คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราก็มาสู่ตอนจบ ในการบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อก็คือ “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ผ่านไปแล้ว 2 ตอน

ตอนที่ 1 คือ “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา”

ตอนที่ 2 คือ “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

วันนี้จะเป็นตอนที่ 3 มีชื่อตอนว่า “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า  ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า  ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ 2 โครินธ์ 5:14-15 ….

2 โครินธ์ 5:14-15  “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่  จะมิได้เป็นอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่” ความหมาย ก็คือได้ครอบครอง ควบคุม ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย เพื่อเรา ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  นี่เราเกิดใหม่แล้ว  เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณของความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจของความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เราเป็น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรักเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ  ที่ถูกมองทะลุ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจในความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับมากเท่าไร? ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

ไม่ใช่จากพลังความรักของตัวเอง ที่คิดเอง สร้างขึ้นเอง ตามใจตัวเอง คิดว่าถูก คิดว่าอย่างนี้รัก ซึ่งมันมีเงื่อนไข ถ้าเราพึ่งตนเองมีขีดจำกัด ความรักของเรามีไม่พอหรอก เราต้องพึ่งพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าเท่านั้น เหมือนถีบจักรยาน ผมมีจักรยานอยู่ 2 คันที่บ้าน  คันหนึ่งเป็นแบบโบราณหน่อย คือเวลาถีบจักรยานตอนกลางคืน ต้องเปิดไฟ ไม่ได้เปิดสวิตช์ ผลักดันเกียร์ปุ๊บ มันเปิดไฟ ซึ่งเราถีบไป มันจะปั่นไฟให้เรา พอเราปั่นเร็วเท่าไร? ไฟก็จะสว่างขึ้นเท่านั้น ไฟจักรยานโบราณ มันปั่นไฟจากการถีบของเรา

แต่มีอีกคันหนึ่งสมัยใหม่หน่อย พอขึ้นไปนั่ง เราก็เปิดสวิตช์ไฟ  พลังงานดวงไฟมันสว่างจ้าเลย ถ้าเราใช้กำลังของเราเอง ถีบจักรยานรุ่นเก่า ถีบๆ ไป ในที่สุดมันหมดแรง พอหมดแรงมันค่อยๆ อ่อนลงๆ ในที่สุดถีบไม่ไหว มันก็ดับ แต่จักรยานสมัยใหม่ มันมีแบตเตอร์รี่เสร็จเรียบร้อยในนั้น เปิดสวิตช์เท่านั้นเอง เปิดแล้วซึมซับ และรับเอาพลังงานในนั้น เปิดปุ๊บ ยังไม่ได้ถีบเลย ขี่ไปไหนก็ได้ มันสว่างแล้ว ฉันใด ก็ฉันนั้น นี่คือการยกตัวอย่าง ที่เห็นชัดเจน

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือพระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่างใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามไปปั่นไฟเอง เพราะพระองค์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง มันก็จะเหมือนถีบจักรยานเมื่อสักครู่นี้

สมมติว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้า แล้วเราปั่นไฟด้วยตัวเอง ใช้น้ำมัน ไปซื้อน้ำมันมาใส่ พอน้ำมันหมด ก็ไฟดับ เพราะมันไม่ปั่นไฟแล้ว มันปั่นได้ เพราะเราวิ่งออกไปซื้อน้ำมัน

แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้ว มันมีไฟฟ้าหลวง จากองค์การไฟฟ้าส่งเข้ามา ถ้าเราอยากให้มันสว่าง เราเพียงแค่ไปเปิดสวิตช์  รับเอาพลังงานจากองค์การไฟฟ้าวิ่งมา บ้านสว่างทันที ไม่ต้องวิ่งออกไปให้เหนื่อย ไปซื้อน้ำมันมาใส่ มันสว่างตลอด นี่แหละชัดเจนดีไหม?

เพราะฉะนั้น เราแก้ไขอย่างไร? เปิดสวิตช์และปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้า จากองค์การไฟฟ้า รับพลังงานใหญ่เข้ามา ในบ้านของเราให้มันสว่าง ใช้ให้เป็นประโยชน์ในพลังงานนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจนดี เหมือนเราเอาสำลี … สำลีเปรียบเหมือนความคิดจิตใจของเรา  … เหมือนเราเอาสำลีจุ่มลงไป ซึมซับน้ำหอมในขวด พอเอาสำลีออกมา ไม่ต้องทำอะไรเลย กลิ่นมันหอม ไปที่ไหน? มันก็หอมที่นั่น

สำลี ก็คือความคิดจิตใจเรา จุ่มลงไป ก็คือเอาความคิดจิตใจของเรา จดจ่อลงไปที่ขวดน้ำหอม คือพลังอำนาจของความรักของการบังเกิดใหม่ของเรา ในพระเยซูคริสต์  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น จุ่มลงไป มันก็ชุ่มด้วยความหอมของพระคริสต์  เคยได้ยินไหม? กลิ่นหอมของข่าวประเสริฐ กลิ่นหอมของพระคริสต์ มันก็อบอวลความรักของพระคริสต์ แบบไม่มีเงื่อนไข ในชีวิตเรา ไปที่ไหนมันก็มีกลิ่นออกไป ไม่ต้องไปพยายามสร้างกลิ่น กลิ่นมันออกมาเอง เพราะว่าเราจดจ่อความคิดของเรา ซึมซับ รับเอากลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของความรักของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา มันก็จะถูกปลดปล่อยออกไป โดยธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวาย บางทีร้องกันไปตลอดชีวิตเลยว่ามอบถวายชีวิตของเราแด่พระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิต แด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิตให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณเท่านั้นเอง

ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตของเรา พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ บังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์

การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้ เข้ามาในความคิดจิตใจ แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจนี้ ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

คราวนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังทำ ที่เราคิดว่าเราทำดีแล้ว ที่สายตามนุษย์มองดูข้างนอก อาจจะมองดูว่าดี  เพราะหลายอย่าง ไม่ดี ก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ดี แต่บางอย่างมันดูเหมือนดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทำดีจากพลัง การกระทำของตนเอง ที่สร้างขึ้น เหมือนปั่นจักรยานด้วยตนเอง หรือเรากำลังทำจากความรักของพระเจ้า พลังอำนาจของพระเจ้า

เราจะรู้ได้อย่างไร? โดยการสังเกตว่าที่เรากำลังทำดีอยู่นั้น ที่เราคิดว่าดีอยู่นั้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองหรือเปล่า? หรือเพื่อพระคริสต์ เพื่อพระเจ้ากันแน่ ค่อยๆ คิดตามนะ ช้าๆ เราลองคิดดู เอ๊ะ! เราทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองไหม? ถ้าไม่ชัด เดี๋ยวตามต่อมา

แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ เราทำดี เหมือนทำบุญ ทำทาน หวังจะได้ผลบุญ จากการกระทำดีนั้น ใช่หรือไม่?  แล้วเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเกิดใหม่แล้ว เรายังหวังผลจากการกระทำที่เราคิดว่าดีอีกหรือเปล่า? คิดให้ดีๆ

หรือเราทำดีจากแรงบันดาลใจของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นความรักเหมือนพระเยซู เป็นความต้องการของพระองค์ที่ผลักดันให้เรากระทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์ มิใช่อยู่เพื่อตนเอง” ภาษาอังกฤษตรงนี้ชัดมาก เปาโลบันทึกเอาไว้หลายตอนบอกว่า “To live is Christ” แปลเป็นภาษาไทยยาก การมีชีวิตอยู่ is Christ จะบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์มันก็ไม่เชิงนะ ต้องบอกว่า To live is Christ อยู่ก็อยู่เป็นแบบพระคริสต์เถอะ

บางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว กระทำดี ก็ยังหวังว่าจะตั้งใจทำให้ดี เพื่อจะได้รางวัลในสวรรค์ดีกว่าคนอื่นๆ โอ้โห! อันนี้ชัดมากเลย บางทีเราไม่ได้นึกว่าจะมากกว่าคนอื่นๆ แต่พอมาดูอีกที มันใช่ ครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มเชื่อ ยังไม่โตในโลกวิญญาณ ผมก็คิดอย่างนั้นว่ากระทำดีเหล่านี้ เพื่อเราจะได้สะสม ไปรับรางวัลในสวรรค์มากๆ อาจจะมีคอนโดใหญ่กว่าเขาบ้าง? บ้านใหญ่กว่าเขาบ้าง? รับใช้มากๆ จะได้ มีอะไรดีๆ บนสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดา เราจะคิดอย่างนั้นได้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีหรอก ขึ้นไปบนนั้น บนสวรรค์เท่ากันหมดแหละ ไม่มีคนต้นคนปลายหรอก ทุกคน พระเจ้าจ่ายให้เท่ากัน รางวัล ก็คือไปสวรรค์ ยังไม่พออีกหรือ? แค่ไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่ตลอดไปเลย ในบ้านของพระองค์ ในสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้ว ยังจะเอา คิดอยากมีมากกว่าคนอื่นอีกหรือ? คิดดูสิ ผมลองคิด แล้วอายตัวเอง คิดไปถึงอดีต ตอนที่เรายังไม่รู้เรื่อง

บางคนบอกว่าประกาศข่าวดี ไปให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ เพื่อหวังว่าจะได้รับรางวัล ได้รับคำชมจากพระเจ้า ขึ้นสวรรค์แล้ว พระเจ้าจะได้ชมว่า …

“เยี่ยมมากเลยๆ”

แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่การกระทำที่จะมาอวดอ้างได้ว่า …

“ฉันทำดีอย่างนั้น ฉันทำดีอย่างนี้”

แล้วแต่จะคิดนะ ท่านไปคิดเรื่อยๆ แล้วกันว่าจะเห็นด้วยกันกับผมหรือไม่?

พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ สรุปว่าความรัก คือการให้ ถูกไหม? การให้ ให้จริงๆ นะ

การให้ คือการไม่หวังสิ่งตอบแทน ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เรียกว่าการให้ ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็คือการลงทุน ไม่ใช่การให้

เพราะฉะนั้น การให้จริงๆ ออกจากความรัก ก็คือการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ รักแบบพระเจ้า โดยหวังสิ่งตอบแทน ได้เลย ไม่มีทางเลย

อีกครั้งหนึ่ง … เราไม่สามารถแสดงความรัก หรือมีกิริยาที่เรียกว่าความรัก แบบพระเจ้า หรืออากาเป้ได้ โดยหวังสิ่งตอบแทน  เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ได้ อย่างที่บอก ให้เพราะสงสารก็ได้ …

เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ แต่เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ คืออย่างไม่มีเงื่อนไขได้ โดยปราศจากการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

กลับไปใคร่ครวญคิดดูให้ดีๆ ตรงนี้ เราจะไม่สามารถรักแบบอากาเป้ได้ ตราบใดที่เรายังไม่เห็น ซึมซับ และรับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่ พลังงานอันยิ่งใหญ่แห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่มีทางจะปล่อยความรักนี้ออกไปได้เลย เพราะเราไม่มีอยู่ข้างใน จะให้ได้อย่างไร? มีจึงจะให้ได้ มันไม่มี จะให้ได้อย่างไร?

ความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้นี้ เราได้มาแล้ว เรายังต้องมองให้เห็นถึงความจริงนี้ และซึมซับ และรับเอา ซึ่งเรียกว่าชาร์จพลังแบตเตอร์รี่ ต้องเรียนรู้ ซึมซับ และรับเอา ต้องเรียนรู้ให้ตาเปิดออก ให้เห็นให้ได้ ซึ่งเปาโลก็เพียรอธิษฐาน วิงวอน ขอต่อพระเจ้า ขอเปิดตาวิญญาณเขาๆ ให้เขาเห็นถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซู ที่ไม้กางเขนนั้น คือความรักที่พระองค์ทรงสำแดง ทุกวันนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ยังทำงานอยู่ในตัวเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เขาได้เห็น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ และหมั่นพูดอยู่เสมอ ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เห็นมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ก็มีพลังมากเท่านั้น เอามาใช้ได้มากเท่านั้น

พูดอย่างนี้ บางคนเขาก็กลัวว่าถ้าเราสอนความจริงของพระเจ้าอย่างนี้ ว่าความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นอากาเป้ คืออภัยความบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งในอดีต บาปในปัจจุบันด้วย และบาปที่จะทำให้อนาคตอีกต่างหาก พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว เป็นความรักแบบอากาเป้

ถ้าเกิดเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ จะทำให้เสียนิสัย ทำบาปมากขึ้น ท่านคิดว่ามันจริงไหม? มันเป็นไปได้ไหม? ที่ผมเคยยกตัวอย่างในตอนแรก เรื่องเกี่ยวกับแม่ที่รักลูกมาก ที่ลูกดื้อ ทำตัวเหลวไหล เกเร และลูกได้เห็นความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข คุกเข่าขอชีวิตกับนายทุน เจ้าหนี้ ให้กับลูกของตนเอง พอลูกเห็นความรักของแม่อันยิ่งใหญ่นั้น แล้วทำบาปมากขึ้นหรือ? ลองคิดดูแค่นี้

ถ้าเรามาเรียนรู้จักความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในอาดัม ถูกครอบงำด้วยความบาป เกลียดชังพระเจ้า คือเกลียดชังความดี ต้องฝืนมากเลย ที่จะทำความดี หรือทำความชอบธรรม ฝืนมากเลย ถ้าจะมีความรักแบบแท้ๆ แบบอากาเป้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นทาสของมาร โดยกำเนิด ถูกหรือไม่ถูก? คิดไปด้วยกันช้าๆ แต่เดี๋ยวนี้เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน บอกว่าเราถูกครอบงำ เป็นทาสของพระคริสต์ เหมือนสมัยก่อนอาดัม แต่มันตรงกันข้ามกันเท่านั้นเอง เป็นทาสเหมือนกันเลย ถูกครอบงำ เพราะฉะนั้น เราเป็นทาสของความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้า ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราต้องฝืนมากเลย ที่จะทำบาป และฝืนมากที่จะทำความเกลียดชัง มันฝืนกันมากเลย จากความเป็นจริงในวิญญาณของเรา

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้เราทำบาปน้อยลง ลบความบาปออกไป จำนวนมากมาย เหตุจากความรักและพระคุณของพระเจ้า

คราวนี้เรามาดูว่าความรัก แบบอากาเป้ตรงนี้ ที่บอกว่าเป็นพลังอำนาจมหาศาล ที่กำลังทำงานอยู่ในผู้เชื่อ ที่เกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของเรา จากการกำเนิด เกิดมาเป็น หน้าตาของความรัก พลังอำนาจของความรักเป็นอย่างไร? คร่าวๆ ดูสิว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? อย่าลืมว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็นเลยนะ “เป็น” ตรงนี้แหละว่าความรักที่ทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรานี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? อยู่ในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ก่อนที่จะอ่านบทที่ 13 ไปอ่านบทที่ 12 ข้อ 31 ก่อน 1 โครินธ์ 12:31 …

1 โครินธ์ 12:31  “แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า  และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”

 

ก่อนหน้านี้เปาโลกำลังอธิบายถึงเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือของประทาน ที่พระวิญญาณให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ในความถนัด พูดง่ายๆ “ถนัด” จะเห็นชัด มีพรสวรรค์ พระองค์ทรงประทานให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นครูสอน บางคนเป็นศิษยาภิบาล บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ  บางคนอธิษฐานวางมือรักษาโรค บางคนมีของประทานแห่งความเชื่อ ทำการอัศจรรย์ ทั้งหมดนี้ พระวิญญาณเป็นผู้ประทานให้เยอะแยะ

แล้วก็มาพูดสรุปสุดท้ายว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า” ก็คือให้เป็นไปตามที่พระเจ้าเตรียมท่านไว้ว่าของประทานของท่านเป็นอะไร?

“และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” ก็คือและตอนนี้ ต่อไป จะบอกว่า ที่ให้ขวนขวายหาของประทาน เพื่อรับใช้กันและกันนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความรักตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

1 โครินธ์ 13:4-8  “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรัก คือความเมตตา  ไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  5 ไม่หยาบคาย  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่จดจำความผิด  6  ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ  ไว้วางใจเสมอ  มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น  แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา  การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย  ความรู้จะล่วงพ้นไป”

 

แต่ความรักอยู่ไปตลอด จนนิรันดร์ เพราะเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง คริสเตียนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับถ้อยคำตรงนี้อย่างดี หลายคนเอาไปท่องจำขึ้นใจเลยนะ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง จริงๆ แล้วสาระสำคัญของถ้อยคำตรงนี้ บรรยายถึงคุณสมบัติของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้า แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า หน้าตามันเป็นอย่างนี้ กำลังอธิบายถึงลักษณะ คุณสมบัติ แต่สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิด คือไปหยิบยกเอาข้อความนี้มา แล้วก็บอกว่า …

“นี่คือสิ่งที่คริสเตียน ต้องทำให้ได้”

เอาล่ะสิ เพราะคริสเตียนต้องมีความรัก  คริสเตียนต้องรักผู้อื่น   เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเมตตา  ต้องไม่อิจฉา  ต้องไม่อวดตัว  ต้องไม่หยาบคาย  ต้องอดทนให้ได้  สารพัด “ต้อง” ต้องๆๆๆๆ รวมความ ก็คือต้องกระทำด้วยตัวเอง ให้เป็นไปตามนี้ ถูกหรือไม่? มีคริสเตียนส่วนใหญ่ ก็คิดอย่างนี้

แล้วถ้าเรามาศึกษาความหมายของถ้อยคำตรงนี้จริงๆ จะเห็นว่าคำว่า “ความรัก” ที่ตะกี้นี้อ่านกัน มันเป็นคำนาม ซึ่งหมายถึงเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณลักษณะ ไม่ใช่เป็นคำกิริยาว่าการกระทำ ต้องทำ ในบริบทนี้ ในข้อพระคัมภีร์นี้ จากตรงนี้เลย เป็นคำนาม ก็คือ “มี” ความรักแบบนี้ ไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้ ซึ่งในทางกลับกัน ต่อให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนนาน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่หยาบคาย ต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ก็ตาม ซึ่งดูแล้วมันดีใช่ไหม? ใครๆ ก็บอกว่าดี ทำอย่างนี้ อดทนก็ดี  ไม่อิจฉา ก็ดี ไม่หยาบคาย ก็ดี ซึ่งต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรัก แบบอากาเป้ ก็ไม่สามารถเป็นพลัง หรือเป็นแรงขับเคลื่อน ที่เป็นของแท้ๆ ที่มาจากพระเจ้าได้เลย คิดให้ดีๆ

อาจารย์เปาโลก็รู้ ก่อนหน้าในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-8 จึงได้เขียนไว้ในข้อที่ 1-3  บอกว่าต่อให้ทำดีถึงขนาดขายของทั้งหมดเลย ยอมยากจนเลย แล้วเอาไปให้กับคนจน  หรือเอาตัวไปเผาไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้ถูกผลักดันด้วย ข้อ 4-8 ก็คือไม่ได้ถูกผลักดันด้วยความรักแบบนี้ ก็แสดงว่าตามสายตาของมนุษย์ ข้างนอกที่เรามองเห็น มันวัดกันไม่ได้นะว่าทำอย่างนี้มันดีหรือไม่ดี ดูเหมือนดี เหมือนๆ กัน ขายของทั้งหมดเลย แล้วเอาไปให้คนจน ดูดีหมดทุกคน แต่เป็นไปได้ว่าขายของให้คนจนทั้งหมด เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอะไรบางอย่าง ไม่รู้ คนนั้นรู้เอง

เห็นไหม? น่าตกใจขนาดไหน? คุยกันไม่จบเลยนะเรื่องนี้ ที่บอกว่าทำอย่างนี้คือดี ทำอย่างนี้คือความรัก เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ดูที่ข้างใน เราอาจจะเป็นหลุมศพฉาบปูนขาวก็ได้ ข้างในเหม็นหึ่งเลย ข้างนอกดูเหมือนมีกลิ่นหอม แต่เป็นน้ำหอมเทียม เดี๋ยวมันก็หมดไป อะไรอย่างนี้

เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเรา ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ทำการอัศจรรย์ ผ่าตัดวิญญาณเรา เรียกว่าบัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นความรักแบบนี้ ตาม 1 โครินธ์ 13:4-8 ต้องให้เห็น ซึมซับ และรับเอาให้ได้ เห็นมากเท่าไร? ก็ใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้ตัวเราเป็นความรัก  แบบนี้ คือให้มีคุณสมบัติในวิญญาณที่บังเกิดใหม่แบบนี้ ไม่ใช่ต้องทำให้เป็นแบบนี้ ด้วยตัวเราเอง แต่จะเป็นแบบนี้ จากการบังเกิดใหม่ กำเนิด เกิดมาเป็นความรักแบบนี้เลย เอเมน

บางคนบอกว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ เป็นถึงศิษยาภิบาลต้องมีความอดทน โกรธไม่ได้ ด่าใครก็ไม่ได้ ผู้รับใช้ทั้งหลายเลยต้องพยายามนับ 1 – 100 กัดฟันทน  ทนดีไหม? ดี … ดีในสายตาใคร? สายตาคนรอบข้างดูดีหมด แต่ถามว่าความอดทนนั้น มาจากความรักแบบอากาเป้ข้างใน มาจากแรงผลักดัน จากพระเยซูที่อยู่ข้างในหรือไม่? อันนี้ก็ไม่รู้นะ บางคนเครียดเลย เพราะถูกสอนมาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ตามนี้ทั้งหมด ก็เลยพยายามไปหาซื้อหนังสือที่เขาสอนว่า “วิธีฝึกให้มีความอดทน” “วิธีฝึกให้รู้จักบังคับตัวเอง” มีหนังสือคริสเตียนเต็มไปหมดเลย ที่สอนวิธีการฝึก ฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ สังเกตคำว่าฝึกและผลนะ สอนวิธีฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ

เมื่อตะกี้เราบอกแล้วนะว่าเราบังเกิดใหม่ โดยการกำเนิด เกิดมาเป็น

บางแห่งก็มีสอนว่าเราต้องสร้างผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่างขึ้นมา ความรัก  สันติสุข  ความปลาบปลื้มใจ  ความอดทน  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน  นี่คือคุณสมบัติของผลของพระวิญญาณ ใครที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดนี้ ก็พยายามค่อยๆ ฝึกไปทีละอย่าง เจอหน้ากัน …

“วันนี้ฝึกตัวไหนอยู่”

“วันนี้ฝึกความอดทนอยู่”

“วันนี้ฝึกเสร็จแล้วความอดทน เดือนหน้ากะว่าจะฝึกตัวใหม่ ก็คือฝึกตัวสัตย์ซื่อ”

ฟังดูก็เหมือนดี แต่จริงๆ แล้ว โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้ให้เราสร้างผลขึ้นมา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยกับใคร? ก็จะทำให้ผู้นั้นมีคุณสมบัติเหล่านี้ เรียกว่าผล หรือคุณสมบัติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลจากการกระทำของตัวเราเอง จริงๆ แล้วชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำให้เกิดผลในตัวเราเอง

เกิดใหม่จริงหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านแล้วหรือไม่? ตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่เกิดจากการกระทำภายนอก แต่เกิดจากการกระทำข้างใน เกิดจากบังเกิดขึ้นข้างใน ไม่ใช่ให้เราสร้างขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้เกิดผลข้างในเราเอง ไม่ใช่ให้เราสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง พระองค์จะเป็นแรงขับเคลื่อนจากข้างในออกมา จากภายในของเราออกมา ไม่ใช่ ให้เราฝึกฝนจากภายนอก ไม่ใช่

ถ้าเราทำจากภายนอก ก็เป็นผลจากภายนอก เป็นผลจากการกระทำของเราเอง เราฝึกฝน พยายามจะอดทน นับ 1, 2, 3 เขาบอกก่อนจะอดทน ให้นึกถึงอันโน้นอันนี้ นับลูกแกะ นับอะไรก็ว่าไป ให้พยายามนึกถึงว่าถ้าเราไม่อดทน มันจะเกิดความเสียหาย อันนี้ไม่ใช่ นั่นคือการกระทำฝึกฝนของตัวเราเอง แต่นี่ออกมาจากพลัง จากข้างใน คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ความหมายของความรักแบบอากาเป้ที่อธิบายใน 1 โครินธ์ ตรงนี้ เป็นคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระคริสต์ และเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ ที่บอกว่าเราได้เป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็เป็นความรักแบบเดียวกันกับพระองค์ คือเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นอยู่ จากการบังเกิดใหม่แล้ว ตัวตนแท้ๆ เราเป็นความรักแบบพระคริสต์อย่างนี้เลย ต้องเรียนรู้ พระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณเราทั้งหลายให้เห็น ซึมซับ และรับเอาความจริงตรงนี้เข้ามาด้วยเถิด ซึ่งเป็นการชาร์จพลังงานความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อจะผลักดัน ควบคุม และเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราออกไปให้เหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุดนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านกลับไปอ่านถ้อยคำตรงที่เราได้วิเคราะห์ตรงนี้กันใหม่ ใน 1 โครินธ์ 13:4-8 โดยอยากให้ท่านอ่าน เมื่อถึงคำว่า “ความรัก” ให้ท่านเปลี่ยนเป็น “พระคริสต์” หรือพระเยซูก็ได้ ลองอ่าน

“พระเยซูคือความเมตตา  พระเยซูไม่อิจฉา  พระเยซูไม่อวดตัว  พระเยซูไม่หยิ่งผยอง  พระเยซูไม่หยาบคาย  พระเยซูไม่เห็นแก่ตัว  พระเยซูไม่ฉุนเฉียว  พระเยซูไม่จดจำความผิด  พระเยซูไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง พระเยซูปกป้องคุ้มครองเสมอ  พระเยซูไว้วางใจเสมอ  พระเยซูมีความหวังอยู่เสมอและพระเยซูอดทนบากบั่นอยู่เสมอ พระเยซูไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป”

แต่พระเยซูทรงอยู่ตั้งแต่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และเราทั้งหลาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่าตัดวิญญาณเรา ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เหมือนพระเยซู ฉะนั้น ที่พระเยซูอดทนนาน ก็เป็น …

“ฉันย่อมอดทนนาน ฉันมีเมตตา ฉันเป็นนะ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว” เห็นภาพหรือยัง?

เราเรียนกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราเป็นเหมือนพระเจ้า เราร้องเพลงกันได้ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ

“พระเจ้าเป็นความรักๆ”

แล้วเราก็ลืมว่าเราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  เราจึงเป็นความรักชนิดเดียวกันกับพระเจ้า คือเป็นอากาเป้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้เรากระทำความรักให้เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราปฏิบัติตัวให้เหมือนพระเจ้า แต่เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ให้เรากระทำ ให้เราสร้างผลของพระวิญญาณ คือความรักตรงนี้ขึ้นมา แต่ให้เราปลดปล่อยให้วิญญาณกระทำการงานในตัวเรา ปลดปล่อยให้พลังความรักนี้ออกมา กระทำการงาน เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าปลดปล่อยให้พลังงานเปิดสวิตช์เท่านั้นเอง แล้วพลังนี้จะออกมาเฉยๆ ไม่ใช่ต้องไปปั่นจักรยานรุ่นเก่าให้พลังไฟฟ้าออกมา อยากให้สว่างๆ เดี๋ยวนี้เขามีใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วจักรยาน อยากมีพลังแสงสว่าง เปิดสวิตช์ ปลดปล่อยพลังงานแห่งแสงสว่างออกมา ต้องรู้ตรงนี้ ถ้ายังไม่รู้ เราก็ยังคงใช้จักรยานรุ่นเก่าอยู่ดี

และนี่ก็คือความหมายที่บอกว่าให้เดินกับพระวิญญาณ ก็แปลว่าอย่างนี้ ให้พระวิญญาณสร้างผลในตัวเรา ให้ผลของพระวิญญาณเกิดขึ้นมา โดยพระวิญญาณเอง ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่พอเราได้ทราบความจริงตรงนี้แล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า จะเป็นอันตรายไหม? จะทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือไม่? ซึ่งตะกี้บอกไปแล้ว อ่านอีกทีหนึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้ 1 เปโตร 4:8 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ชัดเจนแจ่มใสเลยว่ากลัวไหม? กลัวว่าถ้ารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ทำบาปกันสบายใจเลยสิ ลองอ่านดูสิ …

1 เปโตร 4:8  “เหนือสิ่งอื่นใด  จงรักกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้  โดยการให้อภัย”

 

ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจความหมาย อาจกลายเป็นว่าอย่าให้มีความรักเยอะ เพราะว่าความรักเยอะ มันจะล่อลวงให้ไปทำบาป มันไม่ใช่อย่างนั้น ในนี้บอกว่าความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ตะกี้นี้ก็อ่านพร้อมกัน ความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่อิจฉาริษยา ไม่ฉุนเฉียว แล้วมันลดไหม? ลดความบาปหรือเพิ่ม ง่ายนิดเดียว พอรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจน ไม่ซี้ซั้วพูดตามความคิดของตนเอง  เอเฟซัส 3:19 ได้บันทึกอย่างนี้ …

เอเฟซัส 3:19 “ให้ซาบซึ้งในความรักนี้  ซึ่งเหนือกว่าความรู้  เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

 

“ให้ซาบซึ้งในความรักนี้” หมายถึงให้เห็น ซึมซับ รับเอา ให้ท่วมท้น ให้จุ่มลงไป เหมือนน้ำหอมเมื่อตะกี้นี้ จุ่มลงไปในพลังความรักอันนี้ มากกว่าไปเรียนความรู้อื่นๆ อีกเยอะแยะเลย เพื่อท่านจะได้บริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า เต็มไปด้วยน้ำพระทัย เต็มไปด้วยความดีงาม แบบพระเจ้า

เปาโลพยายามที่จะอธิบายว่าจะเป็นอย่างไร? เมื่อชีวิตของเราถูกขับเคลื่อน ครอบงำ เป็นทาสของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้านี้ ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นแรงขับเคลื่อน ผลักดัน ครอบครอง ควบคุม เป็นเจ้านายเราในการดำเนินชีวิต มันเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังบอกว่าต่อให้ท่านมีความรู้มากสักเท่าไร? ต่อให้ท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งเล่ม ต่อให้รู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเลย อ่านพระคัมภีร์มา 80 เที่ยว 100 เที่ยว ก็ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้และความเข้าใจ อันลึกซึ้งถึงความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย อยากให้ท่านรู้เข้าไปลึกๆ ทั้งกว้าง ทั้งยาว ทั้งลึก ทั้งสูงของความรักตรงนี้ พูดไม่ถูกเลย มันต้องเรียนกันไม่จบเลย มากกว่า สำคัญกว่าความรู้อื่นๆ สำคัญกว่าความเชื่อเยอะๆ ทำอัศจรรย์ได้ สำคัญกว่าการเผยพระวจนะได้ สำคัญกว่าการเป็นครูสอนศาสนา  สำคัญกว่าการเป็นพาสเตอร์ ศิษยาภิบาล สำคัญที่สุด เพราะมันจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพราะมันเป็นตัวท่าน และเป็นบุคลิก ตัวตนของพระเจ้านั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความรักของพระเจ้าจะมีอันตรายแบบที่คิดไหม? เมื่อเรียนรู้ความรักของพระเจ้าแบบนี้ มีอันตรายแน่นอนเลย มีอันตรายต่อมนุษย์ไหม? ไม่มีเลย มีอันตรายต่อมารไหม? มี เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับความรัก ก็อดทนนาน มารบอก … ความเกลียดชังสิ ความเกลียดชัง คือความไม่อดทนนาน ความเกลียดชังคือความฉุนเฉียว ความเกลียดชังคือการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องท่องอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำไม่ได้ โกหกอย่างอื่น ก็โกหกหลอกลวงให้เราทำเหมือนความรักอย่างนี้ เสแสร้ง ปลอมตัวมาเป็นพระคริสต์ ทำตัวเหมือนความรัก เหมือนอดทนนานเลย แต่อดทนนานจากข้างใน อะไรบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ยัง ยังไม่ใช่ของแท้ พูดง่ายๆ แล้วบอกว่าพระคริสต์ พระคริสต์เทียมไง ทำข้างนอกดูเหมือนพระคริสต์เลย แต่ข้างในถูกแอบไว้ ถูกกลบไว้ ไม่อิจฉา ที่ไม่อิจฉา เพราะว่าเก็บไว้ มีอะไรอยู่ในใจ ไม่รู้หรอก ข้างนอกเราดูเอา ไม่เห็น แต่ไม่มีใครสามารถปกปิด จากพระเจ้าได้ พระองค์มองดูที่ใจข้างใน รู้เลยว่าคนนี้ทำไป เพื่ออะไร? และอย่างไร? เห็นไหมชัดเจน โรม 15:30-31 …

โรม 15:30-31 “30 พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยความรักจากพระวิญญาณ   ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า  ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม  ยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายอธิษฐานให้อาจารย์เปาโล ในการที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐในที่ต่างๆ สำหรับคนต่างชาติ ซึ่งถูกข่มเหง รังแก โดยชาวยิวบ้าง โดยคนที่เสียผลประโยชน์บ้าง ขัดขวางอะไรต่างๆ ก็เลยให้ช่วยอธิษฐานด้วย ดูสิ สังเกตให้พี่น้องอธิษฐานด้วยอะไร?

“พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยพลังอำนาจของความรักจากพระวิญญาณ ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า”

ให้ร่วมเป็นหนึ่งในการปล้ำสู้กับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อธิษฐานโดยฤทธิ์อำนาจของความรักจากพระวิญญาณ

มีคริสเตียนบางคน เวลาพูดถึงพระเยซูคริสต์ ก็จะนึกถึงความรัก  เห็นชัด ความเสียสละของพระองค์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ความเมตตาของพระองค์ แต่พอพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตกใจกลัว กลายเป็นความกลัว กลายเป็นการมาสอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยตีเรา เฆี่ยนเราถ้าเผื่อหมิ่นประมาณพระวิญญาณตกนรกทันทีอะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด พระวิญญาณก็รักเรา เห็นหรือยัง? จากพลังอำนาจความรักอันเดียวกันนั้น จากพระวิญญาณก็แสดงว่าทั้งพระวิญญาณ ทั้งพระเยซูคริสต์ ทั้งพระบิดารักเราด้วยความรักเหมือนกันหมดเลย คือความรักแบบอากาเป้ จริงๆ แล้วทั้ง 3 พระภาคล้วนเป็นความรัก แบบอากาเป้ทั้งสิ้น ซึ่งรวมเราเข้าไปอีกหนึ่งในนั้น คือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้ง 3 ภาค เราเลยกลายเป็นความรักแบบเดียวกัน คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข แบบอากาเป้ เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อนชีวิตเรา อย่างนี้ไม่ดีเหรอ?

พลังอำนาจที่ขับเคลื่อนเรา คือพลังอำนาจที่มาจากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตอยู่กับเรา ทรงรักเรา เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความรัก และทำให้ตัวเราทั้งหลายได้เกิดใหม่ กลายเป็นความรักชนิดเดียวกันแล้ว ให้ความรักชนิดนี้ ผลักดันเราในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด กาลาเทีย 5:13 …

กาลาเทีย 5:13 “พี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านนั้น  ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ  แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป  แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

 

“จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” แบบอากาเป้อย่างนี้ แบบพระเจ้า ให้ความรักนี้ขับเคลื่อน และในนี้บอกว่า “อย่าปล่อยตัวของท่านตามวิสัยบาป” วิสัยบาปตรงนี้ ไม่ใช่นะ ต้องแปลจากภาษาเดิม มันคล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่วิสัยบาป … วิสัยบาป คริสเตียนไม่มีแล้ว เพราะว่าตายไปแล้ว ถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละวิสัยบาป ตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือในอาดัม อดีตนั้น มันตายไปแล้ว ตอนนี้วิสัยของเรา คือวิสัยชอบธรรม วิสัยดี วิสัยความรัก

แต่ตรงนี้มันหมายถึง “อย่าปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” ก็คืออิทธิพล ระบบที่เขาดำเนินกันบนโลกใบนี้ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า และเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ดำเนินอย่างนี้ ความเคยชินในระบบเก่าๆ อย่าปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนังอย่างนั้น

แสดงว่าการรับใช้ซึ่งกันและกัน สามารถมาได้ 2 ทาง คือจากพลังของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเราก็ได้ และมาจากระบบของโลกนี้ เนื้อหนังก็ได้เช่นกัน เรามีอิสระที่จะเลือก พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้เราเลือกเอา แต่ถ้าเราเห็น ซึมซับ และรับเอาตลอดเวลา จดจ่อไปที่ความรักตรงนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็จะได้พลังความรักตรงนี้มาผลักดันเรา แต่ถ้าจดจ่อบนโลกใบนี้ จดจ่อระบบของโลกใบนี้เหมือนเดิม ในที่สุด ดูเหมือนทำดี แต่แรงผลักดันออกมาจากเนื้อหนังของเรา ระบบเดิมของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่รู้เรื่องเลย แต่ออกมาจากความคิดตามเนื้อหนัง ตามระบบของโลกใบนี้ มันมี 2 ทางให้เราเลือก นี่ก็ชัดเจน

การรับใช้ซึ่งกันและกันในทางพระเจ้า ต้องมาจากพลังขับเคลื่อนของความรัก อากาเป้ของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะเป็นของแท้ ไม่ใช่มาจากเนื้อหนัง เคยได้ยินใช่ไหม? คริสเตียนเนื้อหนัง คือคริสเตียนที่ยังต้องพึ่งตนเอง พึ่งความสามารถของตนเอง พึ่งระบบของโลกใบนี้ พึ่งการกระทำเก่าๆ ที่เคยกระทำมา พึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำมา แทนที่จะพึ่งอย่างเดียว ไว้วางใจอย่างเดียว คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักชนิดของพระเจ้าอยู่ข้างในเราแล้ว ต้องมาจากความรักจากภายใน ที่พระเจ้าสร้างมาในชีวิตเราเท่านั้น แต่การที่เราจะสามารถทำได้ ตามที่บอกนั้น เคล็ดลับอยู่ที่เห็น ซึมซับ และรับเอา และรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้า ที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไข เท่ากับชาร์จพลังอำนาจ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เราจึงมีพลังนี้ออกไปได้ เคล็ดลับอยู่ที่ซึมซับ รับเอาก่อน แล้วจึงจะให้ออกไป ฝึกที่จะเป็นคนรับก่อน ที่จะให้ ถ้าท่านไม่ฝึกที่จะเป็นคนรับ ท่านจะเอาอะไรไปให้  มันไม่มี ฝึกที่จะเป็นคนรับจากพระเจ้าก่อน 1 ยอห์น 4:17-18 นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน …

1 ยอห์น 4:17-18 “17 เช่นนี้  ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา  เพราะในโลกนี้  เราเป็นเหมือนพระองค์ 18 ในความรักไม่มีความกลัว  แต่ความรักที่สมบูรณ์  ย่อมขจัดความกลัวออกไป  เพราะความกลัว  เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  ผู้ที่กลัว  ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์”

 

อย่างที่ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่ามีอยู่ 2 แหล่ง ที่เราจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้างนอกดูคล้ายๆ กัน เราอาจจะทำดูเหมือนความรัก แต่ข้างในผลักดันมาจากความกลัว ไม่ได้มาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ จากข่าวประเสริฐของพระองค์ หมายถึงความเชื่ออย่างแท้ๆ นะ ถ้าไม่เชื่ออย่างแท้ๆ มันก็เป็นความกลัว เมื่อเกิดความกลัว มันก็จะเห็นแก่ตัว จะพึ่งตนเอง  แต่ดูข้างนอก ดูไม่ออก

มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเอาถ้อยคำพระเจ้า ในวันนี้ ไปวิเคราะห์ เข้าไปแก้ไข ชันสูตร ข้อกระดูก เข้าไปในจิตวิญญาณลึกๆ ว่าเราเป็นชนิดไหนกันแน่

“เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา” เมื่อวานนี้ ใช้อารมณ์โกรธ ว่าคนอื่นเขาอย่างรุนแรง มั่นใจไหมว่าท่านได้ไปสวรรค์เหมือนเดิม มันหมายถึงอย่างนั้น  มั่นใจไหมว่าท่านได้รับความรอด รอดแล้วรอดเลย กำเนิดเกิดมาเป็น ท่านมั่นใจไหม? ถ้าไม่มั่นใจ ก็แสดงว่าความรักมันไม่เต็มบริบูรณ์ในท่าน ถ้าความรักของพระเจ้าที่ท่านเห็น ซึมซับ รับเอามันเต็มบริบูรณ์ในท่าน ท่านจะรู้เลยว่าอย่างไรท่านก็รอด พระเจ้าอภัยให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ รักท่านดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ฝ่ายพระองค์ อยู่ข้างพระองค์ พระองค์ก็อยู่ฝ่ายท่าน เคียงข้างท่านตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น

ความรักตรงนี้ทำให้เราเกิดความมั่นใจในความรอด บางคนยังไม่มั่นใจในความรอดของตนเองเลย อย่างนี้ต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เดี๋ยวจะสูญเสียความรอดตรงนี้ ต้องอภัยนะ ถ้าเธอไม่อภัย พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอ อะไรประมาณนี้ เยอะแยะไปหมด เพราะความรักไม่เต็มบริบูรณ์

ในข้อ 18 บอกว่า “เพราะในความรักไม่มีความกลัว” เห็นไหม? ถ้าทำด้วยความรัก ไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ ย่อมขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น ไม่มีการลงโทษ ผู้ที่กลัว ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ถ้าท่านยังทำอะไรต่างๆ เพราะความกลัวอยู่ ก็ไม่มีความรักอย่างสมบูรณ์ มาคริสตจักรเป็นประจำดีไหม? ดีมาก  แต่พอไม่มาวันหนึ่งปุ๊บ ติดธุระวันหนึ่งปุ๊บ ท่านรู้สึกฟ้องผิด ไม่มาไม่ได้หรอก พระเจ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเกิดตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์ พระเจ้าไม่อวยพระพร ไม่ได้มา คิดเอาเองว่าในใจท่านคิดอะไรอยู่ ท่านถวายทรัพย์ เพราะกลัวว่าจะถูกสาปแช่งหรือ? เปาโลจึงสอนว่าให้เราอธิษฐาน ก็อธิษฐานจากใจ ถวายทรัพย์ให้ออกไป ก็ให้จากใจ จากความตั้งใจจริง ไม่ใช่ จากถูกคนเขาชักจูง ก็เกิดความกลัว หรือไม่ก็ความโลภ ชักจูงมี 2 อย่าง คือ …

“ถ้าเธอไม่ให้นะ สมาชิกไม่ให้นะ ตกนรก พระเจ้าจะสาปแช่ง” นี่คือความกลัว

ชักจูง ก็คือ … “นี่นะ เราจะได้รับรางวัลกลับคืน ได้อันนั้น อันนี้” แล้วเราก็ให้ ก็คือการลงทุน ไม่ใช่ความรักแท้

เพราะฉะนั้น สรุปจบความรักทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เราบอกรักไม่ฉุนเฉียว ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ผยอง ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง

ความรักทั้งปวงเหล่านี้ เคล็ดลับสรุปจบแล้วอยู่ที่ 1 ยอห์น 4:19 บันทึกไว้ว่า …

1 ยอห์น 4:19 “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

เรารัก เราไม่ใช่ต้องรัก เรารัก เพราะพระเยซูรักเราก่อน  พูดง่ายๆ ว่าเราให้ความรัก เพราะพระเยซูให้ความรักกับเราก่อน เราไม่สามารถให้ความรัก ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเยซูให้ความรักกับเรา สมมติความรักนี้เป็นเงิน เราให้เงินออกไป เพราะพระเยซูให้เงินกับเราก่อน เราจึงมีเงินไปให้คนอื่นเขาได้ ถ้าเราไม่รับความรักจากพระเยซู พระเยซูให้ความรักกับเรา แล้วเราไม่เอา แล้วเราจะเอาอะไรไปให้คนอื่น เราก็พยายามสร้างความรักเราเอง ให้กับคนอื่น มันก็อนิจจา มันก็ทุกข์ทรมาน และมันก็เสียข่าวประเสริฐของพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ไป พระเยซูบอกว่าแอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา จงมาพักผ่อนในเรา หายเหนื่อยและเป็นสุข ก็คือรับมาอย่างไร? ก็ให้ไปอย่างนั้น รับจากพระเยซูคริสต์มาอย่างไร? ก็ให้อย่างนั้น เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************