คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อถึงความรักของพระเจ้าที่เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่เราจำเป็นต้องนำมาใช้สอยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วันนี้เราจะมาต่อกันที่หัวข้อเรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

สัปดาห์ที่แล้ววันวาเลนไทน์ เราเริ่มต้นกันตอน 1 ชื่อตอนว่า “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา” สัปดาห์นี้มาต่อ ตอนที่ 2 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” ในใจหรือในวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่  โดยพระเจ้านั่นเอง ครั้งที่แล้วเราสรุปกันตรงสุดท้ายที่โรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  พวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ  สิ่งที่อยู่เหนือเรา 39 หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจาก ความรักของพระเจ้า ที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

“ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์ของเรา” … “ที่เราเห็น” เป็นกุญแจสำคัญ

นี่อาจารย์เปาโลเขียน ผู้ซึ่งได้เรียนรู้จักความรักของพระเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีตั้งแต่สมัยโน้น ในพระคัมภีร์ใหม่เยอะแยะมากมาย และตัวผมเองและท่านทั้งหลายที่ได้เรียนรู้จักเรื่องความรักของพระเจ้า  จากสัปดาห์ที่แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้า  มีความมั่นใจหรือยังว่า …

“ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรานี้ได้เลย”

ไม่มีทางเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะไม่มีสิ่งใดมาแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะแยกเราออกไปจากอ้อมกอดของพระเจ้าอีกเลย นี่พระเจ้าสัญญาไว้ ถึงขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความตาย  ความยากจน ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หรือการถูกหลอกลวง การทำบาปต่างๆ  ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่หนักแน่นมั่นคงในความรัก ที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงนิรันดร์กาลเลย มันจะเป็นอย่างนี้ว่าไม่มีใครเอาเราออกไป จากพระเจ้าได้อีกแล้ว เราต้องกล้าพูดตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ตอนที่เราเริ่มต้นอ่านบอกว่า … “เพราะผมมั่นใจ”

น่าเปลี่ยนเป็น … “เพราะฉันมั่นใจ” …  “เพราะฉันเห็นแล้ว ความรักของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”

เห็นหรือยัง?  ถ้าเห็นแล้ว ก็สามารถพูดตรงนี้ได้ว่า …

“เพราะฉันมั่นใจแล้วว่าฉันมั่นใจในอะไร? ไม่มีใครเอาฉันออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว ฉันอยู่ในพระเจ้า ฉันรอดแล้ว รอดเลย”  มันหมายถึงอย่างนั้น

แต่ในความเป็นจริง ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ มักกลัวว่าทำไม่ดีพอ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปสวรรค์ …

“ฉันยังทำบาปอยู่เลย ฉันจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

มันจะแว๊บเข้ามาในความคิดอยู่เรื่อยๆ …

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเราทำแบบนี้

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเผื่อเราทำบาปอย่างนี้

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ในโรม 8:1 ชัดเจนเลยว่า …

“ไม่มีการลงโทษแล้วลูกเอ่ย ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว”

แต่เราก็มักทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ เดี๋ยวพระเจ้าไม่ให้พร  นี่แหละ คือความสงสัย ความไม่เชื่อ ความไม่สงบสุขในการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้  ซึ่งทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์มีความสุข  ซึ่งพระองค์ก็บอกว่า …

“เราจะไม่ละทิ้งเจ้า  เราจะอยู่กับเจ้า จะรักเจ้านิรันดร์กาล ตลอดไปนั่นเอง”

พระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ขณะนี้ ด้วยความรักของพระองค์ จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้ากำลังโอบกอดเรา ปลอบโยนเราว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเชื่อมากหรือเชื่อน้อยก็ตาม เรายังคงรักเจ้า เป็นความรักนิรันดร์เหมือนเดิม พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงเท่าไร? พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์รักเราเหมือนเดิม ในอดีตเป็นอย่างไร พระองค์ก็รักเราเหมือนเดิม วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน ตามถ้อยคำพระเจ้า

“รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ใดๆ ทั้งสิ้น”

ไม่มีเลย นี่คือความจริงที่เราต้องใส่เข้ามา นี่คือความรักของพระเจ้าที่พูดกับเรา บอกเรา  เป็นการสำแดงออก ที่เราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จากการถูกตรึง สิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย  ซึ่งเราทั้งหลายก็เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย

นี่แหละ เราต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตคริสเตียนของเรา  ที่กำลังดำเนินบนโลกใบนี้ ถ้าเราอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าแฮปปี้ เราต้องเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ด้วยการเชื่อเอา ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้ารักเรามาก”

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้าเกลียดฉันมาก”

“วันนี้ รู้สึกฉันไม่ดีเลย  ในสายตาพระเจ้าคงไม่พอใจฉัน”

พระเจ้าบอก … “ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็รักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ไม่เปลี่ยนเด็ดขาด  เพราะเราเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า”

พระเจ้าตรัสกับเราอย่างนี้  กำลังโอบกอดเราอยู่ อยู่กับเรา อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ในขณะนี้  จงมองให้เห็นเถิด

และไม่ใช่เฉพาะกับผู้เชื่อ ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้วนั้น  ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  ที่พระเจ้ารักมากแบบนี้  แต่รวมทั้งมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ที่ยังไม่ใช้สิทธิของเขา  ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดีของพระองค์ พระองค์ก็รักเขาอย่างนี้แหละ รู้ได้อย่างไร? ก็ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้ …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้ารัก ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก  จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้น  จะไม่สูญสิ้น (ในนรก) แต่จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าตลอดไป”

 

นี่ชัดเจน แจ่มใสเลยนะ  รักมนุษย์ ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มากเลย ก็คือมนุษย์ทุกคน  เพื่อว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตร คือวางใจในพระเยซู จะได้ไม่ต้องอยู่ในนรกต่อไป  แต่จะได้รับชีวิตของพระเจ้า … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่เป็น DNA  ทางฝ่ายวิญญาณ มาจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง ไม่ตกนรก  เพราะโทษของความบาป แค่นั้นไม่พอ  ยังรับเราเป็นลูกอีก

โรม 5:8 ที่สัปดาห์ที่แล้วเราได้อ่านกัน  และเป็นหัวข้อสำคัญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8  “แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา  โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่   เรายังเป็นคนบาปอยู่

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “เรา” คือมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว “แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังเป็นคนบาปอยู่” เป็นคนบาป ไม่ได้ทำบาป  ทำบาปนั้นทำแน่ๆ  แต่บางคนบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  แค่ทำบาปเฉยๆ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนบาป “เป็น” กับ “ทำ” มันต่างกันเยอะนะ

พระเจ้าบอกว่ารักมนุษย์ทุกคนมาก  แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังทำชั่ว ทำบาป “เป็นคนบาป” ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ใช่ไม่เชื่ออย่างเดียว  เกลียดด้วย เพราะว่าเป็นศัตรู พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ไม่เชื่อฟัง ดื้อ ลบหลู่พระเจ้า เหยียดหยามพระเจ้า และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ท่านลองคิดดูสิ ในใจของมนุษย์  ล้อเลียนพระเจ้า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามที่เรียกว่าเป็นบาป ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ถือสา  ยังรักเขามากเหมือนเดิม และมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่มนุษย์ผู้ที่เชื่อแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกแล้ว เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว รักพระองค์แล้ว  มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าจะปกปักษ์ คุ้มครอง ดูแล ปลอบโยน โอบกอด หวงแหน  ห่วงใยเขา มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เพราะตอนนี้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์แล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว

ท่านลองคิดดูแล้วกัน  ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้ จึงเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน

ทำไมถึงบอกว่าเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สำหรับคริสเตียน ก็เพราะว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เป็นลูก เขายังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถอยู่แล้วที่จะรับ ซึมซับ และเห็นความรักของพระเจ้า เป็นพลังงานตรงนี้เข้ามาในชีวิตของเขา แต่คนที่ดำเนินชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าได้กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เรียบร้อยไปแล้ว เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อยู่ในวิญญาณของเขาแล้ว เขาจึงมีโอกาสได้ใช้ความรักอันนี้ ให้เป็นประโยชน์ เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้

เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น ให้ซึมซับและรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ในการขับเคลื่อนชีวิตของเรานั้น  เป็นพลัง เป็นแรงบันดาลใจในวิญญาณ ไม่ใช่ในใจนะ  หรือเรียกว่าในใจใหม่ที่พระเจ้าให้เราเกิดใหม่แล้ว เพื่อว่าจะดลบันดาล ผลักดันให้ใจของเรา หรือวิญญาณของเราทำดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำตามแผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามความคิดของตนเอง มันสำคัญอย่างนี้

และเมื่อได้รับรู้อย่างนี้แล้ว ซึมซับ เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แล้ว ถามว่าจะเป็นอันตรายไหม? หรือจะทำให้ทำบาปมากขึ้นหรือ?  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดอย่างนี้  เหมือนกับคิดอย่างนี้มาแล้ว 2,000 ปี ที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม เขาก็คิดอย่างนี้ เวลาอาจารย์เปาโลแสดงความรักของพระเจ้า ให้เขาเห็นว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  เขาก็คิดอย่างนี้ว่าจะทำให้คนเอาความรักนี้ ไปทำบาปมากขึ้นอย่างนั้นหรือ? เราจะเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่อจะให้เห็นชัดว่าเปาโลพูดว่าอย่างไร?  พระเจ้าต้องการอะไร?  และเป็นจริงตามที่เขาคิดไหมว่าเห็นความรักของพระเจ้าอย่างนี้  ซึมซับความรักของพระเจ้าอย่างนี้  รับเอาความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นอย่างนี้ เข้ามาแล้ว รู้แล้ว อย่างนี้  จะทำให้ทำบาปมากขึ้นจริงๆ หรือ? อะไรจะมาเป็นตัวพิสูจน์ตรงนี้ได้ ก็คือความจริงเท่านั้น เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากการถูกหลอกลวง

เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริงให้ได้ มาศึกษาด้วย มาดูด้วยกันว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าได้สำแดงความรักของพระองค์อย่างไร? ในถ้อยคำของพระองค์บอกไว้อย่างไร? เราจะได้เป็นอิสระ เป็นไทจากการถูกหลอก

มันมีความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอีกหลายอย่าง ที่อาจจะไม่จำเป็นมากนัก แต่พื้นฐานที่จำเป็นมาก สำหรับการดำรงชีวิตคริสเตียน ผู้เชื่อ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พื้นฐานความจริงนี้ ก็คือ …

“เรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า”

เรากำเนิด เกิดมาเป็น ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำของเราเอง

เปาโลก็พยายามอธิษฐาน หัวข้อสำคัญเลย ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …

“พระเจ้าเปิดตาภายในวิญญาณของเขา ประทานสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ของพระองค์ให้กับเขา เพื่อเขาจะได้เห็น ซึมซับ และรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อันมหาศาลมาก ที่พระองค์ทรงกระทำ ที่พระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงมอบพระบุตรของพระองค์ให้กับเขาทั้งหลายแล้ว”

“เขาทั้งหลาย” คือมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังอธิษฐานให้กับผู้ที่เชื่อแล้ว  ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้

เราจะมาดูสิว่าเปาโลพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นิดหนึ่ง เพื่อเราจะได้เห็น  อย่างที่เปาโลได้เห็นแล้ว โดยพระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เขาจึงทิ้งทุกอย่าง แล้วมองไปที่อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์ ด้วยความทุกข์ทรมาน  ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือสุดยอดความรักของพระเจ้า  ที่ได้สำแดงแล้ว ให้เห็นแล้ว ชัดเจนทั่วโลกแล้ว มหาจักรวาลนี้ ได้เห็นหมดเลยสิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน?  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และกระทำสำเร็จแล้วด้วย คือการตายที่ไม้กางเขนของพระบุตรของพระองค์ คือการอภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของมนุษยชาติตลอดไปเลย อภัยทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม ไม่ใช่อภัยอย่างเดียว  แต่ยังรับเขามาเป็นลูกของพระองค์ โดยการให้กำเนิดกับเขา ให้เขาเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ไปเลย

นี่คือความรักที่ได้สำแดงแล้ว ถ้าใครเห็น เขาจะเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ เปาโลจึงพยายามที่จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง เราลองมาติดตามดูว่าเปาโลอธิษฐาน อยากให้เราเห็นอะไร? เมื่อตะกี้นี้ อธิษฐานอยู่ในเอเฟซัส 1:16 เป็นต้นมา จนมาถึงเอเฟซัส บทที่ 2 เริ่มต้นที่ข้อ 1-3 ก่อน …

เอเฟซัส 2:1-3  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิด  และในบาป (ในอาดัม)  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า  จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่าน เคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้  และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ  ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา  สนองความอยากกับความคิดของมัน  ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ  สาปแช่ง  เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

อาจารย์เปาโลอธิษฐาน … “โอ พระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้กับเขา  ให้สติปัญญากับเขา ที่เขาจะเข้าใจเรื่องโลกวิญญาณอย่างนี้ด้วยเถิด  คือว่า ให้เขาเห็นว่าก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นอย่างไรอยู่ ในวิญญาณเขาเป็นอย่างไร? และหลังจากที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นอย่างไรนั่นเอง”

ในอดีตก่อนเชื่อนั้น ท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดในบาป “ในบาป” ก็คือในอาดัม ท่านตายจากพระเจ้า คือท่านไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และตัวท่านเองในโลกวิญญาณ อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าในอาดัม เหมือนเราอยู่ในประเทศไทย ในประเทศอเมริกา  ประเทศอังกฤษ ตอนนี้ในโลกวิญญาณท่านอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลาย  ที่ไม่เชื่อพระเจ้าอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เห็นไหมครับ ไม่มีความบริสุทธิ์เหลืออยู่เลย ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิสัยของบาปนี้ แล้วมันครอบงำชีวิตท่านอยู่ด้วยบาปนี้  ครอบงำโดยมาร  และบัดนี้ มารตัวนี้ ก็ยังทำการงานครอบงำอยู่ในคนไม่เชื่อนั่นเอง

ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับคนเหล่านั้น ก็คือครั้งหนึ่ง ตอนก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ  เพราะฉะนั้น ตามธรรมชาติของความบาป ของวิญญาณที่ตายอยู่นั้น ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั้น เรียกว่าวิญญาณนั้นอยู่ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณนั้นเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ในวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนเลย

ในขณะนั้น ในวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น เราจึงสมควรแก่การถูกลงโทษ ก็คือถูกตัดสินพิพากษาลงโทษไปแล้ว ให้อยู่ในนรก  ก็คือถูกสาปแช่งตลอดเวลา  เพราะตอนนั้นเรายังไม่เกิดใหม่  เรายังไม่เปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอดของเรา  เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ให้เป็นคนดีได้  เพราะว่าเราเกิดมาบาป  ไม่ใช่เราทำบาป ถ้าเราทำบาป เรายังแก้ให้ทำดีได้ แต่เราเกิดมาบาป  แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

เปาโลบอกว่า … “ข้าพเจ้าอธิษฐานให้กับท่านอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาเลย ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้ท่านเห็นเถิด”

เอเฟซัส 2:4  “แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม”

 

ก่อนที่ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ช่วยท่าน  ให้พ้นจากการเป็นคนบาป ให้พ้นจากการอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรอาดัม ในบาป ในอาดัม ในความมืด ในนรก เพราะมันเกิดมาเป็น มันจึงเป็น 100% ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นอาดัม เกิดเป็นคนบาป แล้วกระทำดีเยอะๆ เพราะฉะนั้น บาปลดเหลืออยู่ 50% ไม่ใช่ เพราะมันเกิดมาเป็น

ที่ผมบอกพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราเกิดมาเป็น เราจะทำดีให้ตาย อย่างไร มันก็ไม่สามารถลบความเป็นเราไปได้ เหมือนฝรั่งมาอยู่เมืองไทย  จะพยายามฝึกกินปลาร้า ฝึกกินน้ำพริกปลาทูมากเท่าไร? ฝึกกินแกงมากเท่าไร? ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาเป็นคนไทยได้  หรือคนไทยพยายามฝึกกินขนมปัง  กินเนย กินเบค่อน กินทุกวัน เพื่อจะให้เป็นฝรั่ง มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดมาเป็น เพราะเนื่องด้วยความรักใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา “เรา” คือมนุษย์ทุกคน พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาและพระคุณอันอุดม

พูดง่ายๆ “จงมองให้เห็นเถิด จงซึมซับและรับเอาเถิด”

รับเอา ความรักอันใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และพระคุณอันอุดม รักเรามากมายมหาศาล  อย่างไม่มีเงื่อนไขเลย รักเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะคนที่เชื่อ เปิดใจแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว  จงซึมซับ รับเอาพลังงาน แห่งความรักนี้ จงมองให้เห็นเถิด …

เอเฟซัส 2:5  “จึงได้ทรงกระทำให้ วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์  แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

พูดง่ายๆ ก็คือมีการย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้น  มีการย้ายที่อยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเกิดขึ้น  ด้วยความรักนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรานั้น กลับมามีชีวิต เมื่อตะกี้ตายอยู่ในอาดัม กลับมามีชีวิต อยู่ในพระคริสต์ แม้ขณะที่วิญญาณเราได้ตายไปแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดนี้  รอดจากในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ที่เรียกว่านรกนี้ ซึ่งเรียกว่าการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ในนรกนี้ รอดโดยพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อท่าน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จึงเรียกว่าพระคุณไง  คือไม่มีเงื่อนไข ให้ฟรีๆ  ให้เปล่าๆ ให้เป็นของขวัญ  ช่วยท่านด้วยความรักของพระองค์ ช่วยท่านย้ายถิ่นฐาน ออกจากในอาดัม มาเกิดใหม่  มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์  ย้ายมาเลย ไม่ใช่ย้ายมาครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้ว

ในโลกวิญญาณ ก็เหมือนกับโลกวัตถุ บนโลกวัตถุนี้ เราอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ถูกไหมครับ? เราอยู่ในประเทศจีน  หรือเราอยู่ในประเทศไทย  เราอยู่ในกรุงเทพ หรือเราอยู่ที่เชียงใหม่  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่ ในโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน มี 2 แห่งเท่านั้นเอง  ท่านจะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ซึ่งท่านทำเองไม่ได้ด้วย  ต้องเกิดมาเป็น เกิดมาอยู่ในอาดัม หรือจะเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำให้ท่านได้ และทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ซึ่งสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ดูในข้อ 6 ต่อ …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา  เป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

โอ้โห! เห็นหรือยัง ทำไมเปาโลจึงอธิษฐานวิงวอน ด้วยน้ำตาไหลเลยว่า … ขอให้ตาวิญญาณทุกคนเปิดออก ได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ … เพราะว่าถ้าเขาเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เขาจะได้ซึมซับ รับเอาพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับเขา ที่ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นพลังงาน ขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต  และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์

พระองค์ให้วิญญาณของเรา ที่ตายอยู่ในอาดัม อยู่ในนรกกับอาดัม เป็นขึ้นมาพร้อมพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณนั้น พระคัมภีร์พูดไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์นำวิญญาณของเรา  เข้าไปในการชำระให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ โดยการนำวิญญาณของเรา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ที่อยู่ในอาดัมนั้น เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แล้วก็ไปตายชดใช้บาป  ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเราได้ตายต่อตัวเก่า ซึ่งอยู่ในอาดัมนั้น ได้ถูกฆ่าให้ตายเรียบร้อย ได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น

“และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา”

“ได้” แปลว่าทำแล้ว และในการเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้แต่งตั้งวิญญาณของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ด้วย  พระคริสต์นั่งในสวรรค์สถาน เราก็นั่งพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน  ก็แปลว่าขณะนี้ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเรา ได้กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ในพระเยซูคริสต์แล้ว ออกจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย

ในอดีต ในอาดัมได้ถูกลงโทษ ตายจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราก็อยู่ในอาดัม ตายต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ในนรก แต่เดี่ยวนี้เราอยู่ในพระคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์ครับ

พูดพร้อมกันตอนนี้เลยว่า … “เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้”

เปิดใจรับเชื่อพระเยซู เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าประทานสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้เราทั้งหลายได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้เถิด  นี่แหละคือพื้นฐานสำคัญที่จะได้เห็น เพื่อจะได้ซึมซับและรับเอาพลังอำนาจความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาเป็นแรงผลักดันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ข้อที่ 7 …

เอเฟซัส 2:7  “เพื่อในยุคต่อๆ ไป  พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ  อันหาใดเปรียบ  ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์

 

พูดง่ายๆ ว่าได้แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จะสำแดงอย่างนี้ตลอดไปทุกยุค ทุกสมัย ชั่วนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น จงมองให้เห็นเถิด  ข้อ 8 …

เอเฟซัส 2:8  “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ”

 

ท่านเห็นความรัก ซึมซับและรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเราไหม? เปาโลพูดแล้วพูดอีก  ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้า”

เพราะความรัก ความเมตตา พระคุณของพระเจ้าที่ให้เราฟรีๆ โปรดปรานเรามากเลย ของพ่อเราที่อยู่ในสวรรค์  ที่ได้นำเรา ย้ายออกมาจากในอาดัม ในนรก มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ได้ เพราะความรัก ความเมตตา ผมจะย้ำตามเปาโลนะ เพราะพระคุณความรัก เมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด  พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป เราทั้งหลาย จึงสามารถหลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เพราะเราอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป เป็นคนบาปอยู่นั้น  รอดออกมาได้ และได้รับชีวิตนิรันดร์  ก็คือได้รับการเป็นลูกของพระเจ้า  มีวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ตลอดรอดฝั่ง ตลอดไป ตลอดกาล ไม่ใช่  ชีวิตนิรันดร์ คือคุณภาพชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแบบพระเจ้า ที่พระเจ้าได้แบ่งส่วนของพระองค์ วิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา  เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์  เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าแบ่งส่วนมาให้กับเรา

ได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยการบังเกิดใหม่  ผ่านทางความเชื่อ เริ่มต้นด้วยเชื่อในความรักของพระเจ้า  ที่สำแดงออกของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พอเราเริ่มเชื่อปุ๊บ เราก็เปิดใจ  หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อของเรา นิดเดียวลงไปในความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ อันไม่มีเงื่อนไขนี้  ก็เกิดพลังมหาศาล เกิดอัศจรรย์ขึ้น ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ นี่แหละ เราจำเป็นต้องใช้พลังนี้ ในการดำเนินชีวิตต่อไป ด้วยความเชื่อ บนโลกใบนี้นั่นเอง

เห็นความรัก ซึมซับ และรับเอาไหม? ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่านเห็นอะไรไหม? จากข้อความเมื่อสักครู่นี้  ก็คือพระเจ้าทรงอภัยในบาปทั้งสิ้นของเรา ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต อภัยให้หมดเรียบร้อย จนเราสะอาดหมดจด พ้นจากบาป  แค่นั้นไม่พอ ยังรับเราเป็นลูกของพระองค์ และเข้ามาสถิตอยู่กับเรา โอบกอดเรา ณ วินาทีนั้น และไปถึงนิรันดร์เลย  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา  ไปไหน ไปด้วยตลอดเวลา  และเราจะกลัวอะไรอีกล่ะ

ตรงนี้จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล  แบ็คอัพชีวิตของใครก็ตาม ที่ได้เห็น ซึมซับ รับเอาตรงนี้เข้าไป ข้อที่ 9 …

เอเฟซัส 2:9  “ความรอดนี้  ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า  เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดี  ในความรอดของตนได้”

 

“ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณความรักของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้ท่านเปล่าๆ ฟรีๆ”

ความรักอีกแล้ว  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ไม่ใช่เลย

พยายามรักษา ทำความดี  ตามที่บทบัญญัติบันทึกไว้ดีไหม? ดี แต่ในนี้บอกว่ามันไม่ดีพอ สำหรับการที่เราจะได้รับความรอด  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีใครมาโอ้อวด และแอบอ้าง ความดี ในความรอดของตนเอง ไม่สามารถมาเย่อหยิ่ง บอกว่า …

“ฉันทำดีกว่าคนอื่นเขา ฉันถึงได้อย่างนี้ เพราะฉันอธิษฐานมาก ฉันถึงได้อย่างนี้  เพราะฉันรับใช้เยอะ ฉันถึงได้อย่างนี้”

มันรวมอยู่ตรงนี้ด้วยนะ … “เพราะฉันเป็นศิษยาภิบาล ฉันถึงได้มากกว่า”

ไม่มีใครสามารถแอบอ้างและอวดการกระทำของตนเองได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกคนนั้น ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น โดยเป็น อยู่ คือ ก็คือได้ทั้งเป็น  ได้ทั้งอยู่ที่ไหน?  ย้ายออกมา และเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้มาโดยพระคุณของพระเจ้าที่ได้ให้เราได้กำเนิด เกิดมาเป็น ต้องจำไว้เลย กำเนิด เกิดมาเป็น  อย่าเย่อหยิ่ง อย่าจองหอง

ถึงท่านเย่อหยิ่งจองหอง พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลยนะ เพียงแต่พระองค์เสียใจ เพราะท่านจะไม่ได้รับพระพร ไม่ได้รับพลังงานบริสุทธิ์ จากพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่มีกำลังแรงพอ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้มาจากการกำเนิด เกิดมา แล้วเราเป็นอย่างนี้ พอเรารู้ว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็น เราก็จะถ่อมใจและรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้รับมาจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะเกิดมาเป็นแล้ว  เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วครับ ข้อที่ 10 …

เอเฟซัส 2:10  “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก  ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์  ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่  พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

ขอพระเจ้าเมตตา ให้ตาวิญญาณเราเปิดออกเถิด คริสเตียนทุกๆ คน

“เพราะเราเป็นผลงานศิลปะชั้นเอก ที่ประณีตและยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์”

พระเจ้าบอกว่าชีวิตที่พระองค์ทรงให้เรากำเนิด เกิดมาใหม่ ในพระคริสต์แล้ว โดยความเชื่อ  ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ สวยงามยอดเยี่ยมเลย เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว นั่นแหละที่พระเจ้ามองมา เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ของพระเจ้า ไม่ใช่ของตัวท่านเอง  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่าน  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของศิษยาภิบาลที่อธิษฐานให้ท่าน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรทั้งสิ้นของมนุษย์ แต่เป็นผลงานของความรักอันยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นใหม่ทั้งสิ้น

แต่อนิจจา หลายครั้งเราไม่รู้ความจริงนี้ ตาวิญญาณเราเปิดออก ไม่ชัดเจน  เราถูกหลอกด้วยความคิดของเราเอง  คิดว่าเราไม่ดีพอ  เราอธิษฐานน้อยเกินไป เราอ่านพระคัมภีร์น้อยเกินไป  คนอื่นเขายังอ่านพระคัมภีร์เยอะกว่านี้เลย โบสถ์เราก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง เราแย่เหลือเกิน

หรือหลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  ท่านเข้าใจคำว่ารับใช้พระเจ้าผิดไปแล้ว

ยิ่งคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ยิ่งเห็นชัด เราเป็นคนบาป เราต้องชดใช้เวรกรรมของเราต่อไป  ทั้งๆ ที่ความจริง คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้เห็นชัด แม้มาเป็นคริสเตียน ก็ยังสามารถถูกหลอกอย่างนี้ได้ แต่เบาบางลงเท่านั้นเอง

หลายครั้ง เรารู้สึกฟ้องผิดกับตัวเองว่าเราไม่พร้อม เราดีไม่พอ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย แค่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พวกเราก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  พระเจ้าบอกดี  เราก็เถียงพระเจ้าบอกว่าไม่ดี  นอกจากเถียงพระเจ้าว่าตัวเองไม่ดี ไม่พอ ยังไปชี้หน้าคนอื่นอีกว่าคนนี้ไม่ดี  ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำอย่างโน้นอย่างนี้  แต่พระเจ้ามองไปบอกว่าดีแล้ว ไม่ใช่ดี คือการกระทำอย่างนั้นดี แต่หมายถึงทั้งหมดนั้น เดี๋ยวพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเขาเอง นำพาชีวิตเขาเอง เป็นเรื่องของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านที่จะไปชี้ว่าเขาต้องทำเหมือนเรา  บางครั้งเราทำอย่างนี้ พระเจ้านำเราจากข้างใน เราจะไปบอกคนอื่นให้ทำเหมือนเรา เหมือนทุกคนไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขา เพราะว่าเขาก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า เหมือนกับเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้น ให้มันออกมาจากใจไม่ดีกว่าหรือ? มันหมายถึงอย่างนั้น

เราเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้

ถามว่า … “พร้อมหรือยัง?  ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พร้อมให้พระเจ้าใช้หรือยัง?”

ต้องตอบว่า … “พร้อมแล้ว”

ในวิญญาณมันพร้อมแล้ว  แต่ทำไมบางครั้งเรายังดื้อ  เพราะว่ามันยังมีระบบของเนื้อหนังอยู่ ซึ่งเราจะเรียนรู้กันต่อๆ ไป

แต่ในวิญญาณ ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

พร้อมที่จะกระทำความดี ก็คือพร้อมที่จะผลักดันให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใช้อวัยวะในร่างกายนี้ กระทำดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า คือเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นไปตามการงานที่เราคิดว่าดี ที่เรารู้สึกว่าดี ที่มนุษย์ข้างเคียงบอกว่าอย่างนี้แหละดี

บางครั้ง สิ่งที่มนุษย์มองเห็นว่าดี พระเจ้าอาจจะบอกว่าสิ่งนี้มันดีจริง  แต่สำหรับเจ้า เราเตรียมไว้อย่างนี้ดีกว่า เห็นไหมว่าเพราะอะไร? ถ้าให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ ดีอย่างสมบูรณ์ ต้องดีตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระเจ้า

ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอาจถูกผลักดันด้วยอิทธิพล ผู้คนรอบข้าง จากเพื่อน จากที่ประชุม ให้เราถวายตัวเลย ทิ้งงาน ทิ้งการมารับใช้พระเจ้าที่โบสถ์ดีกว่า ใครๆ เขาก็ทำอย่างนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าพระเจ้าทรงเตรียมให้ท่านเป็นอย่างนั้น หรือท่านทำด้วยตัวเอง ตามคำคนอื่นเขา จากการสัมมนา ถูกผลักดันด้วยอารมณ์ต่างๆ ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ใช่หรือ? มันดูดีหมดล่ะ แต่มันดีแบบไหน?

ทำความดีงาม จากพลังอำนาจของความรัก ชนิดที่เหมือนพระเจ้า  ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่อยู่ในตัวเรา ที่พระเจ้าใส่ความปรารถนาเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณที่เกิดใหม่นั่นน่ะ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้พลังอำนาจตรงนี้ ในวิญญาณ ในใจของเรา เป็นแรงผลักดันในวิญญาณ  ให้เราทำดีตามใจที่เกิดใหม่ ที่มีความคิดของพระคริสต์ เหมือนพระคริสต์อยู่ข้างใน  ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ตอนเราบังเกิดใหม่  ในพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ทำตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ความคิดของเรา หรือแรงผลักดันจากผู้คนรอบข้าง แรงจูงใจจากผู้คนรอบข้าง แรงโปรโมทจากผู้คนรอบข้าง ให้มันออกมาจากใจ และมันจะมาได้อย่างไร? จะรู้ได้อย่างไร?  ก็ขอให้ตาฝ่ายวิญญาณเราเปิดออก ให้เห็น ซึมซับและรับเอา ถ้าเราไม่เห็นซึมซับและรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา เราก็มองไม่เห็นว่าพลังอำนาจนี้ ผลักดันเราได้แค่ไหน?

เคล็ดลับจึงอยู่ที่เห็น ซึมซับและรับเอา เปาโลจึงอธิษฐานตรงนี้มาก แรงผลักดัน เป็นแรงสร้างการบันดาลใจให้กับเรา จากภายใน ในการกระทำดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า บางครั้ง ดูตามมนุษย์มองทั่วๆ ไป มันเหมือนดีนะ แต่ดีจริงหรือเปล่าไม่รู้ 2 โครินธ์ 5:14-15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

2 โครินธ์ 5:14-15 “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้น  คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้เป็นอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์  ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

เห็นไหมครับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า และแด่พระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย พระองค์ทรงกระทำการงาน โดยพระองค์เองทั้งสิ้น ขอให้เราเพียงแต่เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักตรงนี้เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง เดี๋ยวความรักนี้จะผลักดันท่าน ให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง เพราะว่าความรักของรพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่

ทรงครอบครองตรงนี้ สามารถแปลได้ว่าเพราะความรักของพระคริสต์ได้ผลักดัน ได้เป็นกำลัง พลังมหาศาล ควบคุมเราอยู่ เหมือนสมัยก่อนนี้ ก่อนที่เรายังไม่เชื่อ เรามีพลังควบคุมเรา ก็คือมาร ก็คือบาป ผลักดันเราอยู่ แต่ตอนนี้มีแรงสนับสนุนจากข้างใน  เป็นตัวตนของเราจริงๆ คือฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักของพระคริสต์ ของพระเจ้า ควบคุมภายในใจ ภายในวิญญาณที่เกิดใหม่นี้อยู่ เพราะเราคิดอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวง จึงตายแล้ว เพราะเราคิดอย่างนี้ ก็คือเพราะเรารู้ไง  เรารู้ว่าเราตายไปแล้ว ตัวเก่านั้น ตายจากอาดัมไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์

และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์  เพื่อคนทั้งปวง รวมทั้งตัวเราด้วย  เพื่อคนเหล่านั้นจะได้มีชีวิตอยู่ จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป ก็หมายถึงพระองค์ทรงตาย เพื่อเราจะได้บังเกิดใหม่ พอเราเกิดใหม่ พระองค์ทรงใส่ชีวิตใหม่ เข้ามาในวิญญาณของเรา  ทำให้วิญญาณของเราตรงนั้น ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เราตัดสินใจว่าจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่วิญญาณที่เกิดใหม่นั้น มีลักษณะ คือไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เหมือนพระเยซู อยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า เป็นธรรมชาติ มันเกิดใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง

ในนี้บอกว่าแต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ คืออยู่เพื่อพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วว่าการอยู่เพื่อพระคริสต์นั้น มันกำเนิดเกิดมาเป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่พยายามทำอยู่ เพื่อพระคริสต์ แต่เป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่งตรงนี้ แต่ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้เราสามารถเข้าใจตรงนี้มากขึ้นด้วยเถิด เพราะเป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันมหาศาลที่พระเจ้าทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ท่านจะไม่ได้อยู่ เพื่อตัวเองอีกต่อไป  เมื่อท่านเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว กำเนิดเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นธรรมชาติเลย ท่านจะอยู่เพื่อพระเจ้า ให้พระเจ้าใช้ เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราอ่านในเอเฟซัส  พระเจ้าทำให้ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้รับใช้พระองค์แล้ว ในวิญญาณ

การทำดีของเรา สามารถเกิดจากแหล่งพลังงาน การบันดาลใจ ผลักดันได้ 2 ทาง คือ …

  1. เราสามารถทำดี ด้วยพลังจากใจ  จากวิญญาณ  ที่ตะกี้บอกว่าพระเจ้าใส่เข้ามาตอนเรากำเนิดเกิดใหม่ หรือ …
  2. เราสามารถทำดี จากความคิดของเรา จากพลังของความตั้งใจ จากสิ่งแวดล้อม จากความรู้สึกจูงใจ จากการมองเห็นผู้คนต่างๆ บนโลกใบนี้

มี 2 อัน พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คืออันหนึ่งเห็นความรักของพระเจ้าในโลกวิญญาณ อีกอันหนึ่ง เห็นบนโลกใบนี้  สัมผัสแตะต้องได้บนโลกใบนี้ว่ามีความรู้สึกอยากจะรับใช้ ใครๆ เขาก็รับใช้กัน พอมองออกนะ

ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่ทำบาป เพราะกลัวว่าจะต้องรับผลการกระทำที่ไม่ดีนั้น หรือกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ กลัวว่าจะไม่ได้รับความรอด เมื่อตายไปแล้ว การทำดีในลักษณะนี้ เป็นการทำดีตามกฎ ซึ่งบัดนี้เราได้ตาย เป็นอิสระจากกฎต่างๆ แล้ว  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เป็นการกระทำจากพลังงานของตนเอง จากความคิดจิตใจของตนเอง พึ่งพาตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อีกแล้ว  แต่ดูเหมือนดี ก็ออกมา เป็นการทำดี แต่เรียกว่าแรงแบ็ค แรงผลักดันนั้น คือความกลัว  มันจึงเป็นความดีที่ไม่สมบูรณ์

มาดูความดีอีกแบบหนึ่ง  แต่ถ้าเราไม่กระทำบาป เพราะมีแรงผลักดันจากใจที่บังเกิดใหม่ วิญญาณที่ได้เกิดใหม่ ที่ได้รับรู้ความจริง และสัมผัสรับเอา  ซึมซับรับเอาพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจ จากความรักที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจที่เราดับพระวิญญาณ ไม่ทำตามน้ำพระทัย

เมื่อเราเห็นพระคุณของพระเจ้า ความรักของพระองค์ที่มีต่อเราชัดเจนอย่างนี้ การทำดีในรูปแบบอย่างนี้ เรียกว่าธรรมชาติจากข้างใน เรียกว่าทำ ที่มาจากพลังอำนาจแห่งความรัก ภายในจิตใจที่รับรู้ว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราซึมซับรับเอากำลังอำนาจจากพระเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา  และความปรารถนาในจิตใจของเราได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนพระเจ้าแล้ว  ตัวนี้ เป็นตัวผลักดันเราออกไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีด้วย และตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อันบริบูรณ์ด้วย  อย่างนี้เราเรียกว่าดี ครบถ้วนบริบูรณ์

เคล็ดลับอยู่ที่ ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? หลายๆ คนบอกว่า …

“ฉันจะทำอย่างนี้ๆ เพื่อพระเจ้า เพราะฉันรักพระเจ้ามาก”

เคล็ดลับ คือไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? แต่อยู่ที่เราสัมผัส รับรู้ ซึมซับ รับเอาพลังงาน ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในจิตใจของเราได้มากเท่าไร?  เราก็รับใช้พระเจ้าได้ถูกต้องมากเท่านั้น

เหมือนกับว่าการซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้า ซึมซับและรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักนี้เข้ามา เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่ ความรักของพระเจ้าที่เทเข้ามาในวิญญาณของเรา ตามพระคัมภีร์ที่บอก ตอนที่เราเกิดใหม่ พระองค์เทพลังงานความรัก เข้ามาในวิญญาณ ในจิตใจของเรา  ถ้าเราเห็น สัมผัส ซึมซับและรับเอาได้มากเท่าไร? ก็เหมือนเราชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามาได้มากเท่านั้น เราก็จะมีพลัง มีกำลัง สามารถทำตามความรักของพระเจ้านั้นได้ มากขึ้นเท่านั้น

ไม่ใช่ตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ตามกฎหมายของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ ตามระเบียบของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ นั่นคือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำดี และเราก็รักพระองค์ พยายามรักษากฎระเบียบ  ไม่ทำบาป ถูก แต่พลังอำนาจแห่งความรักของเราที่มีต่อพระเจ้านั้น มันมีขีดจำกัด  นี่คือเคล็ดลับ ต้องรู้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้านั้น มีขีดจำกัด มันมีเงื่อนไข มันจึงไม่มีพลังอำนาจเพียงพอที่จะทำให้เรารักษากฎระเบียบได้ ไปตลอดรอดฝั่งหรอก อย่าถูกหลอก แรกๆ ดูเหมือนได้ มันต้องเป็นพลังความรักมหาศาลที่มาจากพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีคำว่าถ้า หรือแม้ ไม่มีข้อแม้ ที่พระองค์ได้ทรงใส่ ทรงเทเข้ามาในจิตใจของเรา และเมื่อเรารับรู้ เห็น ซึมซับ และรับเอา ซึ่งผมใช้คำนี้ว่าชาร์จแบตเตอร์รี่ เห็น ซึมซับ รับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามา ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้เกิดพลัง การขับเคลื่อนให้เรา กระทำตามเจตจำนงค์ของพระเจ้า คือทำดีตามความต้องการของพระเจ้า ที่ต้องการให้เราทำสิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัย ตามความเห็นของพระองค์อีกแล้ว ไม่ใช่ตามความเห็นของผู้คนรอบข้าง หรือตามความต้องการของเรา

พระคัมภีร์จึงให้เรามองให้เห็นเถิด  ซึมซับ และรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ เพราะพระคัมภีร์รู้ว่าตรงนี้ เหมือนการชาร์จพลังงาน เห็น ซึมซับ และรับเอา ก็คือชาร์จพลังงาน อำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคุณ ซึ่งพระองค์ทรงเทท่วมล้นเข้ามาสู่ในวิญญาณของเราตลอดเวลาเลย เพื่อเป็นพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความรักชนิดเดียวกันกับของพระองค์ ที่เราได้รับเข้ามาจากพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราไม่ได้รับตรงนี้ เราจะมีอะไรให้ออกไปล่ะ ไ ม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้แบตเตอร์รี่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ในวิญญาณของเรามันเหือดแห้ง ไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ สมมติ 100% มันอาจหลงเหลืออยู่ 5% ทำอย่างไรให้มันครบ 100 ชาร์จสิครับ ชาร์จพลังแห่งความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขนี้อย่างต่อเนื่อง โดยการเห็นอย่างต่อเนื่อง ซึมซับอย่างต่อเนื่อง รับเอาอย่างต่อเนื่องในความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา ไม่ว่าเราจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจตามความคิดของมนุษย์ ไม่รู้แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ พระเจ้าทรงรักเรามากขนาดนี้แหละ อภัยให้เราหมดแล้ว ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราก็ยังคงเป็นลูก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วตรงนี้ รับเข้ามาทุกวันๆ เป็นพลังให้เราทำความดี ตามใจปรารถนา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในใจของเรา ปรารถนาเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในใจเรา  ธรรมชาติในใจที่เกิดใหม่นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ต้องการทำเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พลังนี้จะเป็นตัวผลักดันให้ข้างนอก ทำตามได้

เพราะฉะนั้น ขอให้ถ้อยคำวันนี้ ได้สัมผัสเข้าไปในจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตจากพลังแห่งความรักของพระเจ้าอย่างนี้ได้ ไปตลอดรอดฝั่ง และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่พอพระทัย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************