คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เวลาเราจะไปไหน?  เราจะได้ยินเสียงตั้งแต่ 2,000 ปีมาถึงทุกวันนี้ เราจะได้ยินเสียงทางวิญญาณ  เสียงของใครรู้ไหมครับ? เสียงของพระเยซู พระเยซูจะว่าตะโกนก็ได้นะ บอกว่า ..

ใครบ้างที่อยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์พูดตั้งแต่ตอนที่ถึงเวลากำหนด เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ว่าจะมาไถ่ถอนมนุษย์ พระเยซูก็ถูกส่งมา บังเกิดเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้เริ่มเชื้อเชิญคน และท้าทาย และคำถามให้ทุกคนทราบว่า …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง”

พูดมาตลอด จนกระทั่ง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำงานสำเร็จแล้ว  จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณก็จะพูดผ่านทางคริสตจักร ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ว่าใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง

การหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการหายเหนื่อยทางวิญญาณ คือหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง นั่นแหละ คนไทยเราจะรู้จักกันดีเลย หายเหนื่อยและเป็นสุข คือหายจากอาการเหนื่อยทางวิญญาณ ต้องแสวงหาการหลุดพ้น ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เจ้ากรรมนายเวรตามล่าตลอดเวลา เมื่อไรมันจะหมดสักที มันเหนื่อย พระเยซูบอกใครที่เหนื่อยอย่างนี้ ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน ใครเหนื่อยจงมาหาพระองค์ พระองค์จะทำให้หายเหนื่อยและเป็นสุข หายเหนื่อยหรือยัง? เพราะว่าเราได้เชื่อในพระเยซูแล้ว

คราวนี้พระเยซูก็บอกว่าใครอยากจะหายเหนื่อยเป็นสุขบ้าง? บางคนก็เฉยๆ  บางคนก็อยากจะหายเหนื่อย  พระองค์เลยบอกวิธีการทำอย่างไรถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกประโยคเดียว ตอนเดินอยู่ ขณะนั้น ใครอยากหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง? จงมาหาเรา แล้วแบกกางเขน แล้วตามเรามา นี่คือพระเยซูจะบอก …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง ยกมือขึ้น?”

“ต้องทำอย่างไร?”

“แบกกางเขน”

อ้าว! แบกกางเขน มันหนักขึ้น แล้วจะหายได้อย่างไร? และตามพระองค์ไป  ถามว่าพระเยซูตอนพูดนี้ เดินอยู่ พระองค์บอกตามพระองค์ไป ถามว่าตามไปไหน? แบกตามไปไหน?  พระองค์พูดไปไม่ถึงประมาณไม่เกิน 3 ปี ตามพระองค์ไป ตามพระองค์ไปไหน?  พระองค์ก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเนินเขา ที่เรียกว่าเนินเขาหัวกะโหลก หรือในภาษาสมัยนั้น เขาเรียกว่าโกละโกธา ไปทำอะไร? แบกไปทำอะไร? แบกไป เพื่อให้เขาตรึงพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ตาย  คนที่ตามมาทำอะไร? แบกตามมา เพื่ออะไร? ตามเราไป ก็ต้องตามถึงที่สุดเลย คือพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  แบกตามไป  พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  พอพระองค์ 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เลยเป็นด้วย หายเหนื่อยและเป็นสุข มันแปลว่าอย่างนี้

หนังสือกาลาเทีย 2:20-21 อธิบายเรื่องนี้ไว้ มันชัดมาก นึกภาพตะกี้นี้ถูก ผมแสดงให้ดูนะ กาลาเทีย 2:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ  พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์”

 

“แล้ว” แปลว่าทำไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว

“ข้าพเจ้า” ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ

ตรงนี้สามารถเอามาพูดเป็นตัวเราเองได้ เพราะตรงนี้ เปาโลพูดในลักษณะของเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นคริสเตียน เราเป็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นใช้อันนี้ได้

วิญญาณของผมถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว … แล้ว แปลว่าได้ถูกตรึงไปแล้ว

“ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” วิญญาณนะ วิญญาณของนคร วิญญาณของเปาโล วิญญาณของท่าน วิญญาณตัวเก่าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว

“พระคริสต์ต่างหากมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ คือวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในนคร อยู่ในเปาโล อยู่ในพวกท่านที่เชื่อในเรื่องนี้

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกลายนี้” หมายถึงชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความบริสุทธิ์ ที่มันเกิดใหม่นี้ ในกายนี้ หมายถึงวิญญาณนี้ มันไม่ได้หมายถึงร่างกาย หมายถึงในวิญญาณนี้ ชีวิตที่ข้าพเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในกาย ที่ท่านเห็น วิญญาณข้างในตัวจริง ที่มันบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง

“ปัด” แปลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าทิ้งไป ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีของพระเยซูทิ้งไป  แต่ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยความเชื่อ

“เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ” แปลว่าเพราะว่าถ้าเผื่อความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน พ้นจากบาป ในวิญญาณของข้าพเจ้า หมดเวรหมดกรรมนี้  ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมได้ โดยมาทางการกระทำของข้าพเจ้าเอง  การกระทำดีของข้าพเจ้าเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?  เพราะการตายของพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ คือทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ชอบธรรม คืออะไร?  วิญญาณบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ไร้มลทิน ไม่มีตำหนิ เหมือนลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก สะอาดหมดจดเลย บริสุทธิ์ ตลอดเวลา เอเมน

นี่พูดถึงใคร? พูดถึงเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายเหนื่อย และเป็นสุข แต่ต้องทำอะไร? แบกกางเขน และตามพระองค์ไป

ในโรม 6:5-6 ก็บอกอย่างนี้ไว้ ชัดเจนเลย …

โรม 6:5-6  “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ถ้าเราร่วมเดิน แบกกางเขนไปกับพระองค์ แล้วก็ตายที่โกละโกธาพร้อมกับพระองค์เลย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย วันที่ 3 พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย ถ้าเราไม่ยอมไปตายกับพระองค์ ก็ไม่ต้องเป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วยสิ เอ้อ! ใช่ ง่ายๆ อยากจะเป็นขึ้นมากับพระเยซู ก็ต้องตาย อยู่ดีๆ มาเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? มันต้องตายก่อน  เหมือนเมล็ดพืช ก่อนที่จะเป็นต้นใหม่ มันต้องเน่า ต้องทิ้งลงไปในดิน ให้มันเน่า มันก็ขึ้นรากใหม่ขึ้นมา เป็นต้นใหม่

“เพราะเรารู้ว่า” ถามว่าเพราะเรารู้ว่าอะไร? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ถามว่าตัวเก่าของเราคือใคร? ตัวเก่าของท่านคือใคร? วิญญาณเก่าของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป ที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดตลอดเวลา นั้นแหละที่แบกกางเขน เหน็ดเหนื่อยตามพระองค์ไปๆ จนตายร่วมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ตัวเก่ามันถูกตรึงไว้ที่กางเขน พร้อมกับพระเยซูไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พอมองเห็นภาพไหม? ไม่น่าเห็นหรอก

ถามว่าตรึงเพื่ออะไร? เพื่อกายบาปนั้น มันจะได้ตายต่อบาป ถูกขจัดออกไป บาปทำอะไรมันไม่ได้อีกแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน เห็นภาพไหม? นี่อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราทุกวันนี้ ต้องทำอะไร? ต้องแบกกางเขนตามพระเยซูไปไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง เราแบกไปแล้ว ถ้าท่านยังไม่แบกตาม นั้นหมายถึงท่านยังไม่เชื่อ ถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านแบกตามไปแล้ว ท่านเชื่อจนกระทั่งพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน นั่นแหละ คือท่านร่วมตายไปกับพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่  คือท่านเป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ เสร็จแล้ว

ถามอีกที ตอนนี้ท่านต้องแบกอีกไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าใครบอกว่าต้อง ก็ไม่เป็นไร แสดงว่ายังไม่เชื่อ ก็เรียนรู้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งท่านจะได้รู้ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแบก มันจึงหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าแบกอยู่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเลย พระคัมภีร์บอกว่าคนไหนแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข แบกกางเขน และตามเรามา ตามเพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ต้องแบกอีกต่อไป เดี๋ยวพระองค์จัดการให้เรียบร้อย พร้อมกับเราเลย เป็นหัวหน้าเรา

สรุปอีกครั้ง จะต้องแบกกางเขนอีกต่อไปไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องทำอะไรทุกวัน? อยู่เฉยๆ แล้วมองไปให้เห็นเถิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวันเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บบนที่นอน เห็นอะไร? เห็นกางเขนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าฉันได้แบกกางเขนตามพระเยซูไปแล้ว ฉันได้แบกกางเขนไปที่โกละโกธาร่วมกับพระเยซู ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างนั้นแน่นอน หลั่งพระโลหิตออกมา ฉันถูกตรึงร่วมกับพระเยซูแล้ว วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ฉันมีอิสระ เสรีภาพ ฉันได้บังเกิดใหม่ วิญญาณฉันใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ที่ตำหนิใดๆ ที่ปวง ไม่ต้องมีบาป มีเวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกต่อไป ฉันเป็นอิสระแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว จากนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมา ทำหน้าที่ประจำวันไป แต่ในใจนึกตลอดเวลาว่าฉันเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละ คือหน้าที่ของคริสเตียนทั้งหลาย รับพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แล้วจากนั้น ให้พระเจ้านำพาชีวิตเราไปแต่ละวัน จะทำอะไร เดี๋ยวพระองค์ก็พาไปเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่ เราจะทำเกินมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ที่เราทำเกิน เพราะอะไร? เพราะเราอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอีก

ทั้งๆ ที่มันหายเหนื่อยแล้ว เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ต้องทำแล้ว แล้วทำไม? ก็เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เดี๋ยววิญญาณข้างในที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่อง ที่เป็นลูกพระเจ้า เดี๋ยวมันจะออกไปเอง มันเป็นแสงสว่าง ที่พระเยซูบอกมันจะฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายามฉาย  เขาจุดตะเกียง มันต้องสว่างของมันเองเลย เดินไปที่ไหนมันสว่าง ไม่ใช่ เดินไปที่ไหน ต้องไขลาน สว่าง ให้มันสว่าง ไม่ต้อง เดี๋ยวมันสว่างเอง เพราะว่าข้างในมันสว่าง มันเป็นดวงสว่าง พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงออกไป ทำตัวเองให้สว่าง ไม่ใช่ พระเยซูบอกจงออกให้แสงสว่างในตัวท่านฉายไป  คือตัวท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านออกไป มันก็ฉายแล้ว

ไม่ได้บอกว่าจงออกไป แล้วทำตัวเองให้เป็นแสงสว่าง อย่างนั้นเหนื่อย  จงออกไปเถอะ พระเจ้าจุดตะเกียงไว้แล้ว  ไม่มีใครเอามาครอบหรอก เดี๋ยวมันก็สว่าง ถ้ามันเป็นของจริงนะ มันสว่างเอง แต่ถามว่ามันจริงไหม? เราเชื่อจริงไหม? ถ้าเราเชื่อจริง มันอยู่ในนี้ เดินไปที่ไหน มันก็เป็นแสงสว่าง เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “การให้ที่แท้จริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “การให้ที่แท้จริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เราเป็นคริสเตียน เรามักติดปาก พูดกันอยู่เสมอว่าชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่เป็นความรัก เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมีลักษณะเหมือนพระเจ้าของเรา คือเราก็เลยเป็นความรักเหมือนพระเจ้า อ้าว! แล้วทำไมเมื่อเช้าโกรธเขาอยู่เลย เมื่อตะกี้นี้เห็น ขึ้นรถเมล์มายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เลย  คนขับรถมาก็เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนพ่อของเรา  พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เลยเป็นหรือเปล่า? “เป็น” ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามี หายไปหมด  เราเป็น ไม่มีวันเปลี่ยน และการสำแดงออกถึงความรัก ก็คือการให้ การสำแดงออก บางที บางคนฟัง งง การสำแดงออกของความรัก คืออะไร? การสำแดงออก ก็คือธรรมชาติของความรักจริงๆ คืออาการในการให้  เขาเรียกว่าธรรมชาติ เหมือนประโยคที่เรานำมาพูดกันบ่อยๆ …

          “ท่านสามารถที่จะให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถที่จะรัก (อย่างแท้จริง) โดยปราศจากการให้”

นึกออกใช่ไหม? เพราะมันธรรมชาติของความรัก คือการให้ ท่านไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นความรัก แต่ฉันไม่ให้ มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ เอเมนไหม? อ้าว! ทำไมทุกคนรอที่จะรับอย่างเดียว การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ คำพูดของใคร? คำพูดของพระเยซูเอง และการให้ที่แท้จริง ก็คือการให้แบบเสียสละ คือไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รู้ไหม? ถามใคร? ถามตัวเองนั่นแหละ รู้ไหม? รู้ แล้วยังหวังไหม? ยังหวัง

เพราะว่าถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนจากการให้ออกไป ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าเราให้ออกไป แล้วเราหวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกกันว่าลงทุน  มีการลงทุนแบบธรรมดา ก็มี แล้วก็มีการลงทุนแบบพิเศษ หวังผลประโยชน์ทับซ้อน เคยได้ยินไหม? ผลประโยชน์ทับซ้อน คือผลประโยชน์ที่มันมีอะไรลับลมคมใน มองไม่เห็น แต่ในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ แบบธรรมดาชัด หวังนี้เลย  แบบพิเศษ ก็คือหวัง แต่ไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ข้างในวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ก็คือหวังผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าการให้ เขาเรียกว่าการลงทุน  ในลูกา 14:12-14 พระเยซูได้สอนพวกเราอย่างนี้นะ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูได้ตรัสดังนี้ …

ลูกา 14:12-14 “12 จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย ถ้าท่านทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข ถึงแม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทน เมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย”

 

เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มีงานเลี้ยงอะไร? เชิญใคร? เชิญคนมั่งมี เพราะหวังว่าวันหลังเขาจะให้อะไรเราตอบแทน บางคนให้ ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอะไรเยอะแยะ ลองเชิญคนที่เราคิดว่าเขาให้อะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถให้อะไรเราได้อีกแล้ว เป็นประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า พระเยซูสอนเรา

ถ้าเราให้โดยไม่หวัง ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความรักแท้จริง เราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ถ้าลงทุน หวังจะได้สิ่งตอบแทน แม้บางครั้ง มันจะได้กลับมาบ้าง มีความสุขบ้าง ให้ไป แล้วหวัง มันมีความสุขบ้าง เขาชมเรา อะไรต่างๆ หรือเราได้อะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่หยั่งยืน  และในที่สุด ผลมันจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราให้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ให้จริง มันก็คือการเห็นแก่ตัว เพราะการให้ของเรา ก็คือเราให้ เพราะความต้องการจะเอากลับมา มากขึ้นๆ เอาอีกๆ

“เอาอีก ฉันจะเอาอีก”

คุ้นไหม? คุ้นๆ นะ ในใจชอบพูดอย่างนี้ เอาอีก ไม่พอ เขาเรียกภาษาพระคัมภีร์และภาษาทั่วโลก เขาเรียกว่า “โลภ” คือจะเอา ฉันจะเอา สังเกตดูนะ เพราะพระเยซูสอนเราสิ่งเดียวนี้  เราต้องละเอียดกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือหัวใจของการมาเชื่อพระเจ้า  พระเยซูจะสอนเราเสมอว่าจงระวังเรื่องความโลภทุกชนิด เมื่อเราถวายพระเจ้า และอธิษฐานหวังสิ่งตอบแทน อยากได้กลับมามากขึ้นๆ อธิษฐานกับพระเจ้านะ เราบอกถวายให้กับพระเจ้า แล้วอธิษฐาน หวังจากพระเจ้าว่าจะให้เรากลับคืน ตอบแทนเรามากขึ้นๆ กว่าที่เราให้ออกไปอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่าโลภ ไม่ใช่ความเชื่อนะ เขาเรียกว่าโลภ

ซึ่งมันไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เรียกว่าวิถีทางแห่งความรักเลย ที่จะนำเราไปสู่สันติสุข ความสงบสุข ล้นสุข เปี่ยมสุข  แบบตลอดไปเลย มันไม่ใช่ ถ้าวิธีนั้น มันผิดหมด มันต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันถึงจะเปี่ยมสุข ล้นสุขตลอดไป มัทธิว 6:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูสอน ..

มัทธิว 6:1-4 “1 “จงระวัง อย่าทำดี เพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์ 2 “ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าวเหมือนที่คนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” เอเมน

 

ทำดี การให้เหมือนกับทำดี อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตา ให้อะไรสักอย่าง แต่ข้างในใจเราคิดอะไร? ดูข้างนอกเหมือนกันหมด ให้เหมือนกัน ดูข้างนอก ก็ให้เหมือนกัน แต่ข้างในใจ คิดอะไรอยู่ หวังอะไรไหม?  บางคนอาจจะหวังชื่อเสียง เราไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร? ดูข้างนอก เหมือนกันหมด แต่บางคนเขาไม่ได้หวังอะไรเลย  ทำด้วยใจจริง ก็ไม่เห็น แต่ข้างนอก ดูเหมือนกัน พระเยซูบอกจงระวัง ให้เราดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไประวังคนข้างๆ นะ ระวังตัวเราเอง

อย่าให้รู้ ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้รู้เลย อย่าให้รู้ ลืมซะ ให้ไป แล้วก็ให้ไปเลย ถือว่าให้ไป เพราะว่าธรรมชาติของฉัน ตัวฉันจริงๆ เป็นความรัก ความรักต้องคู่มากับการให้ ถ้าเราถวายพระเจ้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วอะไร หวังอะไร? ทำเพื่ออะไร? ก็เพราะเราทำ เพื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจ ความเชื่อฟังต่อพ่อของเรา พระเจ้าของเราว่าให้เราให้ออกไป แล้วเราจะมีสุขมากกว่าการรับ ให้ออกไป แล้วทำไม? ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่วางใจในพระเจ้า เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะเลี้ยงดูเรา จะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระยซูคริสต์ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะให้สิ่งดีกับเราเสมอ และเราจะมีพร้อมทุกอย่างในการสนับสนุนเรา ในการกระทำดีต่อๆ ไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน

มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ที่เวลาพร้อม มันต้องพร้อมทุกอย่าง เรี่ยวแรง สติปัญญา ทุกอย่าง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อจะได้ทำดี เพื่อจะถวายเกียรติต่อพระเจ้าต่อไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวเราเองคิด 2 โครินธ์ 9:7-8 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 9:7-8 “7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่าง แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น”

 

ทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย  เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์เยอะแยะมากมาย  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย แต่มีอย่างอื่น พร้อมทุกอย่าง มันดีกว่าทรัพย์มาก ดีกว่าตั้งเยอะ ทรัพย์ซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเราได้ ยกเว้นทรัพย์อย่างเดียว เอาอย่างไหนดี? เป็นท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรดี? เป็นท่าน ท่านก็เอาทรัพย์ก่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคน พระเจ้าสอนเรา อะไรดีกว่า ในเมื่อทรัพย์เราก็รู้แล้ว ซื้ออะไรไม่ได้บนโลกใบนี้ หลายอย่างซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่าง ซื้อความสุข ก็ไม่ได้ ซื้อความสุขใจก็ไม่ได้ ซื้อความรัก ความสามัคคีกัน ในกลุ่ม ในครอบครัว ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถให้เราทุกสิ่งได้ โดยไม่มีเงินนะ เอาอะไรดี? เอาไม่มีเงินดีกว่า แต่มีพร้อม เมื่อต้องการจำเป็นต้องใช้เงิน  มันก็มา ทีอย่างนี้ พูดกันได้ทุกคน  เมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้คน คนก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้สุขภาพ สุขภาพก็มา เมื่อจำเป็นจะต้องใช้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เงิน แต่สำคัญ สติปัญญา มันก็มา เมื่อจำเป็นต้องหาคนมาเข็นรถ เพราะอยู่สี่แยก รถมันตายพอดี  คนก็มา มาพร้อมรถลาก มันจะพร้อมทุกอย่างไง เงินซื้อไม่ได้ตอนนั้น  เป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ ถูกไหม?

เราจึงเห็นว่าพระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าเพื่อว่าเราจะได้มีพร้อม มีเหลือล้น เพื่อว่ามีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านจะมีเหลือล้น สำหรับการดีทุกอย่างด้วย ในนี้เขียนไว้อย่างนั้น มีทำการดีได้ทุกอย่าง  เพราะบางทีมีเงินทำการดีไม่ได้บางครั้ง มันไม่ได้อาศัยเงินในช่วง ในขณะนั้น แต่ท่านสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เอเมนนะ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อและวางใจอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เรียกความเชื่ออย่างนี้ว่าความคาดหวังสิ่งตอบแทน จากการให้ออกไป เราไม่คาดหวัง เราฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะให้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงรู้ว่าตอนนั้น เราจำเป็นต้องได้อะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? จำเป็นไหม? ไม่ใช่ให้ไป ก็ตั้งใจ หวังจะรวยอย่างเดียว ในที่สุด ก็ซวย ชีวิตตกทุกข์ลำบาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่หลุดอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเกาะกินชีวิตไป ทุกข์ทรมาน เห็นมาหลายรายแล้วอย่างนี้

การฝึกฝนให้ออกไป มันไม่ใช่วิธีนั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า ของพระเจ้าต้องไม่หวัง บางคนบอกไม่หวังได้อย่างไร? หวังพระพร ไม่ใช่หวังทรัพย์สินเงินทองตามที่เราคิด พระพรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ก็ได้ หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดอย่างเดียว มันเป็นอย่างอื่น ก็ได้ ก็เป็นพระพร แต่พระเจ้ารู้ว่าอะไรที่เป็นดี สำหรับเรา เมื่อเรามี อะไรที่ให้เรา แล้วมันดีสำหรับเรา อย่างนั้นแหละ เขาเรียกพระพร คิดเองว่านี่ดีสำหรับเรา  มันอาจจะเป็นผลร้ายสำหรับชีวิตของเรา ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่อเสียง ดีไหมชื่อเสียง? เราก็คิดว่ามีชื่อเสียงทำไมไม่ดี พระเจ้าบอก ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะนี้เอาไปตายแน่เลย แล้วเรารู้ไหมว่าขณะนี้ ขณะนี้ คือขณะไหน? ก็ไม่รู้ เราอาจจะแบกชื่อเสียงนั้นไม่ได้  สถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเราเอาชื่อเสียงนี้ไป เราก็เย่อหยิ่งจองหอง เราก็หลงไป ทุกข์หนัก เจ็บตัว ตอนนี้ อยากได้เงิน มองดู พระเจ้าบอกเด็กไป ถ้าเอาเงินไปตายแน่ เราก็บอกไม่ตายหรอกทำได้ แต่พอให้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ให้เราไปจริงๆ  เราก็ดูแลไม่ได้ เราเจ็บตัว เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ให้พระเจ้าดูแลเราดีกว่า เอเมนไหม?

ซึ่งแน่นอน ในสายตาของคนภายนอก ที่ไม่ใช่คริสเตียน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาดูเรา เขาอาจจะว่าเราขาดแคลน เป็นคริสเตียน ดูทำไมขาดแคลน เขาดู แบบมนุษย์ไง ขาดแคลนอะไร? ก็คือเงิน รู้สึกไม่ค่อยมีเงิน รถก็เก่าๆ บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่ พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น  เรามีเยอะกว่านั้นอีก แต่เขามองไม่เห็น ในพระพระเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะเรารู้ว่าเราไม่เคยขาดอยู่แล้ว เอเมน ถามท่านวันนี้ บางท่านยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ถามว่าท่านขาดอะไร?  ณ วันนี้ มาถึงวันนี้ ท่านรู้จักพระเจ้ามา ท่านขาดอะไร? มีไหม อดอาหารไป 3 วัน ไม่มีข้าวจะกิน อย่างนี้ มันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่สะใจเรา เราอยากได้อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ไม่ขาด วางใจในพระเจ้า ให้พระองค์นำไปดีกว่า เพราะเราจะไม่ขาดของดีใดๆ เลยในชีวิต เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มันเป็นสัญญา และไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่มันเป็นกฎของพระเจ้าที่พูดออกจากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ ใครหว่านออกไป เขาจะได้อย่างนี้ แต่ต้องหว่านจริงๆ นะ

หว่านจริงๆ ก็คือให้จริงๆ คือให้ด้วยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าให้ หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าลงทุน พระเจ้าบอกให้ ถึงจะได้รับสันติสุข ความสงบสุขในชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ลงทุนแล้วจึงจะได้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝน สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ คริสตจักรจึงมีหน้าที่ให้เราฝึกฝน ไม่ใช่ว่าถึงวันอาทิตย์มาเปิด เดินถุงถวาย เราลำบากมากแล้ว เราแย่มาก ต้องช่วยกันถวายหน่อย โบสถ์จะไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่ ให้โอกาสท่านฝึกฝน ท่านจะไม่ฝึกก็ได้ เรื่องของท่าน ท่านคุยกับพระเจ้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราต้องให้ท่านมีโอกาสได้ฝึกฝน เพราะสิ่งเหล่านี้มันฝึกได้ เริ่มต้นจากการให้ออกไป ตามวิธีการของพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ ให้ด้วย ตั้งใจไว้เลย คำว่าตั้งใจ แปลว่าอะไร? ไม่ใช่ตั้งใจจะเอาอีก จะเอาอีก จะเอาเยอะๆ ไม่ใช่ตั้งใจ ตั้งใจหมายถึงฉันจะฝึกในการที่ให้ แล้วไม่สนใจเลย ฉันให้ไปแล้วจริงๆ พระเจ้าจะให้ลูกกลับคืนเท่าไร? อะไร ไม่สนใจ ลูกจะให้ด้วยความรัก และให้ออกไปจริงๆ นี่คือธรรมชาติของลูก ลูกเป็นความรัก ให้ออกไป วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไป ให้ออกไปบาทหนึ่ง ก็ยังมีดีกว่าให้ไปร้อยหนึ่ง แล้วหวังอีกพันหนึ่งกลับคืน หมื่นกลับคืน แต่ให้ไปบาทหนึ่ง ทำใจไปเลย  แล้วก็ค่อยๆ ฝึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ  รู้สึกสละ อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ ให้ของแท้ ฝึกฝนนะ

เริ่มต้นตั้งใจไว้เลยว่าตัวเราเองสามารถทำได้เท่าไร? ไม่ต้องฝืนใจ ทำได้เท่าไร? ก็เท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องสนใจ เราดูตัวเราเองนั้นแหละ แล้วตัดสินใจให้ออกไปจริงๆ ให้จริงๆ คิดในใจให้ดีๆ ให้ลงทุน พอถุงเดินมาปุ๊บ ใส่ลงไปเลย ลงทุน ไม่ใช่ ควักขึ้นมาใหม่ ให้ๆๆๆๆๆ โอเค ให้หมายถึงอะไร? ให้ หมายถึงเสียสละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ใช่ให้ แล้วก็ตาม โบสถ์เอาไปทำอะไรบ้าง? นี่ให้ไหม? ไม่ใช่ให้ จะลงทุน แล้วตามไปดูอีกว่าเขาทำอะไร? ให้กับองค์กรนี้ องค์กรนี้ไปทำอะไรบ้าง? เงินของฉันทั้งนั้น อะไรอย่างนี้  เงินของฉัน ให้ไป ก็คือให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะบอกว่าเป็นเงินของเราได้อย่างไร? ยกตัวอย่างให้ฟัง

ให้ โดยไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับคืน คิดในใจไว้เลย ตั้งใจไว้เลย …

“ฉันไม่ได้ให้ เพื่อฉันจะหวังว่าจะได้ร่ำรวย หรือต้องมีอะไรมาชดใช้ให้ฉัน ฉันให้ออกไป ฉันไม่หวังเลย ฉันให้ เพราะเชื่อฟังพระเจ้า วางใจในพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวัง แม้กระทั่งชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คำชมต่างๆ ฉันให้ด้วยความรักที่อยู่ในใจ ไม่มีใครรู้”

แล้วถ้าท่านฝึกอย่างนี้ ผมจะบอกให้ท่านฟัง มันจะมีบททดสอบชีวิตท่านเข้ามา จะทดสอบว่าตรงนี้ท่านจะได้รับคำชม ถ้าเผื่อท่านเปิดเผยนิดหนึ่ง ท่านจะเอาไหม? ท่านจะเปิดเผยไหมว่าท่านเป็นคนทำ เพราะบางทีให้ออกไป ไม่ได้เป็นทรัพย์อย่างเดียว  ทรัพย์เป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง แต่ในชีวิตท่านสามารถให้อะไรเยอะแยะมากมาย ให้ความรัก เมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ แรงกายแรงใจทุกอย่าง มันจะมีบททดสอบมาว่าถ้าท่านประกาศออกไป ท่านจะได้รางวัล ท่านจะได้ชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเงียบๆ ไว้ จะไม่มีใครรู้เลย ท่านจะเอาอะไร ท่านจะเชื่อพระเจ้า หรือจะเชื่อมนุษย์ดี ถ้าท่านเปิดเผยมา ท่านก็จะเป็นฮีโร่เลย ดังเลย แต่ถ้าท่านเงียบๆ  เฉยๆ ท่านก็มีสุขใจ แต่ถ้าพระเจ้าจะเปิดเผย โดยที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอันนั้นเกินกว่าที่เราจะควบคุมแล้ว มันจะมีทดสอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในการฝึกฝนแต่ละครั้ง แต่ละตอน เอเมน

 

******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กรกฎาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป  แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์

พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต  พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ  และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต

เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน  … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่

ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา  อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ

เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้  และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ  คน มาเชื่อในข่าวดีนี้  ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด

ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้  กลับไป ก็ชื่นใจ

พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง?  แต่อะไรสำคัญกว่า  ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้  สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ

ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร?  ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …

“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”

ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ

“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้  คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”

นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น  อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้  วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน

เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …

กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย

กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง

นอกดูเหมือนเชื่อ  ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด   จนกระทั่งในที่สุด   ก็คือไม่เชื่อ

นั่นแหละ

กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ  เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก  ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป

เรื่อยๆ  กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น

บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก

พระเจ้า

ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”

“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น  พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”

พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …

“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย  เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง  เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด  ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …

กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …

“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย  นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย

ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …

ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย

ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย  แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ

ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …

“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”

มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว

หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย  แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง

กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ

ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก

“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”

อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ  อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ

“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”

เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …

“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”

“เอาไปสองแล้วกัน”

“ไม่มีทาง”

“เอาไปห้า”

“โอเค หยวนน่า”

ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้

อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น  มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง

เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่านึกถึงใคร? ลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง อยากออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่อยากช่วยงานธุรกิจของครอบครัว เหมือนทายาทเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก เป็นอย่างนี้ ก็เลยลุกขึ้นมา ขอเงินแบ่งจากพ่อ แล้วก็ออกจากบ้านไป ใช้ชีวิตอิสระเป็นตัวของตัวเอง ปรากฎว่าชายหนุ่มคนนี้ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ประสบผลไม่สำเร็จ ก็ล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้มา จนหมด ไม่ใช่แค่หมดเท่านั้น แถมยังเป็นหนี้เป็นสินอีกมากมาย ทั้งจากการสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน และการใช้เงินเกินตัวด้วย มั่นใจตัวเองมาก พอเงินหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวันๆ ไม่ใช่มาทวงธรรมดา ทั้งทวง ทั้งข่มขู่ ข่มเหง รังแกด้วย บ้านที่เอาไปวาง ที่ดินที่เอาไปวางเป็นหลักประกันก็จะโดนยึด คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

เมื่อตอนอยู่กับพ่อก็ซ่าส์ เย่อหยิ่ง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ อยากออกจากบ้าน เป็นตัวของตัวเอง อยากจะคิดเอง ทำเองทุกอย่าง แต่พอออกไปแล้ว เป็นไง เจอตอเข้า เจอปัญหา  เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอของจริงเข้า ก็นึกถึงใคร? นึกถึงบ้าน นึกถึงพ่อ ชายหนุ่มคนนี้ พอเจอการทวงนี้ การข่มขู่ที่รุนแรงเข้า ก็เลยต้องกลับไปขอการช่วยเหลือจากพ่อ พอไปถึงพ่อ พ่อช่วยไหม? ช่วยอยู่แล้ว

ความรักของพ่อที่มีต่อลูก ก็แน่นอน มันจะขนาดไหนก็ตาม จะผิดหรือจะถูกอย่างไรก็ตาม เมื่อลูกกลับมา เราช่วยอะไรได้ เราช่วยเต็มที่ นี่เป็นมหาเศรษฐี ทำไมจะช่วยไม่ได้ เมื่อลูกกลับมา ก็ดีใจ พ่อพร้อมที่จะอ้าแขนรับ และช่วยเหลือ พ่อก็เลยไปช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ แล้วก็ไถ่หนี้ให้ทั้งหมด จนครบหมด หมดเกลี้ยงเลย พ่อก็เลยกลับมาบอกลูกชายว่าพ่อทำการไถ่หนี้ให้หมดแล้ว หนี้ที่ไปสร้างไว้เยอะแยะ ตอนนี้ไถ่หมดแล้ว  จ่ายหมดแล้วๆ ลูกเป็นอิสระแล้ว ลูกก็พยักหน้า ดีใจ เชื่อ ดีใจ แต่ปรากฏว่าดีใจ สบายใจอยู่ไม่นาน สิ้นเดือน เจ้าหนี้มาทวงเหมือนเดิม ยังมาข่มขู่อีก มาทวงเหมือนเดิมอีก ส่งคนมาทวง ข่มขู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจ ก็จ่ายให้ไป กลัว ก็จ่ายให้ไป จ่ายหนี้ เดือนต่อไป ก็มาข่มขู่อีก ชักไม่แน่ใจแล้ว คราวนี้ก็เลยไปถามพ่อ พ่อก็ยืนยันว่าจ่ายหมดแล้ว แถมยังเอาใบเสร็จมาให้ดู ไปจ่ายมาเอง เรียบร้อยแล้ว และก็บอกลูกชายว่าคราวหน้า ถ้ามันมาทวงอีก เอานี้ให้มันดูเลย ใบเสร็จ รู้ไหม? รู้ครับ

แล้วเจ้าหนี้ก็กลับมาอีก สิ้นเดือนมาแล้ว  คราวนี้ขู่หนักเลยว่าถ้าไม่ผ่อนหนี้ต่อไป คราวนี้จะทำให้รุนแรงขึ้น  อาจเจ็บตัวได้นะ ปัญหาหนักขึ้นนะ ข่มขู่ร้ายแรงเลยคราวนี้ ลูกชายก็ทำตามที่พ่อบอก ก็รีบไปเอาใบเสร็จมา โชว์ให้เจ้าหนี้ดูเลยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะ …

“นี่คือหลักฐานการใช้หนี้หมดแล้ว พ่อฉันจ่ายหมดแล้ว”

แต่ว่าเจ้าหนี้ก็ยังทำไม? ขู่ต่อไปว่า … “ดูให้ดีๆ ใบเสร็จนี้มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอม ถ้าพ่อแกมีเงินจริง ไถ่บ้าน ไถ่ที่ดินอย่างนี้นะ คงไม่ปล่อยให้แกอยู่อย่างนี้หรอก”

ฟังให้ดีๆ “ถ้าพ่อแกมีเงินเยอะจริงๆ ขนาดมาไถ่หนี้  ถึงขนาดในใบเสร็จนี้  เป็นหลายร้อย หลายสิบล้านอย่างนี้จริงๆ แล้วทำไมปล่อยให้แกอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ดูสิปลวกยังขึ้นอยู่เลย สีก็ไม่ได้ทา ถ้ามีเงินขนาดนี้จริงๆ บ้านแกมันต้องสวยกว่านี้ตั้งเยอะนะ มันไม่กี่ตังค์เอง ถ้าทำใหม่”

ชักน่าคิด ลูกก็หันกลับไปดูที่บ้าน มันก็จริงนะ คิดตามภาษามนุษย์ธรรมดาว่ามันมีเหตุผล แล้วก็บอกตัวเองว่าที่เจ้าหนี้พูด มันก็น่าจะเป็นจริง งั้นแสดงว่าพ่อคงยังไม่ได้ไถ่หนี้ให้เราแน่ๆ เลย คิดไปคิดมา เลยเถิดไปว่าพ่อเราจริงหรือเปล่า? หรือเราถูกหลอก หลอกเราเล่นหรือเปล่า? ใช่พ่อเราไหมเนี้ย ชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็ทำอย่างไร? ผ่อนต่อ จ่ายต่อ

แล้วก็คิดต่อไป … “ถ้าเป็นพ่อของเราจริงๆ มีเงินขนาดนี้เยอะแยะ ไถ่หนี้ให้กับเรา บอกว่าที่ดินทั้งหมดนี้ หนี้สินไปจ่ายเขาหมดเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้บ้านเราคงไม่อยู่อย่างนี้หรอก จะมาปล่อยให้เราอยู่บ้านหลังเก่าอย่างนี้ทำไม? ซื้อหลังใหม่ให้เราก็ได้ ถ้าไม่ซื้อหลังใหม่ให้เรา แสดงว่าไม่มีจริง ถ้าเป็นพ่อเราจริง ไถ่ให้เราอย่างนี้จริงๆ น่าจะให้เราอยู่ดี กินดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาขัดสนลำบากลำบนอย่างนี้ ปล่อยให้เราอยู่อย่างทุรักทุเลตามมีตามเกิดแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เราอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ลำบากอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น ไม่น่าใช่ ที่ไถ่อะไรให้เราทั้งหมดแล้ว คงไม่จริง”

พอคิดแบบนี้  ก็สรุปเลยว่าพ่อยังไม่ได้ไถ่ให้เราจริงๆ เราอาจถูกหลอก เรายังไม่ได้มีอิสรภาพจากหนี้สินจริงๆ ตามที่พ่อบอก ถ้าขืนเรายังไม่จ่ายหนี้ต่อไป อาจเจ็บตัว เจ้าหนี้คงมาทวงอีก อาจเจ็บตัว เดี๋ยวหนักๆ เข้า คราวนี้ รุนแรงถึงชีวิตได้ เดือดร้อนใหญ่เลย ก็เลยจำใจต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม

คิดให้ดีๆ นะ ใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม ขณะที่ใบเสร็จอยู่ในมือแล้วนะ  คุ้นๆ นะ

เรื่องลูกชายเศรษฐีคนนี้ ถามว่าเหมือนใครครับ? เหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าไถ่หนี้ให้หมดแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ปลดเราให้เป็นอิสรภาพจากหนี้บาป เวรกรรมแล้ว แต่พอมีเจ้าหนี้มาเริ่มทวงอีก เราก็ทำไร? เมื่อเจ้าหนี้มาทวง เจ้าหนี้บอกว่าอะไร?

“แกต้องชดใช้บาปเวรกรรม ที่แกมีอยู่ในใจนั้นต่อไปนะ”

บอกทำไม บอกเมื่อไร ทุกเดือนเหรอ ไม่ใช่ ทุกวัน เผลอๆ ทุกชั่วโมง เดี๋ยวเผลอนิดหนึ่ง อาบน้ำอยู่ เดินไป กินข้าวอยู่ เดี๋ยวแว๊บมาแล้ว โดยแว๊บ ผ่านทางโน้น ผ่านทางนี้  ผ่านทางความคิดเรา มันใช่เหรอเนี้ย เราหมดบาปเวรกรรมแล้วจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอกหรือ? หรือเราจะต้องจ่ายหนี้ของเราอยู่เหมือนเดิมทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง เพราะถ้ามั่นใจ เราคงไม่คิดและไม่ทำอะไรแบบนี้  เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ความไม่มั่นใจนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ไม่มั่นใจ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ความคิด ตรรกะแบบเหตุและผล แบบมนุษย์ ใช้ตามอง ใช้สิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ วัดว่าพ่อเราไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? พระเจ้าไถ่บาปเราโดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้นี้ คิดตามเหตุผลเลย

ถ้าพ่อเรา หรือพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์องค์เดียว มาไถ่บาปให้เราจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงพูดไว้ตามพระคัมภีร์นั้น ทำให้เรามากมายถึงขนาดนี้จริงๆ ถ้าเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แล้ว เราก็ควรจะอยู่ดี กินดีกว่านี้นี่น่า จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีใครเคยคิดบ้าง แล้วเราก็ควรจะอยู่ดีกว่านี้ เป็นลูกพระเจ้า ทำไมมันโทรมอย่างนี้ ถูกไหม?  ก็เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้ ก็ในเมื่อพ่อของเรา คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงควบคุมและครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วจักรวาล ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่กล่าวมานี้ เราก็ไม่ควรจะมีชีวิตแบบนี้เลย นี่คือการทวงนี้แบบเข้ามาในสมองเรา แล้วเราก็ชอบคิดแบบนี้ มันก็เลยตามไป บางทีคิดตอนอาบน้ำ คิดตอนกินข้าว บางทีคิดก่อนนอน บางคิดตอนทำงาน บางทีคิดตอนไม่สบาย บางทีคิดตอนมีปัญหา บางทีคิดตอนอะไรแล้วแต่ อะไรเยอะแยะ คิดตอนโลภ เยอะแยะไปหมดเลย คิดไปเรื่อย เพราะเรามีชีวิตที่ไม่มั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้กับเรา

“มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องไปติดหนี้ ยืมสินเขา มีเหรอ?”

มีไหม? เราเป็นลูกพระเจ้าไปติดหนี้ยืมสินเขาเหรอ? หัวเราะตายเลย มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องมาทุกข์ทรมาน จากโรคภัยไข้เจ็บ ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มีที่ไหนลูกพระเจ้าต้องมาแบกปัญหาภาระ 108 1009 บนโลกใบนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เผลอๆ หนักกว่าคนอื่นเขาอีก เคยคิดบ้างไหม? ต้องเคยล่ะ มากหรือน้อยก็ตาม

“ลูกพระเจ้า ทำไมยังกังวล ยังกลัว ยังวิตกอยู่เลย”

บางคนหนักกว่านั้น … “ทำไมลูกพระเจ้ายังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เลย ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ฆ่าตัวตายได้ ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงสัยไม่ใช่ลูกพระเจ้ามั้ง”

สงสัยไปกันใหญ่ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำทั้งหมด คือไม่เชื่อ กำลังบอกว่าเรากำลังผ่อนหนี้เขาต่อ เขามาทวง เราก็ผ่อนหนี้เขาต่อ นี่คือผ่อนหนี้  การผ่อนนี้ คือเราไม่เชื่อพระเจ้า กำลังผ่อนหนี้ ยอมรับง่ายๆ ว่าเราเป็นหนี้จริง พอเราเป็นหนี้จริง เราก็จะคิดแบบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าอะไร ทำไมยังโกรธ ยังเกลียด ยังอิจฉาริษยา ยังโลภอยู่เลย ลูกพระเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังบอกว่าเราไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า พ่อเราบอกว่า …

“แกบริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ตำหนิ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

เราบอก … “ไม่ใช่ ลูกพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ลูกพระเจ้าจะโกรธได้อย่างไร? เมื่อเช้าฉันก็หงุดหงิด ลูกพระเจ้าจะหงุดหงิดอย่างนี้ได้อย่างไร?”

เป็นไหม? นี่แหละ คือการผ่อนหนี้อยู่ … “มันเป็นไปไม่ได้” … เรากำลังผ่อนหนี้อยู่ “เป็นไปไม่ได้” ก็คือเราไม่ได้รับอิสรภาพ เรายังเป็นหนี้สินอยู่ เรายังเป็นหนี้สินอยู่

“ใช่ แกพูดถูกแล้ว”

เรายังเป็นหนี้ เราผ่อนวิธีการนั้น ก็คืออย่าหนี ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ในความคิด เราก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่พระเจ้าองค์นี้จะเป็นพ่อของเรา และยิ่งพอเจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบากหนักๆ เข้า ก็เลยคิดเลยไปใหญ่ว่าพระเจ้าที่ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้เรียนรู้มานั้น ไม่มีจริงด้วยซ้ำไป เป็นความอยากได้ของมนุษย์มากกว่า พระเจ้าไม่มีจริง หรือมี ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ หรอก นั่นคือจินตนาการของมนุษย์ อยากให้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่จริงๆ ไม่มีหรอก อะไรคนเราทำผิดทำบาปเยอะแยะ อยู่ดีๆ มาเชื่อพระเยซูจะไปรอด สมควรไปอยู่สวรรค์ เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็บอกเป็นไปไม่ได้ คนข้างบ้านก็บอก เพื่อนก็บอก รวมทั้งตัวฉันเอง ในที่สุด ฉันก็เลยบอกด้วยคนว่าไม่จริงหรอก ก็จบข่าวประเสริฐตรงนั้น

เห็นไหม? นี่คือวิธีการที่มารจะมาขโมยข่าวประเสริฐจากเรา การที่เราใช้หนี้ทุกวัน ที่เราบอกว่าพระเจ้าใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่พอแต่ละเดือนแต่ละวันเขามาทวง เราก็ยังจ่ายอยู่ จ่ายก็คือวิธีนี้ ยังจ่ายอยู่ ยังคิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ ก็จ่าย วิธีจ่ายของเรา ก็คือจะทำอะไรก็ตาม เป็นพิธีกรรมอะไรก็ตามที่เป็นแรงจูงใจจากจิตใจ คือต้องการจะเป็นอิสระ นั่นแหละ คือการใช้หนี้เขา

ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เช่นท่านมาโบสถ์ เพราะอะไร? ท่านคิดว่าท่านมาโบสถ์ เพราะว่ามันจะได้สมควรที่จะไปสวรรค์เหรอ? เสร็จแล้ว ท่านกำลังผ่อนให้เขาอยู่ ถ้าท่านมาโบสถ์ เพราะว่าเราจะได้มาหนุนจิตชูใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นอิสรภาพแล้ว อย่างนี้คนละจิตใจ มาเหมือนกันนะ แต่คนละแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ท่านต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องอดอาหารอธิษฐาน ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่ฉันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง ในเรื่องความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่อดอาหารอธิษฐาน เพราะว่าฉันจะได้บริสุทธิ์ ฉันจะได้บังคับตัวเอง ฉันจะได้บังคับตัวเอง ไม่ใช่อันนั้นเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนถวายเหมือนกัน ท่านให้เงินไป ท่านให้เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าให้มา อยากจะให้ต่อ คนให้มีความสุข คนรับมีความสุข พอแล้วแค่นั้น ไม่ใช่ให้เพราะว่าฉันจะได้สมควรไปสวรรค์ พระเจ้าจะได้รักฉันเยอะๆ เสร็จเลย

นี่คือการผ่อนไง และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะไปหมด ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราทำ ไปพิสูจน์กันเองแล้วกัน ของใครของเขาว่าอะไรที่เราทำในทุกวันนี้ เป็นการยังผ่อนอยู่ไหม? พระเจ้าบอกเป็นอิสระแล้ว ตื่นขึ้นมา มีคนมาทวง ผ่อนอีกไหม? หรือเราบอกมันว่า …

“ไปให้พ้นนะ ฉันเป็นอิสระแล้ว ไปไกลๆ เลย”

หรืออย่างไร? ท่าทีไหนของเราที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ให้ท่านกลับไปคิดเอาเอง ตัวใครตัวเขาแล้วกัน เอเมน

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์  โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อในซีรี่ส์ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น”

ทบทวนกันสั้นๆ ประเด็นหลักๆ ที่เราเรียนรู้กันที่ผ่านมา

(1) ความหมายของคำว่า “เราเป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดนิรันดร์ (ในทางวิญญาณแล้วจริงๆ) ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทำอะไรได้บ้าง? ทำอะไรไม่ได้บ้าง? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียความรอดนิรันดร์ได้อีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ

(2) ผู้ที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไทแล้วจริงๆ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าเฉยๆ แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความประพฤติเลย  เป็นพระคุณพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

(3) ผู้ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่จะต้องผ่าน 2 ขั้นตอนนี้เสมอ ตามพระคัมภีร์ คือ …

3.1 คนนั้นจะต้องได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูก่อน เรียกว่าได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น มีคนมาประกาศ แจกใบปลิว หรืออะไรก็ตาม ฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ มีเพื่อนมาพูด คนนั้นจะต้องได้ยินก่อน

3.2 เริ่มต้นเชื่อ คือเริ่มต้นรับเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ ที่ตัวเองได้รับมานั้น แล้วก็ได้เก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ปฏิเสธ รับไว้ เริ่มต้นเชื่อว่ามันจริง เหมือนเพลงที่เราร้องกันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดนิรันดร์ในทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางพระเจ้า การรับบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เขาเรียกว่าพิธี เขาก็บอกให้เราร้องเพลงเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเพลงหนึ่งที่เราร้องกันในนั้น ก็คือ …

“ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

แม้ว่ากลับไปบ้าน กลับไปสู่ชีวิตเดิม ออกจากพิธีไปเรียบร้อยแล้ว เจออะไรก็ตาม ก็คือจะรักษาความเชื่อนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้เวลาไหน? วันเวลาใด เจ้าความเชื่อนั่น มันดิ่งในวิญญาณของเขา การบังเกิดใหม่ ลึกลงไปในใจ มันบังเกิดมาปุ๊บ เป็นการระเบิดเปรี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนตอนพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ด้วยความซุปเปอร์แบงค์ ระเบิดเปรี้ยงออกมา เขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที เริ่มต้นเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ และไม่มีใครเอาเขาออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว

เราก็ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นจดหมายฝาก ซึ่งชาวฮีบรู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เดิม ประเพณี การปฏิบัติ ในบัญญัติสมัยโมเสส ที่พระเจ้าสั่งไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขารู้ทั้งสองอย่าง เขาก็เลยเขียนจดหมายมาแนะนำ มาสอน มาเตือน ให้บรรดาพี่น้องได้รู้เรื่องนี้  พี่น้อง ก็คือชาวยิวทั้งหลาย ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือจดหมายฝากฮีบรู จงนึกไว้ว่าเขาเขียน ถึงคนที่เป็นยิว คนที่ไม่ใช่ยิว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เพียงแต่บางอันประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้บ้าง

หนังสือฮีบรู เขียนสมัยตอนพระเยซูพึ่งจะเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานใหม่ๆ ช่วงประมาณ 30 ปีนั่น ไม่รู้เขียนตอนไหน? ซึ่งเนื้อหาในพระคัมภีร์ฮีบรูจะเน้นในเรื่องแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซู คือผู้ที่จะมาทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าได้ทำการบอกล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งแต่ในสมัยอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเรา ที่เรียกว่าพระคัมภีร์เดิมจดบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างนี้ แล้วก็ให้โมเสสและชาวยิวเป็นตัวแทน ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสส ที่หนังสือฮีบรูเรียกว่าเป็นเงาของพระเยซูที่จะมาทำให้สำเร็จในอนาคต ซึ่งตอนที่เขียนจดหมาย ฉบับฮีบรูนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว

นี่คือรายละเอียดต่างๆ ซึ่งพูดย่อๆ ในเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือฮีบรู เวลาจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าเขาเขียนถึงใคร? ลักษณะอย่างไร? ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา เอาประโยคเดียวมาใช้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ

เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หลายครั้งเราเอาแค่ประโยคเดียวมา แล้วก็บอกว่าอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ เรากำลังทำการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดหรือเปล่า? อาจจะจริงก็ได้ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ว่าอันตราย วันนี้เรามาต่อ บทที่ 6

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

ผู้ที่เขียนนี้  ก็เดินอยู่ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนก็เป็นเพื่อนกันกับชาวยิวด้วยกัน ผู้เขียนกำลังบอกว่าในบรรดาชาวยิว หลายคนก็เดินอยู่กับพระเยซู เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ได้เห็นพระเยซูเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เห็นลาซารัสเดิน เห็นคนตาบอดมองเห็นอย่างอัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเยซูผิดกว่ามนุษย์คนอื่นมากมาย เป็นการพิสูจน์ว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันจริงนะ มีอยู่ผู้เดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ตั้งแต่โลกนี้มีมา แล้วก็ได้ฟังพระเยซูพูดเลย  บางคนไม่ได้เห็นพระเยซู แต่เห็นอัครสาวกรุ่นแรกๆ อย่างเปโตร ยากอบ ยอห์น ทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้เห็นกับตา ได้ฟังข่าวประเสริฐ และได้เห็นอะไรมากมายต่างๆ เหล่านั้น

คนเขียนก็บอกว่าคนเหล่านี้ได้รับรู้แจ่มแจ้งด้วยตาตัวเอง  ถึงแม้จะได้เห็น ได้เป็นพยานในการอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็น จะเชื่อเหมือนกันหมด ใช่พระเจ้าแน่ เห็นแล้ว บางคนก็เชื่อจริงๆ รักษาความเชื่อไว้ จนกระทั่งบังเกิดใหม่จริงๆ อย่างเช่น เปโตร หรือมาระโก หรือแม้กระทั่งเปาโล … เปาโลแรกๆ ก็ไม่เชื่อ จนในที่สุด ก็ต้องยอมเชื่อ ด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์เหมือนกัน บังเกิดใหม่เหมือนกัน แต่คนที่มองๆ ดูแล้ว เห็นกับตาไม่เชื่อ นี่แหละกำลังพูดถึงคนเหล่านั้น  ที่ตัวเองก็เคยลิ้มรสแล้ว เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ไม่เชื่อ แล้วยังมีบางพวกที่หนักกว่านั้น ก็คือไม่เชื่อว่าเป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า หาว่าพระเยซูเป็นพวกผี เพราะว่าเจ้านายเป็นผี เป็นพวกซาตาน พระเยซูบอกว่าอย่างนี้ เป็นพวกหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นพระเยซู หรือเห็นอัศจรรย์ หรือเห็นการงาน ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของแท้จริงๆ แล้วจะเชื่อพระเจ้านะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น   เพราะฉะนั้น ปรับมาประยุกต์ใช้กับพวกเราในปัจจุบัน บางคนคิดว่าถ้าวันนี้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง หรือไม่พระเยซูปรากฏเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งโลกคงจะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูหมดเลย เหมือนกับเรา ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี  อันนี้เป็นสัจจะธรรม เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ ทำอะไรต่างๆ ให้เห็นกับตาว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ โดยการพิสูจน์แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะได้รับผล ตามที่มนุษย์คิด มันไม่ใช่วิธีนั้น มันเกิดใหม่ในวิญญาณ มันไม่ใช่เกิดใหม่ทางด้านตามองเห็น ต่อให้เรียกคนมาตอนนี้ แล้วมีใครบางคนมีความเชื่อตรงนี้ แล้วก็เรียกเขาขึ้นจากความตาย ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งประเทศจะมารู้จักพระเจ้า อย่าว่าทั้งประเทศเลย เอาแค่ห้องนี้ ห้องเดียว สมมติถ้ามีคนไม่เชื่อสัก 10 คน ผมเชื่อว่าทั้ง 10 คนนั้น อาจจะเชื่อสัก 2 คนจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเริ่มต้นเชื่อ แล้วรักษาความเชื่อต่อไป เห็นวันนี้ คนนี้เป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ เชื่อๆ กลับไปบ้านเจอตอ เจอการข่มเหงรังแก เดี๋ยวอีก 3 วันก็ลืมไปแล้ว ลืมวันที่เห็นคนนี้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ มีผู้เชื่อ อธิษฐานในนามพระเยซู เขาเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ ยังเดินอยู่เลย  แต่ตัวเขาเอง เขาไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังสิ่งเหล่านั้น

และท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ เวลาที่ไปต่างประเทศ สมมติคนที่ชอบไปทัวร์  พอแวะเมืองแรก เจอของที่อยากได้ กะจะซื้อมาเก็บหรือซื้อมาฝากก็แล้วแต่ แจ๋วเลย  ไปดูๆ จับๆ ใช่เลย ดีแล้ว แต่ไม่ซื้อหรอก หวังว่าไปเมืองต่อไป รัฐต่อไป อาจจะถูกกว่านี้  อันนี้ยังไม่ดีพอ จริงๆ มันดี แต่ยังๆ ขอเลือกต่อ ยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องไป ปรากฏว่าวันพรุ่งขึ้น ไปอีกแห่งหนึ่ง มันถูกกว่าจริง แต่ไม่ใช่ของแท้ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้ก็ดี แต่มันยังไม่ใช่ ในสิ่งที่ต้องการ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้เขาบอกแน่นอน แพงระเบิดเลย ไม่มีเงินพอ ในที่สุด นึกขึ้นมาได้ อันแรกที่เจอวันแรก มันของแท้และถูกมากเลย เกือบจะฟรีเลย ก็เลยพูดคำนี้ …

“รู้อย่างนี้”

แปลว่ามันพลาดไปแล้ว “รู้อย่างนี้” ปรากฏที่รู้อย่างนี้ พูดตอนไหน? พูดตอนยืนอยู่ที่สนามบิน กำลังเดินทางกลับเมืองไทย หมดโอกาส จะกลับไปร้านเดิมได้ไหม? รู้อย่างนี้ สั้นๆ ก็คือเหมือนคนที่หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่างแล้ว พึ่งจะรู้ว่า …

“รู้อย่างนี้ ฟังข่าวประเสริฐวันนั้น ฉันเชื่อก็ดี มันเป็นจริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้จริงๆ เพื่อนฉันพูดข่าวดีกับฉันนั้น เป็นเรื่องจริงว่าให้เชื่อพระเยซูไว้ พระเยซูเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด รู้อย่างนี้ มันก็สายไปแล้ว”

เปรียบเหมือนคนที่ได้รับฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีแล้ว ได้จับ ได้ชิม ได้ลองดูแล้ว นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ตัดสินใจ เพราะคิดว่าอาจจะมีสิ่งอื่นรออยู่ที่ดีกว่า อาจจะมีข่าวที่ดีกว่านี้

ถ้าพูดย้อนกลับไปถึงชาวยิวในสมัยนั้น เขาคิดอย่างนี้จริงๆ มีคนยิวหลายคนในสมัยนั้น ก็คิดอย่างนี้จริงๆ เขาเห็นกับตาว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์อย่างไร? ผู้ที่เชื่อพระเยซู อัครสาวกที่ประกาศข่าวดีกับการอัศจรรย์อย่างไร? และมาฟังถ้อยคำพระเจ้า มันตรงเป๊ะว่า …

“นี่ตรงเป๊ะกับที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมที่เขาเคยอ่านมา เขาได้เรียนมาตั้งนาน ตั้งเยอะแยะ ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูจะเป็นอย่างไร? จะมาเกิดอย่างไร?  จะตายที่ไม้กางเขนอย่างไร? และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์อย่างไร?”

แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอาจจะมีพระมาสิยาห์ องค์ต่อไป ที่เก่งกว่านี้อีก รอก่อนแล้วกัน ซึ่งเขาก็รอกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังรออยู่ก็มี

“พระมาซีฮาห์” หมายถึงผู้ที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ผู้ที่ถูกพระเจ้าใช้ให้เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษยชาติ ได้มาเกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็รอไง

ในข้อ 5 กับข้อ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

สมมติว่าผมพาคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า แล้วรับเชื่อพระเจ้าแล้วต่อหน้าผม แล้วก็ทิ้งพระเจ้าไป ผมเสียหน้าไหม? ผมบอกว่า …

“โดยฤทธิ์เดช แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อพระเยซู ท่านจะได้รับความรอด เพราะพระเยซู ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จงรับเชื่อพระเยซูเถิด”

ปรากฏว่าเขารับข่าวดีนี้ไป เขาเชื่อในพระเยซูว่าเขาได้รับความรอด เขาเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ วันหนึ่งเขาทิ้งพระเจ้าไป เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ได้ทำสำเร็จแล้ว เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่บุตรพระเจ้า เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  ไม่ใช่พระมาซีฮาห์ เขากำลังจะบอกว่าพระเยซูโกหก และคุณนครก็ไปเชื่อพระเยซู แล้วคุณนครก็เลยโกหกตาม โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร? เขาแค่ทิ้งไปแค่นั้น มันหมายความว่าอย่างนั้น

ปรับมาใช้กับยุคปัจจุบัน หลายครั้ง เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  ถ้าเรายังไม่ได้เกิดใหม่จริงๆ ทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล หมายถึงในหมู่ชาวยิว อย่างที่บอกเขียนไปหาชาวยิว คนนี้ที่เริ่มต้นเชื่อ อาจจะเป็นปุโรหิตเก่า หรือเป็นปุโรหิตตอนนั้น เชื่อแล้วยังไม่แน่ใจ เอาอย่างไรดี? ในที่สุดทิ้งความเชื่อไป คนในสังคมชุนนุมชนยิวเขาจึงบอกว่า …

“เห็นไหม? ถ้าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์จริง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริง นายคนนี้มาเชื่อ แล้วออกไปทำไม? นี่เป็นพยานให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูไม่จริง ถ้าจริง คนที่เชื่อคนนี้ ก็ต้องเชื่อต่อไปสิ”

พูดง่ายๆ เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยการปฏิเสธข่าวดี ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ตัวจริง ปฏิเสธพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านพอเห็นภาพนะ เขากำลังบอกว่าถ้าพระเยซูทำสำเร็จตามที่พระองค์พูดบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ไม่ต้องรักษาบัญญัติต่างๆ ต่อไปแล้ว แต่คนนี้ พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็กลับไปทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ยังกลับไปถวายสัตว์ ยังกลับไปทำพิธีอีกอย่างอื่น เขาไม่ต้องพูด แต่การกระทำของเขา กำลังบอกว่าพระเยซูพูดไม่จริง เป็นการปฏิเสธพระเยซู การลบหลู่พระเยซู ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้น ที่เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้าตัวจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระบิดา ให้กับมนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ แต่คนที่บอกว่า …

“ฉันก็เชื่อนะ ฉันเห็นสาวกหลายๆ คน เพื่อนฉันเอง เปโตรเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยฉันได้ ฉันได้รับความรอด แต่สิ่งที่ฉันเคยทำตั้งแต่อดีตมา จนกระทั่ง ถึงอายุ 70 กว่าแล้วเนี้ย ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสั่งให้ทำ ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ฉันเลิกไม่ได้ ฉันต้องทำต่อไป เพราะว่าฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันเอาชัวร์ๆ ดีกว่าว่าถ้าเกิดเปโตรพูดผิด ข่าวประเสริฐผิด ฉันยังช่วยตัวเองได้ เอามาชำระบาปด้วยตัวเอง ทำพิธีเหล่านี้ ท่านว่ามีคนเป็นแบบนี้ไหม? มี แล้วถามว่ามีคนแบบนี้แล้ว เรียกว่าได้รับความรอดไหม? ได้รับการบังเกิดใหม่ไหม? มีโอกาสบังเกิดใหม่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ลองปรับมาเข้ากับปัจจุบัน ใครที่มั่นใจว่าท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ ท่านบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ท่านมั่นใจมากว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเชื่อไหมว่าท่านสามารถกลับไปทำอย่างเดิมได้ อย่างพิธีที่เคยทำอย่างเดิม ความเชื่อเดิม สมัยก่อน เอาข้อเดียวพอ ท่านจะทำสักครั้งหนึ่งได้ไหม? วันเกิดท่านครั้งต่อไป ไปสะเดาะเคราะห์ ท่านจะทำไหม? ไม่ทำ นี่แหละ อันเดียวกันกับที่บอกว่าท่านจะเห็นชาวยิว หนังสือฮีบรูที่เขียนไปหาเขา มันเป็นอย่างไร? การสะเดาะเคราะห์กับการที่เขาเอาสัตว์ไปถวายบูชาให้กับพระเจ้า เป็นประเพณีเดิมของชาวยิว มันก็อันเดียวกัน เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องการชำระบาป ถ้าเชื่อพระเยซู จนสนิทใจ จนบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะมันสะอาดแล้ว แต่ถ้าเชื่อไม่สนิทใจ มันยังคั่งค้างอยู่ มันอยากจะทำ มันไม่สะอาดสักที มันก็สะเดาะเคราห์ ในวันเกิดของเรา ในปีนี้ เพราะปีต่อไป เราก็ต้องสะเดาะห์ต่อ สะเดาะห์ไปเรื่อยๆ

คำว่า “เกิดใหม่” ไม่ใช่รอให้ตายไป แล้วเกิด เกิดใหม่ เกิดเดี๋ยวนี้ ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ต้องเกิดใหม่ วิญญาณเขาต้องเป็นใหม่แล้ว ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ถ้ารอให้ออกจากร่างกาย มันสายไปแล้ว

ท่านไม่สามารถเอาพระเยซูเป็นตัวสำรองได้ และท่านก็ไม่สามารถเชื่อพระเยซูเป็นตัวเอก และเอาอันอื่นเป็นตัวสำรอง ก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านรับพระเยซูเป็นตัวเอก ท่านจะไม่เอาตัวสำรอง เพราะท่านรู้ว่าท่านพึ่งและวางใจ และหวังใจในความสามารถของตัวเองนี้ได้  ท่านจะไม่มีสำรองอีกต่อไป

ข่าวประเสริฐมีมาไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้มีไว้ สำหรับวิญญาณ ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับประกาศไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่เกี่ยว เมื่อมนุษย์ตายไป  หยุดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็จบการเป็นมนุษย์ เมื่อจบการเป็นมนุษย์ ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป  ดูในฮีบรู 6:7-8

ฮีบรู 6:7-8 “7 ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง”

 

ถ้อยคำตรงนี้ เปรียบให้เห็นถึงผืนแผ่นดิน 2 แห่ง 2 ลักษณะ หรือกลุ่มผู้เชื่อ 2 พวก กลุ่มคน 2 พวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อข่าวประเสริฐ

พวกหนึ่ง คือแผ่นดินที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์ ก็คือพวกที่ผ่านขั้นตอน 3 พวกที่ผมพูดไว้ คือได้รับฟังข่าวดี  เชื่อในข่าวดีนั้น  และเก็บรักษาข่าวดีนั้นไว้ จนกระทั่งความเชื่อในถ้อยคำนั้น ค่อยๆ ดิ่งลึกๆ ลง จนเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าบิ๊กแบงค์ เกิดการเนรมิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในวิญญาณ ในร่างกายของคนๆ นั้น เรียกว่าบังเกิดใหม่ นิวคีเอชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม สะอาดหมดจด ในข้อนี้บอกว่า …

“เป็นแผ่นดินที่ให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูก และได้รับพรจากพระเจ้า”

ฝน ก็คือน้ำ  น้ำฝน ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผืนแผ่นดิน ก็คือคน มนุษย์บนโลกใบนี้  เมื่อได้ข่าวดี น้ำฝนมานะ จะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? มันจะมีผลออกมาอย่างไร?

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือในข้อที่ 8 ที่บอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็ก หนามใหญ่ เป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ค่า ก็คือพวกที่ได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เอา พวกนี้ ก็จะตกอยู่ในอันตราย  จากการถูกสาปแช่ง เพราะว่าในพระคัมภีร์ตะกี้บอก ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง ความหมาย ก็คือเมื่อปฏิเสธข่าวดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อน้ำฝน คือข่าวดีที่เข้ามา ไม่เกิดผลเลย  แห้งแล้งอยู่เหมือนเดิม  ก็คือปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้า  ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ก็ไม่มีทางอื่นใดเลย  ที่จะได้รับความรอดอีกแล้ว สุดท้ายก็จะได้รับโทษของความบาปและความตาย ซึ่งโทษนั้น ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ก็คือบึงไฟนรกเผาผลาญนั่นเอง และข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูจริงๆ และเก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้อย่างนี้ จนกระทั่งความเชื่อนั้น ได้ดิ่งลึกลงไปในใจ จนกระทั่งบังเกิดใหม่ สิ่งที่จะได้รับนั้น  ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ในฮีบรู 6:9-12 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

กำลังจะบอก “แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงแม้จะถูกข่มเหงรังแก เราก็อดทน รักษาความเชื่อไว้ เพราะวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้วนะ เราเป็นลูกพระเจ้า  รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอดนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แปลว่ามันไม่ได้สุขสบาย ในนี้บอกว่าต้องอดทนนะ อาศัยความเชื่อและความอดทน

ในคำอุปมา ที่พระเยซูสอนบรรดาสาวกตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลักษณะอย่างนี้ เกี่ยวกับสวรรค์แบบนี้ แผ่นดินสวรรค์อาณาจักรเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็พูดเป็นคำอุปมา เปรียบเทียบ ผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ

พระเยซูบอกว่าผลที่เราจะได้กับการหว่านเมล็ดพืช  … เมล็ดพืช ก็คือข่าวดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่เราหว่านออกไปนั่น มันไปตกอยู่ที่ดินประเภทใด ดินที่กินน้ำได้ดีไหม? หรือไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำเลย เราหว่านด้วยวิธีการเดียวกันหมด แต่ผลที่ได้รับไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราหว่านลงไปอยู่ที่ไหนต่างหาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหว่าน แต่ขึ้นอยู่กับการรับเมล็ดที่หว่าน มัทธิว 13:3-9 ดูสิ พระเยซูสอนว่าอย่างไร?

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

“ใครมีหู จงฟังเถิด” แสดงว่าบางคนไม่มีหูเหรอ? ตอนที่พระเยซูเดินอยู่ บางคนหูด้วนเหรอ? หูขาด ก็ยังได้ยินอยู่นะ ไม่มี กำลังบอกถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ให้ฟัง พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเรา เขาก็จำเสียงได้เรา ถ้าไม่ใช่แกะของเรา เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง”

ยกตัวอย่างในฮีบรู มี 3 ประเภท ดังนี้ …

ประเภทที่หนึ่ง คือเชื่อในข่าวดี รักษาไว้ จนกระทั่งมันดิ่งในวิญญาณ และบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะเข้าไปอยู่กับเขา เขาจะเป็นลูกของเรา เขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีใครสอนเขา เรื่องเราอีกต่อไป เราจะสอนเขา โดยส่วนตัว เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้เลย อยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ขณะนี้เลย แล้วเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วเขาสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังด่าคนนั้นอยู่เลย เมื่อตะกี้ขับรถมา ยังด่าคนนั้นอยู่เลย ยังหงุดหงิด ทนไม่ไหว แต่เขารู้ภายในใจว่าเขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาไม่ได้สะอาดหมดจด เพราะการกระทำของเขา แต่เขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเอาไว้ แต่งตั้งเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเขา จนสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีตำหนิใดๆ เลย  พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว  สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เขาเชื่อ เขามั่นใจตรงนี้ เขาจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างนั้นตลอดไป เอเมน ใครเป็นอย่างนี้ …

“เมื่อเช้าก็ไปด่าเขา ตกนรกแน่เลย เดี๋ยวไปบ้าน จดไว้นิดหนึ่ง กลับบ้านไป ขอพระเจ้ายกโทษที เอ๊ะ แล้วอันไหนที่ยังจำไม่ได้ เราจะตกนรกไหมเนี้ย อันอื่นจำไม่ได้ ไม่แน่ใจวันก่อนนี้ ทำท่าอยากจะซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่รู้ว่ามันบาปหรือเปล่า? เพราะว่าถ้าซื้อล๊อตเตอรี่เห็นเขาบอกว่าบาป เราอยากซื้อ แต่ไม่ซื้อมันบาปไหม? เขาบอกว่าไม่บาปนะ ถ้าอยากเฉยๆ ไม่ซื้อไม่บาป แต่พระเยซูบอกว่าแค่เห็นหญิง มีความกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว อันนี้เท่ากับที่เราจะซื้อล๊อต เตอรี่แล้วเราไม่ซื้อ แต่เราอยากซื้อ เท่ากับเราร่วมการซื้อไปแล้วหรือไม่? คิดไม่ตก สรุปว่าเราไปนรกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ นอนไปกลัวไป

“ขอปรึกษาอาจารย์ คือเมื่อวานนี้ จะขึ้นรถเมล์ มันไม่จอด ไม่จอดไม่พอ มันวิ่งลงน้ำ กระเด็นขึ้นมาเลอะหมดเลย ปกติ ดิฉันก็เป็นคนอภัยให้เขาเสมอ วันนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าตามหลังไปเลย ด่าเสียๆ หายๆ เศร้ามาถึงวันนี้ 7 วันแล้ว ยังไม่หายเลย รู้สึกจะตกนรก อาจารย์อย่างนี้ตกนรกหรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราไม่อภัยคนอื่น พระเยซูก็ไม่อภัยให้เราด้วย”

เก่งนะ ข้อพระคัมภีร์จำแม่นเลย ให้เราอภัยให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะได้อภัยให้เรา

“ยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ชุดแต่งมาอย่างดี กะจะไปโบสถ์ โบสถ์ก็ไม่ได้ไป เลอะไปหมดเลย  ไปไม่ทัน ยังโมโหไม่หายเลย อาจารย์อย่างนี้ตกนรกไหมเนี้ย?”

แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? ไม่ตกเหรอ แต่รถมันตกหลุม น้ำกระเด็นขึ้นมา ไม่ตกเหรอ? แต่มันทนไม่ไหว อภัยให้เขาไม่ได้เลยนะ แล้วอย่างนี้พระบิดาจะอภัยให้เราเหรอ นอนไม่หลับมา 7 วันแล้ว ช่วยทีเถอะ  ผมก็จะบอกว่ามาฟังครั้งหน้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะมีค่ายครอบครัว คือวันที่ 5-7 ตุลาคม 2018 ปีนี้พิเศษมาก ได้หัวข้อเรื่องปีนี้แล้ว  ชื่อหัวข้อค่าย เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราคือพระเจ้า” หรือ “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

เป็นหัวใจของคริสเตียนก็ว่าได้ ว่าตามจริงไม่ได้เป็นหัวใจของคริสเตียนอย่างเดียว เป็นหัวใจของผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เป็นหัวใจที่พระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นมนุษย์บาป เข้ามารู้จักพระองค์ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตั้งแต่ปฐมกาลเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย จนพระคัมภีร์ใหม่ จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า ตัวนี้สำคัญที่สุด เรามาถึงยุคปัจจุบัน ยุคของคริสเตียน ตรงนี้ ยิ่งจำเป็นสำหรับเรามากขึ้น และเรามีโอกาสได้มากขึ้นกว่าคนสมัยก่อน เพราะว่าทุกวันนี้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์ทั้งเล่ม หมายถึงพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่ม พระเจ้าได้บอกตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

สำเร็จ นี่คืออะไร? คือทำให้พระเจ้าสามารถลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ ทำให้ร่างกายมนุษย์ที่สกปรกโสโครก เป็นคนบาปนั้น กลายเป็นวิหารของพระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา ทำได้แล้ว แล้วเรารู้ได้อย่างไร? วิธีรู้ ก็คือจงนิ่งเสียและรับรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้า พระองค์มาสถิตอยู่กับเราแล้ว จงนิ่งเสียและรับรู้ สมัยก่อนนี้นิ่ง แล้วรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เคลื่อนไหวอยู่แถวๆ ท่ามกลางอิสราเอล ท่ามกลางผู้คนของพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้สมัยพระเยซู คือสมัยคริสเตียน สมัยเรา จงนิ่งและรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

เพราะฉะนั้น ค่ายครั้งนี้จะพิเศษ จะสอนน้อย แต่ปฏิบัติเยอะ จะพาท่านไปปฏิบัติ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าต้องใช้ปฏิบัติ มาตั้งแต่สมัยพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำมากที่สุด คือให้เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้นด้วย ถ้อยคำก็เป็นอย่างนั้น ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เราเองคิดไปไม่ถึง เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ ถึงต้องอาศัยตรงนี้แหละ จงนิ่งเสีย

จงนิ่งเสีย คืออะไร? พูดคร่าวๆ ให้ฟังก่อน  จะได้ตื่นเต้น ใครที่ลงทะเบียนไปค่าย ท่านจะได้ตื่นเต้นว่าเที่ยวนี้ท่านไป ท่านจะได้รับอะไรบางอย่างที่เป็นอาวุธของท่าน ในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างสันติสุขและสงบสุข และรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน (ตลอดเวลา)  โดยการฝึกฝนวิธี จะสอนทฤษฎีด้วย แต่ปฏิบัติเยอะ ปฏิบัติในการรับรู้ พอบอกว่าจงรับรู้ จงนิ่งเสีย ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ นิ่งเสียคืออะไร?

จะพูดคร่าวๆ ให้ฟัง นิ่งเสีย ก็คือการจดจ่อไปที่วิญญาณ เหมือนคำพูดในพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดคำว่าจดจ่อ เมื่อไร ในนั้นพูดคำว่าจดจ่อ นี่แหละคือจงนิ่งเสีย จดจ่อเข้าไปในวิญญาณ

เมื่อไรที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ใหม่ ที่บันทึกคำว่า “จงมองให้เห็นเถิด” นั่นแหละคือคำว่า “จงนิ่งเสีย” มันมองด้วยตาไม่เห็น ถ้าไม่นิ่งไม่เห็น ถ้านิ่งเมื่อไร มันมองทะลุไปในโลกวิญญาณได้ว่านี่มันจริง พระเจ้าสถิตอยู่เราจริงๆ มีจริงๆ เป็นจริงๆ

จะสอนเคล็ดลับตรงนี้ให้ เอาหรือไม่เอา? รับรองได้ว่าตื่นเต้น ใครได้ไปขนาดไหน? อย่างไร? แต่มันตื่นเต้น ตะกี้เราพูดถึง เมื่อแปลเป็นภาษาไทย จงจดจ่อ จงมองให้เห็นเถิด  แล้วแปลเป็นอะไรได้อีกไหม? นี่ใช้ภาษาไทยคำนี้มาตั้งแต่สมัยโน้นปฐมกาล พระเจ้าให้มนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า โดยการ … ถ้าใช้พูดภาษาไทย คำนี้ทุกคนจะเข้าใจเลย  คือคำว่าภาวนา บางทีเราคิดว่าภาวนา คืออธิษฐาน ไม่ใช่ ภาวนา คือการมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ค่อยๆ ผลักดันตัวเองเข้าไปในโลกวิญญาณ ทะลุเข้าไปได้ แล้วแถมผมมีเครื่องมือพิเศษ เครื่องมือพิเศษ คือเอาวัสดุ เอาสิ่งต่างๆ ของวัตถุ ของสิ่งของบนโลกใบนี้มาช่วยเราในการภาวนา ทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณให้ได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การอยู่เงียบๆ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเราให้ทะลุ ภาวนาได้ง่ายขึ้น กับการที่นั่งบนรถเมล์ ใครง่ายกว่ากัน อยู่ในห้องง่ายกว่าใช่ไหม? ถ้าอยู่ในห้องและอยู่ในโบสถ์ยิ่งง่ายขึ้น เพราะว่าอยู่ในโบสถ์มีความรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ มันช่วยเรา จริงๆ มันเหมือนกัน นั่งรถเมล์ กับนั่งที่โบสถ์ ก็เหมือนกัน แต่ไม่เหมือน ตรงที่สิ่งแวดล้อมช่วยเรา อะไรต่างๆ ที่ช่วยเรา กินอิ่มเกินไป มันก็ไม่ได้ช่วยเรา หิวเกินไป ก็ไม่ช่วยเราอีก มันต้องพอดีๆ ใช่ไหม? บรรยายกาศดีๆ นั่นแหละสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วย

และตัวช่วยอีกอันหนึ่งในสมัยอดีต  บอกเคล็ดลับให้ ตัวช่วยอีกอันหนึ่งในอดีต ที่ช่วยมาตลอด จนถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ยังช่วยอยู่ ตัวนี้ ก็คือเขาเรียกว่าอโรมา คือกลิ่น ทำให้มีความรู้สึกไวและสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้มากขึ้น อันนี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้พูดขายของนะ กลิ่น ปัจจุบันเรารู้กันในนามของอโรมาเธอราฟี่ หรือการบำบัด การรักษา การเอาประโยชน์จากการดมกลิ่น  กลิ่นดีๆ ทำให้เราสามารถคลายเครียดได้ ปลดปล่อยเราจากความซึมเศร้าได้ ทำให้เรายิ้มแย้มแจ่มใสได้ และสามารถทำให้เราทะลุเข้าไปในอีกมิติหนึ่งที่เรียกว่าโลกวิญญาณได้ ช่วยเรา ผมกำลังจะพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าวางไว้บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ต่อเรา เรากำลังต้องการทำอะไร? เรากำลังต้องการทำความสงบ ทำความนิ่งให้กับวิญญาณของเรา แล้วจะทะลุเข้าไป ภาวนาเข้าไปในโลกวิญญาณ เขาไปหาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราอย่างไร? ให้เห็นชัดๆ ขึ้นกับการไม่นิ่ง ตอนนี้เราจะพยายามให้นิ่ง วิธีช่วยให้นิ่ง หนึ่งอัน คือการใช้สมุนไพรที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้ ช่วยเราในการที่จะค่อยๆ สงบลง

และหนึ่งในจำนวนนั้น ที่พระเจ้าใช้ เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน อดีตเขารู้จักกันมานานแล้ว พระเจ้าบอกอิสราเอลบอกว่าปุโรหิต จะเข้าไปหาพระเจ้า หนึ่งอันในนั้น ต้องทำพิธีหลายอย่าง มีความหมายหมด แต่หนึ่งอันในนั้น ต้องทำแน่ๆ คือก่อนที่จะเข้าสู่พระนิเวศน์ของพระเจ้า ผ่านด่านมาทีละหนึ่งด่าน ทั้งหมดมี 7 ด่าน ตั้งแต่นอกพลับพลา จนเดินผ่านพลับพลาเข้ามา มาจนกระทั่งถึงภายใน  จนถึงที่พระเจ้าสถิตอยู่ จะเข้าไปก่อนพระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 กับด่านที่ 7 และด่านที่ 7 พระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 ก่อนจะเข้าไป ทำอะไร? จะมีเครื่องเผากำยาน ต้องเผากำยานก่อนนะ แล้วถึงเข้าไป เคยได้ยินใช่ไหม?

กำยานตัวนั้น ภาษาอังกฤษเขาเรียก Frankincense ภาษาไทยแปลว่ากำยาน … กำยานตัวนี้ปุโรหิตเอา อาโรนหรือปุโรหิตก่อนจะเข้าไปในอภิสุทธิสถาน คือเข้าไปในการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งรุนแรงมาก เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชและบริสุทธิ์ เขาต้องชำระตัวกับพระเจ้า หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเขาต้องเผาเครื่องกำยาน ให้ควันมันฟุ้งไปหมดเลย ท่านรู้ไหมกำยานนี้ ฆ่าเชื้อโรคได้ดียิ่งกว่าสารเคมีที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดอีก กำยานตัวนี้ทุกวันนี้เอามารักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคอะไรเยอะแยะ กำยานตัวนี้เอามาใช้ในการสวดมนต์  และแสวงหาโลกวิญญาณในทางศาสนาต่างๆ เยอะแยะเลย กำยานตัวนี้เอามาใช้เยอะแยะมากมายไปหมด แต่พระคัมภีร์บอกไว้ตั้งนาน และให้ควันคุ้งเลย  และเปิดม่านเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน พอผลักม่านเข้าไปปุ๊บ ให้เผาเยอะขึ้นเลย คุ้งไปหมดเลย

ท่านคิดดูที่พระเจ้าสถิตอยู่ในอดีต ที่พลับพลา เข้าไปห้องสุดท้าย ในพระคัมภีร์บันทึกว่าห้องนั้นปิดม่านทึบหมด ทุกอย่างไม่มีแสงเข้า ไม่มีคนเข้าไปเลย ปีหนึ่งมีคนเข้าไปครั้งเดียว ไม่มีการทำความสะอาด แล้วมันจะสะอาดได้อย่างไร? มันคงเหม็นอับมากเลย แต่ไม่หรอก พระเจ้ามีกลิ่นกำยาน ให้เผาทุกวัน เผาข้างหน้าทุกวัน กลิ่นมันก็หอมอบอวลอยู่ในนั้น กลิ่นนี้เรียกว่ากลิ่นกำยาน จบแค่นี้

ค่ายครั้งนี้เราจะไปนิ่งสงบในพระเจ้า คือจดจ่อเข้าไปในโลกวิญญาณ ภาวนาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว สถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระคัมภีร์บอกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายนี้ มันคืออย่างไร? มันชัดขนาดไหน? เอาสิ่งเหล่านี้มาช่วยกัน

และคำหนึ่งที่แปลตรงตัว ก็คือเราจะไปภาวนาด้วยกัน ทำสมาธิ จดจ่อเรื่องถ้อยคำพระเจ้า โดยใช้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ประกอบกัน ก็คือหนึ่งในนั้น ก็คือการใช้กำยาน และใช้การเข้ามาอยู่ร่วมกัน ใช้ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมจะคัดให้ท่าน ถ้อยคำพระเจ้าที่เราจะใช้ในการเพ่งมองดู ภาวนา เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า คืออะไร? และการนมัสการพระเจ้าก่อนหน้า ที่เราจะฝึกฝนร่วมกัน และสถานที่ที่เราจะใช้ร่วมกัน ชายทะเล อะไรมันก็ดูสุขไปหมด ไม่ใช่เดินออกมารถติด เสียงรถ เสียงแตร วุ่นวาย ที่ภาวนาเมื่อตะกี้หายหมด อันนี้เรื่องธรรมดา

สิ่งที่กำลังพูดเหล่านี้ คืออยากให้ท่านได้จริงๆ เพราะตอนที่ผมได้มา ผมก็ดีใจเลย รีบไปบอกทีมงาน … ทีมงานก็ดีใจบอกพี่รีบพูดเลย อาทิตย์นี้รีบพูดเลย พูดให้ประชากรพระเจ้าฟังเลย เขาจะได้เตรียมตัว จะได้เก็บเงินค่าค่ายทัน ตื่นเต้น ผมก็ตื่นเต้น ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนะ แต่รู้ว่าไม่มีการสอน มีแต่ปฏิบัติ แนะนำให้นิดหนึ่ง แล้วก็ปฏิบัติกันเลย เดี๋ยวนั้นเลย จบค่าย กลับไปที่บ้าน ท่านก็จะสามารถปฏิบัติต่อไปเองได้เลย จะได้รู้ว่าที่พระเจ้าพูดเสมอว่า …

“จงรับรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว” … แปลว่าอะไร? เอเมน

พอได้สิ่งนี้ ก็เท่ากับได้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว ท่านได้สิ่งนี้ ก็ได้เท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ และโลกวิญญาณ และนิรันดร์ เราได้รับหมดแล้ว ท่านได้สิ่งนี้เท่านั้นเอง จึงมีค่ามากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง เอเมนไหมครับ เอเมน

 

************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว  เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในมหาจักรวาล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยนะ

วันนี้เราก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว คือเรื่องเพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ ตอน 2 “เป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดจากบาป ได้รับการชำระจากโทษแห่งความบาปและความตาย ทางฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือเราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ อีกต่อไป (หมายถึงทางโลกฝ่ายวิญญาณ) เราไม่ต้องคอยกังวลว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? นี่หมายถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่าเผลอไปทำผิด หรือบาปอะไร แล้วทำให้เราสูญเสียความรอดนี้ไป เพราะพระคัมภีร์บอกว่าไม่มีอีกแล้ว ถ้าเราได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จากการเชื่อจริงๆ เรื่องข่าวดีของพระเยซู เราได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ พระเจ้าดูแลเรา ปกปักษ์คุ้มครองเรา อยู่ในความรอดนั้นตลอดไป

จากบทบัญญัติตามพันธสัญญาเดิม ที่เป็นกฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกคนต้องทำตาม ใครไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ หรือเรียกว่าถูกสาปแช่ง พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Telelestai ทำให้สำเร็จแล้ว ยุคแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็กลายมาเป็นยุคพระคุณ ที่ให้เปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีคำว่า “ต้องทำ” หรือ “ห้ามทำ” แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยพื้นฐานของความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งพื้นฐานนี้ ก็เต็มไปด้วยความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน ทำตามคำสอน ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอนว่าบทบัญญัตินี้ สำหรับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู “ห้าม” กับ “ต้อง” เปลี่ยนมาเป็น “ควรทำ” “ไม่ควรทำ” “จงระวัง” เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

ประเด็นที่เราย้ำกันในครั้งที่แล้ว ก็คือเราเป็นอิสระ เสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ที่พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณข้างในของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู เกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นในวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ใส สะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิใดๆ เต็มไปด้วยความรัก ไม่มีความเกลียดอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น ก็เลย สมควรทำตัวให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ที่เปลี่ยนจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งการเกลียดชัง มาเป็นวิญญาณความรักแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งความบาป มาเป็นวิญญาณแห่งความชอบธรรม สะอาดหมดจด ปราศจากบาปแล้ว ก็สมควรเปลี่ยนอุปนิสัยข้างนอกบ้างสิ พระคัมภีร์จะพูดถึงลักษณะอย่างนี้ ผมพยายามรวมมาแปลให้ท่านฟังง่ายๆ คือให้กระทำทุกอย่าง ออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก จากนี้ต่อไป

ใครเขาถามเราว่า … “คุณมีความรักไหม?”

ตอบเขาเลย … “ไม่มี แต่ฉันเป็นความรัก”

หนักกว่ามีอีก มีมันยังหมดได้ แต่เป็น ไม่มีเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่มีผู้ชายอยู่ คุณเป็นผู้หญิง คุณไม่ใช่มีผู้หญิง เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คุณเป็นความรัก เพราะเราพูดถึงวิญญาณของเรา ที่เป็นตัวตนของเราตลอดไป  ไม่ใช่ร่างกายข้างนอกนี้ ซึ่งวันหนึ่งจะต้องลงหลุมไป กลายเป็นดินไป แต่วิญญาณเราอยู่นิรันดร์ และวิญญาณที่อยู่นิรันดร์นั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นพระบิดาของเรา ใครถามท่าน ท่านทำอย่างนี้ เพราะอะไร?

“เพราะฉันเป็นความรัก” เอเมนไหม?

“อ้าว! ทำไมตะกี้นี้ ขับรถมาไปตวาดว่าเขา”

“ก็ฉันว่าไปด้วยความรักที่อยู่ข้างใน ข้างนอกมันเผลอไป โทษที”

จากนี้ต่อไป วิญญาณเป็นความรัก ขับรถ อดทนหน่อย มีอิสระแล้ว ทำให้มันเหมือนข้างในหน่อย ไม่ใช่มีอิสระแล้ว จะด่าใคร ก็ด่าเลย  รอดแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว คนที่เต็มไปด้วยความรักเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ฉันก็ต้องควบคุมเนื้อหนังบ้างสิ? ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ดีขึ้นๆ แต่ทุกอย่าง ทำมาจากพื้นฐานทางวิญญาณ คือวิญญาณแห่งความรัก ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดแจ๋วเลยนะว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

ทบทวนข้อพระคัมภีร์ในกาลาเทีย 5:13-15 บอกว่าเราควรมีอิสรภาพในท่าทีอย่างไร?

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

พี่น้องทั้งหลาย คือผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ผู้นั้นแหละ รวมเรียกกันว่าพี่น้องทั้งหมด ถ้าในปัจจุบัน เราพูดกันง่ายๆ คือคริสเตียน เมื่อไรที่ท่านเห็นคำว่า “พี่น้อง” นั่นแหละ กำลังพูดถึงกลุ่มคนพวกหนึ่ง ที่เชื่อข่าวประเสริฐแล้ววิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่าพี่น้อง

ความเชื่อต้องดิ่งลงไปในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องเชื่อจริงๆ ถึงเกิดใหม่ ดูกันข้างนอก บางครั้งมองไม่เห็น แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ เดาตัวเองนะว่าเราบังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่? ผมบอกเคล็ดลับนิดเดียว ท่านรู้ทันทีเลย ถ้าใครบังเกิดใหม่ หนึ่งอย่างที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือเขาจะหยุดแสวงหา หรือทำสิ่งต่างๆ ให้พ้นจากบาปเวรกรรม ถูกหรือไม่ถูก?  อะไรก็ตามที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าสิ่งนี้ ที่เราเคยทำ แล้วมันจะชดใช้บาป เวรกรรมของตนเอง เราไม่ทำแล้ว และไม่แสวงหาที่จะทำด้วย เอเมน ตรงนั้นแหละ คนนี้เกิดใหม่แน่นอน 100% นี่คือสิ่งที่สามารถวัดตัวเราเองได้ แค่อันเดียวเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ทำอย่างอื่น อย่างอื่นเยอะแยะ ดูไม่ออกหรอกว่าโลภหรือไม่โลภ วุ่นวายไปหมด แต่อย่างนี้ชัด ถ้าบอกว่าบังเกิดใหม่แล้ว

“ฉันยังไปหา ทำอะไรบางอย่าง ที่รู้สึกว่าทำแล้ว ฉันจะได้ลด ชดใช้บาป เวรกรรม ในอดีต” ถ้าทำอย่างนี้อยู่แปลว่าไม่ใช่

เพราะฉะนั้น คนนั้น ต้องพบทางรอดแล้ว และรู้ว่าตัวเองรอด ด้วยโลหิตพระเยซู  พระเยซูทำให้เรารอดแล้ว สบายแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว นั่นแหละ คือบุคลิกของคนที่มีวิญญาณที่รอดแล้ว แต่หลายครั้ง ประกาศข่าวดี ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็มีการบิดเบือนไปจากความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็ถูกนำมาสอนกันต่อๆ แบบผิดๆ นี่ผมกำลังพูดถึงบิดเบือนแบบบริสุทธิ์ใจ วันนี้ไม่ได้พูดรวมไปถึงบิดเบือนแบบตั้งใจ เอาไปทำมาหากิน พระคัมภีร์บอก มีคนเอาข่าวประเสริฐไปทำมาหากินนะ เพื่อปากท้องของตนเอง มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงผิดแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำมาหากิน ไม่ได้ตั้งใจจะบิดเบือน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่มีการตีความหมายตามพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง หรือได้รับการสอนแบบผิดๆ ก็ฟังผิดๆ ไป

นี่เป็นประสบการณ์ หัวข้อเรื่องเขาเรียกว่าประสบการณ์ที่มิรู้ลืมเลือน จากการไปประเทศญี่ปุ่น

… ซึ้งจัง เธอเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่สวยงาม งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ไม่ว่าจะมองมุมไหน? ก็สวยไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็ต้องพูดแบบผมแน่นอน …

ท่านคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

… การได้มานั่งดื่มกาแฟที่นี่ ทำให้อารมณ์และจิตใจของผมสดชื่อ อย่างบอกไม่ถูกกับความสวยงาม แบบธรรมชาติ จนมิอาจลืมได้ ตราตรึงในหัวใจ เฝ้าคิดคำนึงตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น …

อ่านแค่นี้ ท่านคิดถึงว่าผู้ชายคนนี้คงจะไปเที่ยว แล้วไปเจอผู้หญิงญี่ปุ่นที่ชื่อ “ซึ้งจัง” เธอคงน่ารักมาก ลืมไม่ได้เลย นอนละเมอถึงเลย เกิดผู้ชายคนนี้มีภรรยา ได้อ่านแค่นี้ สามีคงมีสิทธิ์หัวร้างข้างแตกได้

“เธอไปทำอะไรอย่างนั้นมา”

“เดี๋ยวก่อนสิ ฟังให้จบก่อน”

“ไม่ฟัง ฉันจะเอาแค่นี้”

ก็มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอีกอย่างหนึ่งได้ อ่านต่อไป

… เพราะการออกแบบสถานที่ ที่ดูโล่งโปร่งตา สถานที่ที่มีสีเขียวมากมาย รายล้อม รอบบริเวณเมืองนี้ รับรอง คุณจะไม่สามารถหาร้านกาแฟที่สวยขนาดนี้ได้อีกแล้ว คุณซึ้งจัง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอออกแบบและดูแลต้นไม้ทั้งหมดนี้ ด้วยตนเอง …

พออ่านถึงตรงนี้ ตกลงพูดถึงใคร? ร้านกาแฟ พอเราแปลผิดปุ๊บ กลายเป็นพูดถึงซึ้งจัง ผู้หญิง คนละความหมายเลย  นี่ยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เล่นๆ เท่านั้นเอง ท่านพอเห็นไหมครับว่าเวลาเราจะตีความหมายในพระคัมภีร์ เราต้องนึกถึงภูมิหลังว่าเขาเขียนไปหาใคร? จดหมายนี้เป็นอย่างไร? อ่านให้มากๆ ไม่ใช่อ่านไม่หมด แล้วก็หยิบมาเล่า เอามาบรรทัดสองบรรทัด แล้วก็ตีความทั้งหมด หลังจากฟัง 2 บรรทัดแล้ว สิ่งที่ท่านคิดในใจ กับฟังจนจบ มันเหมือนกันไหม?  ไม่เหมือนเลยนะ เขาว่าอย่างไร? จากหัวเป็นหางเลย

นี่เป็นตัวอย่างให้ท่าน พอที่ท่านนึกออกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู หลายครั้งก็ถูกบิดเบือนด้วยเหตุผลเดียวกันกับเรื่องราวของร้านกาแฟซึ้งจังนี่แหละ คือบางคนอ่านพระคัมภีร์แค่บางช่วง บางตอน แล้วก็ตีความตามใจของตนเอง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไปเลยว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่ เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอก ภรรยาได้อ่านมา 2 บรรทัด ตีความอย่างนี้ แล้วจากตีความเสร็จ ตีหัวต่อเลย   ซ้ำร้าย ที่หนักกว่า คือบางคนตีความใส่เนื้อหาที่ตัวเองต้องการเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ตามกิเลสของตัวเองที่อยากได้ เช่น …

พระคัมภีร์บอกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ทำให้เราหายป่วย”

ก็เนื้อหนังเรา ความอยากเรา เราอยากหายป่วยไง ก็เลยตีความว่าพระเยซูแบกรับเอาความเจ็บป่วยของเราไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย ถ้าใครป่วย ก็แปลว่า … คิดเอาเองแล้วกัน คุ้นๆ นะ ถ้าใครป่วย ก็แสดงว่าไม่เชื่อ เอ๊า! ยุ่งกันใหญ่เลย และหนึ่งในจำนวนของถ้อยคำพระคัมภีร์ไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือเรื่องความรอด ที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ที่เรากำลังเรียนกันอยู่วันนี้ ขนาดพระคัมภีร์เขียนแบบชัดๆ เป็นตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล ชัดเจน แบบไม่ต้องตีความเลย พระคัมภีร์มีหลายแห่งเลย ที่บอกว่า …

“เมื่อท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านก็ได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดที่สุด และไม่มีใครสามารถปรับโทษท่านได้อีก ก็คือไม่มีการกลับไปกลับมาอีกแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน”

นี่คือเรื่องจริงในข้อพระคัมภีร์ แต่ก็จะมีคนสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ห้ามทำบาปอีกต่อไป เพราะถ้าทำบาป พระเจ้าจะลงโทษ และยังไม่เชื่อ ยังขืนทำต่อไปอีก พระเจ้าจะทิ้งเลย แล้วเราก็ต้องกลับไปเป็นคนบาป ก็ได้รับโทษ ตกนรกอีก คุ้นไหม? แล้วเราเอาอย่างไร? ตกลงสรุปแล้วคืออะไร? หาไม่เจอ

เพราะฉะนั้น คนที่ยังหาไม่เจอกลับไปหาให้เจอให้ได้ว่ามันคืออะไร?  ตัดสินใจให้ถูก พอเริ่มต้นเป็นแบบนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดตลอดว่าเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด พอมันเริ่มผิดแล้ว เริ่มตีความว่าห้ามทำบาปอีกต่อไป ถ้าทำบาปแล้ว จะสูญเสียความรอด ทีนี้ทำอย่างไร? ไม่ทำบาปอีกเลย คิดต่อไปสิ แล้วเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เอาแล้วสิ ยุ่งเลย

เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ มันก็บาปทั้งหมดแหละ มันก็ต้องรับโทษทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะตีกันเองแล้วนะ  แล้วทำอย่างไร? ก็ค่อยๆ เริ่มบิดนิดหนึ่ง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป  บวกกับเนื้อหนัง กิเลสของตัวเองเข้าไป ความโลภเติมเข้าไปอีกนิดหนึ่ง แล้วสร้างเป็นกฎเกณฑ์ เป็นข้อบังคับขึ้นมา พอนานๆ เข้าก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ กลายเป็นนิกายต่างๆ นิกายแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ ตรงกับที่ผมพยายามอธิบาย ความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันถูกบิดเบือนด้วยเหตุประการฉะนี้แหละ นี่บริสุทธิ์ใจทั้งนั้นนะ

พระคัมภีร์ในหนังสือฮีบรู เป็นบทสรุปที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ว่าหลักการพื้นฐานของความเชื่อ คือความรอดที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ มันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ทำให้เรากลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ทั้งบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บาปที่เราได้ทำไว้ในอดีต ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ บาปที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ รวมทั้งบาปที่เราอาจจะทำ หรือทำแน่นอนเลย ในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้ อะไรต่างๆ บาปทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้ถูกชะล้างจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการอภัยแล้ว จากสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

ในหนังสือฮีบรู ผู้เขียน คือชาวยิวที่มีความรู้มาก ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าทำกับอิสราเอล สมัยโมเสส ความรู้เรื่องวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รู้ทั้งสองเรื่องเลย นอกจากนั้นยังมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของศาสนายิวดั้งเดิม คือศาสนายูดาย ยิวนับถือศาสนายูดายก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากนั้น ก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้  บางท่านก็บอกว่าผู้เขียนน่าจะเป็นเปาโล บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นอปอลโล แต่อย่างไรก็ตามเป็นชาวยิวแน่นอน แล้วก็มีคุณสมบัติ มีความรู้คิดคล้ายๆ อาจารย์เปาโล

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรูนี้ เขียนขึ้น ในช่วงเวลาหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ประมาณ 30 กว่าปี

วัตถุประสงค์ของหนังสือฮีบรู เพื่อสอนถึงแก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวที่กลับใจเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้น กำลังถูกล่อลวงอย่างหนัก คือคนที่เชื่อข่าวประเสริฐในยิว วุ่นวายมาก เพราะว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพระเยซูคริสต์ เป็นต้นกำเนิดข่าวประเสริฐ เป็นแหล่งกำเนิดการปฏิเสธพระเยซูอย่างรุนแรง ถึงขนาดตรึงพระเยซู ที่ไม้กางเขน จากความเชื่อและวัฒนธรรมรอบด้าน ทำให้มันยากที่จะต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คนที่เป็นยิว มาเชื่อพระเยซูแล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะกลับไปนับถือศาสนาเดิม เหมือนแต่ก่อน ทำพิธีเหมือนแต่ก่อน หรือจะเดินหน้า เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูต่อไป มีการข่มเหงด้วย  และสังคมด้วย แล้วตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ง่ายเลย

นอกจากนี้ ก็ยังมีบางพวกที่เรียกว่าเป็นลูกผสม คือกลับใจมาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ข้างในยังอยากจะทำอะไรอยู่เหมือนเดิม ยังไม่แน่ใจ ขอเติมนิดหนึ่งได้ไหม?  เอา 2 อย่างได้ไหม? ซึ่งพระคัมภีร์บอกเสมอไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเชื่อพระเยซูด้วย แล้วจะทำด้วยตัวเองด้วย ไม่ได้ จะพึ่งพระเยซูกับพึ่งตัวเองด้วย ไม่ได้ ต้องทำอันใดอันหนึ่งเท่านั้น  ที่ตะกี้นี้บอกว่าอุปนิสัย เกิดใหม่ ข้างในมันต้องมั่นใจ 100% ว่า …

“ฉันไม่ต้องขวนขวายหาอะไรอีกแล้ว ที่จะไถ่บาปให้ตัวเอง”

นั่นแหละ คือบังเกิดใหม่ คนเหล่านี้ยังไม่เกิดใหม่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ต้อนรับ แต่ยังไม่มั่นใจ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น มันก็อยากจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นการชำระบาปให้ตนเอง เหมือนเดิม อยากไปปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเดิม พูดง่ายๆ ก็คือยังทำใจไม่ได้กับความรอด ที่พระเยซูให้มาแบบง่ายเหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไรเลย สมัยก่อนนี้ คนยิวกว่าจะได้รับความรอด ไม่ใช่รอดเลยนะ แค่จะได้รับพรจากพระเจ้าบ้าง ชำระบาปปีต่อปี กว่าจะได้ยากมากเลย ต้องทำเยอะแยะ แล้วยังมาบอกว่าเชื่อพระเยซูเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับความรอดแล้ว รับไม่ได้จริงๆ  ก็เลยคาไว้แค่นั้น  ก็เลยคิดว่าจะหันกลับไป  ทำดีไหม?

และกลุ่มที่อยู่ตรงกลางแบบลูกผสมนี้ แน่ๆ ก็คือพวกปุโรหิตชาวยิว ซึ่งนับถือศาสนายูดายเดิม เชี่ยวชาญในงานรับใช้ ในวิหารแบบเดิมๆ ซึ่งปุโรหิตเหล่านี้ ถึงแม้จะกลับใจมารับเชื่อแล้ว แต่ยังคุ้นเคยกับประเพณีเดิมๆ ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ คือไม่ทำแบบเดิมอีกต่อไป ยังไม่แน่ใจในการเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงในพระเยซู นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย เพราะว่าไม่ใช่ยิวธรรมดา แต่เป็นยิวที่เป็นผู้รับใช้ในวิหาร เชื่อเยอะแยะเลย  คำว่า “เชื่อ” หมายถึงเชื่อ แบบยังไม่เป็นลูกพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่ แค่เริ่มต้น ใช่ ข่าวดีของพระเยซู เห็นกับตา โอเค เชื่อด้วย แต่ตัวเองต้องเข้าสู่วิหาร ไปทำหน้าที่ประจำวัน มันก็ฝืนใจ มันยังไม่ดิ่งลงไป ทำใจลำบาก

และที่สำคัญก็ยังมีปุโรหิตบางกลุ่ม ที่มีอิทธิพลมาก ดูดีมีฐานะ แต่ปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมเชื่อพระเยซู ต่อต้านเด็ดขาด ก็คือกลุ่มคนที่เอาพระเยซูไปตรึงไม้กางเขน ผู้คนเหล่านี้ มีอิทธิพล ดูดีในสังคม มีหน้ามีตา เพราะว่าหลักการของยิว ในอดีตนั้น ปกครองด้วยระบบศาสนานำ ปุโรหิตใหญ่กว่ากษัตริย์ คนเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ คอยข่มขู่ ต่อต้านคนที่เชื่อ ข่มเหงรังแกคนที่เชื่อ ทำให้ผู้เชื่อใหม่เกรงกลัวอำนาจ จำเป็นต้องปฏิบัติภารกิจตามประเพณีเดิม เพื่อไม่ให้มีเรื่อง จะด้วยเต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ก็ไม่รู้แล้ว อันนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น จะมีผู้ที่ยอมทำตามเขา โดยไม่เต็มใจ ผมเชื่อว่ามี ก็คือเชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ไม่รู้จะทำไง ทำไปต่อหน้าทำเฉยๆ แล้วก็อธิษฐานในใจ ด้วยความทุกข์ทรมาน ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ พาเขาออกจากหน้าที่เดิม พาเขาไปไหนก็ได้ ย้ายที่ไปไหนก็ได้ ย้ายประเทศไปไหนก็ได้  เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่อยากทำอย่างนี้แล้ว แต่ตอนนี้ทำไปก่อน เพราะความจำเป็นอะไรก็ว่าไป  เพราะเขาทำด้วยความรัก เขาไม่ได้กลัว และพระวิญญาณนำเขาไป ผมเชื่อว่ามันต้องมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ท่านจะได้มองภาพชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในสังคมของชาวยิว ขณะนั้น ทำไมต้องเขียนหนังสือฮีบรูไปหาเขา

          เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือหนังสือฮีบรู เขียนไปเพื่อ …

(1) ให้กำลังใจกับคนที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก แล้วถูกข่มเหงรังแก ได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากประเพณีเดิม จากคนที่ปฏิเสธพระเยซู จากคนที่ต่อต้านพระเยซู หนังสือนี้เขียนไปหนุนใจคนเหล่านั้น ให้อดทน รอการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจะนำไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หรือพระเจ้านำอย่างไรก็ตาม วิญญาณเราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว  มองที่วิญญาณ พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์ ดังนั้นต้องรักษาตรงนี้ไว้ อดทนต่อไป

(2) เตือนคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐแล้ว ให้อดทน เลือกพระเยซู ถูกแล้ว พระเยซูคือตัวกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังว่าพระคัมภีร์เดิมที่โมเสสทำไว้ เป็นแค่เงา ที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ

(3) เตือนแบบค่อนข้างรุนแรง สำหรับพวกปุโรหิตที่ต่อต้านพระเยซูว่าถ้าท่านทำอย่างนี้ต่อไป ท่านหลงหาย ท่านตกนรก พูดง่ายๆ ท่านไปไม่รอดแน่ เรื่องนี้เรื่องจริง ท่านกำลังโดนของจริงแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พระเยซูยังไม่มาเกิด ตอนนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้ว ท่านต่อต้านอีก หมดแล้วนะ ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว ตายลูกเดียว อย่าเล่นกับพระเจ้า  อะไรประมาณนั้น  เรามาดูในฮีบรู 6:1-3

ฮีบรู 6:1-3 “1 เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น  เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 2 คำสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ 3 และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป”

 

“เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า”

ท่านพอมองเห็นคร่าวๆ จากการที่ได้ฟังภูมิหลังที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าจดหมายนี้เขียนไปทำไม? เขียนไปหาใคร?  ถ้อยคำตรงนี้  ฟังดูเหมือนผู้เขียน เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาพูดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ เป็นถ้อยคำไปถึงชาวฮีบรู ขณะนั้น ซึ่งมีทั้งผู้ที่เชื่อแล้ว พวกที่หลงหายไป รวมทั้งพวกที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลิกเชื่อ หรือเชื่อต่อ ผู้เขียนกำลังบอกว่าเราคุยเรื่องนี้มาเยอะแล้วนะ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ หลักคำสอนเบื้องต้นพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

พื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปง่ายๆ ก็คือ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือหลักการต้นๆ ในนี้บอกว่าเบื่อเหลือเกิน ต้องมาพูดอย่างนี้อีกแล้ว ก็คือเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูที่ไม้กางเขน พูดกันมาตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ไปไหนเลย ทำไมเรายังต้องกลับมาคุยเรื่องนี้กัน ซ้ำๆ ซากๆ อีก เราควรจะเข้าใจกันได้แล้ว ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ และเดินหน้ากันต่อไปได้แล้ว ทำไมยังต้องมาพูดถึงเรื่องเดิมๆ นี้อีก

เรื่องเดิมๆ คือเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในยุคพระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิม เช่นการที่มหาปุโรหิต ต้องนำสัตว์ไปถวาย เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป พิธีกรรมการวางมือบนสัตว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดความบาป  จากมนุษย์ไปสู่สัตว์ เป็นเครื่องสัตวบูชา ให้พระเจ้า ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ มันถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วทำไมยังต้องมาถกเถียงกันเรื่องนี้ว่าทำได้ไหม? ยังต้องทำต่อไปอีกทำไม? เราควรจะผ่านเรื่องนี้กันไปได้สักทีแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ

สรุปรวมๆ เป็นลักษณะอย่างนี้  คือชาวฮีบรูในสมัยนั้น ยังคงเถียงกันในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่บางคนยังยึดติดอยู่กับการติดพิธีเดิมๆ ซึ่งผู้เขียนพยายามที่จะบอกว่า 2 เรื่องนี้ มันอยู่ในเรื่องเดียวกันไม่ได้ มันจะเอามาผสมกันไม่ได้ ถ้าเราเชื่อในความรอดที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูทำให้เราแล้ว เราก็ต้องหยุดในเรื่องของการกระทำพิธีกรรมด้วยตัวของเราเอง ถ้าเรายังทำเพื่อตัวของเราเอง ชำระบาปให้ตัวเอง เราก็ยังบอกว่าเราไม่เชื่อพระเยซู มันไปด้วยกันไม่ได้

“การกระทำอันนำไปสู่ความตาย” แปลตรงตัว คือการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ คือการกระทำพิธีกรรมในวิหาร ซึ่งในอดีตนั้น เคยเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติให้ทำ เพื่อเล็งถึง เป็นเงาถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง ซึ่งมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์มาแล้ว ทำสำเร็จแล้ว เพราะพิธีกรรมเหล่านั้น ถ้ายังทำอยู่ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิตเลย  แม้กระทั่งในอดีตที่ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิต เพราะมันเป็นแค่เงา ที่เล็งถึงพระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  เป็นสิ่งที่ให้ชีวิตจริงๆ คือใครที่เชื่อฟังพระเยซู จะได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่จริงๆ แต่ใครที่เชื่อโมเสสสมัยอดีตนั้น พันธสัญญาเดิมนั้น และทำตามพิธีกรรมต่างๆ เอาสัตว์ไปถวาย ไม่ได้ชีวิตใหม่ ได้แค่ปกคลุมความบาป ปีต่อปีเท่านั้น ต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะมา มันเป็นอย่างนั้น เขาจึงเรียกว่าพิธีกรรมที่นำไปสู่ความตาย มันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย มันสำหรับคนที่ตายแล้ว เขาทำกัน แต่ถ้าเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่พระเยซูสามารถให้ชีวิตใหม่ได้ มีประโยชน์ เอาพระเยซูเป็นแพะ มีประโยชน์กว่าเอาสัตว์เป็นแพะ พูดง่ายๆ เมื่อเอาพระเยซูเป็นแพะ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และก็แค่เชื่อเท่านั้นว่า …

“พระเยซูเป็นแพะของฉัน รับบาปของฉันไปแล้ว”

ความเชื่อตรงนี้ ทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ แต่ถ้าเรายังไม่เชื่อ เรายังเอาสัตว์กลับไปถวายอยู่ การถวายนั้น เราไม่ได้รับชีวิต แต่เราได้รับความตาย  คือตายเหมือนเดิม ตายอยู่ที่เดิม พอเข้าใจใช่ไหม? ท่านพอมองเห็นภาพชัดไหม?

นี่คือสิ่งที่คนเขียนจดหมายไปบอกชาวฮีบรู พยายามตั้งใจที่จะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ ในฮีบรู 6:2 เราควรจะเลิก ไม่ควรมาคุยเรื่องนี้แล้ว คำสอนเรื่องบัพติศมา ก็เพราะว่าเมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สอนไปแล้วไง พวกนี้ก็ยังมานั่งคุยกันเรื่องว่า …

“บัพติศมา ก็ต้องบัพติศมาในน้ำ แบบยอห์นบัพติศโตทำ ต้องทำอีกไหม?” อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือเรื่องการวางมือ ท่านรู้ไหมว่าการวางมือ ไม่ได้หมายถึงการวางมือรักษาโรค การวางมือ คือการที่ปุโรหิตในวิหาร จะทำพิธีในวิหาร คือเอาสัตว์ที่ผู้คน เอามาถวายให้พระเจ้า แล้วปุโรหิตเป็นตัวแทนพระเจ้า เอามือเขาวางบนสัตว์ตัวนั้น  เพื่อเป็นการแสดงว่าเอาบาปของคนที่ถวายสัตว์ มาใส่ไว้ที่สัตว์ตัวนี้ สัตว์ตัวนี้มาแบกบาปเขาไป  สมมติเป็นแพะ ก็เป็นแพะรับบาปของเขาไปปีต่อปี ครั้งต่อครั้งว่ากันไป ต้องให้อธิบายเรื่องการวางมืออีกเหรอ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอาแพะให้ปุโรหิตวางมืออีกเหรอ แล้วคุณมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นปุโรหิต คุณจะวางมือให้กับประชาชนอีกเหรอ พูดตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ตัวอีกเหรอ อะไรประมาณนั้น นี่ใส่อารมณ์เอง ในฐานะที่ถ้าเป็นคนสอน ถ้าเป็นนิสัยเปาโล … เปาโล เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แบบหงุดหงิดมากเลย อะไรที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย  อาจารย์เปาโลจะโมโหมากเลย ไม่ใช่คนใจร้ายนะ เป็นคนที่ปกป้องข่าวประเสริฐอย่างดีมาก อย่ามาแตะต้องข่าวประเสริฐนะ โวยวายทันทีเลย

ต่อไปเรื่องอะไร? เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะว่ายังมีปุโรหิตและคนที่เป็นผู้นำทางศาสนา ที่เรียนเรื่องศาสนาเยอะๆ สูงๆ อย่างน้อย 2 พวก คือพวกฟาริสีที่เรารู้จักกันดี และพวกสะดูสี พวกสะดูสีเขาไม่เชื่อเรื่องเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย นี่เป็นส่วนหนึ่งของข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย รับไม่ได้ ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย  แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเริ่มต้นในการสอนแล้ว อยู่ในส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพื้นฐาน ยังต้องมาสอนกันเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ

เรื่องการพิพากษาลงโทษ ก็เหมือนกัน พระเจ้าจะทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป หมายถึงการพิพากษาลงโทษ ก็คือไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ แค่นั้นเอง ไม่ต้องเถียงอะไรมากเลย ถ้าไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ จบ เพราะพระเจ้าประทานความชอบธรรม คือเป็นคนถูกต้อง โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรที่พระองค์ทรงประทานให้เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรมาก็ตาม ไม่มีประโยชน์เลย

ในนี้สุดท้าย บอกว่า “และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะดำเนินต่อไป” หมายถึงตามน้ำพระทัยพระเจ้าว่าถ้าเผื่อเราหยุด เลิกมานั่งเถียงกันเรื่องเก่าๆ จบไปสักทีหนึ่ง และถ้าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้เจริญเติบโตไปด้วยกัน เรียนเรื่องมาเชื่อพระเจ้า แล้วเป็นลูกพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร? สวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมให้ว่าเป็นอย่างไร? เรามีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? พระเจ้าประทานอะไรให้บ้างในวิญญาณ ของประทานในวิญญาณพระเจ้ามีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา บริสุทธิ์ สะอาดเป็นอย่างไร? มันโตขึ้นไป เจริญเติบโตในโลกนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เตรียมไว้ให้กับเราอย่างไรบ้าง? เราควรทำอะไรบ้างบนโลกใบนี้ เราควรมองไปที่สวรรค์อย่างไร? สวรรค์เตรียมอะไรไว้บ้าง? ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ก็มี เปาโลบอก สิ่งเหล่านี้ ควรจะมาเรียน โตแล้ว มานั่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น พื้นฐานของความเชื่อ ท่านพอเข้าใจไหม?  นี่แหละ ทั้งหมดที่อ่านมาตะกี้นี้ คือความหมายของบทที่ 6 ข้อ 1-3 เรามาอ่านต่อ

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง ไข่มุกเม็ดงาม เจอไข่มุกเม็ดงาม อยากได้ไหม? อยากได้ ต้องกลับไป ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่าง  แล้วก็มาซื้อไข่มุกเม็ดงามนี้ ท่านพอมองเห็นภาพว่าเราอ่านดู เราเข้าใจเขาเหล่านั้น  มันยากมากสำหรับคนที่มีตำแหน่งเยอะๆ พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เข้าแผ่นดินสวรรค์ยาก ไม่ใช่เข้าไม่ได้นะ เข้ายาก เหมือนเอาอูฐรอดรูเข็ม ไม่ได้หมายถึงรูเข็มจริงๆ นะ เอาเข้าไม่ได้อยู่แล้ว รูเข็ม หมายถึงประตูของเมือง เราดูในหนัง มันจะมีประตูใหญ่ๆ ปกติเขาปิด เขาไม่ได้เปิดไว้ ไม่มีใครเข้า ถ้าคนเข้าออกธรรมดา ก็เปิดประตูเล็ก คราวนี้คนค้าขายสมัยก่อนมา ก็เอารถเบนซ์ ซึ่งสมัยก่อนก็คืออูฐ แทนที่จะเอาลามา เอาอูฐมา มันเข้าไม่ได้ เพราะมันมีโหนกสูง เวลาจะเอามาแบกของข้างหลัง มันต้องช่วยกัน ทำให้อูฐมันย่อขา กดมันลงไป  หัวมันสูงกว่าตัวมัน พยายามกด ช่วยกัน เข้าได้ไหม? เข้าได้ แต่มันยากกว่าตัวอื่นๆ ทั่วไป

ดังนั้น คนเหล่านี้ เข้ายากกว่า เขามีตำแหน่ง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงอยู่ มีทรัพย์สมบัติอยู่ เข้ายากไง มีปุโรหิตหลายคนที่ชนะสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ยอมทิ้งเหล่านั้น แล้วก็มาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้  ยกตัวอย่างเช่นเปาโล เป็นต้น แล้วยังมีปุโรหิตอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ผมจะพาท่านไปดู เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ว่าคนเหล่านั้น ต้องมาเชื่อพระเยซูด้วยวิธีใด? อย่างไร? และสิ่งเหล่านี้ เอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราปัจจุบันได้ว่าถ้าเราจะเชื่อพระเยซู มันต้องหัวเด็ดตีนขาด คือเหมือนเพลงที่เราร้องกันเล่นๆ แต่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ที่ว่าร้องเล่นๆ เพราะเราไม่ได้ให้ความลึกซึ้งกับมัน เช่นเวลารับบัพติศมาในน้ำ แล้วเราร้องเพลงว่าอะไรนะ?

“ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย        ไม่หันกลับเลย”

เราร้องไป เหมือนเราร้องไปปากเปล่าๆ ท่านตัดสินใจ หมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่หันกลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเดินต่อไป และถ้าคนทำอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ในอนาคต ไม่หันกลับเลย แต่หลายคนไปยังไม่ทันเกิดใหม่เลย กลับ เพราะกลับไปบ้าน เจอการข่มเหงรังแก กลับไปในสังคมแบบเดิม กลับไปที่ที่ทำงานเดิม ที่ทำงานก็รับเราไม่ได้ หรือเรารับเขาไม่ได้ ในที่สุด เราต้องเลือก จะเอาสังคม ชื่อเสียง เพื่อนฝูง ในอดีต หรือจะเอาไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง นี่แหละเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สรุปตรงนี้สั้นๆ ว่าพระคุณพระเจ้าให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระเราให้พ้นจากความบาป บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นทันทีทันใด เมื่อข่าวดีมันไหลลงไปในวิญญาณของคนใดคนหนึ่ง และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ ปิ๊ง ออกมาในขณะนั้น ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้เป็นอย่างนั้นทันที เป็นลูกพระเจ้าที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ทันทีที่พระคัมภีร์เรียกว่าท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิธีที่ให้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ก็เพียงแค่รักษาข่าวประเสริฐนี้ไว้ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะไหลทิ้ง หรือลึกลงไปเมื่อไร? ตอนไหน? ไม่ต้องสนใจ สนใจแค่ …

“ฉันจะรักษาไว้ รักษาไปเรื่อยๆ ฉันจะไม่ทอดทิ้งเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะต่อต้าน ฉันจะรักษาไว้”นล็น

มันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร?

หลับๆ ตื่นๆ แล้วเมล็ดนั้น มันก็ออกมาเป็นต้นไม้ เขาเรียกว่าต้นแห่งความรอด

นี่เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าอย่างเดียว แล้วเฉยๆ รับข่าวประเสริฐไว้ แล้วรอ แค่นั้นเอง เมื่อเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้วยิ่งง่ายเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย พระคัมภีร์บอกอะไร? คนที่รักษาข่าวประเสริฐ จนกระทั่งได้เกิดใหม่ในวิญญาณ จนกระทั่งได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เป็นอย่างไร? ท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้แล้ว ท่านจะตื่นเต้นมาก

“ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเยซูบอกแล้วจริงๆ”

ในนี้พูดถึง “เรา” คือพูดถึงท่าน และผม และใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู รับข่าวดีพระเยซู จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโรม 8:31-39

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถึงช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงแบ่งปันถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณของเรา พระเยซูบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านมีสุข ไม่ถูกหลอกลวง และความจริงมาจากพระเยซู มาจากถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง

วันนี้ ก็จะเป็นตอนของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลก และได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม จะพุ่งไปประเด็นสำคัญตรงนี้ คือในพันธสัญญาเดิม ตรงที่ว่าข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สร้างโลก แต่ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะค่อยๆ เปิดเผยออกมา ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ หรือ “Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะให้อะไรเกิดขึ้นในอนาคต รอจนกระทั่ง พระเยซูมาทำให้สำเร็จนั่นเอง

“Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เป็นผู้ที่จะพูดข่าวสารที่พระองค์จะบอกกับมนุษย์ ให้คนนั้นพูดออกมา เรียกว่าเผยพระวจนะ พูดอนาคตว่าพระเจ้าจะทำอะไรบ้าง?  พระเยซูคริสต์จะมาเป็นอย่างไร? มาช่วยอย่างไร?  บอกเป็นแผนการลับ อยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด

พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ก็จะมาเน้นว่าข่าวดีที่ได้มีการบอกล่วงหน้า มีการเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา บัดนี้ เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว และถูกกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน โดยพระเยซูคริสต์

ความจริงก็คือพระคัมภีร์เล่มนี้ทั้งหมดเป็นความจริง ความจริงทำให้เป็นไท เพราะความจริงจะทำให้ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์อย่างไร? วางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างไร?  และทั้งหมดนี้ ก็คือข่าวดีที่สำเร็จ ข่าวดีที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนแล้ว พระเยซูเป็นผู้พูดเอง ประกาศว่าเราทำสำเร็จแล้ว ตามนั้นทุกประการ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็จะไม่ลบเลือนหายไป  มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จงเชื่อเถิด ถ้าใครเชื่อความจริงนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นอิสระ

สมมุติว่าคนนี้เป็นหนี้ธนาคารอยู่ ก็ยังเป็นหนี้ธนาคารเหมือนเดิม แต่วิญญาณเป็นอิสรภาพแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำพาไปลดหนี้ธนาคารทีหลัง บางคนก็บอกว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าจะได้เป็นอิสรภาพ เป็นไทสักที ติดหนี้เขา จะได้หมดสักที”

อันนี้คนละเรื่องกัน ค่อยมารับพระพรทีหลัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงข่าวดีของพระเจ้า

ถึงแม้เราจะได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของพระคัมภีร์ไปแล้ว พูดซ้ำๆ ขนาดนี้ ย้ำขนาดนี้ ไปแล้ว แต่ด้วยเนื้อหนังของเรา ร่างกาย ความคิด จิตใจเก่าๆ ของเรา ความเชื่อเก่าๆ ของเรา  และด้วยความมีจิตใต้สำนึกที่เป็นคนบาปอยู่ ยังหยั่งรากลึกในความรู้สึก ที่ไม่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกเป็นคนไม่สะอาด ไม่เหมือนในพระคัมภีร์บอกเลย พระเยซูบอกว่าไถ่ จนกระทั่งวิญญาณสะอาดหมด เรารู้สึกมันไม่สะอาดเลย ความรู้สึกในจิตใต้สำนึกนี้ มันลึกๆ ยังอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็ตาม  มันก็เลยทำให้คนเชื่อในถ้อยคำพระเจ้ายาก เราที่เป็นลูกพระเจ้า หลายอย่าง เรายังยาก แล้วคนที่ไม่รู้เลย ไม่ได้เรียนข่าวประเสริฐเลย ยิ่งเชื่อในข่าวดีนี้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจเกิดขึ้น ทางโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นว่าเชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ นะ จะได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว แล้วเชื่ออย่างไร? เกิดอย่างไร? ขนาดนิโคเดมัสยังบอกว่าเกิดอย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งเหรอ ตามพระเยซู มันยาก แต่ไม่ยาก สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้สำแดงความจริงนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ให้เรารู้ ถ้าคนนั้นสนใจจริงๆ แสวงหาพระเจ้า แสวงหาความจริง คนนั้นจะพบพระองค์ แสวงหา ก็จะพบ เคาะ ก็จะถูกเปิดให้กับเขา ขอแล้วเขาจะได้ ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ที่จะทะลุไปถึงความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซู เพื่อเขาเป็นไท เคาะบ่อยๆ เคาะตลอดเวลา ก็จะถูกเปิดให้เขา ใครที่ขอและขอตลอดเวลา ก็จะถูกประทานให้ตลอดเวลา

ใครที่แสวงหาตลอดเวลา แสวงหาไม่หยุด หาต่อเนื่อง เขาก็จะได้พบอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ นี่พูดถึงภาษาเดิม ในมัทธิว บทที่ 7 ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ ถ้าทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้เรื่อยๆ ตอนนี้เรากำลังทำอยู่เรื่อยๆ เราก็พูดแต่เรื่องนี้เรื่อยๆ พอถึงวันอาทิตย์ทีหนึ่ง เราก็มาพูดถึง บรรยายถึงถ้อยคำพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็ฟังแต่เรื่องข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรบ้าง? ฟังมาเป็นเวลา 30, 40 ปี บางคน 50 ปี ฟังมาแล้ว 5 ปี กลับบ้านก็ยังไปฟังอีก อ่านอีก ก็ฟังแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียว ท่านกำลังหาและหาต่อเนื่อง ท่านกำลังเคาะ และเคาะต่อเนื่อง ท่านกำลังขอ และขอต่อเนื่อง ขอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความจริงในสวรรค์สถาน ท่านก็จะได้รับจากพระเจ้า ต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็เจริญเติบโตขึ้น เข้าไปในความจริง ก็จะทำให้ท่านเป็นไทมากขึ้น  เอเมน

บางทีก่อนนอน ผมก็คิดตรงนี้ พระเจ้าอยากรู้จริงๆ นานเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา  ไม่เคยหยุดอ่านพระคัมภีร์ ไม่เคยหยุดอธิษฐานขอ ไม่เคยหยุดที่จะคิดว่าอาณาจักรสวรรค์มันเป็นอย่างไร? ขนาดเดินเที่ยว เดินซื้อของ เดินไปไหน? พอเห็นป้าย เห็นอะไรต่างๆ ก็จะคิดไปแต่เรื่องสวรรค์ นี่แหละ เขาเรียกว่าไม่ยอมหยุด ที่จะแสวงหา ที่จะเคาะ ที่จะขอ เราต้องมีอุปนิสัยอย่างนี้  เราจะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พอคนมีพื้นเพของความเป็นคนบาป ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าก็จริง ก็รู้สึกตัวเองสกปรก ก็เลยมีหลายคน เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่คงพยายามที่จะขวนขวาย ทำอะไรต่อมิอะไร ด้วยตัวเอง เพิ่มเติม เพื่อให้ตัวเองรอดพ้น จากบาป เวรกรรมอีก ก็คือพระเยซูทำให้บนไม้กางเขน พระองค์บอกสำเร็จหมด เรียบร้อยแล้ว เรายังไม่พอ ขอทำอีก ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันยังไม่พอ พระองค์บอกว่าปลดปล่อยเราออกจากกฎต่างๆ เรากลับไปเพิ่มกฎอีกนิดหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าทำตามกฎ แล้วรู้สึกสบายดี รู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้น

ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูมายกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ทรงฉีกกรมธรรม์ ที่ผูกมัดเอาไว้ เอาไปตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว แต่เราก็ยังไม่วายที่จะมีคนเอากฎเกณฑ์เหล่านี้ กลับมาให้กับเราอีก หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เอากลับมาใช้อีก เอามาตั้งเป็นข้อบัญญัติของตัวเอง เป็นข้อห้ามของตัวเอง แล้วก็สอนต่อๆ กันไปจนกระทั่งวุ่นวายกันไปหมด

ยังจำได้ไหมครับว่าที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าถ้าลองไปค้นหา ในอินเตอร์เนต โดยเฉพาะในพันธุ์ทิพ กระทู้เกี่ยวกับคริสเตียนจะมีคนถามเยอะแยะไปหมดว่าคริสเตียนทำนี่ได้ไหม? ทำอย่างโน้นผิดไหม? ทำอย่างนั้นบาปไหม? แต่ก่อนยังไม่คิดมากขนาดนี้ แต่พอเป็นคริสเตียนยุ่งไปหมดเลย

อย่างเช่น ไปร่วมงานบวชได้ไหม? ไปร่วมงานศพได้ไหม? ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม? ไม่ออกไปประกาศกับเขาได้ไหม? ไม่ถวายสิบลด ผิดไหม? ต้องกลายเป็นคริสเตียนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง และมากกว่าเก่าด้วย แทนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จะหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเจ้าบอก ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ ก็เลยกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะยังต้องแบกภาระหนักต่อไป และหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

หัวข้อบรรยายวันนี้ คือ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกเป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพ รอดพ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว วิญญาณเราเป็นไทอย่างแท้จริง  นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกนี้ ที่เรายังไม่เป็นไท อย่างเช่น เป็นหนี้ธนาคารอยู่ หรือถูกจองจำอยู่ เพราะเราทำผิดกฎหมาย คนละเรื่องกัน

เราเป็นไทแล้วในฝ่ายวิญญาณจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังสามารถทำให้ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพและเป็นไทได้ด้วยจริงๆ แต่เวลาดำเนินชีวิต เราไม่เห็นดำเนินตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราพูดเลย เราไม่อิสระ ทำอันนี้ เราก็กลัว เราทำอันนั้น เรายังกลัวอยู่เลย นั่นแหละ เราเป็นคนเลือกว่าเราจะเป็นอิสระตามถ้อยคำพระเจ้า หรือเราจะไม่เป็นอิสระ เราจะยังอยู่ในบทบัญญัติ กฎหมาย หรือว่าอยู่ในที่จองจำต่อไป มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เรามีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเราเอง อย่างเช่นคอยหวาดระแวง เป็นกังวลว่าอันโน้นทำได้ไหม? อันนี้ทำได้ไหม? กลัวจะสูญเสียความรอดไป พอมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ ได้รับความรอด จากนั้นอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวลหนักกว่าเก่าอีก เพราะกลัวจะเสียความรอด

ก่อนมาเชื่อพระเยซู ทุกข์แค่ว่าเวรกรรมเมื่อไรจะใช้หมด ตอนนี้ทุกข์ 2 แห่ง ก็คือเชื่อพระเยซูแล้ว เชื่อว่าบาปเวรกรรมตัวเองก็ยังไม่หมด ต้องทำด้วยตัวเองไม่พอ ความรอดที่พระเยซูเคยให้มา ที่เชื่อว่าพระเยซูให้แล้ว ทำอันนี้ เดี๋ยวมันจะหายไปไหม? ยิ่งกลัวดับเบิ้ลกลัว นี่คือความกังวลซ้อนกังวล ที่อยู่ในจิตใจของลูกพระเจ้า ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน  ที่ยังไม่รู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่รู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอย่างลึกๆ ว่ามันคืออะไร? กังวลว่าจะสูญเสียความรอดไป มีบางท่านมาปรึกษาผม เครียดมากเลย

“ช่วยอธิษฐานให้หนูหน่อย”

“เป็นอะไร?”

“หนูกังวลมากเลย นอนไม่หลับทุกคืน  อธิษฐาน ดึกดื่น”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“คือหนูกลัวว่าหนูจะตกนรก”

“แล้วหนูไปทำอะไรมา”

“ไม่ได้ทำอะไร? หนูรู้สึกว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปทำอะไร? ที่จะทำให้หนูผิดสัญญากับพระเยซู กลัวตกนรก หนูเลยเครียด ทำให้นอนไม่หลับ”

“แล้วไปทำอะไรหรือยัง?”

“ยัง แต่กลัวจะไปทำ”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงอยากจะเล่าให้ฟังว่าเวลาเราไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร แต่คนเป็น มันเครียดจริงๆ นอนไม่หลับเลย ไม่ใช่คนเดียว หลายคนเหมือนกัน เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรื่องนี้

ทุกเรื่องในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พระเจ้าแนะนำ สอน เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ถูกในทุกพื้นที่ชีวิตว่าอะไรควรทำ? อะไรไม่ควรทำอย่างมีอิสรภาพ เราจะไม่ต้องไปวุ่นวายมากมาย เพราะเรามีฐานมั่นคง หลักการจากพระเจ้านำเรา

ยกตัวอย่างเช่น จะทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทำได้ไหม? ผมต้องใส่คำนี้ว่า “จะทำพิธีอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ” ก็คือทำอะไรที่เล็งไปถึงโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ก็คือ …

การไปดูหมอดู ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ

การถือโหราศาสตร์ ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

การไปเข้าเจ้าเข้าทรงก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าทำอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ทำได้ไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่บ้านยังมีการไหว้ตามเทศกาลต่างๆ จะร่วมทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

ไปร่วมงานศพได้ไหม? แค่เรื่องงานศพนะ กระทู้ที่มีคนตั้งคำถามว่าคริสเตียนไปร่วมงานศพ ที่วัดได้ไหม? ปรากฎว่ามีคนช่วยกันตอบเยอะแยะมากมาย มีตั้งแต่บอกอย่างนี้ว่าไปไม่ได้ อีกคนหนึ่งมาตอบว่าไปได้ แต่ไม่เข้าร่วมพิธี อีกคนบอก แค่ไปให้เจ้าภาพเห็นหน้าเฉยๆ ก็พอ ไปร่วมได้ แต่ห้ามกราบศพ … กราบศพ ก็ได้ แต่ห้ามจุดธูป จุดธูป ก็ได้ แต่อย่าเกิน 2 ดอก นี่มันถูกจองจำชัดๆ หนักกว่าเดิม

ซื้อล๊อตเตอร์รี่ได้ไหม?  บางคนก็บอกซื้อไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูตรัสว่า …

“จงระวังเว้นเสียจากความโลภทุกชนิด ระวังห่างจากความโลภทุกชนิด”

เพราะฉะนั้น สรุปซื้อล๊อตเตอร์รี่ไม่ได้ ซึ่งเอาว่ากันตามจริงๆ ไม่ต้องซื้อล๊อตเตอร์รี่หรอก ก็สามารถโลภได้เหมือนกัน ถวายเงินให้โบสถ์ โลภได้ไหม? ได้ ไม่ว่าจะซื้อล๊อตเตอร์รี่หรือถวายทรัพย์ ก็โลภได้เท่ากัน ถ้าจะโลภ ไม่ได้อยู่ที่ล๊อตเตอร์รี่ ไม่ได้อยู่ที่ถวายทรัพย์

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจในพื้นฐานของคำสอน ความจริงในพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง เราก็จะสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้หมด

พื้นฐานของคำตอบที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีบันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 10:23 ที่ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันนิดหนึ่ง เรามาดู …

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ในสมัยพันธสัญญาเดิม เป็นบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืน ถูกลงโทษ ที่เรียกว่ากฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือตอนที่พระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังที่พระเยซูได้ Tetelestai ได้ทำสำเร็จ การงานของพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว คือทำให้พันธสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ ตามที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนหน้าโน้น กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ถูกลบล้างไปแล้ว กลายมาเป็นยุคกฎแห่งพระคุณ คือให้เปล่าๆ นี่คือหลักการ ซึ่งในยุคแห่งพระคุณนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้กฎเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ต้องทำ”  ไม่มีคำว่า “ห้ามทำ” มิฉะนั้น จะถูกลงโทษ ไม่อีกแล้ว แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกสำเร็จแล้วเท่านั้น ทำด้วยความรัก ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว และด้วยความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ นี่คือหลักการ อิสรภาพอยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีทุกคน หรือเรียกว่าคริสเตียนทุกคน สามารถทำอะไรก็ได้ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นผู้ช่วยให้รอด และกระทำทุกสิ่งด้วยความรักแท้จริง จากวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน ด้วยความเชื่อ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ ตามพระคัมภีร์บอก เป็นวิญญาณของความรักแท้ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา ที่เสียสละเหมือนพระเยซูนั่นแหละ ถ้าทำจากตรงนั้น มันถูกหมด ได้หมด เอเมน

นี่คือความหมายที่บอกว่าเมื่อพระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เราก็ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทแล้วจริงๆ ตรงวิญญาณข้างในเรา เรารู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเรากำลังทำด้วยความรักแท้จริง  ไม่เห็นแก่ตัว คำตอบที่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่? เราไม่ได้ตอบจากกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับใดๆ เรารู้จากข้างในวิญญาณเรา ขณะที่ทำ เพราะฉะนั้น อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่วิญญาณข้างในมันไม่เปลี่ยน เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ต่างกันเยอะ จากนี้ต่อไปอีกพันปีก็ต่างกันเยอะ แต่พื้นฐานพระเยซูทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพ โดยวิญญาณ ที่ไม้กางเขนนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะฉะนั้น ใช้ฐานนี้ สามารถใช้ได้ทุกเรื่องทุกราว ถูกหมด เอเมน

มีข้อหนึ่งที่จะให้ท่านเห็นว่ากฎเกณฑ์ ฐานที่ท่านควรจะเอาไปเทียบกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การมีอิสรภาพทางวิญญาณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? คือในหนังสือกาลาเทีย 5:13-15

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน

 

ท่านต้องเอาฐาน 2 ข้อนี้ไปดูบ่อยๆ ว่ามันคืออะไร? ฐานนี้จะทำให้ท่านไปไหนก็ได้ ไม่ต้องถามใครแล้วว่าตรงนี้ทำได้ไหม? เป็นงานศพได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? ไปอะไรได้ไหม?  ท่านจะรู้จากข้างในว่าอยู่ในเกณฑ์นี้ไหม? อยู่ในเกณฑ์อิสรภาพแบบนี้ไหม? ท่านมีอิสรภาพ อิสรภาพท่านอยู่ในเกณฑ์แบบผู้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นอิสรภาพจริงๆ จากกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางวิญญาณ ในวิญญาณของเราที่มันเปลี่ยนไป หลุดพ้นด้วยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น เราจึงมีอิสรภาพ ไม่ใช่ด้วยวิธีอะไรอื่นๆ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ หรือวิธีไปพยายามว่ามันถูกไหม? มันได้ไหม? อย่างนี้มันทำได้ไหม? ไม่ใช่ แต่ด้วยอิสรภาพทางวิญญาณ ท่านรู้จริงๆ ทางโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ในพระคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ท่านเป็นอิสรภาพแล้ว ก่อนจะเชื่อพระเยซู วิญญาณเราอยู่ในที่จองจำ พระคัมภีร์บอกว่าเหมือนอยู่ในคุก พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ มีฤทธิ์ขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา คือพระเจ้าทำให้วิญญาณที่เราตายไปแล้วนั้น มันเกิดใหม่ หลุดออกมาจากคุก กลายเป็นอิสรภาพ มีเสรีภาพ เหมือนคนที่ติดคุกอยู่ แล้วออกจากคุกมา อย่างนั้นเลยในโลกวิญญาณ ท่านต้องเห็นภาพนั้นให้ได้ว่าในวิญญาณท่านเป็นอะไรตอนนี้

ความรอดจากบาป การออกจากที่จองจำในโลกวิญญาณ มันจะเกิดขึ้นได้ทางเดียวเท่านั้น คือโดยทางความเชื่อในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่เท่านั้น มันถึงจะเป็นอิสระได้ เชื่อในข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1 คนนั้น เริ่มได้ยินข่าวดี มีคนมาพูดถึงข่าวดี ไม่ว่าจะเป็นทางไหน? จะอ่านเอาเอง จะฟัง จะมีคนมาบอก ฟังจากวิทยุ ฟังจากทีวี อ่านหนังสือด้วยตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์ มันมีข้อมูลข่าวสาร ข่าวดีของพระเยซูเข้ามาหาคนนั้น

ขั้นตอนที่ 2 คนนั้น ไม่ปฏิเสธข่าวดีนี้ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ เริ่มต้นเชื่อ และเก็บรักษาความเชื่อ ข่าวดีไว้ในใจ

ขั้นตอนที่ 3 คนนั้น เก็บเอาไว้ จนกระทั่งความเชื่อที่เขาเก็บเอาไว้ และเริ่มต้นได้รับมา มันดิ่งลงไปในวิญญาณ ดิ่งลงไปในใจลึกๆ สำแดงออกมาเป็นการเนรมิต เรียกว่าครีเอชั่น เรียกว่าเหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลก คล้ายๆ อย่างนั้น คือเกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ กลายเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งตามพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้อย่างนั้น

โรม 10:9-10 “9 ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

เมื่อท่านเริ่มรับเชื่อ รักษามันไว้ให้ดีๆ เก็บเมล็ดพันธุ์นั้น ที่มีคนหว่านมาทางวิญญาณ แล้วก็บ่มมันไว้ ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากอะไร ก็จะเก็บไว้ ไม่เข้าใจ มีคนว่าก็จะเก็บไว้ มีคนบอกไอ้โง่ ก็จะเก็บไว้ ยังไม่ได้ตามที่อยากได้ ก็เก็บอยู่ ไม่ทิ้ง วันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ข่าวดีมาจากพระเจ้าแน่นอน ถ้าท่านไม่ทิ้งมัน เกิดผลแน่นอน มันก็จะเกิดเป็นการเกิดใหม่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเริ่มต้นรับรู้เมื่อไร? พอจะจำได้บ้าง? แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ วันที่เมล็ดนี้งอกทางวิญญาณ เปรี้ยงขึ้นมา เป็นต้นไม้นี้  วันที่ใบเล็กๆ มันโผล่มา ไม่รู้ว่ามันเป็นเมื่อไร? แต่นี่มันชัดเจน

และเมื่อบังเกิด 3 ขั้นตอนนี้  เกิดขึ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านก็จะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป  ไม่มีเปลี่ยนกลับไปกลับมาอีกแล้ว ตามพระคัมภีร์เลย

ตัวอย่าง โต๋เป็นลูกผม เพราะเกิดมาเป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาไปทำอะไรมา ถึงมาเป็นลูกเรา เราเตือนเขาว่าอย่าไปเล่นตรงกองไม้ กำลังซ่อมแซมบ้าน มีตะปูระวัง เดี๋ยวมันจะทิ่มเท้า เราบอกอย่าไปนะ แล้วเขาก็ไม่เชื่อฟัง เขาก็ไปเหยียบตะปู เลือดไหล ทันทีทันใด เรากลับมา เลยบอกว่าเลิก ไม่ต้องเป็นลูกแล้ว เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เขาก็เจ็บปวดไป แต่เขาก็ยังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรตัดเขาออกจากการเป็นลูกของเราได้เลย ต่อให้เขาทำมากกว่านั้น เขาก็ยังเป็นลูกเรา

ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ที่เขาไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวมากขึ้น  ลำบากมากขึ้นในชีวิตของเขานั่นเอง

พระคุณ คือการให้เปล่าๆ ให้ด้วยความรักแท้จริง เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  เกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยการกระทำของเราหรือ? ไม่ใช่ ด้วยพระคุณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยการกระทำสิ่งใดๆ เลย เราได้มาเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่เป็นคนดี มาตลอดชีวิตเรา พระเจ้าจึง เรียกเรามาเป็นลูกพระองค์ เปล่าเลย พระเยซูตายตั้งแต่เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย เราก็สกปรกเท่ากับคนอื่นเขาทั่วๆ ไป พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีบาปน้อย บาปมาก ทุกคนเป็นคนบาปเท่ากันหมด พระเยซูตายเพื่อคนบาป ตายเพื่อเรา ฉันใดฉันนั้น การกระทำสิ่งใดๆ ก็ไม่สามารถให้เราขาดจากการเป็นลูกของพระเจ้า แม้แต่นิดเดียว มันจึงไม่มีการกลับไปกลับมา ถ้าเกิดใหม่ ท่านก็เกิดใหม่ ไม่เกิดใหม่ ก็คือไม่เกิดใหม่ พระเจ้าเองได้ตรัสเสมอว่า …

“พระคุณ ความรักของพระองค์ใหญ่หลวง และไม่มีวันสิ้นสุด อยู่นิรันดร์เลย” เอเมน ฮาเลลูยา

พูดทั้งเล่มเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่า บอกล่วงหน้า พระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นคนบาปนั้น อยู่นิรันดร์กาล ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพระคุณไม่มีวันสิ้นสุด การเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าบาปอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? จะแดงเหมือนเลือดนกขนาดไหน ก็ตาม? ที่พูดนี้มาจากพระคัมภีร์ทั้งนั้น  พระคุณของพระเจ้า ที่สำแดงผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ก็สามารถชำระล้างได้ ให้ขาวเหมือนหิมะ

นี่คือพื้นฐาน พระคัมภีร์บอกว่าบาปทั้งปวง ทั้งหมดของมนุษยชาติ อภัยให้หมดแล้วที่ไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์เป็นอิสรภาพจากบาปแล้ว แต่ว่ามีบาปอีกชนิดหนึ่ง เป็นชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถได้รับการอภัย บาปที่ร้ายแรงที่สุด อันตรายที่สุด นั่นก็คือบาปแห่งการไม่เชื่อข่าวดี ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ความหมาย ก็คือไม่เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ไม่เชื่อในพระคุณของพระเจ้า นี่คือบาปอันเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอันนี้ ทำให้ตาย ร้ายแรงที่สุด คือปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเยซู

ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ฮีบรู 6:4-6  ก่อนอ่านเรื่องนี้ เล่าให้ฟังถึงภูมิหลังของจดหมายที่ได้เขียนถึงชาวยิวเหล่านี้ มันเป็นลักษณะอย่างไร?  คือฮีบรู เป็นหนังสือสอนข่าวประเสริฐให้กับชาวยิว  ชาวยิวคุ้นเคยกับพระเจ้ามากเลย จดหมายนี้เขียนไปถึงชาวยิว 3 ประเภท

ประเภทที่ 1 ยิวที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว คำว่าเป็นคริสเตียน ผมหมายถึงเป็นจริงๆ เชื่อ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกพระเจ้าตลอดไปเลย

ประเภทที่ 2 ยิวที่กำลังเริ่มต้นรับรู้ความจริงเรื่องพระเยซู กำลังเสาะแสวงหาพระเยซู กำลังเรียนรู้พระเยซู ยอมรับในข่าวดีของพระเยซู แต่มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่ถึงเวลานั้น กำลังดูๆ อยู่ เอาอย่างไรดี ถูกเขาว่ามาอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องกลับไปทำพิธีถวายสัตว์ ถ้าไม่ทำ พ่อแม่ก็ไม่ยอม ไม่ถวาย เอาเลือดไปที่วิหาร ฟาริสีที่รู้จักกัน ปุโรหิตที่รู้จักกัน ก็มาดุว่าหลุดจากพันธสัญญาเก่าไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็กลัวๆ กล้าๆ แต่ขณะเดียวกัน ข่าวประเสริฐก็ถูกดี เพื่อนเรายังเชื่อเลย  แล้วเราเห็นพระเยซูเดินต่อหน้า พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราเห็นพระเยซูทำอัศจรรย์ เรียกคนตายให้ฟื้น พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วที่ทำในอดีตเล็งถึงพระองค์ น่าเชื่อถือ กลับมาถึงบ้านปุ๊บ มาเจอพ่อแม่หัวเก่า บอกว่า …

“ทำอย่างนี้เธอตกนรกแน่ เธอต้องไปขอขมาต่อพระเจ้า ทำไม่ได้”

มันยุ่งไปหมดเลย ก็เลยกล้ำๆ กลึ่งๆ จะไปทางไหนดี ไปนั้นดี ไปนี้ดี ก็เลยยังไม่ดิ่งลงไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งวันสะบาโต บางคนก็ไม่ต้องแอบ บางคนต้องแอบมานะ เดี๋ยวญาติพี่น้อง ฟาริสีที่รู้จักกัน หรือคนที่ต่อต้านพระเยซู เขาจะข่มเหง เขาจะว่ากล่าว ดุอะไรต่างๆ ก็ว่าไป ต้องแอบเข้ามาสู่ที่ชุมนุม … “ที่ชุมนุม” คืออะไร? มันไม่ใช่โบสถ์นะ มันคือที่ประชุมของคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ และจะมีคนที่เชื่อในข่าวดีนี้  มาสอน แบบในหนังสือฮีบรู คล้ายๆ กับมีเปาโลมาสอนให้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ว่าพระเยซู คือใคร? พระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนอย่างไร? โมเสสเล็งให้เห็นถึงพระเยซูทั้งสิ้น การกระทำในอดีต ในบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าสั่งไว้นั้น  ทำให้เล็งเห็นถึงว่าพระเยซูจะเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และทำให้สำเร็จ เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราก็ไม่กลับไปทำอย่างนั้น อีกต่อไป พวกนี้ก็ต้องแอบไปฟัง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

พอฟังเสร็จ ก็ต้องกลับมาอยู่ท่ามกลางบรรดายิวทั้งหลาย ที่ยังปฏิเสธพระเยซูอยู่ ท่านพอเห็นไหม? หลายคนก็ยังไม่ตัดสินใจแน่นอน ยังรอวันที่เมล็ดพันธุ์ข่าวประเสริฐ จะเป็นผลขึ้นมา คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็เป็นพวกที่สอง

ประเภทที่ 3 คือพวกที่เป็นยิว และยังปฏิเสธพระเยซู เป็นยิวกลุ่มเดียวกับที่ใส่ร้ายพระเยซู ให้จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะหาว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าพระเยซู อ้างตัวเองว่าเป็นลูกพระเจ้า ปฏิเสธเด็ดขาด 100% ไม่สนใจข่าวประเสริฐด้วย

เพราะฉะนั้น จดหมายนี้เขียนไปถึง 3 พวกนี้ ที่เป็นยิวทั้งหมด ใต้พื้นฐานเดียวกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ศาสนายิวเก่าทั้งสิ้น พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? ดูสิว่าในนี้ คนที่เขียนไป เขาเตือนไว้ว่าอย่างไร? ฮีบรู 6:4-6 …

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

อันนี้เขียนไปถึงพวกที่ 2 พวกที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่ยังไม่ตัดสินใจจริงๆ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ จนบังเกิดใหม่ บางคนในนี้อาจจะเห็นพระเยซูเดิน และเดินกับพระเยซู วันที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ จริงๆ เลย เห็นกับตา เห็นเปโตรเรียกคนง่อยลุกขึ้นยืน ที่หน้าวิหาร เห็นพระวิญญาณลงมาในวันเพ็นเตคอส สาวกพูดภาษาต่างประเทศได้ โดยที่ไม่ได้เรียนมา พูดภาษาตุรกี ภาษาฮีบรู ทั้งที่ไม่ใช่คนฮีบรู พูดภาษากรีก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนกรีก พูดคล่องเลย อัศจรรย์ทั้งนั้น คนเหล่านี้เห็นหมด ผู้ที่เคยลิ้มรสเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า  และอนุภาพของยุคหน้า คือรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเยซูอาจจะเป็นผู้พูดเองเลยก็ตาม ผมจะพูดให้ท่านฟังว่ายังอยู่ในสมัยของบางคนที่อายุยืน ยังอยู่ตรงนั้น เขาอาจจะได้ยิน หรือได้ยินจากอัครสาวกรุ่นแรกๆ หรือเขาอาจจะได้เห็นก็ตาม แต่เนื่องจาก อย่างที่บอก กลับมาที่บ้าน กลับมาที่สังคมเดิม หลายสิ่งหลายอย่างมันสู้กันจนกระทั่งเขาตัดสินใจยังไม่ถูก ไม่ใช่ไม่เอา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี? ในนี้เตือน หากยังเตลิดไป ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว ก็เท่ากับไม่เชื่อพระเยซู กลับไปที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องนำสัตว์ ไปให้ปุโรหิต และฆ่าถวายพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับตัวเอง ที่ทำประจำมา แต่ก่อนนี้ตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ปีนี้ก็ต้องทำนะ ในใจก็บอก …

“เอ๊! เราก็ได้ยินว่าพระเยซูชำระเราพ้นบาปให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว” เข้าใจใช่ไหม? แต่ในความคิด เขาบอกว่า …

“มันจะจริงเหรอ!”

สรุปแล้ว ก็คืออาจจะไม่จริงก็ได้  เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองสิ ก็คนข้างๆ พ่อแม่เราเอ่ย หรือปุโรหิต ก็บอกเราว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง เราต้องเชื่อและรักษาบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ก็เลยทำ ทำด้วยจิตใต้สำนึกที่ต้องการ เพื่อชำระบาปตัวเอง

ฟังให้ดีๆ ทำเพื่อต้องการชำระบาปของตนเอง ให้มันหมด ทั้งๆ ที่ข่าวประเสริฐบอกว่าพระเยซูชำระให้หมดแล้ว เหมือนเอาพระเยซูไปตรึงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระเยซูได้รับความอับอาย เมื่อพระเยซูบอกว่าเราได้ไถ่บาปเจ้าหมดแล้ว เรากำลังบอกว่าไม่จริงหรอก ยังไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้น เราต้องไปทำเอง เขาเรียกตบหน้าพระเยซูอย่างแรง คือพระเยซูพูดโกหก ไม่ได้เป็นพวกพระเยซู เป็นศัตรูต่อพระเยซู เป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐ

ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นชัดเองว่าสิ่งเหล่านี้ มันจึงเกิดขึ้นได้จากคนที่มารับข่าวประเสริฐแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี อาจจะถูกทางโลกผลักดัน จนกระทั่งในที่สุดทิ้งข่าวประเสริฐ เตลิดไป ก็จะไม่มีอะไรช่วยเขาได้แล้ว เป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุด คุณปฏิเสธพระเยซู ปฏิเสธพระคุณ ก็จะไม่มีใครมาช่วยแล้ว

มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับโฮลี่ เมื่อหลายปีก่อน คนที่อยู่ที่นี่หลายคน ก็เป็นคนที่รักษาเมล็ดพันธุ์นี้ไว้ จนกระทั่งเกิดผล เป็นลูกพระเจ้า จนมาถึงทุกวันนี้ แต่ละคนที่เห็นอัศจรรย์พระเจ้า เห็นการวางมืออธิษฐาน การหายป่วยอย่างอัศจรรย์ ได้รับอัศจรรย์อย่างเยอะแยะ แล้วก็เตลิดไปในที่สุด ไปเจอสังคมทางโลก ข้อบังคับทางโลก ในที่สุดทิ้งพระเยซูไป ก็เยอะ ทั้งที่รับข่าว และก็เห็นกับตาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอะไร? เมื่อหลายปี หลายคนที่นี่ ก็ได้รับอัศจรรย์อย่างนั้น และยังอยู่จนเกิดใหม่ หลายคนที่ได้รับแล้ว ไปเลย ก็มี หลายคนมาไม่รับ แล้วก็ไปเลย ก็มี คน 3 ประเภทเหมือนกันเลย

พระคัมภีร์จึงคอยย้ำเตือนให้เรามั่นคง ยืนอยู่ข้างพระเยซู ไม่เป็นศัตรูกับพระองค์ ถึงแม้ว่าความรู้สึก หรือตามที่ตามองเห็น จะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเรา แต่ก็จำเป็นที่ต้องยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ อยู่ในข่าวดีที่พระเยซูได้ตรัส สำเร็จแล้วให้ได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ เราเชื่อตามนั้น  ไม่ว่าคิดออกหรือไม่ออก ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะแย้งกับสถานการณ์อย่างไร?  หรือไม่ว่าคนจะพูดอย่างไรใส่หู ก็ตาม ที่มันแย้ง เราต้องยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าทั้งนั้น

อยากจะฝากข่าวสารนี้ไปถึง 3 ประเภทนี้ ก็คือ …

สำหรับพวกที่หนึ่ง ผู้ที่ปฎิเสธ ไม่ยอมรับข่าวเลย ซึ่งในพระคัมภีร์บอกอยู่ในการถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่ฟังเลย  ก็อยากขอร้องให้ท่านกลับไปคิดให้ดีๆ ให้เวลากับเรื่องนี้สักหน่อย อย่าเพิ่งทิ้งไป

สำหรับพวกที่สอง ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เริ่มต้นเชื่อ เริ่มต้นยอมรับ อยู่ในระหว่างการรับรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะบอกท่านว่าอย่าทิ้งความเชื่อในข่าวดีนี้ ที่ท่านได้รับมา อาจจะหลายวันก่อน หลายเดือนก่อน หลายปีก่อนก็ตาม มันได้เริ่มต้นไปแล้ว อย่าทิ้ง รักษาไว้ จนมันดิ่งลงไปในใจของท่าน ให้มันเกิดใหม่ จนเกิดเป็นการพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ นำไปสู่ความรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และท่านได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านจะได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทุกวันนี้ ท่านอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ

และในที่สุด สำหรับผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านไม่ไปไหนแล้ว ท่านก็อยู่ที่นี่ตลอดไป  แต่เนื่องจากเรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง มีเชื้อบาปอยู่ ก็อยากเตือนให้ท่านดำเนินชีวิต ด้วยความรัก ที่อยู่ในตัวเราที่เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพจริงๆ ในวิญญาณ อย่าตกเป็นทาสอะไรอีกต่อไป ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีสันติสุข มีความสงบสุข รอคอยวันข้างหน้า ด้วยความหวังเต็มล้น ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์ในสวรรค์สถาน คนที่เป็นลูกพระเจ้า จะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำความดีให้ที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ ภายใต้พระคุณ และการถ่อมใจ … ถ่อมใจว่าที่ได้รับความรอดนี้ ไม่ใช่เพราะทำดี แต่เป็นเพราะพระคุณ ยิ่งทำดีมากเท่าไร? ต้องยิ่งถ่อมใจ เพราะทำดีไปเรื่อยๆ กลายเป็นหยิ่งยโส นึกว่ารอด เพราะว่าฉันเป็นคนดี อันนี้เสร็จอีกแล้ว กลับไป มันไม่ได้กลับไปที่เดิมนะ แต่มันทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้พระพรเต็มที่ โดยเฉพาะคนที่กำลังศึกษา ยังไม่ได้เกิดเป็นลูกพระเจ้า ก็อาจกลายเป็นหลุดไปเลย ไปสู่ความเชื่ออีกแบบหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ให้เชื่อและมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของเราเอง เราทำดี เพราะเราเป็นลูกแล้ว ไม่ใช่ทำดี เพราะเราอยากเป็นลูก เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************