คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 11 “ของหายได้คืน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กุมภาพันธ์  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 11 “ของหายได้คืน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องอุปมา คำสอนของพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 11 สรุปประเด็นสั้นๆ ของตอนที่แล้วก่อน อุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราเรียนกันไปครั้งที่แล้ว เป็นเรื่องคนงานที่รับจ้างทำงานที่สวนองุ่น และได้รับค่าแรง 1 เหรียญเท่ากันหมด ทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็ได้ 1 เหรียญ ทำงานตั้งแต่บ่าย ทำ 4 ชั่วโมง ก็ได้ 1 เหรียญ เริ่มทำงาน 5 โมงเย็น ทำงานชั่วโมงเดียว ก็ได้ 1 เหรียญ แล้วพระเยซูก็ตรัสสรุปสุดท้ายว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคำสุดท้าย หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย และไม่มีใครเป็นคนต้น ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร

ความหมายของคำว่า “คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย” ก็คือพระเยซูกำลังเล่าให้เราฟัง ถึงสภาพของสวรรค์ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคิดว่าเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นระบบของโลก สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ บนสวรรค์ทุกคนเท่ากันหมด เป็นลูก ก็เป็นลูกเท่ากัน ไม่มีใครเป็นคนแรก ไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย  ทุกคนจะได้รับรางวัลเหมือนกันหมดในสวรรค์ เพราะพระเยซูจะให้รางวัลแบบเดียวกันกับเจ้าของสวนองุ่น ในเรื่องอุปมาครั้งที่แล้ว ที่จ่ายค่าจ้างให้ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าคนนั้น จะทำดีเยอะขนาดไหน? ทำมากขนาดไหน? ก็จะได้รับเท่ากัน ไม่ว่าคนนี้จะทำขนาดไหน? คนนี้จะรักษาบัญญัติ เคร่งศาสนาขนาดไหน? ถ้าเชื่อพระเยซูก็จะได้รับเท่ากันหมด เหมือนกัน จะเชื่อมานานขนาดไหน? หรือเชื่อในวินาทีสุดท้ายของชีวิต พอขึ้นสวรรค์ได้รับรางวัลจากพระเจ้า ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ทั้งหมด ทุกคนก็จะได้เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องรู้ตรงนี้ไว้ จะได้ไม่เอ๋อ คิดว่าขึ้นสวรรค์จะได้มากกว่าคนอื่น ตกใจ เอ๋อเลยไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บางคนกะว่าได้แน่ กลายเป็นได้น้อย จริงๆ แล้วไม่มีใครได้มากกว่ากัน หรือได้น้อยกว่ากัน เพราะว่าทุกคน ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? ก็ต้องเชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่ทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อ ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องเชื่อพระเยซูทั้งนั้น ไม่ว่าจะชั่วมากหรือชั่วน้อย ก็ต้องพึ่งพระเยซูเท่าๆ กัน คือต้องเกิดใหม่เท่าๆ กัน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใครเลย ทุกคนจึงได้รับเท่ากันหมด เอเมน

เทียบได้กับมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากครอบครัวเศรษฐี ครอบครัวยาจก เกิดมา ก็เท่ากัน เสื้อผ้ายังไม่มีเลย  เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่มีอีกแล้ว ที่บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามานาน”

หรือไม่มีคนที่รับใช้พระเจ้ามาเยอะๆ เป็นนักประกาศเยอะ พอไปสวรรค์จะได้รับรางวัลเยอะกว่า ได้ห้องที่อยู่บนสวรรค์ใหญ่กว่า ได้เสื้อผ้าที่ดีกว่า ได้นั่งใกล้พระเจ้ามากกว่า (เราหรือใครก็ตามที่คิดว่าเขาทำน้อยกว่าเรา) ใครที่เคยคิดอย่างนี้ แบบนี้ เปลี่ยนความคิดได้แล้ว พระเยซูเตือนว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นเลย ทุกคนเท่ากันหมด ส่วนจะทำอะไรนั้น พระวิญญาณจะนำท่านไปเองว่าจะเป็นนักประกาศ จะเป็นนักบรรยาย จะเป็นนักเทศน์ หรือเป็นนักฟัง หรือมาทำงานที่โบสถ์ ช่วยโบสถ์ หรืออะไรก็ตาม พระวิญญาณจะนำท่านเอง จะพาท่านไปทีละวันๆ เอเมนไหม? สบายใจหรือยัง? เพราะที่นั่งที่นี่ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำหรือเปล่า? ทำ ทำตามหน้าที่ของเรา พระเจ้าสั่งให้เราทำอะไร? เราก็ทำตามนั้นแหละ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักเทศน์หมด ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักประกาศหมด ไม่ใช่ แต่ประกาศทั้งหมดในชีวิตของเรา คือความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อ 100% นั่นเอง

มาเข้าเรื่องการบรรยายวันนี้ ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ของหาย แล้วได้คืน”  เหมือนเวลาเราไปเดินตามห้างต่างๆ เขาจะมีแผนกประกาศของหาย Lost and Found ท่านใดที่ทำกุญแจหาย มารับได้ที่ประชาสัมพันธ์ด่วน ใครเคยทำลูกหาย แหวนเพชรก็ได้ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ  ผมเคยทำลูกหาย ผมจึงเข้าใจตรงนี้ดีว่าแทนที่ประชาสัมพันธ์ของห้างเขาจะตะโกนดังๆ เขากลับพูดเบาๆ เราเงี่ยหูฟัง ประกาศอะไรๆ เพราะคนที่หาย ทุกข์ใจจริงๆ เพราะว่าตอนที่คุยให้ฟังผมเจอแล้ว แต่ตอนที่หายไป เราไม่รู้ มีค่าเท่ากับเขาตายไปแล้ว เหมือนเขาหายไปเลย เราจะไม่เจอเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองของมนุษย์คิดใหญ่ คิดในทางที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นลบ ไปแล้วแน่นอน

เราไปห้าง คนเยอะ แน่นมาก ที่ราชดำริ พาลูกไปสองคน คนโตประมาณ 4 ขวบกว่าๆ มีพี่เลี้ยง 1 คน แล้วก็ช่วยกันอุ้ม เราผู้ใหญ่มี 3 คน มีเด็ก 2 คน คนหนึ่งอุ้มอยู่กับตัว คือคนเล็ก ชื่อเต๋ เพราะยังเล็กอยู่ คนโต๋ พอเดินได้ คนโน้นรู้จัก ก็อุ้มบ้าง คนนี้มาทักทายบ้าง พอจะกลับ หายไปคนหนึ่ง แล้วเผอิญช่วงนั้น สำคัญที่สุด มีข่าวจริงๆ ที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ คือมีคนมาขโมยเด็ก เอาไปตัดแขนตัดขา แล้วเอาไปช่วยขอทาน บางรายก็หาลูกเจอ บางรายก็ไม่เจอ ก็ยิ่งตกใจ ยิ่งระวังๆ อยู่ ตะกี้บอกอยู่ที่นี่ไง หากันใหญ่เลย ไม่รู้ว่าใครเอาไป

ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นท่าน ท่านคิดอย่างไร? ผู้ใหญ่ 3 คนมาเจอกัน ไม่รู้เลยว่าเขาไปไหน? หายไปในฝูงชน 4, 5 ชั้นของห้างสรรพสินค้า ลองคิดดู หาไม่เจอเลย ถามว่าในหัวใจของพ่อแม่ คิดว่า …

“ประเดี๋ยวเจอเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ไปช้อปปิ้งต่อ เดี๋ยวก็มา”

ไม่มีใครคิดอย่างนี้หรอก อย่างที่บอก แล้วยังมีข่าวกำลังแพร่สะพัดว่าเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองของตำรวจ เรื่องลักเด็กไปขายบ้าง ไปทำอะไรก็ตาม ความรู้สึกในใจ จึงเข้าใจ รู้เลยว่าคนที่สูญเสียอะไรไป ที่ตัวเองรัก แก้วตาดวงใจ มันทรมานขนาดไหน? หนึ่งนาที มันเหมือนหนึ่งปี มันมีความรู้สึกว่าหายไปจริงๆ เขาตายไปจริงๆ เราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว สงสัยถูกตัดแขนตัดขา ดีนะไม่ตัด ไม่อย่างนั้น เล่นเปียโนไม่ได้เลย ตื่นเต้นมาก วิ่งไปหาตรงโน้น คอยจะเอียงหูฟังประชาสัมพันธ์ประกาศอย่างไร? เด็กอายุเท่านี้? หน้าตาอย่างนี้หายไป ให้เขาประกาศ ให้เขาร้องข่าวดีไง รอข่าวดีเมื่อไร ประชาสัมพันธ์จะประกาศสักที เขาก็เบาๆ เราก็เงี่ยหูฟังว่าเมื่อไรจะเจอสักที จนในที่สุด ก็เจอ ดีใจมาก เข้าไปกอด อย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นปี แต่จริงๆ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง อาจจะไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป แต่เราดีใจมากเลย เพราะว่าสำหรับเราพ่อแม่ เขาก็ได้หายไป ได้ตายไปแล้ว แล้วก็ได้เกิดใหม่ ได้เจอกันอีกที

เรื่องที่เราจะเรียนรู้กันในอุปมาครั้งนี้ ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเหล่านี้มาให้เราฟัง ใครที่ไม่เคยสูญเสียอะไรที่ตัวเองรัก จะไม่รู้หรอกว่าเวลาพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยเรา มาในลักษณะอย่างไร? มาในสภาพแตกสลายอย่างไร? มากกว่าที่ผมเล่าให้ฟังเยอะเลย

คำสอนของพระเยซู ซึ่งเราจะเรียนกันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา ซึ่งพระเยซูกล่าวเป็นคำอุปมา 3 เรื่อง ใน 3 เรื่อง ทุกเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับของที่มีค่า หายไป แล้วได้กลับคืนมา ความรู้สึกของคนที่ของหาย แล้วได้กลับคืนมา เป็นเช่นไร? ซึ่งหัวใจสำคัญของทั้ง 3 เรื่องนี้ คือมนุษย์ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ที่ได้ตายไป มีค่า มีความหมาย และมีความสำคัญมากมายมหาศาลขนาดไหนในสายพระเนตรพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ รักขนาดไหน? ตกใจขนาดไหน? เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? รอคอยขนาดไหน? ที่ลูกหายไป เหมือนตายไปแล้ว ซึ่งตายจริงๆ ทางวิญญาณ ลูกา 15:1-2

ลูกา 15:1-2  “1 ครั้งนั้น คนเก็บภาษีและ “คนบาป” มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระเยซู 2 แต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บ่นพึมพำว่า “ชายคนนี้ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานกับพวกเขา”

 

นี่คือเหตุผลและที่มาของอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็คือเริ่มจากช่วงที่พระเยซูตระเวณประกาศสั่งสอนผู้คน เรื่องเกี่ยวกับการไปสวรรค์ ไปอย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? สวรรค์เขาทำกันอย่างไร? เขามีระบบ เขาคิดกันอย่างไร? แล้วในบรรดาผู้คนเหล่านั้น ที่มาร่วมชุมนุมกัน ที่ฟังพระเยซูก็มีทั้งคนเก็บภาษี ที่เรียกว่าคนบาปและคนอื่นๆ จำนวนมาก ซึ่งในสายตาพวกฟาริสี พวกยิวที่เคร่งศาสนา มองว่าคนเหล่านี้เป็นคนบาปหนา เขาก็รู้ตัวเองว่าเขาบาปนะ แต่พวกนี้หนากว่า พวกที่ไม่ใช่ยิว  แถมเป็นพวกที่ไม่เคร่งศาสนา บาปหนา ชั่วมาก พูดง่ายๆ ซึ่งไม่ควรที่จะไปคบหาสมาคมด้วย เพราะเราบริสุทธิ์กว่า แต่พระเยซูกลับต้อนรับ ดูแลเอาใจใส่คนเหล่านี้อย่างดี แถมร่วมรับประทานอาหารกับเขาด้วย ให้เกียรติมากกว่าพวกฟาริสี พวกยิวอีก เขาคิดอย่างนี้ ก็รวมหัวกันบ่นพึมพำและนินทาว่า …

“ชายคนนี้  (หมายถึงพระเยซู)  ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา”

คิดในใจ บ่นพึมพำ เหมือนครั้งที่แล้ว เรื่องผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ไม่พอใจ พอพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพากันบ่มพึมพำ ก็ตรัสเป็นคำอุปมา 3 เรื่องนี้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่า 3 เรื่องนี้มาจากเรื่องใด เราจะได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์จากบริบทของมัน ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับของหาย แล้วได้คืน ความรู้สึกของพระเจ้าของหาย แล้วได้คืน ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องของสวรรค์ทั้งสิ้น สวรรค์ที่มาถึง เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? เริ่มที่คำอุปมาเรื่องแรก เรื่องแกะหลงหาย อยู่ในข้อ 3 – 4

ลูกา 15:3-4 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่ง มีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น  จนกว่าจะพบหรือ”

 

“แกะ” ในคำอุปมาตรงนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ยิว ไม่ใช่ผู้เชื่อ ไม่ใช่คนดี แต่มนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า และพระองค์ต้องการที่จะตามกลับมา ให้ได้ครบ (มากที่สุด) ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหายไป พระองค์ก็จะออกตามหาอย่างใจจดใจจ่อ

คำว่า “ละแกะทั้ง 99 ตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบ” ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นความสำคัญของลูกๆ คนอื่นๆ แต่พระเยซูกำลังให้เราเห็นภาพว่าในขณะที่มีลูกหายไปนั้น พระองค์เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? และมีความพยายามตั้งใจขนาดไหนที่จะค้นหาให้พบ ส่วนลูกคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าไม่รัก หรือไม่สนใจ แต่พระองค์ทราบดีว่าลูกคนอื่นๆ ทุกคนอยู่กับพระองค์ปลอดภัยดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงทั้งสิ้น

ที่ผมยกประสบการณ์ให้ฟัง ไม่ใช่ไม่รักเต๋ แต่ตอนนั้นคิดถึงโต๋คนเดียว เขาอยู่ไหน? เหมือนเขาตายไปแล้ว เต๋อยู่ในอ้อมกอดของเราอยู่แล้ว พอมองเห็นภาพนะ เหมือนกันเลย ละทุกอย่าง ออกไปหา เพราะทุกอย่างอยู่ในที่ปกป้องเรียบร้อยแล้ว แต่คนนี้ยังไม่มารับเชื่อเลย เพราะฉะนั้น พุ่งตรงไปที่เขาตายอยู่ เขาหลงไปอยู่ ไปพาเขากลับมา อย่างนี้เป็นต้น

ลูกา 15:5-7 “5 เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี 6 และกลับบ้าน จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี  ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่า ในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่”

 

เมื่อเขาพบสิ่งที่หายไป สิ่งที่มีค่าดั่งแก้วตาดวงใจ ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน เป็นภาพที่เราคุ้นชินกันบ่อยๆ ที่เขาวาดภาพพระเยซู แล้วก็มีแกะอยู่บนบ่า จับสองเท้าหน้า สองเท้าหลัง พาดไว้ แล้วก็เดิน ในขณะที่รูปภาพนั้น ข้างล่างก็จะมีฝูงแกะอยู่ บางคนก็บอก …

“ฉันอยากจะเป็นแกะตัวนั้น”

อยากเป็นไหม?  อย่าเป็นเลยดีกว่า แสดงว่าเพิ่งหาเจอ ขอให้ฉันเป็นแกะตรงที่ทุ่งหญ้านั้นดีแล้ว เพราะว่าอยู่นานแล้ว รอดมานานแล้ว นึกภาพนี้ออกใช่ไหม? เป็นความรู้สึกของคนที่สูญเสียสิ่งที่รักไปมากๆ แล้วได้กลับคืนมา มันเป็นอย่างนั้น เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะใส่บ่ามาด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน

พระเยซูแบกใคร? แบกคนที่เหมือนตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้กลับใจใหม่ ได้เป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ดีใจมาก ชื่นชมยินดี จัดงานเลี้ยงเลย อะไรประมาณนั้น

จะเห็นว่าพระองค์แบกอย่างทนุถนอม และด้วยความรักสุดหัวใจ และตัวอื่นๆ ก็มองขึ้นมาด้วยความอิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวอื่นๆ ยังอยู่บนโลกใบนี้ แต่ถ้าตัวอื่นๆ จากไปอยู่ในสวรรค์ เขาจะไม่อิจฉาแล้ว จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมกัน

“ร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะที่หายไปแล้วนั้น”

สำหรับพระเจ้าแล้ว คำว่า “หาย” ตรงนี้ คือตายนั่นแหละ วิญญาณเราตายไปเลย สำหรับพระเจ้าแล้ว การที่ได้พบลูก สามารถกลับคืนดี เป็นขึ้นมาใหม่ได้สักคนหนึ่ง ซึ่งเคยตายไปแล้ว กลับมาพบหน้ากันได้อีก เกิดใหม่ เป็นเรื่องที่น่ายินดีของพระเจ้ามากมาย เป็นเรื่องที่ทำให้มีการฉลอง เลี้ยง รื่นเริง ไม่ใช่เลี้ยงธรรมดา เลี้ยงใหญ่โตเลย ซึ่งทำนองเดียวกัน ในสวรรค์ จะมีเรื่องยินดีในคนบาป คนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ มากกว่าคนชอบธรรม 99 คน ซึ่งไม่จำเป็น หรือไม่ต้องการการกลับใจใหม่ หมายถึงใคร ไม่ต้องการกลับใจใหม่ ก็คือแกะที่อยู่บนทุ่งหญ้า ไม่ต้องการกลับใจ เพราะเป็นลูกไปแล้ว อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์บันทึกไว้หลายแห่งว่าทุกครั้งที่มีคนกลับใจใหม่ หมายถึงคนใช้สิทธิของเขา รับเชื่อในพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในสวรรค์จะมีการจัดเลี้ยงฉลองใหญ่โต เพราะพระเจ้าดีใจมาก เพราะเปรียบเหมือนกับคนสูญเสียของมีค่ามากมายมหาศาล แล้วได้กลับคืน ตะโกนดีใจมากเลย  พระเยซูกำลังจะบอกเราอย่างนี้ว่าเรามีค่าขนาดไหน? ในสวรรค์เป็นอย่างไร?

ลูกา 15:8-9 “8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว”

 

มาถึงคำอุปมานี้ เปรียบเทียบเหมือนเหรียญที่มีค่าหายไป ซึ่งก็เช่นเดียวกัน หมายถึงมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ซึ่งมีค่ามากมาย เพราะพระเจ้าทรงรักมาก มากขนาดไหน? เหรียญเดียวนะ คนๆ เดียว ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? และหายไปเหรียญหนึ่ง พระเยซูบอกว่าหญิงคนนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือนเลยเหรอ เหรียญเดียวเองนะ ท่านเข้าใจคำว่าจุดตะเกียงไหม? สมัยก่อนไม่ใช่กดสวิทส์ไฟ จุดตะเกียง มันใช้เงินนะ ไม่ใช่ทุกบ้านมีตะเกียงหมด ทำอย่างไร? กวาดเรือนเลย สมมติ 2 ชั้น กวาดเรือนหมดเลยเพื่อหาเหรียญ ส่องไปทั่วเลย เรานึกถึงภาพมีไฟฉายอันหนึ่ง อยู่ไหน? เมื่อไรจะเจอ ขึ้นไปชั้นบน ต่ออีกนะ และค้นหาอย่างถี่ถ้วน แปลว่าถ้ามีใต้ถุน มีซอก มีมุม เจอหรือยัง ไม่เจอๆ ถามว่านานเท่าไร? จนกว่าจะพบ นี่ความรู้สึกของสวรรค์ต่อคนที่หลงหายไป ข่าวดีของพระเยซูมีค่าเท่าไร? เมื่อเจอแล้ว ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่โต พระเยซูมาด้วยความตั้งใจ และค้นให้พบจริงๆ และยอมสละทุกอย่าง

ในนี้บอกว่าทั้งหมด 10 เหรียญ 9 เหรียญยังอยู่ ไม่สนใจเลย 9 เหรียญยังเก็บไว้ในเชฟ แกะมี 100 ตัว 99 ตัวไม่ยุ่ง อยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว อยู่ในคอกเรียบร้อยแล้ว พระเยซูบอก …

“ไม่มีใครเอาแกะของเราออกไปจากคอกของเราได้ ไม่มีทาง พระองค์มีฤทธิ์อำนาจดูแลได้”

แต่มีตัวที่อยู่ข้างนอก พระองค์ละ 99 ตัว ละเหรียญ 9 เหรียญ แล้วก็วิ่งออกไปหาตลอดเวลา   จนกว่าจะพบ ไม่พบก็ต้องหาต่อ พระองค์สละ 99 ตัว หมายถึงแกะบนทุ่งหญ้าเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าประทานพระบุตร คือพระเยซู ในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าพระเจ้ายอมรับการงานนี้ ในการมาช่วยมนุษย์ที่หลงหายไป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า ด้วยการสละสภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตามหาแกะที่หลงหาย  นี่หมายถึงอย่างนี้  ไม่ใช่เอาไฟฉายส่องธรรมดา ไม่ใช่จุดตะเกียงเฉยๆ ทำสุดความสามารถ ลดตัวลงมา ใต้ถุนก็จะมุดลงไป อยู่บนโลก ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพื่อคนๆ เดียวจะรอด ก็จะมา

ความหมายตรงนี้ แปลว่าเพื่อคนๆ เดียว สมมติว่ามาแล้ว ไม่มีใครเชื่อข่าวดีเลย มีคนเดียวที่เชื่อ ก็จะมา ก็จะยอมตายที่ไม้กางเขน ยอมทำทุกอย่าง เพื่อคนๆ นั้นคนเดียวที่จะได้รับความรอด นี่ความหมายของอุปมานี้ เป็นเช่นนี้  เราจะได้เห็นว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และทำอะไรให้เราขนาดไหน? พระเยซูยอมสละสภาพพระเจ้า เป็นผู้ควบคุมจักรวาลทั้งหมด ควบคุมทั้งหมดในสวรรค์ ใหญ่ที่สุดในสวรรค์ รองจากพระเจ้า แล้วลงมาช่วยน้องๆ ที่หลงหายไป

แล้วสังเกตนะ ทุกครั้งที่ของหาย แล้วได้คืนกลับมา จะจบตรงที่มีการเลี้ยงรื่นเริง เฉลิมฉลองกันใหญ่โต ดีใจ เดี๋ยวเรื่องต่อไป ก็จะมีเรื่องการฉลองอีกเหมือนกัน เรื่องที่ 3 แสดงว่าความดีใจของพระเจ้า มีมากขนาดไหน? ทุกครั้งที่พระองค์ได้ตาม และได้พบลูก แม้กระทั่งคนเดียว ที่หลงหายไป แล้วได้กลับมาใหม่ ลูกา 15:10 ต่อไปนะ

ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดี ท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”

 

แม้เพียงคนเดียว ที่ได้ตัดสินใจใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขาที่ไม้กางเขน ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเขา คนนั้นแหละ ได้ยอมทนทุกข์ทรมาน สละสภาพเป็นพระเจ้า ให้เขาย่ำยี ให้เขาทรมาน เพื่อคนๆ นั้นคนเดียว จะได้ใช้สิทธิของเขา เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา จะมีความชื่นชมยินดีอย่างมากมาย ถึงขนาดมีการจัดเลี้ยงใหญ่โตบนสวรรค์เลย

ลองย้อนกลับไปคิดว่าที่มาของทั้งหมด มันเป็นอย่างไร? ที่ให้พระเจ้าต้องออกมาตามหาเราขนาดนั้น นึกภาพว่าสาเหตุมาจากไหน? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก ในมหาจักรวาล ทั้งหมดเลย ทั้งสวรรค์ ทั้งบนโลก โลกวิญญาณทั้งหมด รวมทั้งทูตสวรรค์ ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งตัวมนุษย์เอง รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดเลย ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ให้มีขึ้นทั้งนั้น แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ก็เกิดกบฏกับพระองค์ คิดดูสิ ฟังดูความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?

กบฏพวกแรก คือที่พระองค์ทรงสร้าง เหมือนทหารเอก คนสนิทกัน อย่าลืมว่าเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง พระองค์เป็นความรัก พระเยซูก็เป็นความรัก แต่คนที่กบฏต่อพระองค์ คือทูตสวรรค์ชั้นหัวหน้า ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ คิดดูสิ เราให้ความสนิทสนมกับเขามากเลย เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาเป็นทูตสวรรค์เราสร้างขึ้นมาเอง ให้เป็นผู้รับใช้ ให้เป็นทหารเอก ห้เกียรติเขา เป็นหัวหน้านำนมัสการที่ดีมาก ลูซีเฟอร์พอตกสวรรค์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวรุ่งอรุณ ยกย่องมาก เราให้เกียรติกับสิ่งที่เราสร้างมาก เราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ท่านเข้าใจไหมครับ? ยกย่อง ทุกอย่างดีหมด อยู่ดีๆ วันดีคืนดี มันโผล่ขึ้นมาเอง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปสนใจว่าทำไมมันถึงโผล่ ในพระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายมากกว่านั้น พระคัมภีร์บอกแค่ว่าอยู่ดีๆ ลูซีเฟอร์ก็เกิดผยองตัวขึ้นมา เย่อหยิ่งเกินกว่าเหตุ เขายกย่องๆ มากๆ พระเจ้าก็ยกย่อง พระเยซูก็ยกย่อง อยากจะเป็นพระเยซูเอง อยากจะเป็นพระบุตรเอง ก็เลยกบฏ พอกบฏก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ถามว่าพระเจ้าโมโหเหรอ พระเจ้าเป็นความรัก ถามว่าพระเจ้าโมโหได้ไหม? พระเจ้าเป็นความรัก มีโมโหไหม? อันนี้ผมคิดเอง ไม่มี พระเยซูบอกพระเจ้าเป็นความรัก พระเยซูยืนยันพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างเราทั้งหลาย เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณเราเมื่อเกิดใหม่ ก็เป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก แต่ทำไมพระเจ้าต้องลงโทษ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบของมหาจักรวาล เมื่อทำผิด ก็ต้องได้อย่างนี้ เมื่อจับไฟฟ้าแรงสูง ก็ถูกช๊อต ถ้าจับไฟฟ้าแรงสูงมีชนวนอยู่ มันก็ไม่โดน อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าทำ แต่กฎระเบียบ ทำ คำพิพากษาวางไว้ก่อนแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อกบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ไปอยู่คนละฟากกัน แค่นั้นเอง ท่านคิดหัวใจของพระเยซูเสียใจนะ ลูซีเฟอร์ทำไมเป็น ไม่น่าเลยๆ แค่นั้นไม่พอ พระคัมภีร์บอก มันเป็นตัวกลาง เป็นสาเหตุล่อลวงน้องๆ ของพระเยซู ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันมา ก็คือลูกของพระเจ้า  ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย  ไปล่อลวง ให้กบฏตามมันด้วย แล้วปรากฏว่ามนุษย์ก็กบฏตามมัน เมื่อกบฏตามมัน ก็โดนเหมือนเดิม ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเกลียด ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าโมโห พระเจ้าหัวใจแตกสลายเลย บอกลูกแล้วอย่าเอามือแยงลงไปที่ปลั๊กไฟ แยงแล้วมันจะช็อต ตายไป พระเจ้าดีใจเหรอ ฉันจะลงโทษแกให้ตายเหรอ ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเสียใจ ท่านเห็นภาพไหม?

เราเรียนสิ่งเหล่านี้ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าพระเยซูมา บนโลกใบนี้ เพื่อเล่าถึงอุปมาต่างๆ เล่าถึงสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา เป็นอย่างไร? ระบบมันเป็นอย่างไร?  มันไม่ใช่เหมือนที่เราคิดแบบมนุษย์ เอามาเทียบเคียงกับมนุษย์ มันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เสียใจ เจ็บแค้น ไม่ใช่โกรธใครนะ เจ็บแค้น คือมันเจ็บ บอกอย่าทำ ไม่น่าทำเลย ไม่ใช่โกรธ เกลียดมนุษย์เลย สงสารต่างหาก ห่วงใยต่างหาก โธ่ ลูกเรา ไม่น่าเลย ท่านเห็นภาพแล้วนะ ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เหตุมันมาจากตรงนี้

ดังนั้น การที่พระเยซูยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะความรักตรงนี้ พระเจ้าจึงไม่ได้ดูมนุษย์เป็นคนแย่มากมายอะไรต่างๆ เป็นคนบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เขาถูกล่อให้หลง ได้รับโทษ ตามบทบัญญัติที่ผู้พิพากษามหาจักรวาลวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าใครกบฎต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  มันต้องได้รับโทษอย่างนี้ไง ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ท่านเห็นภาพหรือยัง? ตอนนี้ผมสามารถระบายสีพระเจ้า ให้ท่านเห็นชัด ดูสิว่าพระเจ้าเราเป็นพระเจ้าที่ดีงาม น่ารัก นุ่มนวลมากๆ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ต้องดูแลความยุติธรรม มิฉะนั้น ดวงอาทิตย์วันดีคืนดี มันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก มันมาออกทางทิศตะวันตกอย่างนี้ มันจะยุ่งวุ่นวายกันไปหมดใช่ไหม? พระคัมภีร์พูดเสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ควบคุมทุกอย่างอยู่ เพราะว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่ตายไปแล้ว ขณะที่ตายไป ก็ยังเป็นลูกของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเขาดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ในพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้อย่างนี้นะ เป็นแก้วตาของพระองค์เลย  รักมาก  แม้เขาหลงหายไป ตายจากพระเจ้าไป พระองค์ก็ไม่เคยลดละความรักเลย ไม่มีน้อยลงเลย ยังคงวางแผน ตามหา จุดตะเกียง คอยดู ไม่เจอก็หาอีกๆ หาจนกว่าจะพบ เป็นห่วงมาก

มาพูดถึงตรงนี้ ผมว่าพระเจ้าน่าจะมีหนังสือไปถึงบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อข่าวดีนี้ ยังไม่ได้มารับสิทธิของเขา เขียนสั้นๆ ว่า …

“กลับมาเถิด พระเจ้ารักเธอ และห่วงใยเธอมาก”

แค่นี้ พระเจ้าเป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ พระเจ้าจะพูดอย่างนี้ตลอดเวลา พระเยซูบอกไปเคาะประตูของทุกคน เคาะ แล้วพูดว่า …

“เป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ”

ถ้ายังไม่กลับ ก็ตามหาอยู่ ตามหาตลอด ให้เขากลับมา ซึ่งตรงนี้ พระคัมภีร์ใช้ตรงนี้ และมนุษย์ทุกคนก็ใช้คำนี้ แต่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจคำนี้ ได้ลึกซึ้ง คือคำว่า “พระคุณ” ไม่รู้จะพูดคำอะไร? ไม่ใช่อภัยให้เราอย่างเดียว มันเป็นพระคุณ ไม่ถือโทษ โกรธอะไรเลย เพราะรู้สาเหตุมันมาจากอะไร?

พระคุณของพระเจ้าตรงนี้ ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เยอะมาก หลายแห่ง แบบยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง ซึ่งเกินกว่าที่จะบรรยายเป็นถ้อยคำของมนุษย์ได้ เราจึงมักใช้คำว่า “Amazing grace” Amazing แปลว่าพระคุณที่อัศจรรย์ใจ เราก็ได้แค่พูดตรงนี้ แต่พระเยซูกำลังระบายสีให้เราเห็นว่าพระคุณตรงนี้ มันคืออะไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา มนุษย์ทุกคนมันเป็นเช่นไร? ในบุตรน้อยหลงหาย ที่เรากำลังเรียนอุปมานี้อยู่

หลายคนฟังอุปมา 2 เรื่องนี้แล้ว อาจกำลังคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้ ฟังดูแล้ว เหมือนเราจะให้ความสำคัญกับผู้เชื่อใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือคนที่หลงหายไป ตายไปแล้ว และเพิ่งได้รับเชื่อ ได้กลับคืนมา พระเยซูดีใจ บนสวรรค์จัดเลี้ยง งานใหญ่โตให้ ซึ่งเราทุกคนก็เคยได้รับตรงนี้เหมือนกัน ก็คือวันแรกที่เรารับเชื่อ ก็คือหลงหาย แล้วได้กลับมาใหม่ คือพระเจ้าได้ทำกับเรา แบบนี้เหมือนกัน แต่มาถึงวันนี้ พระเจ้าไม่ทำกับเราเหมือนเดิม ก็เพราะท่านเป็นผู้ที่ไม่ต้องการจะกลับใจแล้ว ท่านได้ไปแล้วไง บางคนเชื่อมาหลายสิบปีแล้ว อาจจะคิดว่าอุปมาเรื่องของได้คืน ที่ฟังมาทั้งหมดนี้ จะเกี่ยวกับเราตรงไหน? ที่เรียนมามันเกี่ยวกับคนใหม่ทั้งหมดเลย คนใหม่มา พระเจ้าดีใจ แล้วเราคนเก่า ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราเลย แล้วเราฟัง จะมีประโยชน์อะไร? หลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ ก็อยากจะบอกว่าถ้าอยากรู้นะ รอติดตามตอนต่อไป เพราะวันนี้เล่าเรื่องที่สาม  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************************