คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อบรรยายในวันนี้ “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 เรายังอยู่กันที่หัวข้อเรื่องเดิมนะ ซึ่งต้องละเอียดหน่อยข้อนี้  สมมติมีคนมาถามเรา รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  เราจะได้รู้ เข้าใจถึงถ้อยคำพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระองค์ เราจะได้ตอบเขาได้ว่ามันเป็นอย่างไร?

เราย้ำกันไป 2 ตอนแล้วนะว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราอย่างนี้แน่นอน

คำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังคงมีอยู่ และจะมีผลต่อผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียน  เชื่อหรือไม่เชื่อข่าวประเสริฐ ก็ยังมีผลอยู่ ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เป็นผลของการเก็บเกี่ยว การเกิดขึ้น เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผลทางด้านวิญญาณ หลังความตายเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือข่าวดีของพระเจ้า นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า

นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา  สอนเราว่าการกระทำบนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกันกับโลกภายหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าถ้าคิดถึงโลกภายหน้า เกิดผลได้อย่างเดียว คือเกิดมาเป็น พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็บาปแล้ว

ผลของการทำความชั่วของโลกใบนี้ ก็คือผลของความบาปที่เกิดมาเป็น เพราะฉะนั้น จะแก้ไข ก็ต้องไปแก้ที่ต้นตอ จะหายจากบาปได้ ก็ต้องไปเกิดใหม่ซะ เพราะฉะนั้น การกระทำบนโลกใบนี้ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็สำคัญอยู่ เพราะเราเรียนรู้อยู่ว่ามันสำคัญอย่างไร?

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ในประเด็นที่ว่าการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอยู่ 2 ทางให้เลือกเท่านั้น …

ทางหนึ่ง คือวางใจในพระเจ้า

อีกทางหนึ่งคือวางใจในระบบของโลกนี้  แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  แล้วจะอยู่ไปตลอดกาล ก็ตาม

ก็มี 2 ทางเลือกให้เราบนโลกใบนี้ว่าจะเอาเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อตัวเอง

เราสามารถที่จะเลือกเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ได้ผล คือพระพรของพระเจ้า หรือจะ เลือกเชื่อระบบของโลกนี้ ที่พระคัมภีร์เรียกว่ากิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง แล้วก็ได้รับโทษ ไม่ได้รับประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิ์เลือกได้ทั้งสองอย่าง

(1) เชื่อพระเจ้าและทำตามพระวิญญาณ

(2) ไม่เชื่อ ทำตามระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ต้องเน้นตรงนี้ แล้วเดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้ไป “มัน” แสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว มันมีอิทธิพลอยู่ มันแอบอยู่ ถ้าเราทำตามมัน เราก็จะได้รับโทษในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเน้นตรงนี้  เดี๋ยวคิดว่าได้รับโทษ ชีวิตหลังความตาย ไม่ใช่นะ

แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม จะเชื่อพระเจ้าตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือไม่เชื่อก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงรักเราอย่างแก้วตาดวงใจ และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์อย่างนี้ตลอดไป และพระองค์ก็อยู่ฝ่ายเรา อยู่ข้างเรา  คอยประคับประคอง ช่วยเรา  ถ้าเราเลือกผิดทาง ก็ประคับประคอง ช่วยเราให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้มีความสุข เท่าที่จะสามารถทำได้

เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้เลยว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ในความเชื่อ ในการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนเท่านั้น เราจึงจะได้รับความรอดจากบาป  สามารถเกิดใหม่และมาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บริสุทธิ์สะอาด และจะเป็นอยู่อย่างนี้กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม ผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ ซึ่งจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นคนฟัง อย่างที่บอก ตามเหตุผลของมนุษย์แล้วไม่อยากจะเชื่ออย่างนี้เลย มันไม่มีเหตุผล ทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร? คิดอย่างนั้นหรือ? ทำไม่ดี ก็ไม่ได้ดีสิ แต่ไม่ได้ดีเฉพาะบนโลกใบนี้นะ จึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด

วันนี้เราก็จะมาย้ำกันอีกครั้ง ที่คำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าอย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน สมควรที่จะรับรู้ และเตือนสติตนเองในโลกใบนี้ว่าอย่าดับไฟพระวิญญาณ เราได้เรียนรู้มา 2 ครั้งแล้ว คือไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์ให้แนวทางไว้ด้วยว่าถ้าไม่อยากดับพระวิญญาณ  ไม่อยากจะเป็นเด็กดื้อต่อพระเจ้า เราควรทำตามนี้ คือในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:16-22 อธิบายไว้ชัดเจนเลย

1 เธสะโลนิกา 5:16-22  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

 

สังเกตดูนะ ตั้งแต่ข้อ 16-18 เป็นช่วงหนึ่ง และข้อ 19 เป็นอีกช่วงหนึ่ง ในข้อ 16-18 ได้บอกไว้ว่าให้เราทำการชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  สิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว จากการกระทำของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปให้กับเรา การเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลาย ที่ไม้กางเขนนั้น เพื่อให้เราระลึกถึง จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจถึงเบื้องบน คือหมายถึงตรงนี้ โคโลสี 3:1-4 หมายถึงตรงนี้ เพราะฉะนั้นพี่น้องจงจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ Set your mind คือตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน มันหมายถึงตรงนี้

เบื้องบน คือในที่โลกวิญญาณ ที่ดีกว่าโลกเนื้อหนัง ระบบของโลกวัตถุนี้   ที่พระเยซูคริสต์ได้มีชัยชนะ เพื่อเราทั้งหลาย เรียบร้อยไปแล้ว ที่โลกวิญญาณนี่แหละ ที่เราจดจ่อ ก็คือสถานที่ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้เราจดจ่อตรงนี้ ให้เรานับพระพรที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานตรงนี้ ให้เรียบร้อยแล้ว ให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเกิดความชื่นชมยินดีในจิตใจเสมอๆ ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว มันถึงชื่นชมยินดีได้ ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ อธิษฐานกับพระเจ้าอยู่เสมอได้อย่างไร? ก็เพราะวิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ คิดอย่างนี้ จดจ่อเรื่องนี้ตลอดเวลา มันก็ชื่นชมยินดีได้ตลอดเวลา สามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้  คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์กับพระคริสต์ ผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ก็คือเราทั้งหลาย

เห็นไหมครับ? ถ้าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ ข้อที่ 19 ก็ทำได้ง่ายขึ้น  เราก็ไม่ดับไฟแห่งพระวิญญาณ เห็นหรือยัง? ใครไม่อยากดับพระวิญญาณ ก็ต้องสนใจ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจรับรู้ตลอดเวลาว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว มันคืออะไร?  ไปศึกษา ไปดูแล ไปจดจ่อ ดูบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เห็นตัวเองบ่อยๆ ในพระเยซูคริสต์ มันก็จะดับไฟพระวิญญาณน้อยลงเท่านั้น ชัดเจน  ถ้าไม่ทำอย่างนั้น โอกาสดับไฟพระวิญญาณ  ก็มีเยอะ ซึ่งทำให้พระองค์เสียใจ และทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เกินกว่าเท่าที่เราจะเป็น ที่จะต้องได้รับบนโลกใบนี้

ข้อ 20 บอกว่า “อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ” หลายคนเอาไปใช้ แบบผิดๆ บางคนพยายามเป็นหมอดูคริสเตียน เที่ยวไปบอกชาวบ้านถึงอนาคตว่าคุณจะเป็นอย่างนั้น คุณจะเป็นอย่างนี้ ยกตัวอย่าง

“พระเจ้าบอกคุณให้แต่งงานกับผม” อย่างนี้ บอกล่วงหน้า

“พระเจ้าบอกคุณให้ไปอย่างโน้นอย่างนี้” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

“แล้วทำไมพระเจ้าไม่บอกคนๆ นั้นเอง”

“ไม่ได้ เรา ฉัน ผมเป็นผู้เผยพระวจนะ”

เผยพระวจนะตรงนี้ไม่ได้หมายถึงการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าการเผยพระวจนะทั้งหมด มาเผยพระวจนะทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์คือคำเผยพระวจนะทั้งหมด เพราะฉะนั้น อ่านพระคัมภีร์ คำสอนต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องในพระเยซูคริสต์ บัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? นั่นแหละ คือคำเผยพระวจนะ และเผยเรียบร้อยแล้ว เขียนในพระคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีครูเอย อาจารย์เอยมาเทศนา สั่งสอน มาบอกเล่าถึงถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น แล้วเราได้ยิน “อย่าลบหลู่” ก็คืออย่าดื้อนั่นเอง  อย่าดับไฟพระวิญญาณ  ยกตัวอย่างบางทีเรามาคริสตจักรได้ยินคำเผยพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางผู้เทศนา

ผู้เทศนาบอกว่าเราควรให้อภัย อย่าโกรธเลย เผอิญตอนนั้น เรากำลังโกรธใครอยู่? เขาทำอะไรให้เราไม่ดี นี่แหละคือคำเผยพระวจนะมา แล้วอย่าลบหลู่ คืออย่าเพิกเฉย ให้เชื่อฟัง อย่าดับพระวิญญาณ เชื่อฟังซะ ตัดสินใจที่จะให้อภัยตามที่พระเจ้าสอนเรา เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นผลดี เป็นพรกับตัวเอง  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วทั้งหมดนั้น ทำไปเพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี “ทดสอบทุกสิ่ง” คืออะไร? พระวิญญาณจะนำเรา  ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณจะนำเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย  เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเรา  ให้เรารู้จักว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเป็นพร สำหรับชีวิตเรา อะไรเป็นโทษสำหรับชีวิตเรา  ให้เราเข้าไปมีประสบการณ์ทดสอบ ให้เรามีประสบการณ์กับพระวิญญาณ ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่พระวิญญาณนำพาเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทีละอย่างๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความโลภ เราจะได้รับการนำจากพระเจ้า เช่นเราไปถูกเขาโกงมา เขาเอาเปรียบเรา  เราไปเชื่อเขา  เราถูกหลอก  ถูกโกง เราก็มาโอดครวญกับพระเจ้า …

“พระเจ้า คนนั้นเขาเอาเปรียบเราอย่างนั้น”

พระวิญญาณก็จะนำเรา ปลอบโยนจิตใจเรา ที่เราสูญเสีย เสียหายไปอะไรต่างๆ ปลอบโยนจิตใจเราในขั้นแรก  ก็คือให้อภัยเขาเถอะ แล้วก็อาจจะบอกเราว่าทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ เป็นของพระเจ้า  ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพระองค์จะให้ พระองค์ก็ให้เอง แสวงหาพระเจ้าดีกว่า ยึดมั่นในสันติสุข ให้อภัยเขาเถิด จบแค่นี้

เราทำได้ไหม? ทำได้ แต่ตอนที่เราทำนั้น เราอาจจะเชื่อพระเจ้ามาแค่ 1 ปี สมมติต่อไปพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเราอีก สอนเราเรื่องนี้  แต่สอนเราละเอียดขึ้น เพราะเราโตขึ้น อย่างนี้ อนาคตเราก็รู้จักการให้อภัย แล้วก็ฉลาดขึ้น ในการไม่ถูกหลอกลวง ปรากฏครั้งต่อไปเราก็โดนอีก ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราเพิ่มเติม ปลอบโยนเรา เราให้อภัยได้แล้ว ก็จะเริ่มสอนเราบอกว่าที่เราถูกเขาโกง  ที่เราถูกเขาเอาเปรียบนั้น ที่เรากล่าวโทษเขาว่าเขามาโกงเรา  พระวิญญาณเริ่มสอนเราสูงขึ้นว่า …

“เพราะตัวเจ้าเองนั้นแหละ อนุญาตให้เขาโกง เพราะความโลภอยู่ในใจของเจ้า ความโลภทำให้เจ้าเปิดประตู ทำให้เขาเข้ามาได้ ถ้าเจ้าไม่โลภ เจ้าก็ไม่โดนโกงหรอก”

อย่างนี้เป็นต้น เห็นไหม? ละเอียดขึ้นไหม? ละเอียดขึ้น นี่ทดสอบทุกสิ่ง ยึดมั่นในสิ่งที่ดี  พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว เริ่มโตขึ้น  พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราถูกทดลอง ในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลองให้เกิดความทุกข์ยาก เพราะกิเลสตัณหาของเนื้อหนังของท่านเอง ท่านอยากได้เอง เห็นไหม? แต่แรกๆ พระวิญญาณยังไม่สอนตรงนั้นหรอก เพราะเรายังเล็กอยู่ ยังไม่โตพอ เอาระดับหนึ่งก่อน เราก็จะได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าโลภ ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น และถ้ายังมีเวลาอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราอย่างละเอียดขึ้น นี่เรื่องโลภเรื่องเดียว ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในชีวิตของคนเราเลย เรื่องความรัก เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการติดต่อกับบรรดาผู้คน เรื่องนิสัยใจคอ มันจะละเอียดขึ้น

นี่แหละความหมายของคำว่า “จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” เห็นไหม? ฉันเอง แทนที่จะไปกล่าวโทษเขา กลายเป็นอภัยให้เขา  ตอนนี้ไม่กล่าวโทษเขาเลย พอโดนโกง โดนเอาเปรียบปุ๊บ นึกถึงตัวเองเลยว่า

“ฉันไปทำอะไร?”

เห็นไหม แทนที่จะกล่าวโทษเขา

“ฉันไปเปิดประตูเอง ฉันยังโลภอยู่” อย่างนี้เป็นต้น

เขาเรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สอน จงหลีกห่างจากความชั่วทุกชนิด เห็นไหม? พอเรารู้ปุ๊บ เราก็หลีกห่าง นี่เฉพาะยกตัวอย่างเรื่องเดียว  เรื่องอื่นๆ ท่านสามารถเอาไปใช้ได้

เพราะฉะนั้น เราก็จดจำประสบการณ์เหล่านี้ไว้ เป็นตัวสอนเราว่าพระวิญญาณสอนเราอะไรบ้าง ต่างๆ เหล่านั้น สอนเราแล้ว เราหายทุกข์ใจ พอหายทุกข์ใจ เราอภัยได้ แล้วทำไม?

“เราไม่ดีเอง เราสมควรแก้ไข”

แล้วก็ไม่ใช่ซึมเศร้าอยู่ตรงนั้น … “ฉันไม่ดีเอง ฉันถูกเขาโกง เพราะว่าฉันโลภ พระวิญญาณสอนแล้วก็ไม่จำ”

ไม่ใช่ พอรู้แล้ว จดจำแล้วว่าอะไรดีปุ๊บ จำไว้ แล้วทำอย่างไร? กลับไปทำข้อ 16-18 เหมือนเดิม กลับไปชื่นชมยินดีใหม่อีกทีหนึ่ง เหมือนเดิม ชื่นชมยินดีในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่พระเยซู ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้วนั้น ฉันเชื่อแล้ว ฉันได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว กลับไปที่เบื้องบน ชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอๆ ตลอดเวลา คุยกับพระเจ้าหนุงหนิงๆ ไป เห็นไหม? กลับมาอยู่ที่เดิม มันจะมีวันคืนที่พระวิญญาณเริ่มสอนเราอย่างนี้ เราก็กลับมายืนอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่ามันมีสองทางให้เราเลือกเท่านั้นเอง คือเลือกที่จะเชื่อในพระวิญญาณ หรือดับพระวิญญาณ  แต่ไม่ว่าจะเชื่อพระวิญญาณ หรือไม่เชื่อก็ตาม เราก็มีความสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เมื่อเรากลับเข้ามาสู่ความรับรู้ในตัวตนจริงๆ ของเราในพระวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็ได้รับสิ่งที่เป็นพระพร ถ้าเราไม่เชื่อ เราดับไฟพระวิญญาณ  เราก็ได้ทุกข์ แต่มันเป็นทุกข์ชั่วคราวเอง เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราอยู่ในสวรรค์แล้วเท่านั้นเอง

เลือกที่จะเชื่อตามพระวิญญาณ ก็ได้รับผลดี เป็นพรตามมา เลือกที่จะดับพระวิญญาณ และกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ได้รับความชั่วร้าย  เป็นผลตามมา เป็นกฎ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ด้วย แม้เราได้รับการอภัยในการกระทำบาปผิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เราก็ได้รับผลร้าย จากการไม่เชื่อฟัง และทำให้พระเจ้าทุกข์ใจอีกต่างหาก เราทุกข์ พระเจ้าทุกข์ด้วย พูดง่ายๆ เราดับพระวิญญาณ เราได้รับความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าทุกข์ด้วย  เสียใจด้วย ไม่ได้โกรธแค้นอะไรเราเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการใช้เรา ก็คือให้เราส่งต่อความรักของพระเจ้าที่ใส่เข้ามาในจิตใจเรา ที่เราได้รับจากพระองค์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเราออกไป  พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ ก็คือความดีงามที่พระเจ้าใส่ลงไปในวิญญาณของเรา พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเรา ให้ส่งต่อความดีงาม ความรักนี้ออกจากวิญญาณของเรา  ทำจากข้างในออกไป ไม่ใช่ทำจากข้างนอกเข้ามา  เอเฟซัส 4:29-30 ก็ได้พูดรายละเอียดถึงเรื่องนี้ว่า …

เอเฟซัส 4:29-30 “29 อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควร หลุดออกจากปากของท่าน ไม่ว่าจะเป็น  ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยคำดูหมิ่นด่าว่า ถ้อยคำลามก ถ้อยคำไร้สาระ แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์  เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้น  ตามความจำเป็นของเขา  จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง 30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย  แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พอพระทัย  โดยพระวิญญาณนี้  ท่านได้รับการประทับตราแล้ว  สำหรับวันแห่งการทรงไถ่ครั้งสุดท้าย  ซึ่งเป็นวันสิ้นสุด  แห่งผลของความบาป”

 

พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา ในการที่จะสะท้อน  แสดง สำแดงภายในตัวเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณที่มี่ชีวิต เป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นความสว่างนั้น ให้เราฉายแสงนี้ออกไป  สะท้อนชีวิตของเรา  ซึ่งเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ ออกไปยังผู้คนรอบข้างบนโลกใบนี้  ซึ่งพระองค์ก็ทรงรักเขาทั้งหลาย  เหมือนรักเรานั่นแหละ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงรักเขามากมาย ต้องการให้ทุกคนบนโลกใบนี้มาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกับเรา ไม่พินาศ ไม่ต้องตกนรก  แต่พูดตรงๆ ให้ความสนใจกับพวกเขาตอนนี้มากกว่าเราอีก เพราะเรารอดแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่เขายังไม่รู้เรื่องเลย  พระองค์ทรงอยากให้เราทั้งหลายส่งต่อความรัก ความห่วงใยของพระเจ้ายังเขาเหล่านี้

วิธีการ ก็คือให้พระวิญญาณฝึกฝนเราในการสำแดงความรัก ชนิดที่เป็นอากาเป้ เป็นของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราเป็น ตัวเราเป็นความรัก

“ฉันเป็นความรัก ฉันไม่ได้มีความรัก  ฉันเป็นความรักแล้วตอนนี้  วิญญาณตัวจริงๆ ของฉันเป็นความรัก เกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรัก”

เพราะฉะนั้น สำแดงความรักนี้ออกไปให้กับคนรอบข้างก่อน คนรอบข้างเราเยอะที่สุด ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ เรานั่นแหละ ฝึกฝนตรงนี้เลย  ถ้าขนาดพี่น้องเราที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าเหมือนกัน เรายังไม่มีความรักให้กับเขา  อย่าไปนึกว่าเราจะเอาความรักไปให้กับคนอื่นๆ ต่อไป เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพอเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่าง อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควรออกจากปากท่าน อย่างเช่น ให้ถ้อยคำ หรือวาจาที่เกิดประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างผู้อื่น ให้ได้ดี ให้มีกำลังใจ พูดหนุนใจ พูดให้กำลังใจ พูดด้วยความรัก ให้ผู้คนเขาฟัง มีความสุข และเสริมสร้างเขาให้เจริญเติบโตในวิญญาณเช่นเดียวกัน  อย่างนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  พระวิญญาณต้องการนำเราไปอย่างนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือเราดับพระวิญญาณ  พระเจ้าทุกข์ใจ  ในนี้บอกว่าจะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง เห็นไหม? ผู้ฟังเกิดผลดีได้อย่างไร?  นั่นแหละ ท่านคิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่ต้องบอกรายละเอียดว่าทำอย่างไร? พระวิญญาณจะนำท่านเองว่าจะพูดอย่างไร?  ถึงจะเกิดประโยชน์  สำหรับชีวิตของคนฟังได้

อีกข้อหนึ่ง ข้อ 30 บอกว่าอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เห็นไหม? การทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้าเสียใจ การไปพูดว่ากล่าวรุนแรง พูดถากถาง ไปเยาะเย้ยเขา ไปดูหมิ่นเขา ให้คนฟังไม่มีการสร้างสรรค์ขึ้น พระเจ้าเสียใจ แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้  ท่านได้รับการประทับตรา หมายถึงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้ถูกเลือกเอาไว้ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เพียงผู้เดียว  คือเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า แต่เพียงผู้เดียว สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ท่านเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ประทับตรา ไม่มีใครมาจับได้เลย สะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็แสดงว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ห่อหุ้มตัวเราอยู่ตลอดเวลาเลย ไปไหนไปด้วย  เราหลับพระองค์ ก็อยู่ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณที่อยู่ในเรา จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นำพาเราให้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าให้เกิดความสุขที่สุด ดีที่สุด  และเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สุด สำหรับเราเอง และสำหรับผู้คนรอบข้าง ตั้งแต่ผู้เชื่อก่อน จนถึงผู้ไม่เชื่อ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้นั่นเอง ซึ่งเราเรียกกันว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า

และทั้งหมดนี้ คือความปรารถนาของพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามีความสุข อยู่อย่างสงบมากที่สุด เท่าที่ทำได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง และได้ประกาศข่าวดีของพระเจ้า ได้สำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ภายในเรา ออกมาให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเป็นความสว่าง จงให้ความสว่างภายในท่าน ฉายแสงออกมา

คริสเตียน คือผู้ที่กระทำดีจากข้างในออกมา ไม่ใช่ทำดีจากข้างนอก จากข้างใน ฉายแสงนั้นออกมา เพราะเราเกิดใหม่แล้ว ฉายแสงการเกิดใหม่ของเราออกมา มีผู้ช่วยเราเยอะแยะเลย นอกจากตัวเราแล้ว ก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็พระเยซูคริสต์อีก แล้วก็มีพระเจ้าพระบิดาอีก คอยช่วยเรา ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และถ้าเราดื้อ เราไม่ทำตาม เกิดอะไรขึ้น เราก็ดับพระวิญญาณ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์แล้วก็ตาม เราก็จะได้รับความทุกข์ ทุกข์ดับเบิ้ลเลย ทุกข์จากการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หาเรื่องเข้าตัว ทุกข์ที่สอง คือเราทำให้พระเจ้าเสียใจ  เราทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ  …

“ฉันเหรอ มนุษย์ตัวเล็กๆ บนแผ่นดินโลก ทำให้พระเจ้าเสียใจ”

ก็ใช่ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สลับกัน ก็คือ …

“แสดงว่าพระเจ้ารักฉัน ให้เกียรติฉันมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดตัวฉันเล็กๆ เป็นคนหนึ่งในจำนวนกี่พันล้านคน พระเจ้าให้เกียรติฉันถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่ฉันสามารถทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เลย ฉันทำให้พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ฉันทำให้พระองค์เสียใจได้หรือ?”

คิดอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะรู้ว่าพระเจ้ารักท่าน รักเรามากขนาดไหน?  เอเฟซัส 4:31-32 ก็เพิ่มเติมตรงนี้อีก

เอเฟซัส 4:31-32 “31 จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะและการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ 32 จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้า ทรงอภัยแก่ท่าน ในพระคริสต์”

 

เอเฟซัส บทที่ 4 ตั้งแต่ข้อ 19 ตะกี้นี้ จนมาถึงข้อ 32 ตรงนี้ ท่านเห็นไหมว่าอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านี้  พระเจ้ากำลังสอนและเตือนผู้เชื่อ เตือนคริสเตียน เตือนเรา “เรา” ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วใช่ไหม? ที่สามารถมีความขมขื่น มีความเกรี้ยวกราด มีความโกรธแค้น มีการทะเลาะเบาะแว้ง แล้วยังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขาด้วย  อุ้ย! อายตายเลย แค่นั้นไม่พอ มีการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ มีการไม่ให้อภัยกันด้วย มีการกัดกินกัน ทะเลาะเบาะแว้งในหมู่ของคริสเตียน ผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ทั้งนั้น พอมองเห็นอะไรไหม? นี่เตือนคริสเตียน

แสดงว่าการมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถาน ตามที่พระคัมภีร์บอกแล้ว เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังสามารถที่จะพลาดทำบาปได้ จริงหรือไม่จริง? นี่ไง ชัดไหมล่ะ แต่มันสามารถทำน้อยได้  เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำพาเรา สอนเรา เราคงทำไม่ได้หมดทุกอย่าง ทุกข้อหรอก แต่เราสามารถทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะว่าเราเงี่ยหูฟังพระวิญญาณตลอด  เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเพ่งมองจดจ้อง จดจำ จนขึ้นใจถึงฐานะของเรา ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราทำบาปน้อยลง ก็คือเราเพ่งถึงพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรามากเท่าไรว่าพระเจ้าทำให้เรามากเท่าไร? โดยที่เรายังไม่ได้ทำดีเลย ให้เราก่อนแล้ว นั่นแหละเขาเรียกว่าพระคุณ เราเพ่งที่พระคุณมากเท่าไร เราก็จะทำบาปน้อยลงเท่านั้น พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  ไม่ใช่เพ่งไปที่ความบาป แล้วจะทำบาปน้อยลง ไม่ใช่ เพ่งไปที่ความบาป แล้วทำบาปน้อยลง นั่นคือศาสนาทั่วๆ ไป นั่นคือการดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติเดิม สมัยอดีต ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเพ่ง ยิ่งทำใหญ่

แต่พระคุณพระเจ้า  คือให้เราเพ่งที่พระคุณของพระเจ้าว่าพระองค์ทำให้เราก่อนเลย อภัยให้เราก่อน  ก่อนที่จะบอกเราว่าให้เราอภัยให้คนอื่น  ถ้าพระคัมภีร์เดิม กฎเดิม คือบอกให้เราอภัยให้คนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจะอภัยให้เรา แต่พระคัมภีร์ใหม่บอกว่าพระเจ้าอภัยให้เราก่อนเลย  นี่คือพระคุณ …

“ไม่รู้แกจะเป็นคนอย่างไร? ทำอะไรไม่รู้ ฉันจะให้อภัยแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? เพราะถ้าเรานึกถึงพระคุณเหล่านั้นมากๆ เราก็จะทำเหมือนพระเจ้า เราก็จะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเรา  พระเจ้าให้อภัยเรา โดยที่ไม่มีเงื่อนไข เราก็อภัยให้คนอื่น โดยไม่มีเงื่อนไขได้เหมือนกัน ใช่ไหมครับ?  นี่ไงหลักการของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ คืออย่าดับไฟพระวิญญาณเลย ให้เราฉายแสงจากข้างในออกมา  เจ้าเป็นใคร? เจ้าต้องรู้ เราจะฉายแสงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร?

และนอกจากเรื่องของการดับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สิ่งสำคัญอันดับที่สอง ตามมา ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนควรจะรับรู้และควรจะเตือนสติตัวเองตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น พระคัมภีร์มีสอนในเรื่องนี้  นี่เป็นคำตอบของหัวข้อเรื่องนี้ได้อีกเช่นเดียวกัน รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? รอดโดยพระคุณ อ๋อ! ความประพฤติจะทำอะไรก็ได้ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  ก็ต้องรับรู้ตรงนี้  กฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กาลาเทีย 6:7-8

กาลาเทีย 6:7-9  “7 อย่าหลงเลย  ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า  ใครหว่านอะไร  ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น  ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ  จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”

 

ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังย้ำ ในเรื่องของการเลือกทางเดิน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สอนเรา อย่างที่ผมพูดตั้งแต่ต้นว่าเราจะเลือกเดินตามพระวิญญาณ หรือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ เพื่อเดินตามเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษ

ข้อ 7 บอกว่า “อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น” พูดง่ายๆ ว่าโอ้ พระเจ้าไม่เห็น ทำอย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าไม่ต้องเห็นเลย เพราะว่ามันเป็นกฎอยู่แล้ว หลอกไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา มันเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ก็คือเปรียบเหมือนเป็นการหว่านเมล็ดพืช ที่เราสามารถที่จะเลือกผืนดิน ในการหว่านเมล็ดนั้น จะไปลงที่ผืนดินที่ไหน ถ้าเราหว่านในผืนดินที่ดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีคุณภาพดี แต่ถ้าเราหว่านในผืนดินที่เป็นดินเลว มันก็ออกผลมาเป็นสิ่งเลวๆ เช่นเดียวกันกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เรามี 2 ทางเลือกอย่างที่เราเรียนรู้กันมา ที่จะให้เราหว่านชีวิตของเรา หรือฝากชีวิตของเราไว้ที่ฝั่งไหน? ที่ตรงไหน?  เราจะเลือกหว่านชีวิตของเราที่ทางเลือกไหน? ดีหรือเลว  ถ้าเราหว่านเลว ไม่มีโอกาสที่จะได้เก็บผลดีหรอก เป็นไปไม่ได้

ในถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างชัดเจนของผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จากการเลือกหว่านของเรา ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  … วิสัยบาป ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น จากธรรมชาติบาปนั้น  วิสัยบาป นั่นคือธรรมชาติบาป ส่วนผู้ที่หว่าน เพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ

ในข้อที่ 9 บอกว่า … “อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราจะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”

ตรงนี้ให้ตั้งใจฟังนิดหนึ่ง ในข้อ 9 เพราะว่าหลายคนยังเข้าใจผิด ไปตีความหมายว่าระบบของโลก มันทำให้เราต้องทุกข์ลำบากในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว ตามที่พระเยซูบอก แต่จงตั้งใจทำความดี อย่าท้อแท้ ก็คือหว่านในสิ่งที่ดี และรอไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม บนสวรรค์ มีความทุกข์บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำดีต่อไป  อย่าท้อแท้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อตายไปแล้ว เราจะเก็บเกี่ยวผลดีนั้น

ฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนใช่ ถูกไหม? แล้วใช่ไหม? คิดให้ดีๆ มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ มันก็กลับมาที่เดิมอีก …

“หว่านสิ่งที่ดีๆ สิ อดทนไว้ ตายไปแล้ว เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดีนั้น”

นี่คือศาสนาไง ทำดีได้ดี ก็ตะกี้เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีจริงๆ แต่เกิดผลเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น นี่ตอนนี้กำลังจะบอกว่าทำดี หว่านสิ่งที่ดีๆ เพื่อจะไปเก็บเกี่ยวผลดี เมื่อตอนตายไปแล้ว มันไม่ใช่ ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ เพราะว่าผลในสวรรค์ สิ่งดีๆ ในสวรรค์ เรายังไม่ได้ทำดีเลย  แค่เราเชื่อในพระเยซู เราก็ได้รับไปแล้ว เห็นไหม? นี่มันหลอกเรานิดเดียวปุ๊บ พลาดปุ๊บ ไปแล้ว เราก็กลับมาที่เดิมอีก มายืนที่การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มาพึ่งตนเองอีก โอกาสจะประกาศข่าวดีให้คนอื่นเขาไม่มี เพราะว่ากลับมาอยู่ที่เดิม

ฟังดูแล้วมันเหมือนใช่ แต่สังเกตดีๆ ผมถึงพยายามเน้นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าแยกให้ออกโลกวิญญาณ พระเยซูบอกสำเร็จไปแล้ว  เมื่อเชื่อพระเยซู ก็ได้รับสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนั้นแหละ การบังเกิดใหม่ การเป็นลูกพระเจ้า การเป็นคนดีงาม การอยู่ในสวรรค์มันได้รับไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  พระเจ้าให้เราก่อนที่เราจะทำดีอีก แค่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เรายังทำชั่วอยู่เลย  พระองค์ก็ให้เราทั้งหมดนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเรียกว่าพระคุณไง รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ เพื่อไม่มีใครอวดได้ว่า …

“ฉันประพฤติดี พระเจ้าเลยให้ฉัน”

เปล่าเลย  ท่านยังไม่ได้ประพฤติดีเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าให้ไปฟรี เป็นพระคุณครับ ใช่ไหม? มันไม่ตรงตามพระคัมภีร์

หัวใจข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสิ่งดีงามทั้งหลาย บนสวรรค์สถาน เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรออีกแล้ว  พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยไม่มีเงื่อนไข เขาถึงเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่พระเจ้ารักเราทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้เราเห็นถึงประสบการณ์บนโลกใบนี้ ประโยชน์ที่เราจะได้รับบนโลกใบนี้เท่านั้น ผลดีที่เราจะได้รับจากการหว่านในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประสบการณ์ในสวรรค์ ประสบการณ์ในการมีชีวิต พระคริสต์ซึ่งอยู่ในเรา ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเชื่อพระเจ้า  แต่เราหว่านในสิ่งที่เป็นวิญญาณ เราจะได้ประสบการณ์ จากความดีงาม  จากข้างในนั้นออกมา  ประสบการณ์การดำเนินชีวิตบนสวรรค์ เราได้รับเดี๋ยวนี้เลย ในทางกลับกัน โทษหรือผลร้าย ที่เราจะได้รับจากการหว่าน ชีวิตของเราตามเนื้อหนัง เราก็จะได้รับประสบการณ์ความตาย ความพินาศ เข้าใจคำว่าประสบการณ์ใช่ไหม? มันเข้าไปได้ลิ้มรส  เหมือนที่เขาบอกว่าพอเราหว่านเข้าไปในเนื้อหนัง ทำชั่วมากๆ  จริงๆ เขาทุกข์แสนสาหัสจริงๆ ที่คนไทยชอบพูดว่า …

“แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง”

มันทำนองเดียวกัน ถ้าเราหว่านถูกที่ หว่านในทางพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราก็จะรู้ว่าสวรรค์มีจริง  มันหมายถึงอย่างนี้  ถ้าท่านทำตามพระคัมภีร์บอก ตามที่พระเจ้าสอนท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รู้จักให้อภัย รู้จักบังคับตนเอง  อดทนเอา ถึงเวลาหนึ่ง ท่านจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รู้ว่าสวรรค์ที่ท่านหวังไว้ในอนาคต มีจริง มันใช่ ในทำนองเดียวกัน ถ้าหว่านตรงกันข้าม ไปทางเนื้อหนัง ท่านจะมีประสบการณ์ว่านรกมีจริง นรกหนักกว่านี้อีก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

ผลของทั้งสองทาง ที่เราเลือกหว่าน คือประพฤติตามการนำของเนื้อหนัง หรือประพฤติตามการนำของพระวิญญาณ ผลทั้งสองทางนี้ เราจะได้รับผลบนโลกใบนี้เลย เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราจะได้รู้สึกถึงนรกจริงๆ เลย ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉะนั้น คนที่ไปสวรรค์ เป็นผู้เชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดี อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์อยู่บนโลกนี้ เหมือนอยู่ในนรกเลยได้ ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ พอมองเห็นภาพ ใช่เลยจริงๆ และในทางกลับกัน คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเลย แต่เขาทำหลายสิ่งหลายอย่าง ตรงกันกับกฎของพระเจ้าที่วางไว้เรื่องเกี่ยวกับการหว่านและการเก็บเกี่ยว เขาก็ได้เก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เลย เขาอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนอยู่ในสวรรค์เลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเขาไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปเขา  เขาถูกตัดสินพิพากษาลงโทษ  ถึงความพินาศในอนาคต ชีวิตหลังความตาย

ต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ถึงจะเห็นภาพชัดเจน ถึงจะรู้ว่าข่าวดีของพระเจ้า  คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ คือความจริงที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น

อธิบายตรงนี้ให้ฟังนะ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาป หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้ที่หว่านในวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น คำว่า “ผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาป” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษอธิบายความหมายว่ามันหมายถึง Lower Nature  คือธรรมชาติที่มันต่ำกว่าความเป็นจริง ต่ำกว่าธรรมชาติ มาตรฐานที่เป็นจริง ก็คือพูดง่ายๆ  ทำตัวไม่ตรงกับธรรมชาติ ลักษณะของคนๆ นั้น มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะธรรมชาติ ลักษณะของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ธรรมชาติ ลักษณะวิญญาณ ตัวจริงๆ เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับความชั่วร้าย ทำความชั่วร้ายไม่เป็นเลย อยู่ตรงกันข้ามกับความเลว ทำความเลวไม่เป็นเลย ไม่มีความชั่วร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือธรรมชาติจริงๆ ของเขา  แต่ในนี้บอกว่าผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาปของเขา ก็คือหว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติตัวจริงของเขา

คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์แล้วไปทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เขาเรียกว่าไปทำอีกทางหนึ่ง วิสัยบาป คือธรรมชาติของความบาปที่อยู่ในตัว ข้างในมันสำคัญมาก  ข้างนอกไม่สำคัญ ข้างในมันเป็นตัวบอกว่าเราจะไปทำอะไร

ยกตัวอย่างอย่างเช่น ลิงจะพยายามทำเหมือนคน หรือว่าเป็นคนอยู่ แล้วไปเดิน 4 ขาเหมือนลิง เราก็รู้อยู่ว่านี่คน ไม่ใช่ลิง แต่เขาไปทำลักษณะเหมือนลิงไหม? เหมือน แต่จริงๆ เป็นคน

อีกหนึ่งที่เห็นชัด ก็คือหมู เอาหมูตัวเล็กๆ มาเลี้ยง แล้วเลี้ยงให้เหมือนแมว สะอาดเลย ขัดสีฉวีวัน ใส่น้ำหอม ผูกหูกระต่ายให้มันอย่างดีเลย เสร็จแล้วเลี้ยงมัน จูงมัน เขาบอกว่าต่อให้เลี้ยงมันกี่ปีก็ตาม พอปลดปลอกคอมัน แล้วปล่อยมันออกนอกบ้าน มันจะวิ่งไปหาโคลน เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

ในทำนองกลับกัน เป็นคริสเตียน ข้างในสะอาดหมดจด เพียงแต่ถูกหลอกอะไรบางอย่าง ถูกทำให้เขาตัดสินใจหว่าน หรือทำอะไรลงไป ฝืนธรรมชาติตัวเอง  มันไปไม่ได้ไกลหรอก มันฝืนธรรมชาติตัวเอง ก็เหมือนเอาหมูมาอาบน้ำ พอปล่อยปุ๊บ มันก็เข้าป่า ลงโคลน คริสเตียนเหมือนกัน ธรรมชาติของคริสเตียน เขาอยู่ในความบริสุทธิ์ของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ปุ๊บ เขาจะพยายามหันทางกลับมาที่ความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะรู้ว่าอ๋อ!

เพราะฉะนั้น การกระทำที่เป็นบาป ในชีวิตของคริสเตียน ในชีวิตของผู้เชื่อนั้น  ที่บอกว่าความรอด รอดโดยพระคุณความเชื่อ ความประพฤติไม่สำคัญนะ มันสำคัญ แต่มันถูกหลอกให้ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ มันถูกหลอก ก็แสดงว่าไม่ใช่ตัวเขาเองเป็นคนทำ แต่มันถูกหลอก หลอกให้ทำ  ถูกครอบงำให้ทำ ถูกหลอก เพราะไม่รู้ความจริง ความจริงทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ พอรู้ความจริงมากๆ เราก็เป็นอิสระมากๆ ก็ถูกหลอกน้อยลงไปเรื่อยๆ หลอกให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ภายใน ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนัง และทำตัวไม่ตรงกันกับตัวจริงๆ ธรรมชาติจริงๆ ในวิญญาณของเรา  เราก็ต้องได้รับผล ตามสิ่งที่เราหว่านลงไป เชื่อลงไป ไม่ว่าเราจะถูกหลอกหรือไม่ก็ตาม คือเราถูกหลอกให้ทำ เราก็ต้องได้รับผล และใครหลอกเรา? พระเจ้าหลอกเราหรือ? พระเจ้าเสียใจ เราเป็นทุกข์ พระเจ้าทุกข์มากกว่าเรา แล้วใครล่ะ ตอนที่เราเป็นทุกข์ แล้วดีใจ ตอนที่เราถูกหลอกไป ก็ตัวที่หลอกเรา ก็คือมารไง ผ่านทางอิทธิพลของกิเลสตัณหา ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบาปอยู่นั้น “มัน” ที่ผมพยายามเน้นว่ามัน เพื่อให้ท่านรู้ว่าไม่ใช่ตัวท่านเองเป็นคนทำ มันเป็นคนทำ ไม่ว่าท่านทำบาปอะไรก็ตามตอนนี้ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด จงรู้ว่ามันทำ ไม่ใช่ตัวท่าน มันเป็นคนทำ มันเป็นตัวหลอก ถ้าท่านรู้ความจริง ท่านจะไม่ทำ  เพราะตัวจริงๆ ข้างในนั้น ท่านเชื่อพระเจ้า จริงๆ แล้วท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านไม่มีทางทำบาปได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง มันทรมาณทรกรรมจิตใจของท่านมากเลย ที่ท่านไปทำบาป  ท่านอยากจะหนีมันสุดขีดเลย เพียงแต่ท่านไม่รู้จะหนีมันอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มันคือไม่ใช่ตัวท่าน แต่เป็น “มัน” ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ เป็น “มัน”

เพราะหลายครั้งเราบอกเราเป็นคนทำ เราทำเลวอย่างนี้ เราทำไมแย่อย่างนี้  เราทำไมโกรธเขาอีกแล้ว เราบอกจะให้อภัยเขาไง เราไปว่าเขาอีกแล้ว เราไปอิจฉาอีกแล้ว เราไปโลภอีกแล้ว ไม่น่าเลย เราไปทะเลาะกับเขาอีกแล้ว ไปถกเถียงกับเขาอีกแล้ว  เราจะบอกว่า “เรา” อยู่เรื่อยๆ เลย ต่อไปนี้ต้องบอกว่า “มัน”

“มันหลอกฉันให้เป็นอย่างนี้ ฉันเป็นคนที่ให้อภัยคนจะตาย ฉันไม่เคยเกลียดใคร ไม่เคยโกรธใครเลย มันหลอกให้ฉันโกรธเขา มันหลอกให้ฉันพูดจาหยาบคายใส่ มันหลอกให้ฉันดูถูกเขา ดูหมิ่นเขา มันทำกับฉันอีกแล้ว มันต้องการให้ฉันลงไปสู่นรก บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ยอมเด็ดขาด  พระเจ้าช่วยลูกด้วย”

ถ้าอย่างนี้ มาถูกทางแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่า “เรา” อยู่ เรา เราก็จะสับสนตัวเราเอง …

“สรุปว่าฉันควรจะไปสวรรค์ไหมเนี้ย ฉันยังโกรธ ยังเกลียดคนอื่นเขาอย่างนี้ ฉันจะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? และมันก็พยายามหาคนข้างๆ มาทับถมฉันอีก ‘เธอนิสัยอย่างนี้ เธอยังคิดว่าจะไปสวรรค์อีกเหรอ  ยิ่งชัดใหญ่  ฉันยังเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกนิสัยไม่ดีเหล่านี้ไม่ได้เลย แล้วฉันสมควรจะไปสวรรค์ไหม? เห็นไหมพระคัมภีร์ยังบอกเลยว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีส่วนในสวรรค์’ ฉันแย่แล้ว”

เห็นไหม?  หนักหนาสาหัสไหมเวลาถูกหลอก ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิต หมายถึงจะได้มีประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันที ชีวิตนิรันดร์ ที่ได้หลังจากโลกใบนี้ เรียบร้อย หลังจากความตายนั้น มันได้เรียบร้อยไปแล้ว แต่โลกใบนี้  ตอนดำเนินชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ พอเลือกหว่านในวิญญาณ เชื่อในพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์ มีประสบการณ์ทันทีเลย ยกตัวอย่างเช่น อย่างตะกี้นี้ที่บอก พอให้ออกไป เขาโล่งเลย ใจเต็มไปด้วยสันติสุข … สันติสุข ก็คือผลพระวิญญาณ  ผลของชีวิตนิรันดร์ไง  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสุข ได้รับเดี๋ยวนี้เลยทันที มันหมายถึงอย่างนั้น

ผู้ที่เลือกเดิน ตามการนำของพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ มันหมายถึงตรงนี้นะ  เพราะฉะนั้น อย่าไปนึกว่าตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลของพระวิญญาณ หลังจากความตาย ไม่ใช่ๆ  เลือกตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย

การเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ ก็คือการแสดงออกมา เป็นธรรมชาติที่ดี มีลักษณะของพระวิญญาณ ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากชีวิตของเรา ข้างใน ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเช่นความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความเมตตา ความรัก การให้อภัย สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครบอกว่าไม่ดีเลย มันดีหมดเลย การรู้จักบังคับตนเอง มันดูดีไปหมด นี่แหละคือได้ลิ้มรสของสวรรค์ไปแล้ว ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์เป็นอย่างนี้ ขึ้นไปอยู่สวรรค์จริงๆ เราก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นชีวิตอย่างนี้

เคยให้อภัยเขาแบบสุดๆ ใจไหมบนโลกใบนี้ เคยรักใครแบบสุดๆ ใจไหม? แบบรักที่มีแต่ให้ ไม่มีเงื่อนไขไหม? แล้วรู้สึกมันชื่นใจไหม? นั่นแหละ ได้ลิ้มรสเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย เคยให้อะไรกับใคร ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเลย  หวังอยากให้เขามีความสุข พอให้ไปจิตใจ มันรู้สึกอย่างไรครับ ตอบเองเลย นั่นแหละ คือเริ่มชิมรสของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า แต่ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่มีใครมาล่อลวงอีกต่อไปแล้ว ไม่มี “มัน” ตัวไม่ดีมาอีกแล้ว เราจะได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ แบบนี้ มากกว่านี้อีกหลายร้อย หลายพัน หลายล้านเท่า นั่นแหละ

อาจารย์เปาโลกำลังย้ำเตือนกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ และให้พระวิญญาณนำ และทำตามพระวิญญาณแล้ว ท่านยังคงเลือกเดินตามทางที่เป็นโทษอีกหรือ! ไปตามทางที่พินาศอีกหรือ! มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วนะ ถึงบอกว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว  ไม่มีใครอยากจะเลือกตรงนั้นหรอก แต่ที่ยังทำอยู่ เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้ว ก็ต้องพยายามหนีแล้ว  เลิกแล้ว ไม่เอาดีกว่า พระวิญญาณนำเราทีละก้าวๆ ดีกว่า

เราจะมาดูกันครั้งต่อไปว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนเรา ให้เราสังเกตที่ความจริงในพระคุณของพระเจ้าว่าพระคุณของพระเจ้า ช่วยให้เราประพฤติดี ดีกว่าเก่าอีก ดีมากๆ ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ตามหัวข้อเรื่องที่บอกว่ารอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ก็ต้องตอบว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ความประพฤติยังสำคัญมากเลยบนโลกใบนี้ เพราะว่าจะได้ทำตามน้ำพระทัย ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม และได้ฉายแสงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ได้มีประสบการณ์ในการมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ออกมาทันที บนโลกใบนี้ ความหวังใจเราในโลกฝ่ายวิญญาณหลังความตาย มันจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็เหตุจากการประพฤติดีตามที่พระคัมภีร์บอกตรงนี้แหละ แม้ว่าเราจะประพฤติดีหรือไม่ดีตรงไหนก็ตาม พระคัมภีร์บอกโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้รับความรอดไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว แล้วจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ก็ว่ากันไปตามที่เราหว่าน หว่านตรงไหน ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้น หว่านพระวิญญาณ ก็เก็บเกี่ยวผลดี หว่านเนื้อหนัง ก็เก็บเกี่ยวผลไม่ดีบนโลกใบนี้เท่านั้น พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************