คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ก็จะมาบรรยายกันต่อถึงเรื่องสำคัญ เรื่องนี้แหละ ซีรีย์นี้ต้องเรียนอย่างละเอียดมาก เป็นเรื่องความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่สำคัญมากๆ ที่สุด สำคัญสำหรับชีวิตเราที่เชื่อแล้ว และสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วย คือข่าวดีจริงๆ ที่จะไปถึงเขา ก็คือเรื่องรอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ซึ่งเป็นคำถามที่เขาถามกันทั่วไป ไม่ว่าคนมาเชื่อแล้วก็ตาม หรือคนที่ไม่เชื่อยิ่งถามใหญ่เลย …

“เป็นคริสเตียนแล้วทำอะไรก็ได้หรือ?”

เราจะตอบเขาอย่างไร? คือข่าวดีนั้นเอง เราจะมาดูกันต่อ วันนี้เป็นตอนที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ มีคนเข้าใจผิดเยอะ และที่สำคัญเป็นการเข้าใจผิดที่ทำให้ข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง มันผิดเพี้ยนไป เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้กันอย่างละเอียดลึกซึ้ง ต้องมาจูน มาปรับพื้นฐานความเชื่อกันใหม่ ตามถ้อยคำพระเจ้า

มาทบทวนนิดหนึ่งว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อกัน ที่เรารู้กัน รายละเอียดคืออะไร? ไม่อย่างนั้นมันก็จะทำให้เราไม่มั่นใจในการที่จะเล่า หรือดำเนินชีวิตให้สมกับผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว ก็คือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดีนั้นเอง ให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเรา เราจะมาทบทวนว่าในเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้อะไรกันไปแล้วบ้าง? ใน 3 ตอนที่ผ่านมานะครับ ก็คือ …

          ตอนที่ 1 สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว ความประพฤติและการกระทำทุกอย่างไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณเลย แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น

          ตอนที่ 2 เน้นเรื่องอย่าดับพระวิญญาณ ทางเลือกและผลที่จะเกิดขึ้น ระหว่างทำตามพระวิญญาณกับดับพระวิญญาณ ซึ่งไม่เหมือนกัน

          ตอนที่ 3 คือกฎแห่งการหว่าน และการเก็บเกี่ยว ที่เราได้เรียนด้วยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งนั้น

          วันนี้ ตอนที่ 4 คือเราบังเกิดใหม่เป็นคนดีแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาป หรือทาสบาปอีกต่อไปแล้ว

แน่ใจไหม? เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นไปตามหัวข้อนี้จริงหรือไม่? เรามาติดตามกัน

ที่ผ่านมาเราได้เรียนกันไปแล้วว่าถึงแม้จะเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว หลายครั้งเรายังดำเนินชีวิตวนเวียนอยูกับการประพฤติไม่ดี หรือเรียกว่าประพฤติบาปอยู่เลย  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะคอยสอน คอยแนะนำ คอยตักเตือน ด้วยความทะนุถนอมค่อยๆ นำพาเรา สอนเรา ให้ประพฤติในสิ่งที่ดี  เพื่อให้สมกับธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีแต่ประพฤติดี เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว

ซึ่งพระวิญญาณจะนำ จะสอนอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีคริสเตียนคนไหนที่สามารถทำดีได้ครบ 100% สักคนหนึ่ง หรือว่ามี? ไม่มีถูกไหม?  เราได้เรียนรู้แล้ว และทุกครั้งที่เราทำบาป หรือทำไม่ถูกต้อง หรือเรียกว่าไม่เชื่อฟังการนำของพระวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา  ก็จะทุกข์ใจ เสียใจ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก เราจะได้รับความทุกข์ เราได้รับความไม่ดีกลับเข้ามาในชีวิตเรา เราดื้อไง พระองค์ก็เสียใจ ทุกข์ใจ ไม่ตีเราเพิ่มหรอก พยายามจะช่วยเรา

เพราะเราหว่าน หรือเรากระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระวิญญาณสอน  เราหว่านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านลงไปในบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ออกมาในสิ่งที่ไม่ดี ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เรียกว่าพระพร แทนที่จะได้พระพร กลายเป็นได้คำสาปแช่งแทน พระเจ้าก็เสียใจ ซึ่งแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจก็ตาม และอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ตาม เราก็ต้องรับผลกรรม ที่ได้หว่าน ที่ไม่เชื่อฟัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เหมือนกัน

สรุปก็คือเชื่อข่าวดี ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตลอดไปไม่มีการเปลี่ยนใดๆ เลย ไม่ว่าจะประพฤติตัวเช่นไรบนโลกใบนี้ก็ตาม จริงไหม? จริง แต่มันตอบยากนะ ตอนนี้ท่านตอบง่ายขึ้นแล้วนะ พระคัมภีร์บอกความจริงเรา อะไรบ้าง? ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท แต่ว่าพอความจริงอันนี้ออกมาปุ๊บ เราก็เกิดคำถามขึ้นในใจ ไม่ใช่เราคนเดียว พอบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เราจะประพฤติอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นลูกพระเจ้า เราก็รู้สึกในใจมันใช่หรือ? ถ้าเราไม่มีความจริง เราก็ไม่เป็นไท เราก็ไม่เป็นอิสระ เราก็จะตะขิดตะขวางในใจ ก็มันใช่ไหม? เป็นอย่างนั้นหรือ?  คนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้า ที่อยู่รอบข้างเรา ยิ่งหนักกว่านั้นอีก พอเราไปพูดอย่างนี้ รับไม่ได้เลย …

“อะไร เป็นคริสเตียน จะทำอะไรก็ได้หรือ? ไปสวรรค์แน่นอนหรือ?”

ก็จะตั้งคำถามใส่เราเลย หรือว่าแม้เราจะตั้งคำถามในใจตัวเองก็ตาม คำถามก็คือ …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็ สนุกสนานในการทำชั่วได้สิ ก็ไม่ได้ต้องรับโทษแล้วสิ”

เคยคิดไหม? เล็กๆ ใช่ไหม?

สองตอนที่เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการดับพระวิญญาณ คือการไม่เชื่อพระเจ้า กับกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยวว่ามีทั้งหว่านทางบาป ก็ได้ หว่านทางพระวิญญาณก็ได้ อาจารย์เปาโลย้ำเตือน กับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว เรื่องพระคุณของพระเจ้า ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านได้มองเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในความสว่าง และการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาชีวิตในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกเดินตามฝั่งตรงข้าม ก็คือเลือกเดินไม่เชื่อพระเจ้า ดับพระวิญญาณอยู่หรือ? ซึ่งจะให้ผล คือความพินาศในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามอีกหรือ? …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็สนุกสนานในการทำบาปอย่างนั้นหรือ?”

เปาโลก็ตอบคำถามนี้เลย ในโรม 6:1-11 นี่คือคำตอบคำถามที่เป็นหัวใจของคริสเตียนทุกคน ที่จะมีคนถาม โดยเฉพาะตัวเองถามตัวเอง และคนรอบข้างจะถามเราแน่นอน เราจะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ

โรม 6:1-11 “1 เช่นนี้แล้ว เราจะว่าอย่างไร เราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไป ได้อย่างไร  3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์  4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก  ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้น ทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกัน จงถือว่าตัวท่านเอง ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”

 

“เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร?” … คําถามที่ควรจะถามเรา ก็คือเราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ?  ก็คือย้อนกลับมาที่คำถามเมื่อตะกี้ ที่คนจะถามเรา แล้วเราจะถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้น เป็นคริสเตียน ก็ทำบาปได้เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ? เป๊ะไหม? อาจารย์เปาโลก็เลยตอบ ก็คือพระเจ้าตอบเราว่าพอเรารู้แล้วว่าพระคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ให้เราบังเกิดใหม่ฟรีๆ โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของเราเลย ให้เราได้อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ตลอดไปเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วอย่างนี้ ก็เลยทำบาปต่อไป เพื่อจะให้เห็นพระคุณพระเจ้าชัดเจนมากยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ? ใช่หรือ? แน่ใจอย่างนั้นหรือ? ข้อที่สองก็เลยตอบอย่างชัดเจน เน้นบอกว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

คำว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า certainly not ซึ่งจริงๆ แล้ว ควรจะแปลได้ว่า “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน” ความคิดเราเปลี่ยนไปทันที พระเจ้าหรือเปาโลบอกว่า …

“มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน ที่ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น ก็ทำบาปได้สิ เห็นพระคุณเยอะแยะ”

เราจะตอบว่า … “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน”

เพราะอะไร? มันไม่เป็นไปอย่างที่บอกมานั่นแหละ ที่พูดนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก พูดง่ายๆ

ท่านก็จะถาม คนข้างๆ ก็จะถาม เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? มาดูกันต่อไป มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่สามารถทำบาปต่อไปอีกได้แล้ว ก็เพราะว่าเราได้ตายต่อบาป และจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? ในข้อพระคัมภีร์บอกไว้ เราได้ตายต่อบาปแล้ว ในที่นี้หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ตัวตนของเราก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราสกปรกขนาดไหน? เราเป็นบาป และเป็นทาสบาป ตอนนี้พอเราเชื่อพระเจ้า ตัวตนนั้น ตัวจริงๆ ของเราได้ตายไปแล้ว ตายต่อบาป ตัวบาปนั้นมันตายไปแล้ว เมื่อตายต่อบาปแล้ว ก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตในบาปได้อีกไงเล่า มันง่ายนิดเดียว เมื่อตายต่อบาปแล้ว มาอยู่ในชีวิตของพระเจ้าแล้ว มันก็ไม่ใช่อยู่ในบาปนั้น ไม่อยู่ในบาป แล้วจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปได้อย่างไร?

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้มันหมายถึงมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ความประพฤติ คำว่าดำเนินชีวิต ตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ มันหมายถึงพระเจ้ากำลังบอก เปาโลกำลังบอกว่าตัวเก่าท่านอยู่ในบาป ตอนนี้ท่านอยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไปแล้ว เพราะตัวเก่ามันตายไปแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น

พอพูดแบบนี้ หลายคนก็เริ่มงงเลย อ้าว! ถ้าอย่างนั้น แล้วที่บอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังทำบาปได้อยู่ ยังประพฤติชั่วได้อยู่ ความหมายว่าอย่างไร? ก็เราเรียนมาหยกๆ บอกคริสเตียนก็ยังทำชั่วอยู่ ไม่ได้ดำเนินชีวิตในบาปแล้ว แล้วทำชั่วอย่างไร?

ตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านๆ มา และปัจจุบันนี้ ยังมีคนสอนไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ในบริบทนี้ จะมีคนสอนกันเยอะว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้วก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นตัวตนเดิมอยู่ ยังมีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวตนเรา ตั้งใจ ค่อยๆ ฟัง  เราก็ยังคงสู้กันอยู่ในตัวเอง ระหว่างตัวตนเดิม ที่ยังเป็นบาปอยู่กับตัวตนใหม่ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ซึ่งการต่อสู้นี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสำคัญ เราจะให้อาหาร เราจะฟัง หรือให้น้ำหนักฝั่งไหนเยอะกว่ากัน ฝั่งนั้นก็ชนะ จะให้ฝั่งดำหรือขาว ทั้งขาวทั้งดำอยู่ในตัวของเรา นี่เขาสอนกันอย่างนี้

ซึ่งคำสอนหรือคำอธิบายอย่างนี้ ไม่ได้ตรงตามบริบทที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้  ซึ่งเรากำลังจะเรียนรู้กันต่อไป สำคัญมาก เพราะมันคือหัวใจของข่าวประเสริฐ ผลของข่าวประเสริฐ ก็ต้องตั้งใจ

อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? ในข้อที่ 3 กับข้อที่ 4 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็แสดงว่ามีคนไม่รู้จริงๆ  เราทั้งปวงที่รับบัพิตศมา เรา ตรงนี้ หมายถึงคนที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซู ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาในความตายนั้น

บัพติศมา แปลว่าฝังลง มุดลง จุ่มลงไปมิด เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ไปแล้ว

คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าภายในตัวเรา ที่เราเห็นอยู่นี้ มี 2 ตัวตน ที่ยังต่อสู้กันอยู่ ระหว่างฝั่งขาวกับฝั่งดำ ตัวตนที่เป็นฝั่งขาว ก็รู้กันอยู่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด และบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ตัวตนเก่าก็ยังอยู่อะไรอย่างนี้  ตีกันอยู่ คนที่เข้าใจแบบนี้อยู่ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเรา ก็คือที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว  ตัวตนเดิมที่เป็นบาป ได้ตายไปจริงๆ แล้ว ตายไปแล้ว ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ในการบัพติศมาของพระเจ้า บัพติศมาเราลงไปในความตายของพระเยซูคริสต์ เราตายพร้อมพระองค์ไปแล้ว และเราคือตัวตนใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซู ก็เพราะเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในข่าวดี คือเชื่อในการตายของพระเยซู และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พอเชื่อปุ๊บ เราก็ตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ เชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย? เชื่อ ถ้าเชื่อก็จริง ก็ต้องรู้ว่าเราก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์จริงๆ เราก็เป็นตัวใหม่จริงๆ แล้ว

ในข้อ 6 เปาโลจึงบอกอย่างนี้ว่า … เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา   ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาป คือกายบาปนั้น จะได้ถูกขจัดไป จะถูกทำให้สิ้นไป หมดไป สูญไป ตายไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  ไม่เป็นทาส ก็คือไม่ได้อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ถูกครอบงำ หลุดออกมาแล้ว

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ซึมซับความจริงตรงนี้ เขาก็จะเป็นอิสระ เป็นไท เขาจะรู้ทันทีว่าตัวตนที่เป็นบาปของเขา ที่เป็นตัวตนคนบาปของเขา มันได้ตายไปแล้วจริงๆ  ถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่มีการเป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไป เพราะมันตายไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเขามีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้เดียวเท่านั้น เราก็คือเราเท่านั้น คือตัวตนที่ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เอเมน ในตัวเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่ มี 2 ตัวอยู่ในตัวเรา เราเป็นตัวเราคนเดียว

ก็จะถามต่อใช่ไหม … “อ้าว! แล้วถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเราไม่ได้เป็นทาสบาป ไม่ได้เป็นคนบาป ทำไมเราที่เป็นคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้ว ที่บอกสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่”

แน่นอน ต้องมีคนถาม เขาก็ถามกันอย่างนี้แหละ ในอดีต 2000 ปีก่อน เขาก็ถามอย่างนี้ ตอนข่าวประเสริฐถูกประกาศใหม่ๆ เปาโลก็ตอบให้ เดี๋ยวมาฟังต่อไป มาหาคำตอบกันต่อไป ในโรม 6:12 ได้บอกว่า …

โรม 6:12 “เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น”

 

“เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครอง”

อยากจะบอกว่าตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า … เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครอง”

อย่าให้บาปครอบครอง อย่าให้บาปมันครอบครองนั้น มันต่างกันเยอะมากมากมหาศาล เพราะอย่าให้บาปครอบครอง รู้สึกตัวเราเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง มีศัตรู ถ้าอย่าให้บาปครอบครองเฉยๆ  ตัวเองเป็นศัตรูตัวเอง สู้กับตัวเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง เรามองแล้ว มันคือใคร?  มันคือไม่ใช่ตัวเราแน่นอน  เพราะฉะนั้น เราจะตั้งหลัก ตั้งการ์ดสู้กับเขาแล้ว เห็นไหมมันต่างกันตรงนี้

เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ก็คือร่างกายนี้  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของมัน ของเก่าแปลว่าความปรารถนาชั่วของกาย กลับมาที่เราอีกแล้ว  ผิดไง ผิดนิดเดียว แต่มันมาหันความเข้าใจเลย  เห็นไหม? ความปรารถนาชั่วของมัน มันไม่ใช่ความปรารถนาชั่วของเรา ที่เกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เราอยากจะเหมือนพระเจ้าเลย เพราะธรรมชาติของเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นความดี เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ  แต่มัน มันเดี๋ยวจะได้รู้มันคือใคร? แต่มันปรารถนาชั่ว จะพยายามบังคับเรา จะพยายามครอบครองเรา ให้ทำตามความปรารถนากิเลสตัณหาชั่วของมัน พอเราทำอะไรไม่ดี (โทษทีนะ) กูอีกแล้ว

“ฉันทำไมมันเลวอย่างนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมฉันเลวอย่างนี้”

เห็นไหม? ศัตรูนั่งหัวเราะ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ ผมเชื่อว่าถ้าเผื่อความจริงนี้ได้ถูกประกาศออกไปมากๆ คนจะมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะ เหมือนในอดีต แล้วผมก็เชื่อว่าในอดีตคนที่มาเชื่อพระเจ้า เขาไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าจะแสวงหาการอัศจรรย์ การหายโรค การเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เพราะส่วนใหญ่ที่อ่านดูในพระคัมภีร์ไม่ได้เจริญรุ่งเรือง ก็ยังขัดสนตามประสามนุษย์ธรรมดา ก็ยังเจ็บป่วยตามภาษามนุษย์ธรรมดา แม้กระทั่งอาจารย์เปาโลเองก็ตาม แต่อะไรทำให้เขามาเชื่อในข่าวดี อะไรให้เราแบกภาระหนัก แล้วมาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ก็คือเขาไม่ต้องมาต่อสู้กับตัวเองอีกแล้ว เขาไม่ต้องมานั่งดุด่าว่ากล่าวตัวเอง เขารู้แล้วว่าศัตรูคือใคร? พระเจ้านำพาเข้าไปหาศัตรูว่า …

“ลูกเอ่ย นี่ศัตรูเรา เป็นตัวนี้แหละ”

เพราะฉะนั้น ตัวตนที่แท้จริงของเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นคนบาปเลย แต่มันยังมีตัวบาปที่เป็นกาฝากเกาะอยู่ แอบอยู่ในชีวิต ในกายของเรานี่แหละ มันแอบอยู่ มันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นกาฝาก มันคือพยาธิ ถ้าเราเทียบอย่างนี้ชัดเจน ท่านว่าตัวท่านเองกับพยาธิคนละคนหรือเปล่า? พยาธิคือตัวท่านไหม?  ไม่ใช่ แต่พยาธิอยู่ในตัวท่านหรือเปล่า? อยู่ในตัว เวลามันร้องหิวอาหารที่ท่านไม่อยากกิน แต่มันอยากกิน มันร้อง ท่านรู้ตัวไหม? ท่านไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่เห็นตัวพยาธิ ท่านก็ไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่ให้หมอตรวจ เขาไม่บอกท่าน ท่านก็ไม่รู้ตัวว่าที่ท่านหิว ท่านไม่ได้หิวหรอก ตัวที่หิวมัน คือตัวพยาธิที่อยู่ในตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

“เอ๊ะ! ทำไมฉันกินไม่อ้วนสักที”

อันนี้สมมติให้ฟัง พยาธิไม่ใช่ตัวท่าน แต่มันแอบอยู่ในท่าน เราจึงเรียกว่ากาฝาก บาปมันแอบอยู่ในตัวเรา เป็นกาฝาก ต้องเรียกมันว่ามัน จริงนะในพระคัมภีร์เรียกมันว่ามันจริงๆ ภาษาเดิม

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่หรือ? เป็นไปได้ไหม? ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่เลย  กินมากมหาศาลเลย กินเท่าไร ก็ไม่อิ่มสักที กินเยอะแยะ สมมตินะ มีพยาธิอยู่ในตัว เมื่อเอาพยาธิออกไปจากตัว สมมติว่าฆ่าพยาธิ เราตายต่อพยาธิแล้ว เราก็กลับมาที่เดิม คล้ายๆ อย่างนั้น  คนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่อีกหรือ? มันไม่ใช่เลย เป็นไปไม่ได้   แต่มันเป็นจากเจ้ากาฝากมันเกาะอยู่ เป็นตัวที่คอยกระตุ้นให้คริสเตียนทำตามมัน  กระตุ้น กระซิบ  แหย่  คำราม  ถ้าเชื่อมัน ก็ถูกกัดกิน มันจะคอยส่งเสียงกระตุ้น โน้มน้าว ให้เราทำตาม ซึ่งคือความปรารถนาชั่วอย่างเดียว เพราะมันเป็นบาป ทำบาปนั่นเอง

ปัญหา คือผู้เชื่อที่ยังไม่มั่นคงในพื้นฐานความจริงตรงนี้ เรื่องตัวตนที่แท้จริง ที่เกิดใหม่ ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของการตายต่อบาป  ตัวเก่าเราตายแล้ว บาปมันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว ถ้ายังไม่รู้เรื่องตรงนี้อาจจะยังไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจน ระหว่างเสียงของเจ้ากาฝากที่แอบอยู่ในตัวของเรา กับเสียงของตัวเอง ที่มาจากตัวตนแท้จริงของตัวเราเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราตลอดเวลา แยกแยะไม่ออก เราก็เลยนึกว่าเสียงกาฝากนั้น มันเป็นเสียงตัวเราที่ชั่วร้าย ในเมื่อพระวิญญาณบอกว่า …

“ไม่ใช่ เธอเป็นคนดี เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอไม่ได้ชั่วหรอก มันๆๆๆ ไม่ดี”

เราก็บอกว่า … “ฉันไม่ดี ฉันมันเลว”

ถูกไหม? เพราะในอดีตเราเคยเป็นอย่างนั้น ในอดีตเราเป็นทาสมัน  เรายอมมันทุกอย่าง มันก็ติดนิสัย เราก็กลัวมัน เราก็นึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น เหมือนเดิม แต่พระเจ้าบอก …

“ไม่ใช่ เจ้าเป็นลูกเราแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว มันต่างหากที่ยังแอบเป็นกาฝากอยู่ เราเป็นอิสระจากมันแล้ว”

โรม 6:13-14 อธิบายต่อไป “13 อย่ายกส่วนต่างๆ  ในกายของท่าน ให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

เห็นไหมพอแปลเมื่อสักครู่ ข้อ 12 ถูกปุ๊บ รู้ว่ามีอะไรแอบอยู่ มีศัตรูเป็นใคร? พอมาอ่านต่อไป คราวนี้ โอ้โห ชัดมากเลยนะ

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะในร่างกายให้แก่มัน”

ก็คือบาป ชัด ตัวตนออกมา เห็นภาพเลย  อย่ายอมมัน พูดง่ายๆ  มันจะใช้ร่างกายเราไปด่าคนอื่น ไม่ยอม แต่ก่อนนี้ต้องยอม เพราะแต่ก่อนนี้เป็นทาสมัน ตัวตนแท้จริงของเรา คือบาป แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่ต้องยอม

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านให้แก่มัน เป็นเครื่องมือของการทำชั่วร้าย แต่จงถวายตัวท่านเอง แด่พระเจ้า”

ก็คือให้พระเจ้านำ ให้พระวิญญาณนำ ไม่ดับพระวิญญาณดีกว่า พูดง่ายๆ

ข้อ 13 ตรงนี้ยังอยากจะอ่านอยู่นิดนึง “… แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย”

เห็นไหม? เป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า มาให้พระเจ้าใช้ดีกว่า  ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของท่าน แด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความดีงาม ชอบธรรม

ข้อ 14 บอกเพราะบาป มันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไปแล้ว มันไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ในบ้านนี้แล้ว  บ้านนี้เจ้านายคือพระเยซูคริสต์ต่างหาก เพราะบาปมันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ พระคุณนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านอยู่ใต้พระเยซูคริสต์ ไม่ได้อยู่ใต้บาป บัญญัติต่างๆ นี้ ก็คือเครื่องมือของบาป พระคุณ ก็คือเครื่องมือของพระเจ้า เครื่องมือของบาป ก็คือมาร เครื่องมือของพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ตกนรก โดยกฎ กฎ ก็คือมารนั่นเอง มาอ่านต่อไป ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

โรม 6:15-18 “15 เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด  ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น  ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

ข้อที่ 15 บอกว่า … “เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ก็ต้องแปลว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน เราจะรู้แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน รู้ว่าศัตรูของเราคือใคร? เรามั่นใจแล้วว่าตัวเราเอง เป็นคนดีขนาดไหน?  มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เช่นนี้แล้ว ก็คือย้อนกลับไปที่ข้อก่อนหน้านี้ ก็คือเปาโลได้อธิบายตั้งแต่บทที่ 6 ข้อ 1 มาแล้ว ที่ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกันว่าเราได้ตายต่อบาปแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยการบัพติศมา วิญญาณเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน   ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์  เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมต่อติดสนิท เขาเรียกว่าสัมพันธ์สนิทมาก พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกาของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

และเรายังไปทำบาปได้เหรอ? ทำได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ มันไม่ใช่ความปรารถนาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานความปรารถนาเข้ามาในใจของเรา นี่แหละคือความปรารถนา

ความปรารถนา คือนมัสการพระเจ้า แปลว่ายอมสยบต่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า และเป็นทาสในลักษณะเป็นทาสของพระคุณ ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ที่เป็นทาสมาร มันกดขี่ข่มเหงเรา แต่มาเป็นทาสของพระเจ้า เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าสมัยก่อนเป็นทาสมาร ถูกครอบงำยังไง ต้องเชื่อมันยังไง ถูกบังคับยังไง ตอนนี้มาเชื่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ไม่บังคับ แต่ดูแลเราด้วยความรักนิรันดร์ รักแบบอมตะ รักแบบไม่มีเงื่อนไข

นี่คือชัดเจน เราเป็นทาสของพระเจ้า อยู่ในพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจะไม่มีบาปอีกต่อไป ความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ก็จะไม่มีผลต่อความรอด ที่เรารอดโดยพระคุณนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีผลต่อชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว จากพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเรา จนถึงวันนี้ เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรที่คิดว่าเป็นบาปหรือไม่ดีมากขนาดไหนก็ตาม ถูกต้องไหม? ถูกต้อง ตอนนี้เราจะมั่นใจ กล้าตอบได้ว่าถูกต้อง  เพราะว่าทั้งหมดนั้นที่เราได้รับ เราได้รับมาจากการเกิดใหม่ เกิดมาเป็นคนดี  ไม่ใช่เราทำดี  เราเกิดมาเป็นคนดี  เราจึงทำดีทีหลัง แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราเป็นคนชั่ว เราก็ไม่ได้ทำชั่ว แล้วก็เป็นคนชั่ว  แต่เราเกิดมาเป็นคนชั่ว แล้วจึงทำชั่วทีหลัง เหมืนอกัน แต่คนละด้านเท่านั้นเอง

ในข้อที่ 15 เปาโลจึงสอนด้วยวิธีการตั้งคำถามว่าเมื่อท่านได้ทราบความจริงเช่นนี้แล้ว ท่านก็จะถามว่าผู้เชื่อทั้งหลาย จะอ้างพระคุณของพระเจ้า เป็นข้ออ้างในการทำบาปต่อไปหรือ? เหมือนหัวข้อที่เราได้ตั้งชื่อมาอย่างนั้นหรือ?  ซึ่งคำตอบ ก็คือมันไม่ใช่อย่างนั้น แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย ใครถามท่านตอนนี้ ท่านจะรู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้ เพราะมันไม่เป็นไปตามความจริง ตามธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว มันถูกใส่ร้าย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะ …

“ฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นคนดีแล้ว”

ข้อที่ 16 … “ท่านไม่รู้หรือ? เมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น”

เห็นไหม? เป็นเหตุผลชัดเจนเลย คือเราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น ทำไมเขาใช้คำว่า “ทาส” รู้ไหม? วัฒนธรรมในสมัยนั้น การเป็นอยู่ของคนสมัยเมื่อ 2000 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ทาสเหมือนไม่มีชีวิต ชีวิตของทาสเป็นของนายเลยนะ ไม่ใช่เหมือนทาสปัจจุบัน ทาสเป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง เหมือนกับตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้านี้เป็นของนาย นายจะเอาไปคว่ำทิ้ง เอาไปเผาทิ้ง เอาไปทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ทาสไม่มีชีวิต ชีวิตเขาเป็นของเจ้านายทุกอย่าง แม้กระทั่งร่างกายของเขา อย่างเช่นทาสที่เป็น ผู้หญิง เจ้านายจะสามารถนำไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีศีลธรรมอะไรก็ได้ ไปฆ่าให้ตายก็ไม่ผิด เพราะว่าเขาเป็นทาส เขาถึงใช้คำว่า “ทาส” ท่านจะได้ลึกซึ้ง พอพูดถึง “ทาส”

ในนี้บอกว่า … “เราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น”

ถ้าเราเป็นทาสของมาร ชีวิตเราขึ้นอยู่กับมารผู้เดียวเท่านั้น ชี้นกเป็นนก พูดอะไรเราต้องทำ  เพราะเราถูกบังคับ ถ้าเราเป็นทาสของพระเจ้า เราก็เชื่อฟังพระเจ้า เขาเลยเอามาเปรียบเทียบว่าเมื่อเราหลุด เป็นอิสระแล้ว แทนที่จะเป็นทาสมาร มามีชีวิตใหม่ในพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ยกตัวอย่างให้เห็น แต่พระเจ้าไม่ได้ควบคุมชีวิตเรา เป็นแบบบังคับ ด้วยความชั่วร้าย ไม่ใช่ ด้วยความดี ด้วยพระคุณของพระองค์ รับเราเป็นลูก แต่ให้เราทั้งหลายเป็นเหมือนทาส ก็คือมอบชีวิตให้พระองค์ พระองค์เอาไปเลยๆ ยอมเป็นทาส แต่ทาสด้วยความรัก พอเข้าใจนะ

แล้วเราจะดูว่าเราเป็นทาสใคร? มันง่ายนิดเดียว ก็ดูที่เราเป็นทาสใครตอนนี้ พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสีบอกว่าพระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราอยู่ในความสว่าง เราไม่ได้อยู่ในความมืด เราอยู่ในความชอบธรรม เราไม่ได้อยู่ในความบาป พระเจ้าได้ย้ายเราออกมาแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกมาร ไม่ใช่ทาสมารอีกต่อไป

ในข้อ 18 บอกว่า … “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมไปแล้ว ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรของความชอบธรรมของพระเจ้า ได้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง”

ชัดไหม? ชัด ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของมาร ของอาดัมมาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้า ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ชีวิตของท่านเป็นของพระเจ้า สมัยก่อนชีวิตของเราเป็นของมาร ซึ่งอาศัยความบาปเป็นเครื่องมือ

เป็นทาสของความชอบธรรม ก็คือเป็นทาสของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังพระวิญญาณ ไม่ดับพระวิญญาณอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลออกมาเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะนำเรา รวมความแล้ว เราบอกเชื่อพระเจ้า เชื่อพระวิญญาณ มันดูไม่เห็น เพราะเราบอกเชื่อๆ แต่สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือผลของพระวิญญาณ มันจะออกมาเป็นกลุ่มนี้แหละ เราไม่ได้ดับพระวิญญาณ และตอนที่เราดับพระวิญญาณ แล้วเราไปทำบาป ก็เพราะเราเผลอไปเชื่อมัน เชื่อปรสิต เชื่อกาฝากที่แอบอยู่ในตัวมันคอยกระซิบ กระตุ้นๆ เราเผลอหล่นลงไป  ทำตามมัน นั่นแหละคือดับวิญญาณ ไม่ทำตามพระเจ้า ที่เราเรียกว่าล้มลง ในการทำบาป เป็นคริสเตียน แล้วทำบาป มันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วใช่ตัวเราทำไหม? มันดูเหมือนตัวเราทำ  สาเหตุต้นเหตุ คือใคร? เราทำจริง แต่ใครเป็นคนจ้างเราทำ ตัวจ้างเรา ตัวต้นเหตุ เราไม่อยากทำหรอก แต่มันกระตุ้นเรา แล้วเราเผลอปุ๊บ หล่นลงไปเชื่อมัน ผลของพระวิญญาณที่บังเกิดขึ้น ในตอนที่เราเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะมองเห็นได้ ก็อย่างเช่นในกาลาเทีย 5:25 ที่บอกว่า  …

“ในเมื่อเราได้เกิดใหม่แล้ว มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

เราเป็นลูกพระเจ้า และพระเจ้าจะบอกเราให้เราเดินตามพระวิญญาณ ผู้ใดดำเนินตามพระวิญญาณ ก็จะสะท้อนออกมาถึงลักษณะนิสัยของพระวิญญาณออกมาจากตัวของเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี ความอดทน ความเมตตา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเองได้ สิ่งเหล่านี้จะออกมาจากตัวเรา เมื่อเราอยู่ในกลุ่มนี้เมื่อไร? เราจะรู้ว่าเรากำลังเป็นตัวตนแท้จริงของเรา

ซึ่งถามจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ ผลพระวิญญาณตอนนี้ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในกฎหรือไม่กฎ ไม่มีกฎข้อใดห้ามเลย  เป็นเอกฉันท์ เขาเรียกว่าความดี ถูกไหม? อยากถามว่าทั้งกลุ่มนี้เขาเรียกว่าอะไร? ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความเมตตา ความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง ทั้งหมดนี้ เขาเรียกว่าความดี และทั้งหมดนี้คือตัวท่าน

ทั้งหมดนี้เป็นผลที่อยู่ในตัวท่าน เมื่อท่านสะท้อนออกมาจากตัวท่าน นี่แหละสมกับเป็นลูกพระเจ้า ของแท้ คือของดี เพราะฉะนั้นถามตัวท่านเป็นคนดีไหม? ก็คือคนดีสิ แต่คนดี ซึ่งเผลอไปประพฤติชั่ว เพราะว่าถูกมารมันกระตุ้น หลอกเรา ให้เราไปเชื่อมัน พอเชื่อมัน เราก็มอบอวัยวะในร่างกายเรา เหมือนที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็น เราก็มอบมือไม้ จมูก หู กาย ความคิดของเราให้กับมัน พอมันกระตุ้น เราไปมอบให้มัน แทนที่จะรัก เราเก็เลยเกลียด  เพราะมารและบาป อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องการให้เราทำอะไรก็ตาม ที่มันตรงข้ามกับในใจของเรา ถ้าเราทำตามมัน เราก็กำลังดับพระวิญญาณ แทนที่จะสะท้อนความชื่นชมยินดีออกมา ก็สะท้อนความโศกเศร้า เสียใจ ความโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคืองออกมา แทนที่จะสะท้อนสันติสุขออกมา ก็สะท้อนความวิตกกังวล แทนที่จะสะท้อนความอดทน ก็อดทนไม่ได้ โมโห จะเอาเดี๋ยวนี้ จะเห็นแก่ตัว แทนที่สะท้อนความเมตตา ก็จะชอบความรุนแรง อะไรที่เป็นความรุนแรง ก้าวร้าว ทำมันหมดทุกอย่าง

ทั้งหมดเหล่านี้คือตรงกันข้ามกับผลของพระวิญญาณ คือสิ่งที่มารต้องการกระทำ ให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า และกระตุ้นเรา ส่งเสียงคำราม บอก กล่อมเกลา พยายามที่จะมีอำนาจอยู่เหนือเรา  ทั้งๆที่ไม่มีแล้ว แต่พยายามนึกว่าตัวเอง มันมีๆ มันพยายามๆ และถ้าเราหลงไปตามมัน ไม่พอ พอตามมัน เสร็จปุ๊บ มันยังซ้ำเติมเรา เพราะมันเป็นศัตรู …

“แกเป็นคนทำ เพราะฉะนั้น แกมันเลว แกเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร แกยังทำอย่างนี้อยู่เลย”

พอเห็นอะไรไหม ตำราพิชัยสงคราม ถ้ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เรารู้ว่าตัวมันแอบอยู่ ไม่งั้นมันหลอกเรา หาว่าเราเป็นศัตรูกับพระเจ้าเอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว มันบอกว่าเราเป็น ทำไมเราเป็น ก็เรายังคงทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก …

“แกมันเลว แกเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร? แกทำบาปอยู่”

แต่พอเราเห็นภาพชัดเจน เรารู้ความจริง

“ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แกเป็นคนมากระตุ้น เป็นคนมาหลอกฉัน ล่อลวงฉัน ให้ฉันเป็นศัตรูกับพ่อของฉัน ให้ฉันคิดจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพ่อฉัน”

นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่ทำให้คริสเตียนเป็นไท หรือคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ยิ่งเป็นไทใหญ่เลย  คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ยิ่งเป็นไทใหญ่เลยว่า …

“สิ่งที่ฉันทำลงไปต่างๆ เหล่านั้น ฉันมีโอกาสเป็นอิสระจากมัน เพราะว่าพระเจ้า ประทานพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต่อไปนี้ ฉันสามารถที่จะไม่ต้องพึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว ที่จะเอาชนะตัวบาปนี้  แต่ให้พระเยซูคริสต์มาช่วยฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ชนะบาปได้ โดยวิธีนี้ คือเกิดใหม่”

เพราะฉะนั้น ท่านตอบคำถามนี้ได้แล้วใช่ไหมว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ไม่ต้องอาศัยความประพฤติ เพราะฉะนั้น ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ท่านตอบได้แล้ว ท่านชัดเจนแล้ว จาก 4 ตอน ตอบได้แล้ว ท่านก็จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข สันติสุข อย่าลืมนะว่าเราเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า ว่ากันตามตรงแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ จะเชื่อข่าวดีหรือไม่เชื่อ เป็นฝ่ายพระเจ้าทั้งนั้น แต่ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว ยิ่งเป็นฝ่ายของพระเจ้ามากใหญ่ โดยธรรมชาติด้วย ไม่ใช่โดยความอยากอย่างเดียว ถ้ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ต้องการทำความดี นั่นแหละเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้า แต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้าก็จริง แต่ยังเป็นนักโทษ อยู่ในมือของศัตรูอยู่ อยู่ในมือของมารอยู่ พระเจ้าต้องช่วยเขาออกมาก่อน จากการเป็นทาส เป็นนักโทษ จากคุกของมารก่อน ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ทำบาป แล้วมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ฉันทำบาป มีความสุข”

ไม่มีแม้แม้แต่คนเดียวเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่อยากจะทำบาป  แต่ที่เขาทำ เพราะเขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเขาอยู่ในอำนาจ อยู่ในคุก เป็นนักโทษ เป็นทาสของบาป  บังคับเลย ไม่มีสิทธิ์เงยหัวเลย  ซึ่งอาจารย์เปาโลพูดไว้ในหนังสือโรม บอกว่า …

“สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ต้องทำ”

ก็คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเป็นอย่างนี้ อยากทำดีไหม? อยากจะตาย  เพราะจิตสำนึก พระเจ้าเขียนเอาไว้แล้วในใจของคนว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้ ทำบาป อยากทำไหม? ไม่อยาก แต่ต้องทำ เพราะมันนั่นแหละ เพราะเราเป็นทาสมัน

อาจารย์เปาโลบอก ตอนที่อาจารย์เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่น่าสมเพช ยกตัวอย่างตัวเองแทนคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย  อาจารย์เปาโลพูดไว้อย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย เหมือนกับแก ตอนที่แกยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็เป็นอย่างนั้นแหละ คือ …

“ข้าพเจ้าน่าสมเพชขนาดไหน? สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำมากๆ เลย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำเลย ข้าพเจ้าไม่อยากรังแก ข่มเหงคริสเตียน ผู้เชื่อ ไม่อยากจะฆ่าเขาตาย แต่ข้าพเจ้าก็ต้องทำ เพราะถูกมันบังคับ ข้าพเจ้าไม่อยากโกรธ ข้าพเจ้าก็โกรธ”

เหมือนไหม? เหมือนเราในอดีตไหม? อาจารย์เปาโลบอก …

“แต่ขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวนี้ มารู้จักพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้า วิญญาณทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแล้ว ทั้งตัวตน ทั้งชีวิตเป็นของพระเจ้า พระเจ้าก็ใช้ในทางชอบธรรม ในทางดีงามทั้งนั้น”

เพราะฉะนั้น ไม่มีคนไหนหรอก อย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว รอดโดยพระคุณแล้ว และจะทำบาปอะไรก็ได้  อย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครอยากทำหรอก แล้วก็ทำไม่ได้ ตามที่เราเรียนแล้ว

คำถามนี้สามารถถามคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็ไม่อยากทำหรอก อ๋อ! เป็นคริสเตียนแล้วอยากทำบาป ไม่อยากทำ แต่ที่ทำ เพราะมันเลิกไม่ได้ มันถูกควบคุมอยู่ เหมือนคนติดยา ก็เป็นทาสยา คนติดยาบ้า ก็เป็นทาสยาบ้า คนติดยาเสพติดเฮโรอีน ก็เป็นทาสเฮโรอีน เขาอยากหรือ?  เขาไม่อยาก แต่เขาติดแล้ว มันทำไง อยากจะเลิก ก็เลิกไม่ได้ เหมือนกัน ฉันใดฉันนั้น แต่เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เรารู้แล้วว่ายาเสพติดนั่นมันคืออะไร? เรารู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน? มันไม่ใช่ตัวเรา

อยากบอกพี่น้องที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ว่าสิ่งนี้ ที่เราได้เรียนรู้กันมา มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม พูดตรงๆ แล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไหม? ก็เห็นชัดๆ บอกว่ารอด โดยพระคุณ รอดจากความบาป  รอดจากการเป็นนักโทษในความบาป รอดจากการทำชั่วต่างๆ พลังอำนาจความชั่วต่างๆ รอดโดย ไม่ใช่การกระทำที่ตัวเองไปสู้กับมัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่ารอดด้วยความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ คือโดยพระคุณ พระเจ้าประทานฤทธิ์เดชอำนาจ  ประทานพระเยซูคริสต์ให้ฟรีๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ชีวิตท่านก็จะเปลี่ยนใหม่ คือได้บังเกิดใหม่

และการบังเกิดใหม่ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษของความบาป เป็นนักโทษของมาร เป็นนักโทษที่มันจะบงการให้ท่านทำสิ่งที่ชั่วร้าย ท่านจะได้ไม่ต้องทำตามมัน ท่านจะได้ทำตามใจปรารถนาของท่าน ที่ท่านอยากจะทำ ท่านจะได้ทำแล้วตอนนี้  เพราะพระเจ้าจะเป็นกำลังให้กับท่าน พระเยซูคริสต์จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน พระวิญญาณจะนำท่าน เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ท่านแค่เชื่อในข่าวดีนี้  นี่เรียกว่าข่าวดี มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพื่อเขาจะได้มีอิสรภาพ เพราะพระเจ้าทรงรักพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนอย่างเดียว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รักดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ อยากให้ทุกคนเข้ามา ติดสนิทอยู่กับพระองค์ เป็นอิสระ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก และสามารถดูแลเราได้ตลอดไป พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************