วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1411

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  7  เมษายน  2023

เรื่อง “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”  ท่านเคยคิดไหมว่าทำไมพระเยซูต้องตายที่ไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วตายได้อย่างไร? เคยคิดไหม? ถ้อยคำความจริงวันนี้จะเปลี่ยนความคิดของเราไปโดยสิ้นเชิงเลย  แม้ว่าเราจะรู้จักการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่วันนี้ถ้อยคำพระเจ้า จะบอกลึกซึ้งกว่านั้นว่าทำไมพระองค์ต้องตาย และทำไมพระองค์ตายได้ ในเมื่อพระองค์เป็นพระเจ้า

            เราย้อนไปวันนี้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ว่ากันตามจริงแล้ว ในโลกวิญญาณไม่มีเวลานะ ย้อนไปเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มันคือเวลาเดียวกัน ในโลกวิญญาณ เพราะว่าหลุดออกจากวงจรของโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่มีวันเวลาแล้ว มิติฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าอยู่นั้น นอกเหนือเวลา พระองค์เป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ นั่นหมายถึงไม่มีเวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ที่โบสถ์เราระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรากำลังพูดถึง ณ บนโลกใบนี้ ซึ่งมีเวลา วงจรของโลกที่หมุน รอบมา 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว

            2,000 ปีที่แล้ว เราย้อนกลับไปตามเวลาของมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นในวันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูเมื่อเช้ามืด ถูกเฆี่ยน ถูกตีปางตาย ต้องใช้คำนี้เลยนะ ปางตาย คือจริงๆ แล้วต้องการให้ตายนั่นแหละ เพราะการลงโทษชนิดที่ถูกเฆี่ยน โดยชาวโรมัน เป็นการลงโทษ ที่ต้องการให้นักโทษถูกเฆี่ยนจนตาย และส่วนใหญ่ตาย ไม่ได้ถูกตรึงนะ ไม่ทันไปตรึง ตายซะก่อน แต่พระเยซูถูกเฆี่ยนจนครบ ไม่ตาย ก็ต้องรับโทษต่อไป ก็คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ถูกนำตัวไปตรึงที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันนี้ วันศุกร์ นึกถึงภาพว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อเช้านี้ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะมาอ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันว่าถูกตรึง คือตั้งแต่ 9 โมงเช้า – บ่าย 3 โมงนั้น สุดท้าย เกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงตายอย่างไร? หลังจากถูกเฆี่ยน ถูกตี ด้วยความเจ็บปวดปางตาย ยอห์น 19:28-30 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ยอห์น 19:28-30 “หลังจาก​นั้น​ พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ ​ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ”  มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้ ​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ ก็​คอพับ​ และ​สิ้นใจ​ตาย”

            อย่างเมื่อสักครู่นี้ ต้องการให้เราได้เห็นภาพเป็นจริงว่ากำลังเกิดขึ้นวันนี้ เมื่อเช้านี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างนี้

            อยากให้ท่านเห็นคำสุดท้าย ที่เขียนบอกว่า “พระองค์จึงร้องเสียงดังว่า “สำเร็จแล้ว”

            อะไรนะสำเร็จ  ก็คือการตายของพระองค์ได้ตายจริงๆ และสำเร็จแล้ว แสดงว่าพระเจ้าเตรียมให้พระองค์มาตาย และพระองค์ก็ตายสำเร็จแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นเหตุเนื่องจากการตายของพระองค์นี่แหละ สำคัญกว่าการถูกโบยตีเมื่อสักครู่นี้ ปางตายอีก การตายสำคัญมาก และข้อสำคัญต่อมา

            บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ทรงคอพับ และสิ้นใจตาย”

            นี่คือคำแปลของเวอร์ชั่นหนึ่ง  แต่ถ้อยคำนี้ ภาษาเดิมพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ แปลว่าอย่างนี้

            “ยกเลิกวิญญาณ” แปลว่ายกเลิกชีวิต ก็คือยอมตาย

            ไม่มีใครเอาชีวิตพระองค์ได้นะ นี่แหละพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ตรงนี้ต้องบอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็ยอมตาย ยอมสละชีวิต ถ้าบอกว่าพระองค์สิ้นใจตาย บางทียังนึกว่าเพราะว่าถูกคนทรมานจนตาย ไม่ใช่ พระองค์ไม่ตายก็ได้ พระองค์เป็นพระเจ้า

            ผมชอบเพลงๆ หนึ่ง เป็นเพลงชีวิตคริสเตียนเก่าแก่เป็นร้อยปี พูดถึงตรงนี้ชัดเจน อยู่ในเพลงนั่นแหละ ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี เพลง “ที่กางเขน” เดี๋ยวเราร้องกันนิดหน่อย สักท่อน

                        “พระโลหิตของพระเยซูไหล         พระองค์ทนทุกข์อับอาย

                        จนในที่สุด พระองค์ต้องตาย          ก็เพื่อล้างบาปของข้า

                        ** ที่กางเขน ที่กางเขน ข้าแลเห็นความสว่าง

                             และความหนักใจอันใหญ่ยิ่งได้หลุดหาย

                             เพราะข้าดูกางเขน จึงแลเห็นกระจ่าง

                             เดี๋ยวนี้ ข้าจึงมีความสุขสบาย **

            เราทั้งหลาย มวลมนุษยชาติมีความสุขสบาย ก็เพราะการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ต้องตาย คำนี้คำเดียว มีความหมายมาก ลึกซึ้งมาก คราวนี้ท่านมองที่กางเขน ท่านเห็นอะไร? อดีตท่านอาจจะรับเชื่อมานานแล้ว ท่านมองกางเขน ท่านอาจจะเห็นความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ถ้ามองทะลุลึกไปกว่านั้น ท่านจะเห็นการตายของพระเจ้าด้วยความรัก พระเยซูต้องการให้เราเห็นลึกกว่านั้น ไม่ใช่เห็นความรักของพระองค์เท่านั้น เห็นการตายของพระองค์เท่านั้น แต่เห็นว่าพระองค์ตาย เพื่ออะไรเกิดขึ้นกับเรา ตรงนี้ต่างหาก ซึ่งวันนี้ผมจะพาท่านไปดูว่าพระเยซูต้องการให้เราเห็นอะไร? รู้อะไร? เกี่ยวกับการตายของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:8 “แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​ (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ ตอนนี้พระเจ้า​ยอมรับ​เรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว ​เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์”

            พระองค์รักเรา ถึงได้ยอมส่งพระคริสต์ พระบิดา ยอมก่อน นึกภาพนะ และพระคริสต์ก็ต้องยอมด้วย จำได้ไหม? พระบิดาวางแผนไว้ให้พระบุตร มาตายที่ไม้กางเขน แล้วพระบุตรก็ต้องยอมด้วย และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

            เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็เพราะว่าเมื่อคืนวานนี้ วันพฤหัส ช่วงหัวค่ำ ก่อนที่จะถูกจับไปตรึงไว้ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์รู้แล้วว่ารุ่งขึ้น มันถึงวันที่กำหนดแล้ว  พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปีแล้ว เหตุการณ์จะเกิดขึ้น ในวันพรุ่งนี้แหละ คืนนี้เขาจะมาจับไปแล้ว รุ่งเช้ามืด ก็จะถูกเฆี่ยน ปางตาย แล้วก็จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  และต้องตาย ตายตามน้ำพระทัย พระองค์ทรงทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงทำ ในคืนวันนั้น คืออธิษฐาน ไม่ไปได้ไหม? …

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เป็นไปได้ไหมที่ลูกไม่ต้องตาย”

            อธิษฐานครั้งแรก … พระเจ้า คือพูดง่ายๆ ก็ตอบโดยเงียบ ก็คือไม่ได้ ต้องตามแผน ต้องตาย กลับไปอธิฐาน ขอกำลังจากพระเจ้าใหม่ อธิษฐานอีก

            พระเยซูบอก … “พระเจ้าครั้งที่ 2 ไม่เข้าไปให้เขาจับตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม? ลูกไม่ไหว”

            พระเจ้าก็ตอบเหมือนเดิม คำเดิมว่า “ไม่ได้” ต้องเป็นไปตามน้ำพระทัย ตามแผนการ

            จนครั้งที่ 3 ทรุดเข่าลงไป เหงื่อออกเป็นเลือด กลัวมาก เครียดมาก พระเจ้านี่ครั้งที่ 3 แล้ว เป็นไปได้ไหม? นี่ขนาดพระเยซูนะ และในที่สุด คำตอบ ก็คือเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต้องตาย ในที่สุด พระองค์ก็ต้องตัดสินใจ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

            เราจึงได้รู้สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนี้ มันยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นะ ยังถึงขนาดนี้เลย แสดงว่ามันต้องสำคัญมาก และลึกไปกว่านั้น ก็แสดงว่าต้องมีแผนการอะไรดีๆ ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติแน่นอนเลย เปลี่ยนไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำจนสุด คือพระบุตรต้องตาย

            ตะกี้ที่เราอ่านในโรม 5:8 บอกว่า … “โดยยอมส่งพระคริสต์มาตาย เพื่อเรา

            ถามว่าคำว่า “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใคร? หลายคนบอกว่าหมายถึงเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ใช่

            พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก รักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด ใช่ไหม? ตรงนี้หมายถึงการตาย เพื่อมนุษยชาติ  ไม่ใช่ตายเพื่อคริสเตียนเท่านั้น ตายเพื่อมวลมนุษย์

            มี 2 อันที่เห็นชัดเจน ในข้อความที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ ก็คือ …

            1. หลั่งพระโลหิตของพระองค์ อภัยความบาปผิดของมวลมนุษยชาติทั้งหมด โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น ถูกเฆี่ยน ถูกตีนั่นแหละ  ปางตายนั่นแหละ เลือดหลั่งไหลออกมา จนกระทั่งถึงไม้กางเขนนั้น เลือดทั้งหมดนั้น คือการชำระความบาปให้กับมวลมนุษยชาติ แทนที่เราจะถูกเฆี่ยนตี พระองค์ยอมถูกเฆี่ยนตีแทนเรา แค่นั้นไม่พอ ซึ่งจริงๆ ก็พอแล้วนะ  อภัยในความบาปผิดของเราแล้ว แต่วิญญาณเราก็ยังเป็นคนบาปอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เป็นคนบาปที่ได้รับการอภัย ท่านนึกภาพออกไหม?

            2. พระเจ้าบอกไม่ได้ แค่นั้นไม่พอ ต้องตาย “ตาย” คืออะไร? สิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายไปด้วยกันกับพระองค์  และเมื่อตายไปกับพระองค์ จะได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พร้อมพระองค์ด้วย เอเมน

            นี่คือแผนการอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าวางไว้ว่าพระเยซูต้องตาย ก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตายเพื่อตัวเอง  ไม่ใช่ตาย เพราะว่าจำเป็นกับคนอื่น ต้องฆ่าให้ตาย บังคับให้ตาย ไม่ใช่ แต่ยอมตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวง จะได้มีโอกาสมาตายพร้อมพระองค์ และได้บังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ พ้นจากบาป (จริงๆ เลย) เป็นคนใหม่ คนเก่าตายไปแล้ว  ไม่ใช่เป็นคนบาปเหมือนเดิม แล้วได้รับการอภัยด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ท่านเห็นภาพไหมว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? หลายคนดูไม้กางเขน นึกถึงการตายของพระเยซู นึกถึงแค่ …

            “พระโลหิตของพระเยซูชำระบาปให้กับลูก แค่นี้ก็ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ ลูกพ้นจากความบาปผิดเรียบร้อยแล้ว”

            ลืมคิดไปว่าวิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่ ใส บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เป็นลูกของพระเจ้าเลย ตรงนั้นต่างหาก ที่ได้รับมา โดยผ่านทางไม่ใช่โลหิตแล้ว ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เพื่อคริสเตียนเท่านั้น เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระองค์ ฟังให้ดีๆ นะ  ถ้าพระองค์ยอมตายเพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายด้วย  ก็แสดงว่าเราทั้งหลายต้องเข้าไปอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  แสดงว่าก่อนหน้านี้  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เราเป็นคนบาป ในโลกวิญญาณ

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะได้ย้ายให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในพระองค์ ตอนตายได้  และคำๆ นี้เป็นคำที่ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย  ก็คือการย้ายเข้าไปอยู่ในพระองค์ การตายพร้อมพระองค์นั้นใช้คำว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป แปลว่าเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูบัพติศมากันใหม่  ซึ่งเราเรียกกันว่าบัพติศมาในพระคริสต์ ก็คือบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งแต่เดิมนั้น เราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง พระองค์จึงย้ายเราออก พระคัมภีร์บอกเราเป็นคนบาป เรามนุษย์ทั้งปวง เกิดมา ก็บัพติศมาแล้ว แต่เป็นการบัพติศมาอยู่ในบรรพบุรุษของมนุษย์ที่เรียกว่าอาดัม DNA ในวิญญาณ เราอยู่ในนั้น เราถูกจุ่มอยู่ เราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาดัม พอจะมองภาพเห็นไหมครับว่านี่คือแผนการของพระเจ้า

            คืนวันพฤหัส พระองค์อธิษฐาน ตัดสินใจแล้วว่ายอมตาย พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทำอะไร? พอตัดสินใจได้ปุ๊บ ฮึดขึ้นมา ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจ ยังไม่กลัว ตอนกลัว คือกำลังจะถูกจับ ในไม่ช้า ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนหน้านี้ พระองค์ไม่เคยกลัวเลย  ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงอายุ 33 จนกระทั่งถึงวันพฤหัสตอนเย็นๆ ก็ยังไม่กลัวเลย แต่มากลัวเอาตอนหัวค่ำ ก่อนที่เขาจะมาจับพระองค์ เพราะมันใกล้วันนั้นจริงๆ แล้ว พระองค์รู้ด้วยพระองค์มาทำอะไร? แล้วพระองค์กระทำสิ่งหนึ่งร่วมกับเหล่าสาวก เพื่อยืนยันสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือการบัพติศมา การตายของพระองค์ เพื่อให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในการตายของพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ พระองค์กระทำสิ่งหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนตาย ซึ่งเราเรียกกันว่าพิธีมหาสนิท ซึ่งวันนี้ เดี๋ยวเราจะทำกัน แต่เราจะย้อนไป ภาพเป็นจริง เหมือนกับเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ ก็คือเมื่อวานนี้วันพฤหัส ช่วงเย็นๆ เราจะทำมหาสนิทกัน แล้วจำลองภาพให้เห็นว่าพระองค์ทำอะไร? และทำเพื่ออะไร?  และเป็นที่มาของมหาสนิท ที่เราทำกันทุกวันนี้  ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม? ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร? การทำมหาสนิทหมายถึงอะไร? ที่เราทำอยู่บ่อยๆ นี้ เราจะมาดูกันถึงครั้งแรกของมหาสนิทที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งพิธีตั้งโดยพระเยซูคริสต์เอง

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงตั้งพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อเป็นการทดแทนพิธีปัสกาของชาวยิว  เพราะเป็นเทศกาลปัสกาของชาวยิว ที่มีการรับประทานขนมปังไร้เชื้อ และแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงใช้โมเสส นำพาชาวยิวอพยพออกมาจากอียิปต์ ซึ่งเรื่องเทศกาลนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม อพยพ บทที่ 12 ถึงบทที่ 13 ท่านไปเปิดอ่านดูนะ ซึ่งเหตุการณ์นั้น ในพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ที่กำลังจะมาเป็นแกะปัสกาในวันพรุ่งนี้ นึกภาพออกนะ

            เพราะว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด พูดถึงพระเยซูทั้งสิ้น ทุกอย่างเล็งมาที่พระเยซูคริสต์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่จะต้องตายที่ไม้กางเขนทั้งสิ้น พระเจ้ายืนยันพันธสัญญาไว้ว่าจะทำอย่างนี้ ให้กับมนุษย์ เหมือนกับบอกล่วงหน้าไว้เลยว่าเราจะทำอย่างนี้ๆ เป็นเวลาหลายพันปีเลย โดยพระเมสิยาห์ ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นปัสกานี้ ลักษณะแบบเดียวกับวันปัสกาในสมัยโมเสส ซึ่งเป็นวันที่ปลดปล่อยประชากรของพระเจ้า ให้หลุดออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ พระเยซูก็มาปลดปล่อยเราให้หลุดจากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณของความบาปและความตาย

            เรามาดูว่าในเย็นวันนั้น อาหารมื้อสุดท้าย แทนที่จะเป็นปัสกา แล้วพระเยซูเปลี่ยนการกินปัสกานั้น มาเป็นสิ่งนี้แทนว่าของจริงมาแล้ว ปัสกาที่เคยทำในอดีตนั้น เป็นของสมมติ เล็งให้เห็นถึงวันที่พระเยซูคริสต์จะมา และตอนนี้ พระองค์มาแล้ว ของจริงมาแล้ว 

            เรานึกถึงภาพวันนั้นนะ หัวค่ำคืนวันพฤหัส ที่เราเรียกว่า Last Supper หรืออาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ลูกา 22:14-20 …

        ลูกา 22:14-20 “เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทาน ปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”  พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วตรัสว่าจงรับถ้วยนี้ แบ่งกันดื่ม เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง” และพระองค์ ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านจงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน แล้วตรัสว่า “ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

            ให้เรานึกถึงอย่างที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้น ไม่ใช่อดีต 2,000 ปี มันเกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ย้อนมาเมื่อวานนี้เอง นึกถึงภาพเรานั่งอยู่ที่โต๊ะกับพระองค์ด้วย พระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อเรา เรา คือผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น และพระองค์กระทำอย่างนี้ เราจะทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน  ปกติแล้ว เป็นมื้ออาหารจริงๆ นะ แต่มาหลังๆ เนื่องจากคริสตจักร มีเยอะขึ้น แล้วคนก็มากขึ้น เขาเลยทำสะดวกๆ พิธีนี้เพื่อระลึกถึง ขนมปังก็ก้อนเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเล็กถึงทุกวันนี้ กระจิ๋วเดียว น้ำองุ่นแทนที่จะเป็นแก้วใหญ่ๆ กินเป็นอาหารกันจริงๆ อาหารทางอิสราเอล ทางตะวันออกกลาง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเปล่า เขาดื่มไวน์ ดื่มน้ำองุ่น

            จะอ่าน 1 โครินธ์ 10:16-17 อ่านให้ท่านฟังก่อนนะ …

        1 โครินธ์ 10:16-17 “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            ขนมปังหมายถึงอะไร? ขนมปังที่เราหัก คือการเข้าร่วมกันในพระกายของพระคริสต์ สมมติว่านี่คือร่างกายของพระเยซู (ขนมปัง) นึกออกไหมครับ? เรากินเข้าไป ก็เท่ากับเรามีส่วนในร่างกาย  ในเนื้อ เนื้อกับเนื้อร่วมกัน  และพอเราดื่มน้ำองุ่น คือเลือด เลือดเรากับเลือดพระเยซู เลือดต่อเลือดเข้ากัน เคยได้ยินคำนี้ คุ้นๆ ไหม? ที่เขาเรียกว่า …

            “ท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจากพ่อแม่”

            เลือดเนื้อเชื้อไข ก็คือเราเกิดมาจากเซลของพ่อแม่ของเรา เรามีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากพ่อแม่ของเรา พอนึกออกใช่ไหม? แต่ตรงนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแบบวิญญาณ พระเยซูไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? พระเจ้าไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? จึงยกตัวอย่างอย่างที่มนุษย์พอจะเข้าใจ พอมองเห็นได้ ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข  แต่จริงๆ แล้วเล็งไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายด้วยนะ เดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป แต่ตอนนี้ให้ท่านรู้ว่าที่ท่านทำมหาสนิทอย่างนี้  ที่พระเยซูให้ท่านกินขนมปัง หมายถึงร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น เหมือนกับดื่มเลือดของเรา ท่านกำลังเข้ามามีเลือดเนื้อเชื้อไขร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจหรือยังครับ?

            จะกินน้ำองุ่นก่อนก็ได้ หรือจะกินขนมปังก่อนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะกินขนมปังก่อน แล้วค่อยกินน้ำตาม เพราะจะได้ลื่นคอหน่อย เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ถ้าเข้าใจ กินขนมปังและน้ำองุ่นพร้อมกันครับ ตอนกินไป ก็ระลึกถึง ที่ผมบอกตะกี้นี้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            แล้วระลึกถึงว่าที่เรากำลังทำอยู่นี้ เป็นแค่สมมติ เมื่อตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนั้น ก็เป็นสมมติ แต่สมมติเขากินจริงๆ กินขนมปังไร้เชื้อ เป็นก้อนจริงๆ ดื่มน้ำองุ่น คือน้ำองุ่นจริงๆ แต่อันนี้เราสมมติเอา

            พระองค์กระทำเช่นนี้ เพื่ออะไร? แล้วบอกให้เราทำบ่อยๆ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันพรุ่งนี้ จำได้ไหมตะกี้เราพูดกัน พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ตอนวันพฤหัสตอนเย็น ก่อนจะถูกจับ พระองค์รู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทำอย่างนี้ๆ พรุ่งนี้ ท่านจะได้ระลึกถึงสิ่งที่เราทำนี้ และให้ทำบ่อยๆ  ทำครั้งใดให้ระลึกถึงเรา ระลึกถึงเลือด ระลึกถึงร่างกายที่ตาย เพื่อท่านทั้งหลาย เลือดที่หลั่งออกมาชำระบาปให้กับท่าน และทำให้ท่านกับเราได้บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังทำสิ่งนี้ เป็นการประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประกาศมา 3 ปี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่ประกาศว่าให้กระทำสิ่งนี้

            นี่คือข่าวดีเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ที่พระองค์ประกาศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกจับไปเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกตรึง จนกระทั่งยอมสละชีวิตพระองค์เอง ยอมยกเลิกวิญญาณ ซึ่งขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ ที่เรากินเมื่อตะกี้นี้  ทิ่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน    น้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา   เพื่อชำระล้างความผิดบาปให้กับเรา การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่นเล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน แบบสนิทกัน เลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับวิญญาณของผู้เชื่อของมนุษย์ทั้งหลาย  คือบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้าเดียวกันเลย

            และว่ากันตามจริงแล้ว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แบบร่างกาย ความคิด จิตใจ และวิญญาณ 3 อย่างเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย อย่านึกว่าร่างกายเราสกปรกอีกต่อไป ไม่มีอีกแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านก็ต้องเชื่อในสิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูบอกเช่นเดียวกัน ก็คือพระองค์ทรงยอมตาย ก็เพื่อสิ่งนี้  ที่เราจะได้เข้าไปร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายท่านก็ได้ถูกชำระ และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ที่จะได้รับร่างกายใหม่  แต่ร่างกายปัจจุบันที่ยังอยู่นั้น ท่านอาจจะบอกว่าเป็นร่างกายเดิม ฉันยังอยู่เหมือนเดิม ยังแก่เหมือนเดิม แต่มันได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ปกคลุมอยู่เหนือท่านตลอดเวลา เป็นร่างกายใหม่แล้ว แต่ท่านมองดู มันยังเก่าอยู่ก็จริง แต่ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ สมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อจากร่างกายนี้ไปแล้วนั่นเอง

            ใน 1 โครินธ์ 10:16-17 เมื่อสักครู่นี้จึงบอกว่า … “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ?”

            เข้าร่วม แปลว่าเข้าเลือดเนื้อเชื้อไข เข้าเลือด และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมไม่ใช่หรือ? คือเลือดก็เข้าด้วยกัน เนื้อก็เข้าด้วยกัน เหมือนกับเราเกิดจากพ่อแม่เราไม่มีผิด

            “เนื่องจาก มีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            นี่หมายถึงพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  ก็เข้าส่วนร่วมในพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวกันเท่านั้นเอง เราเลยร่วมกัน นี่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างให้เห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ  เพื่อจะได้เห็นในโลกวิญญาณว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? คริสเตียนทุกคนที่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา ก็คือเปรียบเสมือนพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ แล้วพวกเราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะต่างๆ ของร่างกายนี้ พอจะมองเห็นใช่ไหม? ทั้งหมด ก็ยังเป็นรูปร่างของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท ก็เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ระบบของเครื่องบูชาต่างๆ สมัยปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมได้สิ้นสุดลง จบแล้ว ไม่ต้องทำอีกต่อไป  ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์ทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา แค่ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในฮีบรู 7:27 …

        ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของตนเอง จากนั้น จึงถวายเครื่องบูชา  สำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา  สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            หลังจากที่พระเยซูกระทำมหาสนิทในค่ำวันพฤหัสแล้ว แล้วก็สั่งให้สาวกทำบ่อยๆ ให้ระลึกถึงบ่อยๆ จนพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เหล่าสาวกก็เชื่อฟัง และกระทำสิ่งนี้มาตลอด เป็นเรื่องสำคัญที่ทำกัน ไม่ใช่แค่ทำกันปีละครั้งหนึ่ง หรือเดือนละครั้ง ทำกันบ่อยๆ เลย เมื่อมีโอกาสทานข้าวด้วยกัน ก็จะระลึกถึงอย่างนี้ มีโอกาสพิเศษ ก็ระลึกอย่างนี้ มาอยู่ร่วมกันก็ระลึกถึงอย่างนี้ ทำไมระลึกถึง? เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่พระเยซูจะตาย พระองค์ทรงทิ้งคำนี้เอาไว้ให้ว่าให้กระทำอย่างนี้บ่อยๆ จงระลึกถึงเรา ที่เราทำให้ จงระลึกถึงเลือดของเรา ระลึกถึงร่างกายของเราที่จะตายเพื่อท่าน แสดงว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก และไม่อยากจะให้มนุษย์ลืม คิดดูสิ ขนาดสาวกเหล่านี้ทำต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ทั้งเปาโล ผู้ซึ่งมาเป็นอัครสาวกทีหลัง เขาเน้นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ พระเยซูสั่งให้เปาโลประกาศอย่างนี้ว่าให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ทำกันมาบ่อยๆ ขนาดทำกันมาบ่อยๆ มาถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมา คิดดูสิ ยังลืมเลย ถามว่าลืมหมายถึงอะไร? ลืมความจริงไปว่าทำนี้เล็งถึงอะไร? พระโลหิตหมายถึงอะไร? ร่างกายพระองค์แตกหักเพื่ออะไร? พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่ออะไร? ความจริงเหล่านี้ถูกเลือนหายไปเยอะแยะเลย

            ซึ่งการกระทำเหล่านี้ พระเยซูบอกแล้วว่าวัตถุประสงค์ของพระเยซู ก็คือต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐ หัวใจก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย จะได้ร่วมตายกับพระองค์ด้วย หัวใจไม่ได้อยู่ที่การเป็นขึ้นจากความตายนะ นึกให้ดีๆ แล้วลองคิดดูว่าความจริงในเรื่องนี้ ที่พระเยซูให้เราย้ำยืนยัน กลัวเราลืม แล้วเราลืมขนาดไหน? เราฉลองวันอะไรมากกว่ากัน วันเกิดของพระเยซู วันคริสตมาสเราฉลองกันใหญ่โตเลย รองลงมา เราก็ฉลองวันเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐไม่มีคนพูดถึง ทั้งๆ ที่ความสำคัญที่สุด อยู่ที่วันศุกร์ประเสริฐ วันตาย

            พระองค์เกิดวันคริสตมาส แต่มาถึงวันศุกร์ พระองค์ไม่ยอมตายก็ได้ เห็นไหมครับ อะไรสำคัญกว่า พระองค์ตัดสินใจยอมตาย  ตายสำคัญกว่า ถูกไหมครับ?  พระองค์เกิด พระองค์ไม่ตายก็ได้  แล้ววันเป็นขึ้นจากความตายล่ะ? เป็นขึ้นจากความตายไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสเลย  เพราะถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีทางเป็นขึ้นจากความตาย

            เพราะฉะนั้น ความสำคัญ หัวใจของข่าวประเสริฐ จึงอยู่ที่การตาย สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่ให้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่ออะไรที่พระองค์ทรงกระทำ เป็นข่าวดีนั้น ข่าวดีถูกทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว บริบูรณ์แล้ว

            พอพระองค์ทรงเกิดในรางหญ้า  และพระองค์ก็ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ไม่ได้พูด ถูกไหม?  เป็นขึ้นจากความตาย ก็ไม่ได้พูดนะ  แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Tetelestai” ภาษากรีก ทรมานมากเลย อยู่บนไม้กางเขน ร้องเสียงดังว่า “Tetelestai” สำเร็จแล้ว ที่ทุกข์ทรมานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้า ไม่มา ในที่สุด ก็ทำสำเร็จแล้ว ยอมตายแล้ว จบแล้ว อะไรสำเร็จ? ก็คือข่าวประเสริฐนั่นเอง มวลมนุษยชาติได้รับการไถ่บาปจนหมดสิ้นแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้าแล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์แล้ว มนุษย์สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระองค์แล้ว มันเป็นแล้ว มันเกิดแล้ว มันได้แล้ว นี่คือข่าวดีให้ประกาศออกไปให้กับใคร? ให้กับคริสเตียนทุกคน  ไม่ใช่ ประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคนว่าเขาได้รับแล้ว

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาแล้วหรือยัง? แล้ว สำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว  เพียงแต่เขารู้ข่าวดีหรือยัง? เมื่อรู้แล้ว เขาจะรับสิทธิเขาไหม? สำคัญที่สุด พระองค์ทรงบังคับใครไม่ได้  แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้แล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้มาโดยเป็นของขวัญ ของประทานจากพระบิดาและพระบุตรร่วมกัน เป็นพระคุณที่มนุษย์ทั้งหลายไม่ต้องทำอะไรเลย จึงจะได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาเดิมที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง อยู่ใต้พันธสัญญาเดิม  ก็คือพันธสัญญาแห่งการกระทำด้วยตนเอง พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎระเบียบ ศีลธรรม ต้องทำความดีเยอะๆ ถึงจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  แต่นี่ให้ฟรีๆ  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับสิทธิของตนเอง มันง่ายมากเลย ก็เลยไม่เชื่อ เพราะมันง่ายไป ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ

            “สำเร็จแล้ว” คืออะไรอีก? อะไรที่สำคัญตรงนี้ ตะกี้นี้ผมบอกตอนต้น  สำเร็จแล้ว คือการบัพติศมาไง บัพติศมาสำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว

            ขบวนการรับบัพติศมาในพระวิญญาณ พร้อมแล้ว สำเร็จแล้วกับมนุษย์ทุกคนที่จะเปิดใจเข้าไปสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระเจ้า ขบวนการนี้สำเร็จแล้ว ตั้งขึ้นมาหมดแล้ว ณ วันนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งเมื่อไร? เมื่อเช้านี้ ตอนที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ถ้าในโลกวัตถุ ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณเมื่อเช้านี้ ตั้งอยู่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือขบวนการ การบัพติศมาในพระวิญญาณของพระเจ้า การบังเกิดใหม่ ได้เริ่มต้นแล้ว  สำหรับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ว่าจะชาติใด ศาสนาใดก็ตาม สำหรับเขา เป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปิดใจ ก็จะได้รับความรอด จากความพินาศ ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ในที่ที่เราเรียกกันว่านรก ย้ายออกจากนรก อาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีจริงๆ  โดยกำเนิด เป็นคนดีเหมือนพระเจ้าเลยทางวิญญาณ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที

            พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร เราก็ได้รับไปด้วย  เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้อะไร เราได้ไปด้วย พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ด้วย และทั้งหมดนี้ เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเกิดขึ้นทันที ไม่ต้องรอ

            พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้บัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระองค์ ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกของพระเจ้า หรือได้รับมรดกจากพระบิดา ที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู แล้วพระเยซูก็ให้กับพวกเราอีกที  เพราะว่าเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เหมือนที่ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเปิดใจต้อนรับ ทันทีทันใดปุ๊บ  เราก็ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระคริสต์ พระคริสต์ก็มาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนี้ต่อไป เราเดินไปที่ไหนก็ตาม เราก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร ฉันก็ได้รับด้วย พระเยซูคริสต์เป็นอะไร ฉันก็เป็นด้วย  พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ฉันก็นั่งด้วย พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ฉันก็สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องเรียนรู้ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าในแต่ละวัน เรียนรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างไร? ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พระเยซูคริสต์มีลักษณะเป็นอย่างไร?  ก็เรียนรู้ไป  แล้วก็เชื่อเท่านั้นเองว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เรามองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา ก็คือการจุ่ม ใส่เราเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ตอนนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านเห็นคำว่า “บัพติศมา” เมื่อไร? ท่านใส่คำนี้เข้าไปแทนที่เลย “เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน” ท่านทั้งหลายบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือท่านเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ บัพติศมา ก็คือการย้ายเราออกจากที่เดิมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะก่อนหน้านี้ เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความมืด

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา พูดง่ายๆ ก็คือการผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืดในอาดัม มาอยู่ในความสว่างในพระคริสต์ โดยให้เรามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โดยบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ ในหนังสือโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าพอเราบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ เราก็ตายพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  ตัวเก่าเราที่เป็นตัวบาป สกปรก โสโครกตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงตาย ก็เพื่อเราจะได้ตายด้วย และเมื่อเราตายด้วยปุ๊บ เราอยู่ในพระองค์แล้ว พระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระเจ้า พระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่สาม  เราก็เป็นร่วมกับพระองค์ด้วย  พระองค์ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ได้รับสิทธิอำนาจทั้งหมด ในโลก สวรรค์ก็ดี  3 โลกเลยก็ตาม อะไรแล้วแต่ เราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้นไปด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

            แล้วมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง แค่เปิดใจเท่านั้นเอง แค่เปิดใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ มันเป็นจริง แล้วรับสิทธิของท่าน มันก็เกิดขึ้นทันทีในวิญญาณ ในชีวิตของท่านทันที ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วย ท่านจะรู้ รู้เพราะมันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจะรู้จากภายในของท่านว่ามันใช่จริงๆ ท่านไม่สามารถพิสูจน์ก่อนที่จะเข้าไปบัพติศมาได้  เพราะว่ามันไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ  ท่านต้องบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เสียก่อน แล้วท่านถึงจะรู้ว่ามันเป็นจริงๆ  ท่านกลับไปคิดดูแล้วกันสิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร? ต้องค่อยๆ คิดไปทีละนิด

            ที่กำลังพูดไปทั้งหมดนั้น เป็นมรดก เป็นพินัยกรรม ที่พระเยซูได้รับ และให้มนุษย์ทั้งปวง มนุษยชาติทั้งหมด มีสิทธิ์เข้าร่วมรับมรดกนี้ ร่วมกับพระองค์ และมรดกนี้ พินัยกรรมนี้ มีผลบังคับใช้เรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายแล้ว มรดกถึงเริ่มทำงาน เอเมน คนตายแล้ว พินัยกรรมถึงจะเริ่มทำงาน พระคัมภีร์บอกไว้ พระเจ้าตั้งมรดกนี้ ไว้ตั้งนานแล้ว รออย่างเดียว รอผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตายเมื่อไร? มรดกมาถึงมวลมนุษยชาติทันที  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน?

            ต้นไม้แห่งอาดัม  หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์  ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี  หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

            การบังเกิดใหม่  คือการย้ายจากที่อยู่เดิม  ในอาณาจักรแห่งความมืด  มาอยู่บ้านใหม่  คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร  ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์

            ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า  ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ออกจากที่เดิม คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์

                        ➢ ออกจากการอยู่ในความตาย  มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์

                        ➢ ออกจากการเป็นทาส   มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระเจ้าบอกความจริง ในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรา  มองดูข้างนอกเหมือนมีชีวิต   แต่วิญญาณข้างในตัวตนจริงๆ  ตายอยู่  แค่รอเวลา เหมือนต้นไม้เขียวชอุ่มที่มีรากเน่า ไม่ช้าไม่นานก็แห้งตาย

            ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณข้างใน ร่างกายภายนอกนี้  ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวัน ที่จะเสื่อมสลาย  เน่าเปื่อยลง

            สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่  ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ  ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้อาดัมในบาป  เป็นกิ่งหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้น  อาจยังดูเขียวอยู่   ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่รากที่อยู่ใต้ดิน ที่มองไม่เห็นนั้นเน่าหมดแล้ว กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นไม้อาดัม ก็เพียงแค่ รอวันที่จะทยอยเหี่ยวแห้ง  เฉาตายลง

            วิธีเดียวที่จะให้กิ่งไม้ กลับมามีชีวิต  ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม   แล้วย้ายไปทาบกิ่ง ต่อติด  อาศัยอยู่ ในต้นไม้แห่งพระคริสต์ ก่อนที่กิ่งนั้นจะตายลงเอาไปเผาไฟพินาศ

            ถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน? ต้นไม้แห่งอาดัม หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            ทั้งหมดนี้  ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว  ในโลกวิญญาณ

            เพียงแค่เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้า เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณเรา เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ต่อกิ่งเข้ากับลำต้นพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่า ยินยอม รับการบัพติสมา  เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            เป็นการเข้าสู่กระบวนการ การบังเกิดใหม่ โดยการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ร่วมกับพระองค์ ในสวรรค์สถาน

            คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร   มีอะไร   เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น   และมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1410

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 23

โดย วราพร  คงล้วน

            ในพระธรรมเอเฟซัส 3:13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:13 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอท่านอย่าท้อใจ เนื่องด้วยความทุกข์ยากของข้าพเจ้า เพื่อพวกท่าน ซึ่งเป็นสง่าราศีของท่าน”

            อาจารย์เปาโลได้พูดคุยกับชาวเอเฟซัส ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิว ฉะนั้น กลัวๆ กล้าๆ  เขามีความรู้สึกว่าได้หรือ? เราไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า เราสามารถเข้ามารับพระพร ร่วมกับคนยิวได้ จริงๆ หรือ? อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นไปได้จริงๆ  นี่คือแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  หรือเผลอๆ ก่อนที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป ด้วยซ้ำไป พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ายังไง มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป  พระองค์ก็เตรียมการ เตรียมพระเยซูคริสต์ มาเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติ พระเจ้าก็ทรงเตรียมชาวยิวก่อน ซึ่งชาวยิวก็จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ หยิ่งทะนงในความเป็นประชากรของพระองค์ เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ  ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้า พอตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ได้ถูกประกาศออกไป ให้คนต่างชาติด้วย

            สาวกของพระเยซูมี 12 คน แล้วสาวก 12 คนให้ไปประกาศกับคนยิว  ส่วนสาวกพิเศษอีกคนหนึ่งที่มากลับใจใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกคนนี้ ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่พระเยซูประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ให้กลับใจใหม่ แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว สาวกคนนี้ก็ต่อต้านพระเจ้ามากๆ เลย สาวกคนนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลเป็นหนึ่งในพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่รู้กฎระเบียบของโมเสสแบบชัดเจนมาก แล้วก็เคร่งครัด ในกฎระเบียบด้วย เขามีความรู้สึกว่ามีเพียงทำตามกฎระเบียบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น ที่จะสามารถไปถึงพระเจ้าได้ ได้รับความรอด จากพระเจ้าได้ เขาลืมไปว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญากับคนยิวไว้ ตั้งแต่โน้น อดีตเลย ที่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำอย่างนี้ ทำให้ผู้คนของพระองค์ มีอิสรภาพ เปลี่ยนใจใหม่ให้กับผู้คนเหล่านั้น

            สิ่งที่พระคัมภีร์เดิม  พูดคำว่า “จะ” หมายถึงว่าอนาคตข้างหน้า จะทำ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงกระทำแผนการของพระองค์ สำเร็จบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว คำว่า “จะ” ในพระคัมภีร์เดิม ไม่มีอีกแล้ว  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาได้เลย ได้ในสิ่งที่พระเจ้าบอก สัญญาไว้ในพระคัมภีร์เดิม พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” จะไม่มีแล้ว แต่ถ้าพี่น้อง จะยกพระคัมภีร์เก่ามา หมายถึงกำลังย้อนให้ฟังว่าเมื่อก่อนนะ พระเจ้าสัญญาว่าอย่างนี้ แต่บัดนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือคำว่า “จะ” จะไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้พี่น้องทุกคนสามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้เลย  ตามที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป แล้วใครก็ตามที่เชื่อตามนั้น เขาก็จะได้รับตามพระสัญญา คือเขาจะได้รับความรอด เขาจะได้รับบัพติศมาในวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า วิญญาณเก่าที่เป็นบาป  ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ได้ถูกฆ่าให้ตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้ถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แล้ววิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้ คือวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ เราต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราขอบคุณพระเจ้า พอเราวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรายอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เราได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าใส่ของประทานแห่งความเชื่อลงมา พร้อมกับสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรม ความดีงาม  ความรักที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกใส่เข้ามาในผู้เชื่อทุกคน เรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

            ตรงนี้แหละ สมัยก่อนเราไม่เข้าใจ  แล้วเราหาเหตุผลไม่ได้ ดังนั้น เรื่องของพระเจ้า เราไม่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ หรือความคิดของมนุษย์ที่จะมาสรุปว่าตกลงที่พระเจ้าบอกตรงนี้ มันยังไง มันต้องมีเหตุ มีผลอะไร ไม่มี ต้องใช้ความเชื่อเอา ฉะนั้น พระเยซูต้องการที่จะให้ผู้เชื่อทุกคน เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเราไว้ว่าพระองค์ได้ทำอะไรให้เราสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน

            สมัยก่อน พอศุกร์ประเสริฐเราจะใส่สีดำ เหมือนกับเรามางานไว้อาลัย ทุกคนก็จะใส่สีดำ มันกลายเป็นประเพณีที่บล็อกเราไว้ว่าต้องสีดำ  แต่ความเป็นจริง วันศุกร์ประเสริฐไม่ได้เป็นวันเศร้าสร้อยเนอะ เป็นวันที่เรามาเฉลิมฉลองผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เหมือนกับผู้เชื่อคนหนึ่งจากโลกนี้ไป จริงๆ แล้วมีใครสามารถพลิกธรรมเนียมเก่าๆ ที่เราเคยชินว่าพอไปงานศพ งานไว้อาลัย เราต้องใส่สีดำ พลิกเป็นใส่สีอื่นได้ไหม? จริงๆ เราเป็นคริสเตียนได้เนอะ เราไม่ได้มาเศร้าเสียใจกับพี่น้องของเราที่จากโลกนี้ไป  เพราะเรารู้ว่าเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาไปในที่ๆ ดี งานที่พระเจ้าให้เขาทำบนโลกใบนี้ เขาทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

            “เสร็จงานแล้ว ไปกลับบ้านลูก”

            ก็ไปอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเจ้า เหมือนกับที่ทุกวันนี้ ในโลกวิญญาณ เราก็นั่งอยู่กับพระเจ้าแล้วที่สวรรคสถาน เพียงแต่เรา จับต้องมองไม่เห็น เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ถ้าวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ แต่ได้เห็นพระเจ้าชัดเจน ด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องใช้ความเชื่อ แล้วพอพี่น้องที่จากเราไปก่อน ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ปุ๊บ เขาก็คอยเชียร์พวกเราอยู่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าอยู่ ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร คริสเตียนสามารถพูดแบบนี้ได้หมดเลย อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร

            คำว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์” คืออยู่ให้รับรู้ความจริงว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา แล้วพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา ขับเคลื่อนอยู่ในชีวิตของเรา ดำเนินชีวิตทุกวันตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้นำเรา เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เพราะวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราที่เป็นบาป มันตายไปแล้ว แต่ชีวิตปัจจุบันที่เรายังเดินเหินอยู่ เป็นชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา เพราะว่าพระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่กับเรา ให้ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ให้กับเรา ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่บรรพบุรุษของเราได้ทำให้สูญหายไปแล้ว ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้า อยากจะพึ่งพาตัวเอง

            พอเรากลับมาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูเป็นคนกลางที่ทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาที่เดิม มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นแบบชีวิตของพระเจ้า เหมือนเดิม ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น  แล้วเราก็เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าบอก อย่างที่เราคุยกันว่าให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง นมัสการ คือเอเมน ใช่ ยอมรับ ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าว่าขณะนี้เราเป็นอย่างไร  แม้ว่าตาของเราจะมองเห็นว่ามันไม่เห็นเหมือนเลย มันไม่ใช่ บอกว่าเราเป็นคนดีพร้อม มันดีพร้อมตรงไหน? เรายังแย้งตัวเราเองอยู่เลยว่ามันใช่หรือ? เราดีพร้อมจริงหรือ? ตอนนี้ นิสัยเรายังไม่ค่อยดีเท่าไรเลย? เราจะดีพร้อมได้อย่างไร? ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เหมือนพระเจ้าเลย  แล้วเราทำอะไร? เราทำได้อย่างเดียว คือเอเมน ตามนั้น ไม่ว่าตาเราจะมองเห็นอะไร สภาพแวดล้อมเราจะเป็นแบบไหน? เราไม่สนใจ เราสนใจว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เกิดผลสำเร็จในชีวิตของผู้เชื่อ แบบไหน? อย่างไร?  แล้วเราก็เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระองค์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็สารภาพกับพระเจ้าว่า …

            “ใช่ ถูกต้อง เอเมน เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            แม้ว่าข้างๆ จะมากรอกหูเรา … “ชอบธรรมตรงไหน?”

            “ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเอเมนตามนั้น”

            นี่คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราต้องยืนหยัด ไม่ยอมให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบของระบบโลกนี้  พยายามส่งเข้ามาหลอกเรา ทำให้เราไม่สามารถเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา สำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วทำให้เราไขว้เขว

            อย่างที่บอก ต่อให้มารซาตานสามารถทำให้เราไขว้เขวได้ หลอกลวงเราได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มารทำไม่ได้ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตรงนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นแล้วเป็นเลย ก็คือเราได้อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราดำเนินชีวิตแบบไม่สมกับที่ควรจะเป็น ไม่สมกับที่เราบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของเรา แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะมีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น  ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เก็บเกี่ยวผล หรือเราไม่สามารถที่จะประกาศพระสิริของพระเจ้าได้เต็มที่ เต็มขนาด

            ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้  อย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอความทุกข์ยากแน่นอน อย่าคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้า เราจะสุขสบายตลอดเวลา ไม่มีทาง เราจะเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา มันจะต่างกันกับคนที่ไม่มีพระเจ้า คนที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ยอมต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อย่างนั้น เขาทุกข์คนเดียวนะ เขาต้องแบกคนเดียว เขาต้องฟันฝ่าคนเดียว แต่ผู้เชื่อ เจอความทุกข์เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อเลย แต่เรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค แล้วพระเจ้าจูงมือเราเดิน พระองค์จะทรงแนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้กำลังเราที่เราจะสามารถผ่านวิกฤตเหล่านี้ได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า

            ปัญหามันไม่ได้หมดไปแน่นอน ปัญหามันไม่มีทางหมดไป จากชีวิตของเรา หมดไปได้วิธีเดียว คือเราตาย ตายเมื่อไรปัญหาหมด ลมหายใจหมดเมื่อไร? วิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? ทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้ที่นี่เลย แล้วรวมทั้งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถูกทิ้งไว้ที่นี่เลย  สิ่งที่ตามเราไปบนสวรรค์ มีอยู่แค่ 2 สิ่ง ก็คือวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กับเราตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าเลยนะ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลยกับความคิดจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า 2 สิ่งนี้จะตามเราไปที่สวรรค์ เพื่อรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว รอไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราที่จากโลกนี้ไป เราก็ไปรับร่างกายใหม่อย่างเดียวไม่พอ ไปเจอกับโลกใหม่ด้วย

            พระเยซูบอกไว้ชัดเจน ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงทุกวันนี้ แล้วพระองค์ก็จะบอกต่อไปจนกว่าโลกนี้จะสูญสลายไป บอกว่าโลกนี้ยังไงก็ต้องสูญสลายไป  มันถูกทำร้าย จนเสียหายไปหมดแล้ว  ก็คือตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมกับเอวาตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพระเจ้า อยากพึ่งพาตัวเอง  โลกนี้ก็เสียหายไปแล้ว ฉะนั้น โลกนี้เมื่อเสียหายแล้ว มันจะทำให้ดีกลับเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเสียไปเรื่อยๆ เน่าไปเรื่อยๆ จนกว่าวันที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ว่าวันนั้นจะมาถึง คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมารับผู้เชื่ออีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนรอคอยอยู่ แล้วในพระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูก็ไม่รู้ว่าวันไหน? มีแต่พระเจ้าพระบิดาผู้เดียวเท่านั้น ที่กำหนดเวลา ที่พระเยซูคริสต์กลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์

            มันมี 2 ทาง ก็คือถ้าพระเยซูยังไม่มา พวกเราจากโลกนี้ไปก่อน พระเยซูก็มารับเราส่วนตัว แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ก่อนชาวบ้าน ก็คือไป เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้สัมผัสสวรรค์ด้วยตัวตนของเราเอง แต่ตอนนี้เราสัมผัสสวรรค์ด้วยความเชื่อในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ผู้เชื่อต้องยอมรับความจริงตรงนี้ แล้วก็รับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้เราหวาดผวาตลอดเวลา เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว บางครั้งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็หวาดผวาว่า …

            “ตกลง หลังความตาย ฉันจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าหรือไม่?”

            ทุกคนบอกว่าอยู่ไหม? … “อยู่แน่นอน”

            ทำไมเรารู้ว่าอยู่แน่นอน เพราะว่าตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อยู่ที่สวรรค์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง

            ดังนั้น ความเชื่อตรงนี้แหละ จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นอิสรภาพ มีหลายคนบอกว่าถ้าพูดอย่างนี้ หรือสอนอย่างนี้ คริสเตียนก็สบายสิ  ทำบาปได้สบายเลย ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ทำอย่างไร ก็ได้รับความรอดอยู่ดี พี่น้องว่าจริงไหม? มันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ด้วย ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ของเรา ไม่มีใคร มีธรรมชาติที่จะทำบาปเลย ดังนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันจะแพ้ พอเราทำบาปปุ๊บ ข้างในเราจะไม่สบายใจ ข้างในมันจะทุรนทุราย

            เหมือนที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่าง เหมือนกับปลา ปลาต้องอยู่ในน้ำ ถ้าฝนตก ปลาตัวไหนซนหน่อย กระโดดออกมานอกน้ำ แล้วก็มาอยู่บนบก ตอนที่ฝนตกน้ำท่วม บนบกยังมีน้ำอยู่ใช่ไหม? เขาก็พอชิวๆ อยู่ได้ แต่พอน้ำลดปุ๊บ ปลาดิ้นผลั๊กๆ อยู่ไม่ได้แล้ว แล้วเขาต้องทำอย่างไร? พยายามหา ดิ้นรนสุดกำลังเลย ถ้าเขาอยู่ใกล้น้ำ เขาจะดิ้น ทำให้ตัวเองลงไปที่น้ำเหมือนเดิม เพื่อเอาชีวิตรอด

            ลักษณะผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความดีงาม เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราจะไม่มีความรู้สึกอยากจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราเลย แม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเราเผลอ ทำไมเราเผลอได้ เพราะว่าร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ไง พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เรายังต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่เรามีภาษีเหนือกว่าคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่ามีพระเจ้าอยู่ข้างในเราทั้ง 3 พระภาค คอยให้กำลังเรา แล้วพระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจด้วย อันนี้พิเศษหน่อย

            อยากให้พระเจ้าไม่ให้สิทธิ์เราเลย พระเจ้าควบคุมทุกอย่างไว้เลย เราจะได้ไม่ต้องไปทำบาป นึกออกไหม? ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา ถ้าพระเจ้าควบคุมเราได้ แต่ไม่ใช่ธรรมชาติของพระองค์ ความเป็นพระองค์ พระองค์ให้อิสรภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก คืออาดัมกับเอวา พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจ จนถึงทุกวันนี้ แม้พระเจ้าพระบิดาซื้อชีวิตของพวกเรา ด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว  พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อเหมือนเดิม ก็คือให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะยอมมอบถวายความคิด มอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ให้พระเจ้าใช้ไหม? ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ หรือเราจะไม่ยอม เราทำได้ เราไม่ยอม เราก็จะกบฏกับพระเจ้า วันนี้ไม่อยากทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การหลอกลวงมันมาแรงมากเลย เราขอกระโดดออกไป ทำตามที่โลกนี้นำเสนอมา เราก็ทำ

            พอทำปุ๊บ เรารู้สึกเสียใจ เป็นคริสเตียน ไม่ได้ทำไป มีความสุขไป เราเป็นผู้เชื่อ ธรรมชาติใหม่ เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว  เราไม่ใช่ทำไม่ดี ไปด่าเขา แล้วมีความสุข ลอยหน้าลอยตามันไม่มีทางอยู่แล้ว เผลอไปปุ๊บ รู้สึกไม่ดีเลย  เสียใจ ขอโทษพระเจ้า ให้กำลังลูก ที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ แล้วเราก็ทำอย่างนี้ สู้ไปเรื่อยๆ แล้วรับรู้ความจริงของพระเจ้าว่า ณ เวลานี้ เราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำอะไรสำเร็จแล้วในชีวิตของพวกเรา เรามีภาษีเหนือกว่าเยอะ เมื่อเราฮึดสู้ ต่อต้าน ขัดขืนไม่ยอมมัน

            “มัน” คือระบบของโลกนี้ ที่พยายามส่งข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มาให้กับสมองของเรา เพื่อเราจะได้สั่งร่างกายทำตามมัน เราก็ไม่ยอม เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า แล้วตลอดชีวิตที่เรายังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะสู้กันอย่างนี้แหละ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที  แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะก็ตาม เราก็ยังคงอยู่ในพระคุณของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังคงเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจเหมือนเดิม ความรอดเราไม่สามารถหลุดไป โดยที่เราประพฤติไม่ดีปุ๊บ ตกลงความรอดเรายังอยู่ไหม? หายไปแล้วหรือยัง? มันไม่มีทางเลย พระเจ้าบอกว่ารอดแล้ว รอดเลย ยังไงก็ไม่มีใครสามารถที่จะพรากเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            ฉะนั้น พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ข้างในวิญญาณ เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มันคือธรรมชาติใหม่ของเราเลย เราปรารถนาที่จะทำตามที่พระเจ้าบอก แค่ว่าขณะที่เดินทาง เราก็ออกข้างนอกบ้าง อะไรบ้าง  แต่ไม่เป็นไร ออกข้างนอก เราก็กลับเข้าลู่เหมือนเดิมได้ เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความดีงามนี้ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 3:14-15 “14 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงต่อหน้าพระบิดา 15 ผู้ทรงเป็นที่มาของนามแห่งตระกูลทั้งมวลของพระองค์ในสวรรค์และในแผ่นดินโลก”

            ที่อาจารย์เปาโลบอกให้ผู้เชื่อในเอเฟซัส อย่าท้อใจ เพราะว่าความทุกข์ยากที่อาจารย์เปาโลต้องรับอยู่ เพราะว่าอาจารย์เปาโลประกาศความรอด ประกาศแผ่นดินสวรรค์ ประกาศพระเยซูคริสต์ ทำให้คนในยุคนั้น คนยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เขาเคืองมากเลย เขาก็ไล่ล่าอาจารย์เปาโล บางทีก็จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง บางทีจับไปโบยตีบ้าง อะไรบ้าง จิปาถะ แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้รู้สึกว่าพอเจอปัญหาอย่างนี้ ไม่เอาดีกว่า เลิกประกาศพระเยซูคริสต์ดีกว่า ไม่มี อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนหยัดที่จะประกาศ พระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะรู้ว่านี่คือความจริง นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ ที่ใครก็ตามได้ยินได้ฟังแล้วเชื่อตามนั้น เขาจะได้อิสรภาพ เขาจะได้รับการปลดปล่อย เขาจะได้เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ใส่ใจในความทุกข์ยากลำบากของตัวเองเลย ติดคุกอยู่ ก็ยังสามารถเขียนจดหมายมาหนุนใจคนข้างนอกได้ มีใครทำอย่างนี้ได้ ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนกันพวกเราในปัจจุบัน เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเจอความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108 1009 มันทุกข์ ทุกข์จริงๆ ด้วย ไม่ได้ทุกข์เล่นๆ ไม่ใช่เป็นที่เรามาเล่าสู่กันฟัง แบบสนุกๆ ไม่ใช่ ทุกข์จริงๆ บางคนทุกข์แบบสาหัสสากัน แต่ว่าเขาสามารถอยู่ได้ ผ่านไปได้ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเขา พระองค์ไม่เคยทิ้งเขา พระองค์คอยประคับประคอง พระองค์คอยประทานกำลังให้กับเขา เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่ามีหนามในเนื้อ ขอ 3 ครั้ง ขอให้พระเจ้าเอาหนามออกไป พระเยซูบอกว่า …

            “ความอ่อนแอของเจ้ามีที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะเต็มบริบูรณ์ในชีวิตของเจ้า”

            หมายความว่าถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร? ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานไม่เต็มที่ เพราะเราซ่าส์ไง พอเราแข็งแรง เราอยากทำเอง แต่พอเราไม่มีแรง เราทำเองไม่ไหว  แล้วพระเจ้าทำแทน นึกออกไหม? นี่คือความเป็นจริง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระคัมภีร์เลยบอกว่าอาจารย์เปาโลก็อวดความอ่อนแอของตัวเอง ภาคภูมิใจในความอ่อนแอของตัวเอง ที่ความอ่อนแอมีเมื่อไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็มีเต็มขนาดในชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วอาจารย์เปาโลเจอความทุกข์ยากลำบาก อาจารย์เปาโลก็ผ่านไปได้ด้วยพระคุณ ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า และอาจารย์เปาโลก็ยังรู้ว่าที่ท่านถูกเรียกมา เพื่อทำอะไร?

            ที่เรายกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องจะต้องไปทำตามอย่างอาจารย์เปาโล ไม่ใช่ แต่ละคนถูกเรียกมาต่างกัน  ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อพระเจ้าเรียกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ก็คือให้เรามาอยู่กับพระองค์ แค่นั้นเอง นี่คือเป้าหมายหลัก แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราอย่างไร? พระองค์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา  แล้วพระองค์ก็จะนำเราออกไปทำงาน แล้วที่เราออกไปทำงาน รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ความดีงามของเราเลย หรือไม่ใช่ฝีมือเราเลย  แต่เป็นเพราะพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา  เป็นผู้ประกอบกิจ ทำให้เราสามารถทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แล้วพอเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า จบ มันไม่มีอะไรพิเศษเลย สำหรับผู้เชื่อ เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้ที่กระทำอยู่ภายในชีวิตของเรา คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่อยู่ในเราเท่านั้นเอง

            อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนที่กำลังเจอปัญหาความทุกข์ยาก สมัยก่อน เขาเจอปัญหา เจอเยอะนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าปัจจุบันเราเจอเยอะกว่า เห็นไหมทุกวันนี้ เราเจอทั้งภูเขาไฟระเบิด เผาป่า เผาไปหลายวันยังดับไม่ได้เลย ควันพิษเอย ฝุ่น PM 2.5 เอย แถมมาเจอโควิดอีก อยู่ยากนะ อยู่ลำบาก เดินไปไหนมาไหน สมัยก่อนมีอิสรภาพมาก เราจะเดินไปไหน เราก็มีความสุข เดี๋ยวนี้ เดินออกข้างนอก ถ้าลืมใส่แมส เหมือนเราแต่งตัวไม่เรียบร้อย

            เหมือนวันนี้ลืมใส่เสื้อออกนอกบ้าน อะไรประมาณนั้น แล้วเราคิดว่าเราทุกข์ยากลำบาก แต่จริงๆ แล้วความทุกข์ยากลำบาก มันมีมาทุกยุคทุกสมัย แล้วคนสมัยก่อน เขามีความเชื่อวางใจในพระเจ้า เพราะว่าเขาได้รับข่าวประเสริฐ ที่เป็นข่าวแท้ๆ เทคโนโลยีมันไม่ได้เจริญเหมือนทุกวันนี้  ที่เราจิ้มเอาๆ ฟังโน่น ฟังนี่ แล้วเราได้รับข่าวประเสริฐที่ผสมมา

            ดังนั้น ข่าวประเสริฐที่แท้ๆ ที่พระเจ้าประกาศ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วพระเจ้าต้องการให้เรามาอยู่กับพระองค์ อยู่กับพระองค์จริงๆ  แล้วก็คอยเงี่ยหูฟังว่าพระองค์จะให้เราทำอะไร? ไม่ใช่เราอยากทำอะไร?  แต่ทุกวันนี้ คือเราอยากจะทำโน่น เราอยากจะทำนี่ แล้วเราก็พยายามโน้มน้าวให้คนอื่น ทำตาม อย่างที่เราอยากทำ ซึ่งมันก็เท่ากับเราพึ่งพาในกำลังของตัวเราเอง ซึ่งทุกอย่างที่เราพึ่งพากำลังของเราเอง  ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            การพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า หลายคนคิดว่าเราทำไม่ถูกต้อง  ทำบาป ถึงจะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เปล่าเลย การทำความดี สามารถเป็นศัตรูกับพระเจ้าได้  เพราะเราพยายามทำความดี ด้วยกำลังของเราเอง เท่ากับเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้ทำให้เราดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ครบถ้วน สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้เราดีขึ้น เอเมนไหมค่ะ ไม่ต้องไปทำอะไรให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองดีขึ้น เพราะพระเจ้าบอกว่าท่านสะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ที่เราทำ เพราะข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเรา

            ถ้าสมมติว่าพระเจ้าบอกให้เราไปทำอะไรบางอย่าง มันออกมาจากใจข้างใน เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเราทำอย่างนี้ คริสเตียนขี้เกียจหมดทุกคนเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ขยันมาก แล้วพระเจ้าที่อยู่ในเราขยันซะขนาดนี้ จะทำให้เราขี้เกียจได้อย่างไร? พี่น้องนึกภาพออกไหม? เพียงแต่ว่าพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าเราอยู่บ้าน เป็นแม่บ้าน เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับพระเจ้าเลย เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าเลย แต่พระเจ้าบอก เธอเป็นแม่บ้านดีแล้ว พระองค์ให้ทำ หน้าที่ของแม่บ้าน ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน ดูแลลูก ดูแลสามีให้ดีที่สุด นั่นแหละ คืองานรับใช้  แต่ไม่มีใครคิดว่านี่คืองานรับใช้ เขามีความรู้สึกว่า …

            “ขึ้นสวรรค์ ฉันไม่น่าจะได้ที่นั่งที่ดี เพราะว่าคนอื่นมารับใช้พระเจ้าทุกวี่ทุกวัน มาโบสถ์ โน่นนี่นั่น วันๆ ฉันก็ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต แค่ดูแลลูก ฉันก็ไม่มีเวลาที่จะทำอะไรแล้ว สงสัยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราจะได้ไปอยู่ปลายแถวโน้น”

            นั่นเป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ และเป็นความคิดของเราเอง ที่เราคิดแทนพระเจ้า คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่พระเจ้าบอก …

            “ใครบอกพวกเธอล่ะ”

            พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้มรดกพวกเราทุกคนเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่ ไม่มีใครเล็ก ทุกคนเมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราได้มรดกเท่ากัน  เราได้อยู่กับพระเจ้าเท่ากัน เราได้รางวัลจากพระเจ้าเท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร แม้แต่คนที่มาเชื่อพระเจ้าวันแรก สมมติว่าเขามาเชื่อพระเจ้าวันเดียว แล้วเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ได้มรดกเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย ที่ทำงานตรากตรำทั้งชีวิต ทั้งโดนข่มเหง ทั้งประกาศ ทั้งอะไรเยอะแยะมากมาย  แต่เขาได้รางวัลเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ

            เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับความจริงเหล่านี้  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีอิสรภาพ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำทุกอย่างได้หมดเลย แต่ให้เราใคร่ครวญ คิดทบทวนว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ แค่นั้นเอง พระเจ้าไม่ได้ว่าพอไม่ทำดี มาลงโทษเรา ไม่มี พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวให้สบาย เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไปแล้ว เราเป็นอิสระจากกฎที่บังคับเรามาตลอด

            เมื่อก่อนตอนเชื่อใหม่ๆ เราไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้ เราก็เหมือนถูกบล๊อกด้วยกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วพอเราไม่ทำอะไรบางอย่าง ที่เขาว่าดี เราก็ไม่สบายใจ เรารู้สึกแย่เลย เราแย่มาก แต่ว่าพอเรารู้ความจริง ก็คือเราอยู่แบบอิสรภาพ พี่น้องนึกภาพคำว่าอิสรภาพได้ไหม? คือเราสามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุข

            อยากจะยกตัวอย่างอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่น้องเคยเห็นครอบครัวไหม? เอาครอบครัวพวกเราเองที่เห็นชัดๆ ลูกที่อยู่ในบ้าน เขามีอิสรภาพมากเลย เขาอยู่กับพ่อแม่ เขาไม่เคยมีความกลัว  แล้วเขาก็ไม่ต้องไปทำงกๆ ไม่ต้องไปทำอะไรดี เพื่อพ่อแม่จะยอมรับว่าเขาเป็นลูกเรา ไม่มี ลูกบางคนเดินเข้าบ้าน ก็นอนเอกเขนกเลย นอนตีพุงเลย แม่เรียกลุกขึ้นมากวาดบ้านหน่อย วันนี้ขี้เกียจ ไม่อยากกวาด เขารู้สึกผิดไหม? เขาไม่รู้สึกผิดเลยนะ เขาก็นอนเอกเขนก พอเขาอยากลุกขึ้นมาช่วย เขาก็ลุกขึ้นมาช่วย แล้วมีพ่อแม่คนไหนลุกขึ้นมาด่าลูก ทำไมนิสัยอย่างนี้ ไป ตัดออกจากกองมรดก  ไม่ต้องมาเรียกพ่อเรียกแม่ ไม่มีนะ พ่อแม่แค่ถอนหายใจ ส่ายหน้า แค่นั้น เอ้อ! ไม่อยากทำ ทำเองก็ได้ แค่นั้นเอง ภาพเป็นอย่างนั้นนะ

            เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้ามองเราอย่างนั้น เป็นลูกที่รัก เราไม่ต้องไปรู้สึกว่าเราต้องๆๆๆๆ ทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น ไม่ต้อง เรามีอิสระเสรี  เพียงแต่ว่าเราอยากให้พระเจ้ามีความสุข เอาเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำ จริงๆ พระเจ้าก็มีความสุขนะ แต่ในความคิดของมนุษย์ เราคิดว่าเราน่าจะทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้ามีความสุข ต่อให้เราทำหรือไม่ทำก็ตาม พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา จริงแล้ว เราทุกคน เราอยากทำตามธรรมชาติใหม่ของเราจริงๆ  ที่เป็นเหมือนพระเจ้าจริงๆ  ก็ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “คริสเตียนทำบาปยังคงได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            พระเยซูตรัสว่าคนที่จะเข้าอยู่ในสวรรค์ได้  ต้องบังเกิดใหม่  ถ้าไม่เกิดใหม่  ก็ไม่สามารถเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้ และใครจะเกิดใหม่ ก็ต้องเปิดใจรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับการบังเกิดใหม่จากพระองค์แล้ว จึงสามารถเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นพระมาสิฮาห์ เป็นพระคริสต์ได้ และได้สิทธิการเป็นบุตรของพระเจ้า  ได้รับการอภัยลบล้างบาปทั้งสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ทันที ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่คือวิธีที่จะเข้าสวรรค์  มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นเอง

            สรุป เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ด้วยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ และด้วยของประทานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติดี ไม่มีที่ติ

            ถามว่า … “เป็นคริสเตียนแล้วยังทำบาปอยู่  ได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            ก็ต้องถามว่า … “คริสเตียนคนนี้  เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณหรือไม่?”

            ถ้าเขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว  เขาก็ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้วทันที ที่เขาร้องขอความช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าช่วยให้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เป็นพระมาซิฮาห์ เป็นพระคริสต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่?  ถ้าบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ  ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

            แล้วทำไมยังทำบาปอยู่?

            พระคัมภีร์บอกว่าแม้ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่ทุกคนยังทำบาปเหมือนเดิม  ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้เหมือนเดิม

            เคยเห็นไหมคริสเตียนยังโกรธ ยังเกลียด ยังโมโหฉุนเฉียว ยังดื้อไม่เชื่อฟังพ่อแม่อยู่เลย ในพระคัมภีร์ยากอบบอกว่าเราทั้งหลายต่างล้มลงในความบาป  คือทุกคน ไม่ว่ามากหรือน้อย  ทุกคนก็ทำบาปอยู่  แล้วเราจะไปบอกว่าคริสเตียนคนโน้นคนนี้ทำบาปมากกว่าเราก็ไม่ได้ เพราะเราก็ทำบาป  เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรบาปไปเยอะแยะมากมายบ้าง คิดผิดคิดถูก บางทีเราแค่ขุ่นเคืองในใจก็บาปแล้ว  อะไรที่ดีแล้วเราไม่ทำก็บาปแล้ว  เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ

            ถามว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  ตามความจริงในพระคัมภีร์นี้ กำลังส่งเสริมให้คริสเตียนทำบาปต่อไปหรือ?

            เปล่าเลย! อัครทูตเปาโลอธิบาย ในโรม บทที่ 6 ว่า …

            “เราไม่ได้ส่งเสริม เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว เมื่อวิญญาณเขาบังเกิดใหม่แล้ว เขาจะมีธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ และความคิดจิตใจของเขาที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า เขาไม่อยากจะทำบาป เขาทำบาปไม่เป็น เขาจะมีความคิดของพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวของเขา  เป็นสิ่งที่ได้รับมาตอนที่เขาบังเกิดใหม่  ข้างในเขาอยากจะทำดี  เขาไม่อยากทำบาป”

            แต่ทำไมยังทำอยู่ ก็เพราะเขายังสู้กับอิทธิพลของกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง การหลอกลวงของระบบโลกภายนอก ที่เราเรียกว่ากิเลสตัณหาชั่วของโลก ซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ กระตุ้นความคิดเดิมๆ ที่คุ้นเคย ที่เคยทำตอนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งข้อมูลความคิดเดิมนี้ ยังติดอยู่ในระบบของความทรงจำของระบบสมองของร่างกาย ซึ่งเคยชินกับการกระทำตามกิเลสตัณหาชั่วนี้

            แล้วต้องทำอย่างไร?

            พระคัมภีร์  โรม 12:2 บอกว่า … “ให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ด้วยถ้อยคำแห่งความเป็นจริงในโลกวิญญาณเกี่ยวกับตัวเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นว่าตัวจริงๆ ของเขาในโลกวิญญาณนั้น เป็นเช่นไรโดยพระคุณของพระเจ้า เขาเป็นใครในพระเยซูคริสต์  เมื่อเขารับรู้ความจริงว่าเขาเป็นใครมากๆ  รู้ว่าเขาเป็นลูกพระเจ้า  รู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูมาตายเพื่อเขา  รู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่ว่าเขาจะทำบาปอีกกี่ครั้งก็ตาม   ให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไปแล้ว  อย่ายอมให้มันบงการ ยุแหย่หลอกลวงให้เรากระทำบาป”

            ความจริงนี้จะทำให้เขาเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป แทนที่จะไปคอยตำหนิทับถมเขาว่า ให้เขาเลิกทำบาปเสียที  ให้ไปบอกใหม่ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  เธอเป็นลูกพระเจ้า  เธอสะอาดและบริสุทธิ์หมดจด  ต่อให้เธอทำบาปมากขนาดไหน  หรือไปฆ่าคนตาย  พระเจ้าก็ยังรักเธอ  ตอนนี้เธออยู่ในสวรรค์แล้ว  ตายไปเธอก็ยังอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม  ไม่มีใครเอาเธอออกไปจากความรักของพระเจ้าได้แล้ว  พระเจ้ารักเธอมาก  พระเจ้าไม่อยากให้เธอไปทำบาปอย่างนี้   เพราะถ้าเธอทำเธอจะทุกข์กายและใจ ยุ่งยากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้น  พระเจ้าเป็นห่วงเธอนะ พระเจ้าต้องการให้เธอมีความสุข ทั้งกายและใจมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ พระองค์อยู่เคียงข้างเธอ เข้าใจเธอตลอดเวลา อยู่ฝ่ายเธอตลอดไป อย่าให้ศัตรูมาหลอกให้เธอทำร้ายตัวเองโดยการประพฤติชั่วตามกิเลสตันหา มันต้องการทำลายชีวิตของเธอ

            นี่คือสิ่งที่เขาอยากได้มากกว่าแทนที่จะไปบอกเขาว่า  … “อย่าทำบาปนะ  ถ้าเธอทำ  พระเจ้าจะคายเธอทิ้ง  เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ  เธอจะตกนรก  ทำอย่างนี้พระเจ้าเกลียด  พระเจ้าไม่ชอบ”

            ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น และก็เท่ากับยิ่งผลักดันเขาออกไปห่างจากพระเจ้ามากขึ้น 

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึง การปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

            พระเยซูจะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักดิ์ศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า

            โดยพระคุณของพระเจ้า  พระองค์จะสอนเรา  ฝึกฝนเรา  ให้ปฏิเสธการทดลอง ล่อลวงจากกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สอนเราให้รู้จักบอกปฏิเสธการทำบาป  ที่โปรแกรมเก่าๆ  ความคิดเก่าๆ  ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  ระบบของโลกนี้มันหลอกเรา  ให้เราเรียนรู้ที่จะบอกว่า  “ไม่”

                        *  ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

                        *  ฉันบริสุทธิ์สะอาดแล้ว

                        *  ฉันมีค่ามาก  พระเจ้ารักฉันมาก

                        *  ฉันไม่ได้เป็นทาสของแกอีกต่อไป

                        *  ตัวเก่าของฉัน  ที่เคยเป็นทาสของแก  มันตายแล้ว

                        *  ฉันเป็นคนใหม่แล้ว

                        *  ฉันไม่ทำตามแกอีกต่อไป

            แล้วถ้าทำผิดอีก ทำยังไง  ก็ขอบคุณพระเจ้า  สำหรับพระคุณของพระองค์ ลูกยังอยู่กับพระองค์  เป็นลูกของพระองค์  พระองค์จะเสริมกำลังให้ลูกทุกวันๆ  ที่ลูกจะปฏิเสธการทำบาปนี้  คิดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

            โดยการนำถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกความจริงว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ เราเป็นใครในโลกวิญญาณ ใส่ข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในจิตใจของเรา  เข้ามาเยอะ เท่าไหร่  ก็จะเปลี่ยนแปลงความคิดเราได้มากเท่านั้น  ความคิดเราเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ความประพฤติเราก็จะเปลี่ยนไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ถ้าเราประพฤติตามเนื้อหนังนำ  เราก็จะทุกข์มากขึ้น  แต่ถ้าเราประพฤติตามพระวิญญาณนำ  เราก็จะทุกข์น้อยลง  แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีผลทางด้านวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  อย่างแน่นอน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1409

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า”

            ทบทวน 7 ตอนในซีรี่ย์นี้ …

                        ตอน 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว”

                        ตอน 2 “ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

                        ตอน 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

                        ตอน 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย”

                        ตอน 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

                        ตอน 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

                        และวันนี้  ตอน 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า”

            ทั้งหมด 7 ตอนนี้เป็นอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พูดให้ตัวเองฟังเลยนะว่าอัศจรรย์ที่เราได้เรียนรู้มา 7 ตอนแล้วนี้ อัศจรรย์ใหญ่มากขนาดไหน?  เราได้รับแล้วเรียบร้อยขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเราส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่  และอยู่ที่บ้าน ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ก็คือผู้ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วนั่นเอง

            วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องการได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า “มรดก” คาดไม่ถึงว่าเรามีมรดกด้วย บางคนบอกว่า …

            “อยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรเลย  ไม่มีทรัพย์สมบัติเลยสักนิดหนึ่ง”

            ถ้าท่านเป็นคริสเตียน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านมีมรดกมหาศาลเลย

            “ฉันมีมรดกมหาศาลเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์”

            มรดกรางวัลที่ได้รับแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ คืออะไร? อะไรล่ะที่ตะกี้เราพูดกัน อัศจรรย์ที่เราได้เรียนรู้มา 6 อย่างและวันนี้อย่างที่ 7 อย่างนี้เป็นมรดก เป็นรางวัลที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ทันทีขณะดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือมี 7 อย่างที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ทันที บนโลกใบนี้

            มรดกรางวัลที่ได้รับแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ คือ …

                        * วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        * ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว

                        * ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        * พระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายแล้ว

                        * ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้

                        * พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว

                        * ได้รับมรดก เป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้าเลยทีเดียว เอเมน

            นี่คือสิ่งที่ได้รับเรียบร้อยไปแล้วทันที ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทันทีที่ใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์ หรือที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ได้ หรือเรียกว่าระเบิดปรมาณูในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็ได้  ที่มิติทางฝ่ายวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาใช้คำว่าบิ๊กแบง ตอนที่กำเนิดสร้างโลก เขาหาเจอแล้วว่ากำเนิดสร้างโลก ไม่ใช่สร้างทีละนิดทีละหน่อย  แต่สร้างทีเดียว มาหมดเลยทั้งมหาจักรวาลทุกอย่าง ทั้งโลกด้วย  ระเบิดครั้งเดียว เขาเรียกว่าบิ๊กแบง นั่นแหละ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าอัศจรรย์ หรือเนรมิตสร้างของพระเจ้า  เป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ระเบิดเปรี้ยงในโลกวิญญาณ ก็คือคนนั้นที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับมรดก คือชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นมรดก เป็นรางวัล แค่เริ่มต้น  7 อัศจรรย์ ที่ตะกี้เราพูดถึง และจะมีต่อเนื่องไป จนกระทั่งถึงโลกหน้า หลังความตายด้วย ต้องพูดพร้อมกันว่า …

            “โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า”

            แต่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ เขาก็บอกว่า … “โอ้โห! เป็นไปได้หรือเนี้ย เชื่ออะไรกันอย่างนี้”

            แต่เราเชื่อแล้ว เรารู้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์และมีพระวิญญาณยืนยันอยู่ในใจ เราจึงบอกว่า …

            “โอ้โห อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

        โคโลสี 3:23-24 “23 ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใด จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ 24 เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละ คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่”

            “คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่” ตรงนี้ อธิบายให้ฟังนิดหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่  รับใช้ตรงนี้หมายถึงนมัสการ หมายถึงเชื่อฟัง เป็นลูกที่เชื่อฟังคำของพระองค์ เหมือนดังทาส มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านกำลังรับใช้อยู่ หมายถึงท่านกำลังเป็นลูกของพระองค์  ที่มองหน้าพระองค์และมีความเชื่อพระองค์ 100% ว่าเป็นลูก มันหมายถึงอย่างนี้นะ

            “จงทุ่มเท ทำอย่างสุดใจ” หมายถึงอะไร? ตามบริบทนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิต ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั้น ให้ดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ภายในเรา  ไม่สนองตอบต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว เป็นลูกแห่งความสว่างแล้ว และเป็นลูกแห่งความสว่างที่ดำเนินชีวิต ท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้  ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด  พูดง่ายๆ ก็คือความประพฤตินั่นเอง  เพื่อประกาศศักดิ์ศรี บารมีขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ภายใน ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น  คือสำแดงพระเยซูคริสต์ในตัวเรา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นนั่นเอง

            แล้วที่บอกว่า “ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล” ตรงนี้เป็นปัญหา ทำให้มีการเข้าใจผิดเยอะ ท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรงนี้หมายถึงท่านจะได้รับมรดกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์พร้อมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล ตรงนี้  หมายถึงขั้นตอน ในการรับมรดก มีอยู่ 2 ขั้นตอน …

            ขั้นตอนแรก คือในปัจจุบัน ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มรดก คือรางวัลที่เราได้รับทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือ 6 อย่างที่เราได้เรียนรู้ และวันนี้ เป็นอย่างที่ 7  คือ 7 อัศจรรย์ที่ตะกี้เราทบทวนกันทั้งหมด  เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วทันที ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            “ได้รับทันที เดี๋ยวนี้ ตอนกำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้” เอเมน

            ขั้นตอนที่ 2 ก็คือในอนาคต หลังความตาย  หลังจากที่จากโลกนี้ไปแล้ว  เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  มรดกหรือรางวัล ที่เราจะได้รับอีก  เพิ่มเติมตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม  ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาของพระคริสต์ ก็คือเราจะได้รับร่างกายใหม่

            อันนี้เป็น “จะ” คือเป็นอนาคต เมื่อเราออกจากร่างนี้แล้ว  เราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีผิด  และเราจะได้เข้าครอบครองโลกใหม่ รวมทั้งสรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระเจ้าสร้างใหม่  แทนที่โลกเก่า เพราะโลกใบนี้วันหนึ่ง มันจะสิ้นสุดลง

            ครบ 2 ขั้นตอน ก็เท่ากับรับมรดกหรือรางวัล  ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สมบูรณ์แล้ว  ร่างกายสวรรค์ที่เรารอนั้น  เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย คือสูงสุดแล้ว  สง่าสุดแล้ว เป็นรางวัลสุดท้ายที่ดีที่สุด สำหรับเราแล้ว

            ประเด็นที่หลายคนเข้าใจผิดในความหมายของข้อพระคัมภีร์นี้ ก็คือเรื่องของรางวัลที่เราจะได้รับ อย่างที่ตะกี้นี้บอกไว้

            ในข้อที่ 24 บอกว่า “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล” หลายคนก็เลยไปแปลความหมายพระคัมภีร์ตรงนี้ว่ารางวัลที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่คือปัญหา นี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง รางวัลที่เราจะได้รับ จะระบุไว้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย หรือคิดตามนะ เช่น เข้าใจผิด แล้วก็บอกว่า …

            “ถ้าเรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ ประกาศเยอะๆ ก็จะส่งผลให้เราได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในสวรรค์เยอะๆ ยิ่งรับใช้เยอะ ยิ่งได้รับรางวัลเยอะ ยิ่งพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ ยิ่งได้รับรางวัลเยอะๆ”

            คุ้นๆ ไหม? คุ้นหู แล้วรู้สึกอย่างไร?  รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย  ไม่รู้จะทำอย่างไร? ใช่ไหม?  ซึ่งความหมายที่แท้จริง ตามบริบทอย่างที่บอกไว้เมื่อสักครู่นี้  คือคำว่า “ทุ่มเททำอย่างสุดใจ” ตามบริบท หมายถึงเปาโลกำลังพูดถึงก่อนหน้านี้  คริสเตียนผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลดูแลอยู่ มีความประพฤติยังไม่ถูกต้อง ยังทะเลาะกัน ยังอิจฉาริษยากัน ยังเอาเปรียบกัน ยังไม่ยอมให้อภัยกัน  เปาโลเลยจัดระเบียบว่าให้ทำยังไง ให้สำแดงความรัก ในพระเยซูคริสต์ ให้ประพฤติให้ดีงามขึ้น ให้ประพฤติตนให้สมกับสถานะของตนเองที่เป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้ทำตัวให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า  ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยแล้ว  มันหมายถึงความประพฤติ

            ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก  ก็คือ 7 สิ่งที่ตะกี้เราพูดถึง จากพระเจ้าเป็นรางวัลเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้  กำลังจะบอกว่าเพราะว่าท่านรู้แล้วว่าท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวเก่าท่านได้ตายไปแล้ว  ท่านได้รับเรียบร้อยแล้ว ท่านก็สมควรฝึกฝนประพฤติตนให้ดีขึ้น ให้เป็นไปตามรางวัล หรือมรดกที่ท่านได้รับไปแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วรางวัลที่ท่านจะได้รับนั้น  ท่านจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่ท่านจากโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ก็คือหลังจากตาย ก็คือได้รับรางวัลอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อเห็นแก่อย่างนี้แล้ว ท่านก็สมควรที่จะกระทำตัวให้สมกับที่ท่านได้รับรางวัลมาแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น

            ยกตัวอย่าง เหมือนกับปัจจุบันนี้ คนได้รับรางวัลใหญ่ๆ ไม่ว่ารางวัลอะไรก็ตาม เช่นรางวัลพลเมืองดี รางวัลลูกกตัญญู ใช่ไหม? คำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ …

            “นี่! ประพฤติตัวให้ดี ให้สมกับที่ได้รับรางวัลมานะ”

            นี่ขนาดมนุษย์ยังรู้เลยว่าให้ทำตัวให้ดี ให้สมกับที่ได้รับรางวัลมา  แล้วลองคิดดูสิ เปาโลกำลังจะพูดถึงอะไร? เปาโลกำลังจะพูดว่า …

            “โอ้โห! รางวัลที่ท่านได้รับมา มันยิ่งใหญ่กว่ารางวัลมนุษย์ที่ให้บนโลกใบนี้มากนักเลย”

            คือมรดกรางวัลยิ่งใหญ่ 7 อย่างนั้นยังไม่พอเลย  หลังจากตายยังได้อีกนะ ใหญ่ขนาดไหน?  เพราะฉะนั้น ท่านก็ควรจะมีความประพฤติให้สมกับค่าตรงนั้น ให้สมกับการที่ได้รับรางวัลนั้น จากพระเจ้า ขนาดคนบนโลกนี้ แค่รางวัล แค่โล่ การประกาศเกียรติยศบนโลกใบนี้ แค่นั้น  คนยังมีความรู้สึกภูมิใจ  อยากจะประพฤติตนให้สมกับรางวัลที่ได้รับมากที่สุด เท่าที่ทำได้ ถูกไหม? แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไรที่รางวัลของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นรางวัลจากพระเจ้า เป็นมรดกจากพระเจ้า มันยิ่งใหญ่กว่ากันขนาดไหน? และเป็นรางวัลที่เป็นนิรันดร์  เพราะฉะนั้น เพียงพอไหมที่จะทำให้เรารู้สึกภูมิใจ และอยากจะประพฤติตนให้สมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับมรดกเหล่านั้นเรียบร้อยไปแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งประพฤติไม่ดี ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เพราะฉะนั้น เราสมควรที่จะกระทำตามที่อาจารย์เปาโลแนะนำไหมว่าให้ทำตามที่เราได้เป็นแล้ว

            และการที่เราเป็นแล้ว  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ไม่ว่าเราจะทำตามมากหรือน้อยก็ตาม ไม่ว่าเราจะทำให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าให้มากหรือน้อยก็ตาม  ไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงมรดกนี้ได้เลย มรดกและรางวัลนี้ เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เอเมน

            เพราะฉะนั้น จะทำผิดพลาดเท่าไร? ประพฤติตนผิดพลาดเท่าไร? ก็ไม่เป็นไร? เพราะรางวัล ก็ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว  แต่พระเจ้าจะสอนเรา จะนำพาเรา จะฝึกฝนเรา ให้ทำ หรือประพฤติให้ดีขึ้น เรื่อยๆ

            นี่คือความหมายคำที่พูดเมื่อตะกี้นี้ ที่บอกว่า “จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” เข้าใจแล้วนะ ทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพราะเรารู้ว่าเราได้รับรางวัลเรียบร้อยมาแล้ว ไม่ใช่ทำ เพื่อจะได้รับรางวัล รู้แล้วว่ารางวัลคืออะไร?  ได้รับเรียบร้อยแล้ว เราจึงทุ่มเทกระทำ ก็คือประพฤติดี ถูกไหม?  ไม่ใช่ทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพื่อจะได้ลุ้นว่าเราจะได้รับรางวัลเพิ่มขึ้นอย่างไร? นี่อย่าเข้าใจผิดตรงนี้

            ซึ่งจริงๆ แล้วข้อนี้ ก็เขียนชัดเจน แล้วถ้าอ่านให้ดีๆ ไม่เข้าข้างตนเอง และไม่คิดตามภาษามนุษย์ เราที่จะพึ่งพาในการกระทำของตนเอง จริงๆ แล้วข้อนี้ เขาเขียนไว้ชัดเจนเลย ก็คือคำว่า “รางวัลที่เราได้รับ ก็คือมรดก” ท่านผู้เชื่อจะเริ่มต้นได้รับมรดกแห่งชีวิตนิรันดร์  จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล ระบุไว้ชัดเจนว่ารางวัลนี้ ก็คือมรดก เริ่มต้นได้รับ เมื่อตอนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มรดกคำนี้ ในภาษาเดิมแปลเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทย เป็นคำๆ เดียวกับคำว่า “พินัยกรรม” ก็คือกรมธรรม์ คือหนังสือพันธสัญญาของผู้ตายกับผู้ที่จะได้รับมรดก

            มรดก หมายถึงทรัพย์สินของผู้ตาย ที่ตกทอดแก่ทายาทผู้รับมรดก ที่มีชื่อระบุไว้ในพินัยกรรม พันธสัญญานั้น ได้รับสิ่งเหล่านี้ มรดกนี้ เพราะเป็นทายาท  ไม่ใช่ได้รับเพราะทำดีอะไร?  ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของทายาทคนนี้เลย  เป็นพระคุณให้ฟรีๆ ใช่หรือไม่? แค่คิดแค่นี้ ก็เข้าใจแล้วนะ ตามภาษามนุษย์  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจน

            พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า และเราก็เป็นทายาท เป็นทายาทตรงนี้ คือสิทธิในการรับมรดกของพระองค์  โดยอัตโนมัติทันทีเลย  พอเป็นทายาท ก็มีมรดกทันที ไม่มีตรงไหนบอกว่าให้เราเป็นทายาทก่อน แล้วถ้าเป็นทายาท และทำความดีครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  ก็จะได้รับมรดกเป็นรางวัล

            ถ้าเราวิเคราะห์ตามบริบท แล้วค่อยๆ ไล่ตามความหมายไป จะเห็นชัดเจน  เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ หรือเรียนรู้พระคัมภีร์ ท่านกำลังอ่านหนังสือพินัยกรรม พูดถึงมรดกของท่าน  ให้ฟรีๆ จากผู้ที่ตายแล้ว ใครตาย? พระเยซูคริสต์ตาย  แล้วทิ้งมรดกนี้ให้กับท่าน  ท่านไปอ่านพระคัมภีร์ คือท่านกำลังอ่านพินัยกรรมที่ระบุไว้ว่ามรดกของท่าน คืออะไร?  เราได้เรียนรู้ไปแล้ว  ในซีรี่ย์นี้ 7 อัศจรรย์ ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ ยังไม่ได้เรียนรู้ต่อว่าที่ยังไม่ได้รับ มีเพิ่มเติมอีกนะครับ  ขอบคุณพระเจ้าไหม?

            เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านพระคัมภีร์  หรือพินัยกรรม  ที่พระเยซูทิ้งไว้ให้กับเรานั้น หรือที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่นั้น  เจอคำว่า “บำเหน็จ” หรือคำว่า “รางวัล” ท่านก็จะสามารถเข้าใจแล้วว่า …

            “รางวัล หมายถึงมรดก  … มรดก หมายถึงรางวัล”

            ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบ 100% นั่นเอง  และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่และได้เป็นทายาท  เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนจึงได้รับมรดกเป็นรางวัล  เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบเรียบร้อยไปแล้วฟรีๆ ด้วยพระคุณของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้าในอัศจรรย์เหล่านี้

            ถ้าท่านรู้ทะลุปรุโปร่งอย่างนี้ ท่านจะสบายใจในความรอด ขอบคุณพระเจ้ามีพี่น้องของเรา ที่ได้ฟังคำบรรยาย  แล้วก็คอมเมนท์ตรงนี้มา ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้ามากๆ  เราทั้งหลาย ก็อยากจะได้รับการหนุนใจอย่างนี้  คอมเมนท์จากพี่น้องที่เป็นผู้เชื่อ ได้ฟังคำบรรยายนี้ แล้วบอกว่าฟังคำบรรยายมาเป็นปี ฟังแล้วหนุนใจมาก เพราะทำให้มีความมั่นใจในความรอดมากขึ้น ตั้งเยอะเลย มีชีวิตอยู่อย่างสบายใจขึ้น  นี่คือเป้าหมายของความจริง ถ้อยคำพระเจ้า เมื่อถูกประกาศไป มันต้องเป็นอย่างนี้ คือฟังแล้ว มีความมั่นใจในความรอด ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความสบายๆ ในความรอด แค่ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิต  การกิน การอยู่บนโลกใบนี้  ก็เหนื่อยพอแล้ว 

            เพราะฉะนั้น ในวิญญาณที่ได้รับความรอดนั้น  ก็จะได้พัก หายเหนื่อยและเป็นสุข ในวิญญาณ  สิ่งนี้ คือสิ่งที่อยากได้

            ท่านทราบไหมคำว่า “รางวัล” ภาษาอังกฤษจะละเอียดกว่าภาษาไทย  ภาษาอังกฤษใช้คำที่เป็นเอกพจน์ ซึ่งก็แปลว่า “แค่รางวัลเดียว”

            ยกตัวอย่างเช่น วิวรณ์ 22:12 ที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเราจะกลับมาพร้อมรางวัล ตรงนี้คำว่า “พร้อมกับรางวัล” ก็คือรางวัลเดียวนั่นแหละ ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มอบมรดก นั่นคือรางวัลเดียว  คือมรดกที่ผู้เชื่อทุกคนจะได้รับ เหมือนกันหมด เท่าๆ กันหมด

            อีกอันหนึ่ง ก็คืออุปมาตอนที่พระเยซู ดำเนินบนโลกใบนี้ เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของสวนองุ่น ที่ให้ค่าจ้างคนงานเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะทำงาน 8 ชั่วโมง หรือทำแค่ 1 ชั่วโมง  ก็ได้ค่าแรงเท่าๆ กัน ไม่มีคนต้น  ไม่มีคนปลาย ไม่มีใครดีกว่าใคร?  ไม่มีใครใหญ่กว่ากัน  เปรียบกับรางวัลที่เราได้รับ คือชีวิตนิรันดร์ ในสวรรคสถาน ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู ไม่มีรางวัลพิเศษ ไม่มีเสื้อคลุมพิเศษ ไม่มีที่นั่งพิเศษ ไม่มีบ้านใหญ่พิเศษ  ไม่มีบริวารพิเศษใดๆ  ไม่มีอะไรพิเศษทั้งสิ้น  มีเพียงรางวัลเดียว  ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับเท่าๆ กันหมด ในสวรรคสถานของพระบิดา เอเมน โรม 8:16-17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 8:16-17 “16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

            คือพระเจ้ายืนยันจากภายในวิญญาณของเราว่าเรามีมรดก มีรางวัลจริงๆ ตรงนี้ มีทั้งในส่วนที่รับเดี๋ยวนี้บนโลกแล้ว และในโลกหน้าด้วย ยืนยันด้วยอะไร? กลัวว่าเราจะไม่มั่นใจ ยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวของเรา พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ 1 ในมรดกนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ยืนยัน ในวิญญาณของเราเลยว่าเราได้รับมรดก ได้รับรางวัลนั้นจริงๆ เดี๋ยวนี้ และหลังจากความตาย ก็ได้อีกด้วย มั่นใจได้ เพราะว่ามีมัดจำอยู่ในใจเรียบร้อยแล้วไง นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

            ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณบริสุทธิ์มัดจำเรา ยืนยันด้วยวิธีใด  มีใครบ้างที่ไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และสามารถอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นว่า “พระบิดา” เรียกตัวเองว่า “ลูก” สนิทๆ ไปเรียก “พ่อจ๋า” แค่มาก เรียกสิ่งศักดิ์เหล่านั้นอาจจะเรียกว่า “พ่อ” ได้บ้าง? แต่เรียกตัวเองว่า  “ลูกช้าง” “ข้าทาส” เราจะรู้เลยว่าเราสามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ เรียกตัวเองว่าลูก ด้วยความมั่นใจเลย บางคนใส่ราชาศัพท์จน …

            “โอ้! เสด็จพ่อ ข้าพระองค์รักพระองค์เหลือเกิน สุดจะพรรณนา”

            อะไรอย่างนี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ทำให้เรามีความมั่นใจ  และสิ่งเหล่านี้ คือมั่นใจว่าเราเป็นทายาท  ถ้าเป็นทายาท ก็คือเรามีมรดก แล้วไม่ใช่ทายาทเฉยๆ เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์

            “เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์”

            ร่วมกัน หมายถึงพระคริสต์ได้อะไร? เราได้ด้วย มรดกที่พระเยซูคริสต์ทิ้งไว้ให้กับเรา  คือมรดกที่พระองค์ได้รับมาจากพระบิดาอีกทีหนึ่ง  พระองค์ได้รับมรดกจากพระบิดาอะไร?  พระองค์ก็ให้เราทั้งหมด สมมติว่านับเป็นเงิน เห็นง่ายๆ ว่าพระองค์ได้รับจากพระบิดามา 10 ล้าน  พระองค์ก็ให้เรา 10 ล้าน พระองค์ได้รับอะไรมา พระองค์ก็ให้เราทั้งหมดนั้น เพราะเรามีส่วนร่วมรับกับพระองค์ เราเป็นทายาทร่วมกับพระองค์  เรารับมรดกร่วมกับพระองค์ และได้รับเรียบร้อยแล้ว  เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว  เอเมน ในหนังสือ 1 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 เปโตร 1:3-4  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท)  เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

            “ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” มาเป็นลูก เมื่อเป็นลูก ก็มาเป็นทายาท เมื่อเป็นทายาท ก็มีมรดก ง่ายๆ นิดเดียวนะ  เกิดใหม่ เป็นลูก เป็นลูก แล้วก็เป็นทายาท เมื่อเป็นทายาท ก็เป็นผู้ที่จะรับมรดก คำว่า “จะรับ” เห็นไหมครับ? จะรับมรดก รับตั้งแต่เดี๋ยวนี้  และจะรับต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งครบถ้วนบริบูรณ์  หลังจากความตายแล้วยังไม่พอ  หลังจากโลกใบนี้สิ้นสุดด้วย  เมื่อโลกใบนี้สิ้นสุดลง พระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งใหม่ๆ ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อ ที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

            ข้อ 4 และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก … มรดกที่ใหญ่ไหม? ใหญ่มหาศาล มีวันหมดไหม? อ่านตรงนี้ มรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อท่านทั้งหลาย เตรียมไว้ในสวรรค์ คือเตรียมไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ได้รับเลย  และเตรียมไว้ในสวรรค์ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เข้าสู่สวรรค์เต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง เป็นมรดกรางวัลแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไปเลย  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครมาขโมยเอามรดกนี้ไปได้  แม้กระทั่งตัวท่านเอง วิ่งหนีออกจากมรดกนี้ ยังไปไม่ได้เลย  แม้แต่ตัวท่านเองบอกว่าไม่เอาแล้ว ถูกหลอกด้วยมารซาตานคิด ท้อแท้ในใจ ถึงปัญหาต่างๆ ไม่เอาแล้ว ไม่เอามรดก ไม่เอาพระเจ้าได้ไหม? ไม่ได้นะ ในนี้บอกว่าเป็นมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเสียหายไป ที่ได้ทรงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์ เพื่อพวกท่านทั้งหลาย แม้ท่านเอง เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องท้อใจว่า …

            “วันนี้ ฉันมีความรู้สึกเบื่อหน่ายพระเจ้าเหลือเกิน ฉันรู้สึกเซ็งต่อพระเจ้าเหลือเกิน ทำไมฉันทำชั่วอย่างนี้ ฉันยังคงทำชั่วต่อไปอยู่”

            แต่ถ้าท่านบังเกิดใหม่แล้ว  ท่านจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ท่านอยู่ตรงนั้นแน่นอน 100% ท่านจะได้สบายใจได้ว่าหลายครั้ง บางทีเรามีความรู้สึกต่อสถานการณ์ต่างๆ  ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีสันติสุข ที่จะเชื่อว่ามรดกเหล่านี้ มันเป็นจริง สำหรับชีวิตเรา รู้สึกสงสัยในมรดกต่างๆ สงสัยในพระเจ้า เราก็นึกว่าความสงสัยเหล่านั้น จะทำให้เราหลุดออกจากการเป็นทายาทรับมรดกเหล่านี้ ไม่มีวันหลุดนะครับ ความคิดสงสัยของท่านไม่สามารถทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ เพราะท่านได้รับสิ่งเหล่านี้ในโลกฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณท่านเปลี่ยนเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณท่านเป็นทายาทของพระเจ้า วิญญาณท่านได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านเป็นที่สถิตของพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านได้รับมรดก เป็นรางวัลเรียบร้อยไปแล้ว  เพียงแต่รอคอยวันหนึ่งข้างหน้าที่จะได้มรดกเพิ่มเติมหลังความตายนั่นเอง เอเมน

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นผู้ที่ได้รับมรดกเหล่านี้  แล้วมันเป็นจริงตามนั้นว่ามันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบมีเป้าหมายของเราอย่างชัดเจน คือเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็จดจ่อไปที่มรดกที่รับเรียบร้อยแล้วบนโลกใบนี้กับที่ยังไม่ได้รับ ที่ระบุไว้ในหนังสือพินัยกรรม  เมื่อเราร่ำรวยถึงขนาดนี้แล้ว เราได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้  หลังจากตายจากโลกนี้ ยังมีอีก ซึ่งบันทึกไว้ในพินัยกรรมแล้ว เราก็ควรจดจ่อไปที่พินัยกรรมนี้ อ่านพินัยกรรมนี้ทุกวันเลยว่าพินัยกรรมนี้ เราได้รับอะไรเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีวันเสื่อมสลาย

            ผู้ที่ค้ำประกันว่าไม่มีวันเสื่อมสลายนั้น ก็คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ใครๆ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เรียกพระเจ้าว่าพระเจ้า โอ้! พระเจ้ายิ่งใหญ่ ผู้นี้เป็นพระเจ้าองค์เดียว ที่เป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์  พระเจ้าแท้จริงเพียงผู้เดียวเท่านั้น ค้ำประกัน ยืนยันกับเรา บอกว่าพินัยกรรม หนังสือมรดกนี้ มันเป็นเรื่องจริง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  และเราจะเอาเป้าหมายในชีวิตเรา ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปมองอะไรที่ไหนเล่า  มองโลกใบนี้ที่มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว อย่าว่าโลกนี้จะสูญสิ้นไปเลย ชีวิตเราเองยังอยู่ไม่นานเลย  บางคนบอกว่า 80 ปี  100 ปี อาจจะไม่ถึงก็ได้ พรุ่งนี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุ มะรืนนี้อาจจะเกิดอุทกภัย เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ มันไม่แน่นอนเลย บนโลกใบนี้ 

            แล้วเราจะมีเป้าหมาย มีชีวิตอยู่ มองไปบนโลกใบนี้ เพื่ออะไร? ทำไมเราไม่มองไปที่ทรัพย์ มรดกในโลกวิญญาณ อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป  ซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรคสถาน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว และรออีก ได้รับเพิ่มเติมอีก เป้าหมายของเราจึงจดจ่อไปที่มรดกนี้ บนโลกใบนี้ กับมรดก ที่ยังไม่ได้รับ ที่ระบุไว้ในหนังสือพินัยกรรม รอคอยการเสร็จสิ้นภารกิจในร่างกายนี้

            ทำไมผมบอกภารกิจในร่างกายนี้  เพราะว่าร่างกายของเรา ไม่ใช่เป็นของๆ เราอีกต่อไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ดีใจเหลือเกินร่างกายไม่ได้เป็นของเราแล้ว แต่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าซื้อเรามาด้วยราคาแพง เพราะฉะนั้น ภารกิจของเราบนโลกใบนี้ ที่ยังดำเนินต่อไป ใครเป็นคนดำเนิน เจ้าของสิ คือพระเจ้าเป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในเรา ซึ่งพระองค์เป็นเจ้าของบนโลกใบนี้นั่นแหละ ขณะที่ดำเนิน คิดอย่างนี้ ชัดเจนเลย รอคอยการเสร็จสิ้นภารกิจ ในร่างกายนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามการทรงนำของพระเจ้า รอคอยวันที่จะเสร็จสิ้นการงาน ก็คือจากร่างกายนี้ และจะได้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย 2 อย่าง รอด้วยความอดทน อดทน เพราะอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครดี ไม่มีใครมีความสุขเลยสักคนหนึ่ง

            พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว พระเยซูบอกไว้แล้วว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านมีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้ว  จงชื่นชมยินดีเถิด รอด้วยความอดทน ขณะเดียวกัน ด้วยความตื่นเต้น ชื่นชมยินดี เพราะเรากำลังจะไปรับรางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และโลกใหม่ สรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ  ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้น  เมื่อโลกใบเก่านี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบเก่านี้ มหาจักรวาลในโลกใบเก่านี้ มันสูญสิ้น มันสิ้นสุดลง  เอเมน

        ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ จากในคุกนะ เห็นไหม? อดทน แต่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยเป้าหมาย เต็มไปด้วยความตั้งใจ เต็มไปด้วยความใจจดใจจ่อไปที่รางวัลที่เพิ่มเติม รางวัลบนโลกใบนี้อาจารย์เปาโลมั่นใจเรียบร้อยแล้ว และมั่นใจไปถึงรางวัลเพิ่มเติม หลังความตายด้วย จึงจดจ่อ เขียนจากในคุก บางฉบับเขียนจากคุกใต้ดินด้วย เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา เฝ้ารอคอยวันที่จะได้พบพระเจ้าหน้าต่อหน้า อย่างใจจดใจจ่อ ตาไม่กระพริบเลย ถูกไหม? อ่านแล้ว เป็นอย่างนั้น อยู่ในคุกแล้วยังจดจ่อที่ร่างกายใหม่ วันที่จะจากร่างกายนี้ เมื่อไรหนอที่เขาจะเอาไปตัดหัวสักที เมื่อไรหนอเขาจะลงโทษประหารชีวิตเสียที ตัดคอสักที เพราะเปาโลบอกว่าเมื่อจากร่างากายนี้แล้ว จะไปพบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ทันทีเหมือนกัน

            และอยู่บนโลกใบนี้ ทำไม? เป็นภารกิจที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน พระเจ้าพระบิดากำลังฝึกฝนเรา ด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจ จำไว้เลยนะ พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา บนโลกใบนี้ด้วยความรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สมกับที่เป็นลูกของพระองค์ ที่อยู่ในสวรรคสถาน ในบ้านของพระองค์เรียบร้อยแล้ว โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ คอยเป็นพี่เลี้ยง จนกว่าจะเจริญเติบโตเพียงพอ พร้อมตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระองค์ พร้อมแล้วที่จะออกจากร่างเดิม ร่างกายนี้  เพื่อรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นแบบสวรรค์ สามารถเข้าสวรรค์ได้แล้ว ในร่างกายใหม่นี้ เข้ามิติสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ สู่ความรอดนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และรับมรดกเพิ่มเติม ร่วมกับพระเยซูคริสต์หลังความตายนั้น

            เพราะฉะนั้น เราอยู่บนโลกใบนี้ แม้ยังกำลังดำเนินชีวิตยอู่บนโลกใบนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราได้อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว เราแค่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขาดแค่ ยังอยู่ในร่างกายเดิม และบนโลกเดิม มันขาดแค่นี้เอง ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ เขียนในพินัยกรรม ในพระเยซูคริสต์ ลงชื่อพระองค์เลย สัญญาไว้ว่าได้เตรียมทั้งร่างกายใหม่ แบบสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเราแล้ว และให้เราเตรียมพร้อมที่จะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ ให้เราเตรียมให้พร้อม เราเตรียมหรือยัง? ท่านลองนึกถึงใจตนเองว่าท่านพร้อมไหม? ถ้าวันนี้ หรือในวินาทีนี้ หรือวันพรุ่งนี้ พระเจ้าบอกว่า …

            “โอเคลูก ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จบจากโลกใบนี้แล้ว  เสร็จภารกิจแล้ว”

            ท่านจะดีใจหรือเสียใจ? ดีใจ ท่านอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปหรือ?  ไม่มีใครอยากหรอก พูดตรงๆ เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อท่านเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณ ท่านโหยหา ร้องเรียกสวรรค์ตลอดเวลา ร้องเรียกร่างกายใหม่ตลอดเวลา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยท่าน ครวญครางไปกับท่าน ท่านไม่อยากจะอยู่แล้ว แต่ที่ท่านยังอยากอยู่ หรือยังไม่อยากตายนั้น เพราะความรู้สึกทางร่างกาย  ความคิดแบบโลกใบนี้  ซึ่งไม่ใช่ตัวท่านหรอก  มันเป็นข้อมูล มันเป็นความคิดแบบเนื้อหนังที่อยู่บนโลกใบนี้  ที่ส่งกระแสเข้ามาตามระบบของโลกใบนี้เท่านั้น  แต่ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ในโลกวิญญาณของท่าน ไม่มีใครอยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก เอเมน

            เพราะว่าได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ มันสุดจะยอดเยี่ยมแล้วนะ และยังแถมรอไปอยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่ๆ ทั้งหมด อีกด้วยต่างหาก เพราะฉะนั้น เราจึงอยู่บนโลกใบนี้  อย่างโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา

            เอาไว้ตอนต่อไป เราจะมาคุยกันถึงเรื่องมรดกรางวัลที่ยังไม่ได้รับ ที่เราคาดหวังไว้ สรุปรวมๆ แล้วอีก 2 อย่าง ที่เราจะได้รับหลังจากโลกนี้ไปแล้ว  ในโลกหน้า หลังความตาย  ก็คือ …

            1. ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มันเป็นอย่างไรหนา?

            2. โลกใหม่   สรรพสิ่งใหม่  แทนที่โลกเก่าใบนี้ ที่จะสูญสิ้นไป โลกใบนี้ ที่เรามองเห็นต้นไม้ สัตว์ สิ่งของ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ในโลกใหม่ มันจะดีกว่านี้อีกมากมายมหาศาล  เราจะเรียนรู้กันทีหลัง

            วันนี้เราจบตอนนี้ด้วยคำว่าเพราะฉะนั้น เราอยู่บนโลกนี้ เป้าหมายของเรา คือในสวรรสถาน เป้าหมายของเรา  คือสิ่งที่มีค่าสูงสุด  ที่เรียกว่าทรัพย์สินของเราอยู่ในสวรรค์   เราสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรคสถาน ไม่ใช่โลกใบนี้อีกต่อไป โลกใบนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเราอีกต่อไป  โลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสวรรคสถานต่างหากที่เราเป็นพลเมืองอยู่ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าห่วงใยท่าน ท่านเหนื่อยกับอุปสรรคปัญหาในชีวิตที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไม่? ยอมให้พระเยซูคริสต์  เข้าไปช่วยแบกภาระสิครับ

            เมื่อเราเชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระบาป ลบล้างความผิดบาปทั้งสิ้น  เราได้บังเกิดใหม่ ได้รับสิทธิให้เป็นบุตรพระเจ้า บัพติศมาเข้าส่วนในการตาย การเป็นขึ้นมาใหม่กับพระคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา

            สิ่งที่ตามมา คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ก่อกำเนิดภายในเรา  เราได้มีธรรมชาติใหม่  คือธรรมชาติเดียวกันกับพระเจ้า

            กาลาเทีย 5:22-25 … “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก   ความชื่นชมยินดี   สันติสุข  ความอดทน   ความปราณี  ความดี   ความสัตย์ซื่อ   ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง   สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย (ไม่มีการบังคับให้ทำ  แต่ทำได้เองโดยอัตโนมัติ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่  ของผู้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น  ตัวเก่า  ธรรมชาติเก่า  วิสัยบาป และกิเลสตัณหาของวิสัยบาปเดิม ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่  มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ  ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

            ผลของพระวิญญาณ  คือธรรมชาติใหม่ของเรา  เราไม่ต้องออกแรงทำ  แค่ยอมจำนน  ยินยอม  พร้อมใจที่จะเป็นไปร่วมกันกับพระเจ้า  ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในก็พอ  ชีวิตเราก็จะเกิดผลไปตามธรรมชาติใหม่ของเรา  ฉายแสง  สำแดงพระเยซูคริสต์ออกมาจากภายใน ให้โลกได้เห็น พระคริสต์สถิตในเรา

            ฟีลิปปี 2:13 … “[ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง] เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา [พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน] ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจ  และความปิติยินดีของพระองค์”

            ดังนั้น เมื่อท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ขอให้ท่านดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังพ่อ ให้สมกับเป็นบุตรพระเจ้าเถิด  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1408

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้ก็คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์” ทบทวน

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            ตั้งชื่ออย่างนี้ บางคนฟังปุ๊บ อาจจะคิดว่า …

            “อะไรนะ  ฉันนี่หรือที่จะนั่งกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน”

            จะนั่งนะ แต่ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราได้นั่งแล้ว แต่บางคนอาจจะคิด ฟังแล้ว โอ้โห! อะไรนะ ตายไปแล้ว จะได้อยู่ในสวรรค์ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว แต่นี่กำลังบอกว่าฉันได้อยู่ในสวรรค์ และได้อยู่ในตำแหน่งนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรคสถานเลย ก็จะมีคน 2 พวกที่คิดอย่างนี้

            พวกแรกคริสเตียนที่ได้ยินตรงนี้ แล้วบอกว่า … “โอ้โห! จริงหรือ! ขอบคุณพระเจ้า”

            พวกที่สอง ก็จะบอกว่า … “มันเป็นไปได้หรือ! ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เลย ยังประพฤติตัวไม่ดีเลย อธิษฐานก็ไม่ได้เยอะเหมือนเขา มาโบสถ์ก็ไม่ได้มาเป็นประจำเหมือนเขา แล้วอย่างนี้ แค่อยู่ในสวรรค์ ฉันก็พอแล้ว  อะไรจะไปนั่งอยู่กับพระคริสต์ในตำแหน่งนั้นเลยเหรอ แค่ตำแหน่งศิษยาภิบาล ก็ไม่มีทางที่จะไปนั่งอยู่กับเขาแล้ว เพราะว่าเขาดูรู้สึกว่าโฮลี่มากกว่าชีวิตฉันเยอะเลยนะ  ไม่ไหวหรอก”

            แล้วท่านเป็นประเภทไหน? ฟังถ้อยคำนี้แล้วคิดอย่างไร? คิดแบบหนึ่งหรือแบบสอง?  แบบที่ … “โอ้โห! เป็นไปได้หรือ!” หรือว่า … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์

            ตอบ … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            ฟังดู แล้วก็ต้องคิดเอาเอง รู้แล้ว โอ้โห! มันอัศจรรย์ไหมล่ะ  อัศจรรย์ ก็พูดตามความรู้สึกว่า …

            “โอ้โห! เป็นไปได้หรือเนี้ย? ขอบคุณพระเจ้า” … มันต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม?

            “ฉันเนี้ยนะ”

            “ก็เธอนะสิ”

            ใครพูด? พระเยซูบอก พระเจ้าบอก

            “ลูกเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            “ลูกที่ทำผิดมากมายเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! เธอนั่นแหละ”

            “นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์นะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            มันเหลือเชื่อจริงๆ นะ มันจึงเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเลย ไม่ใช่ คริสเตียนเลย ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จึงบอกว่ามัน Impossible มันเป็นไปไม่ได้เลย  แค่บอกไปอยู่ในสวรรค์เขาก็ไม่เชื่อแล้ว  แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่สวรรค์ธรรมดานะ ไปนั่งอยู่กับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้าเลยนะ เขาเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ซีรี่ย์นี้ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ทั้งหมด 6 ตอนนี้เป็นความอัศจรรย์ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว มันจึงเป็นข่าวดี แก่คนที่เชื่อไง  และมันเป็นความหวังกับคนที่เชื่อแล้ว ให้มั่นคงยิ่งขึ้น  เรารู้ข่าวดีนี้แล้ว  เราเชื่อแล้ว  อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว  เราขอบคุณพระเจ้าแล้ว  และเรามาฟังอีก ไม่ใช่ข่าวดีแล้วตอนนี้ เรามาเริ่มต้นรับรู้ความจริงในเรื่องข่าวดีนี้ เราเป็นอย่างไร? เพื่อความหวัง เราจะได้มีความมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งมันสำคัญกว่าโลกวัตถุ สิ่งของที่ตามองเห็น จับต้องได้บนโลกใบนี้มากนัก เราจะได้พักสงบและหายเหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            6 ตอนนี้ เป็นความจริง สำหรับผู้ที่เชื่อ และจะเกิดอัศจรรย์ขึ้นอย่างนี้กับเขา  แต่ถ้าเขาไม่เชื่อความจริงนี้ อัศจรรย์เหล่านี้ ก็เท่ากับไม่มีจริง  ไม่ได้เกิดขึ้นนั่นเอง ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

            อย่างที่บอกว่าเรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริงที่เรามองไม่เห็น  แต่เป็นอยู่จริงๆ พระเจ้าสอนเราและบอกเรา  ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ท่านลองนึกภาพ ใครๆ ก็รู้จักว่าพระเจ้า คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด รู้จัก หมายถึงได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ อะไรก็อ้างว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ … โอ้โห! พระเจ้า … โอ้! ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทั้งหมดแหละ แต่ใครจะรู้ความจริงลึกๆ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าพระองค์ทรงเป็นใคร?

            พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ เรารู้ ที่เรียกว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง  และพระองค์ทรงดูแลสิ่งเหล่านี้ เป็นเสมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ดูแลสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น นี่เรียกว่าธรรมชาติ ตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้น ด้วยความยุติธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง  เราจะเห็นได้จากสรรพสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งทำตามกฎที่พระองค์ทรงวางไว้

            ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตกเลย ขึ้นทางทิศตะวันออกตลอด  แต่ในขณะเดียวกัน ทรงเป็นพ่อ พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของมวลมนุษย์ด้วย ซึ่งเต็มไปด้วยความรักอ่อนโยนต่อมนุษย์ ดังแก้วตาดวงใจ  นี่เราทราบความจริงเหล่านี้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่  แล้วเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ  ถ้อยคำของพระองค์พูดอย่างนี้ในโลกวิญญาณเป็นจริง

            พระเยซูจึงกล่าวเมื่อสักครู่ ที่เราอ่านว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต  เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อไม่มาเชื่อในพระเยซู เราก็จะไม่รู้จักความจริง  ความจริงที่แปลว่าอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่เราไม่รู้ แต่เราจะรู้ได้ เมื่อเรามารู้จักความจริง โดยรู้จักพระเยซูคริสต์ เจ้าของความจริงนั่นเอง

            พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นทางเดียว ท่านลองคิดดูนะ พระองค์เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วมิติฝ่ายวิญญาณที่เรากำลังเรียนรู้นี้ ก็คือสวรรค์ของพระบิดานั่นเอง ไม่มีทางอื่นใดที่จะเข้าสวรรค์ได้เลยนอกจากผ่านทางพระองค์เท่านั้น พระเยซูตรัสดังนี้ ด้วยความกล้าหาญ มั่นคง มั่นใจมาก  มีใครกล้าพูดอย่างนี้บ้าง พระองค์พูดมาแล้ว 2,000 ปี ใน 2,000 ปีมีคนเชื่ออย่างนี้เยอะแยะไปหมดเลย มาถึงปัจจุบัน  ถ้าไม่จริงจะมีคนมาเชื่อเยอะขนาดนี้หรือ?  และถ้าไม่จริง ใครเล่ากล้าที่จะพูดอย่างนี้ว่า …

            “นอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครไปหาพระเจ้าได้เลย  ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบนไม้กางเขน ก็คือประตูทางเข้าสู่มิติวิญญาณ  ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า พระบิดานั่นเอง จากคำพูดของพระองค์เมื่อสักครู่นี้ ก็คือฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ นำพามนุษย์เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง  พระองค์ ก็คือฤทธิ์อำนาจนั่นเอง ไม้กางเขน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่จะนำพาผู้คนทะลุทะลวงจากมิติที่ 4 ไปสู่มิติที่ 5 โลกฝ่ายวิญญาณ ทะลุออกจากโลกวัตถุ  ที่ตาจับต้องมองเห็นได้ ทะลุเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง

            อาจารย์เปาโลจึงได้พูดอย่างนี้ ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 อาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้เคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เข้าไปเห็นกับตามาแล้วว่าในมิติที่ 5 โลกวิญญาณ  ในสวรรค์ของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร?  แล้วออกมา แล้วก็พูดอย่างนี้  หนึ่งในจำนวนนั้น ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 บอกว่าพระคริสต์เป็นอย่างไร? …

        1 โครินธ์ 1:17-21  “17 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ 18 คนที่กำลังจะพินาศ ก็เห็นว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  19 เพราะมีคำเขียนไว้ว่าเราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา เราจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดไร้ผล  20 ไหนล่ะปราชญ์ ไหนล่ะผู้รู้ นักปรัชญาของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไป ไม่ใช่หรือ 21 โดยพระปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน  ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อ ให้รอด โดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ”

            พระเยซูส่งอาจารย์เปาโลมา เพื่อประกาศข่าวดี  ก็คือประกาศฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนว่ามันเป็นจริง ไม่ใช่มาพูดเรื่องสติปัญญาของมนุษย์ที่ตามองเห็น จับต้องได้ แบบโลกใบนี้ ในนี้บอกว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ๆ โง่ สำหรับอะไร?  สำหรับคนที่ใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ แบบโลกใบนี้ ฟังและคิดตามความสามารถของตนเอง แต่พวกเราที่กำลังจะรอด เห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

            ในข้อที่ 21 บอกว่า … “โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน”

            พระเจ้ารู้แล้วว่ามนุษย์ถ้าใช้สติปัญญาของตนเอง ไม่มีวันที่จะรู้จักพระเจ้าได้หรอก ไม่มีทางที่จะเข้าใจข่าวประเสริฐที่พระเยซูประกาศ และเปาโลกำลังบอกอยู่นี้ได้ และไม่ใช่เปาโลเท่านั้น จากวันนั้นมา จนถึงวันนี้  ก็มีผู้ประกาศข่าวดีนี้ มาตลอดเวลา  และผม และพวกเราทั้งหลายที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก็กำลังประกาศข่าวดี ฤทธิ์เดชอำนาจนี้อยู่ใช่ไหม? ถ้าใช่ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า  เรากำลังประกาศข่าวดีเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจ  ไม่ใช่มาอธิษฐาน สอน ปัญญาแบบมนุษย์  ไม่มาชี้แจงให้มนุษย์เข้าใจว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะ เข้าใจไหม?  เรากำลังมาประกาศ บอกถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขน คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นได้อย่างไร?

            ในนี้ข้อสุดท้ายจึงบอกว่า “ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัย”

            พอพระทัยใคร? พอพระทัยในบรรดาผู้คนที่เชื่อเอาไง  เชื่อในความจริงที่พระองค์ทรงประกาศให้เราได้ยิน  ไม่ใช่หาเหตุผลว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?  แต่ใช้ความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ฤทธิ์เดชอำนาจของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น  คือฤทธิ์เดชอำนาจนั้นเอง

            เมื่อเราเชื่อและเปิดใจต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทันที เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของตัวเราเอง และเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์รอบข้างเราเลยล่ะ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์เหล่านั้น  เกิดขึ้นในชีวิตของเราแล้ว  เราไปพูดกับใครที่เขายังไม่รู้จัก ยังไม่เชื่อนี้ แนวโน้มไปในทิศทางที่หาว่าเราโง่ทั้งนั้น หาว่าเราอะไร? เป็นไปได้หรือ? เพราะฉะนั้น จงดีใจ ที่เวลาใครเขาบอกเราโง่  เวลาเขาบอกว่ามาเชื่ออะไรแบบโง่ๆ  เราควรจะดีใจว่ามาถูกทางแล้ว เอเมนไหมครับ? เพิ่งมีคนเห็นด้วย เอเมนว่ามีคนว่าโง่ ยอมรับนะ  ปกติ ออกไปข้างนอก ไม่เห็นยอมรับเลย เขาแซวหน่อย …

            “ทำไมเธอโง่อย่างนี้”

            “อะไรว่าฉันโง่เหรอ” ทีอย่างนี้ยอมรับว่าโง่

            ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเราว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจที่พูดถึงตรงนี้ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที  6 ตอนมาแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้ามาทำการงานในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของเรา  เราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของฝ่ายวิญญาณ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด บนโลกนี้ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ อีกแห่งหนึ่ง  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างในพระเยซูคริสต์

            ในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรคสถานเบื้องบน ตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่เป็นที่ประทับของพระเจ้า  เป็นสวรรค์ของจริง จริงๆ ต้องพูดย้ำบ่อยๆ เพราะว่ามนุษย์เรา เอะอะอะไรก็สวรรค์ทั้งนั้น คิดอะไร ก็บอกว่าทำอย่างนี้เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่นี่เรากำลังพูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นของจริง สวรรค์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทับอยู่จริงๆ เป็นสวรรค์ของจริง แห่งเดียวเท่านั้น ไม่มีแห่งอื่นแล้ว และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด ในสวรรค์แล้ว เราทุกคนที่เชื่อ ได้รับตำแหน่งนี้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ที่นั่งอยู่บนโลกใบนี้  เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ในข่าวดีนี้  อยู่ในสวรรค์ นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเป็นรองใครเลย เอเมนไหม?

            “ฉันไม่เป็นรองใครเลย  ฉันนั่งกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์แล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่เป็นรองใครเลย   นั่งเท่าๆ กันทุกๆ คน    และพระเจ้าพระบิดาทรงรักเราทั้งหลาย      ที่นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์แล้ว รักพวกเราทั้งหลายเท่าๆ กับรักพระเยซูคริสต์ และรักพวกเราทั้งหลายทุกคนเท่าๆ กันครับ

            “รู้ไหม?  พระเจ้ารักฉันเท่าๆ กันกับรักพระเยซู และเท่าๆ กันกับรักเปาโล และรักเท่าๆ กันกับศิษยาภิบาล กับอาจารย์ต่างๆ กับผู้เชื่อใหม่ เมื่อวานนี้ รักเท่าๆ กันเลย เอเมน”

            และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือสถานะหรือตำแหน่งนี้  และพระเจ้ารักเราอย่างนี้ ตราบชั่วนิรันดร์กาล เพราะว่าในสวรรค์ไม่มีวัน ไม่มีเวลา สวรรค์เป็นสวรรค์นิรันดร์ สวรรค์ไม่มีพันปี หมื่นปี ร้อยปี ล้านปีไม่มี ในสวรรค์มันหลุดออกไปจากโลกวัตถุ โลกใบนี้เท่านั้นถึงจะมีเวลา ในสวรรค์ไม่มีเวลา  ในสวรรค์เป็นนิรันดร์ เขาถึงเรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร์  ชีวิตอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

            “ชีวิตนิรันดร์ ฉันจะอยู่ที่นี่ ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ เอเฟซัส 2:6 บันทึกอย่างนี้  นี่คือความจริงที่บันทึกเอาไว้ว่าขณะนี้ ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            มันน่าจะลุกขึ้นมาตะโกน โลดเต้นตลอดเวลา จะได้จำได้  พระเจ้าไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้นนะ หลายท่านมาเป็นคริสเตียน รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว …

            “ขอบคุณพระเจ้าที่ยกโทษ อภัยความบาปผิดของลูก”

            มันก็โอเค มันถูกนะ แต่มันยังไม่ถึงครึ่งเลย เต็มใบ สมบูรณ์แบบของข่าวประเสริฐ คือไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้น แต่วิญญาณของเราได้เป็นขึ้นมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ไม่ต้องรอให้ตายก่อน แล้วถึงจะมารับ ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่าเลย ก็ไม่แน่ใจสิ แต่พระเยซูบอก ไม่มีการมารอพิสูจน์ตอนตายแล้วถึงจะรู้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ ทันทีเลย เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที หนึ่งในจำนวนนั้น คือท่านได้บังเกิดใหม่  มานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วทันที เอเมน ความจริงในพระคัมภีร์ บอกเราว่าในมิติฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้เข้าไปนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ส่วนในมิติฝ่ายโลกวัตถุล่ะ ก็คือร่างกายเดิมเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังด้อยและหยาบเกินกว่าที่จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ในขณะนี้ได้ พระเจ้าจึงได้สัญญากับเราอย่างมั่นคง และเราก็มีความเชื่อ มีความหวังใจ อย่างมั่นใจ เหมือนจับต้องมองเห็นได้เลยว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถเข้ามิติฝ่ายวิญญาณ คือสวรรค์ของพระเจ้าได้  เราจะสวมร่างกายใหม่นี้ทันที หลังจากที่เราตายจากร่างเดิมนี้  และเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ  และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์ตามความเป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน  เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริงทั้งหมด

            ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ โดยพระคุณ เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นอกจากเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้  ต้อนรับสิทธิของเราในฤทธิ์อำนาจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ทั้งหมดนี้จึงเป็นของขวัญ โดยพระคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ดังนั้น มนุษย์ทุกคนที่วางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนี้ ก็จะได้รับของขวัญนี้เท่าๆ กันทุกคน ไม่มีใครดีกว่าใคร หรืออยู่ในสวรรค์ชั้นสูงกว่าคนอื่นๆ ทุกคนที่เชื่อ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานเท่าๆ กันนั่นเอง เอเมน

            เหตุผลชัดเจนเลย  ทำไมถึงเท่าๆ กัน ก็เราไม่ได้ทำอะไรเลย ได้มาฟรีๆ จะได้ดีกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เอเมนไหม? บางคนบอก …

            “ฉันทำเยอะกว่า”

            ใครทำ?  พระเจ้าทำ

            “อ้าว! ตอนรับเชื่อ ฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ฉันถวายเวลาให้กับพระเจ้ามากขึ้น”

            แล้วใครสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ที่อ่อนแอนั้น ใครที่ดำเนินชีวิตอยู่ในตัวท่าน ก็คือพระเจ้า

            “ฉันทำดีเยอะแยะ ฉันทำโน่นทำนี่”

            ใครเป็นคนทำ  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่านต่างหากที่เป็นผู้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เอเมนไหม? นี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะโอ้อวดอะไรเลย พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่าโอ้อวดในสิ่งที่ตนเองกระทำ เปาโลบอกว่าถ้าเราจะโอ้อวด เราจะอวดใคร? อวดพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ที่เป็นผู้กระทำการทุกสิ่งทุกอย่าง ภายในเรา  อย่าไปถูกใครหลอกว่ามีสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ ชั้น 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ชั้นอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด อย่าให้ใครหลอกว่าถ้าทำดีมากๆ จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ  ได้รับทรัพย์สมบัติในสวรรค์เยอะๆ สะสมไว้มากๆ จะได้บ้านใหญ่ๆ ในสวรรค์ มีเครื่องแต่งกายในสวรรค์ที่สวยงามกว่าคนอื่น นี่ใครถูกหลอก ก็แย่มากเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะขนาดอยู่ในโลกใบนี้ โลภก็แย่อยู่แล้ว ยังกะจะไปโลภต่อในสวรรค์อีกหรือ! เข้าใจใช่ไหม?

            ความจริงในสวรรค์มีแห่งเดียวเท่านั้น  เหมือนกันหมด  ก็คือสวรรค์ของพระบิดา  ที่พระเยซูคริสต์ประกาศ บอกว่าไม่มีใครเข้าไปสู่สวรรค์ของจริง คือพระบิดาในสวรรค์ได้หรอก นอกจากมาทางพระองค์เท่านั้น นอกนั้นของปลอม ถูกหลอกทั้งสิ้น ความจริง คือในสวรรค์นี้ มีแห่งเดียว เหมือนกันหมด  คือไม่ใช่ขึ้นไปอยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างกัน คือจะได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ แค่นั้นเอง มี 2 อัน 2 ทางเลือก  ถ้าเลือกประตู คือพระเยซูคริสต์ เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ทางเดียวเท่านั้น ก็ได้รับความรอด เข้าสู่สวรรค์ ถ้าไม่ได้มาทางประตูนี้  ไปผิดประตู ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ เท่านั้น ไม่มีตรงกลางๆ  แล้วก็ไม่ได้มีตรงได้อยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างๆ ไม่มี ทุกอย่างเหมือนกันหมด ก็คือได้เข้าสู่สวรรค์ ก็เหมือนกันหมดทุกคน ได้เข้าเท่ากัน ถ้าไม่ได้เข้าสู่สวรรค์ ก็สู่ความพินาศ เท่าๆ กัน  เหมือนกันหมด  ทุกคนเท่ากัน

            แล้วอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ที่เรากำลังนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในขณะนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  และตำแหน่งของเราที่ในสวรรค์ที่บอกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน มันสูงส่งขนาดไหน? อยากรู้ไหม?  ถ้าอยากรู้ต้องฟังอาจารย์เปาโล เพราะว่าเป็นผู้ที่เคยเข้าไปสู่สวรรค์นี้แล้ว ได้เห็นด้วยตาจริงๆ มีประสบการณ์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตัวเป็นๆ มาแล้ว

            อาจารย์เปาโลต้องการให้เราทั้งหลายรับรู้เรื่องความจริงตรงนี้ อย่างมากเลย เพราะว่าท่านได้ไปเห็นมากับตาแล้ว  ท่านได้รู้แล้ว ท่านรู้ว่าถ้าใครไปเห็นกับตาและรับรู้ความจริงตรงนี้  เขาจะสบายใจ เขาจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างผู้มีชัยชนะ  อาจารย์เปาโลจึงอยากให้ทุกคนรับรู้อย่างนี้ว่าท่านเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ขนาดไหน? ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านแล้วขณะนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ของพระเจ้า ยืนยัน โดยข้าพเจ้า ซึ่งเล่าให้ท่านฟัง บอกให้ท่านฟัง เพราะข้าพเจ้าไปเห็นมากับตาแล้ว พระเยซูคริสต์พาข้าพเจ้าไปเห็นมากับตา  เพื่อจะลงมา เพื่อจะยืนยันให้กับท่านว่าเบื้องบน ในสวรรคสถานของพระเจ้านั้น เป็นเช่นไร?  และตำแหน่งของท่านเป็นอย่างไร?  และมันสูงส่งขนาดไหน?  อยากรู้แล้วใช่ไหมครับ?

            เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่ต่างๆ ที่เริ่มต้น รู้เรื่องสวรรค์แล้ว ก็คือเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พูดง่ายๆ ว่าเป็นคริสเตียนแล้ว อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยน้ำตา ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความร้อนรนในใจ ต้องการให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเหล่านี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นด้วย ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? อธิษฐานให้เขาร่ำรวยไหม? อธิษฐานให้เขาผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไหม? อธิษฐานขอให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บไหม?  อธิษฐานขอให้เขาประสบความสำเร็จในการกระทำการงานในโลกใบนี้ไหม?  อธิษฐานให้เขาปลอดภัยจากโลกใบนี้ไหม? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้  อธิษฐานได้ แต่กำลังมีคำอธิษฐานที่สำคัญกว่า ที่ครอบคลุมถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเลย ก็คือคำอธิษฐานของเปาโลตรงนี้  ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไรให้กับผู้เชื่อใหม่ ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้ได้แสดงว่าคำอธิษฐานนี้สำคัญมากเลย สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย ทุกๆ คน รวมทั้งเราทั้งหลายด้วย และในขณะเดียวกัน อย่างที่บอกว่ามันจะเป็นความรู้ให้กับเรา มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต ในสวรรคสถาน บนโลกใบนี้  คืออยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แต่ขณะเดียวกัน มันจะเป็นข่าวดีให้กับบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? อัศจรรย์เหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านเช่นเดียวกัน สามารถฟังได้ทั้ง 2 พวกเลยนะ ทั้งพวกที่เชื่อแล้วกับพวกที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงพูดอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์)”

            “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของท่านนั่นเอง  ภายใน  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว สว่างขึ้น ให้แสงสว่างเข้าไป  เพื่อจะได้สำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่านอยู่แล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามาแล้วนั้น

            เห็นไหม? เหมือนตอนที่เราเริ่มต้นซีรี่ย์นี้มาไหม? จะได้รับรู้ถึงเรื่องสวรรค์ของพระเจ้าทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้ถึงเรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี มรดกนี้ คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับเราตอนเราจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีโลกใบใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้าง ซึ่งเราจะเรียนกันทีหลัง ให้เรารับรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองและมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว  ท่าน คือผู้เชื่อ ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เห็นไหม? พูดกับมนุษย์ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าท่านเป็นพลเมือง เป็นประชากรของสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม

            “ฉันบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้ว”

            ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ตอนนี้จะประพฤติอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของฉัน ในนี้บอกแล้วว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของเธอ ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของศาสนา ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของโลกใบนี้  แต่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้านำฉันเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อ ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน”

            ใครจะรับได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเช่นนั้น เรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันใช่จริงๆ เอเฟซัส 1:19 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            “ฉันจะได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า”

            ต้องเรียนรู้จักฤทธิ์อำนาจ ก็แสดงว่ามันมีอยู่แล้ว ถูกไหม? ให้เราไปเรียบรู้ รับรู้ว่ามันคืออะไร?  ซึ่งเป็นฤทธิ์อำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเรา

            “ที่กระทำการงานอยู่ภายในฉัน และเพื่อฉัน ผู้ซึ่งเชื่อแล้ว  เชื่อไหมว่าในตัวท่าน  มีฤทธิ์เดชอำนาจ  ยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กระทำการงานอยู่ และฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาลนี้  ไม่ใช่มีไว้เพื่อต่อต้านท่าน มาดุด่าว่ากล่าวท่าน มาลงโทษท่าน แต่มีไว้เพื่อท่าน

            “เพื่อฉัน”

            เพื่อฉัน แปลว่าสนับสนุนฉันทุกอย่าง ทุกประการ ทุกเรื่อง ทุกราว แล้วไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน? ไม่ต้องไปที่โน่นที่นี่ ที่นั่น ไปหานักเทศน์คนโน้นคนนี้  คนนี้เชื่อสูง คนนั้นเชื่อเยอะ คนนี้เชื่อน้อย  ไม่ใช่ไปหาตรงนั้น แต่มันอยู่ในตัวฉันนี้เองแหละ จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉัน

            “จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉันนี่เอง”

            อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระเจ้าไหม?  อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเยซูคริสต์ไหม? อยากได้ อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยากได้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  หาที่เรียนรู้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ที่กระทำการงานอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้ หรือว่าได้สัมผัสบนโลกใบนี้  ถ้ามันไม่ใช่เพื่อฉัน ไม่ได้เพื่อสนับสนุนฉัน  อย่าไปยุ่งเกี่ยว มันไม่ใช่ มันโกหก หลอกลวงทั้งสิ้น ต้องเพื่อฉัน และอยู่ในฉัน  ไม่ใช่พาฉันออกไปข้างนอกโน้น  ไปหานอกกาย แล้วมาตำหนิว่าทำอันโน้นไม่ดี ต้องได้รับโทษอย่างนี้  ทำอันนั้น ได้รับสาปแช่งอย่างนี้ ไม่มี เพราะฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน สนับสนุนฉันตลอด เอเฟซัส 1:20 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:20  “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้า ได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศต่างๆ ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

            อย่าลืมนะว่าเราได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในการบังเกิดใหม่  ในการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว

            ในนี้บอกว่าในฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล อันเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศ  ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  แล้วเราอยู่ที่ไหน?  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็มีตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จึงอยู่ในเราตลอดเวลา และสูงสุด ในนี้บอกว่าสูงสุด

            “สูงสุด ในโลกวิญญาณ”

        เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ  เหนือพลังอำนาจ  การครอบครอง  ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น  สิทธิอำนาจ  และฤทธิ์เดช  ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย”

            “ในตำแหน่งนี้” คือที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในตำแหน่งนี้ … ในตำแหน่งนี้พระเยซูมีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด

            “ในตำแหน่งนี้ ฉันก็มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดเช่นเดียวกัน” ถูกหรือไม่?

             เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อำนาจสูงสุด อยู่เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือผ่านทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อทั้งสิ้นที่ตั้งขึ้น โดยมนุษย์ เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชสูงสุดของพระเยซูนี้จะคงอยู่ตลอดไป

            “อำนาจและฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้  เป็นอำนาจ ฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของฉันด้วย และจะคงอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่แต่ในยุคนี้เท่านั้น คือบนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน”

            แสดงว่าเราอยู่ในตำแหน่งฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด ที่อยู่ในเรานั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ไม่ต้องกลัว จากโลกนี้ไป เราก็ยังอยู่ในตำแหน่งนี้แหละ อยู่กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            คราวนี้มาดูว่า “เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้” หมายถึงอะไร? คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พอทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวิญญาณอื่นๆ อย่างเช่น ซาตานและเหล่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า 1 ใน 3 เรียกว่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ก็คือวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ ตกสวรรค์มาแล้ว รวมทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ดี ที่ยังกระทำการงาน รับใช้พระเจ้าอยู่อีก 2 ใน 3 พูดให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้รับทราบว่ามีเยอะกว่าตั้งเยอะ  แต่นั่นไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงที่เราผู้เชื่อ มีอำนาจอยู่เหนือเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว

            ไม่ว่าจะสิทธิอำนาจหรือความสามารถอะไรต่างๆ ของเหล่าวิญญาณเหล่านี้ก็ตาม เรามีอำนาจอยู่เหนือสุดๆ เลย คือไม่ว่าจะเป็นสิทธิอำนาจ  หรือการครอบครองบนโลกใบนี้ ผ่านทางวิญญาณของทูตสวรรค์เอง  หรือผ่านทางมนุษย์ ก็คือวิญญาณเหล่านี้ ทำการงานในฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้ คอยหลอกลวง หลอกล่อมนุษย์ให้กลัวในสิทธิอำนาจของเขา โดยอ้างชื่อต่างๆ คือแต่งตั้งให้คนนั้น มีสิทธิอำนาจอย่างโน้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ในโลกที่มองไม่เห็น

            ในโลกที่มองไม่เห็น ก็คือยกตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณ ที่มีชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย อะไรอย่างนี้  ก็คือวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง วิญญาณตกกระป๋องตัวหนึ่ง  ที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมา ชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย หรือเอาตัวง่ายๆ ตัวหนึ่ง เจ้าแม่อาธามิส ที่อยู่ในกรีก อยู่ในเอเฟซัส เจ้าแม่อาธามิส ภาษากรีก ภาษาอังกฤษ แปลว่าเจ้าแม่ไดอาน่า ก็คือเหล่าวิญญาณชั่วที่ตกกระป๋อง อุปโลกน์ แต่งตั้ง หลอกให้คนมากราบไหว้  และเชื่อในสิทธิอำนาจของเจ้าแม่อาธามิส ใช้ชื่อว่าอาธามิสหรือไดอาน่า อะไรประมาณนั้น นี่คือทูตสวรรค์ อุปโลกน์ตั้งชื่อขึ้นมา  และเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง คือโดยตัวทูตสวรรค์เอง  ที่ตกกระป๋อง ที่มาต่อต้านพระเจ้า แล้วนอกจากนั้น ก็ยังหลอกลวง ปกครอง ผู้คน ใช้สิทธิอำนาจผ่านทางมนุษย์ แต่งตั้งมนุษย์ขึ้นมาแล้ว หลอกลวงมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว ก็มี รู้ตัวก็มี ให้มีอำนาจครอบครอง เพื่อจะต่อต้านพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร ซีซ่าร์เนโร  เป็นต้น ก็มาต่อต้านคริสเตียน เบื้องหลัง คือการเคลื่อนไหวของซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง สมุนของมันนั่นเอง ยกตัวอย่างให้ฟัง พอมองเห็นภาพ นี่คือมนุษย์ได้รับการแต่งตั้ง ได้รับการอุปโลกน์ขึ้นมาโดยมารซาตาน

            หรืออย่างที่เห็นชัดในตอนที่เขียนจดหมายนี้ ก็คือเหมือนอย่างสภาเซ็นเฮดริน สภาศาสนายิว ที่ต่อต้านพระเยซู ที่ถึงกับจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  เหล่านี้ ก็คืออยู่ในการควบคุมของมารซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋องเช่นเดียวกัน หมายถึงอย่างนั้น  จะได้เห็นภาพชัดเจน  หรือไม่บางครั้ง ก็แต่งตั้งหลอกลวงมนุษย์ผ่านทางดวงดาว ผ่านทางวัตถุสิ่งของต่างๆ บนโลกใบนี้ว่าดาวนั้นมีอำนาจมาก เรียกว่าดาววีนัสบ้าง ดาวอะไรต่างๆ ในสมัยอดีต เขาถือเป็นดาวเจ้าแม่ เจ้าพ่ออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด แล้วก็กราบไหว้สิ่งเหล่านี้ เบื้องหลัง คือวิญญาณชั่วเหล่านี้นั่นเอง  แต่ไม่ต้องกลัว

            ในนี้บอกว่าสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ในพระเยซูคริสต์นี้ ทำให้เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดในพระเยซูคริสต์ที่เรามีอยู่นั้น เหนือเหล่าวิญญาณที่เราอธิบายมาตะกี้นี้ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ในยุคนี้เท่านั้น ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย ถ้ามี ซึ่งมันไม่มีแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเรายิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตาน บนโลกใบนี้เลย  ไม่ต้องกลัวเหล่าวิญญาณเหล่านี้เลย  และไม่ต้องกลัวมนุษย์ผู้ใด ที่มาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ผ่านทางการถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ถูกชักจูงของมารซาตานในโลกวิญญาณเลย ไม่ต้องไปห่วง  เรามีชัยชนะเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เอเมน เอเฟซัส 1:22-23 ต่อมา

        เอเฟซัส 1:22-23  “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณอยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วน ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

            สิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เรามีในพระเยซูคริสต์นี้ สูงสุดถึงขนาดไหน? ถึงขนาดวันหนึ่งข้างหน้า ในอนาคตทูตสวรรค์ทั้งปวง อยู่ต่อหน้าเรา และเราเป็นผู้ตัดสินเขาร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์อำนาจนี้สูงสุด ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไปถึงอนาคตด้วย นี่คือความยิ่งใหญ่สูงสุดของตำแหน่งของเราที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            ทั้งหมดนี้ คือฐานะและตำแหน่งของเราในวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ใต้เท้าของฉันด้วย

            “พระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของฉัน ด้วยเช่นเดียวกัน”

            ท่านมองเห็นภาพสิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเราอยู่สูงขนาดไหน?  เราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ร่างกายเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? อาจารย์เปาโลได้ไปเห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณมันป็นจริงว่าทั้งหมดนี้ คือตำแหน่ง คือฐานะของเราจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว ดังนั้น จะทำอะไร ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้  และมีสติ รับรู้ว่านี่คือความจริงตลอดเวลาเสมอว่า …

            “ฉันอยู่เบื้องบน ที่สูงสุดในสวรรคสถานแล้วในขณะนี้  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตาจะมองเห็นอะไร? หูจะได้ยินอะไร? ใครจะมาหลอกลวงอะไร ไม่ว่าจะหลอกลวงผ่านทางวิญญาณ โดยตรง ส่งข้อมูลเข้ามา ผ่านทางความคิดของฉัน หรือว่าจะผ่านทางปฏิเสธ ต่อต้านจากมนุษย์ ผู้ที่ไม่รู้ความจริง มากล่าวหาฉันอะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            ไม่ต้องไปห่วงอะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย เราอยู่ในความจริงเหล่านี้ เราอยู่สูงสุดแล้ว เราอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว รับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้เย่อหยิ่งจองหอง  …

            “ฉันอยู่เหนือสิ่งสารพัดเหล่านี้ สิ่งสารพัดบนโลกอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ฉันสั่งอะไรต้องเป็นไปตามฉัน ฉันอยากรวย ฉันรวย ฉันอยากแข็งแรง ฉันแข็งแรง  ฉันอยากจะประสบความสำเร็จ ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ?” อย่างนั้นไหม?  ไม่ใช่แน่นอน

            เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่ออะไร? ฟังเปาโลพูด  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหา บนโลกใบนี้  เพื่อเราจะได้เผชิญ  แปลว่าความทุกข์  ไม่มีใครเผชิญความสุข มีแต่พบกับความสุข  เพื่อเราจะได้สามารถใช้ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เหยียบทุกอย่างอยู่ใต้เท้าเรา เพื่อการเห็นแก่ตัวหรือ? ไม่ใช่ นึกถึงภาพนะ  เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญหรือ? ก็ไม่ใช่  เพราะเราเหยียบลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกปัญหาบนโลกใบนี้  ที่มันสับสนวุ่นวาย เสียหายไปแล้ว ด้วยความมั่นอกมั่นใจ  และความหวังใจเต็มเปี่ยม

            หวังอะไรที่เต็มเปี่ยมในใจ ก็หวังใจในฐานะ ตำแหน่ง ฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ที่เรารับรู้ความจริงตรงนี้  ที่เปาโลรับรู้นี้  ต้องการให้เราเรียนรู้ว่าฤทธิ์อำนาจ ตำแหน่งนี้  มันอยู่ภายในจิตใจเรา  และพระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราผ่านทางปัญหาเหล่านี้ได้นั่นเอง ฤทธิ์อำนาจที่ทำงานในเรานี้ เพื่อเราจะสามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา โลกนี้เสียหายไปแล้ว  โลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว …

            “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า”

            โลกนี้อยู่ชั่วคราว ไม่มีพระเจ้าชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้น โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่มีความดีงาม  ไม่มีความบริสุทธิ์  มีแต่ความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลายตลอดเวลา  นี่คือสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งเรามีอำนาจอยู่เหนือมัน  เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราทั้งหลายจะได้สนองตอบต่อการดำเนินตามโลกใบนี้ คือตะกี้นี้ที่บอก ความชั่วร้าย ความไม่ดีงาม ความสกปรก ความขโมย ฆ่าและทำลาย  ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราจะสนองตอบต่อการขโมย ฆ่าและทำลาย  ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้  ไม่ได้สนองตอบต่อกิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์บอก ฤทธิ์อำนาจที่กระทำการงานในพระเยซูคริสต์  ที่อยู่ในเราทั้งหลายในขณะนี้ ไม่ได้มีไว้ เพื่อสนองตอบต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง

            กิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ก็คือการหลอกลวงของมารซาตาน มารซาตานพยายามจะหลอกลวงให้ผู้เชื่อทั้งหลาย ใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้สนองตอบต่อความต้องการของมัน ก็คือความสับสน ความวุ่นวาย  อยากจะชนะโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง  ด้วยวิธีการของตนเอง ก็ถูกหลอกอีก  เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าตัวเราอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเข้มแข็ง พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง ให้เราดำเนินตามฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานั่นเอง  ไม่ใช่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของเรา บนโลกใบนี้ ให้สถานการณ์บนโลกใบนี้เป็นนายเรา ไม่ใช่อย่างนั้น พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความต้องการของเรา  พยายามที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานี้ ที่บอกว่าสูงสุดนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เราใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าต่างหาก

            ตัวอย่างเช่น ประสบการณ์ของเปาโล เห็นชัดเลย เปาโลผู้อธิบายเรื่องนี้ แล้วก็ต้องการให้เรารับรู้ฤทธิ์อำนาจนี้ แล้วก็บอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในตัวเรา  และจะอยู่ตลอดไป และเปาโลเรียกฤทธิ์เดชอำนาจนี้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระคุณ พระคุณเพียงพอเสมอ ในความอ่อนแอของเรา หมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในยามที่เจอปัญหาอะไรต่างๆ อาจารย์เปาโลยอมให้พระเจ้าเป็นผู้นำ แล้วพระเจ้าก็บอกอาจารย์เปาโลว่าในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ตามความต้องการของเรา ให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  แต่ในขณะที่เราอ่อนแอ ประสบปัญหาอยู่นั้น ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา จะทวีคูณมากขึ้น เพิ่มพูนขึ้นในความอ่อนแอของเรา มันจะสำแดงออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจนั้นจริงๆ ผ่านทางความอ่อนแอ

            ความอ่อนแอ คือความทุกข์ยากลำบาก ถ้าไม่ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็จะปรากฏออกมาในชีวิตของเราไม่มาก พระเจ้าบอกว่า …

            “ฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด จะสำแดงออกมาเต็มที่เลย ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ พึ่งในฤทธิ์อำนาจ ฤทธิ์อำนาจก็จะสำแดงออกมามากขึ้น”

            อีกตัวอย่างหนึ่ง พระเยซูคริสต์ก่อนที่จะเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน อธิษฐาน 3 ครั้ง และพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? พระเจ้าเงียบ  แล้วพระเยซูคริสต์ก็เลยบอกว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

            พอบอกขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ปุ๊บ คือยอมที่จะเข้าไปรับความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตายนั้น  ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพอพระองค์บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ทวีคูณเต็มขนาดในพระเยซูคริสต์ ให้มีกำลังที่จะสามารถเดินเข้าไปสู่แดนประหาร  เดินเข้าไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความชื่นชมยินดี และด้วยความมั่นใจ  ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านี้

            นี่ต่างหากที่เป็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจ ที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคนได้รับรู้และสำแดงความยิ่งใหญ่ของตนเอง ในฐานะตำแหน่งเบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์นี้ ด้วยลักษณะเช่นนี้ต่างหาก

            ฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคุณ เพียงพอเสมอในความอ่อนแอของเรา และจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ในยามที่เราทุกข์ยากลำบาก  เพื่อปลอบโยนจิตใจของเรา  ให้กำลังกับเราสามารถที่จะรับได้กับสถานการณ์นั้นๆ  และมีความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา  เหมือนดังที่เปาโลบอกว่าจงชื่นชมยินดีในพระองค์เถิด จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์เถิด ตลอดเวลา เสมอๆ เถิด  ตอนที่เขียนนี้ ตอนที่พูดอยู่นี้ พูดจากการติดคุกอยู่ ทุกข์ทรมานอยู่ แต่พูดอย่างนี้ ทำได้อย่างไร? ก็เพราะฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นี้  ได้กระทำการงานอยู่ในตัวเปาโล ผู้เชื่อศรัทธานั่นเอง  และตัวนี้สามารถทำให้เขากระทำสิ่งเหล่านี้ได้  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง

            ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ ที่เราได้รับกำลังจากพระเจ้า  โดยผ่านทางความจริงของพระเจ้าว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้มีไว้ เพื่อพระองค์ แด่พระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว  สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า  ในนามพระเยซู เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น! ความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นของท่านทันทีนิรันดร์

            พระเจ้าได้จัดเตรียมกระบวนการเข้าสวรรค์ ให้กับมนุษย์ทุกคน  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์แล้ว  มนุษย์เพียงแค่ย้ายวิญญาณของตนเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง

            โคโลสี 1:21-23 …  “21 ครั้งหนึ่งพวกท่าน เคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่ว 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์ 23 และพระเจ้าได้กระทำสิ่งนี้  คือได้จัดเตรียมทุกอย่าง ให้ท่านสามารถดำรงอยู่ได้  อย่างต่อเนื่อง ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์”

            2 เปโตร 1:3 …  “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า  ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์  ผู้ทรงได้เรียกเรา  ด้วยพระสิริ  และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ  และความดีงามของพระองค์”

            เอเฟซัส 1:3 … “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์  แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ฟีลิปปี 1:6 … “ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว (ให้ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์แล้ว) จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ (วันที่พระเยซูคริสต์มารับเรา  เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1407

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อซีรี่ย์ชุด “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มันอัศจรรย์มาตลอดเลยนะ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที คือมันไม่มีเวลา สวรรค์รออยู่แล้ว พระเจ้ารออยู่แล้ว รอเพียงแต่มนุษย์เปิดใจ วางใจเท่านั้นเอง เกิดขึ้นทันทีเลย และวันนี้ตอนที่ 5 ยิ่งอัศจรรย์ เข้าไปลึกๆ อยู่เรื่อยๆ ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำพาเราทั้งหลาย พบความจริงเหล่านี้ ซึ่งมันเกิดขึ้น  และทุกวันนี้มันยังเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่ ยังคงทำงานอยู่ วันนี้ตอนที่ 5 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

            “ฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้”

            เมื่อเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว มันไม่มีเวลา  สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ทบทวนนะครับ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ …

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            สิ่งเหล่านี้เป็นอัศจรรย์หมด

            และวันนี้ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เอเมน ตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จากสภาวะพระเจ้า มาจุติ เกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ เพื่อจะนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าสวรรค์ได้  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราได้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย  เกี่ยวกับเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

            พอถึงเวลากำหนด พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ธรรมดาแบบมนุษย์ 30 ปี แล้วถึงเริ่มภารกิจ ที่พระองค์ตั้งใจมาทำ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ รอดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างของพระองค์ได้  พระองค์เริ่มต้นด้วยการประกาศ  พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ได้มาเกิด แล้วมาสอนให้เราประพฤติดี ไม่เหมือนศาสดาของศาสนาอื่นๆ หรือศาสดาของผู้เชื่ออื่นๆ ก่อนหน้านั้น ก่อน 2,000 ปีที่พระองค์มาเกิด พระองค์ไม่ได้มาทำแบบนั้นเลย พระองค์ทำสิ่งที่ไม่มีใครทำกันเลย  ก็คือพระองค์มาประกาศว่าสวรรค์กำลังจะมาแล้ว สวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ กำลังพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะทรงกระทำภายในอีก 3 ปีข้างหน้า คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือการนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  แล้วก็เชิญมนุษย์ทุกคนมาเข้าสวรรค์กัน นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ

            เราเข้าใจผิดกัน เพราะเรามัวแต่ไปมองในสิ่งที่ตามองเห็น สัมผัสได้ คือเรามอง แค่ 3 มิติ และ 4 มิติเท่านั้น  มิติที่ 4 เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลย เรื่องเวลา แต่เรามองใน 3 มิติเท่านั้น คือตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแตะต้องได้ เรามองแค่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ โลกนี้ มีอยู่ 4 มิติ กว้าง ยาว สูงและเวลา แต่พระองค์กำลังมาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ โน้น มิติที่ 5 ไม่มีใครเข้าใจเลย ก็คือนอกเหนือจากกาลเวลา ก็คือโลกของวิญญาณ โลกของพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ลงมาจากสวรรค์ ก็คือลงมาจากโลกวิญญาณ มิติที่ 5 จึงสามารถที่จะมาอธิบายให้กับเรา ประกาศสวรรค์ได้  เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงมา เพื่อประกาศ ในหนังสือมัทธิว 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพออายุครบ 30 ปีในการดำเนินชีวิต เป็นแบบมนุษย์ บนโลกใบนี้แล้ว  พระองค์เริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร? มัทธิว 4:17 …

        มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์ มาใกล้แล้ว”

            “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศ” ไม่ใช่เริ่มต้นสอน เวลาที่พระองค์บอกว่าใครที่ประพฤติตามคำของเรา “คำของเรา” คือคำประกาศ ไม่ใช่คำสอน คำประกาศ ภาษาเดิมใช้คำนี้เลยว่าประกาศ แจ้งให้ทราบ ไม่ใช่มาสอน

            พระองค์มาประกาศว่าอย่างไร? ว่าจงกลับใจใหม่ เห็นไหม? เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว โลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ ที่มนุษย์อยากจะไปเหลือเกิน แต่พยายามวาดฝันไว้ว่าสวรรค์เป็นอย่างโน้นอย่างนี้  อย่างนั้น  และพยายามไปสวรรค์ด้วยสิ่งที่ตามองเห็น และจับต้องได้ใน 4 มิตินั้น แต่สวรรค์เป็นมิติที่ 5 คือโลกฝ่ายวิญญาณ

            อาณาจักรสวรรค์เป็นอาณาจักรทางโลกฝ่ายวิญญาณ และมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรจากการเรียนรู้นี้  พระเยซูพูดชัดเจนว่าจงกลับใจใหม่ เพื่อมาวางใจในพระองค์  พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังบอกว่าเรียนรู้จักสวรรค์นี้  เมื่อเป็นโลกวิญญาณ มนุษย์ไม่สามารถก้าวเข้าไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณได้ จึงไม่สามารถใช้ความเข้าใจแบบมนุษย์ ไม่สามารถใช้ความคิดวิเคราะห์แบบมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เรียกว่าวิชาวิทยาศาสตร์  พยายามค้นหาโลกวิญญาณ  พยายามค้นหาพระเจ้าให้เจอ  โดยหลักการของ 3, 4 มิติที่พูดถึง คือทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันได้เจอหรอก พระเยซูกำลังบอก ต้องกลับใจใหม่จากสิ่งเหล่านั้น ไปหาจากตามองเห็น จับต้องได้เหล่านั้น 3 มิติ 4 มิติเหล่านั้น ไม่มีทางเจอหรอก ท่านต้องมาหาทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือมิติที่ 5 วิธีการหา ก็คือมาวางใจในเราก่อน แล้วถึงจะเรียนรู้จักเรื่องโลกวิญญาณทีหลัง ถ้าท่านไปหาจากโลกวิญญาณ โดยใช้สติปัญญาของท่านเอง ท่านถูกหลอก ท่านไม่มีวันได้เจอหรอก ท่านต้องเชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน  ถึงจะเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องพระเจ้าทีหลัง

            ใครที่อยากจะรู้จักพระเจ้า แล้วก็บอกว่ามาเรียนรู้จักพระเจ้าด้วยความคิด หาเหตุผล พระเจ้าว่าพระเยซูว่าอย่างโน้นอย่างนี้  เพื่อจะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่มีวันเชื่อหรอก ต้องเชื่อพระเจ้าก่อน วางใจพระเยซูคริสต์ก่อน แล้วพอเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณก็จะมาบอกเรา  ตาฝ่ายวิญญาณเราจะเปิดออก มันต้องเป็นอย่างนั้น พระองค์จึงต้องมาประกาศสิ่งนี้แหละ ไม่ใช่มาสอน กลับใจเสียใหม่ นี่ไม่ใช่การสอนนะ กลับใจเสียใหม่ คือเลิกจากทางเก่าซะ ไม่ได้สอนให้ทำโน่นทำนี่ มาชี้แจงบอกเงื่อนไขว่า …

            “ไม่มีทางเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องสวรรค์แท้จริงได้หรอก  เราจะบอกให้นะ เลิกจากทางเก่าซะ กลับใจใหม่จากทางเก่า จากวัตถุสิ่งของตามองเห็น จากหลักวิทยาศาสตร์ จากความคิดของตนเอง เลิกจากการพึ่งพาการกระทำของตนเองซะ หันมาวางใจพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าผู้นั้น ที่พระเจ้าเจิมไว้  ที่พระเจ้ากำหนดไว้  เพื่อส่งมา ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากการตกนรกอยู่ในความบาป ในความพินาศ ท่านต้องวางใจและเชื่อในผู้นี้เท่านั้น เชื่อในใคร? คนที่พูดอยู่ คือเรา คือพระเยซูคริสต์ ท่านต้องมาเชื่อว่าเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป และสามารถมาอาศัยอยู่กับพระเจ้าได้ สามารถมาเข้าสวรรค์ อย่างที่ท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน โหยหาอยู่ในจิตวิญญาณ โดยที่ไม่รู้ตัว โหยหา พยายามจะเข้าสวรรค์ หาทางเข้าไปหาพระเจ้า  แต่เนื่องจากความบาป คือตายจากวิญญาณของพระเจ้า ตายจากพระเจ้า ตาบอดทางวิญญาณ จึงไม่สามารถเห็นได้  และท่านก็พยายาม โดยวิธีพึ่งพาตนเอง ในหลักการ ในความคิดแบบมนุษย์ ในหลักการ คือตามองเห็น หูได้ยิน ก็คือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันไม่มีวันเจอหรอก ท่านต้องมาวางใจในเราเสียก่อน

            ในลูกา 17:20-21 พระเยซูได้ทรงอธิบายให้กับคนที่สงสัยตรงนี้ นึกถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าถึงขนาดนี้ นึกถึงเวลาพระเยซูพูดตรงนี้ เขาคิดถึงอะไร? พอพระองค์บอกว่าอาณาจักรสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว กำลังจะมาตั้งอยู่แล้วนะ เตรียมพร้อม กลับใจใหม่ซะ อย่าไปพึ่งพาความคิด วิธีเก่าที่เคยแสวงหา  จะเข้าสู่สวรรค์ มาแสวงหาวิธีใหม่ จะบอกให้ฟังนะ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แล้วนะ คิดถึงคนที่ฟังอยู่ เขาจะคิดอย่างไร? ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ลูกา 17:20-21 พระเยซูอธิบายให้เขาฟังไว้ว่าอย่างไร? …

        ลูกา 17:20-21 “คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ทั้งผู้คน จะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้น อยู่ที่นี่หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่านล้อมรอบท่าน”

            ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง พระเยซูก็บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ก็คือที่ท่านคิด ที่จับต้องมองเห็นได้ ตามความคิดของมนุษย์

            “ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่าอาณาจักรนั้นอยู่ที่โน่นหรืออยู่ที่นี่” ก็หมายถึงว่าไม่ได้อยู่ในวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคนั้น คิดเองและคาดเอง ซึ่งพระเจ้าก็อนุญาตให้ทำอย่างนั้นด้วย เพราะว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจในโลกวิญญาณได้ จึงได้ทำสัญลักษณ์ให้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่นะ  สวรรค์อยู่ที่นี่ และมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ และรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ เป็นสัญลักษณ์นั้นคืออะไร?  เราลองคิดดูสิ ก็คือวิหารไง ก็คือวัดไง  ก็คือบ้านฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีพระเจ้าอยู่

            สำหรับอิสราเอล อย่างที่บอกว่าพระเยซูกำลังพูดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอิสราเอล พระองค์กำลังบอกว่าอาณาจักรสวรรค์นั้น ไม่ได้อยู่ที่โน่นที่นี่ อย่างที่ท่านคิด อาณาจักรสวรรค์ที่จะลงมาตั้งอยู่ อยู่ในท่าน อยู่ล้อมรอบท่าน อาณาจักรสวรรค์ที่ลงมาตั้งอยู่ ไม่เหมือนกับอาณาจักรสวรรค์ก่อนหน้านี้ คือในอดีต ที่พระเจ้าใช้สัญลักษณ์ คือหีบพันธสัญญาในวิหารของอิสราเอลนั่นแหละ

            หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงการสถิตของพระเจ้า คือบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ในอดีตนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร เป็นแค่สัญลักษณ์ที่พระเจ้าตั้งขึ้นว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่นะ เพื่อมนุษย์จะได้ไม่ลืมว่ามีพระเจ้าจริงๆ เพื่อนำมาถึงซึ่งพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภายหลัง เพราะฉะนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร ก็เป็นแค่สัญลักษณ์ การทรงสถิตของพระเจ้า ในสมัยนั้น  แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่เดี๋ยวนี้ วันที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์จะนำเอาสวรรค์ของจริง ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ สวรรค์ไม่ได้อยู่ในวิหารของพวกท่าน ของชาวยิวอีกต่อไปแล้ว

            สวรรค์ไม่ได้มาตั้งอยู่ตรงโน้นตรงนี้ หมายถึงกำลังบอกชาวอิสราเอลว่าสวรรค์ ที่สถิตของพระเจ้า ไม่ได้ตั้งอยู่ในวิหารของยูดาห์ คืออิสราเอลตอนใต้ คือในช่วงที่พูดนั้น อิสราเอลถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ คือชาวยิวใต้ เรียกว่ายูดาห์ ชาวยิวเหนือ เรียกว่าอิสราเอล ทั้ง 2 ชาติ อิสราเอล ยิว มีวิหารที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่เหมือนกัน

            พระเยซูกำลังบอกว่านั่นแหละ ไม่ว่าจะวิหารไหนก็ตาม เป็นแค่สัญลักษณ์ พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่โน่น ที่นี่ ตามที่ท่านคิด แต่มาอยู่ในใจ ก็คือในวิญญาณของท่าน พระองค์จึงบอกไงว่าเมื่อถึงเวลานั้น คือเวลานี้ เวลาที่พระองค์ทรงมาเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด ก็คือมนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หลักวิทยาศาสตร์ ความคิดของตนเอง หรือสัญลักษณ์อะไรต่างๆ จากวัตถุต่างๆ อีกแล้ว แต่ต้องติดต่อกับพระองค์ในทางวิญญาณและความจริง ความจริง ก็คือความจริงที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์คือใครในโลกวิญญาณนั่นเอง

            ฉะนั้น สวรรค์ที่กำลังจะมา พระเยซูกำลังบอกว่าจะมาตั้งอยู่นั้น จะมาตั้งอยู่ในโลกวิญญาณ คือในวิญญาณของท่าน และพระองค์นำเอาสวรรค์นั้นเข้ามา ซึ่งเราเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าพระองค์ ก็คือพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น สวรรค์ที่จะมา ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือพระเจ้าจะทำให้วิญญาณท่านเกิดใหม่ เพื่อร่างกายของท่านจะได้เป็นวิหาร  เป็นอภิสุทธิสถานของจริง แทนสัญลักษณ์ในอดีต  คือวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ วิหารสมัยโมเสส วิหารสมัยโซโลมอน ก็คือวัดที่สร้างขึ้นมา แล้วก็บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ ร่างกายของท่าน จะเป็นวิหาร เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นสวรรค์ที่พระเจ้าจะมาประทับอยู่ นี่พระองค์มาประกาศความจริงอย่างนี้

            และเมื่อท่านจะไปที่ไหนก็ตามสวรรค์ก็จะอยู่ในตัวท่าน ไม่ได้มาอยู่ที่โน่น อยู่ที่นี่ อยู่ที่จังหวัดโน้น อยู่ที่ประเทศนี้  ไม่ใช่ อยู่ในตัวท่าน มนุษย์ทุกคน แต่ละคนมีวิญญาณอยู่ แล้ววิญญาณนั้นจะเป็นที่ประทับของพระเจ้า พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์ที่ท่านมา จะเป็นลักษณะอย่างนี้ พระองค์บอกให้เราฟัง สวรรค์จะอยู่ในตัวท่าน จะปกคลุมอยู่เหนือร่างกายความคิด จิตใจและวิญญาณของท่านตลอดเวลาเลย สวรรค์จะอยู่ในใจท่าน และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน หมายถึงอย่างนี้  เพียงแต่ท่านต้องใช้วิญญาณของท่าน  ท่านไม่สามารถใช้ความรู้สึกนึกคิดแบบมิติ ทั้ง 4 คือมิติที่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านต้องใช้วิญญาณของท่านติดต่อเท่านั้น ถึงจะรู้ได้  เพราะว่าท่านยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ นึกออกใช่ไหม?

            เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดของท่าน  ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความมืด ความบอดจากโลกวิญญาณ วิชาความรู้ในโลกวิญญาณ ไม่มีทางเข้าใจได้เลย ด้วย 4 มิตินั้น เป็นไปไม่ได้เลย ท่านต้องไปสู่มิติที่ 5 เลย เรื่องกาลเวลาไป โลกฝ่ายวิญญาณ อินฟีนิตี้ โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสถิตอยู่ โลกที่ท่านคิดไม่ถึง โลกที่เกินกว่า 4 มิตินี้ ท่านจะมาพิสูจน์พระเจ้าด้วย 4 มิตินี้ ไม่มีวันเจอพระเจ้า ท่านจึงหลุดออกจากมิติที่ 4 คือกาลเวลาไป ท่านจึงจะเจอพระเจ้าได้

            พระองค์กำลังบอกอะไรกับเรา ผ่านทางคำประกาศนี้ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่ามีสถานที่หนึ่งในร่างกายของท่าน หรือร่างกายของมนุษย์ทุกคน   ที่จะเป็นอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ ศักดิ์สิทธิ์มาก และที่นั่นก็คือที่วิญญาณของเรา วิญญาณของท่านมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง

            “วิญญาณของเราจะเป็นอภิสุทธิสถาน เป็นบ้านของพระเจ้า ที่พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าสวรรค์”

            1 โครินธ์ 3:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 3:16  “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            นี่หมายถึงผู้ที่วางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศ ให้เรากลับใจใหม่  นี่กลับใจใหม่แล้ว พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังบอกว่าท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ก็คือบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วไง พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าอย่างไร? พวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน

            อาณาจักรสวรรค์อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 ตามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางความคิด เพราะฉะนั้น วิญญาณของเราอยู่ที่ไหน? วิญญาณของเราก็อยู่ในมิติที่ 5 เหมือนกัน พระเจ้าอยู่ในมิติที่ 5 นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็พยายามจะค้นคว้า หาหลักฐานให้เจอว่ามิติที่ 5 เริ่มต้นอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? พยายามค้นให้เจอ ตอนนี้เจอแล้วว่ามิติที่ 4 คือเวลา มีจริงๆ แต่เป็นมิติที่อยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่มิติที่ 5 ยังหาไม่เจอ พยายามหาใหญ่เลย แล้วก็หาไม่มากเท่าไร?  ก็พบกับความจริงในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเต็มไปหมดเลยว่าพระองค์บอกแล้วว่าพระองค์เป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น ก่อนกาลเวลา พระองค์ทรงมีชีวิต พระองค์ทรงดำรงอยู่แล้ว  แค่นี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหากันวุ่นวายไปหมด พระองค์บอก พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น พระองค์เป็นแสงสว่าง  แสงสว่าง คือชีวิต นี่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พยายามหากันอยู่ แล้วเริ่มเจอหลักฐานอะไรบางอย่างว่าแสงสว่าง คือชีวิตจริงๆ ถ้าไม่มีแสงสว่าง จะไม่มีชีวิต

            ดังนั้น พระเยซูบอกสวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว กำลังมาตั้งอยู่ และตอนนี้ตั้งอยู่หรือยัง? ตั้งอยู่แล้ว เพราะว่าตอนที่พระองค์ทรงประกาศนั้น พระองค์ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งคือความสำเร็จชิ้นสุดท้ายที่พระองค์จะมาทำบนโลกใบนี้  คือเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ อันสุดท้าย ก็คือเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            สวรรค์ได้มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และใครก็ตามที่เชื่อและวางใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้วทันที สวรรค์อยู่ในใจ และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน มันหมายถึงอย่างนี้นั่นเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อท่านวางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะไปหาว่าสวรรค์เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เข้ามาอยู่ในฉันได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้  ไม่มีวันได้เจอของจริงแน่นอน  อาจจะเจออะไรบางอย่างลางๆ นิดๆ หน่อยๆ  แต่ท่านจะถูกความเท็จ ถูกโกหก ถูกหลอกลวงไปในทิศทางที่ผิด แต่ถ้าท่านวางใจในพระเยซูผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ผู้เป็นความสว่าง ผู้เป็นชีวิต หลังจากนั้น ท่านจึงจะเรียนรู้ได้ว่าที่พระองค์ทรงพูดเรื่องเกี่ยวกับมิติที่ 5 เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนั้นคืออะไร? พระเจ้าที่สถิตอยู่ ณ โลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ที่ตั้งอยู่บนโลกฝ่ายวิญญาณนั้นคืออะไร?  อะไรคือคำว่าชีวิตนิรันดร์? อะไรคือคำว่านิรันดร ยอห์น 14:23 …

        ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            คำว่า “มาหาเขา” และ “อยู่กับเขา” ก็คือเรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะมาสร้างบ้านของเราในเขา จะสร้างบ้านของเราอยู่กับเขา “เขา” ตรงนี้ คือมนุษย์คนใดที่เชื่อฟังคำประกาศของพระเยซู พระองค์จะเข้าไปทำบ้านของพระองค์ ในวิญญาณของคนนั้นนั่นเอง  อย่างที่เมื่อตะกี้นี้บอกว่า …

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา”

            ไม่ใช่ “ผู้ใดที่รักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            มันไม่ใช่ มันต้องแปลว่าคำประกาศ  เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา ที่เราประกาศให้เขาฟัง ให้เขากลับใจใหม่ เขาก็ทำตาม คือกลับใจใหม่ แล้วให้มาวางใจในเราว่าเรา คือพระเมสิยาห์ เราคือพระคริสต์ คือผู้นั้นที่พระเจ้าจัดตั้งไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นโน้น หลายพันปีว่าพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ลูกชายของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยมนุษย์ให้รอด  และกลับคืนสู่สวรรค์กับพระองค์ได้ และถ้าคนใดที่เชื่อว่าเราคือผู้นั้น  ก็คือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอด คนนั้นจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ สู่พระบิดา โดยที่เรากับพระบิดาจะมาอยู่กับเขา มาทำบ้านของเราอยู่ในวิญญาณของเขา

            ทำบ้านของเรา คือสถานที่สถิตของเรา คือวิหาร ก็คือทำวิญญาณของคนๆ นั้น ที่มันตายอยู่ มันไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ไม่บริสุทธิ์สะอาด ทำให้วิญญาณของเขาได้เกิดใหม่ วิญญาณเขาจะได้สะอาดหมดจด มาเป็นบ้านของเรา  และเราจะได้เข้าไปอยู่กับเขา สวรรค์เลยอยู่ในใจของเขา อยู่ในวิญญาณของเขา เอเมน

            บ้าน ก็คือที่อยู่อาศัย บ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่ประทับของพระเจ้า  มนุษย์ทุกคนรู้ ทุกภาษารู้เลย  พอบอกว่าสวรรค์ ก็นึกถึงพระเจ้า พอบอกว่าพระเจ้า ก็นึกถึงประทับอยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย เมื่อมนุษย์คนใดตัดสินใจเลือก ที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับคำประกาศของพระเยซู คือวางใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  ก็คือคนๆ นั้น ทันทีทันใดในพระคัมภีร์บอกว่า ก็เหมือนกับได้ถูกย้าย จากบ้านเดิม จากในความมืด  วิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ พูดง่ายๆ เป็นบ้านผี บ้านที่ตายอยู่ บ้านที่พระเจ้าอยู่ไม่ได้ เขาเรียกว่าบ้านที่พินาศอยู่ เมื่อคนใดเชื่อคำประกาศของพระเยซู กลับใจใหม่ มาต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือได้ถูกย้ายมาอาศัยอยู่บ้านใหม่

            บ้าน คือวิหารทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็คือร่างกายของเรา วิญญาณของเราได้ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์  ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้วทันที และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้แล้วทันทีด้วย เช่นเดียวกัน  เป็นครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน  ที่เรียกว่าสามัคคีธรรม มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร?  ไม่ใช่สามัคคีธรรมกันแบบ 4 มิติบนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สามัคคีธรรมกันแบบมิติที่ 5 คือโลกวิญญาณ ไม่เข้าใจคำว่าสามัคคีธรรมนี้ได้หรอก ถ้าเผื่อไม่เปิดตาฝ่ายวิญญาณออก ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซู และไม่วิเคราะห์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  พยายามหาทางจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ ลักษณะเหล่านี้ด้วยความคิดของมนุษย์ ด้วยตามองเห็น จับต้องได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันเจอหรอก สามัคคีธรรมในวิญญาณมันแปลว่าอย่างนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น  ผู้ที่วางใจและกลับใจใหม่  ตามที่พระเยซูคริสต์บอก  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น  คือเราได้อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสน อะไรอีกแล้วที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าให้มากขึ้น ผู้ที่เข้าไปสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณในมิติที่ 5 จะไม่มีใครกลับมานั่งคิดว่าจะหาทางเข้าไปสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะเขาจะรู้ และรู้อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในมิติที่ 5 แล้วว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว เหมือนกับผู้เชื่อและอัครสาวกในอดีต ตอนเริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น ตอนที่วิทยาศาสตร์ไม่เยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว หลักวิทยาศาสตร์เยอะแยะมากมาย ความเจริญรุ่งเรืองของวัตถุสิ่งของและการพยายามค้นหาอะไรต่างๆ เหล่านี้  มันจำเริญเติบโต แค่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันทำให้มนุษย์ห่างจากความจริงของพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ก็เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้แหละ  นอกจากว่าคนๆ นั้นจะบังเกิดใหม่แล้ว  เข้าไปมิติที่ 5 แล้ว ย้อนกลับมาดูวิทยาศาสตร์จึงจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เหล่านั้น มันตรงกับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าจะเอาหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ  คือพามนุษย์ออกจากมิติที่ 5 ทั้งสิ้น ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

            เพราะฉะนั้น เมื่อใครก็ตามได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มิติที่ 5 กับพระเจ้าจริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะเขาอยู่ในนั้นแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเองว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ถ้าเผื่อเขายังไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาจะไปพยายามทำอะไรเยอะแยะเพิ่มขึ้นว่า …

            “ฉันจะได้อยู่ในสวรรค์ๆ”

            ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว  เหมือนเราอยู่ในประเทศไทยแล้ว ถ้าเราไม่รู้ตัว เราก็พยายามเหลือเกิน อยากอยู่ในประเทศไทยเหลือเกิน ทำอย่างไรดีๆ ท่านอยู่ในประเทศไทยแล้ว  ตอนนี้นั่งอยู่ในประเทศไทย ตื่นขึ้นมาก็สงบๆ ว่า …

            “ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้ว”

            สิ่งเดียวที่ท่านต้องการรู้ คือไม่ใช่ทำพาสปอร์ตเพิ่ม ไม่ใช่ไปติดต่อราชการเพิ่มเติม หาเอกสารอยู่ในประเทศไทย  ไม่ใช่พยายามไปหา ซื้อตั๋วเครื่องบินจะไปประเทศไทย  แต่สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ ก็คือตื่นขึ้นมาปุ๊บ ท่านต้องรู้ว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ต้องไปดูหน้ากระจก แล้วบอกว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปหาคนข้างๆ ถามว่าฉันอยู่ในประเทศไทยหรือเปล่า? ใช่อยู่ในประเทศไทย ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ

            เช่นเดียวกันกับคนที่เข้าไปอยู่ในวิญญาณ  ในมิติที่ 5 เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที  ในโลกวิญญาณ มิติที่ 5 มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องรู้ต่อไป ก็คือเขาแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้เรื่อยๆ ว่า …      “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ไปที่ไหนก็ต้องรับรู้ว่า … “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            เพราะว่าสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้  ก็คือมิติทั้ง 4 มิติที่บนโลกใบนี้ มันจะคอยแย้งว่า …

            “ฉันยังอยู่บนโลก ถูก ฉันยังอยู่บนโลกจริง แต่วิญญาณของฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน”

            ถ้าเราแค่รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ  แล้วฝึกฝนปฏิบัติตน ให้สอดคล้องกับสถานที่ที่เราอยู่อาศัย ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณของเรา ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้  ก็ประพฤติตนให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คือพระเจ้า รักดังแก้วตาดวงใจ และชื่นชมยินดีในตัวเรา พอใจมากแล้วในชีวิตของเรา อย่าให้โลกนี้มันหลอกเรา …

            “อะไร ยังนิสัยไม่ดีอยู่เลย”

            นิสัยมันก็อยู่ในมิติทั้ง 4 มิตินี้ นี่เกี่ยวกับวิญญาณ นึกออกใช่ไหม? …

            “อะไรเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อวานนี้ยังโกหกอยู่เลย อะไร ยังหงุดหงิดอยู่เลย ไหนบอกบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วไง”

            “ไม่รู้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น”

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ คือความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น …

            “ผู้ชอบธรรม เขาจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น” พระเจ้าพูดอย่างนี้เสมอ

            “เรามองดูที่ใจ เราไม่ได้มองดูที่ภายนอก” นี่พระเจ้าจะตรัสอย่างนี้เสมอ

            “เราพอใจมากในความเชื่อศรัทธาของคนใดคนหนึ่ง ถ้าปราศจากความเชื่อศรัทธาแล้ว ไม่มีใครทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย” เอเมนไหม?

            พระองค์ต้องการให้เชื่อและวางใจอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง อย่าถูกหลอก เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือจดจ่อ เพ่งมองให้เห็น  เหมือนดังถ้อยคำพระเจ้าจะบอกเราเสมอทั้งเล่มเลย บอกว่า …

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            ไม่เห็นหรืออย่างไร?  ทำไมต้องบอกอย่างนั้น ก็เพราะจงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เถิด เพราะในโลกนี้ วัตถุสิ่งของ ไม่ต้องไปบอกท่านให้เห็นหรอก  เพราะมันเห็นอยู่แล้ว เห็นกับตาอยู่แล้ว แต่โลกฝ่ายวิญญาณ มันจะมองไม่เห็น โลกที่มองเห็น มันมีโอกาสหลอกเรา ล่อลวงเรา เพราะโลกที่มองเห็นนั้น เป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจึงบอกให้เราเพ่งมอง จ้องไปที่โลกวิญญาณนี้ จงมองให้เห็นเถิด แม้เราจะดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เหมือนเดิม ก่อนที่เราจะวางใจในพระเจ้าและเกิดใหม่ในวิญญาณ  พอเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้วต่างหาก ต้องเห็นภาพตรงนี้  เดินไปที่ไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าแม้เราจะอยู่ในร่างกายนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ในมิติ 4 มิตินี้ คือกว้าง ยาว สูง และเวลาก็ตาม แต่ชีวิตฉันจริงๆ ไม่ใช่เป็นเปลือกนอกแค่นี้ ตัวตนฉันจริงๆ คือวิญญาณ และวิญญาณฉันขณะนี้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมาก บริสุทธิ์  สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ เอเมนไหม?

            และรับรู้ตลอดเวลาว่าอดีตในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันเคยอาศัยอยู่ในความมืด ที่เรียกว่าในอาดัมนั้น ในบรรพบุรุษเดิม  ซึ่งเรียกว่าตายอยู่ พินาศอยู่ แต่ตอนนี้ ขณะนี้ หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ฉันได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว และพระเจ้าก็ได้อาศัยอยู่ในฉันแล้ว  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด  พระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากสถานที่นี้ได้  ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว เอเมน

            นี่คือหน้าที่ของเราที่พระเจ้าให้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ทั้งสิ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มิติที่ 5 ทั้งสิ้น โคโลสี 1:13 …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            ชัดเจนเลย เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เห็นไหม? หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์นี้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตอนที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เพราะตะกี้ที่เราอ่าน ก็คือพระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ได้ ก็คือทำไปแล้ว  และได้ทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร คือในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรค์ ผู้ที่พระองค์ทรงรักเรียบร้อยแล้ว

            “ได้แล้ว”

            พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด หลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา พระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นมาทั้งหมดนั้น จะเป็น Past Tense เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งหมด ก็คือได้แล้ว ทำแล้ว เสร็จแล้ว ทั้งสิ้น เพราะพระเยซูคริสต์ประกาศเริ่มต้น ตอนเสร็จสิ้นภารกิจบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว

            คำสำคัญอยู่ที่คำว่า “แล้ว” ได้ทำสำเร็จแล้ว  สวรรค์ได้มาตั้งที่นี่แล้ว ใครเปิดใจต้อนรับสวรรค์ กลับใจใหม่ หันจากการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อไปสวรรค์ กลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์แทน ทันทีทันใด เขาได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ท่านรู้ไหม? เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู วันนี้อาจจะดูไม่ได้ครบนะ

            แต่ก่อนพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเรารู้อย่างลึกซึ้ง เพราะไม่มีใครที่จะสอนเราได้ในเรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถสอนเราได้ วิทยาศาสตร์ ได้แต่ต๊อกๆ ตามความจริงของพระเจ้าไปทีละนิดๆ เหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์ ตามรอยไดโนเสาร์ วิทยาศาสตร์คือการตามรอยพระเจ้าว่าพระองค์เป็นใคร? และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งจะตามได้เท่าไร? ก็ได้แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเราได้เห็น

            อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้ อาจารย์เปาโล คือคนๆ หนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งที่ได้กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู และพระเยซูก็ได้พาเขาเข้าไปในโลกวิญญาณ ในมิติที่ 5 เขาเข้าไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเลย สิ่งที่เขาทำ เมื่อเขาไปเห็น และออกมาแล้ว อันดับแรก คือพระเยซูบอกไม่ให้พูดเรื่องเหล่านี้ ให้เก็บ เขาก็เก็บ คือพูดไป ก็ไม่มีคนเชื่อ ให้เก็บ และสิ่งที่เขาพูดคำแรก พอเขาไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นจริงอย่างไร? ถ้าเป็นมนุษย์ อธิบายเป็นภาษาที่เราเข้าใจ พูดง่ายๆ ว่าเขาเห็นจากตาเป็นๆ ของเขา ตาจริงๆ ของเขา  ไม่ใช่เห็นจากถ้อยคำพระเจ้า แล้วเรารับรู้จากวิญญาณข้างใน  แต่เขากำลังบอกว่าเขาก็อธิบายไม่ถูก เขาบอกว่าเขาได้ถูกรับเข้าไปสู่โลกวิญญาณ  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติที่ 5 นี้  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติสวรรค์ เขาไปพบกับความยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เขาจึงอยากจะให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ที่เรียกว่าผู้เชื่อใหม่แล้ว ได้รับรู้ ได้เห็น เหมือนสิ่งที่เขาได้เห็นอย่างนั้น เขาจึงได้ประกาศออกไป อธิบายออกไป แล้วเขาจึงพูดว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการค้นพบตรงโน้นตรงนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่อง 3, 4 มิติบนโลกใบนี้อีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงสติปัญญา ปรัชญาแบบโลกอีกแล้ว ไม่อยากจะพูดถึงเหล่านี้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากพูด ก็คือเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นฤทธิ์เดช เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจนี้มันใหญ่ยิ่งขนาดไหน? ที่ทำให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ แล้วพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้แหละ อย่างเดียว ไม่อยากพูดอย่างอื่นเลย  และรู้ด้วยว่าข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อย่างเดียว ผู้คนที่ฟังอยู่ และใช้หลักการวิทยาศาสตร์ ใช้หลักการความคิดของมนุษย์ ก็จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้เรื่องเลย พูดซ้ำไปซ้ำมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความโง่เขลา สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ

            โง่เขลา อะไร ไปอยู่ในสวรรค์ แค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย แค่นี้เองหรือ? ฤทธิ์เดชอำนาจ ทำแค่นี้เองหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นความโง่เขลาของคนที่ยังไม่เชื่อ   แล้วก็ใช้สติปัญญาตนเอง   แล้วก็จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลา  แต่ข้าพเจ้ายอมโง่  เพราะมันเรื่องจริง  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุด ในมหาจักรวาล ยิ่งกว่าตอนบิ๊กแบงอีก รู้จักบิ๊กแบงใช่ไหม? ยิ่งกวาตอนที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตอนเริ่มต้น สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ โดยพระเยซู โดยถ้อยคำของพระองค์ ที่พระคัมภีร์ภาษาไทยเรียกว่า “เนรมิตสร้างโลกและสรรพสิ่งบนโลก” คำว่า “เนรมิต” นี้ หรือคำว่า “บิ๊กแบง” นี้ ที่นักวิทยาศาสตร์ตามไปค้นพบว่าเรียกว่าบิ๊กแบงนี้ มันคือการเนรมิต มันคืออำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สร้างทางโลก และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ตรงนี้ ตอนนี้ มันอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อศรัทธาแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย ที่ท่านบอกว่าเรื่องโง่เขลา เรื่องโง่เขลาเหล่านี้ ทำให้คนฉลาดของโลกใบนี้ต้องอับอายไป เปาโลได้พูดอย่างนี้

            เปาโลบอกว่าตัวเขาเองเคยถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3  ทำไมถึงเรียกสวรรค์ชั้นที่ 3  เพราะคำว่าสวรรค์ หมายถึงสิ่งที่เกินกว่า 4 มิติ อย่างที่ผมบอก เกินกว่าความกว้าง ความยาว ความสูง และเวลา  มนุษย์จับต้องมองเห็นไม่ได้ มีเวลา เลยไปกว่านั้น พูดง่ายๆ คือมิติที่ 5 ทำไมเรียกว่าชั้นที่ 3 เพราะในสมัยนั้น มนุษย์มองขึ้นไปในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ได้เห็นอะไร? ท่านลองคิดดูสิ มองจากโลกใบนี้เห็นหมด เห็นดิน เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ มองขึ้นไปเห็นนก เท่านั้นเอง พอนกไม่บินมา เห็นอะไร? เห็นเมฆ เห็นแค่นั้นเอง นี่แหละคือที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 1 มันหมายถึงอย่างนั้น

            สวรรค์ชั้นที่ 2 คือมนุษย์ก็ยังพอเห็นอยู่ ก็คือเลยออกจากห้วงของชั้นบรรยากาศของโลกใบนี้ มองออกไป พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากแรงดึงดูดของโลก มองไปไม่เห็นนก นกบินไปไม่ถึงแล้ว  หลังจากเมฆไป เห็นดวงดาวบ้าง นั่นแหละ คือชั้นที่ 2 หลังจากดวงดาวไป ก็ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว  เปาโลจึงใช้คำว่าถูกรับไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3

            ซึ่งชั้นที่ 3 ในยุคปัจจุบัน ก็คือมิติที่ 5 นอกเหนือกาลเวลาที่เพิ่งค้นพบทางหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าเปาโลได้ถูกรับไปสู่มิติที่ 5  ก็คือเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ

            ในสวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 มีสิ่งมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่าทูตสวรรค์อยู่อาศัยด้วย  ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ที่เขาเรียกว่าตกกระป๋อง พูดง่ายๆ วิญญาณชั่ว ไม่อยากจะพูดคำนี้ ทุกคนฟังแล้ว จะหวาดกลัวว่าเป็นผี … ผี คือวิญญาณ  วิญญาณที่ตกกระป๋อง ถูกตัดสินคดีให้พินาศ อยู่ในบึงไฟนรก นิรันดร์กาล ก็คือมารและสมุนของมัน  อยู่สวรรค์ชั้นที่ 1 กับ 2 แต่ทะลุเข้าไปถึงมิติที่ 5 มีแต่พระเจ้าสถิตอยู่เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ จึงเป็นความมืดไง นึกออกใช่ไหม? นึกไม่ออกหรอก ผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่พยายามไล่ตามถ้อยคำพระเจ้าไป บนโลกใบนี้เรียกว่าความมืด บนโลกใบนี้ ก็คือโลกวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ และโผล่เข้าไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่เปาโลบอกว่าชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ทั้งหมดนี้อยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอกวันหนึ่งมันจะถูกพิพากษาให้จบสิ้น  จบสิ้น ก็คือโลกวัตถุนี้ และโลกวัตถุที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ  และโลกวัตถุที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศ พวกดวงดาวต่างๆ พวกห้วงจักรวาลต่างๆ เหล่านั้น วันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไปหมดเลย เพราะมันถูกพิพากษา โดยพระเจ้าตัดสินไปแล้วว่ามันจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้สูญสิ้นไป แล้วพระเจ้าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลย

            เปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสมัยนั้นเรียกว่าชั้นที่ 3 มันหมายถึงอย่างนี้ ก็คือสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ และไปพบกับความจริงเหล่านี้  ที่ตะกี้นี้ที่ผมพยายามเอาข้อความพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบายให้ฟัง มาให้ท่านเห็นว่าเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ตรงนั้น และเปาโลก็เลยบอกว่า …

            “เกรงว่าข้าพเจ้าจะอวดตัวมากเกินไป”

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าจึงให้หนามในเนื้อ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร? มาคอยเตือนเปาโลว่าอย่าอวดตัวว่าได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้ว ให้ถ่อมใจ ไม่ต้องไปพูดถึงมากเรื่องนี้ แต่ที่พูดให้ท่านฟัง หมายถึงไม่ใช่ผมพูดนะ หมายถึงเปาโลบอก …

            “ที่อธิบายให้ท่านฟังนิดหน่อยนั้น  ก็เพื่อว่าท่านจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าก็ไม่ใช่อัครทูตจิ๊บจ้อยนะครับ”

            เพราะว่าท่านถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายว่าเป็นอัครทูตปลอม ไม่ใช่อัครทูตจริง  อัครทูตจริงต้องเดินกับพระเยซู ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้สิ ก็เหมือนอัครทูต 12 คน ที่เหมือนเปโตร เหมือนยอห์นเหล่านั้น แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซูอย่างนั้น แถมยังฆ่าคริสเตียนตายอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น พอถูกเรียกมาเป็นอัครทูต ประกาศให้กับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวแล้ว ก็ถูกคนใส่ร้าย  หาว่าไม่ใช่อัครทูตจริงหรอก อัครทูตจริงจะต้องเดินกับพระเยซูสิ พระเยซูก็เลยพาอาจารย์เปาโลไปเดินกับพระเยซู แต่คราวนี้เดินแบบไม่ใช่ร่างกายแบบมนุษย์เดินอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซูตอนเดินบนโลกใบนี้ แต่เป็นร่างกายของพระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  อยู่ในมิติที่ 5 แล้ว ก็เลยรับเปาโลไปอยู่ในมิติที่ 5 เข้าไปพูดคุยกัน ท่านพอเข้าใจไหม?  ก็เหมือนกับว่าพระเยซูได้คุยกับเปาโล เหมือนกับที่พระองค์ได้คุยกับอัครสาวก 12 คน เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

            เปาโลเลยบอกว่า … “ขอคุยนิดหนึ่งก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ จะได้ให้เกียรติฉันบ้าง ท่านจะได้เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด  ฉันถูกเรียกมา แต่งตั้งมา เพื่อให้ประกาศกับคนต่างชาติ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย  ฉันเป็นอัครทูตของแท้จากพระเยซูคริสต์เหมือนกัน”

            สัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกันว่าอาณาจักรสวรรค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่ทำงานอยู่ในตัวของท่าน ผู้เชื่อ และผู้ที่วางใจในพระเยซู และท่านได้วางใจไปแล้ว  สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้วางใจยังฟังๆ อยู่ สัปดาห์หน้ามาฟังสิว่าถ้าท่านวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านบ้าง อัศจรรย์ ที่ผมตั้งชื่อว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์นี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  สัปดาห์หน้ามาต่อกัน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำถาม : “ต้องทำดีเท่าไหร่กี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์ได้?”

            คำตอบ : “ศูนย์ครั้ง”

            ไม่ต้องทำดีอะไรเลย  แค่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เท่านั้นจริงๆ

            เอเฟซัส 2:4-9 … “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา  (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในคยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้น จากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ นอกจากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น

            อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! Amazing Grace พระคุณอัศจรรย์ ความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขต เหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยมเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ 

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1406

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มีนาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 22

โดย วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำของพระองค์ สัปดาห์ที่แล้วเราก็เรียนไปแล้วในเอเฟซัส 3:9-10  อาจารย์เปาโลพูดถึงพระพรของพระเจ้าที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนต่างชาติ มันเป็นแผนการลี้ลับของพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระองค์ก็เตรียมแผนว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระเจ้าจะทำให้ชนชาติอิสราเอลกับชนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนไปถึงคนต่างชาติ เขาไม่กล้าที่จะเสนอตัวว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขามีความรู้สึกว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือ? ฉันสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวหรือ?”

            เพราะชนชาติยิวใครๆ ก็รู้ว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า เป็นชนชาติพิเศษที่พระองค์เลือกไว้ แต่อาจารย์เปาโลก็ยังคงย้ำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วแผนการนี้ก็ค่อยๆ ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย  อยู่กับคนอิสราเอล 40 วัน แล้วก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย ให้คนอิสราเอลได้เห็นกับตาเลยว่าพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์

            แล้วจากวันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นที่พระองค์วางแผนที่จะประกาศความรอด ให้กับคนต่างชาติ แล้วพระองค์ก็ทรงเลือกอาจารย์เปาโลให้ทำอย่างนั้น พี่น้องนึกดูว่าแผนการลี้ลับนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้เลย ทุกคนก็มีความรู้สึกว่าเฉพาะชนชาติยิวเท่านั้นที่พระเจ้าเลือกสรร เฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น ที่เป็นประชากรของพระเจ้า

            เราพูดถึงคำว่า “ประชากร” สมัยก่อนคนยิวภูมิใจในการเป็นประชากรของพระเจ้า ประชากร หมายถึงเป็นพลเมืองของพระเจ้า ถ้าเปรียบประเทศไทย เราเป็นพลเมืองของประเทศไทย เราเป็นคนไทย โดยชอบธรรม เราสามารถที่จะรับสิทธิต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในประเทศไทย อย่างครบถ้วนสมบูรณ์  แต่ว่าเรายังเป็นแค่พลเมืองเท่านั้น  เป็นประชาชนเท่านั้น  แต่พิเศษกว่านั้น คือพระเจ้าได้เตรียม ไม่ใช่เฉพาะเราเป็นพลเมืองของประเทศไทยเท่านั้น หรือพลเมืองของพระเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าเตรียมให้เราเข้ามาเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มันวิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กับการที่เป็นคนไทย กับการถูกรับให้เป็นลูกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ นึกภาพออกไหมค่ะ? จะเป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่ชำระความผิดบาป ให้กับมนุษยชาติเท่านั้น พระองค์ยังเตรียมแผนการให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า … “เรารู้จักเจ้า” รู้จักตั้งแต่ตอนที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  คือเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการบัพติศมาในวิญญาณ

            นี่คือขบวนการทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของเรา ต้องใช้ความเชื่อเอา เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระองค์บอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที เราได้บังเกิดใหม่ ขบวนการในโลกวิญญาณได้กระทำการงานของพระองค์ สำเร็จตั้งแต่วันแรก แล้ววิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยมอ่อง เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  เป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้งสามพระภาคได้ นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้และกระแทกมันเข้าไป ให้ถ้อยคำเหล่านี้ กระแทกเข้าไปในวิญญาณ เข้าไปในความคิด เข้าไปในจิตใจ ทุกอนูเนื้อของเรา ให้รับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อมารจะได้หลอกเราไม่ได้  ไม่อย่างนั้นมารก็จะคอยหลอกเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีโอกาสเผลอตัว ไปทำตามระบบของโลกนี้

            ฉะนั้น ความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราสามารถมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยืนกราน ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรมแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนกับพระเยซูคริสต์แล้ว ร่างกายของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายเราก็สะอาดนะ มันยากตรงที่ร่างกายเรามองเห็น แล้วระบบของโลกใบนี้ก็ส่งข้อมูล สะอาดตรงไหน? ยังทำผิดอยู่เลย ฉะนั้น เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกเราว่าร่างกายเราได้รับการชำระให้สะอาดจริงๆ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราจริงๆ แล้ววิญญาณเรา เป็นวิญญาณที่ถูกเปลี่ยนใหม่จริงๆ

            นี่คือแผนการตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงทุกวันนี้ ที่คนต่างชาติ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้รับรู้ตรงนี้เอาไว้ แล้วกล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามารับพระคุณตรงนี้ คือเขาเชื่อพระเจ้าแล้วล่ะ แต่เขาไม่กล้าไง มีความรู้สึกว่า …

            “ได้เหรอ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงหรือ? แค่รับเชื่อ ฉันได้รับมรดกจากพระเจ้าจริงหรือ?”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลย้ำยืนยันตามที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่าเขาได้รับจริงๆ ตามนั้น ให้กล้าที่จะเข้ามารับเอา รับรู้ความจริงว่าเขาสามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่ประชากรแล้วนะ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับคนยิว เป็นหนึ่งเดียวกันร่วมกับคนยิว

            แล้วในข้อ 10 สัปดาห์ที่แล้วเราอ่านไปไม่ได้อธิบาย เดี๋ยวอธิบายก่อนนะ ในข้อ 10 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:10 “เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร”

            ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เป็นพวกผี หรืออะไร? ไม่ใช่นะ เทพผู้ครองกับเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน มารซาตาน เขาไม่มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์นะ เขาขึ้นไปก็เฉียดๆ ไปฟ้องเรากับพระเจ้าตลอดเวลา แต่ว่าตรงนี้พูดถึงผู้คนในอดีต ที่เชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้า พระบิดาบอกไว้ ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่มา  แต่ว่าใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าตั้งกฎไว้ อย่างเช่น อับราฮัม โมเสส เขาเชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้นำแพะ หรือแกะ มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ปีต่อปี ทุกปี คนอิสราเอลต้องทำแบบนี้  เพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า ตอนนั้นเป็นพระเจ้านะ  พระเจ้า พระบิดา พระยะโฮวาห์ พระคัมภีร์เดิม พอพระเจ้าทำพันธสัญญากับคนอิสราเอล ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในชนชาติอิสราเอล  ไม่ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น  แค่อยู่รอบๆ  ปกคลุมอยู่ เวลาที่ต้องการจะใช้ใคร?  ทำอะไร? พระองค์ก็มาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็ให้กำลัง ให้เขาทำ พอทำเสร็จ พระเจ้าก็ออกไป คนสมัยเดิม เป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้น กษัตริย์ดาวิดจะอธิษฐานว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า โปรดอย่าละข้าพระองค์ไป เวลาข้าพระองค์ทำบาป พระองค์ก็ละข้าพระองค์ไป”

            นึกออกไหม? มันเป็นภาพ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในชนชาติอิสราเอล ในอดีต พระเจ้าก็จะทำการงานของพระองค์ และพระสัญญาที่พระเจ้าให้กับชนชาติอิสราเอลเป็นเงาในอนาคตข้างหน้าที่จะเล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด แกะปัสกาตัวสุดท้าย ซึ่งเต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาล คือพระเยซูคริสต์ ที่ปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”

            พงศ์พันธุ์ของหญิงเล็งถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีเชื้อบาป  แล้วเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่สามารถมาตายแทนมนุษยชาติทั้งหลายได้ มาใช้หนี้แทนได้  มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่มีใครใช้หนี้แทนใครได้ เพราะว่าเป็นคนบาปหมดเลย อยู่ใน DNA บาป เกิดมาก็บาปเลย  ไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะใช้หนี้ให้ใคร?

            ฉะนั้น พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้น เป็นแกะ ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปที่แดนประหาร ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกจัดเตรียมให้มาเกิดบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำตามที่พระเจ้าต้องการ  พระเจ้าของเราไม่เคยบังคับใครให้ทำตามที่พระองค์ต้องการ  พระองค์ให้อิสรภาพในการตัดสินใจ  ในการเลือกตั้งแต่พระเยซูคริสต์ มาจนถึงคนอิสราเอลในยุคก่อน พระเจ้าก็ให้อิสรภาพ ถ้าคนอิสราเอล คนไหนได้ยิน ที่พระเจ้าบอกว่าให้มาทำพันธสัญญากับเราด้วยเลือด เราจำคำนี้ไว้ “เลือดแห่งพันธสัญญา” ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยโทษบาป ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น เลือด คือชีวิต เลือด คือสัญลักษณ์ที่พระเจ้าได้ทำกับคนอิสราเอล เมื่อคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเชื่อตามนี้ เมื่อถึงปี เขาก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาให้กับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ทำพิธีฆ่าแกะนั้น แล้วก็เอาเลือดไปปะพรมแท่นบูชา เท่ากับว่าเขาได้มาถวายเครื่องบูชา แล้วคนๆ นั้น ที่ทำตามกฎที่พระเจ้าบอก เขาก็จะได้รับการปกคลุม คือได้รับการลบล้างบาปชั่วคราว ก็คือตลอดปีนี้ พระเจ้าคลุมเขาอยู่ แล้วปีหน้า คนอิสราเอลคนนั้น ไม่ใช่สบาย ฉลุย ไม่ต้องทำอะไร? มาใหม่ ปีหน้า ก็ต้องไปหาแกะตัวใหม่ที่ไร้ตำหนิ มาถวายให้พระเจ้า ปีแล้วปีเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ปุโรหิตต้องยืนถวายเครื่องบูชา อยู่ตรงนั้นแหละตลอด ทำไมถึงต้องถวายเครื่องบูชาตลอด  เพราะว่าการลบล้างบาปด้วยเลือดของสัตว์ ไม่ทำให้ใจข้างในเรารู้สึกบริสุทธิ์สะอาด เรายังรู้สึกว่าเรายังบาปอยู่เลย ปีหน้าเราก็มาทำใหม่

            พอมาถึงพระเยซูคริสต์ เลือดของพระเยซูคริสต์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ชำระเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือหลั่งพระโลหิตครั้งเดียว เราได้รับการชำระปุ๊บ ข้างในวิญญาณเรารู้สึกเราเป็นไทเลย  เราไม่ต้องมาคอยชำระบาปทุกปีๆ ไม่ต้อง ดังนั้น วิญญาณข้างในเราจะรับรู้ว่าเราหยุดที่จะแสวงหา พี่น้องสังเกตไหมก่อนหน้าที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราจะคอยแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเราจะได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม กฎที่มันฝังอยู่ในความคิดของเราว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีกับชั่วมันก้ำกึ่งกันมาก แล้วต่อให้ทำดีมากกว่าทำชั่ว ต่อให้ก้ำกึ่งกัน เราก็ยังมีความรู้สึกข้างในมันฟ้องผิด นี่คือปกติ เพราะว่าตัวตนข้างในเรายังเป็นบาปอยู่ ดังนั้น พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ข้างในเราไม่บาปแล้วนะ  เราถูกเปลี่ยนจากสถานะเดิม ก็คือเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เปลี่ยนจากอยู่ในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า เปลี่ยนจากการเป็นคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ในข้อ 10 ที่บอกว่าเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน หมายถึงบุคคลต่างๆ ที่เชื่อในพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าบอกไว้ว่าให้ถวายแกะเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดมาถวาย  คนเหล่านั้น แม้พระเยซูคริสต์ยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิม พอเชื่อตามพันธสัญญาเดิมปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าเขาชอบธรรม

            อับราฮัมมีความเชื่อ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าอับราฮัมประพฤติดี พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันต่างกันเนอะ การประพฤติกับความเชื่อให้แยกจากกัน มนุษย์ไม่สามารถประพฤติดี จนทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือเชื่อตามพระสัญญาของพระเจ้า ฉะนั้น บุคคลต่างๆ ในอดีต เขาได้เชื่อตามที่พระยะโฮวาห์บอก แล้วเขาก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อเขาตายจากไป เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ เพราะว่าเขาได้ทำตามเงื่อนไขของพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด ตรงนี้พี่น้องเอาให้ชัดๆ

            หลังจากนั้น คนเหล่านี้อยู่ข้างบน เขาเชียร์เรา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระเจ้าวางแผนไว้อย่างไร? พอถึงเวลา ก็ตื่นเต้นว่าพระเจ้าเลือกชนชาติอิสราเอลใช่ไหม? พอพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วพระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐของพระองค์ไปถึงคนต่างชาติ  เขาก็ตื่นเต้นมากเลย ไม่ใช่เฉพาะคนยิวเท่านั้น แต่คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา พวกเรา ก็คือพวกธรรมิกชนทั้งหลาย ที่จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ตื่นเต้นไง เชียร์ใหญ่ เชียร์อยู่บนสวรรค์

            นี่คือภาพให้เราเห็นว่าคนที่จากโลกนี้ไป ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ คนเหล่านั้น  ถ้าทำตามเงื่อนไข พันธสัญญาเดิม เขาได้ไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น พอมาถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ตอนนี้เปลี่ยนแล้วนะ พระเยซูมาประกาศกับคนยิวว่าเขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด  ถ้าเขาต้องการที่จะพึ่งพากำลังของตนเอง ที่จะประพฤติ ทำให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ มีวิธีเดียว คือให้ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า หมายความว่าเขาต้องทำตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แม้แต่จุดนิดหนึ่งก็ไม่ให้พลาด ตลอด 24 ชั่วโมง  คิดก็ไม่ได้ พระเยซูบอกแค่คิดชั่ว ก็บาปแล้ว แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าต่อให้มนุษย์ผู้นั้น ทำดีมาเป็นพันครั้ง หมื่นครั้ง ล้านครั้ง แต่ถ้าเขาทำผิดแค่ครั้งเดียว ถือว่าเขาผิด  ถือว่าเขาบาป นี่คือกฎ ที่พระเจ้าตั้งไว้

            ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้กำลังของตนเอง ที่จะทำให้ตนเองชอบธรรมได้ นี่คือเหตุผล ที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา  แล้วตอนที่พระเยซูคริสต์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์ก็บอกกับคนยิวว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก ไม่ได้มาสอนให้ทำนะ เมื่อก่อนเราเข้าใจผิด ดิฉันก็เข้าใจผิดมาเป็น 30 กว่าปีนะ คิดว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ  แล้วเราก็พยายามทำ ทำแล้วทำอีก เรียกว่าหัวชนฝาทำ แต่ทำเสร็จ มันก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเราทำไม่พอ เราก็ไปสอนคนอื่นให้ทำ แต่ความจริงคือ …

            พระเยซูบอก … “ไม่ได้มาสอนให้เธอทำ ฉันกำลังมาบอกเธอว่าเธอทำไม่ไหว ฉันมาทำให้สำเร็จ เธอแค่มาเชื่อฉัน” จบ

            ง่ายไหม? ง่าย แต่เรื่องง่ายๆ มนุษย์รับไม่ค่อยได้ ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์บอกว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้ พระองค์มา วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันที่พระองค์ถูกฝังในอุโมงค์ แล้ววันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูว่าอย่างไร?

            พี่น้องจำวันที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงได้ไหม?  พระเยซูตะโกนคำว่า … “สำเร็จแล้ว” นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้า พระบิดาเตรียมไว้  สำหรับมนุษยชาติ ความรอดนิรันดร์ได้สำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ และในพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าขณะที่พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” ม่านในวิหารขาดเป็น 2 ท่อน ม่านในวิหารตรงนี้ เป็นม่านที่กั้นระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาเข้าไปไม่ได้  เข้าไปปุ๊บ ตายเลย  แล้วไม่ใช่ปุโรหิตทุกคนเข้าไปได้ด้วย ต้องมหาปุโรหิต ผู้เดียวเท่านั้นที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วมหาปุโรหิตในยุคของพระคัมภีร์เดิม ก็จะเป็นเผ่าพันธุ์ของอาโรน พระเจ้าก็จะมีส่งไม้ต่อ ไม้ผลัด เขาจะมีเวรว่าปีหนึ่งครั้งหนึ่ง เข้าไปถวายเครื่องบูชา

            ฉะนั้น มหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถาน เพื่อถวายเลือดให้กับพระเจ้า เพื่อเป็นการชำระบาปให้ชนชาติอิสราเอล  แล้วมหาปุโรหิตคนนั้น ถ้าถึงเวรที่เขาต้องทำ  จากเริ่มต้น คือมหาปุโรหิตต้องชำระความผิดบาปของตัวเองก่อน คือต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองก่อน ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าก่อน แล้วก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาฆ่าถวาย เอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา ให้ตัวเองสะอาดพอที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ นี่คือกฎสมัยเดิม ถ้ามหาปุโรหิตคนนั้น ลืมชำระตัวเอง ให้สะอาด มีบาปติดตัว เข้าไปปุ๊บ เขาตายเลยนะ เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความสกปรกของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าไปปุ๊บ ตาย

            นี่คือเหตุผลหนึ่งในพระคัมภีร์บอกว่ามหาปุโรหิตทุกคน ก่อนที่เข้าไปหลังม่าน ก็คืออภิสุทธิสถาน เขาจะเอาเชือกผูกข้อเท้าเขาไว้ แล้วชุดของมหาปุโรหิต ที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำ ก็คือมีกระพรวนอยู่รอบตัวเลย เวลาเดินไปไหนมาไหน เหมือนเราทำพิธี เราเดินไปเดินมา กุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา เหมือนเด็กรุ่นใหม่ ใส่รองเท้าดังปี๊บๆ เวลาเด็กมาวิ่งๆ เราจะได้ยินเสียงปี๊บๆ พ่อแม่ก็รู้ว่ายังอยู่ใกล้ๆ เรา ถ้าปี๊บๆ หายไป เราก็มอง ลูกเราเดินหายไปไหน? ประมาณนั้น

            เพราะฉะนั้น มหาปุโรหิตก็ต้องชำระตัวเองให้สะอาด  พอไม่สะอาด เข้าไปปุ๊บตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น คือเสียงกุ๊งกิ๊งมันจะหายไปไง นิ่งเงียบ  ถ้ามีการเดินไปเดินมา ถวายเครื่องบูชา  มันต้องเสียงกุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา  พอเงียบปุ๊บ แปลว่ามหาปุโรหิตคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอก ก็ต้องดึงเชือกออกมา เข้าไปไม่ได้นะ เข้าไปก็ตาย ดึงออกมา แล้วส่งคนใหม่เข้าไป มันเป็นภาพอย่างนี้จริงๆ นะ ในสมัยเดิม ในพระคัมภีร์ก็เขียนว่าปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาวันแล้ววันเล่า ไม่จบสิ้น  เพราะว่าถวายอย่างไร บาปของมนุษย์ก็ไม่ถูกลบล้างให้หมดไป ดังนั้น วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ก็คือม่านขาดออกมา มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปที่หลังม่านได้ สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ พวกเราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าที่สถานที่ลึกที่สุด ก็คือในวิญญาณของเราเป็นอภิสุทธิสถาน  เป็นที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่

            นี่คือความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ใหม่กับพระคัมภีร์เดิม ณ ยุคปัจจุบัน เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำ การงานของพระองค์สำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องมีปุโรหิตอีกต่อไป ไม่ต้องหาคนมาช่วยถวายเครื่องบูชา เพื่อพวกเรา เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาถวายเครื่องบูชาให้กับพวกเราครั้งเดียว จบ ในพระคัมภีร์บอกครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวก็พอ ชำระล้างความผิดบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต ก็คือจบสิ้นขบวนการ  นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ นี่คือความจริง ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก  ผู้เชื่อที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่จริงๆ ถูกหลอก แล้ววิญญาณเขากระเทือนไหม? ไม่กระเทือน วิญญาณเขายังอยู่กับพระเจ้าอยู่ ถ้าเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ยังไปอยู่กับพระเจ้าอยู่ แต่ถ้าเราถูกหลอกบนโลกใบนี้ เราก็อยู่แบบผวาอยู่ตลอดเวลา  นึกภาพออกไหม? อยู่แบบไม่เป็นอิสระ

            อยู่แบบ … “วันนี้ฉันทำอย่างนี้ ตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”

            มารก็คอยส่งข้อมูล … “เธอไม่รอดแล้ว เธอทำอย่างนี้ เธอตายแน่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอ”

            ความจริง คือเราต้องยืนกราน … “ฉันเกิดแล้วเกิดเลย ฉันรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีมนุษย์คนไหนแยกฉันไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้” นี่คือความจริง

            พวกที่จากไปก่อน เขาก็เชียร์เรา ฉะนั้น แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษย์ในยุคนี้ เลิศสุดแล้ว เราขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเมื่อมีพันธสัญญาใหม่ปุ๊บ  พระเยซูก็บอกกับคนยิว เพราะคนยิวรับพันธสัญญาเดิมเต็มๆ  พวกเราคนต่างชาติไม่รู้เรื่องพันธสัญญาเดิม เพราะคนต่างชาติ เราไม่เคยเอาแกะไปถวาย เป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า ฉะนั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลย พอรับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราก็รับมาเลย แต่คนยิว เหมือนข้อมูลในสมองเขา เขามีความรู้สึกว่าพระเจ้าให้เขาทำตามกฎ และทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าไปในวิหาร  เพื่อถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิม แล้วคิดว่าสิ่งที่เขาทำ สามารถที่จะลบล้างความผิดบาปของเขาได้ สามารถที่จะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้  แต่พระเยซูบอกไม่ได้ กฎเก่า พระเจ้ายกเลิกไปแล้ว ตอนนี้เป็นกฎใหม่

            กฎใหม่มีทางเดียวที่พวกเธอจะเป็นผู้ชอบธรรม แล้วสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็คือเธอต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาในการกระทำของตนเอง  คือพึ่งพาในการถวายเครื่องบูชา  พึ่งพาในการกระทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ให้เปลี่ยนจากการพึ่งพาตรงนั้น ให้มาพึ่งพาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน สำเร็จแล้ว แค่นั้นเอง เปิดใจต้อนรับ เชื่อปุ๊บ ได้ทุกอย่างเลย มาเป็นขบวนเลย มาเป็นหีบ มาเป็นห่อ มาเยอะแยะ ที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว

            ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนมีหน้าที่อย่างเดียว คือมาชื่นชมยินดีในผลสำเร็จที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ฮาเลลูยา  นี่คือความจริง แล้วเราต้องเอเมนตามนั้น พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น อย่าให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามา โดยผ่านทางมาร มันพยายามลัก ฆ่า ทำลาย มันพยายามหลอกคริสเตียนให้เชื่อตามมัน หลอกเรา บอกว่า …

            “พระเยซูยังทำไม่สำเร็จหรอก  พวกเธอต้องทำเพิ่ม ต้องทำอีก ถ้าไม่ทำนะ ไม่สำเร็จแน่ๆ เลย พระเยซูไม่ได้ชำระบาปของเธอตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคตหรอก ชำระแค่ในอดีตเท่านั้น ในปัจจุบัน ถ้าเธอทำ เธอต้องไปสารภาพกับพระเจ้านะ”

            แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเผลอ ต้องใช้คำว่าเผลอนะ เพราะว่าตอนนี้ธรรมชาติใหม่ วิญญาณใหม่ของคริสเตียน คือทำบาปไม่เป็น คิดชั่วไม่เป็น ร่างกายเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ทำชั่วอยู่แล้ว เราพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แต่เหตุผล คือเรายังอยู่ในระบบของโลกนี้  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย มีโอกาสเผลอที่จะไปทำตาม  ถ้าเผลอเมื่อไร การประพฤติของเรา ไม่ได้เป็นไปตาม คือให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราประพฤติตนให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่เราว่าเด็กๆ ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย เด็กบางคน เดินก็ไม่เดิน ชอบคลานๆ คือโตแล้ว ก็ยังอยากเล่น อยากคลาน พ่อแม่ดูแล้วก็ โอ้โห ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย ตอนนี้ไม่คลานแล้ว ให้ลุกขึ้นมาเดิน แต่ว่าถ้าเขายังพอใจที่จะคลาน เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่นะ นึกภาพออกไหม? คริสเตียนเหมือนกัน บางทีเราก็เผลอ ไปทำอะไรที่มันไม่เหมือนกับพระเจ้า เราเป็นลูกพระเจ้า เราก็ทำเหมือนพระเจ้านั่นแหละ

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ทุกบททุกตอน ที่เขียนไว้ เล็งถึงเรื่องของโลกวิญญาณ บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนี้ เราเป็นความรักแล้ว ไม่ได้สอนเราว่าเราต้องพยายามประพฤติให้รักคนอื่น  แต่บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ เราเป็นความรักแล้ว แล้วเราก็รับรู้ความจริงตรงนี้ แล้วความรักที่อยู่ในเราจะเจริญเติบโต พอเราโตมากเท่าไร ความรักมันจะส่งผลออกไปเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ได้ให้เราต้องพยายามไปจ้องว่า …

            “ฉันเป็นความรัก ฉันต้องๆ”

            ไม่ใช่นะ ถ้าเราฝืนทำด้วยกำลังของเราเอง  เราก็พลาด เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าธรรมชาติใหม่เราเป็นแบบนี้ รับรู้เอาไว้นะลูก ลูกเป็นความรักนะ พอรับรู้ โตๆ ขึ้น ธรรมชาตินี้มันก็จะออกไป แบบอัตโนมัตินั่นแหละ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะโน้มนำเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะบอกเราว่าลูกเอ๋ย  ตอนนี้ ลูกเป็นความรักนะ เมื่อกี้ถ้าลูกประพฤติ เกลียดอันนั้น ไม่ใช่ตัวลูกนะ เราก็ใช่ๆ อันนั้นไม่ใช่ฉัน ฉันก็กลับลำมา

            ฉะนั้น การอยู่ในพระเจ้า มันมีสงครามที่สู้กันอยู่ตรงความคิดที่เราคุยกัน ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ ความคิดของมนุษย์ที่เชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราสามารถคิดตามพระวิญญาณได้ หรือเราจะคิดตามระบบของโลกนี้ ก็ได้ พี่น้องสังเกตสิ ความคิดเราอยู่ไม่นิ่ง มันจะคิดไปเรื่อยๆ ข้อมูลมันจะเข้ามาเรื่อยๆ ฉะนั้น ความคิดตามแบบของพระเจ้า เมื่อเราคิดตามพระวิญญาณนำ  ความคิดจะสั่งร่างกายเรา ให้ทำตามนั้น  เราอาจจะคิดว่าไม่จริงหรอก บางคนด่าไป ฉันยังไม่ทันคิดเลย  ไม่จริงหรอก คือความคิดมันเป็นอัตโนมัติ ความคิดจากความคิดเดิมๆ ที่มีความรู้สึกว่าใครมาทำเราปุ๊บ เราต้องโต้กลับไปทันที นั่นคือความคิดเดิมๆ ที่มันอัตโนมัติไปแล้ว แต่พระเจ้าให้เราจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่ความคิดใหม่ แนวใหม่ที่เราเป็นไปแล้ว  เราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  แค่เราจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อความคิดเราจดจ่ออยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้าปุ๊บ ความคิดมันก็จะสั่งสมอง  สั่งลงมาที่ร่างกายของเรา ให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าเราไม่ได้จดจ่อกับธรรมชาติใหม่ว่าเป็นแบบไหน แล้วเราก็ปล่อยให้ระบบของโลกนี้ อิทธิพล อะไรเยอะแยะมากมาย ส่งเข้ามาๆ แล้วเราก็คิดตามด้วย พอส่งเข้ามาเยอะๆ เราคิดตาม

            สมมติว่าเรากับนาย ก. ไม่เคยมีเรื่องกันเลยนะ  เราเป็นเพื่อนรักกัน  แต่ถ้ามีคนใดคนหนึ่งพยายามสร้างสถานการณ์ทำให้เรากับนาย ก. ผิดใจกัน เขาใช้วิธีไหน? ส่งข้อมูลไง ส่งข้อมูลเข้ามา พยายามบอกเราว่า …

            “เธอรู้ไหม นาย ก. เนี้ย เวลาลับหลังเธอ เขานินทาเธอให้ฉันฟัง นินทาทุกวันเลย ทุกครั้งด้วย เจอหน้ากัน นินทาทุกทีเลย”

            จากความคิดที่เรากับนาย ก. รักกันอยู่ พอข้อมูลเข้ามาเยอะๆ เราเริ่มคล้อยตาม ความคิดคล้อยตามปุ๊บ ใช่ ทำไมนิสัยอย่างนี้  แอบนินทาฉันลับหลังได้อย่างไร? นั่นแหละ ความคิดก็สั่ง ร่างกายให้ทำงาน ตอนนี้ประพฤติ ปฏิบัติแบบไหน? พอมองหน้านาย ก. จากเดิมที เจอหน้าปุ๊บ โผเข้าใส่เลย ไปกอด คิดถึงจังเลย กลายเป็นมองหน้า อย่ามายุ่งกับฉันนะ ไปไกลๆ เลย ความคิดมันเริ่มสั่งนึกออกไหม? มันเป็นการทำงาน แค่นี้เอง มารไม่มีอำนาจนะ  แค่ใช้อิทธิพลของความบาป และความตาย ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วมันก็จะแย่งชิงตรงนี้แหละ สนามรบ ว่าเราจะคิดคล้อยตามมัน หรือคิดคล้อยตามพระเจ้า  แค่นั้นเอง ง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รอบข้างเราเป็นความบาปหมดเลย

            อาจารย์นครยกตัวอย่าง เวลาเราเปิดไลน์กลุ่ม พี่น้องเห็นไหม? หน้าเราจะอยู่ในวงกลม แล้วข้างๆ เป็นสีดำหมดเลย เป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนในโลกวิญญาณว่าเราอยู่ในวงกลม คืออยู่ในการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าปกป้องคุ้มครองวิญญาณเรา ความคิดจิตใจ และร่างกายเรา ปกคลุมอยู่แล้ว  แต่รอบข้างเราเป็นสีดำหมดเลย  ก็คือระบบของโลกนี้  ตราบใดที่เรายังอยู่ในวงกลมนี้ อยู่ในการดูแลของพระเจ้า ไม่หลุดออกไปไหน?  เราก็ยังได้รับการคุ้มครองอยู่ ระบบของโลกนี้ ก็เข้ามาแตะเราไม่ได้ นอกจากเราเปิดโอกาสให้มันทะลุทะลวงเข้ามา หรือบางทีเราอยู่ในพระเจ้า เราก็แอบออกไป

            พอเราเห็นภาพนี้ เรามาเปรียบเทียบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา พระองค์ปกคลุมเราอยู่แล้ว เราอยู่ในพระองค์ หรือบางครั้งเราเผลอออกนอกวง ถูกหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราเผลอไปทำตามระบบของโลกใบนี้ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ พระเจ้ายังทรงมาช่วยเราทันอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงชำระเราทันที  ในพระคัมภีร์บอกว่าโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว คือทุกอย่างจบ ทันทีที่ผู้เชื่อทำบาป หรือทำผิดปุ๊บ พระโลหิตชำระเลย ทันทีแหมือนกัน  มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้ในพระคัมภีร์ แล้วเราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไม่สามารถมีสันติสุข ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            อย่างที่บอกมารพยายามหลอกล่อให้เราไปทำผิด  พอเราทำผิดปุ๊บ มันก็มาชี้หน้าว่าเรา …

            “แกๆ ไม่ดี แกชั่ว แกคิดไม่ดี แกทำผิด เห็นไหมพระเจ้าไม่รักแก”

            อะไรอย่างนี้ ก็คือซ้ำเติม … พระเจ้ากับมารต่างกันมากเลย เวลาเราทำผิด พระเจ้าเล้าโลมเรา พระเจ้าปลอบโยนเรา พระเจ้าให้กำลังใจเรา …

            “พระเจ้าบอกไม่เป็นไรนะลูก ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”

            แต่ถ้าเป็นมาร จะเหยียบซ้ำให้ตายเลย

            นี่คือระบบในการทำงานจริงๆ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉะนั้น ตราบใดที่เรายังอยู่ในการดูแลของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกเรา หลุดไป ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าคุ้มครองเราอยู่แล้ว แล้วพระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะทรงนำพาเราไปจนถึงวินาทีสุดท้าย จนถึงผลสำเร็จ

            ฉะนั้น ล้มลุกคลุกคลานบ้างไม่เป็นไร ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  โลกที่สกปรก ยังไง เผลอๆ เราออกไปข้างนอก แบบเดินออกไปไม่ทันระวัง รถวิ่งมาอย่างแรง ขี้โคลนก็สาดใส่ตัวเรา เลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถกลับไปบ้าน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กลับมาเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้

        เอเฟซัส 3:11 “ตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงกระทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            พระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าคืออะไร? พระประสงค์ของพระเจ้า อยู่ในยอห์น 3:16-18 ที่พระเจ้าบอกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์  ใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรของพระองค์ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่พินาศ  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เมื่อเขาเปลี่ยนขั้วมาเชื่อ วางใจในพระเยซูปุ๊บ  เขาไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์  คือพระเจ้าให้ชีวิตนิรันดร์ ให้กับผู้เชื่อ เราได้รับชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วพระประสงค์นี้แหละ ที่พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ที่บนไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย นี่แหละทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จนิรันดร์

            อนาคตข้างหน้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับเหมือนพวกเรา

            ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนถูกหลอก ข่าวประเสริฐถูกปิดบังมากเท่าไร? เราก็ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แบบถูลู่ถูกังมากเลย สันติสุขก็ไม่เต็มเปี่ยม ไม่สามารถชื่นชมยินดีกับความสำเร็จที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเรารับรู้ความจริง เราก็สามารถสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับผลสำเร็จเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่

        เอเฟซัส  3:12 “ในพระองค์และโดยความเชื่อในพระองค์ เราจึงเข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ”

            อันนี้อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติ  แล้วก็ยืนยันกับพวกเราทุกคน  พวกเราทุกคนก็เป็นคนต่างชาติ ใช่ไหม? ให้เรามั่นใจในความเชื่อของเรา แล้วกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้า

            หลายคน เวลาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ไม่กล้าเข้ามาหาพระเจ้า กลัวพระเจ้าด่า กลัวพระเจ้าดุ กลัวพระเจ้าตี กลัวพระเจ้าทำโทษ มารก็หลอกเราไปเรื่อยๆ แหละ …

            “นี่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว”

            ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ  แต่คำว่าห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้ความรอดของเราหายไปนะ ความรอดยังอยู่ แต่ชีวิตเรารันทด นึกออกไหม? แทนที่เราพลั้งไป เราวิ่งเข้ามาหาพระเจ้า  พระเจ้าก็ให้กำลังเรา  เราถูกหลอกว่าพระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอต้องหนีไปไกล ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่  มารมันก็ซ้ำเติมเราได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติว่าให้กล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามาหาพระเจ้า ที่ประทานเสรีภาพให้กับพวกเรา มนุษยชาติผู้ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และให้มีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้ามีให้กับเรา มั่นใจในพระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน มั่นใจว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ มันเป็นจริงแน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเราจะไปประพฤติอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากความรักของพระเจ้าได้ แค่ประพฤติไม่ดี ก็กินผลของมันบนโลกใบนี้เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ตรงนี้แหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูและถ้อยคำของพระองค์พยายามบอกเรา

            การที่เราบอกว่าการประพฤติไม่เกี่ยว ไม่สำคัญ  ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้คนไปทำสิ่งที่ชั่ว ไม่ใช่เลยนะ แต่พี่น้องนึกภาพออกไหม? พอเราเป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ  ใจข้างในเราไม่อยากทำสิ่งที่ชั่วอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง? สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า บางทีเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เฉยๆ เนอะ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า ทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ ข้างในทุกข์ เรารู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะว่าข้างใน วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว พอเราไปทำสิ่งสกปรกปุ๊บ ข้างในเรารู้สึกไม่สบาย มันแพ้ นึกออกไหม? คริสเตียนแพ้ความบาปนะ ทำบาปไม่ขึ้น อะไรประมาณนั้นแหละ แค่ว่าเราลืม เผลอ หลงไปทำมันปุ๊บ เราจะเด้งขึ้นมาทันทีเลย เด้งกลับมา แล้วเราก็มาตั้งต้นใหม่กับพระเจ้า

            ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ  คือความดีงาม เราพร้อมที่จะทำดี ตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับเรา ไม่ใช่ทำดี เพราะเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง ไม่ใช่ เราไม่พยายามพึ่งพาการกระทำของเราเอง  แต่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  แล้วไม่ว่าผลออกมา เราจะทำดีได้มากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าบอกไม่เป็นไรเลย  ทำเท่าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำ  พระเจ้าไม่ได้ให้เราว่าเราต้องไปช่วยเหลือคนทั้งโลก ไม่ใช่

            บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราต้องไปสรรหา ไปช่วยทุกคน บนโลกใบนี้ มันไม่ใช่นะ เรากำลังถูกหลอก พระเจ้าเป็นความรัก แล้วความรักมันอยู่ข้างในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราสำแดงความรักให้กับผู้ใด พระองค์จะบอกเราเองข้างในวิญญาณ  พระเจ้าไม่ได้ให้เราต้องไปพยายามทำให้ตัวเองเดือดร้อน  เพื่อไปช่วยเหลือคนอื่น มันไม่ใช่แล้วล่ะ ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไรก็ตาม หรือช่วยเหลือใครก็ตาม หมายความว่ากำลังเรามีพอ  เราทำไป แล้วเรามีความสุข ที่พระวิญญาณนำเรา แล้วเราทำเสร็จ เราจบ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา แล้วไม่เดือดร้อนถึงเราด้วย ถึงตัวเรา ถึงครอบครัวของเรา สามีของเรา ลูกของเรา ต้องไม่เดือดร้อนด้วย  ถ้าเมื่อไรที่เราทำๆ  แล้วทำให้ทุกคนในครอบครัว เดือดร้อนอันนั้น เราไม่ได้ทำตามพระวิญญาณ  แต่เราทำตามเนื้อหนัง  ทำตามความอยากของเราเอง  ที่เราอยากทำ  ทำแล้วมันได้หน้า นึกออกไหม? แต่ถ้าตามพระวิญญาณ เราไม่อยากได้หน้า เราทำ แล้วเราก็จบ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเรา  แค่นั้นเอง

            นี่คือความแตกต่าง ซึ่งมันเล็กน้อยมาก  แต่ว่าพี่น้องลองสังเกตดีๆ จากตัวเรา เราจะรู้เลย ถ้าเราทำเพราะตัวเราเอง  เวลาทำ ไม่มีผลตอบสนองกลับมา เราจะเคืองอยู่ข้างใน  เราจะอะไรอ่ะ  แต่โดยพระวิญญาณนำ  ไม่ว่าผลตอบสนองเป็นอย่างไร คนจะชื่นชมเรา ไม่ชื่นชมเรา  เราก็แฮปปี้ มีความสุข สันติสุขเปี่ยมล้น  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  พี่น้องลองสังเกตตัวเองดีๆ อย่าให้ระบบโลกนี้หลอกเรา ให้เราคิดว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้า  แล้วเราพยายามทำดีกับทุกคน เพื่อจะได้ผลตอบแทนกลับมา อันนั้นไม่ใช่แน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำถาม : “ต้องทำบาปกี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนบาป?”

            คำตอบ :  “0 ครั้ง”

            โรม 5:12 … “12 ฉันนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา  และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์  เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            มวลมนุษย์มีรหัสพันธุกรรม (DNA) จากอาดัมบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป

            ดังนั้น  อยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนบาปแล้ว

            โรม 5:15-16 “15 แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้เปล่าๆ นั้น  มันแตกต่างกัน  เพราะในทางหนึ่ง  ขณะที่ความผิดของคนๆ หนึ่ง  คืออาดัม  ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย  แต่ในอีกทางหนึ่ง  ความเมตตากรุณาของพระเจ้าและของขวัญ  ที่ผ่านมาทางความเมตตาของคนๆ เดียว  คือพระเยซูคริสต์นั้น  ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย 16 แน่นอน  ผลจากของขวัญนั้น  แตกต่างอย่างมาก  จากผลของความผิดที่อาดัมได้ทำ  เพราะการทำผิดเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม)  ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าผิด  แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น  ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิด  ทั้งๆ ที่ทำผิดหลายครั้ง”

            เพราะอาดัมบรรพบุรุษต้นกำเนิดของมนุษยชาติไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาปเพียงครั้งเดียว ผลคือมวลมนุษย์ทั้งปวงตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีชีวิตของพระเจ้าในวิญญาณ

            มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจึงเป็นเชื้อสายของคนบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  โดยยังไม่ได้กระทำบาปเลยสักอย่าง และต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้  คือตายจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า

            แต่ด้วยพระคุณความรักเมตตาของพระเจ้า ได้โปรดประทานของขวัญ  คือพระบุตรพระเยซูคริสต์มา  เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย จะได้ย้ายตัวเองมารับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์โดยผ่านทางความเชื่อ ในการไถ่บาปมวลมนุษย์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และบังเกิดใหม่เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

            มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้นจากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง

            และแน่นอน  ผลจากความเชื่อและรับของขวัญนี้  แตกต่างอย่างมาก  จากผลของความผิดบาปที่อาดัมได้ทำ  เพราะการทำผิดบาปเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม)  ทำให้มวลมนุษยชาติต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น  ทำให้คนที่เชื่อ ในการกระทำการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ได้รับการตัดสินว่าไม่ได้เป็นคนบาป  แต่เป็นคนชอบธรรม ไม่ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย ทั้งๆ ที่ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้ทำผิดบาปหลายครั้ง ทั้งก่อนเชื่อ ก่อนบังเกิดใหม่ และหลังเชื่อ หลังบังเกิดใหม่ก็ตาม

            อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! พระคุณความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตเหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยม เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1405

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 21

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 3:9-10 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 3:9-10 “9 และได้แสดงให้คนทั้งปวงเห็นถึงภารกิจแห่งข้อล้ำลึกนี้อย่างชัดเจน ซึ่งตลอดยุคที่ผ่านๆ มาได้ถูกปิดซ่อนไว้ในพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง 10 เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้า ผ่านทางคริสตจักร”

            ในหนังสือเอเฟซัส เราจำได้ใช่ไหมค่ะ พื้นฐาน ก็คือเปาโลกำลังประกาศกับคนต่างชาติ  ก็คือคนที่ไม่ได้เป็นยิวโดยกำเนิด แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ผ่านทางอาจารย์เปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติว่า …

            “ตอนนี้พวกเธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกแล้ว พวกเธอสามารถที่จะเข้ามารับพระคุณ จากพระเจ้าได้แล้ว”

            สมัยก่อนคนต่างชาติเขามีความรู้สึกว่าตัวเองด้อยมาก เพราะว่าคนยิว มีความภาคภูมิใจว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า  เขาก็จะดูถูกคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนพวกนี้ไม่มีระดับ  ไม่สามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้  แต่พอข่าวประเสริฐของพระองค์ ถูกประกาศออกไป เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แล้วพระองค์อยู่กับสาวกของพระองค์ 40 วัน แล้วเสด็จขึ้นสวรรค์ ให้ทุกคนได้เห็นจะๆ เลยว่าพระองค์ลอยขึ้นสวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นครั้งแรก ตรงนั้นเขาเรียกว่าวันเพ็นเตคอส

            ดังนั้น การที่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อ หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมว่าเราจะๆ  เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิมจะมีคำว่า “จะ” ตลอดเวลา ก็คือพระเจ้ากำลังบอกถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในอนาคตข้างหน้า คืออะไร?  พระองค์ทรงเตรียมพระบุตรของพระองค์ พระมาซีฮาห์ เตรียมพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด พระองค์ก็ส่งพระเยซูคริสต์มา  แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่แดนประหาร ถูกโบยตี เฆี่ยนตี โลหิตหลั่งออก แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ได้สำเร็จในตัวพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์ได้มาชดใช้หนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว

            เราคุยกันบ่อย พี่น้องที่นี่ก็คงจะเข้าใจว่ามิติของโลกวิญญาณไม่สามารถนับเวลาได้ โลกวิญญาณ คือเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ทันที แต่มนุษย์เราก็จะนับว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แต่มิติโลกวิญญาณ คือพระองค์ยังคงทำการงานของพระองค์อยู่ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ แล้วเปิดใจยอมรับ วางใจ ให้พระเจ้าเข้ามาช่วยเหลือทันทีในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของคนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเก่าที่เป็นทาสของกฎบนโลกใบนี้ ก็คือกฎของการพึ่งพาตัวเอง ในการทำดี ละชั่ว

            หลายคนอาจจะคิดว่าเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ดี เราถึงเรียกว่าบาป แต่ความหมายในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าหมายถึงความบาป คืออะไรก็ตามที่เราทำผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าสร้างมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ให้มาพึ่งพาในพระองค์ มาเชื่อในพระองค์ แต่ถ้าผิดจากตรงนั้นปุ๊บ ต่อให้คนนั้นจะทำดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ เพราะว่าพื้นฐานเดิมของคนๆ นั้น ยังอยู่ใน DNA บาป คืออยู่ในอาดัมอยู่

            ดังนั้น ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจหลักการของพระเจ้าว่าวิธีการที่พระเจ้ามองมนุษย์ พระเจ้ามองอย่างไร? พระเจ้าไม่ได้มองดูมนุษย์ว่าเขาทำอะไร?  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาปอยู่แล้ว ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่ได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า แต่พระเจ้ามองดูว่ามนุษย์คนนั้นอยู่ในไหน? อยู่ที่ไหน? ถ้ามนุษย์คนนั้น ทำดีได้ประมาณหนึ่ง  ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ 100% แน่นอน ทำดีได้ประมาณหนึ่ง แล้วเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วย คนนั้นฉลุเลย ก็คือวิญญาณเขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เขาได้รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเขาจะทำดี หรือบางครั้ง เขาเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม แต่พระเจ้าไม่ได้ดูการประพฤติของเขา เพราะว่าความรอดของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ แต่ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณเขาตั้งอยู่ที่ไหน? วิญญาณของคนๆ นี้อยู่ในพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเขาเผลอไปทำผิด ทำบาป พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ก็ชำระเขา สะอาดหมดจด ในพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ แปลว่าไม่ต้องหลั่งบ่อยๆ ทำทีเดียวจบสิ้นขบวนการ ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว

            หมายความว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สามารถที่จะเกิดผลในทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ก็คือใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นลูกของพระองค์ เขาได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์แล้วอีกนัยหนึ่ง คือเขาได้รู้จักกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย ฉะนั้น คนๆ นั้น รู้จักพระองค์แล้ว  แล้วในโลกวิญญาณ คนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้ว ณ ปัจจุบันที่เรามานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายเรายังเป็นตัวเดิมอยู่ ดำก็ดำเหมือนเดิม  ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จากคนเตี้ยก็กลายเป็นคนสูง จากคนดำกลายเป็นคนขาว มันไม่ใช่นะ เพราะว่าลักษณะของมนุษย์ทุกคนยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือร่างกายนี้ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย พระเจ้าได้ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ สามารถที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            เพลงที่ตะกี้ที่เราร้อง ที่ซึ่งพระวิญญาณทรงสถิต เรามีเสรี และที่นั่น ก็คือพวกเรา ร่างกายของพวกเราได้เป็นวิหารของพระเจ้า ได้เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเก่า แต่ว่าถูกชำระให้สะอาด รอเวลา หมดอายุขัย พระเจ้าจะให้ใครอยู่นานขนาดไหน?  บางครั้งพระเจ้าก็ให้อยู่นิดเดียว มาเชื่อพระเจ้า อายุแค่ 10 กว่า พระเจ้าก็บอกว่าโอเค กลับบ้านได้  เขาก็กลับบ้านไป บางคนมาอยู่นานมากเลย 90 แล้ว พระเจ้ายังใช้เขาอยู่  พระเจ้าบอกยังไม่ถึงเวลา ยังไม่หมดอายุขัย ก็อยู่ไป แต่อยู่แบบเต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี อยู่แบบ ผู้ที่มีความหวังใจ  อยู่แบบผู้ที่มีชัยชนะ  เพราะเขารับรู้ความจริงไง ในเรื่องนี้ รับรู้ความจริงว่าร่างกายของเขา รอแป๊บเดียวเอง แป๊บเดียวจริงๆ อยู่บนโลกใบนี้ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย  เดี๋ยวปวดโน่นปวดนี่  เป็นเรื่องธรรมดา ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ว่าความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้มองที่ร่างกายของเรา  แต่เรามองดูสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จแล้ว ก็คือความหวังใจที่เรามองไปข้างหน้า รอที่จะไปรับรางวัล รับมรดกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราแล้ว

            จริงๆ แล้วในโลกวิญญาณตอนนี้เรารับรางวัลทุกอย่าง พระพรนานัปการ มรดกที่พระเจ้าให้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์  อยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ แต่ว่าเรารอคอยอีกนิดหนึ่ง คือหลังจากที่เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องสูญสิ้นไป  เพราะมันยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ยังไงก็ต้องตายนั่นแหละ  เราจะไปอยู่ค้ำฟ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันยังคงอยู่

            ฉะนั้น ต่อให้เราเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบนี้แหละ เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว เราอย่าให้ใครหลอก พอมาเป็นคริสเตียนปุ๊บ เราต้องแข็งแรงตลอดชีวิต ถ้าคริสเตียนคนไหนไปหาหมอ แปลว่าความเชื่อเขาไม่ถึง อย่าให้ใครหลอกเด็ดขาด คริสเตียนป่วยเป็นนะ คริสเตียนก็ยังคงต้องไปหาหมอ ถ้าป่วยจริงๆ อย่าดันทุรัง

            จะเล่าให้ฟัง ตอนที่โบสถ์เราใหม่ๆ ความเชื่อเราเป๋มากเลย  เราใช้ความเชื่อแบบสุดโด่งมาก

            “ในนามพระเยซู โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราหายโรค”

            แล้วเราก็เอาถ้อยคำตรงนี้มา ไม่ได้สิ เราเป็นคริสเตียน เราต้องป่วยไม่เป็น เราป่วยไม่ได้ รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค พอเราป่วยปุ๊บ เราก็เอาข้อพระคัมภีร์นี้มาท่องๆ คือบางทีบังเอิญ พระเจ้าจะรักษาเรา ท่องไปท่องมา เราหายจริงๆ ไม่ต้องไปหาหมอ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราท่องปุ๊บ พระเจ้าจะรักษาเราหาย จริงหรือไม่จริง? คือถ้าไม่ไหว เราก็ต้องไปหาหมอ

            มีอยู่ครั้งหนึ่งเหงือกบวม บวมตุ่ยเลย เป็นลูกซาลาเปา แล้วก็กลับบ้านไป เจอพี่สาว พี่สาวบอกเป็นอย่างนี้ไปหาหมอ เราก็บอกไม่ ในนามพระเยซู พระเจ้ารักษาฉันหาย แล้วนึกออกไหม?

            คือพอเราหันกลับไปดู เราก็ขำตัวเอง  เราสามารถมีความเชื่อสุดโต่งขนาดนั้น  เราสามารถถูกหลอกได้ขนาดนั้น  แล้วพอเราถูกหลอกมากๆ เราก็คิดว่านี่คือความจริงนะ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องแข็งแรงสิ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแย่เลย บอกคริสเตียนป่วย อ้าว! คริสเตียนป่วยเป็นมะเร็งตายด้วย ยิ่งเสียชื่อพระเจ้าใหญ่เลย พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐไง พระเจ้าปล่อยให้เราเป็นมะเร็งตายได้อย่างไร? นั่นแหละเรามองด้วยสายตาของเรา เราใช้ความคิด คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าบอกว่าอะไร?  พระเยซูคริสต์มาเพื่อรักษาโรคเดียวที่ไม่มีหมอคนไหน บนโลกใบนี้สามารถรักษาเราหายได้  ก็คือโรคบาป โรคบาปที่บรรพบุรุษของเราเอาเข้ามาในโลกนี้  แล้วก็เอาเชื้อบาปนี้  ส่งต่อ DNA มาให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ทำให้เราติดเชื้อบาปหมดเลย มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่ต้องทำอะไร ก็บาปแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่ารอให้เราไปทำอะไรบาป แล้วค่อยเรียกว่าเป็นคนบาป แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือมนุษย์ทุกคนพอลืมตาดูโลกปุ๊บ ไม่ต้องทำอะไรเลย เขาบาปแล้ว เพราะว่าเขาติดเชื้อบาป

            เหมือนลูกที่พ่อแม่เป็นโรคเอดส์ เขาไม่ต้องทำอะไรเลยนะ คลอดออกมา เขาก็ติดเอดส์เลย ถามว่าเด็กคนนี้ไปทำอะไรไม่ดีไหม?  ทำไมถึงติดเอดส์ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เขาอยู่เฉยๆ  เขาก็ติดเอดส์มาเลย  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าพยายามที่จะอธิบายให้เราเข้าใจถึงความจริงตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถเข้าใจความจริงเรื่องความรอด  หรือเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนมากขึ้น พอมนุษย์ไม่ต้องทำอะไร เกิดมาปุ๊บ ก็บาปเลย

            อีกนัยหนึ่ง พอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เปิดใจ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน แค่นี้เรารอดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เราก็เป็นผู้ชอบธรรม พออย่างนี้ รับไม่ได้ พระเจ้าขอทำนิดหนึ่งได้ไหม? อย่างน้อยเป็นคนดีหน่อยเนอะ มันโอเค แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าบอกไม่ต้องทำอะไร? คือทำอยู่อย่างเดียว ก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า คือเปิดใจ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น เพราะเรามองไม่เห็น เราเลยต้องคุยกันบ่อยๆ  เพราะว่าเรามองไม่เห็น แล้วเราจะลืม พี่น้องโฮลี่ก็จะคุ้นชินกับคำว่า “บัพติศมาในวิญญาณมาก” เพราะว่าศิษยาภิบาลทุกคนขึ้นมา จะต้องมาตรงนี้แหละ ถ้าไม่มาตรงนี้ ไปไม่ถึงจริงๆ

            ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงว่าในโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร อาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ โลกใบนี้มีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรความมืด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์ยังไงเกิดมา ก็อยู่ภายใต้อำนาจของกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมา พยายามต้องการทำดี ไม่ใช่ต้องการทำบาปนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนบาป เขาพยายามต้องการทำบาป เปล่า มนุษย์ทุกคนไม่ได้ต้องการทำบาป เขาต้องการที่จะทำดี  ต้องการที่จะละสิ่งที่ชั่ว ด้วยกำลังของเขาเอง  แล้วพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้  ก่อนหน้าที่อาดัมจะล้มลงในความบาป  เขามีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา พระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ที่ตัวเขา เขามีชีวิต เขามีความดีของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เขาจึงสามารถที่จะทำดีได้ แต่เมื่อล้มลงในความบาป ความดีของพระเจ้าหายไป พอความดีของพระเจ้าหายไป เหลือแต่อะไร? ถ้าความดีไม่มี ก็เหลือแต่ความชั่ว ต่อให้มนุษย์คนนั้นดูเหมือนว่าจะทำสิ่งที่ดี ก็ยังอยู่ในธรรมชาติ หรืออยู่ใน DNA บาปของอาดัมเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย ถ้าเรามอง สมัยก่อนไม่เข้าใจความจริงลึกๆ แบบนี้  เราก็คิดตามความคิดของเราเองว่า …

            “เพื่อนเราคนนี้เขาดีมากเลย  เขานิสัยดี เขาเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์ ทำทุกอย่างดีหมดเลย  ทำไมพระเจ้าไม่เลือกเขา เขาน่าจะมาเชื่อพระเจ้า”

            แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจ จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ โลกนี้คือมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเจ้าเลือกไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น หลั่งพระโลหิต ก็ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำเสร็จ ครั้งเดียว พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว คือจบสิ้นทุกอย่าง แล้วตอนนี้ มนุษย์ทุกคนได้รับตรงนี้ไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ว่าเขารู้ไหม? เมื่อรู้แล้ว เขาจะยอมถ่อมใจมารับความช่วยเหลือจากพระเยซูมั๊ย?

            สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่รู้ใช่ไหม? เราก็ดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้ ใครว่าอะไรดี เราก็ไป  เราอยากจะทำดี เราพยายามแล้ว พยายามอีก  แต่พยายามให้ขนาดไหน? ข้างในวิญญาณเรา ก็ยังรู้สึกว่าเราดีไม่พอ เราควรจะดีกว่านี้  แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ต้องพยายามแล้ว เพราะถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือความจริง

            แล้วมารก็จะพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเรา … “เธอดีพร้อมตรงไหน? เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธอทำอะไรไม่ดีเลย  เธอไปค้อนเขา”

            แอบค้อนเขา เขาไม่เห็นเนอะ แต่เรารู้ เราเกิดหมั่นไส้นิดหน่อย แอบค้อนนิดหนึ่ง หรือความคิดเราก็คิดสิ่งที่ไม่ดี ไปแล้ว

            มารก็จะส่งข้อมูล … “เห็นไหม? เธอยังทำอย่างนี้อยู่เลย เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร?”

            แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร?  ตรงนี้สำคัญกว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องยืนยัน ถ้อยคำของพระองค์ อย่างที่บอก การนมัสการพระเจ้า ก็คือการยอมรับความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรแล้ว? ตอนนี้สถานะของเราเป็นอย่างไร?  พระเจ้าบอกชัดเจนมาก สถานะของเรา เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นคนดีพร้อม เราเป็นที่รักของพระเจ้า  พระเจ้ารักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือความจริงทั้งหมด เราต้องรับรู้ตรงนี้ แล้วก็ยึดตรงนี้เอาไว้ อย่าให้ระบบของโลกใบนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามาหลอกเรา ให้ไขว้เขว เรายังเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ เวลาเราทำผิด เรารู้สึกฟ้องผิดไหม? มารก็จะใส่ฟ้องผิดๆ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องฟ้องผิด ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ก็ชำระเราทันที ฉะนั้น ผู้ที่ทำไม่ถูกต้อง อย่างที่บอกไง ตรงนี้มันยากมาก พยายามขอพระคุณพระเจ้า ขอสติปัญญาของพระเจ้า ที่จะให้เราสามารถเข้าใจ และแยกตรงนี้ให้ชัดเจน มันยากมากสำหรับตาที่เรามองเห็นว่าเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ฉันยังสะอาด ชอบธรรม เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักอยู่”

            ฉะนั้น ข้อมูลบนโลกใบนี้ ก็พยายามใส่ๆ เข้ามา … “เธอสะอาดตรงไหน? ยังทำไม่ดี?”

            เราต้องยืนกราน เพราะว่าพระเจ้าบอกอย่างนั้น  เรายืนกรานอย่างนั้น  ที่เราทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  เพราะว่าร่างกายเราอ่อนแอ เราโดนหลอกด้วยระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งข้อมูลให้เราต่อต้านพระเจ้า ให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  แล้วเราเผลอ เราก็ทำมันไป  พอทำไป แล้วทำอย่างไร? ทำไป แล้วไม่ใช่เรานั่งจุมปุ๊ก แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ลูกเสียใจ”

            ไม่มี เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เมื่อก่อนเป็นนะ เมื่อก่อนเรายังไม่รับรู้ความจริง ดิฉันก็เป็น พอทำผิดปุ๊บ …

            “พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกเป็นคนบาป”

            ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังบอกว่าเราเป็นคนบาป  แปลว่าเรากำลังบอกพระเยซูว่าสิ่งที่พระเยซูทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ยังทำไม่สำเร็จ  เรายังต้องช่วยตัวเอง ทำให้มันดี เพื่อที่จะไม่ได้เป็นคนบาป จริงหรือไม่จริง?  ถ้าเราเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  แปลว่าพระเจ้าบอกทุกอย่าง ทำสำเร็จแล้ว …

            “ถ้าเธอทำผิดเมื่อไร? โลหิตของฉันชำระเธอทันที เธอไม่ได้เป็นคนบาป”

            ทำไมรู้ว่าไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนใหม่เลยนะ เปลี่ยนเป็นวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า บาปมาแตะต้องเราไม่ได้

            ความคิดจิตใจของเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ก็เข้ามายุ่งกับเราไม่ได้ แล้วร่างกายเราในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงปกปักษ์ พิทักษ์รักษาคุ้มครองป้องกันเราไว้ คือคลุมเราหมดเลย คลุมเราทั้ง 3 อย่าง ก็คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ฉะนั้น มารมันมายุ่งกับเราไม่ได้เลย ความเป็นจริง คือมันยุ่งกับเราไม่ได้  แต่มันก็หลอกเราไง สามารถหลอกให้เราคิดตามมันได้ แต่เราต้องรับรู้ความจริงว่ามันยุ่งกับเราไม่ได้ เราก็จะถูกหลอกน้อยลง

            ดิฉันชอบประเทศไทย เวลาสงกรานต์ คนก็จะออกไปเล่นน้ำ บังเอิญเราเจอโควิดหลายปี การเล่นน้ำ ก็เลยซาไป เพราะว่ามันไม่ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน  เราจะเห็นช่วงสงกรานต์ ถ้าเราขับรถออกไปข้างนอก เราก็จะเห็น 2 ข้างทาง เด็กๆ เอาถังมาตั้งไว้ คอยเลย รถมาปุ๊บ สาดเลย ดิฉันเคยอยู่บนรถเมล์ โดนถุงน้ำ รถเมล์ร้อน มันไม่ได้ปิดกระจก ถุงน้ำเหวี่ยงเข้ามา บางครั้ง เคยโดนแบบฟาดลงไปอย่างเต็ม แต่ว่าหลายครั้ง เราอยู่ในรถที่มีกระจกอย่างดี รถเมล์แอร์หรือรถส่วนตัว แต่ตาเรามองเห็น ดูวิวทิวทัศน์อย่างดี  เห็นเด็กเขากำลังทำท่าจะสาดน้ำเข้ามา ถามว่าเขาสาดโดนเราไหม? มันไม่โดนอยู่แล้ว เพราะว่ามีกระจกกั้น แต่พอเขาสาดมาปุ๊บ เราทำไง หลบ ทันที  มันเป็นอัตโนมัติ มันคือธรรมชาติ มันคือปกติของมนุษย์ ที่เราอยู่ในธรรมชาตินี้มานานแล้ว นานมาก เราก็เลยถูกหลอกไง ถูกหลอกว่าน้ำสามารถกระเด็นใส่เราได้ ความเป็นจริง คือมันไม่ได้

            ดังนั้น ในโลกความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกเราอย่างนี้แหละ  มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่มีอำนาจเลย มันแค่ใช้อิทธิพลของโลกใบนี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย พยายามส่งเข้ามาในความคิดของเรา เพื่อให้ผู้เชื่อพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง พอพูดอย่างนี้ คนรับไม่ได้นะ อย่างนี้คริสเตียนไม่ต้องทำดีหรือ? ทำดีโดยธรรมชาติของเรา จากข้างในวิญญาณ

            คริสเตียนธรรมชาติ  ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว แน่นอนเลย เพราะว่าพระเจ้าเราเป็นความดี พระเจ้าเราเป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ของเรา คือเกลียดคนไม่เป็น  ถ้าวันไหนเราเกลียดใคร แปลว่านี่ไม่ใช่ฉันนะ  เราต้องรับรู้ว่าไม่ใช่ฉันนะ อันนี้ ฉันกำลังถูกหลอกให้เกลียดคนโน้นคนนี้ เราก็จะรู้ตัวไง …

            “ไม่เอาๆ ฉันไม่ทำตามเธอ ธรรมชาติใหม่ของฉัน คือเป็นความรัก  เกลียดคนไม่เป็น เป็นความดี เป็นผู้ชอบธรรม”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            เหตุผลที่พระเจ้าบอกให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เราเป็นอะไรแล้ว จดจ่อว่าอะไรที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  จดจ่อว่า ณ เวลานี้ เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือชื่นชมยินดี รับเอาผลสำเร็จ ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย พระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จแล้ว เราก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถ้าเราพยายามใช้ความคิด ไม่ได้ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องช่วยพระเจ้านิดหนึ่ง เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ เราต้องไปประกาศนะ เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ  จริงๆ พระเจ้าให้เราทำแบบธรรมชาติ คือถ้า ณ เวลาไหนที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศ พระองค์ก็พาเราไปเจอเอง แล้วมันออกมาแบบเนียนๆ พี่น้องนึกออกไหม? ก็คือไม่ได้ตั้งท่าว่าวันนี้ออกไป ฉันตั้งเป้าแล้วว่าฉันจะไปประกาศกับคนนี้ ฉันก็คอยจ้อง ใครๆๆ ขอชะแว๊บเข้าไปคุยเรื่องพระเจ้านิดหนึ่ง พอคุยเสร็จ สบายใจ นี่ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว มันจริงหรือเท็จ เรากำลังถูกหลอก หลอกให้พึ่งพาความดีงามของตัวเอง เราภูมิใจไง วันนี้เราได้ทำความดีแล้ว ภูมิใจจริงๆ แต่พระเจ้าบอกว่านี่คือ Holy flesh มันเป็นเนื้อหนังที่มันเป็นโฮลี่ ไปประกาศเรื่องของพระเจ้าให้คนอื่น มัน Holy ไหม? เหมือนเราได้รับใช้พระเจ้าเลยนะ ภาคภูมิใจในการกระทำของเรา ณ เวลานั้น

            แต่ถ้าการประกาศของเราที่มาจากข้างในวิญญาณ ที่พระเจ้าให้เราทำ มันออกมาเนียนๆ เลย  เราก็พูดง่ายๆ เรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? บังเอิญมีคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟัง เล่าเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า ฝากเขาไว้กับพระองค์ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราหมดหน้าที่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไปคอยจ้องว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า? พอเขาเชื่อ ภูมิใจ อันนั้นแหละ Holy flesh อีก นึกออกไหม? พอเชื่อ แล้วภูมิใจ ภูมิใจ เพราะอะไร?

            “ฝีมือฉัน เพราะฉันเป็นคนไปประกาศให้เขารู้เรื่องของพระเจ้า”

            มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เล็กๆ  ซึ่งเราไม่ทันสังเกต แล้วเราก็เลยตกหลุมของมารที่พยายามทึ้งเรา …

            “พยายามให้พึ่งพาตัวเองเยอะๆ เราก็จะพึ่งพาพระเจ้าน้อยลง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์เท่านั้น  เท่านั้นจริงๆ  อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเราเอง แต่จงรับรู้พระเจ้าในทุกทาง ทุกเรื่องของพระองค์ ให้พระวิญญาณนำเรา ใช้ชีวิตแบบปกติ ถ้าวันนี้บังเอิญ เราไม่อธิษฐาน เราก็ไม่ฟ้องผิด

            มีพี่น้องคนไหนที่ไม่อธิษฐาน แล้วฟ้องผิดอยู่ มีไหม? สมัยก่อน ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ วันไหนที่ดิฉันไม่อธิษฐาน ดิฉันฟ้องผิดน่าดูเลย เศร้า วันนี้เราแย่เลย เราทำไมถึงเป็นอย่างนี้ วันไหนขี้เกียจอ่านพระคัมภีร์ ฟ้องผิดอีก กลายเป็นว่าเราไม่ได้เป็นอิสระ เราเป็นทาส ทาสของกฎ กฎที่มนุษย์ตั้งไว้ว่าเธอต้อง … ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายทรัพย์ ต้องๆๆๆๆ นี่คือกฎ แต่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราอยู่ใต้กฎ พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ตามพระวิญญาณนำ แล้วเวลาพระวิญญาณนำเรา แบบสบายมาก เราอยากอ่านพระคัมภีร์ พระวิญญาณนำ เราก็อ่าน เราอยากอธิษฐาน พระวิญญาณนำเรา เราก็อธิษฐาน เราอยากถวายทรัพย์ พระวิญญาณนำเรา เราก็ถวายทรัพย์ มันเป็นอะไรที่ออกมาจากใจ พระวิญญาณบอกเราว่าเมื่อเราทำทุกอย่าง ให้เราทำออกจากใจ ที่พระวิญญาณข้างในนำเรา  แล้วพี่น้องไม่ต้องกลัวหรอกว่าพอเราไม่อธิษฐาน เดี๋ยวพระเจ้าจะตำหนิเรา

            พระเจ้าบอก … “ลูกคนนี้มันขี้เกียจ ไม่รักแล้ว”

            ไม่จริงนะ อย่าให้โดนหลอก เพราะว่าพระเจ้ารักเราสุดๆ แล้ว จบแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราสะอาด ดีพร้อม ทุกอย่าง เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ทำให้ท่านพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  ถ้าเมื่อไรเรายังรู้สึกฟ้องผิด แปลว่าเราวิ่งเข้าไปอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย พระเจ้าอวยพรค่ะ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านมั่นใจและพอใจมากกว่าหรือ? ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

            2 โครินธ์ 5:6-8 … “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจและพอใจ ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

            แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่  วิญญาณของเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  สะอาด  บริสุทธิ์เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เราเชื่อ แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้ในวิญญาณ เราจึงต้องใช้ความเชื่อ

            เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อรับใช้พระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่

            มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เปลี่ยนโปรมแกรมความคิดเดิมที่เราเคยชิน มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่ตามถ้อยคำพระเจ้า   แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  เป็น เหมีอนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น

            1 ยอห์น 4:17-18 … “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เราจึงมีความ มั่นใจ ในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ ที่เหมือนกับ ชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้นผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1404

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในร่างกาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว”

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

            ตอนที่ 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราที่นี่ส่วนใหญ่ก็เปิดใจกันเรียบร้อยแล้ว  เพราะฉะนั้น สามารถพูดตามนี้ได้ ทบทวน 3 ตอน ก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันตายแล้ว” คนบาปตายไปแล้ว

            “ฉันบังเกิดใหม่แล้ว และฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            สรุป 3 ตอน เป็นแค่นี้ ง่ายนิดเดียว ตายแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อัศจรรย์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของฉันทันที” เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            พื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราคุยกันทั้งหมด พื้นฐานของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และมิติโลกวิญญาณนี้ มีเพียงแค่ 2 อาณาจักร 2 สถานที่เท่านั้น เราได้เรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้น พระคัมภีร์เดิมจนพระคัมภีร์ใหม่ และมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น

            ต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ได้ว่านี่คือโลกวิญญาณ นี่คือความจริง ทางวิญญาณต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้เท่านั้น คือมีมิติวิญญาณที่เป็น 2 สถานที่นี้ ที่วิญญาณมนุษย์จะอาศัยอยู่เท่านั้น คือ …

            –  มีอาณาจักรแห่งความจริงของพระคริสต์  และอาณาจักรแห่งความเท็จ หลอกลวงของมาร

            –  มีอาณาจักรแห่งแสงสว่างและมีอาณาจักรแห่งความมืด

            –  มีอาณาจักรแห่งชีวิตนิรันดร์ และมีอาณาจักรแห่งความตายนิรันดร์

            นี่คือพื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราต้องใส่ใจ และจับเอาไว้ตลอด เพื่อจะเรียนรู้จักเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ต้องเอาตรงนี้เป็นฐานอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเราเสมอ เราได้เรียนรู้จาก 3 ตอนที่แล้วมนุษย์เราเกิดมา ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด แห่งความตาย จึงจำเป็นต้องย้ายอาณาจักรในทางวิญญาณนี้  โดยผ่านขบวนการอัศจรรย์ทางข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมการตาย การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ติดตาม 3 ตอนที่แล้วมา อาจจะยังไม่เข้าใจ กลับไปทบทวนฟัง 3 ตอนที่แล้ว จะเข้าใจการบังเกิดใหม่นี้

            ขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้ “ด้วยพระคุณ” หมายถึงเราไม่สามารถทำเองได้ โดยความประพฤติของเรา เราได้รับพระคุณ ก็คือพระเจ้าทำให้เราฟรีๆ ในขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้  ทำให้ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของเรามนุษย์นั้น บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไม่มีมลทินใดๆ เลย จริงๆ นี่พระเจ้าได้ประกาศความจริงนี้ให้เราได้ยินได้ฟังอย่างนี้จริงๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ บริสุทธิ์ ดีพร้อม  ทั้งตัวเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายด้วย ทางวิญญาณและจิตใจ ถ้อยคำพระเจ้าที่ยกมา เราได้เรียนรู้แล้วว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าทางวิญญาณและจิตใจ เมื่อผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? 1 ยอห์น 4:17 ทบทวนอีกนิดหนึ่ง …

        1 ยอห์น 4:17  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับวิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ บริสุทธิ์แค่ไหน? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน แล้วทางร่างกาย จะยกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ออกมาให้เห็นชัดเจนว่าผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าด้วยพระคุณนี้ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณของเราได้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ โรม 12:1 …

        โรม12:1 “เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายพร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับการที่พระเจ้าได้กระทำให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้) และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้วนั้น ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า และเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง”

            พระเจ้าได้กระทำให้เรานั้น เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้ว

            “พระเจ้าได้กระทำให้ฉันเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ที่พระองค์สามารถรับได้แล้ว  และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระองค์แล้ว”

            ฉันไม่ได้ทำเองเลย ใช่ ใครทำให้ พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยหรือยัง อ่านเมื่อตะกี้นี้ ทำให้แล้วหรือยัง? ทำให้แล้ว แล้วที่อ่านบทที่ 12 ข้อ 1 ที่บอกว่าให้ประพฤติ ให้มันสมกับที่พระองค์ทรงกระทำให้แล้ว เหมือนเรามีลูก ก็บอกทำให้มันเหมือนกับลูกพ่อหน่อย  เป็นลูกเราหรือยัง? เป็นเพราะประพฤติเหมือนเราหรือ? ไม่ใช่ เขาเกิดก่อนการประพฤติ

            พระองค์ทรงกระทำผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนนั่นแหละ

            นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ความบริสุทธิ์ ส่วนไหน? ส่วนที่เป็นร่างกาย ที่เรามองเห็นอยู่นี้ ร่างกายที่เมื่อวานเพิ่งจะโกหก ร่างกายที่ตะกี้ยังคิดเกลียดเขา คิดอิจฉาริษยาเขาอยู่เลย นี่เหรอบริสุทธิ์ เรามาดูกันต่อไปว่าการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในร่างกายเดิมนี้ ทำให้ร่างกายเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น มันบริสุทธิ์สะอาด มีชีวิตเดินเหิน บริสุทธิ์ พระเจ้าบอกบริสุทธิ์  เราก็บอกบริสุทธิ์

            และคำว่าบริสุทธิ์ตรงนี้ พระองค์ทรงกระทำด้วยวิธีใด ผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นชัดเจนขึ้น คือคำว่า “ถูกชำระให้บริสุทธิ์” ที่ตะกี้เราอ่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์สะอาด คือการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชำระตรงนี้มาจากคำว่า Sanctify แปลว่าแยกส่วนออกมา ให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ตรงนี้แปลว่าชำระให้บริสุทธิ์ คือชำระเราให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ส่วนตัวของพระเจ้าพระบิดา พระบิดาสามารถรับได้ ก็คือพระบิดาสามารถติดต่อกับเราได้  พอใจแล้ว  เพราะว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์สะอาด สิ่งของที่อยู่ในบ้านของพระองค์ อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ จะต้องสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น มีเชื้อบาปนิดหนึ่งก็ไม่ได้เลย นี่คือคำว่าชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ถูกแยกส่วนออกมาเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เราได้ถูกชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างนั้นแหละ กำลังพูดถึงที่ไหน?  ไม่ใช่ที่วิญญาณ ไม่ใช่ที่ใจ เพราะ 2 อย่างนั้นเราได้เห็นแล้วตะกี้นี้ จากถ้อยคำพระเจ้าว่าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันมองไม่เห็นทางด้านตาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตาฝ่ายวิญญาณมันเห็น แต่ตอนนี้ ร่างกายมันเห็นๆ อยู่ ก็บริสุทธิ์สะอาดแล้วจริงๆ พระเจ้าจะได้สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ได้ในร่างกายนี้ บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่เลย …

            “พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนสกปรก เป็นคนบาป”

            บาปที่ไหนเล่า? ตรงไหนบาป วิญญาณท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู จิตใจท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู ร่างกายบาปไหม? ไม่บาป เพราะถูกชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ อยู่ตลอดเวลา และอยู่ตลอดไป ทุกวินาที ท่านทำอะไรก็ตาม พระโลหิตชโลมอยู่ตลอดเวลา ที่ร่างกายของท่าน เอเมนไหม?  ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกอัศจรรย์ ได้อย่างไร? นี่แหละคืออัศจรรย์  พระเจ้าได้เข้ามาอยู่อาศัยกับเราแล้ว อยู่ได้อย่างไรในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป นั่นนะสิ มันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วฉันทำบาปล่ะ พระโลหิตของพระเยซูได้ชำระให้เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  แปลว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวลบล้างบาปทั้งสิ้น บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน บาปในอนาคต เมื่อไรก็ตามท่านทำ มันล้างออกตลอดเวลา เมื่อตะกี้คิดชั่ว ก็ล้างไปแล้ว เมื่อตะกี้ว่าเขา ก็ล้างไปแล้ว เอเมนไหม? พระเจ้าถึงอยู่ได้ไง ไม่อย่างนั้นอยู่อย่างไร?

            เวลาอธิษฐานก็บอกพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ขอบคุณพระเจ้า  เสร็จแล้วก็บอกว่าฉันยังเป็นคนบาป มันบาปที่ไหน?

            “ฉันทำบาป แต่ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันประพฤติสิ่งที่เป็นบาป  แต่ฉันไม่ได้เป็นบาป”

            เพราะบาป แปลว่าการพึ่งพาตนเอง การทำตามความคิดของตนเอง

            “ฉันทำตามความคิดของตนเอง แต่ในวิญญาณของฉัน ฉันเชื่อฟังพระเจ้า ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า เอเมน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้แล้วจริงๆ  และในอดีตเปาโลก็มีคนถามอย่างนี้

            “เรายังทำบาปอยู่”

            เปาโลบอกว่า … “ไม่ ท่านไม่ได้เป็นคนทำบาปอะไรเลย พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระเจ้าชำระท่านจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระองค์แล้ว ไม่เชื่อหรือ? ท่านเชื่อเราเถอะ ท่านจงรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 จึงได้พูดอย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า 20 ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือท่านควรจะรู้ว่าพระเจ้าชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว ท่านบริสุทธิ์สะอาดทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ร่างกายของท่านบริสุทธิ์ ถึงขนาดสามารถเป็นที่อาศัย วิหาร หรือว่าบ้าน วิหาร ก็คือบ้านของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่าวิหาร ถ้าในทางวัตถุต่างๆ เราเรียกกันวิหาร ก็คือบ้าน บ้านทางวิญญาณนั่นเอง เป็นบ้านทางวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล ผู้สูงสุด ที่มีเพียงพระองค์เดียวนั้น เข้ามาสถิตอยู่ได้แล้ว บริสุทธิ์ขนาดไหน? คิดดู ร่างกายของท่านเป็นวิหาร ก็คิดดู คือร่างกายของท่านเป็นอภิสุทธิสถาน ที่อยู่ที่แพรกษา ไม่ใช่อันนี้เป็นวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณท่านเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว ร่างกายของผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  คือร่างกายเขา กลายเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเข้ามาสถิตอยู่ด้วยแล้ว สะอาดบริสุทธิ์เพียงใด ลองคิดดูสิ แล้วทำอย่างไรถึงเป็นอย่างนั้นได้

            ในนี้บอกว่าพระเจ้าได้จ่ายราคามหาศาลเลย  เพื่อจะสร้างบ้านหลังนี้ ให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ สถิตอยู่ได้ คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ให้พร้อมกับการเป็นบ้านของพระองค์ด้วย เอเมนไหม? ทำเสร็จหรือยัง? เสร็จแล้ว จ่ายราคาหรือยัง? ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

        ยอห์น 14:23  “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            คำสอนของพระเยซูมีอันเดียว คือจงวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาได้ส่งมา คือเราเป็นพระเมสิยาห์ มาช่วยเจ้าให้รอดจริงๆ ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติ  ไม่ได้มาสอนบอกให้ท่านทำดีนะ ทำอันโน้นอันนี้นะ ทำอย่างเดียวเอง คือจงวางใจในเรา  เพราะถ้าท่านพึ่งพาการกระทำของตนเอง จะทำดี เพื่อจะไปสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้ จงเชื่อฟังคำสอนของเรา  คือวางใจในพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระบิดาเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านทั้งหลาย

            ถ้าท่านทำอย่างนี้ ก็คือท่านวางใจในเรา คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  ท่านก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเปิดใจแล้วเกิดอะไรขึ้น? พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา

            ภาษาเดิมตรงนี้ แปลอย่างนี้ว่า “เรากับพระเจ้า พระบิดา จะมาสร้างบ้านอยู่ในเขา”

            นี่คือภาษาเดิม “เรากับพระบิดาจะมาทำบ้านของเรา ในเขา อยู่กับเขา” ก็คือมาสถิตอยู่กับเขา แล้วทำได้อย่างไร? โดยเรายอมตาย พระเจ้าจ่ายราคา คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ตามขบวนการ การบังเกิดใหม่นั้น ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เมื่อเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว และเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้วทั้งหมด ทั้งความคิด จิตใจ และวิญญาณ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่อาศัยในเราได้นั่นเอง  แผนการของพระองค์ชั้นเยี่ยมเลย ทำให้เรานั้น สามารถที่จะพูดได้ เรานั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เกิดจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เราจึงสามารถพูดว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            “ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” คือฉันเป็นเชื้อสาย หน่อเชื้อ ที่เกิดจาก DNA ในวิญญาณของพระเจ้า พอสะอาดบริสุทธิ์ เป็น DNA จากวิญญาณของพระเจ้าปุ๊บ ก็เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ ในพระคัมภีร์บอกว่าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ คือเข้ามายืนยันให้ฉันได้รับรู้ในใจว่าฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว แล้วอนาคตฉันจะไปอยู่ที่ไหน? ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง เพื่อยืนยัน คือความหวังแห่งพระสิริ คือความหวังที่จะได้อยู่ในสวรรค์ มันเกิดขึ้นทันที เพราะว่าพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา มายืนยันในใจของเรา เพราะถ้าพระองค์ไม่เข้ามา เราก็ถูกหลอกไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ ก็คือนึกถึงในโลกวิญญาณ  มิติวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ถูกไหมในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ส่วนในโลกวัตถุ พระคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา พอมองออกไหม?

            ในวิญญาณเกิดขึ้นจริงๆ คือวิญญาณ จิตใจและร่างกายเรา ทั้งหมดเลย เข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้วทันที ส่วนในโลกวัตถุที่เรามองเห็น ก็คือร่างกายเดิมที่เรายังมองเห็นอยู่ พระคริสต์ย้ายเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา มันมหาอัศจรรย์มาก เกิดขึ้นเมื่อไร?  เมื่อเราตัดสินใจเลือกที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเราต้องการที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที คือเราได้ถูกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ เราได้มีที่พำนัก บ้านของเรา แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ คือย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้ว

            และพระเยซูคริสต์ก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ทันทีเหมือนกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน ให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์จริงๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งหมด ในโลกวิญญาณนี้  พระองค์เข้ามาสถิตในเรา เพื่อยืนยัน และปกป้อง ดูแล นำพาวิญญาณของเรา นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะเป็นผู้ยืนยันว่าเราได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ที่ในพระคริสต์ ที่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสนทำอะไรต่างๆ อีกแล้ว เพื่อจะได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์นี้มากขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นแล้ว พระวิญญาณจะยืนยันกับเราข้างใน ถึงความจริงเหล่านี้ และเปิดเผยเป็นถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในพระคัมภีร์เยอะแยะไปหมด ในพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อไม่ให้เราถูกหลอกว่ามันยังไม่เกิดขึ้น  เพื่อให้เราไม่รู้ความจริง พระวิญญาณบอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านควรจะรู้ นั่นคือคำพูดของพระวิญญาณ ท่านไม่รู้หรือ? นี่คือความจริง

            เพราะฉะนั้น เราแค่ตอบว่าฉันควรจะรู้ ฉันคิดว่าที่แล้วมา ฉันเป็นคนบาปอยู่

            ท่านไม่รู้หรือว่า? เอ้อ! ฉันควรจะรู้ เพราะฉะนั้น ก็หมายความว่าพระวิญญาณกำลังบอกว่าให้เราแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วประพฤติตัวให้เหมาะกับ … ให้สมกับ … ให้สอดคล้องกับ … สถานที่ที่เราอยู่อาศัย  คือในสวรรค์นั้น  ในฝ่ายวิญญาณนั้น คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะนี้ ให้เราประพฤติตน ให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า  เป็นประชากรของพระองค์ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เรียบร้อยแล้วนั้น ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ อยู่ในเราด้วย รักดังแก้วตาดวงใจ ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พอใจในเราแล้ว ดูเราสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือ! นี่เป็นความจริง ก็แสดงว่าท่านควรจะรับรู้ พระวิญญาณกำลังพูดกับเรา รับรู้ว่าอย่างไร? ว่าอดีตในโลกวิญญาณ เราเคยอาศัยอยู่ในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ในความพินาศ ไม่รู้จักพระเจ้า แต่ตอนนี้ท่านควรจะรับรู้ได้ว่าท่าน หรือเราได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว

            และพระคริสต์พระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค ก็ได้มาอาศัยอยู่ในเราแล้วเช่นเดียวกัน  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น  ไม่มีการอยู่ตรงกลาง  อยู่ทั้งสองแห่ง ไม่มี อยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ  หรือไม่มีการไปๆ มาๆ ชั่วโมงนี้อยู่ในพระคริสต์ ฮาเลลูยา สวรรค์เปิด ขอบคุณพระเจ้า นมัสการ น้ำหู น้ำตาไหล

            เดินออกไปข้างนอก ถูกรถเฉี่ยว โอ๊ย! เหมือนนรกเลย ด่าว่าเขาอะไรต่างๆ … “ลูกเป็นคนบาปๆ”

            ตะกี้นมัสการพระเจ้า บอกว่า … “ลูกบริสุทธิ์ๆ” ไปๆ มาๆ อยู่นั่นแหละ

            ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบริสุทธิ์สะอาด  พระเจ้าอยู่ในท่านตลอดเวลาจริงๆ ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่กับท่านเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการย้ายไปย้ายมา พระเจ้าประกาศให้เราเช่นนั้น เราได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรแห่งความพินาศ อาณาจักรแห่งการเป็นคนบาปเรียบร้อยแล้ว ย้ายแล้วย้ายเลย ย้ายด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว อัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านทันที โรม 8:38-39  ได้พูดอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครที่จะเอาท่านออกไปจากตรงนี้ได้อีกแล้ว ตรงท่านอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับท่าน โอบกอดท่านอยู่ตลอดเวลา …

        โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ  ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์ ในพระคริสต์ที่ท่านได้ย้ายมาอยู่แล้วนั่นแหละ ใครพูด? พระเจ้าบอกอย่างนั้นแหละ ยืนยันอีก ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ารักท่านมาก พระเจ้าไม่ยอมให้ใครมาเอาเราออกไปจากครอบครัวของพระองค์ จากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แน่นอน เอเมนไหม? ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าทำได้ ผู้พูดผู้นี้ คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระเจ้าองค์เดียว ที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว พระองค์ประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางได้ พระองค์ประกาศเสมอ ตลอดเวลา ทั้งเล่มของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ หนาขนาดนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียว  นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด  แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ท่านควรจะรับรู้ ไม่อย่างนั้น แสดงว่าตอนนั้นยังไม่รู้ ลืมไป 1 ยอห์น 4:4 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกทั้งหลาย​เอ๋ย พวกท่าน​เป็น​ของ​พระเจ้า และได้​มี​ชัยชนะ​เหนือ​พวกเหล่านั้น ที่เป็น​ศัตรู​ต่อต้านพระคริสต์  เพราะ​พระเจ้า​ที่​อยู่​ใน​พวก​ท่านนั้น​ยิ่งใหญ่​กว่า​มาร ​ที่​อยู่​ใน​โลกนี้”

            “พระเจ้าที่อยู่ในฉันนั้น ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

            เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกลัวผีสางนางไม้ วิญญาณที่ไหน? ใดๆ อีกแล้ว เอเมนไหม? มันหลอกเรา ให้เรากลัว  แต่พระเจ้าบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าใครอยู่ในตัวท่าน แล้วพระเจ้าผู้นี้หวงแหนลูกๆ ของพระองค์มาก  พระองค์ไม่มีทางยอม แบ่งปันบ้านหลังนี้ คือร่างกายนี้ให้กับใคร? ที่ไหนอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผีมารซาตานนางไม้ที่ไหน? แม้ว่าเทวดาที่ไหนก็ตาม ไม่แบ่งปัน เพราะรักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือบ้านของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เดินไปไหน ผีมันวิ่งหนีหมด นอกจากว่าท่านจะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก  และพระเจ้าก็ถามท่านว่าท่านไม่รู้หรือว่าความจริงคืออะไร?

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรจะทำ ก็คือรับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากการหลอกลวง ยอห์น 17:23 พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาว่า …

        ยอห์น 17:23  “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ เพื่อพวกเขา ก็คือพวกเขาที่เชื่อ และวางใจในพระเยซูคริสต์ ในเรานั้น จะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมและสมบูรณ์ เพื่อทั้ง 3 พระภาคจะได้เข้ามาอยู่อาศัยด้วยได้ เพราะว่าข้าพระองค์ คือพระเยซูอยู่ในพระองค์ อยู่ในพระบิดา และพระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ที่พระบิดาทรงประทานให้  มาสถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราในวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่อาศัย ทำบ้าน อยู่ในร่างกายของผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์แล้วนั้น  เพื่อเป็นบ้านของพระเจ้าได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที อัศจรรย์ไหม? อัศจรรย์ ไม่รู้จะบอกว่าอัศจรรย์เท่าไรเลยนะ

            ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ด้วยทันที เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไร? ถึงเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างมาก  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย  ที่เราคิดว่ามันสกปรก  ที่เราคิดว่าเราไม่ดีงาม ไม่สมบูรณ์เลย แต่พระเจ้าบอกสมบูรณ์แล้ว  เราพอใจแล้ว พอใจด้วยอะไร? ด้วยพระโลหิต  และชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จงมองตรงนั้น  จงมองให้เห็นเถิด  มันเป็นตรงนั้นจริงๆ

            ทั้ง 3 พระภาคทำอะไร? คอยยืนยันกับเราว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริง  และคอยทำอะไรอีก คอยนำพาให้กำลังเรา ที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สติปัญญากับเราในการตัดสินใจ ในการเผชิญกับทุกๆ ปัญหา ให้ความรัก ปลอบโยนจิตใจกับเราตลอดเวลา เป็นสันติสุข เป็นความหวัง เป็นความสงบของเราตลอดเวลา คอยนำพาชีวิตเราในทุกเสี้ยววินาที ไปจนถึงนิรันดร์

            นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เยอะแยะว่าอย่างนั้น ดูแลเรา อยู่กับเรา ในร่างกายนี้ จนถึงเมื่อไร? จนวันที่เราจะออกจากร่างนี้ วันที่จากโลกนี้ เข้าสู่มิติวิญญาณ ถ้าพูดตามภาษามนุษย์  ตามตามองเห็น เรียกว่าตาย ในทางพระคัมภีร์  เราจะไม่ใช้คำนั้นกับคนที่เป็นคริสเตียน เราเรียกว่าล่วงหลับไป จนถึงวันนั้น วันที่เราจากร่างนี้ไป  พระองค์คอยอยู่ดูแลเราตลอดเวลา พระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเราทั้ง 3 พระภาคในเรานี้ จะเป็นผู้ที่ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อสวมร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ในชั่วพริบตาเดียว  ในวันหรือวินาทีที่เราทิ้ง จากร่างกายเดิมนี้  เราจะได้เข้าไปสวมร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นวิหารของพระเจ้า ที่แท้จริงเลย ใหม่เอี่ยมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย คราวนี้เหมือน 100% ด้วยร่างกายใหม่ ไม่ใช่ถูกชำระเฉยๆ  และเป็นร่างกายเดิม  แต่ถูกชำระด้วย และเป็นร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายสวรรค์ โรม 8:11 บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลย …

        โรม 8:11 “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน”

            เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ด้วยภายใน  ถูกไหม? โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน  พูดเมื่อไร? พูดเมื่อตอนที่เราอยู่บนโลกนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  พระเจ้าที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  จะเป็นผู้ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือไม่มีการตายแล้ว ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อท่านล่วงหลับไปปั๊บ เปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง พระคัมภีร์บอกว่าแค่พริบตาเดียว  วันที่ลมหายใจออกจากร่าง ท่านหลับตาปั๊บ  พริบตาเดียว ตื่นขึ้นมา ก็ได้ร่างกายใหม่ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เอเมนไหม?  ท่านก็จะได้อยู่ในสวรรค์ทั้งวิญญาณ ใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู และร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูด้วย  คราวนี้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย และได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรคสถาน  ทุกสิ่งที่เป็นของพระเยซูทั้งหมดที่พระเจ้าพระบิดาประทานให้ เรามีส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่ามรดก รวมไปถึงโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต โลกใหม่ สรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ ทุกอย่างใหม่หมด ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขา ลำธารใหม่เอี่ยมหมด สัตว์ก็ใหม่เอี่ยมหมด นกที่ท่านเลี้ยงไว้ นกที่ท่านชอบ สุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้  แมวที่ท่านเลี้ยงไว้  ถูกสร้างใหม่เอี่ยมหมด ในพระคัมภีร์บอกเช่นนั้น และเราได้ร่วมครอบครองสิ่งเหล่านี้กับพระเยซู ในสวรรค์ ไม่ใช่พันปี  ไม่ใช่ร้อยปี  ไม่ใช่หมื่นปี  เพราะในมิติวิญญาณ  ไม่มีการนับจำนวนปี เป็นนิรันดร์  ก็คือครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            เมื่อครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์ เป็นทั้งอัลฟาและโอเมกา เป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  ท่านควรรับรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ใจของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ทั้งสิ้นเป็นใหม่ทั้งหมด เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์  ท่านเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว

            จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหม่ทั้งสิ้น ใหม่หมดเลย ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใหม่เอี่ยมเลย เพียงแต่ร่างกายเป็นร่างกายเดิม  ที่ถูกชำระ ท่านเลยถูกหลอกได้ง่าย บางคนฟังไปแล้ว ก็อาจจะถามพระเจ้าว่าในเมื่อตัวเก่าที่เป็นบาป ต้องคำสาป เป็นทาสบาป ได้ตายไปแล้ว ถูกไหม? ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ใช่ไหมพระเจ้า  แล้วพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ก็เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดใหญ่เลย  แล้วทำไมลูกหรือคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้แล้ว ที่บังเกิดใหม่แล้ว ยังประพฤติบาปอยู่เลย  ต้องมีคนถามแน่นอน

            อันดับแรก อธิบายให้นิดหนึ่ง คำว่าบาป คือการกระทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับความจริงของพระเจ้า เรียกว่าบาป คือไม่ตรงกับสิ่งที่พระเจ้าต้องการ  ไม่ตรงกับกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้  เขาเรียกว่าบาปทั้งสิ้น บาปไม่ได้ หมายถึงการทำชั่วอย่างเดียว บาปตามสายตามนุษย์ว่าทำดี แต่ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัย ไม่ได้อยู่ในที่ของพระเจ้า  ก็เรียกว่าบาปเหมือนกัน บาป คือการพึ่งพาตนเอง  ในความคิด ความรอบรู้ของตนเอง

            เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ก็เป็นบาปแล้วเพราะถ้อยคำพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า คือพระเจ้ามีอยู่จริงๆ แล้วพระองค์บอกพระองค์ทรงพระชนม์อยู่  แล้วเราก็ใช้ความคิด ไม่มีพระเจ้า บนโลกนี้ นั่นก็คือบาปแล้ว แค่คิด แค่นั้น ก็บาปแล้ว บาป คือการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อมนุษย์จะได้ พึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น  แต่มนุษย์บอกว่าฉันจะพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง นี่แหละ เรียกว่าบาป ต้นเหตุของบาป อยู่ตรงนี้

            เรามาดูกันว่าพระเจ้าจะตอบเราว่าอย่างไร? ทำไมคนที่บังเกิดใหม่แล้ว สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่ ก็เพราะเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม ที่มันต้องตายอยู่ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ด้วย คิดให้ดีๆ นะ ซึ่งโลกใบนี้ปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย  กฎเหล่านี้มันยังอยู่ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

            กฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือกฎ กฎเหล่านี้ใครเป็นคนเอาเข้ามา คืออาดัมบรรพบุรุษของเรา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง นี่แหละ คือกฎของความบาปและความตาย  คือกฎของการกระทำ พึ่งพาในตนเอง  ซึ่งกฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ มีอิทธิพลต่อความคิด ต่อสมอง ต่อร่างกายเดิมของเรา ร่างกายของเรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งพระคัมภีร์ใช้เรียกพลังอำนาจนี้ อิทธิพลนี้ว่ากิเลสตัณหา โลกียตัณหาของโลก หรือโลกียตัณหาของเนื้อหนังของโลกนี้ มันยังอยู่  มันมีอิทธิพล ส่งอิทธิพลเข้ามาที่ความคิดในสมองของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วด้วย มันก็ยังอยู่ในอิทธิพลนั้นอยู่ หรือว่าผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว เดินไป ตายังมองเห็นอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ยังคิดได้อยู่  ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            ซึ่งเจ้าตัวกิเลสตัณหา โลกียตัณหาของเนื้อหนังบนโลกนี้ มันจะคอยเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันจะคอยผลักดันให้มนุษย์พึ่งพาตนเอง  อยู่ในกฎนี้แหละ มันจะคอยหลอกลวงและกระตุ้นให้เราทำตามมัน  “มัน” ในที่นี้ ก็คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ความเคยชินของเรา  ที่จะทำตามความคิดของตนเอง ก็คือความบาป  เหมือนที่เคยทำตอนที่เป็นทาสของมันอยู่ ก็คือตอนที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเดิม ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในสถานที่ที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายอยู่ในบาป  มันก็ทำเหมือนเดิม มาคอยหลอกลวง กระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เคยทำมาก่อน  เคยพึ่งมาก่อน  ก่อนที่เราจะมาเป็นคริสเตียน มาบังเกิดใหม่  นึกภาพออกนะ

            ดังนั้น ด้วยความเคยชิน ที่เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ อยู่ในสมอง อยู่ในความคิดเก่าๆ ของเรา ร่างกายของเรา ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ก่อนเชื่อพระเจ้า เป็นความดันอยู่ เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่ มาเชื่อพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว อันนี้มันก็ยังอยู่นะ แต่ร่างกายได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เรายังอาจที่จะเผลอ ถูกหลอกล่อ ให้ทำตามมันได้  เพราะเราไม่รู้ความจริง เพราะเราถูกหลอกแล้ว หลอกเล่า ซึ่งผลออกมา ก็คือเราก็เป็นทุกข์ เสียใจ ไม่สบายใจ  เพราะมันขัดแย้งกับความต้องการจริงๆ ในวิญญาณของเราที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมแล้วนั้น ถูกไหม? วิญญาณเราเหมือนพระเยซู จิตใจเราเหมือนพระเยซู แต่ความคิดเก่า อิทธิพล การดำเนินบนโลกใบนี้ มันแย้งอยู่ พอเราพลาดเผลอไปทำตามความคิดเดิมปุ๊บ จิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ก็กระตุ้นอย่างนี้ไม่ถูก เราก็ไม่สบายใจ

            สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ เห็นชัดๆ เลย ก็คือความคิดไม่ใช่ตัวตนของเราที่แท้จริงๆ  เพราะเราสามารถคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดไปตามตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองคิดได้ตลอดเวลาว่าเป็นอย่างนี้ๆ มันสร้างความคิดขึ้นมาตลอดเวลา  เราเรียกว่าสร้างฝัน บางครั้ง เราคิด อาจไปตรงกันกับพระวิญญาณ เรื่องความจริงของพระเจ้าข้างใน

            ยกตัวอย่าง เช่น เราคิดว่ามีพระเจ้าจริงๆ เผอิญมันตรงพอดี สมัยเรายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ก็มีโอกาสคิดอย่างนี้เหมือนกันนะ ความคิดไม่ใช่ตัวตนของเรา ความคิด คือความคิด แล้วมันไม่ได้ติดตัวเราไปตลอด วันหนึ่งเรากลับไปอยู่ในสวรรค์ ความคิดก็ไม่ได้ตามตัวเรา ไป ความคิด คือความคิด

            ซึ่งความคิด อาจจะไม่ตรงกับความจริง และส่วนใหญ่ไม่ตรงความจริง เพราะมันเป็นความคิดเดิม และเป็นความคิดที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมีพลังอำนาจ อิทธิพลของความบาป และความตายปกคลุม ส่งกระแสมาตลอดเลย กระแสเหล่านั้น คือกระแสต่อต้านพระเจ้า กระแสให้เราพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่านึกว่าตัวเองฉลาด  แต่จงวางใจในพระเจ้า ในทุกหนทาง แต่ความคิดมันจะแย้งตลอดเวลา เพราะว่ามันดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความจริงของพระเจ้า คือวิญญาณ จิตใจที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ  ไม่อยากจะทำตรงนั้นเลย  แต่ที่ทำไป เราถูกหลอกให้ทำตามความคิดของโลกใบนี้  อิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงทราบแล้ว เตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว  เหมือนที่ตะกี้เราเรียน ฤทธิ์อำนาจโลหิตพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราให้สะอาดหมดจด ครั้งเดียวตลอดไป  อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือแม้กระทั่งไม่เชื่อฟัง ในอนาคต ก็ถูกลบออกด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ตลอดไป เมื่อเราเผลอไปทำตามความคิดเดิม  ตามกิเลสตัณหา ทางฝ่ายเนื้อหนังเดิม เรียกว่าทำบาปปุ๊บ  พอทำปั๊บ อะไรเกิดขึ้น? สะอาดปุ๊บ ท่านไม่รู้หรือ? คือท่านรู้ไหมเมื่อตะกี้นี้เราเรียนมาตั้งแต่ต้นว่าเราบริสุทธิ์แล้วจริงๆ อย่างนั้น ถ้าท่านเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ท่านก็ต้องยอมรับว่าอันนี้ก็เป็นจริงด้วย แต่ท่านอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าความคิดของท่าน สมองของท่านมันมีข้อมูลเดิมอยู่ และตามันก็เห็นอยู่

            “อ้าว! คนนี้เขาทำบาปชัดๆ เลย ยังบอกว่าถูกลบ อย่างนี้ก็สบายสิ ต่อไปนี้ก็ทำบาปได้สบายสิ มารู้จักพระเจ้า ทำบาปได้สบาย”

            ใครบอกเล่า ทำบาปได้สบาย ก็ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว วิญญาณ จิตใจและร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่ด้วย  แล้วคุณจะไปทำบาปอย่างมีความสุขหรือ? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความจริง ก็คือเราไม่ทำบาปแล้ว เราแพ้ด้วย  เราทำไม่ได้ด้วย เราทำไปแล้ว รู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม มากกว่าสมัยก่อนอีก

            เหมือนเรากินอาหาร อะไรแพ้ เรายิ่งงด อันนี้เราแพ้นะ เพราะธรรมชาติเราไม่ได้เป็นตามนั้นแล้ว แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ด้วยกันกับเราก็จะทำอะไร? ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้หรือ? ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกสอน ให้เรารับรู้ความจริง รู้เท่าทันการหลอกลวง ล่อลวง และค่อยๆ พัฒนาชีวิตของเราให้สมบูรณ์แบบ สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยความรักและทำให้เรา มีความฉลาดมากขึ้น ระวังตัวมากขึ้น ในที่สุด ก็พึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตัวเองน้อยลง ก็คือทำบาปน้อยลง รู้เท่าทันความคิดว่าอันนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ไม่ได้มาจากตัวเรา

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และความจริง”

            นมัสการพระเจ้าด้วยความจริง คือสยบ ถ่อมใจ เชื่อฟังความจริง ถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ตลอดเวลาแล้วจริงๆ เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เดี๋ยวนี้และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด พูดกับตัวเอง จงเชื่อในพระเจ้าเถิดว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง คือนมัสการพระเจ้า นมัสการความจริง  นมัสการ คือยอมถ่อมตน เชื่อฟัง เหมือนดังเป็นทาส คือไม่รู้ ใครจะพูดอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น เราก็จะไม่ถูกหลอก ให้เชื่อฟังคำของพระเจ้า  เชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเราเชื่อฟังตัวเอง เราก็กลับมาพึ่งพาในตนเอง พึ่งพาในตนเองแล้วเกิดอะไรขึ้น? ตัวเราเองอาจจะถูกล่อลวง ให้หวั่นไหว แน่นอนเลย เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ร่างกายเราเป็นร่างกายเดิม เราถูกล่อลวงให้หวั่นไหว อ่อนแอแน่นอน แล้วก็ล้มลงไปในการทำตามความคิด ความรอบรู้ ความฉลาดของตนเอง ก็คือทำบาป แต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น พระองค์บอกพระองค์ยังคงเหมือนเดิม วันนี้ วานนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์  พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในความรัก พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตผ่านทางชีวิตของเรา

            ท่านลองคิดดูว่าความคิดและความรู้สึกของเรา มันขึ้นๆ ลงๆ ในขณะนาทีนี้ ที่เราฟังถ้อยคำพระเจ้าอยู่  เดี๋ยวออกไปที่รถ  แดดร้อน ลูกร้อง คนมาเฉี่ยวอีก ท่านก็หงุดหงิดแล้ว ใช่หรือไม่? ถ้าท่านพึ่งพาความคิดของตนเอง มันขึ้นๆ ลงๆ ในความไว้วางใจในความเชื่อฟังพระเจ้า เพราะว่ามันเกิดความสงสัย วิตกกังวล กลัวในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ที่มองเห็นอยู่ ที่ร่างกายรับรู้อยู่ รู้สึกได้อยู่ มันเห็นๆ อยู่ มันกระตุ้น  มันก็อาจจะทำตามที่ถูกกระตุ้นนั้น แต่พระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจมั่นคง พระองค์มั่นใจ 1000% ในการช่วยเหลือเรา นำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน พระองค์ยืนยันว่าพระองค์พาผ่านได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว พลาดไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระองค์ทรงกระทำได้ทุกอย่าง นำพาเราได้ เอเมนไหม? พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ  ไม่ต้องพึ่งเราก็ได้ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะสงสัยหรือเราจะล้มลงในการสัตย์ซื่อ ไม่เชื่อฟัง ในการไว้วางใจในพระเจ้า หรือเชื่อฟังในพระเจ้า  ทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม พระองค์ยังคงสัตย์ซื่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว ยังคงยืนยันอยู่ในวิญญาณของเรา ในร่างกายของเรา อย่างนั้นตลอดเวลาด้วยว่า …

            “พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ลูกเอ๋ย พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง โลหิตของเรายังคงฤทธิ์เดชอำนาจ อภัยให้เจ้าอยู่เสมอ”

            และเหล่านี้คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ เป็นความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์  ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ โรม 8:31 เราลองอ่านนิดหนึ่ง …

        โรม 8:31 “เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ดี ​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้ ถ้า​พระเจ้า​อยู่​ฝ่าย​เรา ใคร​จะ​ต่อต้าน​เรา​ได้”

            จำคำนี้ไว้เลยนะ พระเจ้าบอกเราว่า … “เราจะว่าอย่างไรดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราที่ตะกี้นี้ที่บอกว่ายังเป็นคริสเตียน แล้วยังคงทำบาปอยู่เลย อะไรอย่างนี้  ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้”

            หมายถึงว่าถ้าพระเจ้าอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา แบบตะกี้นี้ที่บอกมา รักเราขนาดนี้ และทำให้เราเป็นอย่างที่ความจริงที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมดแล้ว ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่ก็เกิดขึ้นใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ทั้ง 3 พระภาคแล้ว บริสุทธิ์สะอาดแล้ว  ใครจะมาต่อต้านเราได้  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา อย่าให้ใครมาหลอกลวงเรา ก็คืออย่าให้มารใช้ใครก็ตามมาพูดกับเรา   ใช้ข้อมูลใดก็ตามมาใส่สมองเรา  แม้กระทั่งตัวเราเองพยายามคิดเองก็ตาม จากข้อมูลเดิมก็ตาม    ไม่มีทางหรอกเรื่องเหล่านี้    ไม่สามารถที่จะมาต่อต้าน  หรือมากล่าวหาเราได้ 1 ยอห์น 5:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18  “เราทั้งหลายรู้ว่าคนที่เกิดจากพระเจ้า  ไม่มีธรรมชาติของการทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้า ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา (การทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ภายในเขา ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเขา)  และมารร้าย  ไม่สามารถแตะต้องเขา”

            ชัดไหม? ยิ่งชัดใหญ่เลย … “เราทั้งหลายรู้ไหมคนที่เกิดจากพระเจ้า มาเกิดใหม่แล้ว ไม่มีธรรมชาติในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขา ในชีวิตของเขา ตัวตนแท้ๆ ของเขา ในการทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว แค่นั้นไม่พอ  แต่พระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเขา ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา ด้วยการทรงสถิตของพระเจ้า ของพระคริสต์ปกปักษ์ คุ้มครองดูแลเขา มารร้าย ไม่สามารถแตะต้องเขาได้ เพราะพระคริสต์จะปกป้องคุ้มครองดูแลเราจากมารร้าย ที่คอยกล่าวหาฟ้องร้องเรา พอเราทำผิด มันก็ฟ้องเรา พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายเหล่านี้ ไม่มีอำนาจเลย มันใช้กฎของความบาปและความตาย อิทธิพลเหล่านั้น  ที่เป็นธรรมชาติของการอยู่บนโลกใบนี้ เอามาหลอกเรา  มันจึงได้แค่คำราม หลอกลวง โกหก ด้วยวิธีการชกเรา 2 หมัด เอาคริสเตียนก่อนเลย ง่ายๆ หมัดแรก คือมันหลอกเรา ล่อลวงเรา ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้เราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า

            ยกตัวอย่างเช่น  พระเจ้าบอกให้อภัย  เราบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้หรอก มันกี่ครั้งแล้ว  มันอภัยไม่ได้แล้ว  ต้องทำอย่างนี้ๆ สมมติให้ฟัง แล้วเราก็ทำไป ทำไป แล้วเราก็ไม่สบายใจ แทนที่จะ …

            “โอ้! พระเจ้าขอทรงช่วยให้ลูกมีกำลังมากขึ้น ที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มากขึ้น ลูกถูกหลอกไปอีกแล้ว”

            แทนที่จะเป็นอย่างนี้ มันชกหมัด 2 หมัดหนึ่งมันเป็นคนนำพาเราทำใช่ไหม? หมัดหนึ่ง คือมันให้ข้อมูลความคิด จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่อยู่ในโปรแกรมเก่า ในความคิดของเรา ให้เราตัดสินใจเอาร่างกายนี้ ชกตอบ พอชกตอบปุ๊บ กลับมาถึง แทนที่ตะกี้บอกว่าระลึกถึงความจริงว่าเราถูกหลอกไปแล้ว พลาดไปแล้ว ส่วนโลกใบนี้ที่ต้องชดใช้ ก็ว่าไป  แต่ในทางวิญญาณ มันชกหมัด 2 มา ให้เรารู้สึกเสียใจว่าเราเป็นคนบาป ทำไมเราชั่วอย่างนี้  ทำไมเราเลวอย่างนี้ เมื่อไรมันจะดีสักที  เราเลวที่ไหน?  เราควรจะกลับมาที่เดิม เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เพียงแต่เผลอไปทำบาป เพราะฉะนั้น  เดี๋ยวพระเจ้าจะนำพาเรา ที่จะมีกำลังขึ้น ต่อสู้กับการทดลองเหล่านี้มากขึ้น เห็นไหม? นี่แหละคือกลเม็ดเด็ดพรายของมาร พยายามโกหกหลอกลวง และใช้ 2 หมัดนี้  ทำร้ายเรา และใครปกป้องคุ้มครองดูแลเรา มันไม่มีทางเกิดในวิญญาณของเราได้เลย  เพราะในนี้บอกไว้ว่าพระคริสต์ผู้อยู่ภายในเรา  ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระบุตรของพระเจ้าได้คุ้มครองรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ยังคงสถิตอยู่ในเรา ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา ให้อยู่ในความจริงของพระองค์นั่นเอง เอเมนไหม?

            ทั้งหมดในวันนี้ พระเจ้าได้ประกาศให้มนุษย์ทั้งหมดได้รู้ว่านี่คือปัญหาของมนุษย์  แก้ไขทางพระเจ้าได้ง่ายนิดเดียว คือมนุษย์เอ๋ย จงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วอัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นทันทีในร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของท่าน เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มันเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นภาระที่คริสเตียน จะแบ่งปันความรัก ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก  ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

            1 ยอห์น 4:17 …  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            พระเยซูคริสต์จึงตรัสไว้ในยอห์น 13:34​ ว่า … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน  เรารักเจ้าทั้งหลาย   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว  เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้   โดยธรรมชาติของวิญญาณ​และจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าประทานให้​  ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้  อย่างเป็นธรรมชาติ​  ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเหมือนในอดีต​  ก่อนบังเกิดใหม่  ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น​ ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างในเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก

            1 ยอห์น 5:3​ … “เพราะนี่แหละ​ เป็นความรัก   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง)​ ไม่เป็นภาระ”

            ไม่เป็นภาระ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ  เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ