คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อนได้ไหม? เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะถึงวัน คริสตมาส ตอนนี้ไปที่ไหน อย่างที่บอกพระคัมภีร์ได้ถูกทำให้สำเร็จ โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไปทุกแห่ง มันมากขึ้นทุกปี ไม่มีน้อยลงไป มีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชื่นชมยินดีกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเป็นจริงตามนั้นว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูจะต้องถูกประกาศไปทั่วโลก และจะถึงวันสิ้นสุด พระองค์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือความหวังของเรา

เพราะฉะนั้น เวลาคริสตมาสผมชอบไปเดินตามห้าง ไม่ได้ไปซื้อของและไม่ได้ตั้งใจไปเอาแอร์ เอาบรรยากาศ เดินดู แล้วมีความสุขดี เพราะขนาดคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขายังมีความสุขเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เรารู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? มองอะไรไป ก็เห็นถ้อยคำพระเจ้าในนั้น ฟังเพลง ก็ฟังถ้อยคำพระเจ้า อยู่ในเพลงเหล่านั้นหมด เพลงที่เปิดนั้น ทั้งหมดเลย พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทั้งนั้น

วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าบันทึกไว้อย่างไร? มันต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน และมันเป็นจริงๆ แล้วมันอัศจรรย์ที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เฉพาะพระคัมภีร์ตัวไบเบิ้ลได้ถูกพิมพ์และขายออกไปแล้ว ประมาณ 5,000 ล้านเล่ม ตกแล้วคนในโลกนี้ น่าจะมีคนละ 1 เล่ม ประมาณเกือบๆ 1 เล่ม เยอะที่สุด ขายดีที่สุด  เป็นหนังสือขายอันดับดีที่สุดของโลก มาเป็นหลายปีแล้ว ตลอดเลย ไม่มีใครทำลายสถิตของไบเบิ้ลได้เลย แล้วไบเบิ้ลนี้ ท่านเชื่อไหมว่าเรื่องราวในไบเบิ้ล เป็นเรื่องทั้งหมดกี่ปี? ใครรู้บ้าง? ตั้งแต่โมเสสเป็นคนเขียนเริ่มต้น เฉพาะเรื่องที่เขียนมาถึงปัจจุบัน ที่เราได้อ่านกันในพระคัมภีร์ใหม่

พระคัมภีร์ใหม่ เขียนสำเร็จ ประมาณสัก 100 ปีในช่วงพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ประมาณนั้น หนังสือนี้ถูกเขียนถึงสมัยโมเสส ประมาณ 4,000 ปี ช่วงระยะเวลาของหนังสือเล่มนี้ ที่เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องราวนะ เรื่องราวเกินกว่าเยอะเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ไม่มีวันเวลาด้วย นับไม่ถ้วนปี เป็นเลยล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระคัมภีร์เล่มต้น แต่เฉพาะเริ่มเขียน จนจบหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลา 4,100 ปี เขียนหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ประกอบด้วยเล่มเล็กๆ 66 เล่ม

เริ่มต้นเล่มแรก ก็คือหนังสือปฐมกาล หนังสือสุดท้าย คือวิวรณ์ เป็นการสำแดงล่วงหน้าว่าจะจบโลกนี้อย่างไร? ขึ้นต้นและจบสุดท้าย 66 เล่มใช้เวลา 4,100 ปี เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องนะ เรื่องยาวกว่านั้น แต่เขียน เฉพาะเขียนอย่างเดียว ตั้งแต่โมเสสเขียนมาถึงยอห์น 4,100 ปี ใน 4,100 ปี มีคนเขียนทั้งหมดตั้ง 40 คน ปกติหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนคนหนึ่ง หรือไม่ก็ 2 คน นี่เขียน 40 คน 4,100 ปี ปรากฏว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? เขาพิสูจน์แล้ว พิสูจน์อีกว่าเรื่องนี้ คนเขียนขึ้นมาเอง คนแต่งขึ้นมาใหม่  มันพิสูจน์อย่างไรก็ไม่ออก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมาเขียน แล้วมันตรงกันได้อย่างไร? โมเสสเขียนมาตรงกันกับสิ่งที่ยอห์นเขียน เมื่อ 4,000 ปีผ่านมาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร? แล้วไม่ได้ตรงแบบธรรมดา ตรงแบบเป๊ะๆ เลย นี่คืออัศจรรย์

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาว่าพระเจ้าแห่งอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงเป็นเหมือนกับพระเจ้ารู้อยู่แล้ว  มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ จริงๆ ไม่ต้องใช้พระคัมภีร์ก็ได้ แต่เดี๋ยวก็ไปเถียงกัน ไปว่ากัน วุ่นวาย คนนี้ถูก ฉันว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันมีพระวิญญาณอยู่ในฉัน เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาตรงกลาง ไปพิสูจน์เอง แล้วกันว่ามันเขียนไว้ในนี้มีไหม? มีหรือไม่มี ถ้าไม่มี ก็บอกว่าไม่มี มันผิด ถ้ามี ก็บอกว่ามี อย่าไปซีซั่วใส่เข้าไป อย่าไปแต่งเติมลงไป  เห็นไหม?

พระเจ้าทรงทราบก่อนล่วงหน้า ตั้งนานแล้วจึงได้เตรียมชายคนหนึ่ง ให้ไปเรียน โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเรียน นอกจากเตรียมสติปัญญาให้เขาเรียนแล้ว เรียนเก่งๆ ในเรื่องภาษาแล้ว ไม่พอ ยังต้องให้เรียนรู้จักเรื่องวิญญาณ เรื่องจิตใจ เตรียมใจเขาไว้ เตรียมความเชื่อเขาไว้ เริ่มต้น คนนั้น ก็คือโมเสส เตรียมโมเสสตั้งแต่โมเสสไม่รู้เรื่อง เล็กๆ ออกมา เกิดเหมือนเป็นกำพร้าเลยนะ แต่เตรียมเขาไว้แล้ว ให้ไปเรียน เรียนอย่างดี แบบลูกกษัตริย์เลย ลูกฟาโรห์เลย เรียน เพื่อจะได้เรียนรู้ และได้มาเป็นคนเขียน เริ่มต้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเขียนยากที่สุด ตอนเริ่มต้น ทั้งหมด 66 เล่มเล็ก รวมเป็นเล่มใหญ่ไบเบิ้ล เขียนโดยคน 40 คนบวกกับ 1 วิญญาณ ก็คือวิญญาณพระเจ้า พระเจ้าดลใจให้คนๆ นั้น 40 คนเขียน เป็นเรื่องเดียว เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนเขียน พระวิญญาณเขียน มันจึงเรื่องเดียวกันไง

มันจึงเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะว่าพระวิญญาณเป็นผู้เดียว แต่ผ่านทางคน 40 คนใน 40 สมัย ยุคประมาณ 4,100 ปี จึงเรื่องเดียวกันหมดเลย  อัศจรรย์ใหญ่ พระเจ้าเตรียมหมดเลย เตรียมคนแรก คือโมเสส เตรียมคนสุดท้าย คือยอห์น  เก่งด้วยกันทั้งคู่ เก่งแบบนักประวัติศาสตร์ นักจดบันทึก นักค้นคว้า นักเขียน คงไม่เตรียมเปโตรเป็นคนสุดท้าย เพราะเปโตรเป็นชาวประมง นึกออกใช่ไหม? หรือคงไม่เตรียมซาอูลเป็นแรก แต่เตรียมโมเสสเป็นคนแรก เราจึงได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

นี่พูดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นว่าทั้งหมดนี้  เป็นเรื่องๆ เดียวที่เขียนขึ้นมา ถามว่าเรื่องนั้น คือเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับทำอย่างไรมนุษย์จะได้ไปสวรรค์ ก็คือต้องเกิดใหม่ แค่นี้เอง ทั้งเล่มบอกแค่นี้เองว่ามนุษย์จะไปสวรรค์ ต้องไปอย่างไร? และเขาต้องเกิดใหม่ ผู้ที่มาบอกคนสุดท้าย ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วพูดเรื่องนี้ คือพระเยซู หลังจากนั้น ไม่ต้องมีแล้ว เพราะหลังจากพระเยซู ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายไม่ใช่มาลาคี แต่เป็นพระเยซู ไม่ใช่ยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ แต่เป็นคนหลังยอห์น บัพติศโต บอกว่า …

“คนที่มาข้างหลังฉัน จะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าที่ฉันจะไปผูกเชือกรองเท้า ด้วยซ้ำไป เขา คือเยซู เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง”

เห็นไหม? แค่คิดแค่นี้ ที่คิดได้ทั้งหมดนี้ ไปเดินเล่นนะ ไม่ได้ไปค้นคว้าอะไร? เราไปเดินเล่นเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลยนะ ถามว่าที่เดินเล่นนี้ คิด ใครคิด พระวิญญาณคิด เดินเล่นทำอะไร? คุยกับพระเจ้าไป คุยด้วย กินไอศกรีมไป  ไม่ได้อยู่ในห้องอธิษฐานหรอก นั่นแหละ คืออธิษฐานที่ลี้ลับของมนุษย์ ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอธิษฐานกับพระองค์ทุกเมื่อ คุยกับพระองค์ทุกอย่างได้ ไม่ใช่จะคุยกับพระองค์ ต้องเอาอย่างนี้ ท่านคิดไป พระเจ้าก็คิดตามท่าน พระเจ้านำท่าน ท่านยังไม่รู้เลย มองก็ไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? เหมือนอย่างที่ผมเคยเทน้ำร้อนลงไปในถุงชา แล้วผมถามว่าไหนล่ะ ตัวไหนชา ตัวไหนน้ำ ไม่เห็นเลย แยกไม่ออก มันเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันวิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระผู้ไถ่ของเรา ท่านทำอะไร พระเจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา อยู่ตรงนั้นแหละ จะทำผิด ทำถูก ทำอย่างไร? อยู่ตรงนั้นแหละ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สำนึกหรือไม่สำนึก พระเจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ รู้ไหมว่าพระองค์อยู่ด้วยตรงนั้นหรือไม่? พระองค์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่แล้ว ก็อยู่เลย และอยู่ตลอดไป พระองค์บอกว่าไม่มีใครหน้าไหน? ใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาท่านออกไปจากมือของฉันได้ เอเมน

ขอบคุณพระเจ้านะ นี่คือวันคริสตมาสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นความหวังเดียวของมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง มองไป มีความสุขในวันคริสตมาส แต่ก็แอบทุกข์ใจไม่ได้ ไม่ใช่เราทุกข์ใจ แต่พระวิญญาณทุกข์ใจ ทุกข์ใจตรงไหน? แหม! อยากให้คนอื่นได้รู้อย่างที่เรารู้นะ มันง่ายมากเลยข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้ามันง่ายๆ จริงๆ ง่ายจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ เป็นหินก้อนสะดุดให้กับมนุษย์ เพราะมันง่ายเกินไป มนุษย์ทุกคนเกิดมามีบาป อยากจะทำอะไรก็ตาม เพื่อล้างบาปตัวเอง ฟ้องผิดตลอดมาว่า …

“ฉันบาปๆ”

ก็เลย อยากจะหาอะไรทำ เพื่อจะลบบาปตัวเอง ตั้งแต่กำเนิด ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นอย่างนี้หมด มันจึงกลายเป็นประตูใหญ่ ที่พระเยซูบอก ประตูใหญ่ คือทุกคนอยากจะทำๆ มีประตูเล็กๆ ประตูเดียวที่ผ่านทางพระเยซู ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มาเลย บาปผิดอะไรต่างๆ สกปรกอะไรต่างๆ ก็เข้าได้ เข้าสวรรค์เลย  ไม่มีใครอยากเข้า เพราะทุกคนอยากทำด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป อยากจะล้าง ล้างไม่ออก ก็ล้างใหญ่เลย พยายามไปบอกคนอื่นให้ช่วยกันล้าง ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูมาถึงเราวันคริสตมาส ก็คือไม่ต้องลาเลย ล้างอย่างไรก็ไม่หมด มาหาฉัน ง่ายนิดเดียว  เชื่อแล้ว ก็เข้าไปเลย  ไม่เอา ขอไปทำเองดีกว่า มันเป็นอย่างนี้ มันจึงน่าเศร้า

พอเรารู้ความจริงอย่างนี้  พอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจึงทำมันง่ายอย่างนี้ เราจึงขอบคุณพระเจ้า เราจึง Amazing grace แต่ Amazing สำหรับเรา คือทำไมคนเขาไม่เชื่อ ก็พระเยซูบอกแล้ว ทุกคนไปทางกว้างหมด ไปประตูกว้างหมด ประตูเล็ก ไม่ค่อยมีใครมา ใครเข้าสวรรค์ ต้องเข้าประตูเล็ก ประตูเล็กคืออะไร? ไม่ค่อยมีใครมาหรอก เพราะไม่มีใครจะยอมเชื่อพระเยซู 100% จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะไปทำด้วยตัวเอง พยายามๆ พยายามไม่ได้ ก็ไปบอกคนอื่นพยายาม พยายามจนตาย บอกง่ายๆ ไม่เอา

นี่คือความทุกข์ทรมานช่วงคริสตมาส เวลาเราคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราปกป้องคุ้มครองดูแลข่าวประเสริฐให้ดีๆ สิ่งเดียวที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือข่าวประเสริฐจะต้องถูกประกาศออกไป ข่าวประเสริฐ คือข่าวดี ข่าวดีจริงๆ นอกเหนือจากข่าวดีแล้ว มันคือข่าวร้าย ถ้าไม่มาพึ่งพระเยซูทางเดียว ถือว่าเป็นข่าวร้ายทั้งหมด อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง  เป็นกฎ เป็นระเบียบอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นข่าวร้ายทั้งหมด ข่าวดี คือประตูแคบ เล็กๆ เอง คือไม่ต้องทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน ก็เข้าสวรรค์ได้ ไม่ต้องเป็นฟาริสีที่รักษาศีล รักษากฎระเบียบตั้ง 2-3 พันข้อ 500 ข้อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นเลย ใครก็ได้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู เจ้าของคริสตมาสเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ คือหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องประกาศออกไป คริสตมาสจึงมีไว้ เพื่อประกาศ ที่เราเห็นกัน ที่แจกของ มีของขวัญอะไรต่างๆ เหล่านั้น  คือหน้าที่ที่พระเจ้านำพาผ่านมนุษย์ เพื่อประกาศ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขากำลังประกาศ เพลงเหล่านี้ ที่ถูกดลใจโดยพระวิญญาณ  เพลง Silent night, Holy night อะไรต่างๆ ที่เราฟังอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งหนึ่งที่เป็นการประกาศ ต้องประกาศ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พวกเราที่นี่ก็ได้อิทธิพลมาจากข่าวประเสริฐอย่างนี้แหละ จนถึงวันนี้ เรามาถึงความรอดแล้ว ก็ส่งกันต่อๆ ไป  ความรัก ความหวังดี คือการให้ ให้ที่ดีที่สุด คือให้ชีวิตกับเขา เราทำได้แล้ว เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยวิธีการบอกเขาในเรื่องข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีของพระเยซู คืออะไร? เอเมน

 

************************