คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรายังอยู่ในถ้อยคำที่พระองค์ตรัสกับเราว่า “อย่ากลัวเลย” ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งในช่วงนี้ มันมีเรื่องราวมากมาย ทำให้เราเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงบอกเราเสมอว่า “อย่ากลัว” เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงนำพาทุกย่างก้าวของเรา  และพระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเราเช่นเดียวกัน

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ เราเรียนมาหลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้ง พระเจ้าบอกว่าถ้อยคำของพระองค์ สดใหม่อยู่เสมอ และเป็นถ้อยคำที่พระองค์จะพูดเข้าไปในวิญญาณจิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เลี้ยงที่ดีของเรา ในหนังสือมัทธิว 6:25-34 ซึ่งถ้าเราอยู่ในทางของพระเจ้า เราจะรู้ว่าถ้อยคำตรงนี้สามารถที่จะหนุนจิตชูใจเราได้ทุกเวลา ทุกโอกาสในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ในเวลาที่ลำบากขนาดนี้? พระเจ้าทรงทราบหรือเปล่า? หรือพระองค์ทรงรู้ความต้องการของเราหรือไม่? หรือพระองค์จะสามารถช่วยเราให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้หรือเปล่า? แต่ถ้อยคำของพระองค์ ก็ยังคงยืนยันกับเราเสมอว่าพระองค์ทรงสามารถ และพระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าที่เราห่วงใยตัวเองด้วยซ้ำไป พระองค์ทรงสามารถที่จะนำพาย่างก้าวของเราทุกเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราลำบากมากเลย แต่พระองค์ทรงมีหนทางให้กับพวกเราเสมอ

มัทธิว 6:25 “เหตุฉะนั้น  เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน ว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม  ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ  และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”

 

ชีวิตที่พระเยซูพูดถึงนี้ คือชีวิตจริงๆ ของเรา ชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ ฉะนั้นเวลาเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งแรกที่พระองค์ตรัสกับเรา คือพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เหมือนพระเจ้า อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ขณะที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ โลกวัตถุ เรายังต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เราจะอยู่อย่างไร? เราจะกินอย่างไร? เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเลย ลำบากขนาดนี้  แล้วเราจะรอดไหม? พระองค์ก็คงยืนยันกับเราว่าไม่ต้องไปกระวนกระวายเรื่องเหล่านี้ ชีวิตของเราฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงเหมือนกับทางผ่าน ที่พระเจ้าทรงโปรดให้เราเดินผ่านไปในแต่ละวัน แล้วพระองค์ทรงพิสูจน์พระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลายๆ คนรู้สึกลำบาก แต่ว่าเรายังอยู่ได้จนถึงวันนี้ แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา มันคือความจริง ต่อให้เราจะรู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราไปต่อไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจหยุดชะงักหมด การงานเราก็ไม่สามารถที่จะทำได้  แต่พระคัมภีร์ก็ยังยืนยันกับเราว่าชีวิตเราสำคัญกว่า พระเจ้าทรงเฝ้ามองดูเราอยู่ และพระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา ให้เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ถ้าพระเจ้าทรงให้วิกฤตินี้ลากยาวไปอีก เราในฐานะผู้เชื่อ เราก็จะสามารถผ่านไปได้อีกเหมือนกัน พระเจ้าบอก …

“อึดใจเดียวลูก แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

แล้วเราหันกลับไปดูสิ อึดใจเดียวจริงๆ จากเริ่มต้นที่มีปัญหา เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องของไวรัสที่ระบาด ทำให้เราทุกคนต้องหยุดชะงัก เป็นหลายเดือนที่เราไปไหนไม่ได้ เป็นหลายเดือนที่เราอยู่บ้าน เป็นหลายเดือนที่โบสถ์เปิดไม่ได้ ก็ปิดไม่ให้สมาชิกมาโบสถ์ แล้วก็เป็นหลายเดือนที่เรานั่งนมัสการอยู่ที่บ้าน  แต่ว่าไม่ว่าด้วยวิธีใด เราก็ยังคงสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ ต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ที่จะส่งไปให้พี่น้อง ถึงที่บ้าน ที่จะร่วมนมัสการด้วยกัน  ที่จะฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วยกัน ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ยังสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราสามารถที่จะร้องเพลงพระเจ้า ด้วยบทเพลงที่บ้าน เครื่องดนตรีไม่มี ก็ไม่เป็นปัญหา เราก็สามารถร้องเพลงถวายพระเจ้าได้ เราสามารถที่จะเปิดถ้อยคำของพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ และเป็นพระคัมภีร์ที่เมื่อเราอ่าน เราได้รับการหนุนจิตชูใจ เรารู้ว่าพระองค์ตรัสกับเราอยู่

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือสิ่งที่เรามีประสบการณ์ในช่วงวิกฤตตรงนี้ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาที่เรามีเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งอย่างน้อยๆ พี่น้องหลายๆ ท่านที่ไม่สามารถเดินทางมาคริสตจักรได้ เนื่องด้วยสุขภาพร่างกาย เนื่องด้วยอายุเยอะแล้ว ก็ไม่อยากให้มาเสี่ยง ก็จะบอก …

“พี่นมัสการอยู่ที่บ้านเถอะ ยังไม่ต้องมา” อะไรประมาณนี้

ฉะนั้น ไม่ว่าด้วยอะไรทั้งหมด ไม่สามารถที่จะหยุดเราในการแสวงหาพระเจ้า ในการเข้ามาหาพระเจ้า ในการที่จะฟังถ้อยคำของพระเจ้า ในการที่จะนมัสการพระเจ้า พระเยซูบอกเราว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากังวลในโลกใบนี้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่เราจะต้องกังวล …

“พรุ่งนี้เราจะมีกินไหม? เราจะมีเครื่องนุ่มห่มไหม?”

แต่พระเยซูบอกเราว่าชีวิตสำคัญกว่า สำคัญกว่าทั้งเรื่องของอาหาร ทั้งเรื่องของเสื้อผ้า ทั้งเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เมื่อเรามีชีวิตในพระเจ้า ก็คือเลิศที่สุด สำหรับชีวิตคริสเตียน สำหรับพวกเราที่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารู้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

มัทธิว 6:26 “จงดูนกในอากาศ  มันมิได้หว่าน  มิได้เกี่ยว  มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง  แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้  ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ”

 

ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ใดก็ตาม อยู่ในเมือง หรืออยู่นอกเมือง ถ้าเราอยู่นอกเมือง ตามชนบท เราจะเห็นชัดกว่า เพราะว่ามันจะมีนกบินทุกเช้า มันจะมาร้องเสียงดังปลุกเรา อย่างที่โบสถ์ เช้าๆ นกคุยกันเสียงดังมาก แล้วพระเจ้าบอกว่าดูสิ นกในอากาศ มีชีวิตทุกวัน ไม่ใช่นกทุกตัวที่ถูกเลี้ยง โดยคนซื้อมา แล้วก็เอาไปอยู่ในกรง ทุกเช้าก็จะให้อาหารเขา มีคนเลี้ยงดู แต่พระเจ้าให้เราดูนกในอากาศ คือนกที่ไม่มีเจ้าของ แต่ว่าเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ บินไปไหนมาไหนอย่างอิสระได้ สามารถที่จะแพร่พันธุ์ได้มากมายเยอะแยะ และพระองค์ทรงเตรียมอาหารไว้ให้นกเหล่านี้ แล้วพระเจ้าก็ทรงบอกเราว่าพวกเรา ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าตั้งใจสร้างเรา และพระองค์ทรงระบายลมปรานของพระองค์ลงมาในชีวิตของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีชีวิต มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพเหมือน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นฉายา คือเป็นภาพเหมือนของพระเจ้าเลย ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าจะดูแลเรามากกว่านกในอากาศซะอีก เมื่อพระองค์ทรงสัญญากับเรา แบบนี้แล้ว เราก็อุ่นใจขึ้นใช่ไหม? แต่ความเป็นมนุษย์ต่อให้อุ่นใจ เราก็ยังกังวลอยู่ดี แต่ว่าขอพระคุณพระเจ้าช่วยเรา กังวลได้ แต่อย่าไปจมปลักกังวลจนทั้งวัน เราไม่สามารถที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงสัญญากับเราแล้ว แล้วถ้าพี่น้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าจริงๆ พี่น้องจะสามารถเอเมนได้เลย ซึ่งที่ผ่านมา เราถือว่าแย่ที่สุดแล้ว สำหรับชีวิตของเรา ชีวิตหนึ่งที่เราได้พบเจอ ตั้งแต่เราเกิดมา เราก็เห็น ต่อให้เรามีเรื่องมากมาย มีโรคระบาด มีอะไร มันก็ไม่สาหัสขนาดที่ว่าต้องปิดประเทศ ขนาดปิดการสื่อสาร ขนาดปิดการค้าขาย ของเข้าไม่ได้ ออกไม่ได้ อะไรประมาณนี้ ไม่ถึงขนาดนี้ แต่ว่าเราก็ยังขอบคุณพระเจ้า ที่เราสามารถผ่านวิกฤตนี้มาได้เกือบปีแล้ว หรือถ้าเกิดจะต้องลากยาวไปอีก พระองค์ก็จะทรงพาเราผ่านเช่นเดิม

เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการทดลอง หรือไม่มีความทุกข์ยากใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ที่เราจะไม่สามารถทนได้  พระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะสามารทนได้  ผ่านไปได้

มัทธิว 6:27-29 “27 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย  อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม    จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนา ว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร  มันไม่ทำงาน  มันไม่ปั่นด้าย 29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอน  เมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”

 

พระเจ้าบอกเราว่ากระวนกระวายไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะว่าโดยความกระวนกระวายของเรา ก็ไม่สามารถทำให้ สถานการณ์ดีขึ้น หรือแย่ลง แต่ว่าคนที่จะแย่ลง ก็คือตัวเราเองนั่นแหละ ที่เรากระวนกระวาย ทำให้เราทุกข์ใจ ซึ่งเราสามารถที่จะเดินผ่านวิกฤตนี้ ด้วยพระคุณ ด้วยสันติสุข ด้วยความชื่นชมยินดี ซึ่งมาจากพระเจ้าได้ แทนการกระวนกระวาย เราก็ขอบคุณพระเจ้า  ที่พระองค์นำพาเราทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยตื่นขึ้นมาวันนี้ พระองค์ให้ลมหายใจเราอยู่ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้สุขภาพเราแข็งแรง  ที่เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเองได้ ขอบคุณพระเจ้าที่เรายังสามารถเดินออกจากบ้าน เราอยากจะไปไหน เราก็ยังไปได้ แม้ว่ามันลำบากนิดหนึ่ง ตรงที่เราต้องใส่หน้ากากอนามัย เวลาออกจากบ้าน มันก็แค่ลำบากนิดหนึ่ง แต่ว่ามันก็ไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพของเรามากจนเกินไป จนเรากระดิกตัวไม่ได้ หรือบางคนก็ยังสามารถที่จะไปทำงานได้ สามารถที่จะมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเรามองเห็นภาพ เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ว่าหลายๆ คน ไปทำงาน รายรับอาจจะลดลง แต่พระเจ้าก็ประคับประคองเราสามารถที่จะผ่านไปได้ เราก็ใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยให้น้อยลง อย่างถ้าเป็นสมัยก่อนที่รายรับเราเยอะ เราก็ยังสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยได้แบบสบายๆ แต่เมื่อลดลง เราก็ปรับตัวเอง แทนที่เราจะไปกินเหลาทุกมื้อ  เราก็อยู่บ้านกินดีไหม?  หุงข้าวทานเองดีไหม? เจียวไข่ อะไรก็ได้ ชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น พระเจ้ายังคงดูแลย่างเท้าของพวกเราอยู่ ที่เราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

ฉะนั้น ถ้าเรากระวนกระวาย โดยที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลย เรากังวลไปล่วงหน้า เราก็ขาดทุน เพราะว่าเหนื่อยฟรีๆ ไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละ ตรงที่เหตุการณ์ยังไม่ทันเกิดขึ้น  เราก็ห่วง หรือกังวลล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา

พระเจ้าให้เราเห็นภาพของต้นหญ้า พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างของกษัตริย์ซาโลมอนขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพร เป็นคนที่มีสติปัญญามากที่สุด ตั้งแต่มีมา  พระเจ้าให้สติปัญญา คือก่อนหน้า ก็ไม่มีใครฉลาดขนาดนี้ ให้หลังกษัตริย์ซาโลมอน ก็ยังไม่มีใครฉลาดเท่าพระองค์ แล้วพระองค์มีทรัพย์สมบัติเยอะมาก เพราะว่าทุกคนเดินทางมาจากทุกทิศทุกทาง เพื่อที่จะมาฟังสติปัญญาของพระองค์ เวลาเขาเดินทางมาฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน ก็ไม่ได้เดินทางมาตัวเปล่า คือจะมาพร้อมกับเครื่องบรรณาการเยอะแยะมากมาย ทั้งเงิน ทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะไปหมด มาถวายให้กษัตริย์ซาโลมอน

แล้วในยุคของกษัตริย์ซาโลมอน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเยอะ จนแบบทองคำก็เยอะ เงินก็เยอะ  ทองแดงก็เยอะ พวกไม้สนสีดาห์ก็เยอะ ทุกอย่างเยอะหมดเลย เยอะจนมีช่วงหนึ่ง เขาขี้เกียจนับ พี่น้องเคยมีความรู้สึกไหมว่าเงินเราเยอะ จนขี้เกียจนับ เพราะใช้ทั้งชาติ เราก็ใช้ไม่หมด อย่าไปนับมันเลย อะไรประมาณนั้น กษัตริย์ซาโลมอนเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือเยอะมาก แต่พระเจ้าเอากษัตริย์ซาโลมอนมาเปรียบเทียบกับดอกไม้ ในทุ่งนา เราเห็นดอกไม้สด เวลางอกงามขึ้น ไม่ต้องขนาดดอกหญ้า ในนี้เขาเปรียบเทียบดอกหญ้า เราเอาดอกที่อยู่ได้ทนๆ อย่างพวกดอกกุหลาบ เวลาอยู่บนต้นก็ทน ดอกลิลลี่ อยู่ได้เป็นครึ่งเดือน แต่ดอกไม้เหล่านั้นไม่ว่าชีวิตเขาจะอยู่ยาวขนาดไหน? ก็รอวันเหี่ยว แล้วก็เฉาตายไป

แต่ในตรงนี้ พระเยซูเปรียบให้เห็น ดอกหญ้า คือวันนี้สวยงามเลย พรุ่งนี้ก็ตายแล้ว แต่ดอกหญ้าอันนี้มีค่า หรือมีสง่าราศีมากกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอน แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม พระหัตถ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ถึงแม้ว่าในสายตาของมนุษย์ดูว่ามันนิดเดียวเอง ดูไม่สำคัญ แต่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญ พระองค์บอกว่าสวยกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอนซะอีก

มัทธิว 6:30 “แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น  ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ  โอ  ผู้มีความเชื่อน้อย  พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”

 

แค่ดอกหญ้า ดอกหนึ่ง พระเจ้าให้ความสำคัญ ตกแต่งให้สวยงาม แต่เราซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และในขณะนี้ที่พระเยซูพูด พูดกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่พระองค์ทรงเลือกเราให้เข้ามาเป็นบุตรของพระองค์ เข้ามารับสง่าราศีร่วมกับพระเยซูคริสต์ เข้ามารับความรอด โดยที่เราไม่ต้องไปตกนรก  ไม่ต้องไปชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของเราอีกต่อไป เมื่อพระเยซูคริสต์ชดใช้หนี้บาปให้เรา เราได้รับความรอดสมบูรณ์

พระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ไร้มลทินเลย ฉะนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นคนที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้แล้ว แยกเราออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกันที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะตกแต่งเรามากยิ่งกว่านั้น พระองค์ไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือว่าทิ้งขว้างเรา ไม่ใช่แค่บอกว่าวิญญาณเรารอดแล้ว เนื้อหนัง ร่างกายนี้ จะเป็นอะไร พระองค์ก็บอกช่างหัวมัน ไม่ใช่ พระองค์ก็ยังคงดูแลอยู่ พระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเรา ไม่ว่าเราหลับ ไม่ว่าเราตื่น ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน พระองค์ไปด้วยกับเรา เราทุกข์ พระองค์ทุกข์กับเรา เราสุข พระองค์สุขกับเรา  พระเยซูไม่เคยทิ้งเรา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระองค์เป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เมื่อพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราก็จะมีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าไม่ว่าปัญหาจะใหญ่ขนาดไหน? พระองค์จะพาเราผ่าน ผ่านด้วยวิธีอะไร? นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่พระองค์บอกว่าพระองค์พาเราผ่านแน่นอน

มัทธิว 6:31-32 “31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้  แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า  ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้”

 

พวกต่างชาติ คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องการสิ่งต่างเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ความอยู่ดีกินดี คนต่างชาติก็ต้องการแค่นั้น แต่พระเจ้าบอกว่าข้างในเราต้องการอะไร พระองค์รู้หมดเลย  แล้วพระองค์เห็นว่าอะไรที่สมควร เหมาะสมกับชีวิตของเรา  พระองค์จะประทานให้กับเรา

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่ต้องไปแสวงหา เพราะว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจะเห็นภาพความรักของพระเจ้า พระบิดา จากครอบครัว ครอบครัวแต่ละครอบครัวในโลกใบนี้ ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม คนสองคนแต่งงานกัน แล้วเขามีลูก สิ่งที่ผูกเขาทั้งสองคน คู่สามีภรรยา คือลูก และลูก คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อแม่ ฉะนั้น เมื่อลูกคลอดออกมา ลูกไม่ต้องไปกังวลเลยว่า …

“ฉันคลอดออกมา จะมีผ้าอ้อมไหม? จะมีนมให้กินไหม? จะมีเปลให้เรานอนไหม? หรือกลับบ้าน ถ้าเจอหน้าหนาวจะมีผ้าห่มให้เราไหม? มีหมอน มีเบาะ มีอะไรไหม?”

ไม่เห็นมีทารกคนไหนมากังวลเรื่องเหล่านี้ อย่าว่าแต่คลอดออกมาเลย เชื่อว่าเวลาคุณแม่ตั้งครรภ์ จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็บอกอย่าเพิ่งจัดเตรียมอะไร เป็นเคล็ดอะไรของเขา แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าทุกอย่างดีหมดเลย พระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้กับเรา เราก็จะเตรียมทุกอย่างเลย ซื้อโน่น ซื้อนี่ อะไรที่จำเป็น ที่ลูกจะต้องใช้สอย เราจัดเตรียมให้หมดเลย ถ้าคุณแม่บางคนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ก็ต้องไปสรรหา ซื้อนมผง ก็คือทุกอย่างพ่อแม่จัดเตรียมไว้ให้หมดเลย ลูกไม่เคยต้องมานั่งกังวลว่า …

“ถ้าฉันร้อง จะมีนมให้ฉันกินไหม?”

ไม่มี ทำหน้าที่ คือกิน นอน ฉี่ อึ จบ นี่เด็ก มีหน้าที่แค่นั้น ฉะนั้น พอโตสักระดับหนึ่ง พ่อแม่ก็จะเตรียมแล้ว …

“ลูกเราจะไปเรียนโรงเรียนไหนดี? โรงเรียนไหนที่สิ่งแวดล้อมดี? ครูสอนดี?”

คืออะไรดีๆ พ่อแม่จะเตรียมให้หมด แล้วพ่อแม่ก็จะไม่เหนื่อย ที่จะยอมทำงานหนัก เพื่อจะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกได้เรียน ได้กิน ได้ใช้ ตามสถานะ อันนี้ต้องตามสถานะ แต่อย่างไรพ่อแม่ก็ต้องจัดเตรียมให้

ในพระคัมภีร์บอกเราว่าแม้มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าจะรักเรามากกว่านั้นอีก พระองค์จะไม่ปล่อยให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวของเราเอง

เด็กพอโตขึ้น เรียนหนังสือจบ เขาต้องทำงาน แต่ในขณะที่เขาทำงาน ถามว่าพ่อแม่เลิกห่วงไหม? ไม่มีการเลิกห่วง จนกว่าลูกเราตายจากกัน ไม่พ่อแม่ตายก่อน ลูกตายก่อน ก็ยังคงห่วงใย

“ตกลงลูกเราทำงาน เงินเดือนเขาพอใช้ไหม?”

เป็นไหม? พ่อแม่เป็น เงินเดือนเขาพอใช้ไหม? เดือนไหนรู้สึกเขาขัดสนนิดหนึ่ง เขาไม่พอใช้ เราก็แอบควักกระเป๋า แล้วก็เอาใส่มือให้

“ลูกเอาไปใช้นะ”

นั่นคือหัวใจพ่อแม่ พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระองค์ก็ทรงดูแลเราแบบนี้ พระองค์ทรงห่วงใย พระองค์ทรงรู้ว่าเราขาดอะไร? เราต้องการอะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? พระองค์จะประทานให้กับพวกเราจากฟ้าสวรรค์

ในข้อ 33 พระเยซูสอนเราว่าสิ่งที่เราควรทำ คือ …

มัทธิว 6:33-34 “33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34 “เหตุฉะนั้น  อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้  เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง  แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว”

 

ไม่ต้องทุกข์ล่วงหน้า ทุกวันมีแต่ความทุกข์ ถ้าเรากังวลถึงพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึงเลย เรากังวลล่วงหน้า มันก็กังวลฟรีๆ พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้ คืนนี้นอนหลับ แล้วพระเจ้าก็บอก …

“วราพรกลับบ้านได้แล้ว งานจบแล้ว”

เราก็หลับไปอยู่กับพระเจ้า กังวลฟรี เหนื่อยฟรี ฉะนั้น พระเยซูสอนเราว่าอย่าไปกังวลเผื่อพรุ่งนี้ แต่ละวันมันก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปหาทุกข์ใส่ตัวมากขึ้น สิ่งที่เราควรทำ คือแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ที่อาจารย์นครพูดบ่อยๆ คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในถ้อยคำของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้า คืออะไรก็ตามที่พระเยซูได้ทรงสอนเราไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า จดจ่อว่าขณะนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เราเป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราสามารถที่จะมีสันติสุขในพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก หรือปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่ล้อมรอบตัวเรา เราสามารถมีสันติสุขได้ เพราะตาเราไม่ได้จ้องอยู่ที่ปัญหา แต่ตาเราจ้องอยู่ที่เบื้องบนว่าพระเจ้าเตรียมพระพรนานับประการให้เราเรียบร้อยแล้ว เรารอแค่ว่าเมื่อไรที่พระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะได้จบงาน เมื่อไรจะถึง 5 โมงเย็น office จะปิด เราก็จะได้ถึงเวลากลับบ้าน เราก็ทิ้งร่างกายนี้ไว้ วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานนิรันดร์กาล

นี่คือพระพรที่พระองค์ได้บอกกับเรา ถ้าเรามองที่ปัญหา ชีวิตเราก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าเรามองที่พระสัญญาของพระเจ้า ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากแค่ไหน? เราก็จะคิดแค่ หายใจเข้า หายใจออก อึดใจเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมีมา มันก็จะมีไป แล้วเมื่อถึงเวลา เราก็จะได้พักผ่อน ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข สิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่ามกลางปัญหาอุปสรรค ด้วยสันติสุข ซึ่งมาจากพระเจ้า

ในหนังสือมัทธิว 10:26-27 “26 “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา  เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับ  ที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 27 ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด  ท่านจงกล่าวในที่แจ้ง  และซึ่งท่านได้ยินกระซิบที่หู  จงตะโกนจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พระเยซูตรัสกับสาวก หลังจากที่พระเยซูบอกกับสาวกว่าศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ในยุคนั้น เมื่อพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็บอกกับผู้คนทั่วไปว่าพระเยซูใช้อำนาจของเบเอลเซบู ซึ่งเป็นนายผี  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจนี้มาจากพระเจ้า เขาหาว่าพระเยซูเป็นนายผี

ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่าถ้าผีกับผีตีกันเอง อาณาจักรคงไม่สามารถอยู่ได้ คือมันจะล่มสลายไป พระเยซูบอกว่าปล่อยเขาไปเถอะพวกนี้ ถ้าขนาดพระเยซูเองยังถูกเรียกว่านายผี หรือพระเยซูเองยังไม่ได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้  พวกสาวกก็อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้ แต่สิ่งที่สำคัญ คือไม่ต้องไปกลัวเขา ไม่ว่าเขาจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ต้องกลัว แต่ให้สาวกของพระองค์ประกาศพระนามของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้กับสาวก ในที่ลับ ให้ประกาศออกไป  จนตอนที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปสู่ฟ้าสวรรค์

หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่าเหตุฉะนั้น ให้เราออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ สอนทุกคนให้เรียนรู้จักพระองค์ แผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์ต้องการให้เราออกไปประกาศ เพื่อนำผู้คนมากมาย บนโลกใบนี้ ที่ยังตกอยู่ ภายใต้อำนาจของผีมารซาตาน ให้เขาได้สัมผัส ได้เปิดตาใจ ได้ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนไหน ช่วยให้หลุดพ้นจากความผิดบาป เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดยอมรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า เขาจะได้รับอิสรภาพ เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้มือของผีมารซาตาน  แต่วิญญาณเขาจะสลับขั้วมาอยู่ที่พระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจะถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง เขาจะถูกปลดปล่อยอิสระ เขาจะไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตานอีกต่อไป  เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในคนๆ นั้น เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าต้องการให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป ต้องการที่จะให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพจากการถูกผูกมัด โดยผีมารซาตาน ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกว่าให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์

มัทธิว 10:28 “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ  แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์  ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”

 

พระเยซูบอกอย่ากลัว ทำไมต้องบอกสาวก “อย่ากลัว” ในยุคนั้น หลังจากที่ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ สาวกออกไปประกาศ จะถูกข่มเหง บางคนถูกจับไปติดคุก บางคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ คือจะมีทุกรูปแบบ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า ในยุคนั้น พระเจ้าประทานกำลังให้กับสาวกมากมาย แม้ว่าจะถูกฆ่าตาย ถูกจับติดคุก ถูกทรมานมากมาย ไม่มีคนไหนที่ปฏิเสธพระเยซู เมื่อมีโอกาส เขาก็ยังเลือกที่จะประกาศพระนามของพระเจ้า ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า เหมือนกับอาจารย์เปาโล เมื่อกลับใจใหม่ ท่านก็ไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด ก็พูดเรื่องเดิมเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านพระคัมภีร์จริงๆ เปาโลเมื่อไปเจอนายคุก ไปเจอกษัตริย์ ไปเจอใครก็ตาม อาจารย์เปาโลจะเริ่มต้นเล่าเรื่องพระเยซูว่า …

“เพราะเหตุนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูมา แล้วพวกเธอไม่เชื่อฟัง เอาพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน  แต่ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย”

นั่นคือข่าวประเสริฐเนื้อๆ จริงๆ อาจารย์เปาโลพูดทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง  พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกเวลา ซึ่งนั่นคือฤทธิ์เดช ในพระคัมภีร์บอกว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ไม่ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เมื่อข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป คนที่ได้ยิน ได้ฟังเขาจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

ตรงนี้พระเจ้าเลยบอกกับสาวกของพระองค์  … “ไม่ต้องไปกลัวหรอกพวกนี้ ฆ่าเธอได้แค่ร่างกายนี้เท่านั้น”

สาวกในยุคนั้น แม้ถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่กลัว ไม่ยกเลิกที่จะเชื่อพระเยซู เขายังประกาศพระเยซูจนถึงวินาทีสุดท้าย

จะมีภาพหนึ่งในหนังสือกิจการ คนที่ติดตามพระเยซูที่ชื่อสเตเฟน เขาไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ประกาศเรื่องราวเดียวกันกับอาจารย์เปโตร … 2 คนนี้จะได้ภาพที่ต่างกันมาก ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศพระนามของพระเยซู ประกาศเรื่องเดียวกันเลย พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน มีคนเชื่อพระเจ้า ครั้งแรก 3,000 คนและติดตามมาเป็น 5,000 คน ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป แบบเยอะแยะมากมาย คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า

แต่สเตเฟนเป็นอีกภาพหนึ่ง ที่ในพระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพว่าสเตเฟนประกาศเรื่องเดียวกัน   และในพระคัมภีร์เขียนว่าทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง   รู้สึกบาดใจ   มีท่าทีต่างกัน   ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศ  ทุกคนสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยเขาขนาดนั้น  ทุกคนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า    แต่ว่าคนที่สเตเฟนไปประกาศ   เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน    แล้วหยิบก้อนหินขว้างสเตเฟนตายคาที่เลย   แล้ว  สเตเฟนคุกเข่าพูดคำเดียวกับพระเยซูตรัสบนไม้กางเขนว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้เขาด้วย”

ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่สเตเฟนประกาศให้เขาได้ยินได้ฟัง  คือพระพร  คืออิสรภาพ  คือการปลดปล่อย  ที่พระเยซูคริสต์มาทำ      เพื่อพวกเขาบนไม้กางเขน   เขาจะไม่เอาหินขว้างสเตเฟนให้ตาย   แต่ขณะที่สเตเฟนลมหายใจออกจากร่าง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขายอมตาย เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช แม้ว่าร่างกายของเขาตาย แต่จิตวิญญาณของเขาได้อยู่กับพระเจ้า เขามีชีวิตนิรันดร์

เราจะเห็นภาพว่าไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จเหมือนกับอาจารย์เปโตร อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐ บางที่ก็มีคนต้อนรับ บางที่ก็มีคนไล่ตี อาจารย์เปาโลก็ยังไม่เคยถอดใจ แต่จะประกาศพระนามของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าอย่าไปกลัวพวกที่ฆ่าเราได้แต่กาย ร่างกายนี้ เราจะอยู่กี่ปี มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จริงๆ แล้ว พอเรารู้เรื่องราวของพระเจ้า ก็ไม่อยากอยู่นานหรอก ไม่อยากชีวิตยืนนาน ตอนนี้ถ้าใครมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าอวยพรให้ชีวิตยืนยาว ไม่เอานะคะ  เพราะเรารู้ว่าชีวิตเรายิ่งยาวมากเท่าไร? เราก็ต้องลากยาวกับโลกใบนี้ ต้องดิ้นรน ต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค แต่ถ้าใครที่ถึงเวลากำหนด พระเจ้าเอาลมหายใจเขาออกจากร่าง คือเขาสบายเลย  เขาได้พักผ่อน แล้วเราทุกคน เราก็อยากได้แบบนั้นแหละ เมื่อถึงเวลา เราก็อยากพักผ่อน เราไม่อยากมีชีวิตยืนยาว แต่เราก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกำหนดให้แต่ละคนมีอายุเท่าไร? เราไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าถ้าพระเจ้าให้เรากลับบ้านเร็ว เราก็มีความสุข แต่ถ้าพระเจ้ายังไม่ให้เรากลับบ้าน เราก็ทำหน้าที่ของเราในชีวิตประจำวันให้ดีที่สุดเท่าที่พระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา แค่นั้นเอง

พระเยซูบอกว่าไม่ต้องไปกลัวหรอก คนที่ฆ่าเราได้แต่กาย แต่จงกลัวพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่จะฆ่าทั้งกายและวิญญาณได้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า ชีวิตเราจบเลย คืออยู่บนโลกใบนี้ อาจจะมีความสุขแค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังความตาย  มีอะไรเยอะแยะมากมาย มันยาวนานมาก  ที่พระเจ้าบอกว่านิรันดร์ ไม่มีจุดจบ

ถ้าเรามีพระเจ้า ร่างกายนี้เราอาจจะตายไป แต่เรามีความมั่นใจ มีหลักประกันว่าวิญญาณเรารอด เราได้มีความสุขนิรันดร์ หลังความตายอยู่กับพระเจ้า ถ้ามีคนเขาบังคับเรา

“ปฏิเสธพระเยซูนะ ไม่งั้นเธอตายแน่”

แล้วเราก็กลัวตาย เราขอปฏิเสธ ซึ่งพระเยซูบอก อันนั้นแหละ คือการตัดสินใจที่เรียกว่าขาดทุนย่อยยับเลยล่ะ แต่เรายังเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอกกับเราว่าแกะของเราจะฟังเสียงของเรา คนที่เป็นแกะของพระองค์ เมื่อถึงเวลาคับขันจริงๆ ที่เราต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะเอาชีวิต หรือเราจะเอาพระเยซู พระเจ้าจะให้กำลังเราเลือกพระเยซู เอเมน เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าในยุคปัจจุบัน ไม่น่าจะเจอ แต่ถ้าเจอจริงๆ พระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเรา

มัทธิว 10:29-31 “29 นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ  แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ  นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ 30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย  ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น 31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย     ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว”

 

อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงยกเอานกมาเปรียบเทียบว่านกกระจาบ ในยุคนั้น ราคาถูก ไม่กี่ตังค์เอง แต่ว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ ถ้าพระองค์ไม่เห็นชอบ ต่อให้นายพราน หรือพวกดักนกเก่งขนาดไหน? ก็ไม่สามารถจับนกได้ หรือยิงให้มันตายได้ พระเจ้าบอกอย่างนั้น

ฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพวกท่าน ซึ่งพระองค์เลือกให้เป็นลูกของพระเจ้า ก็ประเสริฐกว่านกหลายตัว ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมาย เพราะว่าพระเจ้าเฝ้ามองเราอยู่ แล้วพระองค์อยู่ในเราด้วย คอยพาเราผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ … ในลูกา 12:2-9 จะเป็นเรื่องคล้ายๆ กัน แต่จะยกมาอ่านให้พี่น้องฟังว่าพระเจ้าพูดอะไร

ลูกา 12:2-9 “2 แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 3 เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืด  จะได้ยินในที่แจ้ง  และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัว  จะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน 4 “มิตรสหายของเราเอ๋ย  เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5 แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด  จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตน  แล้วก็ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้  แท้จริง  เราบอกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ

6 นกกระจาบห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ  และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย 7 ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น  อย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่า นกกระจาบหลายตัว 8 “และเราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์  บุตรมนุษย์ก็จะรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 9 แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์  เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า”

 

เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องใกล้เคียงกันมาก แต่บันทึกโดยลูกากับมัทธิว พระเจ้าบอกผมทุกเส้นบนศีรษะของเรา พระเจ้านับไว้หมดเลย เป็นความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยละเลย

พี่น้องทุกวันนี้หวีผม ผมร่วงไหม? ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งร่วงเยอะ คนอายุเยอะ จะหัวล้านไปเรื่อยๆ เพราะว่าผมมันหลุดไปเรื่อยๆ สร้างผมใหม่ไม่ทัน แต่ว่าถ้ามันไม่ได้ร่วงเยอะ จนออกมาเป็นกระจุก เราก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร? ร่วงก็ร่วงไป วันนี้ร่วงไป 10 เส้น 20 เส้น เราก็โกยๆ ใส่ถังขยะไป แต่พระคัมภีร์เขียนว่าผมทุกเส้นพระองค์ทรงนับไว้ เล็งถึงความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยทรงละเลย ในเรื่องเล็ก เรื่องน้อย เรื่องฝอยในชีวิตของเรา พระองค์ทรงดูแลเราอยู่

แล้วในข้อ 8-9 ที่บอกว่า … “เราบอกคนทั้งหลายว่าทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์” หมายถึงเราอยู่บนโลกใบนี้ เรายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจของเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับอย่างนี้ ถึงวันหนึ่งข้างหน้า ที่เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกว่ารู้จักเรา เพราะว่าเรารับพระองค์ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราก็สามารถที่จะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล ซึ่งวิญญาณเราตอนนี้ก็อยู่ที่สวรรค์แล้ว  แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้ เราก็สามารถเข้าสวรรค์ได้

“แต่ส่วนคนที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์” ก็คือคนที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้ฟังมาอย่างดีเลย เห็นว่าดีนะ แต่ไม่เอา ยังไม่สนใจพระเจ้า รู้สึกว่าตัวเองยังดีอยู่ ยังสามารถช่วยตัวเองได้ เราสามารถที่จะพัฒนาชีวิตของเราเองด้วยกำลัง ด้วยสติปัญญา ด้วยการกระทำของเรา เพื่อเราจะได้ส่ำสมบุญบารมีด้วยตัวของเราเอง เพื่อขึ้นสวรรค์ คนเหล่านั้นแหละ ถึงวันที่ลมหายใจเขาออกจากร่าง เขาจะเสียใจมากที่สุด เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหน? สามารถที่จะดีครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แล้วเมื่อถึงวันนั้น พระเยซูก็จะบอกคนนั้นว่า … “เราไม่รู้จักเจ้า” ก็คือคนกลุ่มนี้จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า แล้วที่ที่คนกลุ่มนี้จะไป  คือนรกนิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*************************