คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 1 “จงมองให้เห็น ซึมซับและรับเอา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 1 “จงมองเห็นให้ ซึมซับและรับเอา”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  วันนี้วันวาเลนไทน์ สุขสันต์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของโลก ก็ต้องมาพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงต้องมีชื่อเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างแน่นอน ชื่อเรื่องวันนี้ คือ  “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ความรักเป็นพลังอำนาจ ความรักเป็นนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่งก็ได้ เป็นบุคคลก็ได้ ที่เราเรียกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ความรักเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช เป็นกำลังที่สามารถควบคุมความคิดจิตใจ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเห็นด้วยตาภายนอกนี้ได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้  ก็เหมือนกับลม กับคลื่นวิทยุ ไวไฟอะไรประมาณนั้น มีอยู่จริงๆ แต่ตาเรามองไม่เห็น ความรักก็เป็นเช่นนั้นแหละ

ตัวอย่างที่จะพิสูจน์ว่าความรักมีอยู่จริง เป็นพลังอำนาจอย่างนี้จริงๆ คือเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าเราจะสังเกตเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง

ตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีนิสัยพาลเกเร ไม่เชื่อฟังแม่ แม่ก็คอยติดตาม คอยเตือนสติ สั่งสอนตลอดเวลา  แต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง ดื้อ เป็นพาลเกเร ติดเหล้า ติดยา ติดการพนัน เรียกง่ายๆ ว่าเสเพล ถึงขนาดทำอาชญากรรมอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปเยอะแยะ แม่เตือนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง  จนวันหนึ่งไปเล่นการพนันติดหนี้ติดสินเยอะแยะมากมาย ไปขโมยของมาใช้หนี้ ก็ไม่หมด เจ้าหนี้ก็ตามจับ ล่าตัวมา ทำร้าย จะฆ่าให้ตาย ถ้าเผื่อไม่เอาเงินมาใช้หนี้

คราวนี้แม่รู้เข้า แม่ก็เดินทางมาหาเจ้าหนี้ มาวิงวอน ขอความเมตตา คุกเข่า กราบ ร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน บอกว่า …

“ช่วยปล่อยลูกเขาไปด้วยเถิด มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขาจะชดใช้ให้หมดทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเอาชีวิตเขาไป ก็ได้ แลกกับลูก”

ในขณะที่ร้องห่มร้องไห้ คุกเข่าขอความเมตตากับเจ้าหนี้นั้น ลูกที่ถูกจับอยู่ มองผ่านหน้าต่างมาเห็น แม่กำลังคุกเข่าขอชีวิต ขอให้ปล่อยลูก โดยที่ยอมทำอะไรก็ได้  ยอมตายก็ได้ ก็เกิดซึมซับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตรงนี้ของแม่  เพราะเขาเห็น  เขาจึงซึมซับ รับเอาความรัก พลังนี้เข้ามา ผลักดันให้จิตใจเขา กลับใจใหม่ จะเลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเป็นพาลเกเร จะกลับตัวใหม่  ก็เลยมาขอร้องเจ้าหนี้บอกว่า …

“ปล่อยแม่เขาไปเถอะ แล้วเขาขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง  เขาจะกลับไปทำมาหากิน แล้วจะนำเงินมาชดใช้ให้”

เจ้าหนี้ก็โอเค ให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ก็ปล่อยเขาไป แล้วก็ตามทวงหนี้ต่อไป ชายคนนี้ก็กลับออกไป แล้วก็กลับนิสัยใหม่เลยนะ สิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้  ก็กลับทำได้ เลิกติดยา เลิกเหล้า เลิกเป็นพาลเกเร ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อ สุจริต อดทน ค่อยๆ เอาเงินที่ได้มาผ่อน ใช้หนี้ไปจนหมดสิ้น  ตั้งตัวได้ เป็นคนดีในที่สุด

ถามว่า … “เพราะอะไร?”

เพราะพลังแห่งความรัก ที่เขาได้เห็นกับตาเขา ในวันนั้น ได้ซึมซับเอาสิ่งที่เขาเห็นนั้น มันมีพลังบางอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้น คือแม่สำแดงความรัก ที่มีต่อเขาอย่างชัดๆ จนกระทั่งเขาสามารถเห็นและสัมผัสได้ และซึมซับเอาพลังความรักนั้นเข้ามาในจิตใจของเขา ทำให้เกิดมีพลัง แรงผลักดัน ช่วยเขาทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ กลับทำได้ กลับเป็นคนดีได้

นี่พิสูจน์ให้เราเห็นว่าความรักนั้น จับต้องมองเห็นได้ ด้วยวิธีนี้แหละ เหมือนคลื่นวิทยุ ด้วยพลังของความรักของแม่ที่ได้ซึมซับผ่านทางตาที่มองเห็น และจิตใจที่เปิดออก รับเอาพลังอำนาจนั้นเข้ามาลึกๆ ในจิตใจของเขา ได้กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขาสามารถหยุดการกระทำที่ไม่ดีต่างๆ ที่เรียกว่าการกระทำชั่วนั้นได้ ซึ่งเขาพยายามมาตลอดเวลาในชีวิต ด้วยกำลังของตนเอง ไม่เคยทำได้

ถามว่าเขารักแม่ไหม? เขารักแม่นะ  ถามว่าตอนที่เขาทำชั่วอยู่ เขารักแม่ไหม? เขารักแม่ แต่กำลังความรักที่เขามีต่อแม่ และกำลังของเขาเองไม่พอ ที่จะทำให้เขาทำดีได้  ต้องด้วยพลังเสริมจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากแม่ของเขา มาสู่เขา แล้วเขาสัมผัสรับรู้ได้ ซึมซับเอาเข้ามาได้  นี่จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ช่วยให้เขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้

“ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอา” ตรงนี้จะเป็นหัวใจหลักในการบรรยายในวันนี้

เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ก็คือฤทธิ์อำนาจ เป็นพลังงาน มหาศาล เป็นฤทธิ์เดช รับเอาความรักที่ไม่เงื่อนไขของแม่นั้น เข้ามาในใจของเขา  และพลังอำนาจนี้ ก็ทำให้เขาชนะความบาปชั่ว ซึ่งเขารู้ว่ามันไม่ดี อยากเลิก แต่มันเลิกไม่ได้ แต่พลังอันนี้มาช่วยได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ สังคมนี้ เพียงแต่เราจะสังเกตหรือไม่สังเกต จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เลย ความรักชนิดที่ไม่มีเงื่อนไขของพ่อและแม่ ทำให้เกิดอัศจรรย์อย่างนี้ขึ้นบ่อยๆ หลายๆ ครอบครัว

เช่นเดียวกัน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ที่ความรักของพระเจ้าสามารถมีพลังอย่างนี้ได้ ด้วยการเห็น การเปิดใจ การซึมซับ  รับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดชมหาศาลเข้ามาในใจของเรามนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก  และทรงรักเรายิ่งนัก มากกว่าเรื่องมนุษย์สักเท่าไร อัศจรรย์อีกมากขึ้นเท่าไร? ลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าเผื่อเราได้เห็น ซึมซับ เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในใจของเรา อะไรจะเกิดขึ้น? พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าก็จะผลักดันเรา ควบคุมเรา จูงใจเรา บันดาลใจเรา ครอบครองเรา ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงามในทางของพระองค์ได้  ที่เราอยากจะทำ แต่มันทำไม่ได้ คราวนี้มีบางอย่างมาช่วยเราแล้ว คือความรัก

          … พลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า …

– ทำให้เรามีความสามัคคีเป็นหนึ่ง ทั่วโลกเลย ไม่เคยเห็นหน้ากัน ก็เป็นหนึ่งเดียวกันได้

– ทำให้เรามั่นใจในการยืนต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งเราไม่กล้าที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์เลย  เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนบาป และไม่บริสุทธิ์พอ แต่ด้วยความรัก ที่เราซึมซับรับเอา จากพระเจ้าทำให้เราสามารถที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา เป็นพ่อของเรา

– และพลังอำนาจนี้ ทำให้เราสามารถรักผู้อื่น เหมือนรักตนเองได้

นี่แหละคือเคล็ดลับ  เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น และซึมซับ รับเอาความรักของพระเจ้าตรงนี้แหละ ซึ่งเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตของเรา เพื่อให้มันเกิดผล เหมือนเรื่องที่เราฟังเมื่อสักครู่นี้  แต่มันยิ่งใหญ่กว่ามากเลย

ท่านคงถามว่า … “แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ เป็นอย่างไร?”

เมื่อตะกี้เราดูเล็กๆ น้อยๆ จากมนุษย์ ความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ลักษณะมันเป็นอย่างไรตามสายตาของมนุษย์

ยกตัวอย่างง่ายๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี”

คิดให้ดีๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี” … อย่างนี้มีเงื่อนไขไหม?  … มี … แล้วถ้าลูกไม่ได้เป็นคนดีล่ะ ยังรักหรือเปล่า? มีเงื่อนไข ก็คือไม่รักนั่นเอง ถ้าลูกเป็นคนดีพ่อจะรัก

“แม่จะรักลูกมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟัง”

แล้วถ้าเกิดลูกไม่เชื่อฟังจะมีอะไรเกิดขึ้น?

มันน่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่านะ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข มันจะเป็นอย่างนี้ …

“พ่อรักลูกมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดีหรือไม่ดี จะทำชั่ว จะทำเลวขนาดไหนก็ตาม พ่อก็รักเจ้าที่สุด”

อย่างนี้แหละไม่มีเงื่อนไข

“แต่พ่อจะมีความสุขมาก ถ้าลูกเชื่อฟังและลูกเป็นคนดี”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม่จะรักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นคนอย่างไร? แม่ก็รักลูกไม่เปลี่ยนแปลง แต่แม่จะสบายใจมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟังแม่นะ”

อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไข ลองสังเกตดูว่าท่านอยู่ ณ ตำแหน่งไหน? พูดกับลูกของท่านอย่างไร? หรือคิดกับคนข้างเคียงของท่านอย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความรัก

“ผมรักคุณ … ฉันรักคุณมากเลย ถ้า ….” หรือ “ฉันรักคุณ” ไม่มีคำว่า “ถ้า”

เรามารับรู้ เรียนรู้ เพื่อจะได้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้  เห็นเพื่อจะซึมซับ เพื่อจะรับเอาพลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าเข้ามา

อันดับแรกต้องเรียนรู้ให้เห็นก่อน เหมือนกับเรื่องที่เล่าตอนแรก ชายคนนั้น รับพลังอำนาจความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของแม่ เพราะเขาได้เห็น เห็นจากข้างในของเขาเลยว่านี่คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  แล้วเขาก็ซึมซับรับเอา มันจึงเกิดผล

เรามาเรียนรู้รักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เริ่มต้นที่โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8 “แต่​พระเจ้าได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​ มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​อยู่”

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “คนบาป” หมายถึงอะไร?

บางคนบอก … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป”

อาจจะไม่เข้าใจว่าคนบาป หมายถึงอะไร?  ก็หมายถึงทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นชั่วอยู่ เป็นคนบาป แต่ในพระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงเป็นคนที่เกิดมา เป็นบาปเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านไม่ได้ทำบาปเลย นั่งอยู่เฉยๆ ท่านก็บาป เพราะว่าท่านเกิดมาเป็นคนบาป และในชีวิตท่านก็เคยได้ทำบาป  และมันก็เป็นคนบาปนั่นแหละ

ในนี้บอกว่า … “พระเจ้าสำแดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ ยังกระทำชั่ว”

บางคนบอกชั่วอย่างไร? ยังไม่เห็นชัด ผมจะแปลตรงนี้ให้ เป็นอย่างนี้ ข้อความเมื่อตะกี้นี้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

“พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ (พ่อก็คือพระเจ้า) รักเรา (เราคือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้) แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป”

ทำไหม? คิดกันใหญ่ โกหกไหม? เกลียดคนไหม? ทำผิดศีลธรรมหรือเปล่า? แค่นั้นไม่พอ แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป เกลียดพ่อ (พ่อหมายถึงพระเจ้า) นึกในใจท่านว่าท่านเกลียดพ่อไหม? พระเจ้าผู้สร้างท่าน

นี่ข้อความเมื่อสักครู่ มันหมายถึงอย่างนี้  ความบาป คนบาป หมายถึงคนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ว่าพระเจ้า เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงหมายความว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา รักเรา มนุษย์ทั้งหลายยิ่งนัก แม้มนุษย์ยังทำชั่ว ทำบาป  เกลียดพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า กล่าวหาพระเจ้า ใส่ร้ายพระเจ้า สาปแช่งพระเจ้า ล้อเลียนพระเจ้า ทำอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ทั้งหมดเลย โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ก็คือเป็นบิดา คือเป็นพ่อนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ตรงนี้จะเห็นชัดเจนเลยว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักเรามาก ถึงขนาดเราจะเกลียดพ่อ กบฏต่อพ่อ กล่าวหาพ่อ ใส่ร้ายพ่อ สาปแช่งพ่อ ล้อเลียนพ่อ ทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พ่อเสียใจ ทำหมดทุกอย่าง แม้ว่าจะทำอย่างนั้นก็ตาม พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ผู้นี้ ก็ยังรักเรามาก

ถ้าใครที่อยากเห็นและสัมผัสความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ ซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งความรักยิ่งใหญ่ เรากำลังพูดถึงพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่รักมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ รักคน รักมนุษย์ ถ้าอยากสัมผัส รับรู้ และเห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ว่ามากขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ให้มองไปที่กางเขน  ความทุกข์ทรมานของพระบุตร  และการสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพ่อ ของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักมาก มีลูกชายอยู่คนเดียว ท่านคิดดู ยอมให้ลูกมาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และทนทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

ท่านคิดว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อชำระบาป  และการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมวล แบบสนิทชิดเชื้อ เป็นวิญญาณเดียวกันตลอดไป

สิ่งเหล่านี้ที่ทำที่ไม้กางเขน การตายด้วยความทุกข์ทรมานของพระเยซู การถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นพลังงานอำนาจที่เป็นฤทธิ์เดช สำหรับมนุษย์ทั้งหลายที่ได้เห็น ได้ซึมซับ ได้รับเอาความจริงตรงนี้เข้าไป

ความรักสำแดงออกที่ไม้กางเขน ชำระเราให้บริสุทธิ์ แล้วมาอยู่ สนิทชิดเชื้อกับเรา มาโอบกอดเรา ในวิญญาณของเราตลอดไป โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

ความรักของมนุษย์ สำแดงออกที่เวลา  เวลาเป็นสิ่งที่สำแดงให้เห็นชัดมาก ถึงความรักที่เรามีต่อใครก็ตาม ถ้าพ่อและแม่รักลูก ไม่ใช่เฉพาะหาเลี้ยง ให้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ซึ่งก็ให้ด้วยความรัก ถูกต้อง แต่ลึกซึ้งกว่านั้น  ที่ทำให้ลูกสัมผัสถึงความรักของพ่อและแม่ได้มากขึ้น และชัดเจน และไม่มีวันลืมเลย ก็คือเวลาที่พ่อแม่ให้กับลูก นั่นแหละสำคัญ

ผมเคยบอกบ่อยๆ เลี้ยงลูก 10 ปีแรก ตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งถึงอายุ 10 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากเลย เขาก็ไม่ได้อยากจะได้สิ่งของมากมายเท่าไร? ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งก็ดีอยู่ แต่สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด คือเวลาจากพ่อและแม่ ที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา โอบกอดเขา พูดคุยกับเขา ใช้เวลากับเขา ถ้าผมเลี้ยงลูก แล้วบอกว่ารักเขา ก็ดีอยู่ ตื่นขึ้นมา ก็บอกว่า …

“พ่อรักนะ”

แล้วพ่อก็ไปทำงาน  กลับมาดึกดื่น จะเจอเขาหรือไม่เจอเขาก็แล้วแต่  เจอเมื่อไร? ก็ … “พ่อรักนะ” … แล้วพ่อก็ไปทำงาน … “แม่รักนะ” … แล้วแม่ก็ไปทำงาน ฟังดูดีหมดแหละ ไปทำงานเพื่อเจ้า เขาเรียกว่าเด็กขาดความอบอุ่น ถูกไหม?

แต่ถ้าเราบอกว่า … “พ่อแม่รักเจ้านะ” … แล้วใช้เวลากับเขาด้วย  มีเวลาเมื่อไร อยู่เล่นกับเขา ไม่ใช่บอกรักเขา แล้วก็ไป  เมื่อเช้าบอกรัก แต่ตอนเย็น กลับมาเร็ว มาเล่นกับเขา พาเขาไปขี่จักรยาน  พาเขาไปว่ายน้ำ เล่นสนุกสนานกับเขา เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงแล้วแต่ นี่แหละคือความรักที่สำแดงออก ปากพูดว่ารักมันง่ายนะ  แต่การสำแดงออก คือการใช้เวลากับเขามันยาก  เราอยากไปทำอะไรส่วนตัวของเราบ้าง? เราคงคิดอย่างนั้น แต่เขาอยากได้เวลาจากเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่ยังเล็กๆ อยู่ ไปไหน? พาเขาไปด้วย แทนที่จะบอกรักอย่างเดียว กอดแค่นั้น นอกจากกอดแล้ว ยังพาไปเล่นอีกต่างหาก ไปสวนสนุกอีกต่างหาก สนุกสนานด้วยกัน เล่นน้ำด้วยกัน หัวเราะ เล่นตลกให้เขาดู เล่านิทานให้เขาฟัง อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่สำแดงออก คือเวลาที่ให้

พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือฮีบรู 13:15 และอีกหลายๆ ข้อในพระคัมภีร์เลย …

พระเจ้าบอกว่า … “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า และทอดทิ้งเจ้าเลย”

นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้าว่า … “เราจะไม่ละเจ้า ไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ ตลอดไป เราจะอยู่กับเจ้า และจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

วิวรณ์ 1:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้ … “4 ขอพระคุณ และสันติสุข มีแก่ท่านทั้งหลายจากพระองค์  ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา และจากวิญญาณทั้งเจ็ด หน้าพระที่นั่งของพระองค์ 5 และ​จาก​พระเยซู ​ผู้​เป็น​พยาน​ที่​ซื่อสัตย์ เป็น​คนแรก​ที่​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย​ และ​เป็น​ผู้​มี​อำนาจ​เหนือ​กษัตริย์​ทั้งหลาย​ ใน​โลกนี้ พระเยซู​คริสต์​รัก​เรา (เสมอ) และ​ได้​ปลดปล่อย ​ให้​เรา​เป็น​อิสระ ​จาก​บาป​ของเรา ​(ครั้งเดียวเป็นพอ) ด้วย​เลือด​ของ​พระองค์(คือ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์)”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ทรงรักเสมอ “เสมอ” คือตลอดไป หมายความว่าไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม พระองค์ทรงรักเราอยู่ และได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพจากบาป  คือไถ่บาปเรา ชำระบาปเรา ครั้งเดียวเป็นพอ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ด้วยความทุกข์ทรมานนั้น ครั้งเดียวเป็นพอ ยกบาปเราออก แบกบาปเราออกไปเรียบร้อยแล้ว

ในนี้บอกว่าทั้งหมดที่ทำนั้น คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ด้วยเลือดของพระองค์เอง เป็นการย้ำยืนยันว่าพระองค์รักเรามากขนาดไหน? ยอมตายเพื่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าคนตาย เพื่อคนดี ยังพอจะมีอยู่ ยังหาได้ แต่จะหาคนที่ตาย เพื่อคนชั่วนั้นไม่มีหรอก บนโลกใบนี้ แต่พระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตาย เพื่อคนบาป คนชั่วอย่างเรา

นี่คือความรักที่สำแดงออก ให้อภัยเราด้วยเลือดของพระองค์เอง ยกหนี้บาป เวรกรรมให้กับมนุษยชาติ ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับอิสรภาพ จากการเป็นหนี้ จากการเป็นทาสบาป เป็นทาสสกปรกเป็นทาสมาร ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้สำแดงความรักอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง โดยการยกเลิกหนี้บาปทั้งสิ้น  ที่ชดใช้อย่างไร ก็ไม่มีวันหมด  มนุษย์ทุกคนก็รู้อยู่แล้วในใจว่าบาปเวรกรรม มันใช้กันไม่หมดเลย  ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนๆ ก็ใช้ไม่หมด แต่พระเยซูคริสต์ได้มาไถ่บาปเรา ด้วยชีวิตของพระองค์เอง ยกหนี้ เวรกรรมทั้งหมดของเรา ให้เราเกลี้ยงเลย  จากคนบาป กลายเป็นคนบริสุทธิ์

ท่านลองคิดดู ถ้าท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะนึกอย่างไร?  นี่คือพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่  อย่ามัวมาคอยแต่จ้องมองพระพรต่างๆ บนโลกใบนี้ที่พระเจ้าช่วยเรา  เวลาเรารู้จักพระองค์ และอธิษฐานต่อพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเรา หายจากโรคบ้าง?  ตอบคำอธิษฐานตรงโน้นบ้าง? ตรงนี้บ้าง? ให้เราอยู่สุขสบายบนโลกใบนี้บ้าง? อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่ามัวแต่นับตรงนั้น เป็นความรักของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังและมัวแต่มองตรงนั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ซึ่งมารควบคุมอยู่ และสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน วิปริตไปตามระบบของโลกใบนี้  ที่มันกระทำให้เสียหายไป  เราก็จะไม่มั่นคงในความรักต่อพระเจ้า

พอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน หายป่วย เราก็ขอบคุณพระเจ้า ความรักพระเจ้ายิ่งใหญ่  แล้วตอนเราป่วยล่ะ เราทำอย่างไร? นึกภาพออกไหม? ตอนที่เราสุขสบายดี โอ้! ความรักของพระเจ้า เราสัมผัสได้ แล้วตอนที่บางครั้งไม่มีความสุข ตอนบางครั้งที่พบกับความทุกข์ยากลำบากตามระบบของโลกใบนี้  แล้วตอนนั้น เราจะอยู่อย่างไร? เราควรจะมองที่ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว และมันทำแล้ว  และเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนมากกว่า เป็นพลังยิ่งใหญ่  ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากที่พระองค์ได้สำแดงความรักต่อมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการยกหนี้บาปทั้งสิ้น เวรกรรมทั้งสิ้น อย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แบบฟรีๆ เปล่าๆ  โดยพระคุณนะ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  ยกหนี้บาปให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ภารกิจของพระองค์ในการช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้นั้น การตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อว่าแค่ให้มนุษย์ได้รับความรอด จากหนี้บาปทั้งหลาย ซึ่งใช้ไม่หมด ซึ่งสำคัญมากแล้ว แค่นั้นไม่พอ พระองค์ยังทรงรับเราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น มาเป็นลูกของพระองค์ด้วย

รับมาเป็นลูกของพระองค์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 จึงบันทึกเอาไว้ อย่างชัดเจนเลย จากยอห์น ซึ่งเป็นอัครสาวก ซึ่งเคยเดินกับพระเยซู เป็นผู้เดียวที่มีความ Sensitive เรียกว่ามีความสัมผัสอ่อนไหว ตอนที่เดินกับพระเยซู มีความรู้สึกสัมผัสความรักของพระเยซูที่มีต่อเขาอย่างมากเลย แล้วมากกว่านั้นอีกหลายเท่า เมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วมาเจอกับเขา เขายิ่งสัมผัสความรักของพระเจ้ามากขึ้นอีกสักเท่าไร? เยอะแยะมากมายไปหมด เขาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

นี่ยอห์น อย่างที่ตะกี้บอก ประวัติเขาเป็นอย่างไร?  เดินกับพระเยซู แล้วสัมผัสถึงความรัก  เห็นถึงความรักของพระเยซูอย่างไร? เขาพูดอย่างนี้

ถ้าเป็นผมหรือเป็นท่านอ่านข้อความนี้ แม้ว่าจะรู้จักความรักของพระเยซู เห็นความรักของพระเจ้าบ้าง เราคงได้อ่านแค่ …

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อพวกเราทั้งหลายนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น  มันยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  รับเราเป็นลูกของพระองค์”

เราคงพูดแค่นี้นะ  ก็คือเราสัมผัสลึกเท่าไร? เราก็จะเน้นคำพูดของเรา สรรหาคำพูดที่จะมาอธิบายให้คนเขาได้ยินว่า …

“โอ๊ย! ความรักขนาดไหน?”

นี่ยอห์นบอก ยอห์นสัมผัสมาก จึงได้เขียนในพระคัมภีร์ว่า … สมมติ พยายามทำเหมือนยอห์น

“จงมองให้เห็นเถิดว่าความรักของพระเจ้า ที่มีต่อเรา มนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  มหาศาลขนาดไหน?  รับเราเป็นลูกของพระองค์ ลูกจริงๆ นะ” พูดคำนี้เลยนะ

คำว่า “และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”  หมายถึงเป็นลูกจริงๆ  เน้นย้ำตรงนี้ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เราไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้  แต่เป็นลูก ลูกของพระเจ้าจริงๆ เพราะสมัยยอห์น  เขาเป็นคนยิว … คนยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม เขาติดต่อกับพระเจ้ามาตลอด เขาเชื่อพระเจ้ามาเป็นพันๆ ปี สนิทที่สุด คือเขาเป็นทาสของพระเจ้า  ทาสผู้รับใช้ เป็นผู้รับใช้ ก็คือเป็นคนใช้ของพระเจ้า คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นผู้รับใช้ เขาเรียกว่าเป็นทาสของพระเจ้า แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว แต่ตอนนี้  พระเจ้าได้ยกฐานะ มนุษย์ขึ้นมา รวมทั้งยอห์น ก็ได้รับยกฐานะขึ้นมาว่าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูว่าไถ่บาปเขา เขาได้รับการไถ่แล้ว  พระเจ้ารับเขาไม่ได้มาเป็นทาสเหมือนสมัยก่อน ไม่ได้รับเขามาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เหมือนสมัยก่อน แต่รับเขาเป็นลูกของพระองค์ เขาจึงเขียนคำนี้ไงว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะพี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เราไม่ใช่ทาส เราไม่ใช่ผู้รับใช้ เราไม่ใช่คนใช้ อีกต่อไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกจริงๆ

ที่ผมพยายามพูดตรงนี้ เพื่อให้ท่านได้เห็น  ได้ซึมซับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าว่ามันยิ่งใหญ่ ขนาดไหน? ยิ่งท่านเห็นมากเท่าไร? สัมผัสมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ฤทธิ์อำนาจแห่งความรักนี้ก็จะเข้าไปทำการงานในชีวิตของท่านมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากอภัยความบาปผิดของเราแล้ว  โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ยังได้กระทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ในครอบครัวของพระเจ้า  มีทรัพย์สมบัติ เป็นมรดกให้อีกต่างหาก

สิ่งเหล่านี้ เป็นพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  พระองค์ให้เราฟรีๆ เปล่าๆ เลย โดยผู้ที่กระทำ ก็คือพระเยซูคริสต์ แลกด้วยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เอง พระคัมภีร์บอกว่าซื้อชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ จากโคลนตม จากความสกปรก จากความบาป ซื้อเราขึ้นมาใหม่ด้วยโลหิตของพระเยซู ถ้าเราได้เห็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้เราได้เห็นอัศจรรย์ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรา และมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่ได้ทรงสำแดงผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ โรม 5:5 …

โรม 5:5 “และความหวัง (ในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้ว) ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรัก (อันมากมายเหลือล้น) ของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

“และความหวัง” ถามว่าความหวัง หวังในอะไร? และความหวังในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้วนั่นเอง ก็คือความหวังในถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และมาทำการงาน ช่วยให้เรารอดเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่จากความตายของพระองค์ ที่กระทำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และความหวังนี้ ไม่ใช่ความหวังชนิดที่เป็นแบบของมนุษย์บนโลกใบนี้ เรียกว่าเป็นความหวัง เพราะตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้  ตามภาษาโลก ความหวัง มันแปลว่าอนาคต มันยังไม่ได้นะ  แต่ความหวังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความหวังที่เขาเรียกว่า “Now”  คือเดี๋ยวนี้ บัดนี้  ความหวังที่มันเกิดขึ้นแล้ว  ความหวังที่มันเป็นจริงแล้ว  และความหวังที่เกิดขึ้นแล้ว  ในพระสัญญา คือการงานที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว ที่ไม้กางเขน  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ทำให้เราผิดหวัง คือไม่มีวันผิดหวัง เพราะมันเป็นจริง มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในโลกวิญญาณ แต่สัมผัสได้ด้วยอย่างที่ผมบอก ด้วยพลังของความรัก

เพราะเบื้องหลังของความสำเร็จนั้น คือพลังของความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ ส่งพลังลงมา  พลังนั้น เป็นความรักผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ที่บังเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือพลังมหาศาล และสำแดงพลังมหาศาล ความรักนี้ออกมา ที่การทนทุกข์ทรมาน และการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ถ้าใครเห็น ซึมซับสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์เดชอำนาจ และความยิ่งใหญ่ ก็เกิดขึ้นในชีวิตของเขาคนนั้นทันที และพระองค์ไม่ใช่ให้เรามีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ แบบที่ตะกี้นี้บอก ความหวังแบบมนุษย์  คือไม่รู้มันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า?  แต่เป็นความหวังแบบเดี๋ยวนี้ แบบ Now เป็นความหวังในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

และพระองค์ได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นมัดจำ เป็นตัวยืนยันกับเราว่าความหวังนี้เป็นจริง พระวิญญาณได้เข้ามา เพื่อว่าพระองค์จะได้สามารถเข้ามาสนิทชิดเชื้อ แนบสนิทกับเรา ให้เวลากับเราตลอดไป ตั้งแต่วันนี้  จนถึงนิรันดร์ มาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในตัวเรา อยู่ร่วมกับเรา  ในวิญญาณของเรา  เพื่อให้เวลากับเราตลอดไปนั่นเอง

ไม่ใช่ให้เราติดต่อกับพระองค์ นั่งอยู่บนสวรรค์ แล้วให้เราอยู่บนโลก ไถ่บาปเราแล้ว จากนี้ต่อไป เรารักกันนะ เราติดต่อกัน เราอยู่บนโลก แล้วพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ อธิษฐานกับพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้เวลากับเรา อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก การให้เวลา คือการสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่  ผู้ที่เป็นลูกสามารถสัมผัส แตะต้องได้ชัดเจน นี่คือคำว่ารัก ถ้าพระองค์อยู่ข้างบน แล้วบอกรักเราเฉยๆ ก็ได้อยู่ แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ย้ำยืนยันในความรักของพระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ให้เห็นชัดเจน ให้เราสัมผัสได้ โดยการมาอยู่กับเราเลย มานั่งอยู่กับเรา มากอดเรา อยู่ในร่างกายเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ไว้แล้ว  เพื่อให้เรามีความมั่นใจในความรักของพระองค์ว่าพระองค์ทรงรักเรา เพราะว่าพระองค์ทรงให้เวลากับเราตลอด 24 ชั่วโมงของบนโลกใบนี้ และตลอดไปในชั่วนิรันดร์ว่าจะอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้งเรา  อยู่กับเราตลอดไป

พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เป็นแผนการของพระองค์ในการไถ่บาป เราแล้ว ไม่ใช่ตั้งใจจะไถ่บาปเราเฉยๆ แต่ตั้งใจจะไถ่บาปเรา ชำระเราให้สะอาดหมดจด แล้วก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ แล้วพระองค์ก็มาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อจะใช้เวลากับเรา โอบกอดเรา นำพาชีวิตเราตลอดไป  เพื่อให้เราสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย อยู่ในร่างกายนี้แหละ จะพูดคุย ก็พูดอยู่ในร่างกายนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน พ่อกอดลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พ่อๆ พ่ออยู่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ไกลๆ จะอธิษฐานกับพ่อสักที ไม่รู้พ่ออยู่ไหน? ลูกอยู่ไหน? มันไกลเกิน พอนึกออกไหม?

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะเข้ามาชำระเราให้สะอาดหมดจด และพระบิดาจะเข้ามาทำที่อยู่อาศัยในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายนี้  ไปไหนไปด้วยกันเลย 4 วิญญาณไปด้วยกัน  วิญญาณของเราบวกกับวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  พูดคุยกันตลอดเวลา ก็ได้ เพราะอยู่กับเราตลอดเวลา  พระองค์ทรงชำระร่างกายของเรา จนสะอาดหมดจด แล้วก็ถ่ายเท แบ่งปัน ให้เราได้เข้าส่วนในความรัก ในวิญญาณ เข้าส่วนในความชอบธรรม หรือความดีงามของพระองค์ เข้าส่วนในชีวิตนิรันดร์ สภาพชีวิตนิรันดร์ ก็คือวิญญาณเดียวกันกับของพระองค์ ชนิดที่เป็นของพระองค์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณ  เหมือนเป็น DNA. เดียวกันกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ทำให้กับเรา โดยความรัก  เปลี่ยนแปลงวิญญาณของเรา ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระองค์ ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ พระองค์เปลี่ยนแปลงให้เรา เป็นวิญญาณความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด  ไม่ใช่เป็นความอาฆาตอีกต่อไป ตัวตนจริงๆ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพ่อของเรา พระเจ้าของเราเป็นความรัก เราเป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทางวิญญาณ เป็น DNA ทางวิญญาณก็ว่าได้

สมัยก่อนนี้เขามีคนมาซื้อขวด เขาเรียก “จิ๋วก๊วก” ตอนสมัยที่ผมเด็กๆ จะมีคนหาบตะกร้า แล้วตะโกนว่า …

“จิ๋วก๊วกมาขายๆ”

จิ๋วก๊วก แปลว่าขวดเหล้า ใครมีขวดเหล้าเก่ามาขาย  สมัยก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นขวดแก้ว ผมก็จะเก็บพวกขวดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำอัดลม, ขวดแก้ว, ขวดยา, ขวดเหล้า ก็จะเก็บสะสมไว้ พอเห็นจิ๋วก๊วกมาขาย เราก็เรียกเขามา เขาก็จะมาคัดดู ขวดนี้ 50 สตางค์ ขวดนี้สลึงหนึ่ง อันนี้ขวดใหญ่หน่อย บาทหนึ่ง รวมทั้งหมดนี้ ได้ 2 บาท เราก็เอาขวดไปขาย

ท่านรู้ไหมทำไมขวด เขาถึงซื้อไป คือโรงงานที่ทำขวด เพื่อเอาไปใส่ สมมติว่าใส่น้ำอัดลม ใส่น้ำยาอะไรต่างๆ เขาจะซื้อขวดเก่าไปรีไซด์เคิล ชำระความสะอาดจนหมดจด ด้วยยาฆ่าเชื้ออย่างดี พอสะอาดหมดจดแล้ว เขาก็จะใส่น้ำที่เขาต้องการลงไป ยกตัวอย่างเช่น น้ำกลั่น น้ำดื่มบริสุทธิ์ ใส่ลงไป หรือน้ำอัดลมที่เขาผสมเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไป พอเขาใส่ลงไป เขาก็จะเข้าเครื่องปิดจุก อย่างแน่นหนา อะไรก็เข้าไม่ได้อีกแล้ว

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าทำกับเรา ตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา มันเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ซื้อเรา เหมือนซื้อขวดเก่า ขวดก็คือร่างกาย ชีวิตของเรา แล้วพระองค์เอาไปชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ล้างจนสะอาดหมดจด แล้วพระองค์ก็ทรงเทความรักของพระองค์ วิญญาณของพระองค์ วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของเรา เทเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันเข้ามา เสร็จปุ๊บ ปิดจุก โดยใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดจุก แล้วผนึกตรา อยู่ในนั้นเสร็จเรียบร้อย  นี่คือตามหลักพระคัมภีร์แป๊ะเลยนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะเอาน้ำนั้นออกไปได้แล้ว เพราะว่าจุกปิดแน่นหนามาก

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้เทวิญญาณของพระองค์ ได้เทความรักอย่างล้นเหลือ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปในใจของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พอเทเข้ามา แล้วพระองค์ทรงปิดฝาอย่างแน่นเลย เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ด้วยกัน โรม 8:35-37 …

โรม 8:35-37 “35 ใคร​จะ​แยก​เราออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์​มี​ต่อ​เรา​ได้ ไม่​มี​เลย แม้แต่​ความ​ทุกข์ยาก​ หรือ​ความ​ลำบาก หรือ​การ​ถูก​กดขี่​ข่มเหง หรือ​ความ​อดอยาก​หิวโหย หรือ​การ​เปลือยกาย หรือ​อันตราย​ต่างๆ 36 หรือ​แม้แต่​การ​ถูก​ฆ่า​ฟัน ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์มี​ต่อ​เรา​ได้ 37 แต่​ใน​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่างนี้ เรา​ก็​ได้รับ​ชัยชนะ​อัน​ยิ่งใหญ่ ​ผ่าน​ทาง​พระองค์ ​ผู้​ได้​แสดง​ความรัก​กับ​เรา”

 

พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างนี้ พระองค์ทรงเทความรักอันล้นเหลือของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณเข้ามาในใจ ในวิญญาณของเรา แล้วก็ปิดฝาสนิท โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีใครที่ไหน? หน้าไหน? จะแยกเรา เอาเราออกไปจากความรัก ที่พระเยซูคริสต์ได้เทลงมาให้กับเรา

ความหมายตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ คำว่า “ใครจะแยกเราออกจากความรัก” ความรักตรงนี้เป็นคำนาม หมายถึงสิ่งหรือของ ใครจะแยกเราออกจากความรักที่พระเยซูเทให้กับเราลงมาในวิญญาณของเรา  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่มีเลย จะเป็นความทุกข์ยาก ความลำบาก หรือไม่มีเลย

ในตอนจบบอกว่าและในทุกสิ่งทุกอย่าง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ … ไม่ได้แสดงความรักแล้ว ความรักตรงนี้เป็นกริยาแล้ว ตรงกันข้ามกับบรรทัดแรก ตรงนี้ผ่านทางพระเยซูหรือพระองค์ผู้ได้รักเรา แค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับคำนามกับคำกริยาอย่างนี้ ท่านจะได้เข้าใจว่าความรักเป็นคำนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่ง เป็นของชิ้นหนึ่ง เห็นภาพ เป็นน้ำที่อยู่ในขวด ที่ชำระแล้ว  แล้วปิดผนึก โดยพระวิญญาณ ท่านจะได้เห็นภาพ แล้วพระเยซูหรือพระเจ้าใส่ความรักนั้นลงมาในขวด หรือร่างกายของเรานี้  คราวนี้มากริยาแล้ว เพราะพระองค์ทรงรักเรา เผอิญใช้คำว่ารักเหมือนกัน มันจะได้เห็นชัดขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าใครจะมาเอาความรักที่พระเยซูคริสต์เทใส่ลงไปในขวดนี้ ในร่างกายของเรานี้ ใครจะเอาความรักนี้ออกไปได้ ไม่มีทางแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเรา วิญญาณแห่งความรักแล้ว ใครเอาความรักออกไปจากวิญญาณเราได้ ไม่มีทาง ด้วยความรักของพระองค์ จึงใส่ให้เรา ซึ่งเป็นการใส่ โดยผ่านทางความรักของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย และด้วยความรักนี้ จึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาเอาความรักนี้ออกไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็คือไม่ว่าจะเป็นไวรัสโควิด ก็ไม่สามารถเอาความรักนี้ออกไปจากวิญญาณ ในร่างกายของฉันได้ ไม่ว่าจะเป็นผลของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตกงาน ร้านขายของ ขายไม่ได้ หรือติดเชื้อ หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือแม้กระทั่งสงคราม หรือการถูกข่มเหงรังแก หรือแม้ความตาย ก็ไม่สามารถเอาความรักที่พระเยซูเทลงมา ปิดผนึกตลอดไป ชั่วนิรันดร์แล้ว

ถ้าท่านเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะได้ซึมซับเอาพลังความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา อ่านต่อไปในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะเรา​มั่นใจ​ว่าไม่ว่า​จะ​เป็น​ความตาย​หรือ​ชีวิต ทูตสวรรค์​หรือ​เทพเจ้า สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​ใน​ปัจจุบัน​ หรือ​สิ่ง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​อนาคต 39 พวก​วิญญาณ​ที่​มี​ฤทธิ์​อำนาจ สิ่ง​ที่​อยู่​เหนือ​เรา หรือ​สิ่ง​ที่​อยู่​ต่ำ​กว่า​เรา หรือ​อะไรก็​ตาม​ที่​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา พวก​มัน​ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ของ​พระเจ้า ​ที่​เรา​เห็น​ใน​พระเยซู​คริสต์เจ้า​ของ​เรา”

 

พระเจ้ากำลังบอกเราว่า … “ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าก็ตาม ความรักของเราช่วยเจ้าได้แน่นอน อยู่กับเจ้าแน่นอน เราจะพาเจ้าผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เราจะไม่ปล่อยปละละเลยเจ้า ให้เจ้าเหมือนกับลูกกำพร้า ไม่มีใครดูแล เพราะเราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าอยู่กับเจ้าเสมอตลอดเวลา นิ่งเสียเถิดเราอยู่กับเจ้าด้วยความรัก”

เปาโลจึงเขียนคำนี้ ขึ้นต้นชัดเจน พอเปาโลได้เห็น ได้ซึมซับพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าอย่างนี้ เปาโลจึงเขียนคำนี้ว่า …

“เพราะเรามั่นใจว่า …”

เปาโลมั่นใจ เพราะเขาได้เห็น ได้ซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเหล่านี้เข้ามาแล้ว ผ่านทางการงานของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทนทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เขาเห็นและซึมซับ รับรู้ ความจริงเหล่านี้ เข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว  เขาจึงบอกว่าเขามั่นใจ ถามตัวเราเองว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราพูดคำนี้ไหมว่าเรามั่นใจมากเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หรือนอกโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตาม ตอนไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะมาแยกเรา  เอาความรักนี้ ออกไปจากชีวิตของเราได้เลย เพราะเราเป็นความรักนี้ไปแล้ว ความรักของพระเจ้ามาอยู่ในเรา และเราอยู่ในความรักของพระเจ้าไปแล้ว

บรรทัดสุดท้ายจึงได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า … “พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

ท่านเห็นหรือยัง? ท่านอาจจะรับรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ตายเพื่อท่าน ที่ไม้กางเขน แต่ท่านเห็นความรักของพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้วหรือยัง? ท่านอาจจะเห็น มีรูปเขียนอยู่ มีรูปวาดให้ดู มีรูปถ่ายให้ดู ท่านอาจจะเห็น แต่ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นหรือไม่? ถ้าท่านรับรู้ด้วยตาเนื้อ รับรู้ด้วยภาพ รับรู้ถ้อยคำในพระคัมภีร์ แล้วรับรู้เสร็จแล้ว ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นเข้าไป ในความจริงเรื่องนี้  แล้วก็ซึมซับเอาความรักของพระเจ้านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน  เปิดใจต้อนรับเข้ามา นี่แหละ มันจึงจะเกิดผลได้ มันจึงจะสปาร์คติด เป็นการปฏิบัติการกระทำบนโลกใบนี้ ชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนกับเรื่องแรกที่ได้เล่าให้ฟัง ชายหนุ่มคนนั้นที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่หมดเลย  โดยการสัมผัส ซึมซับเอาความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่มีต่อเขา ซึมซับ สัมผัส รับเอา เข้ามาได้ ในสิ่งที่เขาเห็น

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ  ที่หนักแน่นและมั่นคง ในความรักที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ไม่ใช่เฉพาะในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงชั่วนิรันดร์ว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีฤทธิ์อำนาจที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ใต้เรา ไม่มีอะไรก็ตามที่จะถูกสร้างขึ้นมา ที่มันจะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้ ไม่มีทางแล้ว เราอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์ทรงกอดเราอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะมัวแต่กลัวว่าทำอย่างโน้นได้ไหม? ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนี้แล้วจะไม่ได้ไปสวรรค์ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะทิ้งเรา คิดใหม่ซะให้ดีๆ มันถูกหรือไม่ถูก? มีข้อแม้ไหม? ความรักของพระเจ้าไม่มีข้อแม้ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะลงโทษ

ต้องบอกว่าทำอย่างโน้นอย่างนี้ปุ๊บ พระเจ้าจะเสียใจ อย่างนี้สิถูก คงรักเราเหมือนเดิมแหละ แต่พระองค์เสียใจ พระองค์อยากให้เราได้สิ่งที่ดีๆ ได้รับผลตอบแทน ได้มีความสุข บนโลกใบนี้ ถ้าเราโกรธ ไปเกลียดคนอื่นเขา มันก็ทุกข์ มันก็เครียด พระองค์ก็เสียใจ พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะไม่มีวันละทิ้งหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้า  เรารักเจ้าถึงนิรันดร์”

ความรักของพระองค์เป็นนิรันดร์

“ไม่ว่าเจ้าจะชั่วหรือจะดีขนาดไหนก็ตาม เรารักเจ้าชั่วนิรันดร์”

พระเจ้ากำลังตรัสกับเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งคนที่เชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว หรือยังไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับเราทั้งหลายว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือไม่ทำดีเลยก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเราก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงรักเจ้าเหมือนเดิม วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ตลอดไป เอเมน”

นี่คือคำพูดของพระเจ้าที่พูดต่อมนุษย์ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ พระองค์ก็เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ ความรักของพระเจ้าอย่างนี้แหละ จึงเป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนทุกคนบนโลกใบนี้ และของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ถ้าเขารู้และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เราจึงจำเป็นมาก ที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ และให้เห็น ซึมซับรับเอาพลังอำนาจ ซึ่งเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ เข้ามาในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อจะได้เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พักสงบ ในความรักของพระองค์ ในพระคริสต์ตลอดเวลา และตลอดไป

เรามาอ่าน 1 ยอห์น 3:1 อีกครั้ง …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อเรานั้น  มากมายมหาศาลขนาดไหน? ถึงขนาดเรียกเราว่าลูกของพระองค์ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จงมองให้เห็นเถิด”

อยากให้พี่น้องทั้งหลายในวันนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยังก็ตาม จงมองให้เห็นเถิด วันนี้วันวาเลนไทน์ จงมองให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพลังอันมหาศาล ที่จะช่วยชีวิตของท่าน ไม่ใช่ช่วย ณ ปัจจุบันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ถึงชีวิตหน้า ไปชั่วนิรันดร์ ท่านต้องพึ่งมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับท่านนี้ โดยการ … จงมองให้เห็นความรักของพระองค์เถิด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ที่ทำให้ท่านได้ สามารถเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นลูกของพระองค์จริงๆ … พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************