสิทธิ์ของเราที่จะให้ใครก็ได้ เท่าไรก็ได้ แล้วเราก็สัญญาไว้แล้วไง และสัญญาเราเป็นมรดกด้วย มรดก คือทุกคนได้รับเท่ากัน มรดก คือทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับ ไม่เกี่ยวกับการทำทั้งสิ้น ถูกไหม? และรางวัลนี้ ก็คือความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกเรา เป็นเจ้าของทุกสิ่งที่เรามีอยู่ แค่นี้ไม่พออีกหรือ? ยังจะเอาอะไรอีก”

ริษยา พูดเบาๆ โลภหรือเปล่า? ริษยาหรือโลภ คือพระเยซูต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ไม่ให้คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าเป็นความคิดที่สูงกว่า เป็นความรัก  และเราก็เป็นลูกของพระเจ้า บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า  เป็นความรัก ควรจะมีความคิดแบบใหม่แล้ว แล้วท่านคิดดู ถ้าเป็นความรัก ความรักคืออะไร? ความรัก คือการให้ ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ความรักเห็นผู้อื่นดีกว่าตน  เพราะฉะนั้น จากร่างนี้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นความรักครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ควรคิดแบบความรัก สมมติว่ามีการให้รางวัลพิเศษ คนก็บอก …

“ไม่เอาๆ ให้คนนั้นแหละ แบ่งให้เท่าๆ กันเลย ไม่เอาๆ”

เพราะทุกคน ก็อยากจะให้ ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครอยากจะดีกว่าใครที่ไหน?  ขอบคุณพระเจ้าแล้ว เอาไปเถอะ จริงไหม?

ในข้อ 16 พระเยซูได้พูด อย่างที่บอก ตบท้ายด้วยความขำ การสอนอันล้ำลึก ท่าทีแห่งความรัก เอ็นดู และแฝงไว้ซึ่งความขำขันนิดๆ พระองค์บอกว่า …

“ดังนั้น คนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

อันนี้ไม่ได้อยู่ในอุปมานะ  อันนี้พระเยซูสรุปอุปมาให้ฟังแปลว่าอย่างนี้ ฟังอุปมา ทุกคนเริ่มเห็น เริ่มเข้าใจ ความยุติธรรมแปลว่าอะไร? แล้วพระเยซูสรุปสุดท้ายว่าอันนั้นแหละ ความยุติธรรมที่ท่านเข้าใจ มันหมายความว่าอย่างนี้ คือคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย พวกนี้ก็งงกันใหญ่ เข้าใจหมดแล้วในอุปมาว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากับมนุษย์ มันต่างกัน พอฟังสรุปสุดท้าย งง แปลว่าอะไร? คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ก็คือคนสุดท้ายก็ได้รับ 1 เหรียญ คนต้นที่มาทำตั้งแต่เช้า ก็ได้รับ 1 เหรียญ สรุปก็คือทุกคนได้เท่ากันหมด แทนที่พระองค์จะบอกว่าทุกคนได้เท่ากันหมด พระองค์บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย

สรุป ก็คือไม่มีคนต้น และไม่มีคนสุดท้าย ทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อยู่เบื้องขวา แล้วก็แถวที่ 1 เบื้องขวาแถวที่ 2 เบื้องขวาแถวที่ 3 นั่นคือความคิดของมนุษย์ ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเท่ากันหมด ทุกคนเป็นแกะเหมือนกันหมด ไม่ใช่เป็นแกะที่อยู่แถวหน้า หรือเป็นแกะที่อยู่แถวโน้น ทุกคนเท่ากันหมด

เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ในเรื่องความยุติธรรม ตามสายตาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ ซึ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย นี่คือพระคุณของพระเจ้า ที่เราได้รับความรอดนี้ ความรอดนี้ เราอาจจะคิดตามมนุษย์ มันอาจจะไม่เท่ากัน เราก็ยังไปมองดูการกระทำ บนโลกใบนี้อยู่ แทนที่จะมองถึงพระคุณพระเจ้า ที่ให้มาเปล่าๆ และพระเจ้า พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในตัวเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  กระทำการงานอยู่เริ่มต้นเลย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็ทำการผ่านชีวิตของเราออกไป แล้วเรายังจะไปเรียกร้องขอรางวัลอีก เพราะเราไม่ได้ทำเลย พระเยซูเป็นผู้ทำ  ถ้าเราทำดี ทำถูกต้องทุกอย่าง ก็คือพระเยซูทำ แล้วถ้าเราทำบาป ไม่ใช่พระเยซูทำ ทำบาป เพราะเราตกลงไปในการล่อลวง ถูกล่อลวงด้วยอิทธิพลของความบาป อิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งไม่ใช่ตัวเรา เป็นปรสิต มันพยายามหลอกล่อ หลอกลวงให้เราทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่ตัวเราเลย ไม่ใช่พระเยซูเด็ดขาด เขาเรียกว่าเนื้อหนัง เราจะทำโดยพระวิญญาณ คือทำโดยพระเยซูนำ หรือทำตามเนื้อหนัง ก็คือให้ระบบของความบาป ให้อิทธิพลของความบาป ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชักจูงให้เราทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้ว จะเห็นภาพไหมครับ?

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตามนุษย์ ด้วยความคิดแบบมนุษย์ว่าเราจะได้รับไม่เท่ากัน ท่านลองคิดดูง่ายๆ  อยากจะทิ้งท้ายวันนี้ ให้ท่านกลับไปคิดดูให้ดีๆ ถ้าเผื่อใครที่กำลังคิดหรือคิดอยู่แล้ว หรือกำลังทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลพิเศษ  ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลที่ใหญ่กว่า ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับบ้านที่ใหญ่กว่าในสวรรค์ ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับคำชมจากพระเยซูในสวรรค์มากกว่าคนอื่น ใครที่กระทำอยู่ทุกวันนี้ เพื่อจะได้รับการโปรโมทแต่งตั้ง ให้เป็นใหญ่กว่าคนอื่นในสวรรค์ โปรดนำตรงนี้ไปคิดให้ดีๆ ท่านว่าเปโตรกับยอห์น รับใช้พระเจ้าบนโลกใบนี้ ควรจะได้รับรางวัลเท่าไรในโลกวิญญาณเมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ และท่านลองเทียบกันกับโจรบนไม้กางเขน ที่ได้รับเชื่อวินาทีสุดท้าย  ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมเป็นโจรอีกต่างหาก แล้วได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ท่านว่าใครได้รับรางวัลมากกว่ากัน ทุกคนก็บอกเลยนะ …

“แน่นอนโจรสู้ไม่ได้แน่นอน เปโตร ยอห์นรับใช้อัศจรรย์มากมายเยอะแยะหมด”

ท่านก็คิดอย่างนี้ใช่ไหม? ถูกไหม? ต้องคิดอย่างนั้นแน่นอน แต่ว่าลองคิด พระเจ้าเป็นผู้ทำ พระเยซูเป็นผู้เลือกว่าใครจะรับใช้อย่างไร? ตำแหน่งไหน? ใครจะเป็นหู ใครจะเป็นตา ใครจะเป็นจมูก ใครจะเป็นมือ เป็นนิ้ว  ใครจะเป็นนิ้วหัวแม่โป้ง ใครจะเป็นนิ้วก้อย ทั้งหมดเป็นร่างกายของพระคริสต์ใช่ไหม? พระองค์จะใช้ร่างกายนี้เพื่อเป็นประโยชน์ของพระกายของพระองค์ทั้งหมด แสดงว่าพระเยซูเป็นผู้ทำถูกไหม? แต่เราคิด มองดูแล้ว เปโตรทำการงานใหญ่กว่าตั้งเยอะ โจรไม่ได้ทำอะไรเลย

คราวนี้ย้อนกลับ มาคิด ท่านว่าผู้คนที่มาเชื่อพระเจ้า กลับใจใหม่จากคำพยานของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และได้รับความรอด ในอดีต เขาได้ยินได้ฟังคำพยานนั้น แล้วมาเชื่อพระเจ้า ท่านว่าเขาฟังคำพยานจากเปโตรกับยอห์น หรือกับโจรบนไม้กางเขน ฟังจากใครมากกว่า พูดง่ายๆ ใครเป็นพยานดังกว่า คนรู้จักยอห์นกับเปโตร กับคนรู้จักโจรบนไม้กางเขน ใครได้รับความนิยมมากกว่ากัน ใครได้ถูกเอ่ยนามมากกว่ากัน เมื่อพูดถึงการกลับใจใหม่มาสู่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงการกลับใจมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้รับความรอด  พูดถึงใครมากกว่ากัน ใครที่ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และพูดถึงโจรบนไม้กางเขน  ประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้ไม่เชื่อนะ  พูดถึงโจรบนไม้กางเขน มากกว่าพูดถึงเปโตรกับยอห์น ท่านคิดว่าเขาพูดถึงใครมากกว่า แน่นอนทุกคนอ้างถึงโจรบนไม้กางเขน แม้นาทีสุดท้ายเมื่อเขารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกท่านได้รับความรอดแล้ว อ้างตรงนี้เลย แล้วตรงนี้ทำให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ 2,000 ปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผู้เชื่อเยอะแยะมากมายเลย มีโอกาสบังเกิดใหม่ แล้วรับเชื่อ ก็เพราะเหตุนี้ พยานยืนยันว่าเราไม่ต้องทำอะไรจริงๆ แค่เชื่อและวางใจในพระองค์ แม้วินาทีสุดท้ายก่อนร่างกายจะหมดลมหายใจไป ก็ยังทันอยู่ ใช่ไหม? ท่านลองไปคิดดูว่าท่านคิดแบบมนุษย์ หรือคิดแบบพระเจ้า  ให้เราร่วมกันอธิษฐาน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ทาร์ซานเป็นคน   แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนลิง  คริสเตียนเกิดใหม่แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม  แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนคนบาปชั่ว  ท่านจะพึ่งความประพฤติของตนเอง  หรือพึ่งพระเยซู?

“ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนชั่ว เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม”  โรม 4:5

 

“เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”  2 โครินธ์ 5:17

 

เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว ตัวตนจริงๆของเราคือวิญญาณและจิตใจเป็นใหม่ทั้งสิ้น  และร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ถูกแยกส่วนเป็นของใช้ส่วนตัวของพระเจ้าเพราะฉะนั้น ให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายใหม่นี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้กับพระเจ้า ผู้สถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรา

 

อย่าเผลอยอมให้ศัตรู คือบาปมีอิทธิพล ผ่านทางโปรแกรมความคิด และการกระทำที่เคยชินเก่าๆ มาครอบงำ กระตุ้นให้เรายอมมอบอวัยวะในร่างกายนี้ กระทำตามมัน เหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นทาสมันอยู่

 

ดังนั้น พระเยซูจึงขอร้องให้เรา ให้ความร่วมมือในการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่อยู่เสมอ จะได้ใช้งานได้อย่างดี ทุกฟังก์ชั่นมีคุณสมบัติดีสมราคา ที่พระเจ้าทรงซื้อเรามาด้วยราคาแพงมาก พระเจ้าจะได้ทรงใช้เราให้สมกับเป็น มนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา   ขอความร่วมมืออัพเดตซอฟแวร์ใหม่ด้วยครับ?

 

พระเจ้าอวยพรครับ