คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อน

ภาษาไทยบอกว่าอย่างไรครับ? …“ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้บนโลกใบนี้ มากขึ้นทุกวันๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้าจริงๆ คือเทศกาลคริสตมาส

เราจะไม่มาดูเรื่องประวัติศาสตร์ว่าใช่วันที่ 25 จริงไหม? วันที่ 24 จริงไหม? ไม่ใช่สิ พระเยซูเกิดแถวๆ เดือนเมษายน อะไรต่างๆ บางแห่งเขาก็ฉลองเดือนมกราฯ ก็มี เราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราสนใจว่าปีหนึ่ง ทั้งโลกมีการระลึกถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนก่อน 2,000 ปีอีก ตั้งหลายพันปีมาก่อนที่จะเกิดขึ้นว่าวันคริสตมาสจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความตาย ในวิญญาณของเขา  ในชีวิตของเขา  นี่คือข่าวดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และข่าวดีนี้จะถูกประกาศออกไป ตั้งแต่พระเยซูกำลังจะทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์มาทำไม? เริ่มประกาศข่าวประเสริฐไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ประกาศข่าวประเสริฐนี้มาตลอด คนก็รับรู้ รับรู้ข่าวดีของพระเจ้า มี 2 พวก …

พวกหนึ่งที่รับรู้ คือรับรู้ในลักษณะเป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ไม่มีผลอะไร?  สำหรับวิญญาณจิตเลย  เพราะว่าเขารู้เฉยๆ เขารู้ … รู้เรื่องพระเยซู รู้ดีกว่าคนที่เป็นคริสเตียนบางคนอีก เขารู้

ถามว่าเขารู้เพราะอะไร?  เขารู้ เพราะเขาศึกษา ก็รู้เรื่องแหละ ไม่ได้ยากเย็นอะไร? แต่ข่าวดีของพระเจ้า มันต้องใช้ความเชื่อเอา และเกิดผลทางวิญญาณ ที่พระเยซูบอก มันไม่มีทางอื่น พระเยซูมาเดินบนโลกนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้น พระเยซูเลยเตือนก่อนเลย เตือนใคร? เตือนพี่น้องของพระองค์ในทางเนื้อหนังนะ ในทางมนุษย์ พี่น้องของพระองค์ ก็คือชาวยิว พระเยซูก็เตือนชาวยิวก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างนี้แหละ ข่าวประเสริฐ เรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ พระเจ้าบอกเรื่องราวไว้ตั้งแต่โน้น  ตั้งแต่ก่อนเราจะมาเกิด  ตั้งหลายพันปีแล้วใช่ไหม? พวกท่านก็รู้ดี ท่านคือพวกยิว ท่านก็อ่านหนังสือเหล่านี้ เยอะแยะ ศึกษา ตั้งใจ แต่พอตัวจริงมาถึง ท่านกลับไม่เชื่อ ในหนังสือยอห์น 5:39-40 ได้บันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ฟังดูนะ เอาใช้กับพวกเราได้ด้วย นี่พระเยซูพูดกับชาวยิว นึกภาพนะ ชาวยิว  ในสมัยนั้น รู้เรื่องพระคัมภีร์จะตาย เพราะว่าเขาเป็นคนของพระเจ้าเลย ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ตั้งหลายพันปีก่อน ติดสนิทกับพระเจ้า รักษาบทบัญญัติ ศึกษาบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างมากมาย ใกล้ชิดพระเจ้ามาก ดูสิพูดว่าอย่างไร? …

ยอห์น 5:39-40 “39 ท่าน (คือพวกยิวนะ) ขยันศึกษาพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้น คือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเรา เพื่อจะได้ชีวิต”

 

นึกว่าการปฏิบัติเช่นนั้น การเคร่งครัดทางศาสนายิว ดูเอาจริง เอาจัง จะทำให้เขารอด พระเยซูบอกอย่างนั้น

ศึกษาเรื่องเดียวกับเราแล้ว ท่านนึกว่าการกระทำอย่างนั้น พระเจ้าจะให้ชีวิตนิรันดร์กับท่าน พอตัวจริง ก็ศึกษาเรื่องของเรา พระเยซูมาแล้ว พระเยซูบอก เรานะ พระเจ้าส่งมา  เพื่อช่วยท่าน กับไม่เชื่อ แล้วรู้ไหม? รู้เรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ขาดอย่างเดียว คือขาดความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร แค่นั้นจบ จบแล้ว

ไม่ใช่เชื่อว่าพระเยซูรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ เรียกคนง่อยให้สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป เขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ทั้งๆ ที่เขามีความรู้มากมาย

ที่มาคุยเรื่องนี้ เพราะ 2-3 วันก่อนนี้ ได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีอาชีพ เรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นไกด์ จริงๆ ก็พอจะได้รู้เรื่องนี้บ้างพอสมควรแล้ว เวลาไปเที่ยว ชอบคุยกับคนที่เป็นไกด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปเที่ยวแถบตะวันออกกลาง ไปอิสราเอล ก็ชอบคุยเรื่องพระเจ้าใช่ไหม? ท่านรู้ไหมว่าคนไปเที่ยวอิสราเอล ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไปเที่ยวอิสราเอล ไกด์ที่นั่นนะ เก่งมาก เก่งยิ่งกว่าด๊อกเตอร์คนที่เรียนพระคัมภีร์ที่เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ จำแม่นหมดเลย อะไรเป็นอะไร เพราะเป็นชีวิตของเขาเองด้วย ชีวิตของบรรพบุรุษของเขา  ปู่ย่าตายายเขา เป็นยิว  ส่งทอดกันมา เขาเรียนด้วย เขาไปเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วมาทำทัวร์ พูดเป็นฉาก รู้หมดเลย ถามอะไร หลักฐานเป็นอย่างไร? ปีค.ศ.ไหน? ใครมาตรงนี้? ไปตรงนั้น รู้หมดเลย แต่เขาขาดอย่างเดียว คือขาด เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีอย่างนี้จริงๆ

เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะสังเกตว่าเอามาดัดแปลงใช้กับชีวิตคริสเตียนว่าเรามีชีวิตคริสเตียนแบบที่เราเชื่อพระเยซูจริงๆ ว่าเป็นใคร? หรือว่าเราต้องไปค้นหา แล้วถึงเอามาเป็นหลักฐานว่าเราเชื่อพระเยซู ถ้าเราเอาไปค้นหาพระคัมภีร์ ไม่ใช่ผมไม่ส่งเสริมการอ่านพระคัมภีร์  สนับสนุนให้ยิ่งอ่านยิ่งดี ยิ่งศึกษายิ่งดี แต่เป็นตัวประกอบให้กับความเชื่อของเรา ไม่ใช่เอามาเป็นตัวหลัก เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเอามาเป็นตัวหลัก ท่านตายแน่ เพราะหลายอย่างในนั้น ท่านไม่เข้าใจ มันต้องเป็นตัวรอง

เหมือนที่เราคุยกันใช่ไหม? ยายแก่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แต่เขารู้จักพระเยซู เขาจึงได้รับความรอด เขาไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์เลย ยายแก่ๆ เขารู้จักพระเยซู ถามว่าเขารู้จักพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะเขาไปผ่าตัด

หมอมาถามว่า … “เจ็บไหม?”

“ไม่เจ็บค้า ขอบคุณพระเจ้า” นี่เขารู้จักพระเยซู

“ยาย น่าสงสารจริงเลยยาย ฟันหรอหมดปากเลย กินข้าวได้เหรอ”

ยายหัวเราะ … “ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ยังเหลืออีก 2 ซี่ และขอบคุณพระเจ้ามากกว่านั้น คือซี่หนึ่งอยู่ข้างล่าง และอีกซี่หนึ่งอยู่ข้างบน มันยังเคี้ยวกันได้ไง ถ้ามันอยู่ข้างล่างหมด เคี้ยวไม่ได้เลยนะ”

นี่ไง หาเรื่องขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าคนนี้รู้จักพระเจ้าแน่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่รู้เลย ข้อนี้อยู่ไหน? ข้อนั้นอยู่ไหน? หรือนั่งข้างหน้านี้ กำลังชูมือสรรเสริญพระเจ้า ร้องไปเมื่อตะกี้นี้ ฮาเลลูยา เราอยู่ข้างหลังมองไปคนนี้คงจะได้รับพระพรพระเจ้าเต็มที่ในชีวิต เลิกเสร็จปุ๊บ เดินมาดูข้างหน้า คนที่เราเห็นชูมือนั้นนะ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่ไม่มีขา พิการทั้ง 2 ขาเลย อย่างนี้แหละ คนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าพระคัมภีร์ คืออะไร? แต่รู้ว่า …

“พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าให้ฉันบังเกิดใหม่ ฉันรักพระเจ้า ฉันรู้จักพระองค์”

ไม่ใช่ … “ฉันมีความรู้เรื่องพระองค์” ไม่ใช่

“ฉันรู้จักพระองค์ แต่ไม่มีความรู้เรื่องพระองค์มากมายนัก ไม่รู้ พ.ศ.ไหน? มาเกิดอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย แต่ฉันรู้จักพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่กับฉัน คุยกันทุกวัน คุยกันอย่างไร?  เดินไป ก็คุยไป อันนั้น ก็คุยไป อันนี้ ก็คุยไป มีอะไร ฉันก็คุยกับพระเยซูทุกวัน” นี่คือการรู้จักพระเยซู

ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับโลกใบนี้ เพราะว่าทรงรักโลกนี้ พระเจ้าทรงรักโลก จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความรู้เรื่องพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูถูกประทานโดยพระเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากนรก แต่มนุษย์คนนั้นจะต้อง เชื่อในพระเยซูว่าเป็นใคร แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์   ที่พระเจ้าประทานให้มาช่วยเหลือมนุษย์ แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าวันเกิดคริสตมาสวันไหน? พ.ศ.อะไร? อย่างไร? มาเกิดลักษณะเป็นอย่างไร?  เกิดแล้วมีโหราจารย์กี่คน? 3 คน หรือ 2 คน ในประวัติศาสตร์มี 3 คน แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นอย่างไร? แล้วศพตอนนี้อยู่ที่ไหน?  แล้วอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไง แล้วมันจริงหรือไม่จริง อันนั้นเป็นเรื่องประกอบ รู้ก็ดี ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แค่ที่รู้ก็พอ คือรู้จักพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่พระเจ้าประทานให้เรา แค่นี้ ก็พอแล้ว

นี่คือหัวใจของการประกาศเรื่องพระเจ้า ก็คือชีวิตที่รู้จักพระเยซูจริงๆ อย่างที่เรารู้ การประทานชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านทางพระเยซู ก็คือให้พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา มาทำให้เราบังเกิดใหม่ นั่นแหละ ไม่ใช่มาเกิดใหม่ เพราะเรารู้เรื่องพระเยซู ไม่ใช่ แต่เพราะเราเชื่อ แต่ถามว่าเราเชื่อเพราะอะไร? เพราะเราได้ยินเรื่องราวของพระเยซู อย่างนี้ถูก เราเชื่อ เราบังเกิดใหม่ เพราะเราได้ยินข่าวประเสริฐ อย่างนี้ถูก ไม่ใช่เราได้รับความรอด เพราะเราไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่ใช่ เราได้รับความรอด เพราะมีคนมาประกาศ อย่างนี้ก็ไม่ใช่อีก เรารอด เพราะมีความมาประกาศ และเราเชื่อ … เชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? อย่างนี้ ไม่ใช่ คนมาประกาศ คนเชื่อ เพราะว่าจริงๆ แล้ววันนี้เทศกาลคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลกเลย ใครๆ ก็ฉลอง อย่างนี้ต้องมีพระเจ้าแน่ๆ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ แต่เราเชื่อด้วยหัวใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ต่อให้สัปดาห์ต่อไป  หรือปีต่อไป ไม่มีคริสตมาสในโลกนี้อีกเลย ก็จะเชื่อพระเยซู เอเมน ต้องอย่างนี้ บางทีเราพูดไป มีหลักฐานอะไรต่างๆ เราก็จะไปติดยึดกับหลักฐาน วัตถุเหล่านั้น แล้วก็บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเยซู เพราะหลักฐาน”

วันหนึ่งหลักฐาน ก็ถูกลบเลือนหายไปได้ มันสูญสิ้นไปได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าพระองค์ไม่สูญสิ้น พระองค์สถิตอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์บอกว่าถ้าเราเชื่อพระองค์ พระองค์จะมาสถิตอยู่กับเราตลอด ไม่มีใครหน้าไหนจะเอาเราออกไปพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใด จะเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ ถ้าเราบังเกิดใหม่ในพระเยซู ด้วยความเชื่อแล้ว เอเมน

เข้าใจนะ คราวนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราเรียนรู้จักพระคัมภีร์ เราก็ต้องเรียนรู้ในท่าทีนี้ว่าเรียนรู้ เพื่อมาเสริม เสริมความเชื่อของเรา  เสริมความสนุกสนาน เขาเรียกว่าจรรโลงชีวิตให้มีความสุข แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าว่าให้เรารู้ เพื่อไปบอกคนอื่นว่าการมาเชื่อพระเยซู เขาเชื่อกันอย่างไร?  อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าพระเจ้าไม่นำเราไปเรียนรู้อะไรมากมาย ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ปัจจุบันนั้น มันหนักกว่าเยอะ ยิ่งกว่าด๊อกเตอร์อีก เรียนรู้วันหนึ่งตื่นขึ้นมา ไม่สบายบ้าง ทำงานเจ๊งบ้าง โมโหเข้าบ้าง โกรธเขาบ้าง แล้วก็ไม่อยาก แล้วไปทำ อย่างนี้ ยิ่งกว่าเรียนตลอดชีวิตของเรา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จักพระเยซู โดยชีวิตประจำวัน พระเจ้าสอนเราเป็นวินาที อยู่กับเราตลอดเวลา นี่แหละ คือของแท้ เอเมน

นี่แหละ คือของแท้ ทุกคนไม่หนี ถ้าเขาได้เกิดใหม่ในพระเจ้า พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับเขา วิญญาณเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหน พระเจ้าจะนำเขาไป โดยสอนเขาไปทีละวันๆ

อย่างที่บอกใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่บังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าวิญญาณที่อยู่ตลอดกาลหรือ? ไม่ใช่ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่ตายตลอดกาล อยู่ในนรกตลอดกาล แต่วิญญาณนิรันดร์ หมายถึงวิญญาณที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้าเลย ชนิดเรียกว่าเป็นของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เรียกว่าลูกๆ ของพระเจ้า นี่จะได้ชีวิตอย่างนั้น จะได้วิญญาณอย่างนั้น บังเกิดใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ แล้วมีความคิดจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ชำระโดยฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน สะอาดหมดจดเรียบร้อย มีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายที่อ่อนแอ ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ยังแพ้เชื้อโรคอยู่ ร่างกายที่ยังแพ้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังอยู่ ซึ่งมารสามารถส่งผ่านทางความบาปเข้ามากระตุ้นเราได้ ในเนื้อหนัง ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่มันไม่ใช่ตัวจริงของเรา เพราะร่างกายนี้ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ตัวจริงของเรา มันเข้ามาไม่ได้แล้ว ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ และวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า

วิญญาณและความคิดจิตใจเราจะได้รับร่างกายใหม่ในอนาคต และมันเป็นความหวังใจนิรันดร์ของเราทั้งหลาย รอวันพระเยซูกลับมา ก็คือวันนี้แหละ วันแห่งชัยชนะของเรา ก็คือวันที่ทิ้งร่างกายนี้ไป และวิญญาณเราออกจากร่างไป นั่นแหละ คือวันแห่งชัยชนะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าตายดีกว่าอยู่ หมายถึงออกจากร่างกายนี้ดีกว่า แต่ถ้าอยู่ในร่างกายนี้ ก็ขอให้พระเจ้าใช้ไป อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ รับใช้พระเจ้าไป พระเจ้าสถิตอยู่ นำไปไหน ก็ประกาศ ให้คนเขารู้จักพระเจ้า ไปทีละวัน หมดหน้าที่ ก็กลับบ้าน กลับไปทำอะไร? กลับไปอยู่ในสวรรค์ พักผ่อน รอร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนแออีกต่อไป เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ต้องไปสู้กับบาปอีกต่อไป สบายตลอดชั่วนิตย์นิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังใจของข่าวประเสริฐ และคือข้อมูลที่เราทั้งหลายควรจำไว้และเรียนรู้ ไม่ยากเลย จำแค่เรื่องราวเหล่านี้ แล้วเอาไปบอกคนเขา บอกแค่นี้ ไม่ต้องไปบอกอย่างอื่น เอเมนว่าจะเราพึ่งพระเยซูด้วยวิธีนี้ วิธีใด? ก็คือวิธีนี้ โดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อ แล้วถึงจะได้ เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วได้เลย ได้เมื่อไร? ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอตาย แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์ เชื่อปั๊บ  วิญญาณเกิดใหม่ปุ๊บ อยู่ในสวรรค์ปั๊บ เดี๋ยวนี้เลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมเท่านั้นเอง เอเมน

ประกาศไหม? ปีหนึ่งประกาศครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง ช่วงเดือนธันวาคมนี้ กระตุ้นกันทีหนึ่ง ก็ไปประกาศตามชีวิตของเรา ไม่ต้องเร่งรีบ แต่เป็นไปตามที่พระเจ้านำเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ตื่นขึ้นมา ก็นำพาเราตลอด จนกระทั่งหลับ ในกลางคืน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************