คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราร่วมกันทำมหาสนิทแบบ New Normal คืออยู่คนละสถานที่ แต่ยังสามารถรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ได้ ร่วมกันทำมหาสนิท คือสนิทกันมากเลย

วันนี้ก็เลยอยากมาพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิท จึงใช้หัวข้อเรื่องในการบรรยายในวันนี้ว่า “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”  พอมาเชื่อพระเจ้า คริสเตียนทุกคนจะคุ้นเคยกับการทำมหาสนิท ที่เรียกกันว่า “พิธีมหาสนิท” หรือบางครั้งเขาก็เรียกกันว่า “โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หรือเรียกว่า “การมาหักขนมปัง กินน้ำองุ่น”

คริสตจักรบางแห่งก็มีการทำมหาสนิท ทุกสัปดาห์เลย บางแห่งก็ทำเดือนละครั้ง  เป็นพิธีที่ทำกันมายาวนาน จนถึงทุกวันนี้ มีหลายคริสตจักร ก็ทำมหาสนิทด้วยหลักการแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็ทำพิธีมหาสนิททางศาสนาหนึ่ง บางแห่งก็พยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดปฏิบัติพิธีนี้ ให้บรรยากาศมันดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์อะไรอย่างนี้

วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่าการทำมหาสนิท คืออะไร? อยากจะคุยให้ฟังว่าพื้นฐานของการทำมหาสนิทมาจากไหน? จริงๆ แล้วการทำมหาสนิทมีความหมายว่าอย่างไร? ทำเพื่ออะไร?  เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ ตามหลักการของพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ สำคัญตรงนี้

คำว่า “มหาสนิท” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Communion” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Communio” ที่แปลว่า “มีส่วนร่วมในสิ่งเดียวกัน  (sharing in common)”  ก็คือมีส่วนเข้าไป เป็นเหมือนกัน เป็นพิธีรำลึกถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูนั่นเอง

ที่มาของการทำมหาสนิท เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร? ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นผู้ตั้งขึ้น เป็นผู้เริ่มทำขึ้น เป็นผู้แรก เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงร่วมรับประทานอาหาร มื้อสุดท้ายกับสาวก 12 คนในคืนวันก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือหัวค่ำวันพฤหัสฯ พูดง่ายๆ วันนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นเทศกาลปัสกา ได้กินปัสกากัน

ปัสกา คือ Pass over เล็งถึงตอนที่พระเจ้านำอิสราเอล ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปี โดยการนำของโมเสส ในวันที่จะออกจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พระเจ้าได้บอกกับโมเสสว่าให้ทำ พิธีปัสกา Pass over นี้ ด้วยวิธีให้กินขนมปังไร้เชื้อ และให้กินเนื้อย่างของลูกแกะ หรือแพะ ที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชา  หัวค่ำนั้นแหละ เขาเรียกกันว่า “อาหารมื้อปัสกา”   คือ Pass over พระเยซูอยู่ในปัสกา   ในคืนก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน   เขากินปัสกากัน ตามประเพณีชาวยิว  พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้ทำมหาสนิทนี้ เพื่อเข้าไปแทนที่พิธีปัสกาของชาวยิว ในอดีตนั่นเอง ที่มีการรับประทานอาหาร ก็คือขนมปังไร้เชื้อและแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงที่พระเจ้านำอิสราเอลผ่านทางโมเสส พ้นจากการเป็นทาส 430 ปี เป็นทาสอียิปต์ ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย  เป็นทาสเขาตลอด  เป็นเทศกาลที่มีบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ บทที่ 12 – 13 ท่านลองไปอ่านดูก็ได้นะ แล้วพระเจ้าพาออกมาเสร็จปุ๊บ ก็บอกให้ชาวอิสราเอลทำอย่างนี้เป็นประจำ เพื่อจะได้ระลึกถึงวันที่พระเจ้าพาพวกท่าน หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปีอย่างอัศจรรย์ ให้ทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึง เรียกกันว่า “เทศกาลปัสกา” ให้ทำเป็นประจำปี

โดยได้บันทึกไว้ในนั้นว่าพระเจ้าให้เทศกาลนี้เป็น “เทศกาลเฉลิมฉลองปัสกา” เฉลิมฉลอง แปลว่าอย่าลืมนะ พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด ได้ทำให้พวกเราหลุดพ้น จากการเป็นทาส ให้ระลึกถึง แล้วชื่นชมยินดี  ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำ

มีบางคนเข้าใจว่าการทำมหาสนิทนี้ มาจากสาวกคนใดคนหนึ่ง บางคนก็นึกว่ามาจากเปาโลมั้ง เปาโลเป็นคนตั้งขึ้น หรือเปโตรเป็นคนตั้งขึ้น จริงๆ ไม่ใช่เลย ผู้ที่เริ่มทำผู้แรก แล้วให้ทำ ก็คือพระเยซูเอง แล้วพระเยซูก็บอกสาวกว่าให้ไปบอกต่อๆ กันว่าให้ทำพิธีนี้บ่อยๆ

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นทำมหาสนิท แล้วถามว่าทำครั้งแรกเมื่อไร? อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำเมื่อวันปัสกาสุดท้าย

ทำไมต้องบอกว่าสุดท้าย  ก็เป็นปัสกาสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เป็นปัสกาเองเลย พระเจ้าลงมาเป็นปัสกา เป็นแพะ เป็นแกะปัสกา ให้เขาฆ่า พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา เพื่อชำระบาป  ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในหนังสือลูกา 22:14-20 ค่ำวันนั้น วันที่จะรับประทานปัสกากันในชาวยิว พระเยซูกลับทำสิ่งนี้แทน …

ลูกา 22:14-20  “14 เมื่อถึงเวลา  พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง  ที่จะรับประทานปัสกานี้  ร่วมกับพวกท่าน  ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า” 17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า  แล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม 18 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง”  19 และพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา  และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” 20 หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน  แล้วตรัสว่า  “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

 

ให้พวกเราพูดตรงนี้พร้อมกันว่า …

“พระเยซูตรัสว่านี่คือกายของเรา เพื่อให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา”

“เป็นการระลึกถึงเรา” หมายถึงระลึกถึงพระเยซู พระเยซูพูดเป็นข้อสุดท้ายบอกว่า …

“ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

“หลั่งรินออก เพื่อท่าน” ก็คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ พระเยซูทำสิ่งนี้ แทนการกินปัสกา

พวกสาวกนึกว่าพระเยซูจะทำปัสกา พระเยซูบอกเปล่าหรอก มาทำสิ่งนี้แทน เพราะปัสกาในอดีต ในสมัยโมเสสนั้น เล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง ปัสกาที่เริ่มต้นทำมา เป็นเวลา 1,400 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเปลี่ยนตอนนี้  ได้ถูกทำกันมา  ฉลองกันมา ระลึกกันมา 1,400 กว่าปี จนพระเยซูมาเปลี่ยน พูดง่ายๆ พระเยซูจะมาบอกว่า …

“ปัสกาที่ท่านทำมาตลอด เล็งถึงเรา  และเรามาอยู่ที่นี่แล้ว  เราจะเปลี่ยนแล้วนะ จากนี้ต่อไป ไม่ต้องมีปัสกาแบบเดิมอีกแล้ว ยกเลิกปัสกาเดิม ยกเลิกการกระทำ เฉลิมฉลองแบบเดิม เพราะตัวจริงมาแล้ว”

เขาถึงรับไม่ได้ไง ชาวยิวตอนนั้นรับไม่ได้ งง ทำมาตั้งพันกว่าปี แล้วอยู่ดีๆ มาบอกเลิกเลย พระเยซู ประกาศมา 3 ปีแล้ว นี่เป็นการประกาศข่าวดีครั้งสุดท้ายของพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม นี่เป็นการประกาศว่าพันธสัญญาเดิม กฎเดิม ยกเลิกแล้ว ตัวจริงมาแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เป็นการประกาศข่าวดี ย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

โดยขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และน้ำองุ่น ก็เล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา ที่ไม้กางเขนเช่นเดียวกัน เพื่อชำระความผิดบาปของมนุษย์ทั้งปวง

การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่น เล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสนิทกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน เพราะว่าได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์แล้ว วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้า สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:16-17 อาจารย์เปาโลได้อธิบายนิดหนึ่งตรงนี้ว่า … “16 ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว  เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน  เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

 

การทำมหาสนิท เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะผู้รับบาปให้กับเรา ผลมันออกมาเป็นอย่างไร? ซึ่งทำให้ระบบการถวายเครื่องบูชาต่างๆ ของปุโรหิตในสมัยโมเสส สิ้นสุดลง มันไม่ต้องทำแล้ว ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวก็เป็นพอเรียบร้อยเลย ชำระหมดสิ้นเลย ตลอดไป ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เรามาอ่านดูอีกนิดหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู 7:27 …

ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน  เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ  ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเอง  จากนั้น  จึงถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

แทนที่จะเป็นสัตว์ เป็นแพะ หรือเป็นแกะ ถวายทุกๆ ปี ไม่สามารถชำระได้ ปกคลุม ปกปิดความบาปได้ชั่วคราว แต่พระเยซูเองมาเป็นแพะผู้ประเสริฐ เป็นแกะผู้ประเสริฐ มารับบาป เป็นพระบุตรของพระเจ้า รับบาป ครั้งเดียว เอาไปหมดเกลี้ยงเลย นั่นเอง โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ถึงความสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ ฮีบรู 10:14 ก็บันทึกอย่างนี้  …

ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

“โดยการถวายบูชาครั้งเดียว” ถวายตนเอง ถวายตัวของพระองค์เอง

หลังจากที่พระเยซูได้ทำมหาสนิทครั้งแรก ร่วมกับสาวก เป็นแบบอย่างแล้ว ก็มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าต่อมา เหล่าสาวกก็ยึดถือและปฏิบัติตามต่อๆ กันมา ครั้งแรกที่สาวกทำกันเอง หลังจากที่พระเยซูทำกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสำเร็จการไถ่บาป ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว สาวกทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้กระทำสิ่งนี้แหละ กิจการ 2:42 …

กิจการ 2:42  “เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูต  และในการร่วมสามัคคีธรรม  ในการหักขนมปังและในการอธิษฐาน”

 

“ในการร่วมสามัคคีธรรม” สามัคคีกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเขาว่าเขาทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และเขาทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน โดยทำการระลึกถึง คือการหักขนมปังและการทำมหาสนิทนั่นเอง

อาจารย์เปาโลก็ได้พูดถึงหลักการทำมหาสนิทตรงนี้ ไว้อย่างละเอียด ค่อยข้างเป็นระเบียบอย่างดีเลย เรามาเรียนรู้กันว่าอาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิทนี้อย่างไร?  ถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์จริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 …

1 โครินธ์ 11:23-26  “23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น  ข้าพเจ้าได้รับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น  พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงหัก และตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา”  25 เมื่อรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น  กระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่  ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา26 เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้  ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา”

 

“นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละแก่ท่านทั้งหลาย” พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น “จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา” … “เรา” หมายถึงพระเยซู

พระเยซูตรัสอีกว่า … “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดพวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา”

และยังพูดประโยคสุดท้ายบอกว่าถ้าท่านกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นอย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ ก็คือข่าวดีขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา

ก็คือกำลังประกาศเรื่องข่าวดี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ประกาศว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง  ท่านกำลังประกาศความเชื่อตรงนี้ และประกาศความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ซึ่งคือวัตถุประสงค์ของพระเยซูต้องการให้เรากระทำอย่างนั้น เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และประกาศออกไป

วัตถุประสงค์ของพระเยซู คือต้องการให้เรารำลึกถึง สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน สำเร็จแล้ว  ก็คือข่าวดีได้ถูกกระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว เริ่มตั้งแต่การไถ่บาปให้เราจนหมดสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มาสถิตอยู่กับเรา ในวิญญาณของเราเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ให้เรามีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า มีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ แบ่งชีวิตของพระองค์มา เป็นชีวิตของเรา ให้เราเกิดใหม่ ให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มาเป็นของขวัญ พระเจ้าทรงประทานให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เราเรียกกันว่า “พระคุณ”

ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่เหมือนพันธสัญญาเดิม สมัยโมเสส ที่เขาเรียกว่าใช้ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ท่านทำ ท่านได้ ท่านไม่ทำ ท่านโดนลงโทษ ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง  เพื่อจะได้ดี ซึ่งไม่มีใครสามารถพึ่งตนเอง และกระทำความดีได้ด้วยตนเอง แบบสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีผิดพลาดเลย  เพราะตัวเองมีเชื้อของบาป  เป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็เป็นคนบาปอยู่ดี มากหรือน้อยก็บาปอยู่ดีนั่นแหละ

ข่าวดีของพระเยซู คือเมื่อเปิดใจแล้ว พระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  เราได้ความรอด จากอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่านรก ย้ายจากนรก มาสู่สวรรค์ ย้ายออกจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า แทนที่จะเป็นทาสของมาร  ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม … ชอบธรรม ก็คือการเป็นคนดี โดยไม่ต้องกระทำ เป็นคนดีโดยกำเนิด  เกิดมาเป็น  โดยกำเนิดเกิดมาเป็นคนดีเลย เขาเรียกว่าผู้ชอบธรรม และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที นี่คือข่าวดี

และทั้งหมดนี้เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที ได้รับความรอด เมื่อนาทีเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ชีวิตที่เกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์บอกว่า “ถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์” แอบไว้อยู่ในพระคริสต์ในโลกวิญญาณนั่นเอง  คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง โดยให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ แล้วก็มาติดสนิท เรียกว่ามหาสนิท สนิทกับมาก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านทางบัพติศมา … บัพติศมา ก็เหมือนกับการผ่าตัดวิญญาณ เข้ามา แล้วก็เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาเราเข้าส่วนในวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ทำให้มันสนิทกันมากๆ ซึ่งบันทึกเอาไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 ชัดเจนมากว่านี้คือข่าวดี

สนิทกันอย่างไร? ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบัพติศมาเข้าไปสู่ คือเข้าไปอยู่ในความตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และถูกฝังอยู่กับพระเยซูคริสต์ ในอุโมงค์ และได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ถูกนั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างนี้ สนิทกันมาก”

นี่คือเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ใครก็ตาม ใช้สิทธิของเขา ที่เชื่อในพระองค์ และยอมรับว่า …

“ฉันเชื่อแล้ว ฉันอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน มันเป็นสิทธิของฉัน ต้อนรับสิ่งนี้เข้ามา”

โดยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้ มหาสนิท แปลว่าอย่างนี้ ขอโทษทีนะ เขาเรียกว่าโค-รต สนิทเลย ไม่หยาบนะ มันชัดดี

มหาสนิทหมายถึงอภิมหาสนิท สนิทขนาดไหน? สนิทกันเป็นวิญญาณเดียวกัน

เมื่อเปิดใจ ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในวิญญาณเราทันที ได้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว ทันที สวรรค์จึงเป็นสถานที่ที่เราผู้เชื่อทั้งหลาย นั่งอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่เราหวังว่าจะไปอยู่ในอนาคต ไม่ใช่ อยู่แล้วเดี๋ยวนี้เลย จึงต้องรำลึกถึง ระลึกถึงบ่อยๆ เดี๋ยวมันลืม เดี๋ยวมันนึกไม่ถึง

คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อ พระคัมภีร์บอกว่าเขาได้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ … ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง …

ที่หนึ่งเรียกว่าที่มืด, ไม่มีพระเจ้า, นรก, ในอาดัม

อีกที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง, มีพระเจ้า, สวรรค์, ในพระคริสต์

มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งตรงนี้ ในอาดัมหรือไม่ก็ในพระคริสต์

พระเยซูจึงตรัสกับเราว่า … “จงดำรงอยู่ในเรา” หมายถึงต้องเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ จึงจะเกิดผล จึงจะเป็นคนดีได้ … “จงดำรงอยู่ในเรา เปิดใจต้อนรับเราสิ เราจะได้เข้าไปทำให้ท่านกับเรา ดำรงอยู่ด้วยกันได้  คือเราอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในเราได้” มันหมายถึงอย่างนั้น

“เพื่อว่าเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ” ทั้งวิญญาณของพระเยซูคริสต์เอง และวิญญาณของพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากการผ่าตัดย้ายวิญญาณเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ผลออกมาเป็นอย่างนี้ ตรงนี้พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน  มหาสนิท  Communion หรือ Communio หรือเรียกว่าสามัคคีธรรม เวลาคริสเตียนพูดกันในพระคัมภีร์บอกสามัคคีธรรม มันหมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมกันในวิญญาณ

ท่านลองคิดดู ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน? เมื่อเรารู้ว่าความจริง คือเราได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณเรียบร้อยแล้วตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เราสนิทกับพระองค์มากตอนนี้ ไม่ใช่รอคอยตอนที่วันหนึ่ง เราจะไปรู้จักพระเจ้า ในสวรรค์ ไม่ใช่วันหนึ่งที่เราทำดี และรักษาความเชื่อไว้ เราจะไปอยู่ในสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในอนาคต  แต่มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย  ขณะนี้เลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ลองอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ดูนะ เอเฟซัส 2:2-6 เป็นตัวยืนยันว่าสิ่งที่พูดนั้น เป็นจริงในโลกวิญญาณอย่างไร? …

เอเฟซัส 2:2-6  “2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้  และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม  5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์

 

“ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับข่าวดี ต้อนรับพระเยซู เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาในชีวิตแล้ว

“ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ก็คือการเกิดใหม่

“และในพระเยซูคริสต์” ก็คือย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ “พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

ถามว่า … “ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน?” … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

และถามว่า … “เราผู้เชื่อในพระเจ้าขณะนี้  เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตาย  เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?” … อยู่ในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่? ใช่

เราจะไม่ได้ตุ๊มๆ ต่ามๆ ว่าตายแล้ว เราจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้? แต่ที่รู้แน่ๆ ตอนนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะไปไหนล่ะ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ตายแล้วไปสวรรค์ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราที่จะเชื่อ ถูกไหม? ไม่ต้องตุ๊มๆ ต่ามๆ นี่แหละคือสาเหตุที่พระเยซูคริสต์อยากให้เรารำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน พระเยซูจึงย้ำยืนยัน ให้เราทำมหาสนิทบ่อยๆ เมื่อไรทำก็ตาม ก็ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อจะไม่ลืม เพื่อจะได้เล่าต่อกันไป รุ่นสู่รุ่น สู่รุ่นหลานเหลนโหลนเลย  ในท่าทีของการเฉลิมฉลอง ดีใจ ไม่ดีใจเหรอ อยู่ในสวรรค์แล้ว ง่ายๆ อย่างนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสบาปอีกต่อไปแล้ว ฉลองเหมือนวันปัสกาเดิม ที่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส กินปัสกา เพื่อเฉลิมฉลองว่าพระเจ้าได้ช่วยให้อิสราเอลหลุดพ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เล็งถึงพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษย์ได้เป็นอิสรภาพ จากการเป็นทาส ตลอดชั่วนิรันดร์เลย เป็นทาสมารต่อไปอีกเมื่อไรก็ไม่รู้เป็นนิรันดร์ ถ้าไม่มีพระเยซูมา แต่นี่เป็นอิสระจากการเป็นทาสได้ชั่วนิรันดนร์เหมือนกันในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราควรระลึกถึงและฉลอง เหมือนเราฉลองคริสตมาส เหมือนฉลองวันอีสเตอร์

พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันอีสเตอร์เลยนะ พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันคริสตมาสเลย แต่เราทำกันเอง แต่พระเยซูบอกให้เราฉลองอันนี้ ให้ทำบ่อยๆ ฉลองอะไร? การทำมหาสนิท ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  มันจะได้ทำได้ทุกวัน  ทำได้บ่อยๆ  เพราะฉะนั้น การฉลองคริสตมาสก็ดี การฉลองวันอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐก็ดี ก็ทำดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะปีละครั้ง ทำบ่อยๆ เลย ก็ไม่ต้องฉลองคริสตมาส ก็ฉลองมหาสนิท สนิทมาก เมื่อรู้ความจริง

มหาสนิท หรือการทำมหาสนิท หรือการร่วมโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือการหักขนมปัง จึงสมควรเป็นพิธีแห่งความชื่นชมยินดี เป็นพิธีแห่งการเฉลิมฉลองของผู้เชื่อทุกคน เหมือนที่พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลในอดีตเฉลิมฉลองวันเทศกาลปัสกา ขนมปังไร้เชื้อนั่นเอง ตามข้อมูลนี้ ถูกเป๊ะเลยนะ

แล้วข้อมูลมาถึงเรา ผิดเพราะอะไร?  ก็เพราะเรามีศัตรู ที่คอยปิดตาเราไม่ให้ความจริงมาถึงเรา ก็คือมารนั่นเอง  มารพยายามปกปิดความจริงเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ข่าวดีของพระเยซูสมบูรณ์ครบถ้วน เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ อย่างครบบริบูรณ์ เมื่อคนมาเชื่อ ไหนๆ ก็ปิดตาไม่ได้แล้ว เชื่อไปแล้ว เขาเรียกว่าไม่ได้ผลสมบูรณ์ เอาไปสัก 20% ก็พอ  เอาไป 50% พอ ไม่ให้สมบูรณ์ เพราะว่าถ้าสมบูรณ์เมื่อไร? ข่าวดีได้ถูกประกาศออกไป  ทั่วโลก มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง ก็จะมารับเชื่อง่ายๆ เพราะว่ามันง่ายนิดเดียวอย่างนี้ แต่มารปกปิด แล้วทำให้มันเป็นเรื่องยาก แล้วก็ลำบาก แล้วมนุษย์ทำไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยไม่มีใครเข้ามาหาพระเยซูอย่างง่ายๆ อย่างนี้ ไม่มีใครเข้ามารับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขาแล้วที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว ไม่มีใครอยากเข้าสวรรค์ที่ง่ายๆ อย่างนี้อีก ก็เพราะว่ามนุษย์ทำให้มันยาก … ยากโดยการถูกหลอก ถูกขโมยความจริงออกไป มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ขโมยอันดับแรก คือขโมยความจริงออกไปก่อน

เรามาดูกันว่าผู้เชื่อมักจะเข้าใจผิด เรื่องมหาสนิทกันว่าอย่างไร? เราลองมาดูกันว่ามารขโมยอะไรไปบ้าง?  พระเยซูให้เราทำมหาสนิทนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เพื่อให้เราระลึกถึงตัวเอง ค่อยๆ คิดตามนะ ไม่ใช่ให้เรามาระลึกถึงตัวเอง  แต่ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  ไม่ใช่มาระลึกถึงสิ่งที่เราทำ  ซึ่งเป็นผลมาจากการตีความที่ผิด  จากบริบทของพระคัมภีร์

อย่างเช่นใน 1 โครินธ์ 11:28 ที่บอกว่า … “แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง และดื่มจากถ้วยนี้”

ถ้ายกมาข้อเดียวอย่างนี้ โดดๆ แล้วพยายามตีความปราศจากการดูบริบท ก็กลายเป็นว่าก่อนจะรับประทานขนมปังและดื่มน้ำองุ่น คือทำมหาสนิทนี้ เราต้องมาพิจารณาตัวเราเองก่อน ถูกไหม? ตีความข้อนี้ออกมา แล้วก็ตีอย่างนี้เลย เสร็จแล้วก็เพิ่มกันใหญ่เลยว่าต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าไปทำผิดบาปที่ไหนมาหรือเปล่า ก่อนจะทำมหาสนิท ยังโกรธใครอยู่ไหม? ยังไม่อภัยให้ใครอยู่บ้างหรือเปล่า? ยังโกรธเคืองใครอยู่ในใจหรือเปล่า? บริสุทธิ์พอไหมที่จะรับมหาสนิท ความประพฤติดีพอไหม?  ที่เข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งมันตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าพระเยซูไถ่เราแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แค่ไหน?

เพลงที่จะร้อง แทนที่จะเป็นเพลงที่เฉลิมฉลองของพระเยซูคริสต์ ก็กลายเป็นร้อง …

“ขอพระองค์เมตตา  ข้ามาเฝ้าเดี๋ยวนี้

ขอพระโลหิตจากกางเขน ล้างบาปให้สิ้นกรรมเวร”

“ฉันแย่เหลือเกิน ฉันมันเลว”

ถูกไหม?  ท่านลองคิดต่อเรื่อยๆ  ทั้งๆ ที่พระเยซูก็บอกแล้วว่า … “ให้กระทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา”

ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน ทำให้ท่านบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ โลหิตหลั่งแล้ว ชำระแล้ว จะมาขออะไร? เมตตาอะไรอีกล่ะ  พอมองชัดไหม?  เราลองมาอ่านดูว่าจริงๆ แล้ว ในข้อนี้ ถ้าตามบริบทแล้ว  มันหมายถึงอะไร? แต่ละคนควรตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง ถ้าตีความตามบริบททั้งหมด เขาตีความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่างไร? ลองมาดูกันนะ 1 โครินธ์ บทที่ 11 ตั้งแต่ข้อ 17  ย้อนกลับไป เพื่อจะได้รู้ว่าที่ตะกี้ข้อที่ 28 เราตีความ มันถูกไหม? มันใช่ตามที่เขาตั้งใจจะสื่อความหมายให้เราไหม? หมายถึงอะไร? 1 โครินธ์ 11:17-22 อ่านช้าๆ ให้ชัดๆ ดูว่าเกิดอะไรขึ้น? …

1 โครินธ์ 11:17-22  “17 ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้  ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวกท่าน  เพราะการประชุมของพวกท่าน  มีผลเสียมากกว่าผลดี 18 ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่านประชุมกัน ในฐานะที่เป็นคริสตจักร  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกท่าน  และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่บ้าง 19 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน  เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย 20 เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน  ที่ท่านรับประทาน  ไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย  คนหนึ่งยังหิว  ส่วนอีกคนเมามาย 22 พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่งกินดื่มหรืออย่างไร  หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักรของพระเจ้า  ด้วยการทำให้คนที่ขัดสนอับอาย  ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับพวกท่านดี  จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวกท่าน  เพราะสิ่งนี้หรือ   ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน”

 

เปาโลเขียนจดหมายนี้ ถึงชาวโครินธ์ในสมัยนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทั้งหลาย แต่ยังมีความประพฤติอย่างที่ท่านได้อ่านสักครู่นี้

ชาวโครินธ์ ผู้เชื่อในพระเจ้า ที่เปาโลเรียกว่าพี่น้องผู้เชื่อทั้งหลาย  มีความประพฤติอย่างนี้ ยังแบ่งก๊ก แบ่งพรรค แบ่งพวก ยังเห็นแก่ตัว ยังเย่อหยิ่งจองหอง ร้ายกว่านั้น ไม่ได้อยู่ในข้อนี้ เริ่มต้นมา ในหนังสือ 1 โครินธ์บอกว่าบางคนทำบาป ถึงขนาดเอาภรรยาน้อยของพ่อมาเป็นภรรยาของตนเอง ซึ่งรับไม่ได้ อะไรอย่างนี้ นี่ผู้เชื่อทั้งนั้น คริสเตียนทั้งนั้น เปาโลกำลังจะพูดถึงผู้เชื่อในโครินธ์ ซึ่งมาจากพื้นฐาน ก่อนเชื่อนั้น สัพเพเหระเยอะแยะไปหมดเลย  ทั้งดีและเลว ความประพฤติแบบนี้ แล้วอาจารย์เปาโลบอกว่าให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่พูดถึงในข้อ 17 – 22 ให้ตรวจสอบตนเองว่าได้ประพฤติสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? ทำอย่างนี้ไหม? สมควรหรือไม่สมควร ที่ทำไป

เป็นการกล่าวเตือนสำหรับเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงตอนนั้น โดยพุ่งไปที่กลุ่มผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์เท่านั้น  ไม่ได้พูดถึงผู้เชื่อที่อื่นๆ เวลาอื่นๆ รวมถึงผ่านมา 2,000 ปีที่คริสตจักรอื่นๆ ถ้าคริสตจักรของท่าน หรือของเรา มีการกระทำอย่างนี้ ก็เอาอันนี้มาใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการสำรวจทางด้านวิญญาณ แต่กำลังสำรวจว่าตอนที่มากินโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ท่านทำแบบนี้หรือเปล่า? เขากินข้าวกันเหมือนที่ตอนเที่ยงเราเลี้ยงกันแบบนี้ บางคนเข้าแถวกัน บางคนมาแย่งเขา แย่งคิว บอกว่า … “ฉันมาก่อน” … “ฉันมาหลัง” คนมาหลัง เพราะเส้น รู้จักกับคนตักข้าว ปัจจุบันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ที่คริสตจักรเรายังเป็นไปได้เลย ตอนที่เรารับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกัน เรายังบอกให้มีระเบียบ แต่ไม่ถึงขนาดนี้นะ  ไม่ถึงขนาดพระคัมภีร์ที่เขียน คนมากินข้าวก่อน แล้วก็กินมูมมาม

นี่กำลังพูดถึงว่าเขากำลังจัดระเบียบ นึกออกใช่ไหม? จะเห็นชัด

ถ้อยคำตรงนี้ไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าในยุคปัจจุบันว่าต้องมาสำรวจตัวเองว่าทำบาปมามากเท่าไร? สมควรเป็นลูกพระเจ้าหรือไม่? บริสุทธิ์พอไหมที่จะเป็นลูกพระเจ้า? ซึ่งบอกแล้วไงว่าพระเยซูย้ำยืนยันแล้วว่ามหาสนิทนี้ ให้รำลึกถึงพระองค์ ว่าพระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์  โดยการกระทำของพระองค์ ไม่ใช่ให้ระลึกถึงตัวเราเอง อย่างนี้เป็นต้น

พระเยซูให้กระทำมหาสนิทนี้ เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเรา ที่ไม้กางเขน ซึ่งมันสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เรากระทำสิ่งนี้ เพื่อจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ให้เราทำสิ่งนี้ กินและดื่ม เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ ถึงท่านไม่ทำ ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะพระเยซูทำให้ท่านเสร็จที่ไม้กางเขนแล้ว ไม่ใช่ท่านทำดีงาม ศักดิ์สิทธิ์ แล้วทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ไม่ใช่

หรือพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อจะทำให้ท่านทำแล้ว พระเยซูจะได้ยกโทษบาปของท่านให้มากขึ้นกว่าเก่า ยกโทษให้เท่าเดิม ยกให้หมดไปแล้วด้วย ก่อนทำ ก็ยกไปแล้ว ไม่ทำก็ได้

หรือทำพิธีมหาสนิท จะทำให้พระเจ้าโปรดปราน รักเรามากเลย รักเราเท่าเดิม  ไม่ได้มากกว่าเดิม

หรือไม่ได้ตั้งใจที่ทำมหาสนิท เพื่อให้เราบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเก่า บริสุทธิ์เท่าเดิม

พระเยซูบอกให้ทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ให้เราระลึกถึงสิ่งที่เราทำ

วัตถุประสงค์ของการทำมหาสนิท ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ จึงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้แล้วที่ไม้กางเขน และการกระทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ในการประกาศความเชื่อนั่นเอง ในข่าวดีของพระเยซู ประกาศความดี ด้วยความเชื่อ ไม่ดีใจหรือ? ก็ชื่นชมยินดี ฉลอง ขอบคุณ ด้วยความเชื่อ  ฉลองเหมือนคนฉลองปัสกานี้ ในอดีต เหมือนกัน แต่มากกว่า ชาวอิสราเอล ในอดีตที่ฉลองเทศกาลปัสกา นี่ฉลองพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เพื่อให้เราสามารถเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย ขอบคุณพระเจ้า เฉลิมฉลอง การทำมหาสนิท คือวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าให้เรา เพื่อตรงนี้แหละ

เมื่อเรายกถ้วยน้ำองุ่นขึ้นดื่ม เรากำลังประกาศว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่พระเยซูต้องการให้เราทำตรงนี้  ให้เราดื่มน้ำองุ่น ที่เล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู และประกาศว่านี่คือพันธสัญญาใหม่  คือเรารอดโดยพระคุณ เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดี โดยพระคุณ ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง เราไปสวรรค์ได้โดยพระคุณ พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ ผ่านทางพระเยซู ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  นี่คือตรงนี้แหละ คือพันธสัญญาใหม่  1 โครินธ์ 11:29 จึงได้บันทึกตรงนี้ ไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 11:29  “เพราะผู้ที่รับประทานและดื่ม โดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ที่ประชุมของคริสตจักร) ก็รับประทานและดื่ม สิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูก (กล่าวหาตำหนิติเตียน) พิพากษาลงโทษ”

 

เห็นอะไรชัดเจนหรือยัง? นี่หมายถึงเฉพาะเจาะจง ในเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของชาวโครินธ์ในการทำมหาสนิท

คือการทำมหาสนิทในสมัยก่อน ก็คือการรับประทานอาหารร่วมกัน มื้อหนึ่ง รับประทานอาหารจริงๆ แต่มีการพัฒนามาเป็นถ้วยเล็กๆ ขนมปังชิ้นเล็กๆ  ก็เพราะว่าที่ประชุมใหญ่ขึ้น และสะดวกสบาย เลยมาทำพิธีอย่างนี้ แต่จริงๆ คือการรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันของคนสมัยนั้น

ใน 1 โครินธ์ 11:29 ที่อ่านมาเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าถ้าท่านมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือมาทำมหาสนิท ด้วยความเห็นแก่ตัว นึกภาพนะ แทนที่จะมาประกาศถึงพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน กลับมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาดื่มเหล้าองุ่นด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความตะกละ เมาเหล้า  แบ่งพรรค แบ่งพวก ที่ประชุมของกลุ่มพวกผู้เชื่อ หรือร่างกายของคริสตจักร คือร่างกายของพระคริสต์ พระคริสต์เป็นศีรษะ ผู้เชื่อเป็นร่างกาย ที่ประชุมของผู้เชื่อที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ก็จะตัดสินพิพากษา  กล่าวหาท่านว่าทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ตัดสินท่านว่าไม่ดี แล้วก็มาฟ้องข้าพเจ้า มาฟ้องเปาโล

ว่า … “พวกนี้ทำไม่ถูกต้องเลย ช่วยเตือนที”

มันหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้ามาตัดสินเรา ตามบริบท ชัดไหม? เป็นการตัดสินพิพากษา ก็คือเป็นการตัดสินกล่าวหาว่าทำไม่ถูกต้อง จากชุมชนของผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง ที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ที่ตัดสิน กล่าวหา ต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ในการเข้าร่วมโต๊ะฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในการทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน ซึ่งเป็นที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราก็รู้แล้ว เราเห็นอย่างนี้ ก็ชัดแล้ว  นี่มันหมายถึงอย่างนั้น คริสตจักรแห่งหนึ่งทำไม่ถูกต้อง แล้วเปาโลก็เขียนไป เพื่อแก้ไขเขาเหล่านั้น

คำว่า “ตัดสิน พิพากษา” ตรงนี้หมายถึงการวินิจฉัยในความประพฤติต่างๆ  เช่น ตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีถูกต้องไหม? เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราควรจะให้คนอื่นก่อน? เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก เราเข้ามา ในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เข้ามารับประทานอาหารด้วยกัน เราควรจะเสียสละ? กินทีหลัง? มันใกล้จะหมดแล้ว เราให้คนอื่นมีโอกาสได้กินก่อนเรา? อะไรอย่างนี้ มันหมายถึงตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีที่ถูกต้องหรือเปล่า? ในการทำพิธีมหาสนิท มารับประทานอาหารด้วยกัน อย่างที่ทำอยู่นี้ มันไม่ถูก ใช่ไหม? มันไม่ดีใช่ไหม? นี่พูดถึงชาวโครินธ์  ถ้าวินิจฉัยตนเองแล้ว จะได้ปรับปรุงแก้ไข เมื่อปรับปรุงแก้ไขแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษา ตัดสิน กล่าวหา โดยชุมชนหรือสมาชิกคนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ เขาจะได้ไม่ว่าเรา มันหมายถึงตรงนี้  บางคนอ้างข้อพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:30 ยิ่งหนักใหญ่เลย

1 โครินธ์ 11:30 “นี่คือสาเหตุที่พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป”

 

อันนี้ต้องอธิบายเยอะหน่อย บางคนไม่ได้ดูบริบท อย่างที่ว่ามาเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็บอกว่า …

“นี่เธอทำไม่ถูกต้องนะ พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะทำให้คนบางคนเจ็บป่วย อ่อนแอ และตายก็มี ดังนั้น ต้องระมัดระวังในการทำมหาสนิท เด็กก็ทำไม่ได้ คนไม่เชื่อ ก็ทำไม่ได้ คนเชื่อน้อยก็ทำไม่ได้ คนไม่ระวัง ก็ทำไม่ได้”

ตกลงใครทำได้บ้าง? งง ท่านลองคิดตามเรื่อยๆ นะว่าพระเยซูประสงค์อย่างไร? และเราถูกหลอกอะไรบ้าง? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเราออกไปหมดแล้ว เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ ก็แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า ที่ทำให้เราอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือบางคนล่วงหลับไป  แต่ถ้าเราอ่านในบริบท เราจะเห็นจริงๆ ว่ามันเป็นพิษของแอลกอฮอลล์ ในเหล้าองุ่นต่างหากเล่า ที่ทำให้เกิดขึ้น  ทำให้เกิดความเจ็บป่วย อ่อนแอ บางคนก็ล่วงหลับไป

ชัดๆ เลยนะ พิษของแอลกอฮอล์ล บางคนกินถึงขนาดเมา ก็คือติดเหล้า บางคนก็ตับแข็ง  บางคนก็เป็นโรคแอลกอฮอล์ลลิซึ่ม บางคนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คุ้นๆ ไหม? เริ่มต้นเป็นตับแข็ง บางคนพิษสุราเรื้อรัง เดินเซไปเซมา ก่อนที่จะหนักขึ้น จนกระทั่งเป็นไหลตาย คือหลับแล้วตายไปเลย หัวใจหยุดเต้นไป เพราะเมามากๆ แล้วก็หลับไป มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนั้น คิดดู หนักกว่านั้น ไม่น่า เป็นไปได้ ผมเคยคิดมาตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อใหม่ๆ ตอน 30 กว่าปีก่อน คิดแล้วงง ผู้เชื่อ ผู้รับใช้บางคนมาทำมหาสนิท แล้วบอกตรงนี้ ผมก็งง ซึ่งผู้รับใช้คนคนเดียวกัน  ท่านนี้ เป็นคนประกาศว่า …

“พระเจ้าทรงรักเธอมาก ถึงขนาดประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเธอที่ไม้กางเขน เพื่อให้เธอได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก จงรับเชื่อเถิด”

แล้วผู้รับใช้คนเดียวกันนี้ ก็มาบอกว่า … “แต่ถ้าเผื่อเธอทำอะไร ผิดพลาดไป มารับพิธีมหาสนิท อย่างไม่ถูกต้อง เหมาะสมคู่ควร ไปทำบาปมาไหม? โกรธใครอยู่หรือเปล่า? ทำไม่สมควร พระเจ้าจะให้เขาตายเลย ทำให้เขาเจ็บป่วยเลย”

เป็นไปได้ไง พระเจ้าองค์เดียวกัน ที่บอกว่ารักมนุษย์ยิ่งนัก ส่งพระเยซูลงมา เพื่อเขา แล้วแค่นี้ ทำมหาสนิทผิดนิดหนึ่ง ทำให้เขาตายเลย แต่ก็เชื่ออย่างนั้นนะ

ท่านลองไปคิดเอาเองแล้วกัน มันสมควรเป็นเช่นไร? วันนี้ก็มีโอกาสมาเล่าความจริงให้ท่านฟัง  1 โครินธ์ 11:31 บอกว่า …

1 โครินธ์ 11:31 “แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็ไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา”

 

ตอนนี้ ท่านรู้แล้ว ท่านอธิบายตามบริบท ก็หมายถึงตรวจสอบตนเองก่อน คนอื่นในที่ประชุม คนอื่นในคริสตจักร เขาจะได้ไม่มาตัดสินว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ก็ตัดสินตนเองเสียก่อน  วินิจฉัยตนเองเสียก่อนว่าเราทำอะไรไม่ถูกต้องไหม? ตามหลักการของความรัก

1 โครินธ์ 11:32 บอกไว้อย่างนี้ “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษ ร่วมกับโลก”

 

อันนี้ยากขึ้นแล้ว ต้องอธิบายให้ชัดๆ เพราะมีการแปลอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น ท่านสามารถไปดูคำแปลในภาษาเดิมได้ แล้วดูความหมายในบริบท ท่านจะเห็นว่ามันสอดคล้องกันด้วย

ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าใช้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่กล่าวหา ตัดสิน แล้วก็แจ้งโทษว่าคนเหล่านี้ทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม พระเจ้าใช้ผู้เชื่อเหล่านั้น เพื่อจะแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ฝึกนิสัยให้กับผู้เชื่อที่ยังทำไม่ถูกต้อง ได้ทำให้ถูกต้องเสีย มันแปลว่าอย่างนี้ พอเข้าใจไหม

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น เมื่อที่ประชุมของผู้เชื่อในคริสตจักรได้ตัดสินกล่าวหาโทษ ว่าเราทำไม่ถูกต้องนั้น พระเจ้าทรงใช้สิ่งที่พวกเขาตัดสิน กล่าวหาโทษเรานั้น เป็นการฝึกฝนให้เราเปลี่ยนแปลง แก้ไขว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องนั้น ให้เลิกทำซะ มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเสื่อมโทรมไปเหมือนกับโลกใบนี้ ก็คือเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า และทำตัวเหลวไหล มันหมายถึงอย่างนั้น

อันนี้ก็เข้าใจนะว่ามันเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าเผื่อติดตาม ตามบริบทมา จะเห็นชัดเจนว่าอะไรมันควรจะเป็นความจริง

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงสรุปสาระสำคัญของการรับมหาสนิทในความคิดเห็นของท่าน เฉพาะข้อความนี้ ที่เขียนไปถึงผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่ปฏิบัติตัวอย่างนี้ 1 โครินธ์ 11:33-34 ว่า …

1 โครินธ์ 11:33-34 “33 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและกัน 34 ถ้าใครหิว ก็ควรรับประทานที่บ้าน เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง ด้วยการพิพากษาลงโทษ”

 

ท่านสามารถแปลเองได้แล้วตอนนี้ ที่บอก “ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในพิธีมหาสนิทนั้น จงรอซึ่งกันและกัน ถ้าใครหิว ก็รับประทานอาหารที่บ้านมา กินมาให้เสร็จเสียก่อน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระเพาะ หิวไม่ได้ ก็กินรองท้องมาเสียหน่อย เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง  ด้วยการถูกกล่าวหา ตัดสินจากคนอื่นๆ ว่าท่านประพฤติไม่เหมาะสม ไม่สมควร แย่งกันกินเหล้าองุ่น  กินมากกว่าชาวบ้านเขา ตักข้าวก็เยอะกว่าคนอื่นเขา เอาอาหารไปมากกว่าคนอื่นเขา”

บางคนมาร่วมกันรับประทานอาหาร ในสมัยนั้นนะ สมัยนี้ก็มี บางคนอาหารมื้อเที่ยงของวันอาทิตย์ เป็นอาหารหลักที่สำคัญมากเลยสำหรับเขา แต่ละวันเขาอาจจะเป็นคนยากจน มีอาหารทานน้อย  ไม่ได้มีอาหารเต็มท้องอย่างนี้ วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เขาจะได้รับการเลี้ยง จากพระเจ้าอย่างมาก แต่บางคนมีบ้านอยู่ อะไรต่างๆ เรียบร้อย มีอาหารการกินเต็มไปหมด กินได้ทั้งวัน ยังมาแย่งเขาในวันอาทิตย์อีก คิดดู มันเป็นอย่างนี้จริงๆ         เปาโลจึงบอกว่าลองคิดดูให้ดีๆ นะ เรามาเพื่ออะไร? เรากำลังทำอะไรกันอยู่?  มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงถ้าท่านไม่รอกันและกัน พระเจ้าจะฆ่าท่านให้ตาย ถ้าใครหิว แล้วไปกินก่อนชาวบ้านเขา พระเจ้าจะทำให้ท่านป่วย  อย่างนั้นหรือ? ท่านคิดเอาเองก็ได้  มันไม่ใช่ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เรากลับมาที่ว่าเพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท วัตถุประสงค์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นก่อตั้งพิธีมหาสนิทนี้ ก็เพื่อให้เราระลึกถึงพระองค์ ที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเรา มนุษยชาติ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย  จะได้เข้ามา ร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์บอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ พอเปิดใจปุ๊บ พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในใจ เข้ามาอยู่ในวิญญาณของท่าน ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะมาเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน พระเยซูบอก เราจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เรากับท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูกับพระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย และท่านทั้งหลายทุกคนที่มาเชื่อเรา อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันหมดทุกคน ผู้เชื่อทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ เป็นก้อนเดียวกัน เหมือนขนมปังก้อนเดียว โดยผ่านทางพันธสัญญาใหม่ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นตัวรับประกัน เป็นตัวค้ำประกันว่านี่เป็นจริง มันหมายถึงตรงนี้ ให้เราระลึกถึงตรงนี้

ระลึกถึงตรงนี้ แล้วทำอย่างไร? ฉลอง เพื่อขอบคุณพระเจ้า เพื่อจำ จะได้ไม่ลืมอีก และเพื่อทำให้ลูกหลานเหลนโหลน รุ่นต่อๆ ไป จะได้ทำตาม เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ลืมสิ่งเหล่านี้ ไม่ลืมหายไป เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น สำคัญมาก  และเป็นอยู่ตลอดไป สำหรับมนุษยชาติทุกคน

มันเป็นอย่างนั้น เราควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่ในการเข้ามาทำพิธีมหาสนิทนี้ ให้มันสนิท สมกับที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขน พระเยซูมีนามว่า “อิมมานูเอล” ภาษาฮีบรู แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” แต่เมื่อผนวกกับพระคัมภีร์ใหม่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ โดยการทำมหาสนิทแล้ว อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา  สถิตกับเรา  พระเจ้าอยู่ในเรา  และพระเจ้าอยู่เพื่อเรา  พระเจ้าล้อมรอบตัวเรา  พระเจ้าโอบกอดเรา  พระเจ้า  รักเราอย่างแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิทควรจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ถ้าระลึกได้ทุกวัน ทุกมื้อเลย ยิ่งดีใหญ่เลย หลับตาไปก็เห็น ลืมตาเห็น เห็นอะไร? พระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ล้อมรอบเรา  พระเยซูอยู่ในเรา  พระเยซูโอบกอดเรา  พระเยซูทรงรักเรา  พระเยซูอยู่เพื่อเรา

แค่นั่นไม่พอ  มหาสนิท แปลว่าพระเยซูอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซู  พระเยซูล้อมรอบเรา  เราล้อมรอบพระเยซู  พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา  เราโอบกอดพระเยซู  พระเยซูอยู่เพื่อเรา  เราอยู่เพื่อพระเยซู  พระเยซูทรงรักเรา  เราก็รักพระเยซู  มันเป็นเช่นนี้ตลอดนิรันดร์  เราจึงมาเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้เราในวันนี้  ซึ่งเพลงที่เขาใช้กัน เป็นเพลงที่เขาเฉลิมฉลอง ตอนที่พระเจ้าให้เฉลิมฉลองวันปัสกา พอเขาเฉลิมฉลองปัสกาเสร็จ เขาก็ร้องเพลงถวายพระเจ้าตรงนี้แหละ  ในสดุดี 118  เป็นเพลงที่เขาร้องเฉลิมฉลองปัสกา ที่พระเจ้าได้ไถ่เขาให้พ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เราก็ควรทำเช่นนั้น บทเพลงนี้ บอกถึงวันที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะช่วยให้รอด แล้วพระองค์ทรงทำจริงๆ ตามสัญญานั้น ก็คือเพลงนี้ ….  ทำมหาสนิทควรจะร้องเพลงนี้นะ

“วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้                     เราจะยินดีและเบิกบานในใจ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์

แสนยินดี การประทับของพระเจ้า             พระองค์สมควรจะสรรเสริญ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์”

เมื่อพระเยซูได้ไถ่เราแล้ว ….

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี x3  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************