หมวดหมู่: Uncategorized
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน” โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาต่อกันในหัวข้อคำบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ เป็นตอนที่ 5 ตอนที่ 1 จำได้ไหม? จำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 แล้วจะมีต่อไปเรื่อยๆ ฟังกันมา 4 ตอนแล้วใช่ไหมครับ? ตอบกันได้หรือยังว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ตอบกันได้ไหม? อย่างน้อย ยังพอจะรู้นะว่าเราเป็นใครในพระคริสต์บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ได้หมด ผมพยายามที่จะย้ำตรงนี้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ประเด็นที่สำคัญ ที่เราได้คุยกันไปทั้งหมดใน 4 ตอน ก็เพื่อย้ำให้เรารู้ตัวและให้เรามั่นใจอยู่เสมอว่าเรานั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อยากจะเน้นตรงนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ในวิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ด้วย เข้าใจไหม? เข้าใจไหมครับ?
หลายคนบอกเข้าใจ แสดงว่าจำไม่ได้
เข้าใจไหม?
ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา นี่ต้องอย่างนั้น
ไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าเชื่อ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น
แล้วยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้ยกตัวอย่าง เวลาที่เราจะเดินทางไปไหน โดยเฉพาะไปที่ไกลๆ เราก็บอกว่าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งจะบินไปเชียงราย แล้วก็บินกลับมา ผมเมื่อยแขนไปหมด ไม่เมื่อยแขน เพราะผมอยู่ในเครื่องบิน ถูกไหม?
ใครบินไปไหน ตอนนี้ทุกคนก็บอกว่าบินทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เห็นมีใครบินสักคน นั่งเครื่องบินไป ไม่เห็นมีใครบอกนั่ง ทุกคนก็บอกว่าบินไปโน่นบินไปนี่
ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ ฟังให้ดีนะครับ ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ แต่มนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน ถูกหรือไม่ถูก? เราสามารถอธิบายการบิน ที่เครื่องบินมันบินได้ แบบง่ายๆ ด้วย เขาเรียกว่าทฤษฎีการเคลื่อนที่ของอากาศ
คือทฤษฎีบอกว่าอากาศที่เคลื่อนที่เร็วกว่า จะมีแรงกดดันต่ำกว่า และลักษณะของปีกเครื่องบิน จะทำให้อากาศที่เคลื่อนผ่านใต้ปีก มีความเร็วต่ำกว่าด้านบน เพราะฉะนั้น ความดันใต้ปีกเครื่องบิน จึงสูงกว่าความดันเหนือปีกเครื่องบิน จึงทำให้เกิดแรงยกขึ้น ที่เรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น จึงทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นและลอยอยู่ได้ เข้าใจไหมครับ? ตอบสิ? ตอบดังๆ สิครับ?
“ไม่เข้าใจ”
นี่ ต้องตอบอย่างนี้ถึงถูก ยอดเยี่ยมมากเลย ตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อไหม? เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ขึ้นไปบินทำไมล่ะ เพราะเชื่อไง
ซื้อตั๋วเครื่องบิน ต้องไปคิดเหรอ มันจะยกขึ้นตรงไหน? ตรงนี้ปีกเครื่องบินเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้เคยคิดเลย ผมก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วผมก็เดินจ้ำๆ เข้าไปในเครื่องบิน นั่นแหละ แต่กฎเหล่านี้ มันอธิบายแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ลักษณะเดียวกัน ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และผมก็ไม่ต้องมาสอนเรื่องนี้ว่าเครื่องบินมันจะขึ้นอย่างไรให้มันชัดเจน เพราะว่าวันนี้ไม่ได้สอนเรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการยกขึ้นของเครื่องบินอย่างไร? แต่เพียงต้องการเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นภาพว่าด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลก อย่างนี้เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ ถูกไหม? โยนของมีน้ำหนักไป มันก็ตกลงดิน เขาเรียกว่าแรงดึงดูดของโลก เขาเรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติใช่ไหมครับ? ทำให้ไม่มีวัตถุใดๆ สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ มันถูกดูดลงหมด ถูกไหม? ไม่ว่าเราจะโยนวัตถุอะไรขึ้นไป วัตถุนั้นก็ต้องตกลงมา วัตถุนั้นโยนขึ้นไป มันบอกว่า.-
“ฉันไม่เชื่อกฎแห่งการดึงดูด”
แล้วมันลอยอยู่ได้ไหม? ไม่ได้ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็ตกลงมาอยู่ดี ไม่ว่าคนนั้นจะบอกว่า.-
“ฉันเชื่อหรือไม่เชื่อ” ก็ตาม
เวลาเขาเดินออกมาจากระเบียบชั้นบน แล้วก้าวออกไปข้างนอก ที่ไม่มีพื้นแล้ว เขาก็ตกลงมา แม้เขาจะบอกว่า.-
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่เชื่อกฎหรอก ถึงจะมีแรงดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ” ก็ตกลงมาอยู่ดี
แต่กฎแห่งการยกขึ้น คืออะไร? กฎแห่งการยกขึ้น ที่เมื่อตะกี้ที่บอกว่าเครื่องบินเอาไปใช้ ที่นักวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา กฎแห่งการยกขึ้น อันที่ตะกี้นี้บอก เป็นกฎที่ได้เอาชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก ถูกไหม? เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงทำให้เครื่องบินสามารถอยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาติ สามารถยกขึ้นและลอยอยู่ได้ เคลื่อนไปในอากาศได้ ในขณะที่กฎธรรมชาติยังอยู่ … อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ แรงดึงดูดของโลกยังอยู่ไหม? อยู่ เครื่องบินที่บินอยู่ ลอยอยู่ในอากาศ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ แต่พลังแห่งกฎแห่งการยกขึ้น ชนะ มีอำนาจเหนือกว่าในตอนนั้น และเราซึ่งเป็นมนุษย์ที่โดยตามกฎธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถบินได้ ถ้าเป็นตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถบินได้ แต่เมื่อเราเอาตัวเราเข้าไปนั่งอยู่ในเครื่องบิน เราก็ได้อาศัยเครื่องบิน ทำให้เราเอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ และสามารถบินไปไหนมาไหนได้
ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เราก็เลยอาศัยเครื่องบิน เครื่องบินทำให้บินได้”
ถูกไหม? เราไม่ได้พยายามบินด้วยตัวเอง เราไม่ต้องพยายามบินได้ด้วยตัวเอง ถูกหรือเปล่า? เราอาศัยอะไร? เครื่องบิน ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ
ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติทางฝ่ายวิญญาณนะ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกฝ่ายวัตถุ มนุษย์ก็มองไม่เห็น แต่มีอยู่ ถูกไหม? มนุษย์มองไม่เห็นกฎนี้ แต่มีอยู่ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน กฎธรรมชาติมีอยู่อันหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่ากฎแห่งบาปและความตาย มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายด้วยครับ เหมือนกับกฎแรงดึงดูดของโลก ซึ่งมีอยู่ กฎแห่งบาปและความตาย ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอาศัยพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ตะกี้เราอาศัยเครื่องบิน เพราะอาศัยในพระเยซูคริสต์ อาศัยพระเยซูคริสต์จะมีกฎใหม่ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป
และกฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต รู้ได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ชัดเจนแล้วนะ ในหนังสือโรมนะครับ โรม 8:1-2 ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นจะๆ เลย จำให้ได้เลยต่อไปนี้ โรม 8:1-2 ลองอ่านพร้อมๆ กันก่อนนะครับ
โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย“
“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”
เอามาเทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้แล้ว อันนี้เหมือนกันเลย พูดตามนะครับ
“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการล่วงหล่นหรือตกลงมาแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในเครื่องบิน เพราะโดยการอยู่ในเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น ได้ปลดปล่อยให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นอิสระ จากกฎแห่งการดึงดูดของโลก” เอเมน
ไม่มีอะไรเลย ธรรมดาเลย ชัดไหม? เริ่มเข้าใจชัดเจนใช่ไหมครับ มันมีกฎของมันอยู่ เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะอะไร? เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปนั่นเอง กฎเก่าที่เรียกกฎแห่งบาปและความตาย ก็คือบัญญัติ ในสมัยโมเสส คือพันธสัญญาเดิม คือตาต่อตา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือพูดง่ายๆ ซึ่งฟังดูเหมือนดี แต่เพราะมนุษย์ตกลงในความบาปแล้ว เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดมาก็มีเชื้อบาปติดมาแล้ว มันก็เลยทำดีไม่ได้ มันก็เลยทำไม? ก็เลยทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น ได้อะไรล่ะ ก็ได้ชั่ว เพราะชั่วไง นี่มันเป็นตรรกะง่ายๆ นะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือไม่มีการอภัย ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด สมัยนั้นเรียกว่ากฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ส่วนกฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ก็คือกฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือพระคัมภีร์ใช้คำว่ากฎใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ … ในพระเยซูคริสต์มีพระคุณอยู่ที่นั่น ไม่ต้องทำดีได้ดีแล้ว ทำชั่วก็ได้ดี กล้าพูดได้เลย โดยความเชื่อในกฎใหม่นี้ เป็นกฎที่ทำให้เราได้รับความชอบธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ เปล่าๆ โดยไม่ต้องกระทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้เรา
ฟังดู แล้วมันเหมือนกับมันไม่ยุติธรรมนะ แต่กฎมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนกับที่กำลังจะบอกว่ายุติธรรมไหม? ที่คนดีๆ ทำดีมาตลอด แล้วก็เดินออกไปที่ระเบียบ แล้วก็ตกระเบียบลงไป แรงดึงดูดของโลกดูดลงไป หรือคนดีๆ ขึ้นเครื่องบิน แล้วเครื่องบินลำนั้น กฎแห่งการยกขึ้นมันเสียไป ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด มันต้องพุ่งเร็ว อยู่ในเงื่อนไขของกฎแห่งการยกขึ้น ทำให้กฎแห่งการยกขึ้นเสียหายไป แรงดึงดูดของโลก ก็ดูดเขาไป ตก อย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเหรอ แล้วอะไรคือยุติธรรม มันอยู่ที่กฎระเบียบที่ถูกตั้งไว้แล้ว ผู้ที่ควบคุมระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องดำเนินตามกฎของพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างที่ผมบอก เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ยังมีอยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแห่งความบาปและความตายก็มีอยู่เช่นเดียวกัน
และที่บอกว่า “บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” ก็เพราะว่าการลงโทษผู้ที่กระทำผิด เป็นกฎที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติสมัยโมเสสอันเดิม สมัยนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด ซึ่งผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้อีกต่อไปแล้วไง พระเจ้าได้สร้างกฎใหม่ขึ้นในพระเยซูคริสต์แล้ว กฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เราเป็นอิสรภาพจากกฎเก่า ที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในนี้ เราก็มีกำลัง มีอำนาจอยู่เหนือพลังของกฎเก่า ซึ่งกฎเก่า ก็คืออะไร? คือความบาปและความตายต้องชดใช้ เราเลยไม่ต้องชดใช้ เราจึงเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่ได้กฎใหม่แล้ว นักวิทยาศาสตร์สร้างกฎนี้ขึ้นมา แล้วเจอกฎนี้ ก็คือกฎการยกขึ้น เรานั่งยิ้มไปเลย เพราะอะไร? เพราะขณะที่เรานั่งยิ้มนั้น เรามีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก เราลอยอยู่ในอากาศได้ เอเมน เห็นไหม?
แล้วทำไมต้องมีกฎใหม่ของพระเยซูคริสต์ มาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติ ท่านคิดในใจว่าทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้มนุษย์ทำตามบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้รอดจากการถูกลงโทษไม่ได้หรือ! เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ให้มนุษย์ทำดีสิ จะได้ … ได้ดีอย่างเดียวไง เป็นไปได้ไหม? ผมไม่ตอบ ผมให้พระคัมภีร์ตอบดีกว่า พระคัมภีร์จะตอบว่าทำได้หรือไม่ได้? โรม 8:3-4 จะบอกเลยว่าทำไมมนุษย์จึงทำไม่ได้
โรม 8:3-4 “3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”
เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอ เนื่องจากวิสัยบาป เนื่องจากเชื้อของความบาป เนื่องจากสันดานของความบาป ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ตกทอดมาจากอาดัมและอีฟบรรพบุรุษของเรา ทำให้มนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวก็ทำบาป
จะทำดีสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำบาป ไม่มีใครสอนอะไรเลย ตั้งแต่เด็กๆ มา ก็เริ่มโกหก เริ่มอิจฉาริษยา เริ่มเห็นแก่ตัว ใครสอนเด็กเหล่านี้ เชื้อมัน เชื้อที่อยู่ในตัวเด็ก พระคัมภีร์บอก ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่บาป คือบาปทุกคน ถ้ามนุษย์สามารถทำตามบัญญัติภายใต้กฎแรก ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือไม่ทำบาป ไม่ทำผิดบทบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว มนุษย์ก็จะรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ คือไม่ต้องรับโทษในความผิดของตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ทำ แต่ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีมนุษย์คนไหนสามารถรักษาบทบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่กระทำผิดบาปเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยโกหกใครเลย ไม่เคยคิดไม่ดีต่อใครเลย พระเจ้าจึงต้องให้มีกฎใหม่ เพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากกฎเดิม ซึ่งติดเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เพราะถ้าไม่มาปลดปล่อยจะไม่มีใครรอด พ้นจากการถูกลงโทษเลย ทุกคนต้องได้รับโทษหมด ที่เราคุ้นๆ กันว่าเกิดมาใช้เวรใช้กรรม ไม่หมดสักที เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที มันเรื่องจริง แต่ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีก่อน ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน บนไม้กางเขน พระองค์ทรงไถ่เรา
ถ้อยคำตรงนี้จึงบอกว่าเพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์อ่อนแอ ไม่สามารถบินได้ นักวิทยาศาสตร์จึงช่วยแล้ว ช่วยทำ ช่วยหา จนพบกฎแห่งการยกขึ้น สร้างเครื่องบินมา ทำให้เราชนะแรงดึงดูดของโลก สามารถบินได้ ความอ่อนแอของมนุษย์บินไม่ได้ แต่โดยนั่งบนเครื่องบิน มนุษย์กลายเป็นบินได้ เอเมน
ลักษณะเดียวกัน สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการกระทำตามบทบัญญัติ ไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ เพราะไม่มีใครเลย อย่างที่บอกว่าไม่มีใครเลยที่จะทำถูกต้องได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะมนุษย์ทุกคนมีวิสัยบาปอยู่ ภาษาเดิมจริงๆ เขาเรียกว่าสันดานบาปอยู่ เชื้อบาปที่อยู่ในตัว ที่จะกระทำความผิดอย่างแน่นอน คือพูดตรงๆ ก็คือถึงไม่ทำไม่อะไรเลย ก็เป็นคนบาป เพราะมันบาปมาจากสายเลือด เข้าใจใช่ไหมครับ? มันมาจากสายเลือด อย่างไงๆ ก็เป็นคนบาป
พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป ไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป จึงเป็นคนบาป แต่กำลังหมายถึงมนุษย์ทุกคนเป็นเชื้อสายของอาดัมและอีฟทั้งสิ้น และอาดัมและอีฟพามนุษย์ทั้งครอบครัวของตัวเอง เผ่าพันธุ์ทั้งหมดตกลงไปในความบาปทุกคน ก็เลยโดนโทษนี้ไปด้วย
พระคัมภีร์ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด ไม่บาปเลย ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย โดยการทำตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยตัวเอง โดยการกระทำด้วยตัวเอง โดยพยายามด้วยตัวเอง ไม่มีสิทธิ์เลย เช่นเดียวกัน ที่ผมบอกมนุษย์อ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์เลย ที่จะบินได้ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ ต่อให้ไปเล่นกล้ามเท่าไร ก็บินไม่ขึ้น ถูกไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตัวเอง ต้องมีใครมาช่วยสักคนหนึ่ง พูดง่ายๆ และผู้นั้น ที่เรารู้ก็คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ กฎของวิญญาณ โรม 3:20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ
โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”
“โดยการรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้”
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่าอยู่ กฎความประพฤติ กฎการทำอยู่ คือกฎแห่งบาปและความตาย พระคัมภีร์ใช้ชื่อนี้ กฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครยังอยู่ในกฎเก่านี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรมของตนไปได้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่ได้เลย เพราะยังอยู่ในกฎเก่าอยู่ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่มนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ ก็คือต้องหากฎใหม่ให้ได้ หากฎใหม่ให้เจอ แล้วกฎใหม่นั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ที่ไม้กางเขน โดยส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน ก็คือคนนั้นต้องหากฎนี้ให้เจอ และต้องมาอยู่ภายใต้กฎใหม่นี้ ที่เรียกว่ากฎวิญญาณนี้ ซึ่งเป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต เขาจะต้องเชื่อในกฎนี้ และเข้ามาอยู่ในกฎนี้ เขาถึงจะชนะกฎของความบาปและความตาย ซึ่งเขาต้องชดใช้เวรกรรมของเขา ถ้าไม่อยากชดใช้ ก็เข้ามาอยู่ในกฎใหม่ที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย กฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์
และผู้ที่สามารถอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น จะย้ายเข้ามาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ก็ไม่ใช่ด้วยการกระทำอีกแล้ว วิธีเดียวเท่านั้น ที่ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้นั้น ก็คือต้องเป็นผู้ที่เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ และผู้ที่จะอยู่ในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น พระคัมภีร์พูดไว้ คือผู้นั้นต้องเชื่อในข่าวดีของพระเยซู
และเชื่อในข่าวดี คืออะไรไม่เข้าใจ? อ๋อ! ข่าวดีของพระเยซู ก็หมายถึงต้องเชื่อในข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับท่าน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม บาปท่านได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว ไถ่ท่าน โดยฟรีๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปรับอย่างเดียว นี่คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเสียอะไรเลย ได้เปล่าๆ เรียกว่าข่าวดี ถูกไหม? เข้าไปรับสิทธิ์ คนนั้น มีหน้าที่เชื่อในข่าวดีนี้ ที่มาถึงเขา เชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วก็เดินเข้าไปรับสิทธิของเขา เท่านั้นเอง เขาก็จะได้รับสิทธิ์นั้นทันที เขาจะได้เข้าไปอยู่ในกฎใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์
จำได้ไหมในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ดังเลยนะ เดี๋ยวจะให้ท่านเห็นชัดๆ ข้อพระคัมภีร์ดังเลย ยอห์น 3:16-18 อ่านพร้อมกัน แล้วก็เน้นๆ ตอนช่วงท้ายๆ ข้อ 18 พยายามอ่านให้เน้นๆ ว่าเป็นอย่างไร?
ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
ในนี้ข้อ 16 บอกว่า “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”
ก็คือชีวิตที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป
ในนี้บอกว่า “เพราะพระเจ้าไม่ได้จะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อจะพิพากษาโลก”
ไม่ได้มาเพื่อตำหนิ เพื่อจัดการ “ฉันจะลงโทษเธอ” ไม่ใช่ แต่มาเพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์บนโลกนี้ จะได้รอดจากอะไร? จากกฎของความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย และหนี้เวร หนี้กรรมต่างๆ ที่เราต้องชดใช้
ในข้อที่ 18 บอกว่า “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว”
จริงๆ คำว่า “พิพากษา” มันต้องมีคำว่า “ลงโทษ” อยู่ในนั้นด้วยนะ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เห็นหรือยัง? แปลว่าอะไร?
“ผู้ใดที่ไม่เชื่อพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว” คือเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เกี่ยวกัน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แล้วจะสั่งปรับโทษ เราไม่เชื่อในการที่เครื่องบินยกขึ้นได้ แต่พอเรานั่งบนเครื่องบิน กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกมันก็มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน กฎของความบาปและความตายมันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ มันอยู่แล้ว มันคอยจะดูดคนลงไป อยู่แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ยังถูกดูดอยู่ดี
ในนี้บอกว่าเพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ เพราะไม่เชื่อ ในนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อว่าพระเยซูมาทำกฎใหม่ให้เรา มีสิทธิ์ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตายแล้ว เขาไม่เชื่อตรงนี้ เขาจึงได้รับการลงโทษ อยู่แล้ว เป็นธรรมดา
เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ลงมาเกิด เราก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเราไม่เชื่อพระเยซู แล้วถูกลงโทษ แต่มันถูกลงโทษ ตั้งแต่อาดัมและอีฟพาพวกเราทั้งหมด บรรพบุรุษของเรา พาเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมดลงไปในความบาป เราได้รับโทษแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ?
ผมแปลตรงนี้ให้ท่าน เปรียบเทียบตรงนี้ให้กับท่าน … ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นนะครับ อ่านตามผมนะครับ พูดตามผมนะครับ ดังๆ เลยนะ
“ผู้ใดที่เชื่อกฎแห่งการยกขึ้น ก็ไม่ล่วงหล่นลงมา ผู้ใดไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้นนี้ ก็ล่วงหล่นลงมาอยู่แล้ว แน่นอน 100%” ใช่ไม่ใช่?
“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อว่ามีกฎแห่งการดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ ฉันก็เดินออกไปเลย”
ถ้าผมเดินออกจากเวทีนี้ไป ผมตกไหม? ตก ถ้าอย่างนั้น ผมไม่เดินออกไปหรอก ผมเชื่อ ถ้าไม่มีกฎในการยกขึ้นมาช่วย ไม่มีเครื่องบิน สมมตินะ พอเข้าใจไหม?
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น เราจะไม่ได้บินเลย ตลอดชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะไปไกลขนาดไหน? ก็ไม่กล้าไป เพราะเราขี้เกียจนั่งเรือ เรากลัวเมา เข้าใจใช่ไหม?
ถ้าย้อนกลับไปที่ตัวอย่างในเรื่องเครื่องบินตะกี้นี้ ลักษณะเดียวกัน คือถ้าเรายังคงอยู่กับข้อจำกัดของกฎเก่า คือกฎเก่า กฎธรรมชาติ บอกว่าวัตถุไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เราจะแพ้กฎนั้น กฎนั้นเรียกว่ากฎแรงดึงดูดของโลก กฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อในกฎใหม่ก่อน ที่นักวิทยาศาสตร์เขาสร้างขึ้นมา คือเชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น เขาคิดขึ้นมาว่ามันมีกฎแห่งการยกขึ้นจริงๆ นะ ที่ทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้ และลอยอยู่ได้ เราก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ ผ่านทางเครื่องบิน โดยอาศัยเครื่องบิน ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ เพราะฉะนั้น ผมจะเขียนสมการให้ท่านดู
เครื่องบิน ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแรงโน้มถ่วงของโลก นี่พูดถึงเครื่องบินนะ กฎธรรมชาติ คือมันมีแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ ไม่สามารถบินได้ ถูกไหม?
คราวนี้กฎไม่ธรรมชาติ กฎที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นอีก กฎที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมา ก็คือแต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะ เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะฉะนั้น สรุปออกมาเป็นผล สามารถบินได้ ลอยอยู่ในอากาศได้
เทียบกับมนุษย์ … มนุษย์นะ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาตินะ ธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ต้องตายและตาย … ตายเดี๋ยวนี้และตายจากโลกนี้ไป ก็เรียกว่าตาย 2 ครั้งเลย ตายทางวิญญาณด้วย ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลได้ เรียกว่าตาย เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก
ย้ำอีกทีหนึ่ง ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกวันนี้ ทำให้มนุษย์ต้องประสบกับความตาย ต้องอยู่ในนรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว และเป็นอิสระจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ สิ้นสุดชีวิตแล้ว วิญญาณก็สามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นิรันดร์กาล อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่หลังความตาย เข้าใจใช่ไหม? ตรงกันข้าม ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ ก็คือต้องไปอยู่ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เราเป็นคนบาป เราต้องไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกว่านรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศ” ความตาย แต่คนที่อยู่กับพระเจ้าเรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์
ถามว่าทำไมผมถึงพยายามยกเรื่องเครื่องบินขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ปัจจุบัน ควรจะมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันกับการนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน? ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เครื่องบินบินกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนคนกลัวกัน แต่เดี๋ยวนี้บินกันเยอะมากๆ ข้างบนอากาศ คนบินกันเยอะ เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างจะเห็นชัด มันจะเห็นชัด ถามว่าเวลาที่ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ใครก็ตามที่เดินทางโดยเครื่องบิน ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ท่านต้องทำอะไรบ้างไหม? บนเครื่องบิน ที่จะทำให้เครื่องบินยกขึ้นให้ได้ ท่านไปช่วยยกเครื่องบินไหม? ตอนที่นั่งอยู่ในเครื่องบิน หรือในขณะที่มันลอยอยู่บนท้องฟ้า ท่านช่วยทำอะไรไหมที่มันลอยอยู่บนฟ้าได้ ท่านต้องคอยช่วยนักบินดูแผนที่ไหม? ก็ไม่ต้อง ท่านต้องคอยช่วยดูทิศให้ไหม? เผื่อว่ากัปตันบินเลี้ยวผิดอะไรประมาณนี้ ท่านก็ไม่เคยคิด ท่านต้องคอยช่วยควบคุมระดับการบินไหมว่าสูงไป เตี้ยไป
“นักบินทำไมบินเตี้ยอย่างนี้ น่าสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ 10,000 … 30,000 กิโลเมตร อะไรอย่างนี้ สมมตินะ สูงกว่าพื้นดิน อะไรอย่างนี้ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม? แค่นั่งเฉยๆ แล้วก็ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใคร? ของคนข้างๆ ไม่ใช่ หน้าที่ของกัปตัน … กัปตันหรือนักบินก็จะพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ตะกี้ผมบอกคนข้างๆ หมายถึงใครรู้ไหม? บางคนเป็นคริสเตียน กัปตันของเรา คือพระเยซู แทนที่เราจะนอนหลับ แล้วพึ่งในพระเยซู พึ่งคนข้างๆ แทน เข้าใจไหม? พึ่งคนข้างๆ แทน มันต้องพึ่งพระเยซูนะ ต้องยึดพระเยซูผู้เดียว ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากพระเยซูเท่านั้น แต่คนข้างๆ มาเพื่ออะไร? เพื่อหนุนจิตชูใจเราเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าพึ่งเขา จนกระทั่งเขาพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ มันเป็นไปไม่ได้
นั่นแหละครับ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ควรจะดำเนินชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ถูกไหม? คริสเตียนทุกคนรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่การได้รับชีวิตนิรันดร์และได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระองค์ทรงตั้งเป้าอย่างชัดเจน แจ่มใส แล้วก็หมดบาป แล้วไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็มันรู้จักพระเจ้าแล้ว คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอวิญญาณออกจากร่าง สามารถไปอยู่สวรรค์ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ ง่ายๆ อย่างนี้
พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์เป็นทางนั้นที่จะนำพาเราไปพบกับพระเจ้าได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เราได้รับสิ่งนั้นจากพระเยซูมาเรียบร้อยแล้ว เราได้รับแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับบางคนได้รับแล้ว ไม่ไปใช้สิทธิของเขาก็มี แต่เราทั้งหลายในที่นี่ เราได้รับแล้ว … แล้วเราก็มาใช้สิทธิของเราแล้วด้วย อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรครับ อะไรที่เราต้องทำ มีไหม? ตอบ อยู่บนเครื่องบิน คุณต้องทำอะไรไหม? ไม่ต้องทำ เพราะฉะนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ลำบากใจนะ มันอยากทำ มันติดนิสัยเก่ามา มันอยากทำ คุณไม่ต้องทำ คนละเรื่องกัน ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องทำดี ไม่ใช่นะ ไอ้ทำดี ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำดี มันอยู่ในวิญญาณมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว พระเจ้าใส่ลงไป เป็นธรรมชาติ ที่เขาอยากทำดี แต่ทำชั่วนั้น เขาไม่อยากทำ แต่มันอดไม่ได้ มันสู้กับมันไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนทำชั่ว ไม่ต้องส่งเสริม ไม่มีใครอยากทำชั่วอยู่แล้ว แต่มันชั่วจริงๆ ก็เพราะเขาสู้ตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับเชื้อความบาปที่อยู่ในตัวของเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ? นี่มันต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั้น เราไม่ต้องทำอะไร เพราะพระเยซูทำให้หมดแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูทำให้เราแล้ว สมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า Finish … It is finished. มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แล้วๆ ครบถ้วนแล้ว จบ เราไม่ต้องทำอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ต้องย้ำอีกทีว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือทำดีอะไรต่างๆ พระวิญญาณจะนำเราเอง ถึงแม้พระวิญญาณไม่นำเราในอดีต อย่างที่บอก ไม่เชื่อพระเจ้า จิตวิญญาณของเขาคนนั้น ลึกๆ ในใจเขาอยากทำดีทุกคน เพียงแต่มันสู้กับกิเลสตัณหาเนื้อหนังไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน
ในหนังสือโรม ได้บันทึกว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเรา ฟังให้ดีนะ วิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้วเช่นเดียวกัน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ … เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว … พระองค์มาตายที่ไม้กางเขน … ตายหรือยัง? ตอบทุกคน ตายแล้ว … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เห็นไหมทำหมดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าที่พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันเกิดผลในชีวิตของเราอย่างนี้ โรม 6:3-6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเกิดผลที่เราอย่างไร?
โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”
เอเมน … เป็นอิสระไหม? ถ้าไม่เป็นอิสระ อ่านตามผม เป็นอิสระแน่เลย อ่านตามดังๆ เลยนะ อ่านให้ตัวเองฟัง
“เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่าวิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อวิญญาณบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”
ถามว่าอิสระนั้นที่ไหน? ที่วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ไม่มีผิดเลย พวกนี้วิญญาณทั้งนั้น มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตาย แล้วมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย รวมความก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ … พระองค์ทรงทำอะไร เราทำอันนั้นด้วย นี่มันเป็นอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอกไว้ ตื่นเต้นน่าดูเลย ตื่นเต้น
ตัวอย่างที่จะอธิบายให้ท่านเห็นภาพตรงนี้ให้ดีที่สุด ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว หรือครั้งก่อนโน่น ที่ได้ยกตัวอย่างเรื่องถุงชา ที่พูดไปแล้ว คือถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้อะไร? ที่ครั้งที่แล้วคิดอยู่ตั้งนาน ตอบ ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้น้ำชา ไม่ใช่กาแฟ เพราะเราใส่ถุงชา … ถุงชากับน้ำร้อน ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกไป เสร็จแล้ว หยิบถุงชาออกไปเลย เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับถุงชาอีกต่อไปแล้ว เพราะมันรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มันไม่มีทาง ไม่มีทางเลย นึกถึงเรากับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอะไร? ใครจะมาแยกเราได้ มีใครหน้าไหนจะมาแยกเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ มันหมายถึงอย่างนี้ มีใครจะมาปรับโทษเราได้อีก การปรับโทษ ก็หมายถึงจะมีใครมาว่าเรา … เราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้เป็นหนึ่งกับพระองค์ ไม่มีใครหรอก เมื่อเราเชื่อข่าวประเสริฐนี้ ยึดไว้ให้ดีๆ ทางวิญญาณมันเกิดสภาพนี้แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
เช่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว แยกกันไม่ออก และก็เหมือนกับตัวอย่างเรื่องน้ำชาว่าอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเพราะบางครั้ง เราก็ชงชาแบบเข้ม บางครั้งเราก็ชงชาแบบอ่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นชาแบบเข้มหรือแบบอ่อน อย่างไรมันก็เป็นน้ำชาอยู่ดี อย่างไรๆ ก็เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ดี เพียงแต่มันจะเข้มหรืออ่อนเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ถามท่านในที่นี่ ท่านเป็นคริสเตียนเข้มหรืออ่อน ไปถามเอง ไม่ต้องไปถามคนข้างๆ ด้วยนะ ท่านเป็นคริสเตียนแบบเข้มหรือแบบอ่อน จุ่มไปด้วยกันนั่นแหละ ทำพร้อมกันนั่นแหละ แต่บางคนเข้ม บางคนอ่อน อย่าหันไปหาคนข้างๆ สิ ดูตัวเองๆ ฉันใดก็ฉันนั้น คริสเตียนก็มี คริสเตียนที่แข็งแรงแล้ว อันนี้หมายถึงวิญญาณนะครับวิญญาณ แข็งแรงแล้ว และคริสเตียนที่ยังทำไม? ทางวิญญาณนะ อ่อนแออยู่ ยังเป็นชาอ่อนอยู่ นี่พูดถึงวิญญาณทั้งนั้นนะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็น คริสเตียนที่อ่อนแอ เป็นชาอ่อนๆ ยังไงๆ ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตอบ ใช่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตายไปแล้ว สิ้นจากชีวิตบนโลกนี้แล้วไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ในสวรรค์เหมือนกัน เอเมน และสามารถเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกันเลย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอย่างนี้ พระเยซูตาย เราตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูตาย คนที่เป็นคริสเตียน อ่อนแอ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ชอบนินทา แต่เขาเชื่อข่าวดีจริงๆ นะ … เพราะเป็นก็คือเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ? เขาเป็นชาแล้ว เขาก็เป็นชา เป็นอย่างอื่นไม่ได้
คือเราพูดเอาเขาออกไป ประพฤติอย่างนั้น มันไม่น่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียน คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาเชื่อในข่าวดีนั้น แล้วหรือยัง? จริงๆ คุณรู้ได้อย่างไร? ถามสิ คุณรู้ได้อย่างไร? รู้เอง พูดเอง คิดเอง พระเจ้าอาจจะไม่ได้มองเขาอย่างนั้น เขาอาจจะเชื่อจริงๆ ก็ได้ แต่เขาสู้ไม่ได้กับเนื้อหนังขนาดนี้ เขาก็เป็นเพียงแค่ชาอ่อน วันนี้ออกจากโบสถ์ เดินออกไป วันนี้ชาอ่อนชาแก่ โอเค อย่าไปทำอย่างนั้น ใช่ไหม?
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนี่ไหม? ทุกคนพูดพร้อมกันว่ากระเทียมดอง เพราะจากวันนี้ไป ท่านจะต้องพูดคำนี้ตลอดไปเลย เดี๋ยวท่านตั้งใจนะ รู้จักกระเทียมดองใช่ไหม? ใครทำกระเทียมดองเป็นบ้าง? เขาก็ต้องเอากระเทียมสดใช่ไหม? ใส่น้ำส้มสายชูใช่ไหม? น้ำตาลใช่ไหม? เกลือใช่ไหม? แล้วก็ดองไว้ ดองไว้กี่วัน? ไม่รู้ แต่ดองไว้ก็แล้วกัน สักระยะหนึ่งก็แล้วกัน ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเขาดองไว้นานเท่าไร? ทราบแต่ว่าพอได้ที่ เขาก็จะเรียกมันว่าจากกระเทียมสดใส่ลงไปกี่วันไม่รู้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเรียกกระเทียมสดอีกต่อไป ทุกคนเรียกว่าอะไร? กระเทียมดอง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู พร้อมน้ำตาลและเกลือ และอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ ตามสูตรของแต่ละคน คือจากกระเทียมสด
ถ้าพูดตามภาษาพระคัมภีร์นะ แปลเหมือนกัน แต่พูดภาษากรีกให้ท่านฟังนิดหนึ่ง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกบัพติศมาลงในน้ำส้ม น้ำตาลและเกลือแล้ว ยังหัวเราะอีก ทำไมผมผิดตรงไหน? ก็วันนั้นเราเรียนมาตั้งแต่บทแรกแล้วใช่ไหมว่าบัพติศมาแปลว่าจุ่มลง มุดลง ดำลงไป แต่กระเทียมสดดำลงไปไม่ได้เหรอ ทำอย่างไร? ก็พูดภาษากรีกไงว่า.-
“ฉันจะเอากระเทียมสด บัพติศมาลงไปในน้ำส้มสายชู และน้ำตาล และเกลือ สภาพเดิมที่เรียกว่ากระเทียมสดเมื่อตะกี้นี้ ก็จะหายไป ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งใหม่เรียกว่ากระเทียมดอง”
เห็นไหมบอกว่าให้จำไง เรียกว่ากระเทียมดอง และเมื่อมันถูกเปลี่ยนเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เป็นได้ไหม? ใครสามารถทำกระเทียมดองให้เป็นกระเทียมสดได้ ใครสามารถทำได้ ถ้าทำไม่ได้ คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร มันทำให้กลับไปเป็นที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าจับท่านบัพติศมาลงไป ก็คือพระเจ้า ก็เหมือนเราทำกระเทียมดอง จับเราจุ่มลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ สะอาดหมดจดแล้ว
ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ กลับไปฝึกการทำกระเทียมดองเรื่อยๆ ท่านจะเห็นภาพเอากระเทียมสดมา นึกถึงชีวิตเก่าเรา พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เราก็เหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้
หยิบกระเทียมสดหัวนี้ ใส่ลงไปในโถ น้ำส้มสายชู ตามสูตรของเรา ปิดฝามันไว้เลย เปิดออกมา ฉันให้บังเกิดใหม่กับกระเทียมเม็ดนี้แล้ว ชื่อกระเทียมดอง ไม่ใช่กระเทียมสดอีกต่อไป แล้วมีใครมาเปลี่ยนได้ไหม? ฉันเอง ฉันยังเปลี่ยนไม่ได้เลย มีใครสามารถเปลี่ยนเป็นกระเทียมอื่นได้ไหม? เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”
นี่มันหมายถึงอย่างนั้น อยากให้ท่านเห็นชัดเจนอย่างนี้ จึงพยายามที่จะค่อยๆ ยกตัวอย่าง แล้วก็พูดซ้ำ พูดอยู่ตรงนี้ พูดอยู่แถวๆ นี้ เพื่อให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่มีอะไรทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่สามารถกลับมา แล้วบอกว่า.-
“ฉันไม่เชื่อพระเยซูแล้ว”
พระคัมภีร์จึงบอกในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไรรู้ไหม? บอกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะไม่ทำบาปเลย ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย สมัยก่อนผมมานั่งคิด มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร? ก็เชื่อพระเยซู ก็ยังทำบาปอยู่เยอะแยะ อ๋อ! เขาหมายถึงวิญญาณไง วิญญาณไม่ทำบาปแล้ว แต่เนื้อหนังมันคนละเรื่องกัน มันยังเดินอยู่ด้วยกัน เข้าใจไหม? ถ้าท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วท่านยังทำบาป มันไม่จริง ท่านโกหก คำว่าโกหก หมายถึงท่านทำจากข้างในนะ ทางวิญญาณข้างใน
เพราะฉะนั้น เมื่อคนเป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เขาจะไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะวิญญาณเขาใสนิ๊งเลย ไม่มีบาป ทุกอย่างสะอาดหมดจด ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างของเชื้อบาปที่อยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง รอวันที่จะเปลี่ยนร่างนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกนี้ พระเจ้าเห็นว่างานการบนโลกนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ใช้เราจนครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เอากลับบ้าน ทำไม? เดี๋ยวจะเปลี่ยนอะไหล่ให้ อะไหล่ๆ วิญญาณไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว วิญญาณนิ๊งแล้ว แต่ร่างกายนี้สกปรก เอาทิ้งไปเลย ใช้อันใหม่ดีกว่า ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ลำบาก ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องมานั่งทาสิว ทาอะไรอีกต่อไป สวยงามตลอดชีวิต ก็คือร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราในสวรรค์สถาน
คราวนี้ ท่านลองเปลี่ยนตรงนี้ ท่านลองเปลี่ยนกระเทียมสด เป็นวิญญาณเก่าของท่าน แล้วท่านนึกตามนะครับ วิญญาณเก่าของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป แล้วเปลี่ยนคำว่าจุ่มลงในน้ำส้มสายชู เป็นบัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่ได้รับแทนที่จะเป็นกระเทียมดอง ก็จะเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากบาป แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ ฮาเลลูยา เห็นหรือยัง? ท่านเปลี่ยนแค่นี้เอง ชุบวิญญาณท่านลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขึ้นมาเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับที่กระเทียมสดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือก็ว่าไป เอเมน
กระเทียมดองไม่สามารถกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านได้การรับการสร้างใหม่ ให้บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปได้อีกต่อไปเลย เพราะท่านได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่า.-
“นี่แน่ะ เห็นไหม? มันใหม่ทั้งสิ้นเลย นี่แน่ะๆ Be hold จงมองให้เห็นเถิดว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นได้รับการสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” 2 โครินธ์ 5:17 เอเมน
เพราะฉะนั้น ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกวันนี้นะครับ อยากจะบอกท่านว่าสิ่งเดียวที่พระคัมภีร์ต้องการให้เราทำ สอนเรา ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? พักผ่อน สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น แต่พระเยซูร้องเพลงนี้เลย สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พระเยซูร้องว่า.-
“เธอยังมีฉันอีกทั้งคน เรายังมีหนทางมากมาย ขอให้มั่นใจว่าฉันไม่เคยมาสาย ขอเพียงแค่เธออย่ายอมแพ้มันเสียก่อน” เอเมน
จำได้ไหมเพลงนี้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ท่านจะได้เอาเทปนี้ไปฟัง เอาซีดีนี้ไปฟัง พระเยซูร้องให้ท่านว่ามั่นใจในพระองค์ อดทน เชื่อวางใจในพระองค์ ย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า.-
“ฉันกำลังอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระองค์กำลังนำพาชีวิตฉันไปจนถึงชีวิตนิรันดร์” เอเมน
ย้ำกับตัวเองตลอดเวลาได้ไหม? ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องหัดกินกระเทียมเยอะๆ กระเทียมดองไม่ใช่กระเทียมสด หัดกินกระเทียมดองเยอะๆ เพราะกระเทียมดองมีประโยชน์ เขาว่านะ รักษาสุขภาพ เวลาท่านกิน ท่านจะได้นึกถึงตลอดเวลา เอาขึ้นมาดูก่อนกิน ถ้าตราบใดกระเทียมสด ถูกทำเป็นกระเทียมดองแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว
“ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ฉันก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในตรีเอกานุภาพอย่างนั้นเลย” เปลี่ยนไม่ได้แล้ว
ขอบคุณพระเจ้า สดชื่น พักสงบ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาต่อการบรรยายในซีรี่ส์นี้ครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เรามาเรียนรู้กันต่อนะครับ ในหัวข้อเรื่องนี้
พูดพร้อมกัน “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ลองพูดกับคนข้างๆ สิว่าเขาจำได้ไหม? “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ถามใคร? ต่างคนต่างถามซึ่งกันและกัน เราจะมาเรียนรู้ เราอยากรู้ เราย้ำกันมาหลายครั้งแล้วนะครับว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซู พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตามถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเจ้า พระเยซูตรัสนะครับ ว่าพระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณของพระองค์ จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ซึ่งเรียกกันว่าตีเอกานุภาพ เราเข้าไปเป็นหนึ่ง ในตรีเอกานุภาพ
รวมความ ก็คือเราเข้าไปมีส่วน เข้าไปมีส่วนสามัคคีธรรม มีส่วนในความยิ่งใหญ่ ความล้ำลึก ล้ำค่าสูงสุด คือเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าธรรมชาติของสวรรค์ ธรรมชาติของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนเป็นหนึ่งในนั้นเลย เอเมน สรรเสริญพระเจ้า
และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในตรีเอกานุภาพแล้ว เราก็เลย โดยปริยาย ได้รับความเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากมลทินทั้งปวง ปราศจากความบาปทั้งปวง ได้รับพระสิริของพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์นั่นแหละ ในพระลักษณะนี่แหละ ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่านานานัปการ คือนับไม่ถ้วนนั่นเอง พระพรเยอะแยะมากมายมหาศาล
และครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันถึงประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คน ที่แม้จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณตามที่พระเยซูบอกไว้ เยอะแยะมากมาย แต่ไม่เห็นมีชีวิตที่มีสันติสุข ตามที่พระเยซูบอกเลย ไม่เห็นมีชัยชนะโลก ตามที่พระเยซูบอกเลย ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เลย ตามที่เราได้ทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้ว
และผมก็ได้ยกเอาคำพูดของอาจารย์เปาโลมาเป็นแบบอย่างในตอนนั้นว่าในเรื่องของว่าเปาโลดำเนินชีวิตอย่างไร? ทำไมเปาโลได้สันติสุขนั้น ทำไมเปาโลได้พระพรนานัปการตรงนั้นไปแล้ว เราก็จะเลียนแบบเปาโลใช่ไหมครับว่าเปาโลได้แล้ว เปาโลมีสันติสุขอย่างนั้น เราก็อยากได้เหมือนกัน และวิธีใด ก็คือวิธีทำเหมือนที่อาจารย์เปาโลทำนั่นเอง ท่านได้แล้ว เราก็ทำ ซึ่งท่านเขียนไว้เป็นเคล็ดลับอยู่ในโคโลสี 3:1-4 เราอ่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้นะครับ
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
พูดตามผมนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”
เวลาพูดถึงชื่อของตัวเอง พูดดังๆ แล้วก็ชี้ที่ตัวเองด้วยนะครับ “จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)” ทำไมความคิดของบางคนอยู่ที่หน้าอกล่ะ คิดอย่างไรอยู่ที่หน้าอก
“จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”
“รู้”
พูดกับใคร? พูดกับเจ้าของสมองที่ตะกี้เราชี้นั่นแหละ เข้าใจไหม? พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง บางครั้งต้องบังคับมันนะ มันชอบจดจ่อกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ในนี้เขาบอกให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ อ่านต่อ
“เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว (ไม่ยอมตายกันเหรอ ดังหน่อย) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า จำไว้ รู้ไหม?”
“รู้”
ประเด็นสำคัญ คือให้ใจและความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก นี่คือหัวใจ นี่คือเคล็ดลับ นิดเดียว แต่ทำยากๆๆๆๆ
คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และเราก็อยู่ในนั้นด้วย ในพระคริสต์ด้วย เบื้องบน คือที่ที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และ
“ฉันก็อยู่ที่นั่น ในขณะนี้ด้วย”
ไม่ใช่รอว่าตาย แล้วไปอยู่ตรงนั้น ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หลับตาลง
“ทุกวันนี้ ท่านอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์”
นี่แหละ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ จดจ่อจนกระทั่ง เวลาท่านเกิดอะไรขึ้นก็ตามบนโลกใบนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก จดจ่อแบบเปาโลเลย จดจ่อ 24 ชั่วโมง นึกคิดอะไรปุ๊บ เราอยู่ที่นี่ พอท่านคิด ท่านไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนะ การกระทำบนโลกใบนี้ ที่จะโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากระทบ มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่าง เขาตบหน้าท่านปุ๊บ ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านก็ทำไม? เอาข้างซ้ายให้เขาตบ ไม่ เราก็หลบซะ แล้วก็รีบหนีไปซะ อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ให้เขาตบต่อ อันนั้น อะไรป้องกันได้ ก็ป้องกันไป แต่เราจะไม่เอาปืนมายิงเขาเลย ถูกไหม? เราทำท่าจะโกรธปุ๊บ เราก็ระลึก
“ฉันอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”
แต่ถ้าท่านบอกว่า “ฉันอยู่ในประเทศไทย ฉันเป็นของของประเทศนี้ ฉันเป็นคนไทย ฉันเป็นโน่น ฉันเป็นนี่ ฉันเป็นอะไรก็ตาม อยู่บนโลกนี้ ท่านเสร็จมันเลย นี่ไม่มีสันติสุขแน่นอน ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบชีวิตท่าน ท่านตัดสินใจด้วยตรงนี้แหละว่าท่านอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านชนะ แต่ถ้าท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านแพ้มาร เอเมน ทำได้ไหม? ตอบตรงๆ ทำได้ไหม? ไม่ได้ แต่ก็พยายามทำให้ได้บ้าง แต่ทำให้ครบ มันไม่ได้นะ ก็พยายามที่สุดนะ ก็พยายามกันต่อไป ใช่ไหม?
ใครที่สามารถทำได้ตามนี้ ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามที่พระคัมภีร์ พันธสัญญาของพระเจ้า สัญญาไว้ในพระคริสต์ว่าจะได้รับอย่างนี้ และจะได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยพระพร นานัปการ เต็มไปด้วยความสุขสงบ และเต็มไปด้วยความพอเพียง ทุกอย่าง ไม่ใช่พอเพียงเรื่องการเงินอย่างเดียว พอเพียงทุกอย่าง พอเพียงหมด พอใจแล้ว
“ในพระคริสต์ ฉันพอใจแล้ว”
ซึ่งเป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ที่แท้จริง อย่างที่เปาโลอยากให้พวกเราทั้งหลายมีประสบการณ์ตรงนี้ ซึ่งท่านได้รับแล้ว ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านก็มีความสุข มีสันติสุข ท่านจะอยู่อย่างอดยาก หรืออยู่ในคุกตะราง หรือไปอยู่ในพระราชวัง ท่านมีค่าเท่ากัน คือท่านพอเพียงเสมอ เพราะท่านรู้ว่าต่อให้ท่านอยู่ในพระราชวังนั้น ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านติดคุกอยู่ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรเลย อยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในพระคริสต์ เอเมน จะจนในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ จะร่ำรวยในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นมีอะไรของเราสักอย่าง หรือแม้จะพูดว่าทุกอย่างเป็นของเราก็ได้ แต่แล้วแต่พระเจ้านะ เอเมน เห็นไหมครับ? เคล็ดลับ และเคล็ดที่ไม่ลับ คืออะไร?
เคล็ดที่ไม่ลับ คือที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คืออะไร? อยู่ที่เราอยู่ที่เรากำลังมาเรียนรู้ 4 ตอน คือเรียนรู้ว่าการที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่อย่างไร? เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายลำบาก และไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ได้ มันมองไม่เห็น มันต้องใช้ความเชื่อ ถามว่ามันเชื่ออะไร? เชื่อในที่พระคัมภีร์ พระเยซูบอกไว้ พระเจ้าสอนไว้ว่ามันเป็นอะไร? เป็นอย่างนี้ ตรงไหนบ้าง อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้สอนตามที่ศิษยาภิบาลอยากสอน ไม่ใช่ พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างไร?
“ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ฉันมีความสามารถอย่างไรในพระคริสต์? ฉันมีสง่าราศีอย่างไรในพระคริสต์?”
ตรงนี้ คือเคล็ดไม่ลับ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ที่บอกว่าใช้เวลาหน่อยหนึ่ง นานๆ เลยนะครับ อีกไม่รู้กี่ตอน ซึ่งเรากะกันไว้ว่ากี่ตอนนะคราวที่แล้ว 30 กว่าตอน ตอนนี้เพิ่งไป 4 เอง คิดดูสิ พูดไปเรื่อยๆ ไม่จบตอนนี้แน่ๆ นี่คือเคล็ดไม่ลับ คือต้องเรียนรู้ มาเชื่อพระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ มาเชื่อแล้วต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? ท่านเป็นใคร? เราจะได้รับสิทธิของเราครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ทั้งหมด คือให้รู้ว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์
ทำไมถึงใช้คำว่า “ซ่อน” เพราะมันไม่เห็นชัดๆ ไง ถ้าบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้ทุกคนถูกย้ายเข้ามาอยู่ในวัง อย่างนี้ก็ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย สมมตินะ สมมติเขาใหญ่เป็นวังใหญ่ๆ อันหนึ่ง คนมาเชื่อพระเจ้า เขาก็ย้ายมาอยู่เมืองนั้นหมด เก็บข้าวของออกจากหมู่บ้านที่เราอยู่ ออกไปที่โน่นหมด อย่างนี้ก็ไม่ต้องอธิบาย แต่นี่ไม่ใช่ บ้านก็ยังอยู่เหมือนเดิม สิวที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนที่เจอกัน แล้วยังหมั่นไส้ ก็ยังเหมือนเดิม อาการหงุดหงิดของเราที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม แล้วบอกว่าเราได้ถูกสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มันเชื่อยาก ลำบากมาก แต่มันไม่ยากตรงที่พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเราแต่ละคน ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ฟังบ่อยๆ เขาว่าอย่างไร? อย่างนั้น
คือพูดง่ายๆ ว่าต้องสนใจนั่นเอง สนใจสิทธิของเรา ที่พระเจ้าทำให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์นะครับ
พูดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง “ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? … ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์”
ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องเรียนรู้ … ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้เราเรียนรู้เสมอ ในใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทั้งหลาย ทั้งปวงที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย ที่บอกในพระคัมภีร์ เราก็จะได้รับ ไม่ใช่ “จะ” นะ เราได้รับแล้ว แต่มันจะปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา จริงๆ เราไม่ใช่จะได้รับนะ แต่ได้รับแล้ว แต่เรายังไม่ใช้สิทธิเลยสักทีหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้ว ถ้าเราสนใจมันนะครับ
พระเยซูจึงบอกว่าอย่างไร? ถ้าท่านได้รู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ถูกไหมครับ? ในหนังสือยอห์น 8:31-32 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ?
ยอห์น 8:31-32 “31 ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ 32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
เพราะฉะนั้น เรากำลังสำแดงความรักของเรา คือพระเยซูตรัสว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เรากำลังเข้าไปหา เราเข้าไปเรียนรู้ เพื่อว่าอะไร? เพื่อว่าเราจะได้รู้ความจริงนั้น ไม่ใช่คนนี้พูด ไม่ใช่คนนั้นพูด ไม่ใช่ศิษยาภิบาลพูด ไม่ใช่โลกพูด แต่เป็นพระเยซูตรัส พูดเองในพระคัมภีร์ แล้ววิญญาณจะสอนเรา ถ้าเราเอาจริงๆ จังๆ จะพาเราเข้าไปรู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? และนั่นเป็นความจริง และความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกไว้ ความจริงที่พระเยซูหมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ก็คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือการไถ่บาป ทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ที่พระองค์ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นมโหฬารในโลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละคือสิ่งที่บอกว่าความจริง
ยกตัวอย่างเช่นเกิดอะไรขึ้น พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเราหมดเรียบร้อยไปแล้ว เราพ้นจากบาปเวรกรรมแล้ว เราไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในจำนวนความจริง เห็นไหม?
ความจริงคืออะไร? คือท่านไม่ต้องทำเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว นี่คือความจริง
ความจริงคืออะไร? เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า กลายเป็นลูกของพระเจ้า
นี่คือหนึ่งในความจริงและอีกมากมาย แม้กระทั่งเรานั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่งกับพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ ในที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน นี่ก็อีกหนึ่งความจริงที่เราต้องเรียนรู้ และความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นไท ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง แล้วทำไม? รับรู้ความจริงแล้วทำไม? เชื่อ จริงๆ เราก็ตั้งใจเชื่ออยู่แล้วทุกวันนี้ แต่บางทีเรายังไม่รู้ความจริง เราตั้งใจจะเชื่อ ถ้าเราตั้งใจเชื่อด้วย พอเรารับรู้ความจริง เรารับรู้ความจริง เราเชื่อปุ๊บ เราก็ได้รับตามที่พระเยซูบอกไปทั้งหมด ใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนั้น ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นอิสรภาพ ได้รับอิสรภาพ ได้รับการเป็นไทจริงๆ มีอิสรภาพอย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ใช่ต้องรอว่าเป็นอิสระแล้ว ตายแล้ว ไปสวรรค์แน่ อิสระจากนรก ไม่ใช่ นั่นมันของอีกนาน ตอนนี้เลย พ้นจากนรกเดี่ยวนี้เลย ได้จริงๆ เป็นอิสระจากอะไรต่างๆ ที่มนุษย์ไม่ชอบ ที่เป็นความทุกข์ เป็นความชั่วร้าย
พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงให้อิสรภาพกับเราแล้ว เราเป็นไทแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังทำตัวเหมือนยังอยู่ในคุกอยู่ ยังถูกพันธนาการอยู่ ยังไม่ชอบเชื่อ หรือยังไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูบอกไว้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คริสเตียนหลายคนก็เป็นอย่างนี้
ท่านลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเราเป็นนักโทษ ถูกคุมขังอยู่ในคุก นึกไม่ค่อยออกใช่ไหมครับ? นึกถึงตัวเรานะ แล้ววันหนึ่งผู้คุมก็เอากุญแจมาเปิดประตูออกมา แล้วบอกว่า
“อ้าว! เธอออกไปได้แล้ว ชดใช้โทษแล้วทั้งหมด เป็นอิสรภาพแล้ว ออกไปได้”
นึกถึงภาพนะ เปิดประตูกรงขัง แล้วบอกให้เราออกไป แล้วเราก็ลุกขึ้น แล้วก็บอกผู้คุมว่า
“ฉันไม่ออกหรอก ฉันทำผิดมาตั้งเยอะ ฉันสมควรจะได้รับความทุกข์มากกว่านี้อีก ฉันสมควรจะรับโทษมากกว่านี้ ฉันไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ในคุกนี้ต่อไป”
แล้วก็นั่งลง ประตูก็เปิดอ้าไว้อย่างนั้น เห็นภาพไหม? ตลกนะ คริสเตียนหลายคน ยังเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูบอก พระองค์เอากุญแจมาเปิดประตูคุกให้เราใช่ไหม? ให้เราเดินออกไป เหมือนผู้คุมเมื่อตะกี้นี้ไหม? พระองค์บอกว่าไม่ว่าจะเป็นโทษบาป ความผิดร้ายแรงขนาดไหน? ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งหมดเลย พระองค์ได้ไถ่ให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาไปหมดแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่เลือกที่จะกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม ไม่ยอมเดินออกมา ไม่ยอมรับอิสรภาพของตัวเอง คือพระเยซูทำให้ อย่างครบถ้วน
ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเยซูเน้นย้ำกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ถ้าเราได้รับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ก็แสดงว่าคนที่ไม่ออกมา ไม่ได้ความรับความจริง ถามว่าเขาไม่ได้รับความจริงเพราะอะไร? เพราะถูกโกหกไง มันไม่มีทางที่คนเราจะไม่คิดอะไรเลย อยู่เฉยๆ ไม่มี อยู่ตรงกลาง ไม่มี คือเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าพระเยซูบอกอย่างนี้ บอกเราเป็นไท … ไม่เอา … ถ้าผู้คุมบอกให้เราออกไป เป็นอิสรภาพแล้ว
“ไม่เอา ฉันจะอยู่ ฉันเชื่อนะ แต่ฉันจะอยู่”
มันไม่มี มันไม่มีตรงกลาง คือเรากำลังถูกหลอกอะไรบางอย่าง? เรากำลังเชื่ออะไรบางอย่าง? จากข้อมูลทางโลกนี้ จากมารที่ใส่เข้ามาว่าเราจะต้องทำอะไรอีกบ้าง? ถ้าเรามาเชื่อพระเยซู
“เธอยังไม่พร้อม”
มันจะใส่ที่หูเรา มันจะส่งข้อมูลมาหาเราว่า “เธอเอาอีกแล้ว เธอจะต้องทำอย่างนี้”
อีกแล้วครับท่าน เราก็เลยติดอยู่ที่คุกนั้นอีก แล้วเราก็ไม่กล้าออกมา ในหนังสือโรม 6:6-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ … นี่ก็อีกหนึ่งความจริงในพระคัมภีร์ นี่คือหนึ่งในจำนวนเยอะแยะในพระคัมภีร์ที่เป็นความจริง
โรม 6:6-7 “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”
พระคัมภีร์บอกเราเป็นอิสระจากบาปแล้ว อิสระคืออะไร? อิสระเลย อิสระตลอดไป ไม่ใช่อิสระเข้าๆ ออกๆ ตรงกลาง ไม่ใช่ อิสระตลอดไป
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูใช่ไหม? เชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในเรื่องข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว ก็ให้เราเชื่อในผลของข่าวดีนั้นด้วย หมด ครบถ้วนเลย ข่าวดีนั้น เกิดประโยชน์อะไรให้กับชีวิตของเราบนโลกใบนี้บ้าง? เอาเลยๆ เอาทั้งหมด ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พระเยซูทำให้เรามีสิทธิ์ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอีกนะ พระเยซูไม่ต้องทำอีกแล้ว เพียงแต่เราไปรับสิทธิ์ของเรา เชื่อในสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ของเรา ที่พระเยซูทำให้ และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้วในพระคริสต์นั้น การมาเรียนรู้เรื่องนี้ ก็คืออย่างนี้ว่ามาหาผลประโยชน์ในนี้ มาหาประโยชน์ในนี้ มาหาสิทธิของเราในนี้
ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น ถึงเรื่องนี้ ถึงเรื่องสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ว่าทำไมสิทธินี้เป็นอย่างไร? ท่านเห็นว่าให้เห็นลักษณะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นแบบโลกใบนี้ ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าอยู่ในพระคริสต์ทางวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเรา รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลยนะครับ
ผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งนะครับ หลายคนในที่นี่ก็เคยเดินทางโดยเครื่องบิน เดี๋ยวนี้เครื่องบินเขาบินกันแบบว่าเล่นเลยนะครับ แล้วเวลาจะเดินทางไปไหน? ผมก็จะบอกใครๆ ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าผมจะบินไปนิวซีแลนด์ เดือนหน้าจะบินไปฮ่องกง ถูกไหม? เราก็จะพูดกันติดปากว่าเดือนหน้าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ ถามว่าผมบินไปจริงๆ ไหม? ผมต้องไปหาปีกมาใส่เหมือนนกไหม? เริ่มหัดบิน ผมจะไปฮ่องกงแล้ว ต้องทำไม? พูดพร้อมกัน ต้องทำไม? ไม่ต้อง ฟังให้ดีๆ นะ ไม่ต้อง ผมไม่ต้องใช่ไหม? ไม่ต้องเตรียมตัวที่จะทำให้เหมือนนก แล้วจะบินนั้น แต่ผมกำลังบอกว่าผม … ด้วยความเชื่อ ผมกำลังจะบินไปฮ่องกง บินมาจากออสเตเรียแล้ว ตอนนี้จะบินไปฮ่องกง เป็นว่าเล่นเลย ผมจะบินไปที่ต่างๆ ด้วยวิธีการที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในไหน? อยู่ในเครื่องบินถูกไหม? ผมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แทนที่จะติดปีก ผมก็เดินทางไปที่สนามบิน แล้วเอาตัวเองเดินเข้าไปอยู่ที่ในเครื่องบิน ถูกไหม?
ให้พูดพร้อมกัน “ในเครื่องบิน”
ใช่ไหม? ผมเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แล้วผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ผมก็กำลังทำที่ผมบอกท่าน ผมกำลังบินไปฮ่องกง แค่ผมเอาตัวผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ผมก็กำลังบินอยู่ ขณะที่ผมนั่งอยู่ในเครื่องบินนั้น กฎทางด้านฟิสิกส์ กฎทางด้านเครื่องยนต์ กลศาสตร์ กลไกต่างๆ ก็จะทำให้เครื่องบินสามารถบินได้ อยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก หรือแรงโน้มถ่วงของโลก
ปกติธรรมชาติ บนโลกใบนี้ เขามี เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ กฎแรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่าGravity กฎแรงโน้มถ่วง หรือกฎดึงดูดของโลก คือดึงดูดวัตถุอะไรต่างๆ ลงมาบนโลกหมด เขาเรียกว่ากฎของการดึงดูด แต่ที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาใช้กฎหนึ่งพิเศษ ซึ่งชนะกฎของธรรมชาติในการดึงดูด คือกฎแห่งการยกขึ้น วิ่งเร็วๆ ทำปีกกินลม อะไรต่างๆ ว่าไปนะ ใครทำกฎนี้ก็ตาม ก็จะสามารถชนะกฎของธรรมชาติ มันก็ชนะกฎของการดึงดูด เครื่องบินก็เลยสามารถขึ้นไปบินอยู่บนอากาศ ทั้งๆ ที่มีแรงดึงดูดของโลกยังดึงดูดอยู่ไหม? ยังอยู่ แต่มันแพ้แรงของกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ทำให้ผมสามารถบินขึ้น ลอยขึ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทรได้ พอเห็นภาพไหมครับว่าผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นอะไร?
กฎธรรมชาตินั้น มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะว่ามีแรงดึงดูดของโลกอยู่ วัตถุออกไปก็ตก แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เราจึงใช้คำว่าบินไปโน่น บินไปนี่ เพราะเครื่องบินใช้กฎ เครื่องบินคืออะไร? เครื่องบิน คือเครื่องที่ใช้กฎแห่งการยกขึ้น ซึ่งมีกำลังพัฒนาขึ้นมาเหนือกฎแห่งการดึงดูดของโลก เหนือธรรมชาติ
ในทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน นี่กลับมาทางวิญญาณนะ ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย ถูกไหม? นี่คือกฎธรรมชาติ เกิดออกมาจากท้องแม่ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ไม่รู้ผู้หญิงผู้ชาย ไม่รู้ว่าทำดีหรือไม่ดีไม่รู้ เดินออกไประเบียงชั้นหนึ่ง ตกมาไหม? ตก บำเพ็ญเพียรไปถึงอีก 50 ปี เดินมาที่เดียวกัน ตกไหม? ตก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มันอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด ถูกไหม? ถูก จนกว่าจะมีกฎอะไรบางอย่างที่มาช่วยเขา ทำให้เขาไม่ตกลงมา
มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย เป็นธรรมชาติ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ในพระคริสต์นี้ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป เหมือนไหม? ท่านไปอยู่ในเครื่องบิน … เครื่องบินมีกฎที่อยู่เหนือกว่าแรงดึงดูด แรงดึงดูด … ดูดท่านไปอยู่พื้นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์นั้น กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ใช่ไหม? ทำให้ท่านมีชัยชนะอยู่เหนือ กฎของความบาปและความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว ถามว่าแล้วกฎความบาปและความตาย ยังมีอยู่อีกไหม? มีหรือไม่มี? ตอบพร้อมกัน มีหรือไม่มี? มีอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องเครื่องบิน เราออกไป เราก็ตก ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด และมนุษย์อยู่ในความบาป ไม่มีทางที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่งเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น เห็นภาพหรือยัง? กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่เราอยู่นี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์” หรือ “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” จำเพลงนี้ได้ไหม?
ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู
ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู
เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู
ได้ทำให้เรา พ้นจากบาป และความตาย … เอเมน
โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย“
ถ้าเราเปรียบเมื่อตะกี้นี้ สมมติแต่งสดเลย “เพราะว่ากฎแห่งการยกขึ้น ในเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ ได้ทำให้เราบินไปโน่นและไปนี่ ลอยอยู่บนอากาศได้”
เหมือนกันไหม? เพี้ยน ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นผมร้องเพลงแบบนี้นะ สุดๆ พยายามอธิบายสุดๆ เลย ร้องเพี้ยนก็เอา
ถามว่าเวลาท่านจะบินไปไหนมาไหน? ท่านก็ต้องทำอะไร? คือหาวิธีใช่ไหม? คือไปซื้อตั๋วเครื่องบินใช่ไหม? หาเงินไปซื้อตั๋วเครื่องบินอย่างนี้ ถูกหรือเปล่า? แต่ท่านไม่เคยพยายามอย่างที่ผมบอก ไม่เคยพยายาม ใครบอกจะไปฮ่องกง ทำอย่างไร? ออกกำลังกายใหญ่เลย หรือไม่มีใครเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วบอกว่า.-
“เหนื่อยมากเลยวันนี้ บินเมื่อยแขนมากเลย”
มีใครไหมที่บินไปต่างประเทศ แล้วบอกว่า.-
“เมื่อยแขนมากเลย ทั้งวันทั้งคืนเลย”
มีใครทำอย่างนั้นไหม? ไม่มีเห็นไหม? เพราะว่าเขารู้ เขาเชื่อว่ากฎนี้มันชนะ โดยออโตเมติก ถูกไหมครับ? เพียงแค่อะไร? เพียงแค่เอาตัวไปนั่งในเครื่องบิน แล้วก็เชื่อวางใจในกฎที่เครื่องบินกระทำให้ และวางใจในกัปตันของเครื่องบิน คือนักบิน ว่าเขาสามารถจะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราทำแค่นี้เอง ถูกไหม? เราทำแค่นี้เอง เราวางใจ วางใจในกฎของการยกขึ้น และวางใจในคนขับเครื่องบิน แค่นั้นเอง เช่นเดียวกัน เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ พระสัญญาของพระองค์บอกว่า.-
“ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ท่านได้เป็นขึ้นใหม่แล้วกับพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงที่ไม้กางเขนกับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว”
นี่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเองนะ เอเมน ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เหมือนที่ตะกี้นี้ขึ้นเครื่องบิน ไม่ต้องพยายามกางแขนบินๆ ท่านเชื่อในพระเยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูทำให้กับท่าน พระเยซูทำให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่เชื่อและวางใจว่าพระองค์จะทรงนำพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสวรรค์สถาน ชีวิตนิรันดร์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ได้อย่างแน่นอน เหมือนที่เรานั่งบนเครื่องบินนั่นแหละ
คริสเตียนหลายคนที่ยังไม่สามารถพบกับสันติสุขได้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังพยายามที่จะทำตัวเอง ยังพยายามที่จะทำด้วยตัวเองอีก กลายเป็นว่า.-
“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำดีมากขึ้นอีก”
ฟังนะครับ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องทำทุกอย่างให้พระเจ้ารัก ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องรักษาบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงฟ้องผิดอยู่เสมอ เมื่อทำบาป”
สมัยก่อนฟ้องผิดน้อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ อยู่ในพระคริสต์ พอทำบาป ยิ่งกลัวใหญ่เลย ใช่หรือไม่ใช่
“ฉันอยู่ในพระคริสต์ วันอาทิตย์ต้องมาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ฉันรู้สึกผิดบาปมากเลย”
ไม่ใช่พูด เพื่อให้ท่านไม่มาโบสถ์นะ ไม่ใช่นะ อย่าถือโอกาส เห็นไหม? ถูกไหม?
“ในพระคริสต์ ฉันขึ้นแท็กซี่ วันนั้นเหนื่อยจะตาย แต่ฉันก็ต้องพยายามฝืนตัวเอง ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนขับแท็กซี่ เพราะว่าเขาสอนฉันว่าฉันต้องประกาศ ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา”
ใช่หรือไม่ใช่? แล้วมันเป็นอย่างไร?
“ฉันเชื่อในพระคริสต์”
แล้วอย่างไรต่อไป “ฉันต้องทำโน่น ทำนี่ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าไม่รักฉัน … ถ้าฉันไม่ถวายสิบลด พระเจ้ารักฉันไหม? ไม่รัก ฉันจะไม่ได้รับพระพร”
คือพระเจ้าไม่รัก ถูกไหม? ได้ยินคุ้นหูเลย ถ้าท่านไม่ถวายสิบลด ท่านจะไม่ได้รับพระพร ใครบอก พระพรมันได้ไปแล้ว หมดแล้ว จะมาเอาพระพรอะไรอีกล่ะ ตอนนี้อยู่ที่เราจะรู้ความจริงหรือไม่? เราจะเป็นอิสรภาพหรือไม่เท่านั้นเอง ให้ท่านถวาย ก็เพียงแต่ทำให้ท่านลดกิเลสตัณหาลง ทำให้ท่านไม่โลภ ทำให้ท่านล่ะความคิดจดจ่อกับโลกนี้ มาจดจ่อที่พระเจ้า ในสวรรค์สถานที่เบื้องขวาที่ท่านนั่งอยู่ ท่านจะได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองตรงนั้นเลย แล้วมาจากไหนล่ะ? ไม่รู้ เสียงแว่วมา แถวๆ ไหนไม่รู้ มันเข้าหูเรา เหมือนเมื่อตะกี้นี้บอก เธอยังไม่หมดบาปหรอก เธออยู่ในคุกต่อไป นายทวารมาเปิดประตู เราก็ไม่ยอมออกไป เพราะเราได้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งมาว่าเรายังไม่หมดเวรหมดกรรมนั้น เห็นไหมชัดไหม? ชีวิตอย่างนี้ มันก็เลยเหนื่อยเห็นไหม? มันไม่ได้อิสรภาพตามที่พระเยซูบอกจริงๆ
เพราะอะไร? เพราะพระเยซูพูดไม่จริงหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราถูกหลอกไง หลอกเพราะความเชื่อเก่าๆ หมายถึงวิถีทาง ชีวิตของเราตั้งแต่เด็กมา หลอกเพราะอะไร? เพราะสิ่งรอบข้าง หลอกเพราะอะไร? เพราะเราไม่สนใจในการที่จะไปเรียนรู้ว่าพระเยซูพูดอะไร? ในพระคริสต์เราเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจก็ตาม เราก็ต้องเข้าไปศึกษา แล้วเข้าไปเรียนรู้ และต้องเชื่อตามนั้นให้ได้ แล้วก็ฝึกฝน มันก็จะไม่เหนื่อยและได้พบกับสันติสุข ได้พบกับความสงบสุข อย่างที่พระเยซูคริสต์พูดอย่างแท้จริงในชีวิตนี้
อย่างตัวอย่างเมื่อตะกี้ที่เปรียบเทียบการอยู่ในเครื่องบินกับการอยู่ในพระคริสต์ มีอะไรที่แตกต่างกันพอจะนึกออกไหมครับ มีอะไรแตกต่างกัน นึกนะครับ
[1.] คือการที่ท่านจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบินได้ ท่านต้องทำอะไรหลายอย่างมากเลย ตั้งแต่ทำตั๋วพาสปอร์ต ซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า ไปบางประเทศนะครับ ต้องจัดกระเป๋า แต่การได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เชื่อลูกเดียว ถูกไหม? นี่แหละเขาเรียกว่า.-
“พระคุณพระเจ้า นั่นแสนชื่นใจ ช่วยได้ คนชั่วอย่างฉัน”
รู้ไหมว่าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Amazing Grace มันยิ่งกว่าอัศจรรย์มากมายนักเลย ไม่ใช่พระคุณเฉยๆ พระคุณ อัศจรรย์มากมายหลายประการที่ช่วยฉันรอดพ้นจากความบาปเหล่านั้น
[2.] คืออะไร? คือแม้ท่านจะได้เข้าไปนั่งในเครื่องบินแล้ว เชื่อวางใจในนักบินแล้ว แต่โอกาสที่ท่านจะไปถึงปลายทางที่ท่านตั้งใจไว้ ได้ 100% ไหม? ไม่ร้อย ท่านจะมีโอกาสไปไม่ถึงปลายทาง มีไหม? แม้ว่าจะมีน้อยก็ตาม มี เครื่องบินตกไง มีใช่ไหม? มี แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม แต่สำหรับการอยู่ในพระคริสต์ รับรอง 100% ว่าท่านได้ไปถึงจุดปลายทางตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน เอเมน หลับๆ ตื่นๆ … ตื่นๆ หลับๆ มันก็ถึง ถูกไหม?
เวลาผมไปต่างประเทศ ผมชอบมากที่สุด คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือก่อนขึ้นเครื่องบิน เข้าห้องน้ำ ทำธุระอะไรเสร็จหมดทุกอย่าง ให้เรียบร้อยเลย แล้วอย่างไรรู้ไหม? พอขึ้นเครื่อง ถึงเวลาอาหารไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่กินอาหารแล้ว นอน เพราะมันเป็นความสบายที่สุด อาหาร คือถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย เพราะกินมันผะอืดผะอม เวลาก็เปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน แต่ถ้าบางคนโอเค ก็แล้วแต่นะ แต่สำหรับผม … ผมเตรียมตัว ผมอยากนอนที่สุด เพราะรู้สึกสดชื่นเมื่อได้หลับและตื่นขึ้นมา เมื่อถึงที่แล้ว ถึงที่ในที่นี่ หมายถึงถึงที่หมายนะครับ ไม่ใช่ถึงที่ แบบภาษาไทยนะ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ ตื่นมาถึงที่แล้ว หมายถึงถึงที่หมาย สมมติไปฮ่องกง ตื่นมา เครื่องบินก็จะลงแล้ว สบาย ไม่ต้องไปทรมานอยู่บนเครื่อง ถูกไหม? หลับ อ้าว! ถึงแล้วเหรอ สดชื่น แข็งแรง
แต่มีบางคน ทำไมรู้ไหม? ขึ้นไปถึงเก็บโน่นเก็บนี่ ดูทีวี ดูไอโฟน ฯลฯ เหนื่อย นี่บางคน เขาอาจจะชอบอย่างนั้น ไม่ได้นอน หันไปโน่น หันไปนี่ วุ่นวายไปหมด นั่นบางคนนะ นี่บางคนอาจจะเป็นอย่างนี้นะ แต่จริงๆ คงไม่มีหรอก คืออาจจะเดินไปถึงถามแอร์ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว เมื่อไรจะถึง เครียดไหม? สมมติมันบิน 8 ชั่วโมง
“ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเนี้ย”
พอเสร็จ “อ้อ! เหลืออีก 4 ชั่วโมง”
อีกชั่วโมงหนึ่งผ่านไป “ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ผมมองไปหน้าต่างไม่เห็นอะไรเลย เมื่อไรจะถึง”
นี่เปรียบเทียบกับชีวิตของเราบนโลกใบนี้ มันจะอย่างนี้ไหม? เราหงุดหงิด อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ดั่งใจ อันนี้ไม่ได้ดั่งใจ เหมือนไหม? เหมือนคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน วิ่งไปเคาะห้องนักบิน
“บินดีๆ หน่อยนะ ระวังหน่อย ผมคาดว่ามันคงจะมีตกร่องหลุมอากาศ พายุมาหรือเปล่า เพราะผมนั่ง แล้วมันสะเทือน มันแปลกๆ ผมเลยมาดู”
มีไหม? ไม่น่าจะมีเนอะ แต่ชีวิตจริงๆ ในการเป็นคริสเตียน มันมีถูกไหม? เราไม่เชื่อในกัปตันของเรา กัปตันกำลังพาเราไป เราอยากได้อย่างนี้ ก็พอกันกับอะไร? ก็พอกันกับว่าเราไปบอกนักบิน
“นี่ กัปตันๆ บินช้าหน่อยสิ เดี๋ยวมันไม่ปลอดภัย ผมเห็น ให้รัดเข็มขัด แสดงว่ามีพายุ … พายุมาต้องเบาหน่อย อย่าเร็วไป”
ถูกไหม? ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติสุขเลย แล้วก็นั่งบนเครื่องบิน แล้วก็เหงื่อแตกไป กลัว กลัวโน่นกลัวนี่
“สะเทือนอีกแล้ว ทำไมมันมืดล่ะ ไม่เห็นสว่างสักที แล้วเกิดน้ำมันหมด ทำอย่างไร? แล้วเกิดเครื่องบิน เครื่องมันเสีย ดับเครื่องหนึ่งทำอย่างไร? เกิดมันจะลง ล้อมันหายไปอันหนึ่ง ทำอย่างไร?”
มันคิดไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุด เครื่องบินก็จอดที่ฮ่องกงอย่างเรียบร้อยหมดเลย แล้วที่เครียดมาทั้งหมดนั้น ฟรีหมดเลย ให้ฟรี ได้ฟรีไปเลย คือไม่ได้พักผ่อนเลย คริสเตียนก็จะเป็นอย่างนี้แหละ
ในที่สุด ก็ไปสวรรค์ แต่ก่อนไปสวรรค์ อยู่เหมือนนรกเลย วุ่นวาย อยู่ในพระคริสต์วุ่นวายไปหมดเลย เครียดอันโน่น เครียดอันนี้ ก็พระคริสต์บอกแล้วว่าอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุด เราเชื่อไหมพระเจ้าทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ? คืออย่างน้อยที่สุด ไม่ได้เชื่ออะไรมากมายเลยนะ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เมื่อมาเชื่อพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ต้องรู้และต้องเชื่อว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ที่เราร้องว่า.-
“พระเจ้ายิ่งใหญ่”
ถูกไหม? ตัวนี้เอามาใช้สิ เมื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ก็มอบไว้ที่พระองค์เลย พระองค์ทรงควบคุมทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้แน่ๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ แต่มันต้องดีแน่นอน เพราะพระองค์สัญญาไว้ว่ามันดี ถึงที่หมายแน่ เอเมน ยังไงถึงฮ่องกงแน่ ถึงที่หมายแน่ๆ ฝากไว้เลย พระองค์นำพาท่าน ต่อให้มีพายุมา ทำท่าเหมือนจะหล่นตกพื้น เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่ก็แล้วกัน อย่างนี้มันก็มีสันติสุข ถูกไหม?
เราต้องเอาชีวิตเราฝากและวางไว้ที่พระเจ้า พระเยซูจึงสอนเรา ให้เราอธิษฐานอย่างนี้
“พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์ พระนามเป็นที่สรรเสริญ
ขอสวรรค์ลงมา ให้น้ำพระทัยสำเร็จ บนโลกนี้
เหมือนกับดั่งอยู่ในสวรรค์”
ใช่ไหม? แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมหมดทุกอย่าง
“ขอโปรดประทาน อาหารประจำวัน
ขออภัยบาปของข้า เหมือนข้า อภัยให้ผู้อื่น
โปรดอย่านำข้า เข้าในการทดลอง
แต่โปรดช่วยข้าจากสิ่งชั่วร้าย”
แล้วต่อไป ร้องต่อไปว่าอย่างไร? ที่อธิษฐานมาทั้งหมด เพราะว่าอะไร? เพราะว่า.-
“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ
เป็นของพระองค์ นิรันดร์”
“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ
เป็นของพระองค์ นิรันดร์ อาเมน”
คร่อก! … หลับสบาย
พระเยซู พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลับสบาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ นึกภาพทั้งหมด ให้นึกว่าเรากำลังอยู่บนเครื่องบินแล้วกัน ลำนี้ ขอบคุณพระเจ้า ท่านขึ้นถูกลำแล้ว ลำนี้ไม่ได้ซี่ซั้วลงที่ทะเลที่ไหน? ลำนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แน่นอน เพราะว่ากัปตันมีนามว่าเยซูคริสต์ ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องจ่ายตังค์ ทุกอย่างฟรีหมด ใช้ความเชื่อ เข้ามาเลย นี่เขาเรียกว่าข่าวดีไง อย่างนี้ไม่ว่าข่าวดีเหรอ ไม่ต้องจ่ายสักอย่างเลย เข้ามา แล้วทำไม? ทำตามบทเพลงนั่นแหละ แล้วก็คร่อกๆ หลับไปเลย เดี๋ยวพอถึงที่หมาย ทูตสวรรค์จะมาเรียกเอง
“ถึงแล้วครับ”
“ถึงไหน?”
“ในสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์สถานกับพระองค์”
เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ กำลังหลับ มันจะตกหลุม ตกร่องบ้าง เครื่องบินนะ ตกร่องอากาศบ้าง มันจะชะเวิบชะวาบบ้าง มันจะสะเทือนบ้าง ห้องน้ำจะเล็กๆ ไม่เหมือนอยู่ข้างล่างบ้าง แปรงฟันยากหน่อยหนึ่ง ห้องน้ำนิดเดียว หรืออะไรต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน อดทนหน่อย แป๊บเดียวเอง ก็ใช้มันให้น้อยหน่อยสิ หลับซะส่วนใหญ่สิ เดี๋ยวมันก็ถึง
นี่คือเอามาเปรียบเทียบให้ท่านดูว่าเราควรจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร? ทุกอย่างเลยนะ รวมหมดเลย ทุกเรื่องในโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระองค์หมด ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ลูกเต้า ไม่ว่าจะเรื่องปัญหา เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเรื่องของการงานที่ทำอยู่ มันบีบรัดเหลือเกิน อะไรแล้วแต่ ทุกปัญหาที่อยู่บนโลกใบนี้ วางไว้ที่ข้างๆ ซะ รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มี มีอยู่
“แต่ฉันจะนอน เข้าใจไหม? ฉันจะหลับแล้ว”
แล้ววิธีกินยานอนหลับ คืออะไร? คือเพลงเมื่อตะกี้นี้ ร้องเข้าไปสิ แม้ว่าจะร้องเพี้ยนก็ร้องได้ อธิษฐานเข้าไปสิ
“พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”
คือร้องเรียกทั้งหมดนี้เลยนะ พระบิดา ก็คือเราเป็นลูกแล้ว พูดบ่อยๆ เรารู้ เรามั่นใจ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว
“ขอให้โลกนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”
เห็นไหม? ไม่ได้เป็นไปตามใจเราเลย หมายถึงเป็นไปตามพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามเรา ขอให้เป็นไปตามพระองค์
“ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน”
แค่นั้น ขอทรงโปรดประทานอาหาร อย่าให้มันอดยาก นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว
“ช่วยเราที่จะดำเนินชีวิต อภัยให้กับคนอื่นได้ และขอช่วย โปรดอย่าพาเราเข้าไปในการทดลอง”
ประเภทหวาดเสียว หลุมอากาศเยอะๆ ไม่เอาๆ แต่ก็ขอเป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ ถ้ามันต้องเอา ก็หยวนน่า แล้วแต่พระองค์ ขอทรงประทานกำลังให้ลูกทนได้ก็แล้วกัน เพราะว่าทั้งหมดนี้ เป็นอะไร? เพราะว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง ฤทธิ์อำนาจก็เป็นของพระองค์ ฤทธิ์เดชทุกอย่างก็เป็นของพระองค์ เพราะฉะนั้นลูกหลับแล้ว จบ เอเมน
************************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015 เรื่อง “พระคุณของแม่” โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015
เรื่อง “พระคุณของแม่”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ก็เป็นพิเศษ เป็นคำบรรยายวันแม่ ถ้าถามพวกเราทุกคนว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักของใคร? ตอบสิ? ความรักของใครยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลเลย … ต้องเป็นความรักของพระเจ้า ถูกไหมครับ? เป็นความรักของพระเจ้า … ความรักของพระเจ้า เป็นความรักของผู้ที่ให้กำเนิด เป็นความรักของผู้ที่เป็นผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิด เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ หรือให้กำเนิดมนุษย์ พระองค์จึงทรงรักมนุษย์ทุกคน
และที่บอกว่าความรักของพระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุดนั้น ก็เพราะความรักของพระเจ้าเป็นความรักแบบที่ไม่มีเงื่อนไข พระคัมภีร์บอกไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขาด้วยตัวพระองค์เอง จะทำตัวไม่น่ารักอย่างไรก็ตาม จะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม จะผิดบาปอย่างไรก็ตาม จะกบฏต่อพระองค์อย่างไรก็ตาม จะว่าพระองค์อย่างไรก็ตาม จะไม่เชื่อฟังอย่างไรก็ตาม แต่ความรักของพระองค์ คือพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลายนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิด ที่เราเรียกความรักในลักษณะอย่างนี้ว่าความรักแบบอากาเป้
พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “ความรักแบบอากาเป้” ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มีความรักแบบนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถ้าไม่นับความรักของพระเจ้านะ สมมติว่าตอนนี้เราไม่นับความรักของพระเจ้า ท่านคิดว่าความรักของใครใกล้เคียงกับความรักของพระเจ้ามากที่สุด? ตอบเลยครับ? ความรักของใครใกล้เคียงกับความรักแบบอากาเป้มากที่สุด เท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้เลย ใครครับ? แม่ … แม้กระทั่งพ่อที่นั่งอยู่ที่นี่ยังบอกแม่เลย คิดดูแล้วกัน ก็คือความรักของแม่ เพราะว่าความรักของแม่เป็นความรักเดียวกันกับพระเจ้า คือเป็นความรักของผู้เดียวในมหาจักรวาล คือเป็นความรักของผู้ให้กำเนิด ผู้สร้างเหมือนกัน
ความรักของแม่ หรือความรักของผู้ให้กำเนิด เป็นความรักที่มีเยื่อใย สายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง ตัดกันไม่ขาด สายเลือดจริงๆ ตัดกันไม่ขาด เป็นความรักในลักษณะเดียวกับความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ตัดได้อย่างเดียว คือสายสะดือ แต่ความรักตัดกันไม่ได้ เยื่อใยตัดกันไม่ได้ ส่งให้แล้ว ผ่านทางครรภ์นั้น
และตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรู้จักเรา และทรงรักเราตั้งแต่ก่อนเกิด … พระคัมภีร์บอกอย่างนั้นนะครับ ถามว่าพระเจ้าแล้ว มีใครไหมครับที่รักเราตั้งแต่ก่อนเกิด คิดให้ดีๆ นอกจากพระเจ้ารักเราก่อนเกิด มีใครไหมที่รักเราก่อนเกิด ตอบ … มี … ต้องตอบว่าแม่และพ่อ แต่จริงๆ แม่สำคัญกว่า เพราะแม่ต้องรู้ตัวเองว่าเราต้องตั้งท้องเขา
ถามว่าตอนที่รู้ว่าจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง? ยัง ถูกไหม? รู้ว่ากำลังจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง? ยังไม่ได้ตั้ง แต่ใจไปแล้ว รักเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่า.-
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครก็ตามที่มาอยู่ในท้องนี้ ฉันรักเขาเป็นลูก”
นี่แหละเขาเรียกว่าก่อนเกิดไง? ใช่ไหม? 9 เดือนที่แบกอยู่ในท้อง ไม่ใช่เรื่องแบบหมูๆ นะ พูดเหมือนกับผมเคยแบก ไม่ใช่ง่ายๆ เลย ถ้าไม่รู้ ให้เราลองแบกลูกแตงโม ลูกหนึ่งได้ไหม? ต้องเกินเนอะ ลูกใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง ให้แบกสักวันหนึ่ง ลองดู ใครก็ตาม คนที่เป็นพ่อ ลองแบกดู หรือใครที่เป็นลูก ลองแบกดู วันเดียวพอ นี่ 9 เดือนคูณไปกี่วัน 9×30 = 270 วัน แบกท้องไว้
คนเป็นแม่ต้องมีความอดทนขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ต้องลำบากขนาดไหนที่ต้องแบก ไม่ใช่ลูกแตงโม แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ความหนักประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ความหนักอย่างเดียว แต่มีสื่อ มีอะไรต่างๆ ออกมา ทั้งแพ้ ทั้งอะไรต่างๆ วุ่นวายหมด ต้องระมัดระวังตัว เพราะกลัวว่าลูกจะพลอยได้รับผลเสียไปด้วย ถ้าเราทำอะไร แต่แม่ก็ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกที่อยู่ในท้อง เพราะตั้งใจแล้ว เพราะรักไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะท้อง ถูกไหม? เพราะความรักลูก ที่มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด เหมือนที่พระเจ้ารักเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก นึกออกใช่ไหม? เรา … แม่ก็รักเขาก่อนที่จะสร้างบ้านอีก เริ่มจากบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คือในครรภ์ของเรานั่นแหละ บ้านเริ่มต้นนั่นแหละ จนกระทั่งคลอดออกมา หาเปล หาอะไรต่างๆ เราเตรียมไว้แล้ว บางคนไปดูห้างสรรพสินค้า ซื้อของมายังไม่ทันได้ท้องเลย นึกออกใช่ไหม? ยังไม่ทันท้องเลย ซื้อโน่นซื้อนี่ ปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นผู้ชาย ซื้อของเป็นผู้หญิงหมดเลย เคยได้ยินใช่ไหม? อะไรประมาณนั้น ก็เอาของผู้หญิงไปเปลี่ยน เป็นผู้ชายมา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนเด็กนะ ไปเปลี่ยนของ
นี่แหละเป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า และเหมือนจริงๆ เลย และมีเพศเดียวที่เป็นอย่างนี้ เราพูดกันอยู่เสมอว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าไม่รัก ถูกไหมครับ? พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าบอกไม่รัก เช่นเดียวกัน ไม่มีพ่อแม่คนไหนเลยที่ไม่รักลูก 100% ฟังวันนี้จบ ท่านจะรู้เลยว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น หลายคนอาจจะคิดแย้งในนี้ ตอนนี้ หรือเคยได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรบางอย่าง แต่ไม่มี อิสยาห์ 49:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้
อิสยาห์ 49:15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ”
สรุปแล้ว คือไม่ได้นั่นเอง นี่พระเจ้าตรัสนะ
พระเจ้าบอกว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ?”
พูดสรุป ก็คือไม่มีทางใช่ไหม? พระเจ้ากำลังพูดกับเราอย่างนี้ “ไม่มีทาง”
แต่เพราะคนเป็นแม่ยังเป็นมนุษย์ เป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ
พระเจ้าบอกความจริงให้เรา “ไม่มีทางหรอก แม่ไม่มีทาง เขาจะไม่รักลูกของเขาหรอก ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย”
แต่เป็นเพราะแม่ของเรา เป็นแม่ที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นบาป และตราบใดที่ยังมีสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนัง ก็ยังคงอยู่ในความบาป ใช้ชีวิตอยู่กับความบาป ความบาป ทำให้มนุษย์อ่อนแอ จึงไม่สามารถสำแดงความรัก หรือกระทำได้ตามอย่างที่ตัวเองอยากได้ คือรักเขาและอยากจะทำอย่างนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้ารักมนุษย์ และพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง เพราะพระองค์ไม่บาป เข้าใจใช่ไหมครับ? เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? เพราะพระเจ้าไม่มีบาป ไม่มีความอิจฉาริษยา ถูกไหมครับ พระเจ้าไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ ความรักของพระองค์จึงมั่นคง ไม่มีเปลี่ยนแปรปรวน ไม่มี และสำแดงความรักมั่นคงนั้น ให้กับมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมดเลย ยุติธรรมเลย พอเห็นภาพไหมครับ? เทียบพระเจ้ากับมนุษย์ที่เป็นแม่ จริงๆ มันเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่มนุษย์อ่อนแออยู่ในความบาป แม่ที่เป็นมนุษย์ บางครั้งก็อาจมีบ้าง หรือไม่ต้องบางครั้ง หลายครั้งมีบ้าง ก็คือที่จะไม่สามารถที่จะรักลูกของตัวเองได้ ตามที่ตัวเองอยากจะรักอย่างนั้น ข้างในมันอย่างหนึ่ง แต่มันทำไม่ได้ ก็เพราะอะไร? ก็เพราะแม่อ่อนแอเหลือเกิน เพราะแม่เป็นมนุษย์ แม่เต็มไปด้วยความบาป อ่อนแอ มันทำไม่ได้ จริงหรือไม่จริง? ดังๆ เลย จริงหรือไม่จริง? แม่ต้องพูดเลยว่าจริง
เราทำไม่ได้ เราอยากจะทำให้ดีกว่านี้ แต่เราทำได้แค่นี้เอง เพราะความบาปที่อยู่ในตัวแม่ หรืออยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์อ่อนแอ ทำให้แม่อ่อนแอ เช่นพออารมณ์เสียขึ้นมา เกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ความรักก็เริ่มหวั่นไหว ถูกหรือไม่ถูก? ไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ ตามสถานการณ์รอบข้าง ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักให้มันมั่นคง เหมือนที่พระเจ้ารักได้ ทั้งๆ ที่อยากจะทำ ไม่สามารถรักลูกตัวเอง เหมือนที่พระเจ้ารักมนุษย์ได้
นี่คือสัจจธรรมทำความเป็นจริง พระคัมภีร์พาเราให้เห็นถึงความเป็นจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจในการดำเนินชีวิต มันทำไม? เราถึงตอบปัญหาได้ ในขณะที่สังคมตอบปัญหาไม่ได้ ทำไมแม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย เขาไม่รักหรือไง? รัก ตอบกันไม่ถูก ตอบไม่รู้จะตอบอย่างไร? แต่ในพระคัมภีร์มีบอกเราว่าอย่างไร?
สรุปแค่ตอนนี้นะ แม่รักลูกทุกคน ใช่หรือไม่ใช่? ถูกต้อง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แม่รักลูกทุกคน ไม่มีทางลืมลูกของตัวเอง ไม่มีทางเกลียดลูกของตัวเอง ถ้าถามจริงๆ ถามแม่จริงๆ ว่ารักลูกของตัวเองหรือเปล่า? ขณะที่ทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ดีต่อลูก เขารักไหม? รัก เพราะมันเป็นอะไร? ทำไมถึงรัก เพราะอะไร? เพราะในธรรมชาติที่พระเจ้าใส่ไว้ไง พระเจ้าใส่ไว้ในสิ่งต่างๆ ให้กำเนิด จะรักสิ่งที่เขาให้กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ ซึ่งวิญญาณมาจากพระเจ้า เป็นพระฉายพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เหมือนพระองค์ เขาต้องรักผู้ที่ให้กำเนิดแน่นอน ตามธรรมชาติ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ แต่พอเกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิต มันไม่สามารถเอาชนะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ชนะความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถชนะอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรียกว่าเสียสละได้ เพราะอะไร เพราะมันอ่อนแอ มันสู้ไม่ได้ นี่คือความเป็นจริง อยากจะรักลูกให้มากกว่านี้ มันทำไม่ได้ ไม่อยากจะเห็นแก่ตัวเลย แต่มันก็เห็นแก่ตัว เพราะอะไร? เพราะฮอร์โมนในร่างกาย เพราะความกลัว พอความกลัวมา ก็หมดแล้วนะ
แล้วความกลัวมาจากไหน? ความกลัว ก็มาจากเชื้อบาป ที่มันติดอยู่กับตัวของมนุษย์ทุกคน ผ่านทางอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงไปในความบาป และได้รับคำสาปแช่งมา คำสาปแช่งนั้น ก็ตกลงมาอยู่ที่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคน จึงเต็มไปด้วยความบาป และความบาปทำมาให้อีกอันหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือความกลัว … ความกลัวทำให้เราเห็นแก่ตัว … ความกลัวทำให้เราไม่เสียสละให้ใครแล้ว เพราะความกลัว เราจึงสามารถทำชั่วได้เยอะแยะมากมาย หมายถึงเยอะแยะก่ายกองไปหมด และความกลัวนี่แหละ ทำให้เราไม่สามารถรักลูกเราได้ เหมือนที่เราอยากจะทำ ถูกไหม?
นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ทุกคน ที่เป็นลูกทั้งหลายควรจะได้รู้ ที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ลูกทั้งหลายควรได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังวันนี้ว่าแม่ของเรานั้น ที่เราคิดว่าทำไมเขาทำอย่างนี้? เขาไม่รักเราหรือ? คำตอบในวันนี้ คือเปล่าเลย เขายังรักเราอยู่ แต่เราต้องเข้าใจว่าเขา ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความบาป เพราะอ่อนแอเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนจึงควรที่จะเข้าใจ และสมควรอย่างยิ่งที่จะรักพ่อแม่ของตัวเอง นี่เติมให้พ่ออีกคนหนึ่ง วันนี้จริงๆ มันต้องมาคู่กันนั่นแหละ แต่อย่างที่บอกนะ ตามหลักธรรมชาติ แม่มีความสำคัญมากกว่า ลึกซึ้งกว่า เด็กและลูกๆ ทุกคนควรจะรักพ่อและแม่ของตัวเอง ผู้ให้กำเนิดเราเองนั่นแหละ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีข้อแม้เลย ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้นะ ไม่ว่าพ่อแม่จะปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจเถิดว่าพ่อแม่รักเราอย่างแน่นอน ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เอเมน
ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราสามารถผ่านเหล่านี้ไปได้ว่า.-
“ยังงั้นๆ ฉันก็ตัดสินใจ ตั้งใจแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อแม่รักเรา ฉันเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าสอนมา พระเจ้าบอกอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ให้ฟังว่าพ่อแม่เราอยู่ในสถานะอะไร? แม่เราอยู่ในสถานะอะไร? รักเราขนาดไหน? ไม่ว่าฉันจะมองไป แล้วแม่ทำอะไรก็ตาม อย่างนี้ก็ตาม ฉันรู้สึกไม่ชอบ หรือไม่รู้สึก สังคมบอกว่าไม่ถูก ฉันก็จะยังรักแม่ของฉันอยู่ เพราะเขารักฉัน … ฉันรู้ว่าเขารักฉัน เขาไม่ได้เกลียดฉันเลย”
เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลยที่จะไม่รักแม่ของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์นะ และจงจำไว้เลยว่าแม่รักเราที่สุดแล้ว เกินกว่านี้ทำไม่ได้แล้ว แม่ทุกคนก็สุด แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ไม่ใช่สุดของคนนี้ จะมาเทียบกับคนนี้ ไม่ใช่ สุดก็คือสุด … สุดของแต่ละคน ก็คือสุด … สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ อีกคนหนึ่งสุด ก็แค่นี้ อย่าเอาแม่คนนี้ มาเปรียบเทียบกับแม่คนนี้ มันทำไม่ได้ ของใคร ก็ของเขา เพราะเขาทำได้แค่นี้ มันสุดแล้ว ถามว่ารักไหม? มันรัก และมันสุดแล้ว ทำดีกว่านี้ได้ไหม? ไม่ได้แล้ว เพราะอะไร? เพราะมันอ่อนแอ มันได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาให้เรา คือให้ดีที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจถึงชีวิตของเขาว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราอาจจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น
แต่ถ้าฟังอย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าสอนเราว่าอย่างไร? ว่าแม่รักเราอย่างไร? เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และสามารถที่จะแม่ของเราได้ว่าแม่รักเราที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีแม่คนไหนในโลกเลย ที่ไม่รักลูกของตนเอง นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราเชื่อตามนี้ แล้วมันเป็นไปตามนี้จริงๆ
ยกตัวอย่างให้ฟังนะ ผมเคยทำเพลง และร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่ง นานมาแล้ว เกือบจะ 40 ปีแล้ว เป็นเพลงที่เกี่ยวกับแม่นี่แหละ เป็นเพลงที่เหมือนกับสอนอย่างนี้ ให้รู้ว่าแม่รักเรามากขนาดไหน? แม้ว่าสังคมจะไม่เข้าใจ และว่าแม่ว่าไม่ดี ผมบอกให้ฟังเลยนะ ในโลกนี้ ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแม่คนไหนที่ทำไม่ถูก เข้าใจไหมครับ? แม่ทำผิดเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ทำผิด เพราะเขาเกลียดลูกของเขา มันอาจจะมีปัญหา มันอาจจะมีความจำเป็น มันอาจจะมีอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง เป็นไปตามความบกพร่อง หรือความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ที่มันเกิดจากคำสาปแช่งมา ตั้งแต่สมัยอาดัมและอีฟ โลกใบนี้ เต็มไปด้วยสกปรก โสโครก แย่ไปหมดแล้ว เราก็บาป เขาก็บาป สังคมรวมบาปทั้งหมดเลย มันกระทบกระทั่งกันทั้งหมด ยุ่งไปหมดเลย วุ่นวายอีลุงตุงนังไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น การกระทำที่ไม่ถูกต้องอะไรต่างๆ บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ทำให้เขาคนนั้น ต้องทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าไม่ดี แต่เขาทำสิ่งเหล่านี้ มิได้ เขาไม่รักลูกของเขา บทเพลงนี้ ชื่อเพลง ผมใช้ชื่อเพลงว่า “แม่ใจร้าย” เคยได้ยินไหมครับ? เนื้อเพลงว่าอย่างนี้ว่า.-
สาวเจ้าเพิ่งแต่งงาน หนีความกันดาร
ไปทำงานแดนไกล
พอสามเดือน จึงรู้ว่าท้อง
แต่งานห้ามท้อง เจ้าสิน้ำตาไหล
ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)
จึงตัดสินใจ ลาไปกลับบ้าน
สาวเพิ่งแต่งงาน มาจากต่างจังหวัด หนีความกันดาร ต่างจังหวัด เกิดความกันดาร ไม่มีเงินจะกินข้าว หน้าแล้งอะไรอย่างนี้ ฤดูแล้งเข้า ทำมาหากินไม่ได้ ทำเกษตรก็ไม่ได้ จึงต้องมาทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ก็เข้ามาทำงานที่โรงงาน
สมัยก่อนนี้ โรงงานดังนะ ถือว่าถ้าจะทำงานโรงงาน ต้องเข้ามากรุงเทพ เขาเข้ามากรุงเทพ เพื่อทำงาน ฟังนะครับ ปรากฏว่าทำงานไป 3 เดือน ทำไม? เพิ่งรู้ว่าท้อง เพราะเพิ่งแต่งงานไง ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? ก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม? ไม่รู้จะทำอย่างไง? อยากได้เงินก็อยากได้เงิน แต่รักลูก มีท้องแล้ว ก็เลยต้องกลับบ้าน เมื่อกลับบ้าน เกิดอะไรขึ้น ต่อสัปดาห์หน้าแล้วกัน ไม่ได้ คราวนี้ผมตายแน่ ทุกคน แล้วอะไร? สามเดือนแล้วเป็นอย่างไร? เดี๋ยวดูสิว่าแม่ใจร้ายจริงไหม? สามเดือนแล้วนะ ขึ้น บขส. สมัยก่อนใช้บริการ บขส. … บขส. ไม่มีแอร์ รถแน่เอี้ยดเลย สามเดือนก็กลับไปตายที่บ้านดีกว่า มีเท่าไรก็แค่นั้น เอาลูกไว้ก่อนแล้วกัน ดูแลลูกไว้ก่อน อย่างไรก็ว่ากันนะ กลับไปบ้าน พอกลับไปถึงหมู่บ้านปุ๊บ ลงรถ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ถึงบ้านปุ๊บ
แล้วก็สุดร้าวราน ถึงบ้านพบพาน
ผัวว่ามีเมียใหม่ จึงอุ้มท้องกลับโรงงาน
หาเงินซมซาน ไม่ได้ยอมบอกใคร
อีสาวเอาผ้ามารัดบังหน้าท้องไว้ (x2)
ลำบากเท่าใด ไม่ยอมกล่าวขาน …
โอ๊ย! ซิมันไม่ยอมกล่าวขาน
ความรู้สึกแม่เป็นอย่างไรตอนนั้น … ก็คือตัดสินใจทำอะไร? ทำอย่างไรได้ ก็กลับมาโรงงาน ไม่บอกใคร? กลับมาสู้ต่อ ไม่มีบ้านอยู่แล้ว ลูกต้องอยู่ เราต้องอยู่ ครอบครัวต้องอยู่ต่อไป กลับมาทำงานต่อ
แล้วทำไง ถ้ารู้ว่าท้องเขาไม่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้น เอาผ้ามารัดที่หน้าท้อง ให้มันยุบหน่อย ให้มันเหมือนคนพุงโร่ แต่ไม่ใช่ท้อง จะได้ทำงานได้ต่อไป ถูกไหม?
ก็คือลำบากเท่าไร? ก็ไม่พูดกับใคร? อดทน … เห็นไหม? เห็นความสู้ของแม่ไหม? อดทนไหม? ความแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่งไหม? แกร่งไหม? แกร่งมากเลยนะ เสร็จแล้วไงต่อไป ก็ทำงานต่อไป เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่จะคลอดลูก จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูแลลูกของเขา เขาต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว ต่อไป
ครั้นเจ็ดเดือนพ้นผ่าน คืนข้างโรงงาน
ซิมันก็คลอดลูกได้
สองมือเจ้าบรรจง แม่วางลูกลง
ลูกน้อยไม่หายใจ
โถ! เวรกรรม สาวต้องจำหนีไกล (x2)
ต้องทิ้งลูกไว้ ไร้สิ้นวิญญาณ …
โอ๊ย! ไร้สิ้นวิญญาณ
เจ็ดเดือนผ่านไป กลางคืนข้างโรงงาน ก็คลอดลูก แสดงว่าไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ คลอดที่โรงพยาบาล แต่นี่พูดง่ายๆ ออกมาเอง เพราะแค่ 7 เดือน ยังไม่ครบกำหนด แต่เนื่องจากไปรัดไว้ เนื่องจากอะไรหลายๆ อย่าง ทำงานหนักอะไร สมมตินะ แล้วเกิดอะไรขึ้น พอคลอดลูกข้างโรงงาน
สองมือเจ้าบรรจง หมายถึงว่าเขายังนึกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่นะ เขาตั้งใจ แล้วค่อยๆ วางลูกลง นึกออกไหม? คลอดลูกตามปกติ ค่อยๆ วางลูกลง ปรากฏว่าลูกตายแล้ว อาจจะเกิดก่อนกำหนด แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครมาช่วยอะไรต่างๆ นั่งนึกภาพนะ
“จำต้องหนีไกล” ตายแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ตกใจ รู้ว่ามีความผิด กลัวแล้ว ความกลัวเข้ามาสู่จิตใจแล้ว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งเอาไว้ แล้วไปก่อนแล้ว รู้ว่าตายแล้ว คราวนี้ต่อไป สุดท้าย นี่สังคมแล้ว ถึงตัวเราแล้ว
เช้า พวกเพื่อนโรงงานวิพากษ์วิจารณ์ ถึงอีแม่ใจร้าย
สาวสินอน ระทมปวดร้าว
กองเลือดเหม็นคาว เจ้าสิน้ำตาไหล
ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)
เค๊าด่าว่าใครนะ อีแม่ใจร้าย …
โอ๊ย! เค๊าว่าอีแม่ใจร้าย
เช้า พวกหนังสือพิมพ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย … ถูกไม่ถูก?
เช้า พวกทีวีวิทยุ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย … ปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้
เห็นไหม? แม่ใจร้ายมาก แม่ใจอำมหิต แย่มาก
แล้วตอนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ใครได้ยิน?
เลือดยังโครกอยู่เลย น้ำตาไหล ทั้งๆ ที่รัก ทั้งๆ ที่สูญเสียลูกไป แต่สังคมว่าเขาเป็นคนใจโหดร้าย ใจอำมหิต ได้ฟังจากวิทยุ จากทีวี หนังสือพิมพ์พูดถึงรายนี้ๆ … เห็นไหม? เหมือนปัจจุบันไหม? คิดดูนะ
โอ๊ย! เขาว่าอีแม่ใจร้าย
โอ๊ย! ทีวีว่าอีแม่ใจร้าย
โอ๊ย! หนังสือพิมพ์ก็ว่าอีแม่ใจร้าย
โอ๊ย! เพื่อนๆ ก็ว่าอีแม่ใจร้าย
โอ๊ย! เลยว่าตัวเอง อีแม่ใจร้าย
นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ … นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในตัวเรา ทำให้เราช่วยตัวเองไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้น เราไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นเลย ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมานในจิตใจของแม่คนนั้นอีกไม่รู้เท่าไร? และในปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม?
ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ มีใครไหมมานึกถึงเหตุการณ์ว่ามันอาจจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ความผิดของแม่คนนั้น คนเดียว พ่อไปอยู่ไหนตอนนี้ ไม่ได้ว่าเขานะ สมมติอย่างนี้ แล้วก่อนจะถึงเขา มีคนอีกเยอะแยะมากมาย มีสถานการณ์ร่วมมากมาย มันไม่ได้เป็นความผิดของคนๆ นั้นคนเดียวเลย แต่มันเป็นความผิดร่วมกันทั้งมวลมนุษยชาติ เพราะเราตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความอ่อนแอ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ไม่สามารถช่วยเหลือคนรอบข้างเราได้จริงๆ สักอย่างหนึ่ง เราต่างคน ต่างก็ทำ เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะไม่มีใครรักแท้สักคน เพราะไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และไม่มีบาป ไม่มีบาปเท่านั้น ถึงมีรักแท้ได้ พอเข้าใจหรือยัง
นี่แหละ คือถ้าเรารู้ถึงปัญหาของสังคมอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่เพราะความบาป ทำให้มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น จำไว้เลยนะครับว่าสำหรับลูกๆ ทั้งหลาย จำเรื่องนี้ไว้ แล้วผมต้องการพูดอะไรรู้ไหมครับ? อย่างที่ผมเคยบอกทุกๆ ปีว่าแม่เรา สำหรับลูกทั้งหลายนะ … แม่เราอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุด แต่เป็นคนที่รักเรามากที่สุด … ถูกหรือไม่ถูก? แม่เรา สำหรับคนชาวบ้าน เขาอาจจะเป็นแม่ใจร้าย แต่สำหรับเรา เขารักเรามากที่สุด เขามีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่จำเป็นต้องทำแบบนั้น จนสังคมไม่เข้าใจ แล้วไปตราหน้าเขาว่าเป็นแม่ใจร้าย แต่เขารักเรามากที่สุด
ถ้าเด็กคนนี้ มีวิญญาณและรับรู้เรื่องนี้ ที่ 7 เดือนตายไปเนี้ย ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้ เขาจะรักแม่เขาไหม? รักแน่นอน เห็นไหม? แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะความกลัว เพราะความไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร? ก็แก้กันไปตาม สติปัญญาขนาดนั้น ที่เป็นคนบาป แค่นั้น ได้รับการศึกษาแค่นั้น แล้วได้แค่นี้เอง จะทำอย่างไรล่ะ เห็นไหม? ถูกไหม? เห็นไหม?
เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทั้งหลายฟังตรงนี้ไว้นะครับ แม่ของเราอาจจะไม่ได้ดีที่สุด ตามสายตาของผู้คนรอบข้าง แต่เขาเป็นแม่ที่รักเรามากที่สุด ในมหาจักรวาลนี้ เอเมน
ต้องตัดปัญหาไปทีละเรื่องๆ ทีละอย่างว่าสำหรับลูกกับแม่แล้ว ลูกควรจะมีท่าทีอย่างไรกับแม่ของเรา ซึ่งจริงๆ ก็รวมไปถึงพ่อของเราด้วยนั่นแหละ แต่วันนี้พิเศษ ให้แม่เป็นใหญ่แล้วกัน ในสุภาษิต 23:25 พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงตรัสสั่งเรา สอนเรา กำชับเรา อย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เพราะนี่คือความจริง
สุภาษิต 23:25 “จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ (หรือได้ชื่นใจ)”
“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ” เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วทั้งพ่อและแม่ที่ให้กำเนิด รักลูกที่เขาให้กำเนิดแน่นอน เหมือนกับพระองค์ พระองค์จึงบอกนี่คือกฎเกณฑ์เลยว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่มีข้อยกเว้น … ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ ก็เป็นลูกมาก่อนทั้งนั้น ที่อายุมาก เดี๋ยวนี้ที่ยังเด็กๆ ก็เป็นลูกปัจจุบัน แต่ที่โต ก็เคยเป็นลูกมาก่อน เพราะฉะนั้น พูดมาถึงเราด้วยว่าพระเจ้าสั่งเลยนะว่า.-
“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ ได้ชื่นชมยินดี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น”
พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนี้ว่า “จงทำให้พ่อแม่ยินดี จงให้แม่ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้ที่ได้คลอดเจ้านั้นได้ยินดี ได้ปลื้มใจ ถ้าเขาทำไม่ดี ให้เขาได้ทุกข์ใจไปเลย”
พูดอย่างนี้หรือเปล่า? ไม่พูด แต่มนุษย์พูดไหม? เพราะมนุษย์พูด เพราะมนุษย์ชี้นิ้วอย่างเดียว ว่าเขาอย่างเดียว ประณามเขาอย่างเดียว คิดอะไรก็อันนี้ไม่ดี อันนั้นแย่ เขาเรียกว่าทับถมอย่างเดียวเลย ไม่คิดถึงเหตุผล หรือเหตุผลอะไรต่างๆ เพราะมนุษย์มีแต่มองเขาตรงข้าม ไม่เคยมองตนเอง วันหนึ่งท่านจะมองกระจกสักกี่ครั้ง มองกระจกประมาณ 1 นาที แต่มองคนอื่นเท่าไร? ตัดนอนออกไป 8 ชั่วโมง ที่เหลือมองคนอื่นหมด แต่มองตัวเอง มองกระจกแค่ตอนแปรงฟัน ไม่รู้กี่นาที ไม่รู้ ต่อวัน เพราะฉะนั้น เราจะมองแต่คนอื่น แล้วตัดสินคนอื่นตลอดเวลา อย่างนี้ๆ เห็นไหม? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าบอกว่า.-
“จงให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้า ไม่รู้ล่ะ เขาคลอดเจ้าหรือเปล่า? ถ้าคลอดเจ้า จงให้เขาชื่นใจนะ เคารพเขานะ รักเขานะ”
แม้เขาจะทำผิดก็ตาม แม้เขาจะทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะทำกับลูกอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้เขาจะทำอย่างไร? เขารัก เขาทำไม่เป็น
เมื่อกี้เราพูดถึงหน้าที่ของลูกแล้วใช่ไหม? คราวนี้มาถึงหน้าที่ของแม่ แม่วันนี้อยากจะบอกนะครับ ใครที่เป็นแม่ อย่าลืมนะครับวันนี้ พูดทุกคนคำว่า “แม่” หมายถึงมีพ่อพวงมาด้วยนะ คนที่เป็นแม่ ทุกวันนี้ผมรู้เยอะแยะ ทั้งโลกเลย เต็มไปด้วยความท้อแท้ เต็มไปด้วยความทุกข์ กังวล กลุ้มใจ เป็นห่วง ถามว่าใคร? ลูก จริงหรือไม่จริง? มีลูกที่เป็นวัยรุ่นอยู่ แม่ก็เป็นห่วง ห่วงไม่จบไม่สิ้น ไม่เลิกเลย กลุ้มใจ ท้อแท้ … ท้อแท้เพราะอะไร? มันไม่ได้ดั่งใจเลยนะ
“มันน่าจะอย่างนี้ มันน่าจะอย่างนั้น”
เป็นห่วงไปหมดทุกประการ ทุกอย่างเลย
ผมเลยอยากจะบอกพ่อแม่ หรือแม่ที่กำลังทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้ว่าท่านยังมีความหวังนะ ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ … ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ที่เดียว ถ้าท่านไม่มีพระเยซูคริสต์ ท่านจะไม่มีความหวังเลย เพราะที่ผมพูดมาทั้งหมดตะกี้นี้แล้ว ให้เหตุผลท่านแล้วว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันเกิดอย่างไร? ถูกไหม? ท่านเห็นภาพนั้นไหม? ถ้าท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็เดินเข้าไปอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ต้น มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย ไอ้นั้น ก็ผิด ไอ้นี่ ก็ผิด ไม่รู้จะแก้อย่างไร? พันละวันพันละเกไปหมด ไม่รู้จะแก้ตรงไหน? เพราะต่างคนต่างก็บาป แก้กันเอง คนแก้ก็บาป คนถูกแก้ก็บาป ต่างคนต่างบาป รวมกันแล้ว มันจะไปไหน? มีพระเยซูเท่านั้น ที่ไม่บาป เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถช่วยเหลือเราได้ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์
วิธีทำอย่างไร? เชื่อพระองค์ แล้วมอบทุกอย่างไว้ที่พระองค์เลย ไม่ต้องตัดสินบนพื้นฐานของโลกใบนี้อีกต่อไปเลย ทุกสถานการณ์มอบไว้ที่พระเจ้า วางใจในพระองค์ เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สามารถควบคุม ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ และในมหาจักรวาลนี้ได้ ตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมและครอบครองอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้เลย พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่ตาเรา มนุษย์ธรรมดามองเห็นว่าไม่ดีนั้น ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ของดีที่สุด ในที่สุด
ดีที่สุด ในที่สุด หมายถึงตอนนี้อาจจะไม่ดี แต่ในที่สุด มันจะมีดีที่สุดของที่สุด รออยู่ แล้วในที่สุด เราถึงจะได้ดี เข้าใจใช่ไหมครับ? มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่อย่างนั้น เราแม่ทั้งหลายเอ๋ย จะหมดความหวังเลยนะครับ ลูกบางครั้ง เป็นวัยรุ่น อยากจะไปทำอย่างโน่นอย่างนี่ แล้วท่านจะไปเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะสมัยนี้ … สมัยก่อนยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีไอโฟน ไม่มียูโฟน ไม่มีบีโฟน ไม่มีอะไรโฟนๆ ทั้งนั้น ยิงนก ตกปลาธรรมดา กลุ้มใจลูกเต็มไปหมด ท่านจะปิดกั้นอะไร ท่านจะบอก “อย่า” ในเมื่อไอโฟนมันสอนหมดทุกอย่าง ในอินเตอร์เน็ตสอนทุกเรื่อง ทุกความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันชัดเจนหมดแล้ว ท่านว่าท่านเสียงจะดังกว่าสื่อเหล่านี้หรือ! สื่อเหล่านี้มันคุมโลกไปแล้ว ท่านจะบอกปิดไม่ให้ดูๆ ท่านคิดว่าท่านปิดไหวไหม? ไม่ไหว ถูกไหม? ท่านปิดได้ไหม? ไม่ได้ ปัจจุบันจะเห็นชัด แล้วความหวังท่านจะอยู่ที่ไหน? ก็คือถ้าท่านไม่เชื่อพระเยซู ท่านก็จะมีแต่ความกลุ้มใจ กลัว เขาจะไปนั่น เขาจะไปนี่ จะติดยาไหม? จะอันโน่นไหม? วุ่นวาย จะไปเป็นโจรหรือเปล่า? จะทำงานอะไร? หากินอย่างไร? มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยใช่ไหม? แต่ท่านมีพระเจ้า ท่านสามารถวางใจในพระเจ้า ท่านพึ่งในพระองค์ … พระองค์จะทรงนำให้ลูกเราไปในทางที่ดีเอง แม้ว่าขณะนี้ เราอาจจะมองดูว่าไม่ดีก็ตาม เข้าใจใช่ไหมครับ?
ลูกเราอาจจะทำอะไรที่ไม่ดีในขณะนี้ ลูกเราอาจจะติดยาอยู่ ลูกเราอาจจะติดตะราง ติดคุกอยู่ ถามว่าแล้วเราทำดีที่สุดหรือยัง? ทำดีแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า.-
“เพราะพ่อแม่เขาไม่ค่อยได้ดูแล”
แล้วท่านรู้ไหม บางคนพ่อแม่ดูแล ก็เป็น ผมไม่ได้พูด เพื่อว่าบอกว่าท่านไม่ต้องดูแล เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุดแล้ว โอเค … แค่นั้นแหละ ถามตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุด แล้วใครเป็นคนบอกว่าดีที่สุด คือเราเข้าไปหาพระเจ้า พระเยซูหรือยังว่า.-
“พระองค์ช่วยลูกด้วยๆ ลูกทำได้แค่นี้”
นั่นแหละ คือดีที่สุดของท่านแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ตราบใดที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู แล้วบอกพระเจ้าว่า.-
“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกทำดีที่สุดแล้ว”
นั่นผมมั่นใจว่าท่านดีที่สุดแล้วจริงๆ แต่ถ้าคุณบอกไม่มีพระเยซู แล้วคุณมาหาผม แล้วบอกว่า
“ผมทำดีที่สุดแล้ว”
ไม่แน่มันอาจจะมีบางอย่างที่คุณจะทำได้มากขึ้น ถ้ามีกำลังจากพระเจ้าเข้ามาสนับสนุนคุณ เข้าใจใช่ไหมครับ?
ผมกำลังจะบอกว่าพระเยซูเป็นคำตอบ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่เขาจะอยู่อย่างไม่ท้อแท้ อยู่อย่างมีสันติสุข อยู่อย่างมีความหวังว่าลูกที่เขารัก ต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นตอนนี้ก็ตาม แม้ว่าเขาจะเห็นตอนนี้ อาจจะดูไม่ดีต่างๆ แต่ในที่สุด เขาต้องดีแน่นอน เพราะเราอธิษฐานให้เขา เราหวังใจเขาในพระเยซูคริสต์ แม้ตอนนี้เขาจะติดยาอยู่ อนาคตเขาอาจจะเป็นผู้รับใช้ เยอะแยะนะครับคำพยานทั่วโลก คำพยานเยอะแยะเลยนะ ผมจะบอกไม่ใช่น้อยนะ เยอะเลย ทั่วโลกเลยว่าลูกติดยา แต่ในที่สุด ลูกกลายเป็นคนประกาศเรื่องพระเจ้า คนสอนเรื่องพระคัมภีร์ กลับใจใหม่เยอะแยะ เคยได้ยินไหม? แล้วยังเรื่องอื่นๆ อีก ลูกที่เคยดื้อกับแม่อย่างมากมาย ติดตะราง ติดคุก กลับกลายเป็นคนดีมากมาย รักแม่มากกว่าลูกที่ไม่ได้ติดคุกด้วยซ้ำ มีไหม? มี
นี่ขนาดพูดท่านยังเห็นเลยว่ามี ถ้าบอกว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ตอบสิ ได้ไหม? ได้ … ใช่ทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เห็นไหม ถ้าเราเอาปัญหาทั้งหมดนี้ แม่ทั้งหลาย มาคุกเข่าต่อพระเจ้า แล้วบอก
“พระเจ้า … ลูกฝากลูกคนนี้ ฝากด้วยเถิด”
ท่านคิดว่าพระเจ้าจะฟังท่านไหม? ในเมื่อพระเจ้าบอกมาอย่างนี้ว่าความรักของแม่บริสุทธิ์ ท่านคงคิดว่าแม่คุกเข่าอธิษฐานให้ลูก จะได้อย่างนี้ไหม? เห็นไหม? ในพระคัมภีร์มีเสมอ พระเยซูจึงบอกว่าเข้ามาหาพระองค์เถิด พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข คือเข้ามาหาพระเยซู แล้ววางไว้ที่พระองค์อย่างนี้ ไม่ต้องเอาสติปัญญาตัวเอง จบ ทิ้งไปแล้ว ต่อไปนี้ ทำได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นแหละ
“ฉันเรียน ป.4 มา ฉันทำได้แค่นี้ ฉันก็หยุดอยู่แค่นี้แหละ”
“ฉันเรียน ม.4 มา ฉันทำสุดได้แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้แหละ”
“ฉันมีสติปัญญาเป็นด็อกเตอร์ ฉันทำได้แค่นี้ ฉันทำสุดแค่นี้”
ต่างคนต่างสุดของตัวเองแล้ว ที่เหลือ
“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ช่วยลูกของลูกของลูกด้วย”
ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ยืนยาวพอ “ช่วยลูกของลูกของลูกของลูกของลูกอีกทีหนึ่งด้วยเถิด” ใช่ไหม?
พระเยซูจึงบอก จึงให้เราอธิษฐานอย่างนี้ มัทธิว 6:9 บอกว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ สอนคำอธิษฐานเดียวว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ คำอธิษฐานนี้ทำไม? ทำให้เราสามารถที่จะวางใจในพระเจ้าทั้งหมดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงครอบครองในทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์ ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำหนดไว้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มาหาพระเจ้า ผู้กำหนดทุกสิ่งดีกว่า แล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราดี เพราะพระองค์รักเรา … เราเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำได้ อย่างไรก็ดี สัญญา พระองค์สัญญา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ลูกของพระองค์นั้น พระองค์จะทรงกระทำให้เกิดเป็นผลดีทั้งสิ้น อย่างไรตอนจบ มันต้องดี เชื่อพระองค์หรือเปล่า? แล้วก็วางใจในพระองค์
“ใครจะว่าอย่างไรแล้วแต่ ฉันมีความหวังในลูกฉันเสมอ อย่ามาว่าลูกฉันก็แล้วกัน”
หมายถึงไม่ใช่ไม่ฟังนะ ฟัง
“ฉันมั่นใจในลูกฉัน เดี๋ยวเขาก็ต้องดี”
แล้วเราตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ดี ทำอย่างไร? ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาก็ดีเอง มั่นใจถึงขนาดนี้ เอเมน แล้วทำอธิษฐานนั้น ก็อยากให้เราจำเอาไว้ จำเป็นบทเพลงเลย คำอธิษฐาน จำไว้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ต้องเกิด ก็เกิดทุกข์อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็ตามอธิษฐานตามนี้ ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ละวัน อธิษฐานตามนี้ มีชีวิตอยู่ อธิษฐานตามนี้ แม่ทุกคนอธิษฐานตามนี้
“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยด้วยเถิด อย่านำลูกและลูกของลูก และหลานของลูกเข้าไปสู่การทดลอง แต่ขอให้หลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวงของโลกใบนี้ที่มีอยู่ เหตุเพราะอะไร? พระองค์ทรงทำได้ เพราะฤทธิ์เดช อำนาจ พลัง พระสิริเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”
ให้แม่ทุกคนร้องบทเพลง (เพลงคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9) นี้ให้ได้ ถ้าร้องไม่ได้ แม่ก็ใช้ท่องเป็นอาขยานก็ได้ ให้แม่วางใจในพระเจ้า มาจากมัทธิว 6:9 ที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน
เราลองคิดดูนะครับ สมมติว่าแม่รักลูกของเราเองอย่างมาก แล้วเราก็กลุ้มใจกับลูกเรา ท้อแท้ เพราะเราอยากจะให้เขาได้ในสิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิด อยากให้เขาทำ มันดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาอาจจะมีอย่างอื่นที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาได้ เราอยากให้เขาเป็นอันนี้ เราอยากให้เขาเป็นอันนั้น เราอยากให้เขาทำอันนี้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เขาเป็นอย่างไร? มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เพราะฉะนั้น แม่เข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานอย่างนี้ จึงเป็นแม่ที่สงบ จึงเป็นแม่ที่มีสันติสุข ผมไม่ได้บอกว่ามีความสุข แต่มีสันติสุข เป็นแม่ที่นิ่งและมีความหวังอยู่เสมอ ไม่เดือดร้อนมากมาย จนเกินไปบนโลกใบนี้ ไม่กลัวจนเกินไป ไม่กังวลจนเกินไป แต่เขาจะอยู่กับพระเจ้า และอธิษฐานให้ลูกๆ เขาเสมอ อย่างนี้แหละ เอเมน
********************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3
โดย นคร เวชสุภาพร
ลองถามคนข้างๆ สิ “ท่านเป็นใครในพระคริสต์” รู้ไหม?
วันนี้ ตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และมีลักษณะชีวิต (ในวิญญาณ) ทางวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู ทราบจากไหน? จากถ้อยคำของพระเยซูเอง ที่ได้ตรัสไว้ ในหนังสือยอห์น 14:20 นะครับ ได้บันทึกว่า.-
ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”
ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”
จะสร้างบ้านของเราร่วมกับเขา จะอยู่กับเขาในบ้านหลังนั้น ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ในพระคริสต์ พระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ เอเมน
เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเลยนะครับ การร่วมกันเป็นหนึ่ง แบบแยกกันไม่ออกเลย เมื่อเราเข้าไปมีส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของอะไรรู้ไหมครับ? เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหมครับ? เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ
ตรีเอกานุภาพ คืออะไร? คือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราเข้าไปมีส่วนในหนึ่งนี้ด้วย ขนลุกไหม? … พูดครั้งใด เห็นถ้อยคำครั้งใด ผมก็ขนลุกทุกที ไม่มีวันที่จะเข้าใจ แต่ที่เข้าใจนิดๆ มันก็ขนลุกพอแล้ว ที่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ มันก็ซาบซึ้ง เหลือที่จะขอบคุณพระเจ้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? เหมือนกับที่ผมได้ยกตัวอย่างใช่ไหม? ในสัปดาห์ที่แล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับพระเยซูคริสต์ หรือกับ 3 พระภาค กับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับเราจุ่มชาลงไปในน้ำ รวมออกมาเป็นน้ำชา น้ำชาไม่สามารถแยกออกมาเป็นชากับน้ำได้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความลึกซึ้งของความหมายของคำว่า “เป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระเยซูคริสต์
บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และพระบิดา และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับครับ? เราก็เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ได้รับพระสิริของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เหมือนกับพระองค์ แล้วก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานัปการ คือมีลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้า เข้ากันได้ดี
ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “คืนดีกับพระเจ้า” วิญญาณต่อวิญญาณสามารถเข้ากันได้ คืนดีกัน เหมือนน้ำกับน้ำมันไม่สามารถเข้ากันได้ ใช่ไหม? เอาน้ำมันเทลงในน้ำมัน น้ำมันกับน้ำมันคืนดีกัน เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คล้ายๆ อย่างนั้น ในหนังสือ 2 เปโตร 1:3-4 ลองเปิดดูว่าความลึกซึ้งของการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงตรงนี้ว่าอย่างไร?
2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”
ขอบคุณพระเจ้า
ให้เราพูดพร้อมกันตรงนี้ ตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”
นคร หรือท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อว่าจะได้พ้นจากความเสื่อมทราม ตัณหาในโลก ก็คือพ้นจากความบาปและความตายนั่นเอง
พระคัมภีร์อยากให้เราได้รับรู้ตรงนี้ มากๆ เลย คือได้รับรู้ว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในการไถ่บาป ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือได้รับการจุ่มลงไป โดยพระวิญญาณของพระเยซู คือของพระองค์ คือจุ่มเข้าไปในอะไร? เข้าไปในสิ่งหนึ่งที่มี ทางภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย เรียกว่าพลังอำนาจ หรือ Power เข้าไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ว่าไฟ … ไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจยิ่งใหญ่ พลังกำลังอำนาจยิ่งใหญ่ของใคร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู ได้จุ่มเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันในตรีเอกานุภาพ
รวมความ ก็คือเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และล้ำค่าสูงสุด ไม่อยากจะบอกสิ่งเลยนะ แต่ก็ต้องบอกสิ่ง ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? สิ่งที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่สุด ที่เราได้เข้าไปมีส่วนนี้ คือได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า หรือภาษาอังกฤษใช้ Devine Nature ซึ่งแปลลำบากมาก แปลว่าพระลักษณะของพระเจ้า หรือธรรมชาติของพระเจ้า หรือธรรมชาติชีวิตที่เป็นของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนในแบบนั้นเลย
ซึ่งทั้งหลายๆ ทั้งปวง เราได้รับมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คิดดูสิ คุณค่ายิ่งใหญ่สูงสุด แต่พอมาคิดอีกที ได้มาโดยเปล่าๆ โดยความเชื่อเท่านั้น พระเยซูทำให้เราหมด เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว
ให้พวกเราพูดพร้อมกันว่า “เรียบร้อยไปแล้ว … พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว”
เอ๊า! บอกคนข้างๆ สิ “เรียบร้อยไปแล้ว รู้หรือเปล่า?”
บางทีเราต้องถามตัวเองนะ “เรียบร้อยจริงเหรอ”
ก็มันจริงๆ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง? เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขนหรือยัง? ตายแล้ว หลั่งพระโลหิตหรือยัง? หลั่งแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เป็นแล้ว … นั่นแหละ เรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่แค่เชื่อและรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แค่นี้เอง นี่เขาจึงเรียกกันว่าข่าวดีไง ข่าวดี คือได้ฟรีๆ ใช่ไหม? เขามีแจกอะไรส่วนใหญ่ ตรงนั้นมีข่าวดี ไปกันเถอะ
ข่าวดี คือเขามีของดีๆ แล้วจะแจกเราฟรี เพราะฉะนั้น เพียงแค่ไปรับสิทธิของท่าน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลายนั้น แค่นั่นเอง เพียงแค่นั้น ทุกคนก็สามารถรับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา พระสัญญาทุกอย่างของพระเจ้า เราได้รับมาหมดแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ สัญญานี้บอกก่อนพระเยซูจะเกิด ตั้งหลายพันปี ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด สัญญาว่ามันจะเป็นอย่างนี้ๆ สัญญาว่าในพระเยซูคริสต์ เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างเหลือเฟือ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เอเมน
ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูได้รับพระสัญญาตรงนี้ เท่ากันทุกๆ คนเลย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูก็ควรที่จะมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และมีสันติสุขเหมือนกันหมด ไม่น่าจะมีอะไรวิตกกังวลอีกแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม? ถูกต้องตามพระคัมภีร์เปี๊ยบเลย แต่ถามว่าชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างที่บอกเมื่อตะกี้ไหม? ไม่เป็น
ยังจำได้ใช่ไหมครับ สัปดาห์ที่แล้ว ผมถามทิ้งท้ายไว้ เป็นคำถามที่บอกว่า.-
“การดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราบนโลกใบนี้ หลายครั้ง มากๆ ครั้ง บ่อยครั้ง เราไม่เห็นได้รับในสิ่งที่พระเยซูสัญญา หรือบอกเราไว้ตามสัญญาเลย ไม่เห็นได้รับตามนั้น ทั้งหมดเลย พระเยซูบอกว่าอย่างไร?
บอกว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะมีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”
เพราะฉะนั้น ในพระเยซู เราควรจะมีความชื่นชมยินดีตามที่พระเยซูสัญญา บอกไว้ จริงไหม? แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เราก็เชื่อพระเยซูแล้ว
ในที่นี่ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น … หมดเลย เชื่อแล้ว แล้วทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมอย่างที่พระเยซูบอกในตลอดเวลาเลย ทำไมล่ะ ท่านก็คิดในใจ ทำไม? แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร? บอกว่า.-
“สันติสุขที่เราให้กับท่าน ไม่เหมือนโลกให้”
“สันติสุขที่เราให้กับท่าน” ก็แสดงว่าพระเยซูให้สันติสุขกับเราแล้วหรือยัง? ให้แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราจะให้ แต่พระเยซูให้แล้ว
ให้มาแล้ว และท่านลองคิดดู ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่นั่งขณะนี้ ท่านมีสันติสุขที่พระเยซูบอกไหมครับ? มีไหม? เมื่อวานนี้มีไหม? ถามจริง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีไหม? เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ผมยังเห็นท่านหน้าคิ้วขมวด มีสันติสุขอะไร? นั่งรถแท็กซี่มายังหงุดหงิด รถมันติด นั่นเรียกว่าสันติสุขเหรอ … ไม่ใช่ … เมื่อเช้านี้รถเมล์แถมให้ 2 ป้าย ท่านยังไม่มีสันติสุขเลย ขนาดเขาแถมให้ท่าน 2 ป้าย ท่านยัง.-
“หงุดหงิดๆ เดี๋ยวไปไม่ทันเขานมัสการ”
บางคนขับรถมา วิ่ง แซงตัดหน้าเขามาปุ๊บ เขาตัดหน้ากลับปุ๊บ โอโห้ ทำให้ช้าไปตั้งเยอะ จะรีบไปโบสถ์นะเนี้ย ไม่มีสันติสุข มันแปลกดีนะ
หรือความเป็นจริง คือท่านมีความเครียด มีความวิตกกังวล มีความกลัวอยู่หรือเปล่า? มีไหม? ลองคิดในใจสิ ในนี้ หรือไม่มีเลย ถ้าใครไม่มียกมือขึ้น จะได้ออกมาข้างหน้านี้ ช่วยกันอธิษฐานให้ท่าน ท่านจะได้มีบ้าง ไม่ใช่ พูดเล่นๆ ปรากฏว่าไม่มีใช่ไหม? ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว พวกเราทุกคน เป็นอย่างนี้หมดแหละ มีความวิตกกังวล มีความเครียด มีความกลัว วิตกกังวล กลัว เครียด เพราะอะไร? เพราะเราก็จะบอกว่าก็เราเป็นคนมีภาระในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีครอบครัวที่ต้องดูแล มีรายได้ ปัญหาความเป็นอยู่ ปัญหาการสัมพันธ์ การติดต่อกับบรรดาผู้คน คนนั้นก็ไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่เข้าใจ กระทบกระทั้งกัน และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันไม่ได้ดั่งใจ มันผิดหวัง ภาษาจีนบอกว่าไม่ได้ดังใจเลย มันไม่ได้ดังใจ มันไม่ได้อย่างที่ใจเราหวังไว้ เราก็เกิดความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด
ในขณะที่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? พระเยซูสัญญาไว้ว่าอย่างไร? ถ้ามาหาพระองค์ … พระองค์ทรงประทานสันติสุขอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้เราแล้ว แต่เราก็ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่เว้นแต่ละวัน บางทีหลายครั้งต่อหนึ่งวันด้วยซ้ำไป แล้วชีวิตทำไมมันเป็นอย่างนั้น ไม่เห็นเหมือนที่พระเยซูบอกไว้เลย
หรือที่พระเยซูทรงสัญญา หรือบอกเราว่าเป็นอิสรภาพกับเราแล้ว ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือ Free indeed อิสระจริงๆ แต่ถามจริงๆ เถอะ ท่านมีความรู้สึกเป็นอิสระไหม? ถามจริง คิดในใจ ถามตัวเองพอ ไม่ต้องถามคนข้างๆ จริงๆ แล้วท่านมีอิสระดั่งพระเยซูบอกไหม? อิสระจริงๆ นะ Indeed แปลว่าหลุดเลยนะ หลุดไหม?
มีหลายคนนะครับ ที่เชื่อในพระเยซูมานานแล้ว จนทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกมีความฟ้องผิด เชื่อมานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเชื่อ ก็ยังมีความฟ้องผิดในใจ ในหลายเรื่อง ยังมีความรู้สึกว่าไอ้โน่นก็ยังทำไม่ดี ไอ้นี่ก็ยังทำไม่ครบ หลายอย่างก็ยังทำไม่ถูกต้อง คือยังติดอยู่ในกรงขังในการฟ้องผิดอยู่ ไม่เห็นเป็นอิสระ Indeed หรือจริงๆ อย่างที่พระเยซูพูดไว้ หรืออย่างที่พระเยซูสัญญาเลยว่าเมื่อมาเชื่อพระองค์ … พระองค์ปลดปล่อยเราเป็นอิสระ … อิสระเมื่อเชื่อว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา … เราเป็นอิสระจริงๆ มันไม่เห็นเป็นจริงตามนั้น
บางครั้ง ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ใช่ไหม? ทำไมมันไม่ได้อย่างที่เราคิด คนอื่นคิด คนข้างๆ คิด รู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำไม่ได้อย่างที่คนข้างๆ เรา เขาคาดหวังไว้ อย่างเพื่อนเราคาดหวังไว้ อย่างพ่อแม่เราคาดหวัง ครูบาอาจารย์คาดหวัง หรือแม้กระทั่งสังคมคาดหวังว่าเราน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่เป็น เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
หลายคนต้องรู้สึกท้อแท้ใจ ที่ไม่สามารถทำได้ อย่างที่คนอื่นเขาคาดหวังให้เราทำ หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง คาดหวังเองว่าเราจะทำไม่ได้ แล้วเราไม่ได้ มันน้อยเนื้อต่ำใจ มันท้อแท้ เป็นไหม? ไม่ต้องยกมือนะ
หลายคนแม้มาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็ยังจมอยู่กับความทุกข์เศร้าโศก ในลักษณะที่เขาเรียกว่าอยู่ในพันธนาการ คือไม่เป็นอิสระนั่นเอง พูดง่ายๆ คือภาระในใจมันเกิดขึ้น มันไม่เป็นอิสระ ภาระอะไรแล้วแต่นะ พูดถึงนะ เหมือนติดคุกในใจอยู่ เหมือนติดคุกอยู่เลย ยังไม่ได้การปลดปล่อยเลย ทั้งที่พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้ให้สันติสุข และให้อิสรภาพกับเราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้วนะ แล้วๆๆๆ แล้วเรามาเชื่อพระเยซู ทำไมเราไม่ได้ตามนั้น
พระเยซูบอกว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”
เห็นไหมครับ พระเยซูบอกว่าแค่มาหาพระองค์เท่านั้น ก็หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พระองค์ไม่ได้บอกว่ามาหาพระองค์ แล้วต้องทำอย่างโน่น ทำอย่างนี่ ทำนั่น ทำนี่ ท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่าให้มาหาพระองค์ แล้วพระองค์จะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข หายไหม? ไม่หาย หายนิดๆ ไม่หายหมด ไม่ใช่ท่านอย่างเดียว ท่านลองมองดูคนรอบข้างท่าน คนที่เป็นคริสเตียนทั้งหมดที่ท่านรู้จักมา มีใครไหมที่หายเหนื่อยและเป็นสุขอย่าง เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่พูดไว้จริงๆ เป็นไปตามข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูพูด แล้วติดอยู่หน้าโบสถ์หลายโบสถ์ รวมทั้งโบสถ์เราก็ติด ข้างๆ เราเป็นอย่างนั้นไหม? หรือตัวเราเองเป็นอย่างนั้นไหม? หรือมองไปรอบๆ โลกใบนี้เลย ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ไหม? หายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันแปลกดีนะ
ทุกวันนี้ เราก็เชื่อพระเยซู แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเครียด ยังดำเนินชีวิตด้วยความกลัว ดิ้นรน และกระสือกระสน หลายคนก็ยังเหนื่อยทั้งกายและใจ
พระเยซูบอกว่า “เราได้ให้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างแก่เจ้า”
ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ขัดสนบกพร่องอะไรต่างๆ ไม่ตกขาดบกพร่อง ไม่ขัดสนอะไรต่างๆ ชีวิตที่มีทุกอย่างอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ มีอย่างเหลือล้น ไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เป็นอย่างไรครับ ชีวิตจริง คริสเตียนหลายคน ก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ในแบบขาดๆ แคลนๆ ตลอด รู้ได้อย่างไรว่าตลอด อยากได้โน่น อยากได้นี่ ทุกวัน เหมือนขัดสน เหมือนขาดแคลนตลอด อยากได้มากขึ้น มากขึ้นอีก อยู่เรื่อยๆ ไป จริงหรือไม่จริง? ไม่เห็นครบถ้วน ไม่เห็นมีเหลือล้นอย่างที่พระเยซูสัญญาไว้เลย ไม่เห็นพอใจสักทีเลย ถ้ามันเหลือล้น มันก็ต้องพอสิ อันนี้มันไม่พอ แสดงว่าไม่เหลือล้น แต่มันขัดสน อย่างที่ผมเคยเหล่าให้ท่านฟัง ถ้าเผื่อพอ มันก็แสดงว่าเหลือล้นแล้ว เราพอแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่าจะเอาอีก แสดงว่ามันไม่พอ แต่พระเยซูบอกให้พอแล้ว แต่เราบอกไม่พอ มันคืออะไร?
คริสเตียนลองคิดดูนะ … เราเอง … ผมเองและท่าน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านลองคิดดู เราอยากมีทรัพย์สินเงินทอง ทำการงานเจริญรุ่งเรืองทุกอย่างใช่ไม่ใช่? ใช่
ถามว่าอยากมีทรัพย์สินเท่าไรถึงพอ? ตอนนี้พอไหม? อยากมีอีกไหม? อยาก ใช่ไหม?
อยากให้งานการที่ทำอย่างตอนนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกไหม? หรือพอแล้ว?
มีคนไหนในนี้ ยกมือขึ้นสิ บอกว่า “ผมทำงานที่บริษัทนี้ หรือผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ผมพอแล้ว ผมเอาแค่นี้พอ อย่ามาโปรโมทผมให้เป็นหน้าที่สูงกว่านี้เลย เงินเดือนมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว หรืออวยพรในการทำค้าขายของผมเลย ผมมีการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง รวยมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว”
มีคริสเตียนคนไหนอยากจะเป็นอย่างนี้บ้าง? ไม่มี เห็นหรือยัง? แล้วอยากมีอะไรอีก? ยิ่งพูดยิ่งชัดเลย อยากมีความแข็งแรง
เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้เลย คริสเตียนทุกคนก็อยากมีความแข็งแรง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน อยากมีความแข็งแรง ไม่อยากเจ็บป่วยถูกไม่ถูก? แล้วเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ถ้าพระเยซูบอกว่าไม่ขัดสน แสดงว่าท่านพอแล้ว ท่านเคยพอไหมว่า … ฟังดีๆ นะ ถ้าท่านอยากแข็งแรง ก่อนที่ท่านอยากแข็งแรง ท่านอยากอะไรก่อน อยากหายป่วย
สมมติว่าพระเยซูบอกว่าท่านอยากหายป่วย ท่านได้รับการหายป่วยจริงๆ พอท่านหายป่วย ท่านก็อยากอะไรต่อไป อยากไม่ป่วยอีกเลย ถูกไหม? พอท่านอยากหายป่วย สมมติว่าท่านได้ ไม่ป่วยอีกเลย ท่านก็อยากบอกว่าไม่ป่วยเลยเยอะๆ ขึ้น แล้วแข็งแรงด้วย ไม่ป่วยและแข็งแรงต่างกันนะ ไม่ป่วยเฉยๆ แต่ไม่ค่อยแข็งแรง ก็มี ไม่ป่วยเฉยๆ แต่เอาแบบแข็งแกร่งเลย แล้วพระเยซูบอกให้แข็งแกร่ง ไม่พอ
“ฉันจะแกร่งกว่านี้อีก”
ถูกไม่ถูก? พูดถึงใครก็ไม่รู้
พูดกับคนข้างๆ สิ “เขากำลังพูด ไม่ใช่เธอ” พูดสิ ใช่ไหม? แต่จริงๆ มันใช่นั่นเอง
เราทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่มีหยุดหรอก มีใครไหมบอก “รักษาฉันหายป่วย ฉันพอแค่นี้” ไม่มี
“ถ้าเกิดได้จริงๆ ฉันก็ไม่อยากป่วยอีกเลย ไม่อยากป่วยอีกเลย ฉันอยากแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยด้วย แล้วแข็งแรงขึ้นอีกต่างหาก”
มันเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ตรงนี้ชัดเลย เท่าไรถึงเรียกว่าพอดี มีเหลือเฟือ ชื่อเสียงดี คนนับหน้าถือตา ทุกอย่างแหละ มีพอไหม? มีชื่อเสียงเท่านี้ บอกพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว มีเหรอ มีแต่จะถูกดันให้เอามากขึ้น
ครอบครัวดีก็เหมือนกัน มีครอบครัวดี ก็เหมือนกัน ถ้าได้อย่างนี้ ก็อยากได้อีกต่อไป ถูกไหม? ถ้าคนที่ไม่ได้อย่างนี้ แค่ได้แค่นี้ฉันพอแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น.-
“ทำไมลูกฉันมันดื้อ ไม่เหมือนลูกอีกบ้านหนึ่งเลย พระเจ้าขอให้มันไม่ดื้อ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”
3 ปีต่อมา มันไม่ดื้อแล้ว หยุดอธิษฐานไหม?
“มันไม่ดื้อดีแล้ว ขอให้มันเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้นเถอะ” แล้วไงต่อ “พระเจ้าขอให้มันแข็งแรงด้วย”
ไม่มีวันจบสิ้น พอแข็งแรงเสร็จปุ๊บ “พระเจ้าขอให้มันมีลูกที่ดี มีครอบครัวที่ดี”
ไม่มีจบสิ้น คิดกังวลอยู่ตลอด ยังนี้เรียกว่าพอเพียงไหม? รวยหรือยัง? ขัดสนไหม? ขัดสน มีปัญหาอยู่ดี ท่านจะเห็นภาพไหมเนี้ย ถ้าพูดเรื่องเดียว ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว แค่นี้ก็ยาว สามารถอธิบายให้ท่านฟัง แต่เราไม่ได้เน้นเรื่องนี้ในการเทศนาในครั้งนี้ แต่ท่านพอเข้าใจแล้ว ทิ้งไว้แค่นี้ ท่านดู ท่านฟังแค่นี้ ท่านพอจะนึกภาพออกว่าคำว่า “ขาดแคลน” มันเป็นลักษณะอย่างไร?
ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย อยากจะมี อยากจะรับใช้ มีโอกาสรับใช้พระเจ้า ประกาศข่าวดีให้กับผู้คนมากๆ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ รับใช้พระเจ้า จะประกาศข่าวดีมากๆ แล้วเท่าไรถึงมาก? เท่าไรถึงพอ? เห็นไหม? นึกออกใช่ไหม? พระเจ้าให้เวลา 3 ชั่วโมง จิตใจอยากจะเป็น 6 ชั่วโมง ทิ้งครอบครัวมารับใช้ไม่พอ ทิ้งทุกอย่างมารับใช้ บอกจะรับใช้ต่อไป อย่างนี้เรียกว่าสันติสุขหรือเรียกว่าภาระ
ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ถือโอกาส มีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่ง เอาเรื่องจริงมาทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อเรื่องอะไรไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนสมัยนาซีเรืองอำนาจ คือฮิตเลอร์และนาซี เยอรมันเรืองอำนาจ พอเรืองอำนาจ เขาตีเมืองต่างๆ ในยุโรปได้หมดเลย เกือบจะชนะสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว แล้วเขาก็ข่มเหงคนที่เป็นยิวมากกว่าใครเพื่อน เพราะว่าเขามีความรู้สึกว่ายิวไปเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในประเทศเขามากเกินไป จนกระทั่งเจ้าของประเทศไม่มีจะกิน อะไรอย่างนี้ คนยิวรวย คนยิวเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เขาก็อิจฉา พอได้โอกาส เป็นเผด็จการ มีอำนาจ เขาก็ข่มเหงชาวยิว จับชาวยิวไปฆ่า ไปอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่เราเคยได้ยิน ไปรมแก๊ส แล้วมีเยอรมันอยู่คนหนึ่ง ชื่อชินเลอร์ออสก้าร์ ชินเลอร์ เป็นเรื่องจริงนะ คนนี้เขาอยู่ในพรรคนาซีด้วย เป็นเยอรมัน เขาก็เป็นพ่อค้า พ่อค้าขาย แล้วก็เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้า แต่ก็เป็นพ่อค้าธรรมดา แต่ติดต่อกับพวกนายทหาร ราชการทางการเมืองต่างๆ เขาก็เห็นช่องทาง ที่จะทำธุรกิจกับคนยิวเหล่านี้ ก็คือเอายิวที่เป็นเชลย นักโทษเหล่านี้ มาเป็นคนงานในโรงงาน เพราะว่าค่าจ้างมันถูก เพราะคนงานเหล่านี้ ถ้าไม่ได้เป็นคนงาน อาจจะถูกส่งไปทำลายทิ้ง โดยฆ่าตาย ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีข้าวกิน ทุกข์ทรมาน เพราะอยู่ในโรงงาน อย่างน้อย ก็มีกิน มีอยู่ ปลอดภัย เขาก็เอามาอยู่ ทำมาหากิน
ปรากฏว่าวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนใจใหม่ เรื่องจริงๆ ยาวกว่านี้เยอะ ทำให้มันสั้นๆ คือวันหนึ่ง ชินเลอร์ออสก้าร์ เขากลับใจใหม่ เขาอยู่กับยิวมากๆ เขาก็สงสาร เพราะว่าเขาเห็นว่าคนยิวถูกรังแก ถูกเอาไปฆ่า เด็กๆ คนแก่ คนเฒ่าถูกเขาไปฆ่า คนหนุ่มๆ ถ้าไม่มีแรงแล้ว ก็ถูกเอาไปฆ่า ผู้หญิงเอาไปฆ่าหมด เขาก็เลยเกิดความสงสาร อยากจะช่วยคนเหล่านี้ได้ โดยการนำคนเหล่านี้มาเป็นคนงาน แล้วก็บอก ติดต่อซื้อ จ่ายค่าใต้โต๊ะให้กับพวกนักการเมือง เพื่อจะขอซื้อคนเหล่านี้ แล้วบอกว่า.-
“เขาเป็นคนงานของฉัน ฉันจำเป็นต้องใช้เขา ฉันจะสร้างโรงงาน เพราะฉะนั้น ขอซื้อคนเหล่านี้ไว้คนเป็นงานของฉัน อย่าไปฆ่าเขา”
พูดง่ายๆ ว่าแทนที่จะถูกประหาร หรือถูกรมแก๊สกันหมด ซื้อคนเหล่านี้มาเป็นพันๆ คน แล้วก็มาอยู่ในโรงงาน จะได้รับความรอด … รอดจากการถูกไปฆ่าให้ตาย ปรากฏว่าเขาซื้อจนหมดตัวเลย คนรวยจากโรงงานนั้นมาตั้งปีสองปี ได้เงินเยอะมากมาย หลายล้านๆ แล้วก็เอาเงินเหล่านั้นทุ่มซื้อ จ่ายใต้โต๊ะ ซื้อชีวิตของชาวยิวเหล่านี้มาหมด โดยอ้างว่าจะให้มาทำงานในโรงงานทำอาวุธ ทั้งๆ ที่ทำอาวุธแบบยิงไม่ได้ เขาบอกถ้าเขาทำอาวุธแบบที่ยิงได้ เขาเลยทำแบบยิงไม่ได้ พูดง่ายๆ หลอกรัฐบาลของสมัยฮิตเลอร์
จบสั้นๆ คือเขาได้ช่วยคนยิวเหล่านี้ ได้ประมาณพันกว่าคน สมมตินะ ตีสักประมาณ 1,150 คน สุดท้ายเลย พอวันที่เขาประกาศยุติสงครามว่าฝ่ายพันธมิตรชนะแล้ว เยอรมันแพ้ สงครามยุติแล้ว สรุปแล้ว เขาช่วยคนมาได้ 1,150 คนสมมตินะนอกนั้นถูกฆ่าตายหมด ถูกรมแก๊สตายหมด คนก็มาขอบคุณเขา
ท่านคิดดู อย่างที่ผมพูด จะให้ท่านสังเกตว่าสิ่งที่เรากำลังพูดนี้ เรื่องอะไร? เรื่องความพอเพียงมันคืออะไร? เขาเป็นคริสเตียน ทุกคนก็มาขอบคุณเขาที่เขาได้ช่วย แต่เขาบอกเขาไม่ได้ช่วยเลย เขาก็ชี้ไปที่หัวหน้าของคนงานยิว
“คนนี้เป็นคนช่วยท่านมากกว่า เพราะเขามาช่วยผม ในการจัดแจงเรื่องเกี่ยวกับคนงานต่างๆ แต่ผมเองไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย เพราะผมทำธุรกิจ และบัดนี้ ผมกลายเป็นคนที่กลับกันแล้ว เมื่อเยอรมันแพ้สงคราม ผมกลับถูกตามล่า ผมถูกเป็นฆาตกร ถูกตราหัวไว้ เขาจะตามล่าผม”
เพราะเขาเป็นหนึ่งในจำนวนพรรคนาซีไง เขาจึงถูกตามล่า ถูกจับเหมือนกัน เขาเป็นฆาตกร กลับกันแล้ว ไม่ต้องขอบคุณเขา แต่ทุกคนก็ไปขอบคุณเขา เสร็จแล้วหัวหน้าคนงาน ก็เลยไล่ชื่อบอกเขาว่า.-
“คุณได้ช่วยชีวิตคนยิวไว้ 1,150 คน ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีคุณ เขาตายไปแล้ว”
แล้วทันทีทันใดนั้น ไคร์แม๊ทอยู่ตรงที่ออสก้าร์ พระเอกคนนี้ ก็เริ่มซึ้งในคำที่เขาพูด เขาพูดด้วยความซึ้ง ขอบคุณด้วยความซึ้ง พระเอกนี้ ก็หันไปมองที่รถยนต์ที่เขากำลังจะนั่งหนีไป รถยนต์ประจำตำแหน่งเขา พูดง่ายๆ สมมติในปัจจุบัน ก็คือรถเบนซ์สวยงาม ประจำตำแหน่งคันเบ่อเริ่ม เขามองไป เขาก็ร้องไห้โฮ อยู่ดีๆ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่ค่อยร้องไห้เลยนะ แต่นี่ร้องไห้โฮ เพราะอะไรรู้ไหม?
“ผมไม่น่าเอารถคันนี้เก็บไว้เลย ตอนนั้น ผมน่าจะขายรถเบนซ์คันนี้ให้กับเจ้าหน้าที่นั้น เพื่อจะซื้อ อย่างน้อยๆ ซื้อได้อีก 10 ชีวิตคนงาน”
เข้าใจไหม? เพราะเขาซื้อเป็นหัวไง หัวละกี่ตังค์ๆ แต่เขาหมดตัวแล้ว เขาบอกเขาหมดตัว แต่จริงๆ เขามีรถคันนี้อีก เขาน่าจะขายรถคันนี้ไป เขาร้องไห้
“ผมน่าจะขายรถคันนี้ไป อย่างน้อย เขาก็จะให้เงินผมอีกเท่านี้ๆ ซึ่งผมจะได้หัวหนึ่งอีก 10 ชีวิตรอดมา ไม่ใช่ 1,150 เท่านั้น แต่จะได้อีก 10 ชีวิตผ่านมา ได้อีก 10 ชีวิตเพิ่มขึ้น”
แค่นั้นไม่พอ เสร็จปุ๊บ ยิวคนนั้น ก็มาปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกๆ” คนนี้ก็ร้องไห้ต่อไป เสร็จแล้วเจอเข็มกลัด คล้ายๆ เพชรหรือทองมีค่า เขาดึงเข็มขัด
“แล้วเข็มกลัดอันนี้ มันยังสามารถขายให้เขาได้ ผมไม่น่าเก็บไว้เลย ตอนนั้นผมน่าจะขายเข็มขัดนี้ให้เขาด้วย เข็มขัดนี้อาจจะได้อีก 2 ชีวิต 2 คน” นึกออกใช่ไหมครับ?
จบตรงนี้ ทำไมผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะอะไร? งานรับใช้ ประกาศข่าวดี ก็ไม่มีวันพอใจสักทีหนึ่ง ทำไมผมถึงอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แทนที่เขาจะขอบคุณพระเจ้า แทนที่จะสรรเสริญพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าทำกับเขา ผ่านทางพระพรให้กับเขา โดยที่พระพรนี้หลั่งไหลไปยังคนอิสราเอลที่ได้รับความรอด ผ่านทางเขา 1,150 คนแล้ว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความปิติยินดี อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เครียด อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าวิตกกังวล แต่นี่เขาวิตกกังวล เขากลัว ทั้งๆ ที่ทำไปตั้ง 1,150 คน เพราะว่าไม่ใช่เขาทำ พระเจ้าทำ แต่เขาคิดว่าตัวเองเขาก็ต้องทำ ฉะนั้น พอนึกว่าตัวเองจะต้องทำ เขาก็ต้องทำอีก เขาก็อยากได้อีก ไม่ได้พักสักทีหนึ่ง
นี่ก็อันเดียวกันกับที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ให้ท่านฟัง ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านเทียบดู ถ้าท่านบอกท่านประกาศ ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้มีสันติสุขสักที ถ้าท่านคิดตามเขาแบบนี้
“แท็กซี่คนนั้น ฉันก็ไม่ได้พูดให้เขาฟัง แล้วเขาตาย ใครจะรับผิดชอบ”
ท่านได้มีพักสงบบ้างไหมเนี้ย? ท่านจะเครียดไหม? แล้วพระเจ้าต้องการให้ท่านเครียดอย่างนี้เหรอ พระเยซูบอกว่าท่านได้หายเหนื่อยและเป็นสุข แล้วมันจะหายเหนื่อยได้อย่างไร? นี่แม้กระทั่งงานรับใช้เองนะ ท่านพอเข้าใจไหม?
“คนนั้น ฉันว่าฉันจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ไปไม่ทัน ตายไปก่อนแล้ว”
รู้สึกฟ้องผิดไหม? ถามจริง ฟ้องผิด คนก็มักเป็นอย่างนี้ แต่พระเยซูต้องการให้เราเป็นอย่างนั้นไหม? เปล่าเลย พระเยซูต้องการให้เราเชื่อในพระองค์ … พระองค์ทรงทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าพระองค์ทรงนำพาเราไปทัน มันก็ทัน ถ้าพระเจ้าต้องการให้ 1,150 คน ยิวเหล่านี้เหลือไว้ (ทำพันธุ์ต่อไปในรุ่นต่อๆ ไป หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก็จะถูกอยู่ ไม่ต้องถูกรมให้ตายไป 4-5 ล้านคนนั้น) ถูกไหม? แต่ 4-5 ล้านคนที่ตายไปแล้วนั้น เขาก็อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก เราช่วยอะไร 4-5 ล้านคนนั้นได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปแบกโลกเอาไว้ ให้มันเครียดเปล่าๆ
ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านเอาเรื่องนี้ ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของท่านได้ด้วย มีประโยชน์ไหมครับ? ผมว่ามีประโยชน์นะ ผมคิด หนังเรื่องนั้น นึกถึงเรื่องนี้ เลยอยากเล่าให้ท่านฟัง นอกเรื่องจากนี้นิดหนึ่งว่าพระเยซูต้องการให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เราชอบไปทำตัวเอง ไม่ให้หายเหนื่อยและเป็นสุข และเราก็นึกว่าเอ๊ะ! ทำไมพระเยซูสัญญา แล้วเรายังไม่ได้ทำตามที่พระเยซูบอกไว้ เราทำตามสิ่งที่เราคิดเอง ทำเอง ทุกประการ คำสัญญาของพระเยซูทั้งหมด ที่พูดมาเมื่อตะกี้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อ ถูกไหม? เราเชื่อ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วเราก็เชื่อในคำสัญญาทั้งหมดของพระองค์ด้วย เพลงเรายังร้องขึ้นใจเลยว่าพระองค์ทรงสัญญาอย่างนั้น เช่น
“ข้ายึดมั่นในคำสัญญาขององค์พระคริสต์
ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์
สรรเสริญยกย่องพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์
ยึดมั่นในคำสัญญาของพระเจ้า”
ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์ คำสัญญาของพระองค์ หรือของพระคริสต์ ที่เรายึดมั่น คืออะไรครับ? คืออะไร? คือที่เราคุยมาทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้ ใช่ไหม? พระเยซูให้อิสรภาพกับเรา ให้ความชื่นชมยินดีกับเรา ให้สันติสุขกับเรา ให้ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์กับเรา จนเราไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย เราอยู่กับสิ่งนั้นได้ ให้ชีวิตนิรันดร์ ให้อยู่กับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าจริงหรือไม่จริง? จริง ถูกหมดเลย ทั้งหมด เรายึดมั่นในคำสัญญานี้ แต่ในความจริง การดำเนินชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตจริงๆ ของเรา เป็นไปตามที่เราร้องไหม? ไม่เป็น เพราะเราไม่ได้ยึดตามที่เราร้องจริงๆ นั่นเอง เรายึดแต่ปาก การดำเนินชีวิตของเราในฐานะที่เป็นคริสเตียน หรือในฐานะสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เดินตามพระเยซู มันไม่เห็นเป็นตามสัญญาเหล่านั้นเลย เพราะอะไร? มันไม่เห็นเป็นเลย ที่พูดมาทั้งหมด ได้อย่างเดียว คือได้ชีวิตนิรันดร์ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว
“ได้อะไร?”
“ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้า”
ที่เหลือทั้งหมด อิสรภาพ ไม่ได้ ขัดสนตลอด ทุกอย่างตลอด ไม่ได้พักหายเหนื่อย เหนื่อย เครียดตลอดอย่างนี้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถสังเกตได้ว่ามันไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอก ที่พระเยซูสัญญา หรือไม่เชื่อในคำสัญญาของพระองค์ มันไม่ใช่อย่างนั้น เราเชื่อ แต่ทำไมคำสัญญาเหล่านี้ จึงไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา ปัญหามันอยู่ที่ไหน? ปัญหา คืออะไร? ทำไมชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ จึงได้แตกต่างจากชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้เหลือเกิน ชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าชีวิตเมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ๆ ทำไมมันถึงแตกต่างจากชีวิตจริง ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ ทำไม? เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้ด้วยกัน มาช่วยกันนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ช่วยกัน ทำไมสิ่งที่เราเชื่อจึงไม่เกิดผล เราจะมาวิตกจากบันทึกของอาจารย์เปาโล ในหนังสือโคโลสี
เปาโลมีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง พอเพียง แปลว่าไม่ขัดสน แปลว่าครบถ้วนบริบูรณ์ อะบันเดิ้นไลท์จริงๆ เป็นสันติสุขในพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง ที่ท่านได้รับมา เรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตอยู่ในนั้น แล้วท่านอยากให้เราได้รับเหมือนกับที่ท่านได้รับเช่นเดียวกัน คำพูดของอาจารย์เปาโลที่กำลังจะอ่านต่อไปนี้นะครับ เป็นสิ่งที่จะสอนเราว่าการที่เราจะได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญากับเรานั้น เราควรจะทำอย่างไรบ้าง? ลองอ่านกันดูนะครับว่านี่คือวิธีการที่จะได้รับสิ่งที่พระเยซูสัญญาไว้ในชีวิตคริสเตียนทุกคน ท่านอยากได้ไหม? อยากได้ ตั้งใจอ่านตรงนี้ แล้วมาเรียนรู้กันต่อไป โคโลสี 3:1-4
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
นี่คือถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่กำลังสอนเรา ถึงแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขและพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานับประการ เหมือนอย่างที่อาจารย์เปาโลได้รับแล้ว เปาโลไม่ได้พูดลอยๆ แบบที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในชีวิตนะครับ ถ้อยคำหรือคำสอนตรงนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปฏิบัติจริงๆ แล้วเกิดผลในชีวิตของท่านแล้วจริงๆ ท่านจึงอยากให้เราได้รับ อย่างที่ท่านได้รับจริงๆ ลองย้อนมาดูนะครับ ลองย้อนดูตัวเรา ถามว่าจริงๆ แล้วเราต้องการดำเนินชีวิตในทางพระเจ้าหรือไม่? เราอยากมีชีวิตเต็มไปด้วยน้ำพระทัยพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิตหรือไม่? เราอยากมอบถวายชีวิตของเรากับพระองค์หรือไม่? เราอยากให้พระเจ้าอวยพรชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ในชีวิตของเราใช่ไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบทุกคน คือใช่หมดทุกข้อนั่นแหละ อยากได้อย่างนั้น แต่ละวันเราก็อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้ใช่ไหม? แต่ละวัน ส่วนใหญ่
“ขอให้ลูกได้เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น ได้ติดสนิทกับพระองค์มากขึ้น มากขึ้นทุกวัน ขอให้ลูกเป็นไปตามน้ำพระทัย”
ถูกไหม?
“ขอให้ลูกพึงพิงในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ลูกวางภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ ขอทรงโปรดช่วยลูกเถิด”
อะไรอย่างนี้ ประมาณนี้ ถูกไหม? นี่คือคำอธิษฐานทั่วๆ ไปของเรา แต่ละวัน แต่หลังจากอธิษฐานแล้ว เราหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นครับ เราก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของโลกนี้ ยังคงเครียดและวิตกกังวลกับเรื่องราวบนโลกนี้ ที่กำลังเกิดขึ้น ยังคงแบกภาระทางโลกไว้ จนหนักอึ้ง ถูกหรือไม่ถูก? ใช่ไม่ใช่? ใช่ คือลึกๆ แล้ว เรามีความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง
ความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณ เราก็อยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้ แต่ความคิดและจิตใจทางร่างกายของเรา มันก็ยังคงติดอยู่กับเนื้อหนัง เชื้อของความบาปที่ติดอยู่กับเนื้อหนัง ใช่หรือไม่ใช่? คือวิญญาณเรายังอยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้ พอออกจากห้องมา ความคิดจิตใจร่างกายของเรา มันยังติดอยู่กับเนื้อหนัง ติดอยู่กับกระแสของโลกนี้ ยังเกาะอยู่กับระบบของโลกนี้อยู่ ยังคงดำเนินชีวิตแบบเราเป็นของโลกนี้อยู่ ยังดำเนินชีวิตตามระบบของโลกนี้อยู่ใช่ไม่ใช่? ใช่
เรามาดูถ้อยคำในโคโลสีที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเคล็ดลับมันอยู่ที่ไหน?
ในข้อ 1 ที่ตะกี้นี้เราอ่านไปด้วยกันบอกว่า “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”
“แล้ว” แปลว่าอะไร? แปลว่ามันเสร็จไปแล้ว
“ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะท่านตายแล้ว”
จำคำว่า “แล้ว” ไว้
“และบัดนี้ (แปลว่าเดี๋ยวนี้) ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”
นี่คือเคล็ดลับอยู่ในนี้ สังเกตให้ดีนะครับ พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “แล้ว” ทั้งนั้นเลย ที่ตะกี้นี้ผมให้ท่านสังเกตดู
“ทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”
ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้วหรือยัง?
พูดกับคนข้างๆ สิ “ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ท่านถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว
หรือในข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านได้ตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์แล้ว ในพระเจ้า”
ถ้อยคำพระเจ้าไม่ได้บอกว่าท่านจะต้องตาย หรือเมื่อถึงเวลาที่ท่านตาย ท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ได้บอกอย่างนั้น ถูกไหม? แต่ย้ำว่าเกิดขึ้นหมดแล้ว ตายแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เอเมน เรียบร้อยไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ ไม่ใช่ต้องรออนาคต ยังมีอีกในโรม 6:4
โรม 6:4 “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมา เข้าในความตาย …”
ในโรม 6:6-7 บอกว่า “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป (แล้ว … นี่พูดเอง)”
เอเฟซัส 2:6 ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อ่านกันนิดหนึ่ง “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์แล้ว”
พระคัมภีร์ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ ตรงที่ตะกี้นี้พูด ไม่ใช่รออนาคตจะมาถึง แต่ให้จดจ่อว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันเดี๋ยวนี้แล้ว
“ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว”
ทุกอย่างได้เกิดขึ้นครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว จำได้ไหมครับ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และตายตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงตะโกนร้องว่า “It is finished” มันได้เสร็จแล้ว It is finished. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เสร็จแล้ว It is finished. สำเร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่า It has begun. ก็คือมันเริ่มต้นแล้ว มันยังไม่จบ ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่ามันจบแล้ว ทุกอย่างเสร็จสิ้นบนโลก ที่ไหน? ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงนั้น ทั้งหมดที่ได้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราได้อ่านมานี้ ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว หันไปบอกคนข้างๆ ได้เลยครับว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว บอกคนข้างๆ มันเกิดขึ้นตามนั้น ที่พระเยซูบอกนั่นนะ มันเกิดขึ้นทั้งหมดตามนั้นเลย ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันก็เกิดอย่างนั้นขึ้นแล้ว ไม่ขัดสน มันก็เกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว หาให้เจอ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า จดจ่ออยู่ที่นั้น
บอกคนข้างๆ หรือยัง ตะกี้เห็นคนบอกคนข้างๆ บอกว่า “ท่านตายแล้ว”
อย่าหยุดอยู่แค่นั้นนะ ต้องบอกว่า “เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”
หลายคนหันไปบอกว่า “ท่านตายแล้ว”
แค่นั้นมันหยุดไม่ได้นะ ถ้าท่านบอก ท่านหันไป แล้วบอกประโยคเดียวบอกว่า “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว” อันนี้ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหันไปแล้วบอกว่า “ท่านตายแล้ว” แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่ได้ ต้องให้ครบ
“ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”
เอาใหม่อีกที “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่คุยกันไว้ว่า “ทำไมเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เรายังไม่ได้รับในพระสัญญาของพระองค์?”
“ทำไมเรายังไม่มีสันติสุขตามที่พระองค์บอกไว้ในชีวิตของเรา”
“ทำไมเรายังมีความเครียด ความวิตกกังวลอยู่เลย”
สรุปว่าปัญหาอยู่ที่ไหนครับ? ปัญหาอยู่ที่ใคร? อยู่ที่พระสัญญาของพระเยซูหรืออยู่ที่ตัวเรา … อยู่ที่ตัวเรา แสดงว่าพันธสัญญานั้นเป็นจริง แต่มันอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาของหลายๆ คน ที่ยังไม่ได้รับในสิ่งที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ ทั้งๆ ที่เชื่อในพระเยซูมาตั้งนานแล้ว เชื่อจริงๆ ด้วย เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ แต่สิ่งที่ขาดอยู่ ก็คือไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐนั้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐที่ตัวเองได้รับข่าวประเสริฐมาแล้ว แต่ไม่เชื่อมันหมด หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่เข้าใจถึงสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นอะไร? พระคริสต์เป็นอย่างไร? อาจจะยังไม่เข้าใจ อย่างที่ผมบอก รับข่าวประเสริฐมา รับเฉพาะว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา มันก็ได้รับแค่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ได้เอาอย่างอื่นแล้ว ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไร? เราสามารถมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ได้นะ มีทางเป็นไปได้ ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะใช้สิทธิของเรา ถูกไหมครับ สิทธิของเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ในพระคริสต์
ให้เราพูดพร้อมกัน “ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์”
พูดอีกประมาณ 50 ครั้ง “ในพระคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ In Christ ในพระคริสต์”
ต่อไปนี้ท่านจะต้องจำตรงนี้ไว้ตลอดเวลาเลย เราต้องมุ่งความคิดของเรา จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวว่ากันต่อไป ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ แล้วศึกษาไปเรื่อยๆ ว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เขาเรียกภาวนาๆ ไปทุกวันๆ พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทำให้เราหมดแล้ว เราได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าเราไม่สนใจในสิ่งที่พระองค์ทรงให้เรา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในพระคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งถ้าเราไม่สนใจในพระคริสต์ เราก็จะไม่ได้รับในสิ่งเหล่านั้นเลย เพราะเหมือนเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอกไว้ในพระคริสต์
ยกตัวอย่างเช่น ในพระคัมภีร์บอกว่า “ในพระคริสต์ท่านตายแล้วกับพระคริสต์”
ที่ไม่เชื่อ เพราะอะไร? เพราะเราไม่รู้ ท่านตายแล้วกับพระคริสต์ เราก็ไม่รู้ เรานึกว่ารอให้เราตายก่อน วันหนึ่งข้างหน้าเราจะตาย ไม่ใช่ ตายแล้ว เดี๋ยวนี้ตายเลย ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระคริสต์ อย่างนี้เป็นต้น
เป็นขึ้นมาใหม่ บางคนก็บอกรอให้ร่างกายตายไปก่อน แล้วค่อยได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ บาปในพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระคริสต์ไปแล้ว ตรึงไว้ตรงนั้นแล้ว ท่านก็มาบอกว่าบาป เราต้องฆ่ามันทุกวัน เราต้องไม่ทำบาป เราต้องทำอย่างนั้น มันคนละเรื่องกัน ในพระคริสต์ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว เอเมน บางคนก็มีความรู้สึก
“ยังไม่หมดเวร เมื่อไรมันจะตายสักที ตายจะได้หมดเวร พระเยซูจะได้มารับฉันไป ฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมสักที”
ไปกันใหญ่เลย ทั้งๆ ที่มันหมดไปแล้ว และในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเป็นคนบริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันเกิดขึ้นแล้ว ท่านต้องรู้สิทธิว่าในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ท่านเป็นใคร? ท่านได้รับอะไรบ้าง? แล้วมันเป็นไปแล้วอย่างไร? ท่านจึงจะสามารถได้รับสิทธิของท่าน ถ้าท่านไม่สนใจเลย ท่านก็ … เขาเรียกว่าอะไร? ท่านก็นอนหลับทับสิทธิ์
เมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ต้องเชื่อให้มันครบหมดทุกอย่าง ท่านก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งอยู่ในพระคริสต์ มิฉะนั้นท่านไม่สนใจในพระคริสต์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อย่างในตัวเอง ในโลกนี้ ทำอย่างไรรู้ไหมครับในโลกนี้? ทำเอง อยากได้ ทำเอง มันก็ไปตามกระแสของโลกนี้ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบ วิตกกังวล เครียด กลัว ไม่พอ เอาอีกๆ จนกระทั่งวันตาย แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า ท่านจะเอาอย่างนั้นไหม? ก็ได้ ท่านก็อยู่กับพระเจ้า แล้วท่านก็ได้แค่นั้นเอง แต่ในชีวิตท่านแทบจะไม่ได้ถวายเกียรติอะไรกับพระเจ้าเลย เพราะมันเครียดตลอดทั้งชีวิต ในยอห์น 8:31-32 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า.-
ยอห์น 8:31-32 “31 “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ 32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
ไม่ใช่เป็นคนที่อยู่ในคุกอีกต่อไป เป็นอิสรภาพ มีอิสรภาพ
พูดพร้อมกัน “และความจริง จะทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นไท” ตะโกนดังๆ เลย
อะไรที่ทำให้เราเป็นไท “ความจริง” นั่นเอง เรากำลังมาเรียนรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ พระองค์ทรงทำอะไรให้เราบ้าง? ความจริงที่พระเยซู หมายถึงคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้รับมาแล้ว เช่น เรารอดจากบาปแล้ว … เราเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว … สวรรค์เป็นของเราแล้ว … เราสะอาดหมดจด ปราศจากมลทินทั้งปวงเรียบร้อยไปแล้ว … เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดจริงๆ แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่อาบน้ำ แต่เราก็สะอาด ข้างในวิญญาณเราสะอาดหมดจดจริงๆ เลย แม้เมื่อวานนี้เราจะโกหกหรือทำบาปอะไรต่างๆ แต่วันนี้เรารู้ เดี๋ยวนี้เราก็รู้ว่าเรายังบริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินจริงๆ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระเยซู เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน มันแปลว่าอย่างนี้ และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้
นี่คือความจริงที่เราเป็นไท นี่คือความจริง … ความจริง คืออะไร? ความจริง คือถ้อยคำพระเยซูที่อยู่ในพระคัมภีร์ ความจริงตรงนี้จะทำให้เราเป็นไท เพียงแค่เรารับรู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็เชื่อตามความจริงนี้เท่านั้นเอง จดจ่ออยู่กับความจริงนี้ ไม่ว่าโลกมันจะโกหกอะไรเรา ไม่เชื่อ เราจะเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า และใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนี้ ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นไท หรือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง คือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง จากชีวิตประจำวันทั้งหมด เหมือนที่เปาโลได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน
นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเรา บอกเรา ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แล้ววิธีที่เปาโลได้สอนไว้ คือให้ใจ และความคิดของท่านหรือของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก
พูดพร้อมกันนะครับ “ฉันจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”
คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย เข้าใจไหมครับ? ถ้าจิตใจท่านจดจ่ออย่างนี้ตลอดเวลา ท่านคิดอยู่ตลอดเวลา ขึ้นรถเมล์ก็นั่งคิดอยู่ตลอดเวลา เผลอๆ กินข้าวไป มีสมองคิดตลอดเวลาว่า.-
“ฉันกำลังกินข้าว ฉันนั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ฉันอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันอยู่ที่นั่นแล้ว”
ท่านจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เรียกว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้ว และท่านจะสามารถเผชิญทุกอย่างได้บนโลกใบนี้ เอเมน นี่แหละอิสรภาพ นี่แหละคือชัยชนะ เห็นหรือยังว่ามันเป็นไปได้
“มันเป็นไปได้จริงๆ นะ”
และใครที่สามารถทำได้ตามอย่างที่เปาโลสอนนั้น ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามพระสัญญาของพระคริสต์ ที่ตะกี้นี้เราอ่านมาทั้งหมดเลย แล้วมากกว่านั้นอีก และได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง เป็นคริสเตียนแท้จริง ตามพระคัมภีร์ แบบที่เปาโลได้รับไปเรียบร้อยแล้ว แล้วอยากให้พวกเราเป็นอย่างนี้ อยากไหม? เอเมน
เรามาย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าเปาโลสอนเราว่าอย่างไร? ในโคโลสี 3:1-4 อ่านพร้อมๆ กัน ดังๆ เลยนะครับ
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
อ่านตามผมดังๆ เลยนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า” เอเมน
ไปท่องตรงนี้เยอะๆ ท่องเยอะๆ เลย นี่คือการจดจ่ออยู่ตรงนี้ ไม่ใช่วันนี้ เดี๋ยวนี้ และแค่นี้ แล้วก็กลับไป มองๆ อย่างนี้ตลอด และเราจะพูดถึงเรื่องนี้ไปอีกหลายตอน อย่างที่ผมบอก จะมาคุยเรื่องในพระคริสต์ตรงนี้เป็นอย่างไร? เบื้องบนที่พระเยซูคริสต์ให้เราไปนั่งอยู่ตรงนั้น เป็นอย่างไร? แล้วเราเป็นอย่างไรตรงนั้น ที่เรียกว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร?
และหนึ่งวิธี ที่จะมีส่วนช่วยเราให้สามารถจดจ่อความคิดจิตใจของเรากับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือการร้องเพลงที่เกี่ยวกับพระคริสต์ ในพระคริสต์นี้ การร้องเพลงให้ขึ้นใจ มันถึงช่วยเราได้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าเพลงฮิมเขามีไว้ทำไม? ให้เราจดจ่อที่นี่ ร้องไปๆ เพราะร้องเป็นเพลงมันจำได้ง่ายขึ้น แม้จะร้องเพี้ยนก็ตาม แต่สำหรับเราเพราะอยู่คนเดียว ทุกคนร้องเพลง ทุกคนก็คิดว่าร้องเพราะอยู่คนเดียวนั่นแหละ ไม่มีใครนึกว่าตัวเราเพี้ยนหรอก เพราะเราร้องแล้วมีความสุขของเรา เป็นโลกส่วนตัวของเรา เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ให้ขึ้นใจ เนื้อหาของเพลงนี้ บอกเล่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ และสิ่งที่เราได้รับตามพระสัญญาของพระองค์ในพระคริสต์ ให้เราฝึกร้องเพลงนี้ จำให้ขึ้นใจ แล้วก็ให้บทเพลงนี้ เป็นเครื่องเตือนใจเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และให้เรารับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และความล้ำค่าสูงสุดของการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราได้มีชีวิตอยู่ในพระองค์ ในพระคริสต์นี่แหละ เราได้รับมา เพราะพระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา และการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบมีพระคริสต์นำหน้า ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์กลับมาบ้าน พาเรากลับบ้าน พาเรากลับไปอยู่เบื้องบน จบหน้าที่เรา ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์เพียงจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้นนะ หมดหน้าที่เรา เรากลับบ้านแล้ว เราไม่สามารถที่จะอยากอยู่ต่อไปได้ และเราไม่อยากอยู่ต่อ ก็ต้องอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านอยากอยู่ไหม? แล้วแต่พระเจ้า ให้ชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน จดจ่ออยู่ที่พระเยซู ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*********************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2
โดย นคร เวชสุภาพร
เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ตอนนี้ตอนที่ 2 นะครับ วันนี้เรายังอยู่ในซีรี่ส์ การบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ให้เราพูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ให้ลองถามคนข้างๆ สิ “เธอเป็นใครในพระคริสต์”
“รู้ไหม?” อันนี้ถามตัวเอง ไม่ต้องถามเขา
“รู้ไหม? ฉันเป็นใครในพระคริสต์”
เราจะมาศึกษาในเรื่องนี้กันต่อ ครั้งที่แล้วเราได้คุยกันตั้งแต่ความหมายของคำว่า “พระเยซูคริสต์” ความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” “การถูกชุบ” “การถูกสร้างขึ้นใหม่” “การเกิดใหม่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไรบ้าง? เราได้บรรยายกันไปในตอนที่แล้ว ใครที่ยังไม่ได้ฟังในตอนที่แล้ว ก็ไปหาซีดีฟัง หรือไปเปิดในยูทูป เว๊บของคริสตจักรโฮลี่ มีเก่าๆ เยอะแยะ ดูสัปดาห์ที่แล้ว ดูชื่อเรื่องก็ได้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หรือเราเป็นใครในพระคริสต์
ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันที่สมาการ สมาการของใคร? ของพระเยซูคริสต์ สมาการที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ในหนังสือยอห์น ยังจำได้ไหมครับว่าพระองค์จัดสมาการไว้ว่าอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ สมาการ คือการเปรียบเทียบ
พระเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเหมือนพระเจ้า
พระเยซูทรงอยู่ในเรา ผู้ที่เชื่อนะ พระเยซูทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เท่ากับ เราจึงเหมือนพระเยซู และเมื่อพระเยซูเหมือนพระเจ้า และเราเหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราจึงเหมือนพระเจ้า เอเมน
เราเหมือนพระเจ้านะครับ ฟังให้ดีๆ เราเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่เราเป็นพระเจ้านะครับ อย่าเข้าใจผิด เราเหมือนพระเจ้า เหมือนกับเป็น ต่างกันเยอะเลยนะครับ ถูกไหม? บางคนแต่งเป็นผู้หญิง ก็ดูเหมือนเป็นผู้หญิง แต่บางทีตัวจริงๆ อาจจะไม่เป็นผู้หญิง หรือบางคนแต่งเป็นผู้ชาย แต่ดูเหมือนผู้ชายก็มี เห็นไหม? บางทีเขาเอาไปแต่ง แมวบางตัวแต่งออกมา ดูเหมือนสุนัขก็มี แต่มันไม่ใช่ เข้าใจไหม? เป็นเหมือน ไม่ใช่เป็นนะ เป็นเหมือน
คำว่า “เหมือน” พระเจ้าตรงนี้ หมายถึงสภาพ หรือมีพระลักษณะ หรือเรียกว่าลักษณะชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะเรียกว่าลักษณะหรือพระลักษณะ แล้วแต่ ก็คือเป็นลักษณะของพระเจ้า ที่เหมือนพระเจ้าอยู่ในชีวิตเรา ชีวิตใหม่นั้น คืออะไร? ยกตัวอย่าง พระลักษณะหนึ่ง คือมีความชอบธรรมบริสุทธิ์ อย่างนี้เป็นต้น พอเราไปอยู่ในพระคริสต์ เรามีความชอบธรรม มีความบริสุทธิ์สะอาด เหมือนใคร? พูดพร้อมกัน “เหมือนใคร?” เหมือนพระเจ้า
พูดพร้อมกัน “ฉันชอบธรรมและบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า โดยผ่านทางพระคริสต์ ในพระคริสต์”
เพราะฉะนั้น ชอบธรรมบริสุทธิ์ จึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ไง ถ้าเราไม่ชอบธรรม เราเป็นคนบาป อยู่พระเจ้าไม่ได้ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่นี่เราชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ยืนยันนิดหนึ่ง ด้วยถ้อยคำ พระคัมภีร์ ซึ่งเราไม่ได้มาพูดเองนะ จะได้รู้ว่ามาจากพระคัมภีร์ ครั้งที่แล้วทิ้งไว้ตรงนี้ ยอห์น 14:20 พระเยซูตรัสว่า.-
ยอห์น 14:20 ““ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”
ยอห์น 14:23 อีกข้อหนึ่ง บอกว่า “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักเขา พระบิดากับเรา จะมาหาเขา และอยู่กับเขา”
ทำบ้านอยู่กับเขาเลย Make our home with him. อยู่กับเขา ทำบ้านอยู่ด้วยกัน อยู่กับเขา อยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัว เห็นภาพไหม? นี่พระเยซูตรัส บอกว่าเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา จะเชื่อฟังคำสอนของเรา ก็หมายถึงจะเชื่อว่าพระองค์สอนว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 และชำระบาปให้กับท่าน แล้วท่านจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้ คนเหล่านั้นที่เชื่อในคำสอนของพระเยซู ตรงนี้ ซึ่งเป็นหัวใจ เขาจะไปอยู่กับพระเจ้า กับพระเยซู เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นบ้าน เอเมน
พระเยซูกำลังพูดกับใคร? พูดกับเรา หมายถึงใคร? หมายถึงเธอ ที่นั่งข้างๆ ที่ได้เชื่อในคำสอนของศิษยาภิบาล ไม่ใช่ ในคำสอนของพระเยซูไปแล้วว่าเป็นอย่างนี้ ว่าพระองค์เป็นใคร? ถ้าศิษยาภิบาลขึ้นมาพูดว่าพระเยซูเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องไปฟัง แต่ถ้าศิษยาภิบาลหรือคนสอนขึ้นมาพูดว่า.-
“พระคัมภีร์บันทึกว่าอย่างนี้”
จงฟังเถิด เพราะว่าเขาไม่ได้สอน คำสอนของเขาเอง แต่เขาเอาคำสอนของพระเยซูที่สอน มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ อ่านตรงนี้เอง เอเมน ใช่ไหม?
ถ้อยคำตรงนี้ เป็นคำตรัสของพระเยซูที่ยืนยันกับเราว่าพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อว่า “ครอบครัวของพระเยซูคริสต์” หรือ “ครอบครัวของพระคริสต์” มีพระเยซูเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำครอบครัว
พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นอะไรรู้ไหม? ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าเป็น “The Second Adam” ก็คือแปลตรงๆ ก็คือเป็นอาดัมคนที่สอง
อาดัม คือใครครับ? อาดัม ก็คือมนุษย์คนแรก หรือผู้ชายคนแรกที่พระเจ้าได้สร้าง ให้มาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ถูกไหมครับ? แต่อาดัมไม่สามารถทำหน้าที่นั่นได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อาดัมเป็นมนุษย์คนแรก แต่ได้ล้มลงในความบาป ได้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกัน ทำให้ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมดเลย ต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ได้รับโทษของความบาป หรือเรียกว่ากบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้านั่นแหละ ได้รับโทษทั้งเผ่าพันธุ์ ทั้งครอบครัวไปเลย แล้วพระเจ้าก็ได้สร้าง The Second Adam ก็คืออาดัมคนที่สอง หรือมนุษย์คนที่สอง ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ใหม่ ครอบครัวที่สอง ซึ่งก็หมายถึงใคร? ก็หมายถึงพระเยซู พระเยซู คืออาดัมคนที่สอง มนุษย์คนที่สอง ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาใหม่
พระเยซูเป็น Second Adam พระคัมภีร์บอก เป็นผู้ชายคนที่สองที่พระเจ้าสร้าง แต่นับเป็นมนุษย์คนแรก ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นบุคคลแรกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมนุษย์นอกนั้น เป็นเชื้อสายของอาดัมคนแรก ก็คือบาปทั้งสิ้น ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็น เรียกว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ ผู้ชายคนที่สอง ผู้ชายคนใหม่ อาดัมคนใหม่ อาดัมคนที่สอง ที่เป็นมนุษย์คนแรกที่สมบูรณ์ที่สุด ครบถ้วนบริบูรณ์ พระเยซูก็มาเป็นหัวหน้าของครอบครัวใหม่ เป็นหัวหน้าของครอบครัวมนุษย์ ที่สมบูรณ์แบบ เป็นครอบครัวที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติเดิม กฎบัญญัติเดิมที่ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำผิด รับโทษ ใช้เวร ใช้กรรม กฎบัญญัติเดิมที่บอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ได้ถูกลบออกไปหมด ด้วยพระโลหิตของพระเยซู การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน
เสร็จแล้ว พระเจ้าก็ตั้งพระเยซูให้เป็นอะไร? หัวหน้าครอบครัวใหม่ เห็นภาพไหม? ง่ายๆ ผมจะพยายามยกตัวอย่างนี้ ซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งนั้นนะ ให้ท่านเห็นภาพชัดเจนและง่ายๆ เหมือนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร? ตั้งพระเยซู ซึ่งครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งให้เป็นหัวหน้าครอบครัวใหม่ของบรรดามนุษยชาติ อยู่ภายใต้กฎใหม่ พันธสัญญาใหม่
กฎใหม่นี้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเยซู ที่เรียกว่าในพระคริสต์ ก็จะได้รับสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวทำมาแล้วทั้งหมดเลย หัวหน้าครอบครัวทำอะไร ลูกบ้านในครอบครัวนี้ ก็จะได้รับสิทธินั้นด้วย เช่น หัวหน้าครอบครัวบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ลูกบ้านที่เข้ามาอยู่ในนี้ ก็จะได้รับเลย คือได้รับบริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากบาป สมบูรณ์ครบถ้วนเหมือนกัน หัวหน้าครอบครัวนี้ มีชีวิตนิรันดร์ คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ อยู่ในพระคริสต์นี้ ก็มีชีวิตเป็นนิรันดร์ … นิรันดร์นี้เป็นแบบคุณภาพนะ หมายถึงว่าเป็นนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ตลอดไปนะครับ นิรันดร์แปลได้ 2 อย่าง ที่บอกว่าอยู่ตลอดไป เป็นนิรันดร์ที่ใครๆ ก็มี เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีวิญญาณเป็นนิรันดร์ เหมือนพระองค์อยู่แล้ว แต่ถ้าบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่ใช่สวรรค์นิรันดร์ ก็จะเป็นไปอยู่ตลอดไป แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ในที่มืด ที่มีที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์ทรมานตลอดไปนะครับ ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด นั่นคือนิรันดร์แบบมีเป็นระยะเวลาใช่ไหม?
แต่นิรันดร์อีกภาพหนึ่ง อีกความหมายหนึ่งในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงชีวิตนิรันดร์ หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่เป็นชีวิต เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่ตะกี้นี้เราได้พูดกัน คนที่มาอยู่ในนี่ อยู่ในครอบครัวพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในครอบครัวพระคริสต์ อยู่ในกฎใหม่นี้ เขาก็จะได้ชีวิตนิรันดร์ไปด้วย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับสิทธิให้เป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า เห็นไหมครับ? หัวหน้าครอบครัว และสามารถจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ใครมาอยู่ในพระคริสต์ก็ได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งกฎใหม่นี้ พระคัมภีร์รวมเรียกกฎแห่งพระคุณ
อันเดิมคืออะไร? อันเดิมที่บอกว่าตาต่อตา และฟันต่อฟัน เราเรียกว่ากฎแห่งการชดใช้ กฎแห่งบัญญัติ ใครทำตาม ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีวันได้เลย เข้าใจใช่ไหมครับ? ทำ ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ ทำให้บริสุทธิ์ได้รางวัล ยกตัวอย่างอย่างนี้ ทำตัวให้บริสุทธิ์ และได้รางวัล กฎมันเป็นอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำให้บริสุทธิ์ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม จึงไม่มีโอกาสที่ได้รับรางวัลดีๆ เลยไง เพราะกฎใหม่ที่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกฎแห่งพระคุณ ก็คือไม่ใช่ฟันต่อฟัน ตาต่อตาอีกต่อไป แต่เป็นกฎแห่งการอภัยบาปทั้งสิ้น เคยได้ยินไหม? กฎพระคุณ กฎแห่งการอภัย ไม่ว่าจะทำอะไรมา อภัยหมดสิ้น จบไปแล้ว จบไปเลย เอเมน ไม่ต้องทำอะไรเลยนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่กำลังพูดทั้งหมด ทำโดยผ่านทางหัวหน้าครอบครัว ที่มีชื่อว่า Second Adam หรืออาดัมคนที่สอง หรือคือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาถึงเรียกว่าในพระคริสต์ ในพระองค์ เป็นครอบครัวใหม่เกิดขึ้นอย่างไร? มีฤทธิ์อำนาจอย่างไร? ที่เรากำลังศึกษากันอยู่ขณะนี้ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตของเราขนาดไหน? เมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ตอนนี้เรารู้ความจริงนิดหนึ่ง เรายังได้ประโยชน์อย่างมากมายเลย เราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป นี่เท่ากับเรารู้ความจริงบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเรารู้มากกว่านั้นขึ้นไปว่าในสภาพการเป็นอยู่ของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เราจะได้รับสิทธิประโยชน์เราเต็มที่ขึ้น นึกออกไหมครับ ซึ่งรวมทั้งหมดนี้ เรียกกันภาษาอังกฤษว่า In Christ หรือในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ หรือในครอบครัวของพระคริสต์ แล้วแต่จะเรียก เป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวทางฝ่ายวิญญาณ
สัปดาห์ที่แล้ว ได้เรียนรู้ถ้อยคำ ภาษาตรงนี้ไปชัดเจนแล้วนะครับ เราจึงต้องมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? มีสิทธิอะไรบ้างในพระเยซูคริสต์? อยู่ในสถานะอะไร? ใช้อะไรได้บ้างในพระเยซูคริสต์? มีมรดกมหาศาลเพียงใดในพระเยซูคริสต์? รวยขนาดไหนในพระเยซูคริสต์? มีชัยชนะอย่างไรในพระเยซูคริสต์? ไปหาดูที่ไหน? หาดูในพระคัมภีร์ เพราะว่าพระเจ้าสอนเรา พระคัมภีร์สอนเรา บอกว่าในพระเยซูคริสต์ที่เธออยู่นั่นเป็นอย่างไร? เราต้องไปเรียนรู้ ถูกไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร? เราก็ไม่ใช้สิทธิของเรา ก็เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ
และการที่ใครก็ตามจะย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมคนแรก ที่บาป มนุษยชาติตกลงไปในความบาปหมด มนุษย์คนไหนที่เกิดมาแล้ว ก็อยู่ในอาดัมคนแรกใช่ไหม? อยู่ในความบาป ต้องรับผิด รับโทษ เพราะอาดัม บรรพบุรุษเราทำไว้ใช่ไหม? มนุษย์คนไหนอยากจะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาดัมคนที่สอง ครอบครัวของมนุษย์คนที่สอง คือพระเยซูคริสต์ อยากจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องทำไม? ต้องผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ไม่ใช่ด้วยการทำอะไรก็ตาม จะได้เข้ามาอยู่ในนี้ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ หัวหน้าครอบครัวใหม่นั่นเอง ต้องเชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ เขาถึงเรียกว่าข่าวดีไง เพราะข่าวดีนี้ ทำให้เราหลุดรอดพ้น ข่าวดี ทำให้เราร่ำรวยมหาศาล ข่าวดีนี้ ทำให้เราไปสวรรค์ได้ เขาถึงเรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของใคร? ข่าวดีของพระเยซูคริสต์
ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”
พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ได้ตรัสอย่างนี้กับเหล่าสาวก “ถ้าเราถูกยกขึ้นนะ”
หมายถึง “ถ้าเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะนำพาผู้คนทั้งหลาย เข้ามาหาเรา”
จำได้ใช่ไหมครับ? “เราจะดึงเอาผู้คนทั้งหลายมาหาเรา”
ก็คือพระเจ้าได้เลือกคนเหล่านั้นเอาไว้แล้ว และให้เขาเข้ามาหาพระองค์ผ่านทางการถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ ถ้าผู้นั้นเชื่อ ก็คือพระองค์ทรงใส่ความเชื่อให้กับคนๆ นั้น เมื่อถึงเวลาของเรา เหมือนเรานั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนมีวันนั้นแหละ วันที่เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ เพราะเราทั้งหลายได้ถูกเลือกไว้แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน
สรุปแล้ว คือพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะให้คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้นั้น มาหาพระองค์ ผ่านทางไม้กางเขนนี่แล้ว เมื่อฉันถูกยกขึ้น เมื่อฉันถูกตรึงที่ไม้กางเขน
การมาเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นใคร? การเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? การเชื่อว่าข่าวประเสริฐของพระองค์นั้นเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยบังเอิญ หรือโดยสติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่นะครับ ถ้าสามารถเชื่อได้ โดยวิธีใช้สติปัญญามนุษย์ บัดนี้ คงมีโรงเรียนสอนเรื่องเกี่ยวกับความรอดเกี่ยวกับพระเยซู ที่ทำให้มนุษย์ได้รับความรอด ใครจบด็อกเตอร์ ก็ได้รับความรอด ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บังเกิดอย่างอัศจรรย์ เราเรียกว่าอัศจรรย์การเจิม การเรียกเข้าไปในวิญญาณของคนๆ นั้น โดยตรง ผ่านทางพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าเรียกเรา วิญญาณเราโดยตรง ไม่ว่าคนนั้นจะตามสติปัญญามนุษย์ อาจจะดูว่าโง่เขลา ไม่มีปัญญา ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือคนนั้นอาจจะเป็นด็อกเตอร์ เรียนสูงสุด เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก ก็ตาม มีค่าเท่ากัน ถ้าพระเจ้าเรียกเข้าไปในวิญญาณเขา เขาจะมาเชื่อเรื่องนี้ ซึ่งตามสติปัญญามนุษย์ พระคัมภีร์บอกคนเหล่านั้น ที่มาเชื่ออย่างนี้ ดูเหมือนคนโง่ๆ คนไร้ปัญญา เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะว่ามันคนละปัญญากัน
การถูกเรียก โดยพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ วิธีการของพระองค์เริ่มต้นด้วยอะไรรู้ไหมครับ? อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเริ่มต้นเรียกคนๆ นี้ ที่เตรียมไว้ เข้ามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เคยได้ยินเขาพูดกันมาตลอดว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดๆ แล้วก็เกิดปิ๊งขึ้นมาในใจว่า.-
“โอ … ใช่ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ การตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ทำให้เราได้รับความรอด ชำระบาปเราได้จริงๆ เราได้หมดเวร หมดกรรมแล้วจริงๆ”
นี่คือเริ่มต้นทำไม? เริ่มต้นเชื่อ แล้วพอผ่านทางความเชื่อนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้น? คนเหล่านั้นที่ถูกเลือกมาอย่างนี้ จะได้รับการบัพติศมาลงไปในครอบครัว ในพระคริสต์นี้ ใน Christ นี้ จะได้ถูกจุ่มลงไป จะได้ถูกดำลงไป ให้มิด ในฤทธิ์อำนาจ ในครอบครัวนี้ เรียกว่าพระคริสต์ ซึ่งเราได้อธิบาย บรรยายอย่างละเอียดแล้ว ในตอนที่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องบัพติศมา ไปฟังย้อนหลังนะครับ คนนั้นได้ถูกจุ่มลงไป จุ่มลงไปในฤทธิ์อำนาจนี้ หรือว่าจุ่มเข้าไปเป็นสมาชิก มาเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวพระคริสต์นี้ ที่เรียกว่าครอบครัวพระเยซูคริสต์ ครอบครัวคริสเตียน ครอบครัวของพระเจ้าก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องในพระคริสต์ ร่วมกันอยู่ในครอบครัวเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ อยู่ประเทศไทย อยู่อเมริกา อยู่ยุโรป อยู่ประเทศจีน ก็เป็นครอบครัวเดียวกันในพระคริสต์ นี่คือหลักการพระคัมภีร์ทั้งสิ้น
มาถึงตรงนี้ พอจะเข้าใจกันแล้วนะครับว่าคำว่า “พระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร? และคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่า “อยู่ในพระคริสต์” หมายถึงใคร? อยู่ในพระคริสต์คืออะไร?
คราวนี้มาดูกันต่อว่าในพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไรบ้างว่า.-
“เมื่อเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อเรา ฉันเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระเจ้าจับฉันบัพติศมาลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ ในครอบครัวที่ชื่อพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว”
เราจะมาดูกันต่อว่า “ถ้าฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้ฉันมีลักษณะเป็นอย่างไร?”
เรามีลักษณะเป็นอย่างไร? ในการดำรงชีวิตอยู่ เราได้รับอะไรบ้าง? สิทธิอะไรบ้าง? เราเป็นใคร? มันเป็นอย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่จะพยายามที่จะอธิบายในตอนต่อๆ ไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่าจะศึกษา หรือแม้ว่าจะพยายามอธิบายให้ละเอียด ยกตัวอย่างให้ละเอียดมากขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับว่าผมจะอธิบายจนกระทั่งเข้าใจหมด เพราะมันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระเจ้า ไม่มีทางหรอกมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา ไม่สามารถจะเข้าใจหนทางของพระเจ้าได้หมดหรอก มันเป็นไปไม่ได้ จะล่วงรู้ทุกอย่างของพระเจ้าหมด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ต้องทำใจไว้นิดหนึ่ง ผมก็จะพยายามที่จะรวมกันที่จะอธิบายให้ดีที่สุด แต่ท่านต้องพยายามเข้าใจด้วย ให้พอเข้าใจพอได้
สิ่งที่เราต้องการ คืออะไรรู้ไหม? สิ่งที่ต้องการเรียนรู้เรื่องในพระคริสต์ สิ่งที่ต้องการ อาศัยความเชื่อมากกว่าสติปัญญา ต้องอาศัยความเชื่อเท่านั้น คือเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ ตามที่พระองค์ทรงสอน ไม่ใช่เชื่อตามที่ผมสอน หรือใครสอน ไม่ใช่ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์กำกับอยู่ อย่างเชื่อเด็ดขาด เชื่อตามที่ผมบอกไว้ในพระคัมภีร์พูดนี้ สิ่งที่พระเยซูพูดอย่างนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อผม ท่านก็ไปเปิดในพระคัมภีร์จริงไหม? ถ้าจริง ก็ตามนั้น ก็จบกัน เพราะพระเยซูสอนไว้อย่างนั้น บอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ดังนั้นเชื่อตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้
พระคัมภีร์เขียนไว้ ก็คืออะไร? ก็คือพระเจ้าสอนเรา ผ่านทางพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเยซูพูดโดยตรง ตรัสเองโดยตรง หรือผ่านทางสาวก อัครสาวก ทั้งเปาโล เปโตร ยอห์น อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราเชื่อตามนั้น ตามที่พระเจ้าสอนเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามเข้าใจนะครับ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร หมายถึงสติปัญญามนุษย์ ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? แต่จงเชื่อว่าพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ยกตัวอย่าง เช่น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว บัพติศมา จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว อยู่ในครอบครัวพระคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเราก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานด้วย เอเฟซัส 2:4-6 ไม่ได้พูดเอง พระคัมภีร์บอก ให้ท่านอ่านเองเลยนะครับว่านี่คือพระคัมภีร์
เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ 5 แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”
ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์”
ฟังให้ดีๆ นะ ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” คำว่า “เป็นขึ้นมา” ตรงนี้ ถ้าเราดูพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ จะเห็นว่าใช้คำเดียวกันกับเวลาที่กล่าวถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูเลย คือคำว่า “Raised” แล้วก็เป็น Past tense … Past tense หมายถึงเป็นอดีต มันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่มันจะเกิด แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เหมือนตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์ก็บันทึกเป็น Past tense ก็คือเป็นกาลที่เลยมาแล้ว การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ คำว่า Raised คือได้เป็นขึ้นมาแล้ว แปลตรงนี้ ก็คือ “และพระองค์ทรงให้เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์”
“ได้” ก็แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว เอเมน
ลักษณะการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็ถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ อย่างนั้น เหมือนกันเลย และการเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นมาของเรา ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกัน
ท่านลองหันไปหาคนข้างๆ แล้วบอกว่า “ท่านได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”
เขาเชื่อไหม? ท่านไม่ได้พูดเอง แต่ท่านพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ถึงบอกไง มันไม่ใช่ง่าย ที่จะมาเข้าใจเรื่องของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์พูดอย่างงั้น เดี๋ยวเราจะไชชอนกันต่อไปว่าแล้วมันคืออย่างไง แล้วยังไงต่อ หมายความว่าอย่างไร?
ง่ายๆ เลย ก็คือเราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนพระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายในวันที่สาม เหมือนกันเลย ถ้าเหมือนกัน … เราได้ถูกชุบ คำว่า “เราได้ถูกชุบ” หมายถึงอย่างไร? หมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามจะเป็นคนใหม่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติในพระเยซูคริสต์ เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ไม่ต้องพยายาม มันได้ถูกทำให้เป็นเลย ท่านไม่ต้องทำตัว เพื่อที่จะให้ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เกิดใหม่ มันได้รับไปเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
เหมือนเรามีลูก เหมือนสามีภรรยาแต่งงาน แล้วมีลูก ลูกคลอดออกมาเหมือนใคร? ก็เหมือนสามีและภรรยา ตรงนี้เหมือนพ่อ ตรงนี้เหมือนแม่ ลูกต้องทำพยายามทำอะไรไหม? เกิดมาต้องพยายามทำอะไรให้มันเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ ต้องทำไหม? ต้องไปเข้าศัลยกรรมไหม? ต้องไปผ่าตัดศัลยกรรม ทำใบหน้าให้เหมือนพ่อไหม? หรือว่ามันเหมือนเอง เหมือนกัน เราถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเหมือนพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เหมือนพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราบริสุทธิ์ เราสะอาด เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็ชอบธรรมแล้ว เอเมน
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เข้าใจไหม? เราไม่ต้องเหนื่อยยากที่จะทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะทำให้ตัวเราเข้าไปหาพระเจ้าได้ เพราะเราได้ถูกทำให้เรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ เข้าไปหาพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทั้งหมดเลย เอเมน ตรงนี้แหละ น่าจะเอเมน ไม่ต้องพูดอะไรเลย ไม่เข้าใจ แต่เอเมนลูกเดียว คือได้รับไง เอเมน ลูกเดียวแหละ พูดอะไรมา ฉันเอา ไม่มีพระคัมภีร์ตรงไหนบอกเราได้สิ่งเลวๆ เพราะเป็นข่าวดีไง ข่าวดีของพระคริสต์ ก็ต้องมีแต่ข่าวดี ของดีๆ ทั้งนั้น เอาหรือไม่เอา เอา … เอา ก็ต้องเอเมน
ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ เมื่อตะกี้เราอ่านด้วยกัน “ในพระคริสต์” ตรงนี้ ที่เราเกิดใหม่นี้ ในพระเยซูคริสต์นี้ อยู่ในครอบครัวนี้
“พระเจ้าทรงให้ฉันนั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”
ถามอีกที เข้าใจไหมตรงนี้? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกไหม? คำว่า “นั่งในสวรรค์สถาน” ตรงนี้ ในเอเฟซัส 2:4-6 นั่งในสวรรค์สถานตรงนี้ ก็ใช้คำเดียวกันกับที่พระเยซูประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้า เหมือนกันเด๊ะ คำว่า “เด๊ะ” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันคงจะเหมือนเป๊ะ
และก็เป็น Past tense เหมือนกัน ก็คือเป็นอดีตเหมือนกัน คือไม่ใช่จะนั่ง ไม่ใช่จะนั่ง ไม่ใช่กำลังจะนั่ง แต่ได้นั่งแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่ ไม่ใช่จะนั่ง จะได้นั่ง แต่ได้นั่งอยู่แล้ว กำลังนั่งอยู่แล้ว
พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ถูกไหมครับ? และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็เลยได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเหมือนกันเด๊ะ เหมือนกันเป๊ะเลย ซึ่งอย่างที่บอกผมเอง ท่านเอง เราไม่เข้าใจหรอก มันหมายถึงอะไร? แต่เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วค่อยมาดูสิทธิของเราว่าเราได้รับอะไรบ้างตรงนั้น แล้วเราจะได้มีหน้าที่เอเมนลูกเดียว ไม่ต้องเข้าใจมากหรอก เอเมนลูกเดียว คนที่มาเชื่อพระเจ้า เอเมนลูกเดียว เชื่อพระเจ้าลูกเดียว ได้รับมากที่สุดนะ ไม่ใช่คนที่พยายามคิดๆๆๆๆๆ คิดหาเหตุผล คิดไปคิดมา ไม่ได้สักทีหนึ่ง คิดหาเหตุผล เพื่อที่จะรอเอเมน แต่บางคนข้ามหน้าข้ามตา เอเมน ได้รับไปก่อน
“ฉันเป็นลูกพระเจ้า”
“เอเมน”
ได้ไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า บางคนคิดนะ
“เป็นลูกอย่างไง ฉันจะได้เป็นลูกขนาดไหน? เป็นอย่างไง”
ไม่ได้เป็นลูกสักที เอเมน เอ้อ! เอเมนสิ เอเมน ท่านรู้ไหม เอเมนแปลว่าอะไร? ถือโอกาสแทรกเรื่องนี้ เอเมน แปลว่าอะไร? เอ๋อ! จงเป็นไปตามนั้น … เอาด้วยคน อะไรประมาณนี้ … เอาๆ ใช่ๆ มันแปลแค่นี้เอง เอเมน ข่าวดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ในนี้บอกอย่างนั้น
ขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังนั่งอยู่ ในเก้าอี้ ในโบสถ์แบบนี้ ขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เข้าใจไหม? บอกสิ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน ต้องฝึกตรงนี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน (37.35)
“เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันเอาด้วย ฉันนั่งอยู่ที่นี่แหละ ฉันไม่รู้ล่ะ พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันจะรับสิทธิของฉันตามนั้นแหละ เอเมน”
ในพระองค์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในวิญญาณนะครับ นั่งอยู่ในไหน? ในพระคริสต์ ในครอบครัวนี้ เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็อยู่ตรงนั้นด้วย ต้องบอกฮาเลลูยาแล้ว รับไหม? รับ
เพราะฉะนั้นอยู่ในพระคริสต์จึงมีความสุข เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าใจ เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ รับรู้ว่าใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นมารู้ไหม? เกิดสิทธิขึ้น เมื่อท่านได้รับตรงนั้นแล้ว ท่านไม่ต้องไปรู้หรอก เมื่อชาวนา มีคนมาบอกเขา
“ชาวนารู้ไหมว่าที่ของท่านมีน้ำมัน ในนั้นมีกี่บาเรล? จะไปกลั่นออกมาได้วันหนึ่งกี่บาเรล? ขายได้เท่าไร?”
ชาวนาคำนวณไม่เป็น แต่เชื่ออย่างเดียวว่า “ฉันเป็นเศรษฐีแล้วเหรอ โอเคๆ มีความสุขแล้ว”
เขายังไม่รู้เลยข้างล่างมีอะไร? แล้วเจาะอย่างไร? ตรงไหน? กี่ตารางวา? นึกออกไหม? ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องเป็นอย่างนั้น เขาจึงแต่งเพลงให้ร้อง แต่งเพลงอย่างนี้ เพื่อว่า.-
“ฉันรู้แล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์”
เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เขารู้ว่าเขาได้รับอะไร?บ้าง? เช่น ท่อนที่ 4 เขาร้องว่าอย่างไร?
“4. อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์
ฉันหมดความผิด ไม่กลัวความตาย
เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย
พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”
เห็นไหม? พอเราเชื่อปุ๊บ มันอย่างนี้เกิดขึ้น มันร้องมาเป็นบทเพลงเลย ถามว่าคนที่แต่งเพลงนี้ ร้องเพลงนี้ เขารู้เรื่อง เขาเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วชีวิตเขาได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอได้เป็นอย่างนี้จริงๆ มันก็เลยเกิดท่อนนี้ตามมาว่า … อะไร?
“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า
ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ
พระองค์กลับมา หรือรับข้าไป
ข้าจะยืนหยัด ในฤทธิ์พระคริสต์”
สงบเลย มีความสุขในชีวิตมากเลยเห็นไหม? ไม่ต้องเข้าใจเลย แต่ได้รับทุกอย่างเลย เอเมน … เราไม่สามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราจะไปล่วงรู้ได้อย่างไร? มันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราเป็นวิญญาณก็จริง แต่เรายังอยู่ในเนื้อหนัง และเป็นเนื้อหนังที่อยู่ในความบาปเสียด้วยซ้ำ มันต้องเป็นวิญญาณทางชนิดของพระเจ้าที่รับรู้เรื่องนี้ทั้งหมดได้
ยกตัวอย่างเช่นว่าจะรู้ได้อย่างไร? วิญญาณของพระเจ้าสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ในเวลาเดียวกันได้ พระเจ้าอยู่ที่บัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน และอยู่กับเราทุกคน อยู่ในใจของเราทุกคน เรารู้เรื่องนี้ เราเชื่อเรื่องนี้ แต่ท่านเข้าใจไหมอยู่อย่างไร? พระเจ้าอยู่กับเราที่นี่ แล้วทำไมอยู่กับพี่น้องที่อยู่ที่ยุโรป … อยู่ที่อเมริกา … อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ … อยู่ที่ประเทศจีน อยู่พร้อมกันหมดในวันอาทิตย์ แล้วอยู่อย่างไร? แต่ท่านเชื่อไหม? ท่านเชื่อ แต่ท่านรู้ไหมว่าอยู่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าใจได้ไง เราเป็นมนุษย์ นี่เห็นภาพชัดๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูบอกว่า … พระคัมภีร์บอกว่าเรานั่งรวมกับพระเยซูคริสต์ ได้นั่ง กำลังนั่งอยู่ แม้ว่าตอนนี้เรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในโบสถ์ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานทันที เอเมน วิญญาณเราก็อยู่กับตัวเราขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจ แต่เรารู้ว่ามันเป็นไปตามนี้ เอเมน
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ อธิษฐานจงมองไปที่ในใจของเราก็ได้ จะมองไปที่ข้างๆ ก็ได้ เพราะพระเจ้านั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ที่ไหนล่ะ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ท่านคิดสิ งง เบื้องขวามือ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ซ้ายเราสิ
เพราะเราเป็นมนุษย์ คิดแบบพระเจ้า เป็นอย่างนี้ ท่านทราบไหมครับ มดตามปกติ สายตาสั้น สั้นเยอะๆ มากๆ เลย มันมองไม่ได้ไกล แล้วมันมองในทางราบอย่างเดียว มันไม่สามารถมองสูงได้ ถ้าเราบอกมดว่าอีก 2 เมตรจะมีภูเขา มันคงหัวเราะก๊ากเลย อะไรภูเขา คืออะไร? ภูเขามันสูง ไม่เข้าใจ มองแค่นี้ นี่มดนะ หรือเราบอกมดว่าไปอีก 3 เมตร มีท๊อฟฟี่วางอยู่ มันคงงงว่าอะไรนะ มองอะไรไกลขนาดนั้น มันคงนึกว่าเราเป็น … ถ้าเกิดมันทำตามเรานะ มันไปเจอท๊อฟฟี่เม็ดหนึ่งจริงๆ เราคงเป็นยิ่งกว่าพระเจ้าของมัน โอ้! รู้เรื่อง รู้ทุกอย่าง ล้วนรู้ทุกอย่างเลย ขนาดมองไม่เห็น ยังเห็นเลย คิดดูสิ แล้วเราจะขำไหมล่ะ เราก็คงขำมดตัวนั้น เหมือนตะกี้เราหัวเราะกัน ใช่ไหม?
หรือนกอย่างนี้ นกบินได้อย่างไร? บางคนก็บอกว่าบิน นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิด แต่สรุปแล้ว นกมันบินได้อย่างไร? รู้ไหม? ง่ายนิดเดียว เพราะมันเป็นนก ถูกหรือเปล่า? เราไม่มีทางเข้าใจ ต่อให้โครงสร้าง ไปทำอะไรต่างๆ มันก็เป็นนก มนุษย์พยายามทำเหมือนนก กางปีก แล้วบินได้ไหม? ไม่ได้ ยกเว้นเครื่องบิน อะไรต่างๆ ตัวคนเอง ทำไม่ได้
เหมือนปลา ท่านพอเข้าใจ หายใจด้วยเหงือก ทำอย่างไร? ท่านลองทำ ทำได้ไหม? ลงไปในน้ำ เอาเหงือกหายใจ เหงือกๆ ท่านคิดดูสิ เราก็นั่งหัวเราะกัน แต่สำหรับปลา ต้องสอนมันไหมว่าต้องใช้เหงือกหายใจ ลงไปในน้ำ ตั้งแต่เล็กแล้ว มันก็ว่ายน้ำ มันต้องมาเรียนว่ายน้ำไหมเนี้ย
เหมือนกัน ในทำนองเดียวกัน ท่านต้องเข้าใจในสิ่งนี้ว่าเรากำลังเรียน เรื่องพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ พระเยซูคริสต์ก็เป็นวิญญาณ เราก็เป็นวิญญาณ แต่เราเป็นวิญญาณติดอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เราจึงไม่สามารถล่วงรู้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนนี้จึงได้แต่รางๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกเราไว้เท่านั้นเอง แต่เราสามารถ … สิ่งหนึ่งที่เราสามารถ คือด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ เราเอาหมดเลย อะไรดีๆ ที่พ่อของเรา พระเยซูทำไว้ให้กับเรา เราเอาหมดเลย ในสิ่งต่างๆ ในพระคริสต์ ที่เรามีมรดกอย่างไร? เรามีสิทธิอย่างไร? เราเป็นอย่างไร? เราเอาหมดเลย เอเมน คราวนี้ เอเมนได้ ใช่หรือเปล่า?
สภาพฝ่ายวิญญาณที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าในขณะนี้ เราก็ไม่เข้าใจ คำว่า “วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า” เป็นอย่างไร? บางคนเข้าใจผิด บอกเป็นเหมือนพระเจ้าๆ เขานึกว่าร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่อะไรต่างๆ ไม่ใช่ วิญญาณท่านเป็นเหมือน แต่ร่างกายท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม ก็คือใคร? ก็คือคนบาป ที่วิญญาณนั้นเปลี่ยนเท่านั้นเอง แต่เนื้อหนังข้างนอก มันยังเหมือนเดิมเลย เขาไม่เข้าใจตรงนี้
พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์? เราอยู่ในสถานะอะไรในพระคริสต์? ได้รับอะไรบ้างในพระคริสต์? ก็ให้เราเชื่อตามนั้นเถิด เชื่อในถ้อยคำอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนเด็กเล็กที่พ่อสอน แม้กระทั่งบางครั้ง มนุษย์ พ่ออะไร โกหก เชื่อหมด เชื่อหมดเลย
แต่ก่อนนี้สอนลูก บอก “เต๋ ไปซื้อเฮลิคอปเตอร์มานะ สัปดาห์หน้าจะไปซื้อเฮลิคอปเตอร์”
เชื่อนะ มาตามใหญ่เลย เมื่อไรจะซื้อเฮลิคอปเตอร์สักที เขานึกว่าเฮลิคอปเตอร์เหมือนเราไปซื้อรถคันหนึ่ง เขาเชื่อไง เขาไม่คิดอะไรเลยว่าพ่อจะไปมีเงินซื้อเฮลิคอปเตอร์ ขับยังไม่เป็นเลย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเฮลิคอปเตอร์ต้องขับอย่างไร? มันแพงขนาดไหน? เขาไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อ เห็นไหม? นี่คือมนุษย์หลอกลวง โกหก แต่พระเจ้าไม่เคยหลอกลวง พระเจ้ามีความยุติธรรม เขาเรียกว่ามีความบริสุทธิ์สถาน ไม่หลอก พูดอะไร ตามนั้นทั้งสิ้น จริงๆ ไม่เคยหลอกเลย เพราะฉะนั้น พระองค์พูดอะไร มันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย เราเชื่อแบบเด็กๆ เลย
และถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่ระบุไว้ บอกไว้ทุกอย่าง เราก็จะได้รับผลทั้งหมด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูคริสต์สัญญาไว้ พูดไว้ในพระคัมภีร์ โดยตัวของพระองค์เอง ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยว่าเราจะได้รับอะไรบ้าง? เมื่อมาเป็นสาวกของพระองค์ อย่างเช่น สันติสุขที่เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เราแล้ว ได้ให้เราแล้ว เราก็จะได้รับตรงนี้ ถ้าเราเชื่อ ยอห์น 16:33 ที่พระเยซูบอกว่า.-
ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ พวกท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”
เราได้ชนะโลกแล้ว ไม่ใช่จะชนะโลก เราได้ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะโลกแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยจะชนะโลกด้วย ใช่ไม่ใช่ ไม่ใช่ โดยหลอกอีกแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ชนะโลกแล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะชนะโลกด้วย … ดังๆ สิ … ใช่ไม่ใช่ … ไม่ใช่
เอาใหม่อีกที เราจะชนะโลกด้วย ใช่ไม่ใช่ … เราได้ชนะโลกแล้วใช่ไหม? ใช่ ไม่ใช่จะชนะ เราจะต้องชนะ ต้องไปทำไม? ต้องไปอธิษฐานอีก 3 วัน 3 คืน อดอาหารอีก 3 วัน 3 คืน แล้วก็มานมัสการพระเจ้าอีก 3 วัน 3 คืน เราจึงจะได้รับชัยชนะ ใช่หรือไม่? เราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เมื่อไร? เสร็จ เมื่อเราเชื่อ เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อ และได้ถูกจุ่มลงไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของในพระคริสต์นี่แล้ว เราได้รับตรงนี้แล้ว และเมื่อเราเริ่มเชื่อว่าเราได้รับ เราก็จะได้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามนี้ เอเมน
เราอาจจะเริ่มเชื่อ จุ่มเข้าไปแล้วในพระคริสต์ อยู่ในบัพติศมา อยู่ในครอบครัวใหม่แล้วก็จริง เราแค่เชื่อว่าเราจะไปสวรรค์อย่างนี้ เราก็รอไปสวรรค์ เราไม่เชื่อว่า … เราได้รับชัยชนะแล้ว นึกว่ารอให้ตายไปแล้ว จะได้รับชัยชนะ เราก็รอจนตาย เราถึงจะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าเรารู้ว่าไม่ใช่ พอเราจุ่มเข้าไปปุ๊บ ตั้งแต่วินาทีนั้น เราได้รับแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะเริ่มแสวงหาวิธีการว่าเราได้รับแล้ว เราจะใช้สิทธิของเราอย่างไรบ้างในพระคริสต์ ที่อยู่ในชัยชนะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ตอนนี้ตอบได้ตรงประเด็นเป๊ะเลยนะครับ
สรุป คือให้เราเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล ไม่ต้องคิดมาก เพราะคิดมากไป ก็ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ไปคิดมันทำไม? พระองค์บอกว่าอย่างไร? ก็เป็นไปตามนั้น แล้วก็ทำตามที่พระองค์บอกไว้นั่นแหละ นึกออกใช่ไหม? เริ่มต้นด้วยความเชื่อซะก่อน ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา ของผู้คนที่เป็นคริสเตียน หรือคนที่เป็นสาวกของพระเยซูบนโลกใบนี้ มันรู้สึก มันขัดแย้งกับที่พระเยซูสัญญา อย่างเช่น มันไม่เห็นได้รับสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเยซูบอกเลย อย่าโกหกนะ เหมือนพระเยซูคริสต์สัญญา เราได้รับสัญญา เราไม่เห็นจะได้รับอย่างนั้นจริงๆ เลย แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็เป็นอย่างนั้น หลายครั้งผมคิดว่าชีวิตคริสเตียนของผมด้วย ของผู้คนรอบข้าง ชีวิตคริสเตียนเราแปลกๆ เราไม่เห็นเหมือนพระเยซูบอก พระเยซูบอกมีสันติสุข ชนะโลกแล้ว เราก็ไม่เห็นมีสันติสุข หลายๆ ครั้ง เรามีความคิดอย่างนั้นจริงๆ และผมเชื่อว่าคริสเตียนหลายคน เขามีความคิดอย่างนี้ว่าพระเยซูสัญญาแล้ว ไม่ใช่เราไม่เชื่อนะ เราเชื่อ แต่ทำไมมันไม่ได้รับอย่างนั้นจริงๆ
พระเยซูบอกไว้อย่างไรว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”
ชื่นชมยินดีอย่างสมบูรณ์เลย บอกว่าคือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูหมายถึงเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ที่เราถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราจะมีสันติสุข มีความครบถ้วนบริบูรณ์เลย แล้วมีไหม? ถามจริงๆ มีไหม? อย่าเพิ่งตอบๆ ให้คิดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในพระเยซูเราจึงควรมีความชื่นชมยินดี แบบครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยนะ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้เราจะเชื่อพระเยซูอย่างสุดจิตสุดใจแล้วก็ตาม แต่ทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมยินดี อย่างที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเลย ใช่ไม่ใช่? ใช่ … ไม่กล้าพูดดัง กลัวพระเยซูเสียใจเหรอ … ใช่หรือไม่ใช่? … ใช่ พูดดังๆ ได้ พระเยซูเข้าใจเราดี … ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แล้ว
“ใช่แล้วๆ นานจะมีคนมาพูดตรงใจฉันสักทีหนึ่ง เอะอะอะไรก็บอกว่าฉันมีสันติสุข … ฉันไม่มี ฉันไม่มีจริงๆ”
ถูกไหม? ตั้งแต่เรามาเชื่อพระเยซู ถามว่าวันทั้งวัน ปีทั้งปี เรามีสันติสุขหรือไม่มีสันติสุข อันไหนมากกว่ากัน ไม่มีสันติสุขมากกว่านี้ บางครั้งไม่มีเลย แต่ก็ยังเชื่อพระเยซูอยู่ แต่ก็เชื่ออยู่ มีความหวังอยู่ แต่มันเหี่ยวแห้ง หัวโตเหลือเกิน ใช่ไหม? มันต้องมีอะไรบางอย่าง
เอาไว้คราวหน้าค่อยบอก ไม่อย่างนั้น ไม่ยอมฟัง ทิ้งไว้อย่างนี้ จนทุกวันนี้ มีความวิตกกังวล มีความกลัวโน่น กลัวนี่ กลัวไหม? วิตกกังวลไหม? ผมเป็นไหม? เป็น ที่บอกว่าไม่กลัวๆ พูดตามถ้อยคำพระเจ้า แต่จริงๆ กลัว บางทีแค่เขานัดไปตรวจสุขภาพประจำปีนิดหนึ่ง กลัวแล้ว บ้าหรือเปล่า? นี่พูดถึงตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บางทีเราก็หงุดหงิดตัวเอง มันเซ็ง อะไร ทีตอนอยู่บนธรรมมาส
“อย่ากลัวเลยๆ … พระเยซูตรัส”
ใช่พระเยซูตรัส ตอนนี้เราพูดเอง
“ฉันอยู่บ้าน ฉันพูดเอง”
แต่ตอนพูดอยู่บนนี้ ก็คือพระเยซูพูด มันคนละอันกัน เข้าใจไหม? ท่านต้องเข้าใจตอนที่ศิษยาภิบาลขึ้นมา หรืออาจารย์ขึ้นมาสอน บรรยาย นี่พูดถึงพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงเราทำได้ทุกอย่างตามนั้น ไม่ใช่ผมทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นคนเหมือนเดิม มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน พระเยซูพระเจ้า ก็นำเราเหมือนกัน เราก็กลัวเป็นเหมือนกัน (นี่หวา) ก็กลัวเหมือนกัน กังวลเหมือนกัน
ตอนลูกจะเข้าโรงเรียน จะต้องใช้เงิน กังวลไหม? กังวล อาจจะบางครั้งไม่กังวล สำหรับบางคน แต่จริงๆ กังวลทุกคน แล้วทำไมมันอะไร แสดงว่าพระเยซูพูดไม่จริง ไม่ใช่ เพราะว่าผมก็เชื่อพระเยซูพูดจริง แต่ทำไมไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราจะมาต่อสัปดาห์หน้า สัปดาห์หน้าค่อยคุยต่อแล้วกัน จบแล้ว จบตรงนี้เลย ร้องเพลงดีกว่า เอาง่ายๆ อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ก่อนจะร้องเพลงนี้ดีกว่า ค่อยมาต่อกันว่ามันเพราะอะไร? ทำไมมันไม่ได้ ตามที่พระเยซูบอก มันเกิดอะไรขึ้น ปัญหามันอยู่ตรงไหน? ไปหาวิธีแก้ปัญหาดีกว่า เพราะฉะนั้นวันนี้ เรามาร้องเพลงใหม่นี้นะครับ มาร้องเพลงเกี่ยวกับการอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระคริสต์คืออะไร? เราได้รับอะไรในพระคริสต์บ้าง? และจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระคริสต์ เราได้เป็นอย่างไร? และนี่คือส่วนหนึ่งในคำตอบปัญหา ที่ตะกี้นี้ทิ้งท้ายไว้ว่าทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูสัญญาไว้ พระเยซูไม่โกหก ให้เราเชื่อแน่ๆ แล้ว รับรอง 100% แต่ทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูบอก ชนะโลกแล้ว เป็นต้น มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์เข้าใจ เป็นต้น แล้วทำไมไม่ได้ แสดงว่ามันมีวิธีที่จะได้รับ ซึ่งเราจะมาต่อตอนต่อไป แต่ตอนนี้เราร้องเพลงนี้ ผู้ที่เขาได้รับแล้ว เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราร้องลักษณะเหมือนผู้ที่เขาได้รับ เรายังอยากได้รับเหมือนในพระคัมภีร์พูดไว้ หรือในบทเพลงนี้ ที่เป็นเนื้อ ที่เขาเขียนไว้ แล้วอยากได้รับอย่างนี้แหละ ขอพระเจ้าเมตตาช่วยเราให้ไปถึงจุดนี้ด้วยกันเถิด เอเมน ร้องบทเพลงนี้ ด้วยการอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตาเรา ช่วยเราด้วยเถิด ให้เราสามารถไปถึงจุดนี้ ได้ด้วยเถิด ตามที่บทเพลงนี้ ที่เราจะร้องต่อไปนี้ เอเมน
*********************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? หรือเราเป็นใครในพระคริสต์? ซึ่งเป็นชื่อหัวข้อในการบรรยายในวันนี้ เราเป็นใครในพระคริสต์ เราเคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? ตั้งแต่เรามาเชื่อพระเจ้าถึงเดี๋ยวนี้ เราจะได้ยินบ่อยๆ เลยว่า “พระคริสต์ๆๆๆ” “ในพระคริสต์” อะไรก็พระคริสต์ รัก ก็พระคริสต์ ถวายทรัพย์ ก็พระคริสต์ และพระคริสต์คืออะไร?
ถ้าพูดคำว่า “ในพระคริสต์” พวกเราทุกคนก็คุ้นเคยกันใช่ไหมครับ? เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งในพระคริสต์ เรามีชัยชนะในพระคริสต์ ด้วยความรักในพระคริสต์ เราลงจดหมาย ส่งถึงกัน ด้วยความรักในพระคริสต์ รักในพระคริสต์ และอีกเยอะแยะมากมาย ในพระคริสต์ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น
แล้วท่านทราบไหมครับว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ในพระคริสต์” คืออะไร? เราเป็นใคร? หรือมีสภาพอย่างไรในพระเยซูคริสต์ มีตำแหน่งอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ
นี่คือสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันอย่างละเอียดเลยนะครับ พอพูดว่าอย่างละเอียด แน่นอน มันไม่ใช่ครั้งเดียว หลายครั้ง จะพยายามค่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะทราบดีว่าในพระคัมภีร์ทั้งหมด เกี่ยวข้องกับเรื่องในพระคริสต์เท่านั้นเลย
อย่างเช่น ในหนังสือเอเฟซัส 1:3-4 ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง ให้ท่านอยากจะเรียนรู้เรื่องนี้ต่อไปว่าท่านเป็นใคร?
เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์แก่เราทั้งหลาย ในสวรรค์สถาน”
พระพรนานัปการ ที่ไหน? ในพระคริสต์
เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเลือกเราทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระองค์ด้วยความรัก”
แค่นี้เอง ก็อยากรู้แล้วนะ เรียกเราอย่างไรตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เรียกเราเข้ามาอยู่ที่ไหน? ในพระคริสต์
ให้พวกเราพูดพร้อมกัน “ในพระคริสต์”
ท่านจะต้องพูดนี้ไปอีกนานเลยนะครับ ในซีรี่ส์นี้
เปาโลได้รับการดลใจจากพระเจ้า แล้วเขาได้เห็น เขาได้รู้ พระเจ้าพาเขาไปเรียนรู้ถึงในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เขาเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และยิ่งใหญ่ของชีวิตของเขา เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? เขาจึงอยากให้บรรดาคนที่มาเชื่อพระเจ้า เหมือนกับเขา มาเชื่อพระเยซูนั้น ได้รู้ เหมือนที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์และสำแดงให้เขาได้รับรู้ เขาจึงอธิษฐานและวิงวอนตลอด และเขียนคำนี้ขึ้นมา ในข้อที่ 18 เขาได้อธิษฐานให้กับเราอย่างไรว่า.-
เอเฟซัส 1:18-22 “18 ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่เรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ 19 ฤทธานุภาพนี้ เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน 21 สูงส่งยิ่ง เหนือเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย 22 และพระเจ้าให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระคริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่ง เพื่อคริสตจักร อันเป็นกายของพระองค์”
และเราอยู่ในพระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ท่านลองคิดดู ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใต้พระคริสต์ แล้วเราอยู่ในพระคริสต์ ทุกอย่างเลยอยู่ใต้? ทุกอย่างอยู่ใต้พระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็อยู่ใต้เรา
เปาโลจึงอยากให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้ จึงอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า ช่วยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาใจเรา ขอวิญญาณแห่งปัญญาในการสำแดงความรู้ เราจึงต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน ให้พระวิญญาณช่วยเราในซีรี่ส์นี้ ในการที่จะเปิดตาใจเราทุกคนได้เห็น เหมือนดั่งที่เปาโลได้เห็นแล้ว เหมือนดั่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น เพื่อเราจะได้รับสิ่งทั้งปวง ทั้งมวล ที่พระเจ้าทำให้กับเราแล้วในพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รับอิสรภาพ เราจะได้มีชัยชนะอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกเรามีชัยชนะอย่างแท้จริง
ก่อนอื่น เรามาดูรากศัพท์กันก่อน ความหมายของคำว่า “พระคริสต์” พระคริสต์ ภาษาไทยไม่ต้องออกเสียง “ส” นะ แต่ภาษาอังกฤษ “Christ” อ่านว่า “ไครสท์” มีเสียง “S” เพราะฉะนั้น คำว่า “พระคริสต์” ต้องอ่านว่า “พระ-คริด”
รากศัพท์ คำว่า “พระคริต” ภาษาไทยนะ พระคริตตรงนี้ หมายถึงใครครับ? เราก็รู้ หมายถึงพระเยซูคริสต์ ถูกไหมครับ? นี่คือภาษาไทย คำว่าพระคริตในภาษาไทย มาจากภาษาอังกฤษ คือคำว่า “Christ (ไครสท์)”
“Christ (ไครสท์)” ภาษาอังกฤษนี้ มาจากภาษากรีก คือคำว่า “Christos (คริส-ทอส)” ภาษากรีก ซึ่งมาจากคำว่า “Messiah (เมซียาห์ หรือมา-ซี-ฮา)” ในภาษาฮีบรู
พอพูดคำว่าเมซียาห์ ทุกคนคุ้นภาษาฮีบรูคำนี้มากเลย ใครมาเชื่อพระเยซูได้พูดภาษาฮีบรูคำหนึ่งแน่ๆ คือคำว่าเมซียาห์ พระเยซู คือพระมาซียาห์
และคำแปลของคำว่าเมซิยาห์ ท่านรู้ไหมว่าแปลว่าอะไร? Messiah หรือ Christos หรือ Christ หรือภาษาไทย พระคริสต์ แปลว่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้
พูดพร้อมกัน “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้”
ถ้าแปลตามคำโดยตรงๆ ตามภาษาตรงๆ แปลว่าผู้ที่ถูกเจิมด้วยน้ำมัน Anointed with oil ก็คือเจิมด้วยน้ำมัน ตรงๆ เลย ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งเอาไว้ ความหมาย คืออะไรรู้ไหมครับ? ความหมาย คือผู้ที่พระเจ้าเจิมแต่งตั้งไว้ เพื่อทำงานพิเศษ ให้กับพระองค์ ตรงนี้แปลตรงตัวเลย
ส่วนคำว่า “เยซู” ภาษาอังกฤษ คือ “Jesus” ภาษาจีนเรียกว่า “เหย่-โซว” แต่ “เยซู” ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ “Jesus” มาจากภาษากรีก คำว่า “Joshua” และมาจากคำว่า “Yeshua” ในภาษาฮีบรู
และคำว่า “Yeshua” ภาษาฮีบรูตรงนี้ เป็นคำย่อของคำว่า “Yahweh is Salvation” … “Yahweh (ยาเว่ห์)” คือความรอด แปลว่า God is salvation ภาษาอังกฤษ ก็คือคำว่าเยซู ก็แปลได้ว่าพระเจ้าเป็นความรอด ซึ่งก็หมายถึงพระเยซู ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเอาไว้ เจิมตั้งเอาไว้นั่นเอง เอเมน
และเมื่อมารวมคำ คำว่า “พระคริสต์” กับ “เยซู” นึกออกใช่ไหมครับ พระคริสต์ตะกี้นี้ กับคำว่าเยซู คือชื่อพระเยซู รวม 2 คำเข้าด้วยกัน คราวนี้ชัดแล้ว เราพูดอยู่บ่อย ก็คือคำว่าเยซูคริสต์ ภาษาไทย เนื่องจากเราเคารพ สักการะ ภาษาไทยเรา เฉพาะภาษาไทยเรา เราจะให้คำนำหน้าอีกคำหนึ่ง คำว่า “พระ” ก็เลยกลายเป็นจากเยซูคริสต์ กลายเป็นพระเยซูคริสต์ คราวนี้ท่านจะได้ชัดแล้วว่ามาจากตรงนี้เอง เพราะฉะนั้น ท่านจะเรียกว่าเยซูคริสต์ หรือพระเยซูคริสต์ มีค่าเท่ากัน
พระเยซูคริสต์ ก็จะได้ความหมายรวมอย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งไว้ หรือถูกเลือกสรรไว้ โดยพระเจ้า เพื่อให้ทำงานพิเศษ ให้กับพระองค์ คือมาช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด เอเมน
แล้วใครบ้างครับ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในพระเยซูคริสต์ ใครบ้าง? เรามาดูข้อพระคัมภีร์ด้วยกัน กาลาเทีย 3:26-28
กาลาเทีย 3:26-28 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”
พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ด้วยพระคริสต์”
สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ทำให้เรารับสภาพ หรือมีสภาพในพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ก็คือโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คืออะไร? ก็คือเชื่อในตัวพระองค์ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระคริสต์ เชื่อในอะไร? เชื่อความหมายของคำว่าเยซูคริสต์ เยซูคริสต์ คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ หรือพระเจ้าเลือกสรรมาให้ทำงานพิเศษให้กับพระเจ้า คือไถ่มนุษย์ให้ได้รับความรอด คือเชื่อตรงนี้แล้ว เชื่ออะไร? เชื่อตอนที่พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระท่านให้พ้นจากบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม เชื่อตรงนี้ เรียกว่าข่าวดีของพระเจ้า พอเชื่อปั๊บ ท่านได้รับสภาพ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เข้าไปอยู่ในนี้แล้ว ง่ายไหม? ง่าย ใครอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้ ยกมือขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า นั่นคือเงื่อนไข ที่เราไปอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์
ในข้อที่ 27 เมื่อตะกี้นี้ เราอ่านร่วมกันนะครับ บอกว่า “พวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา” ได้รับเมื่อไร? ได้รับเมื่อรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ถูกไหม? ซึ่งถามว่าในนี้ใครรับบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น ทุกคนยกมือ คิดในใจว่า.-
“ฉันลงน้ำแล้ว”
ถูกไม่ถูก แต่ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่หมายถึงลงน้ำ ไม่ใช่หมายถึงลงน้ำ คำที่เราอ่านพร้อมกันตะกี้ว่า.-
“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว”
ไม่ได้หมายถึงลงน้ำ ไม่ได้บอกว่านคร ผู้ได้รับบัพติศมาในน้ำแล้ว ไม่ใช่ซะหน่อย ตะกี้เราพูดพร้อมกันว่าอย่างไร?
“เพราะนคร ผู้รับได้บัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของนคร ด้วยพระคริสต์แล้ว”
ไม่ได้พูดถึงน้ำสักนิดหนึ่ง แล้วทำไมเรานึกถึงว่าเราลงน้ำแล้ว เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ การลงรับบัพติศมาในน้ำ เป็นเพียงแค่เหมือนเงา ที่ผมเคยยกตัวอย่างว่าเป็นเหมือนเงา หรือเหมือนรูปภาพของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพระเยซูมา ก่อนพระเยซูมาเป็นแค่เงา ตอนพระเยซูมา พระองค์เป็นตัวจริง ก่อนพระเยซูมา เป็นแค่รูปภาพ ตอนพระเยซูมาเป็นตัวจริง นึกออกใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นการลงน้ำบัพติศมา เป็นเพียงรูปภาพ เงาของพระเยซูจะมา เพื่อบัพติศมาเรา ลงในไหน? ในไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จำได้ไหม? ยอห์นบัพติศโตบอกว่า.-
“เราบัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่ผู้ที่มาภายหลังเรายิ่งใหญ่กว่ามากนัก แม้กระทั่งเชือกรองเท้า เรายังไม่สามารถถอดให้เขาได้เลย ผู้นั้นจะบัพติศมาท่านทั้งหลาย ด้วยไฟ”
ไฟ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจยิ่งใหญ่ ตัวนี่แหละ ที่เรียกว่าพลังอำนาจในพระคริสต์ ผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์ เข้าส่วน อยู่ในไฟ ไฟเป็นสัญลักษณ์ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ หมายถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งรวมกันมาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู ผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งไว้ ผู้ได้รับการจัดตั้งไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด การช่วยของพระองค์ ก็คือใครเชื่อ คนนั้นก็ได้ถูกชุบ, จุ่มเข้ามาสู่พลังอำนาจ ในพระคริสต์นี้
เพราะว่าคำว่าบัพติศมา แปลว่าอะไรรู้ไหม? บัพติศมา รู้ไหมแปลว่าอะไร? บางทีเราก็พูดบัพติศมา แบ็บติส แบ็บไทน์ ภาษายุ่งไปหมดเลย ภาษาอังกฤษบ้าง ภาษากรีกบ้าง ภาษาไทยบ้าง ภาษาไทยก็แปลมาจากภาษากรีกบ้างอะไรต่างๆ
บัพติศมา ถ้าแปลตรงๆ ตะกี้ข้อ 27 บอกว่าอย่างนี้ ถ้าผมแปลเป็นภาษาไทย … ภาษาไทยธรรมดา “เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับการจุ่มลงไป ในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”
บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป ชุบลงไป เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐ พอพระเจ้าจับท่าน ในวิญญาณของท่าน จุบลงไปในไหน? ในพระคริสต์ ก็คือในไฟ … ไฟ ก็คือหมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาล ที่ตะกี้นี้เราได้อ่านกันนิดหน่อย ในหนังสือเอเฟซัส ตอนที่เราเริ่มต้น พอเห็นยัง? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้
พระเจ้าจุ่มเราลงไป ชุบเราลงไป ในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ซึ่งใช้สัญลักษณ์ว่าไฟในสมัยนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร? ต้องบอกไฟ ถ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นเรา ในยุคสองพันปีผ่านมา แล้วก็บอกว่าจุ่มเราลงไปในปรมาณู เพราะสมัยนั้น ไฟสูงสุดแล้ว ถูกไหม? จุ่มเราลงไปในพระคริสต์
พระคริสต์ นี่หมายถึงอะไร? ตะกี้นี้เราบอกแล้วใช่ไหม? พระคริสต์ ภาษาฮีบรู ภาษาเดิม ก็คือเยสิยาห์ใช่ไหม? พระเจ้าชุบเราเต็มลงไป จับเราจุ่มลงไปมิดเลย ดำมิดลงไปในไหน? ในมาซีฮาห์ … มาซีฮาห์นี้ เข้าไปถึงในฤทธิ์เดชอำนาจของ The Anointed one มาซีฮาห์ หมายถึงผู้ที่ถูกเจิมเอาไว้ เข้าไปสู่ความยิ่งใหญ่ เป็นครอบครัวก็ได้ มหาศาลเลย ความยิ่งใหญ่นี้ เราถูกจุ่มเข้าไปพระมาซีฮาห์ ท่านลองนึกถึงภาพว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? และผลที่ตามมา ก็คือท่านก็จะได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ ก็คือมันจุ่มลงไปใช่ไหม? ท่านจะเห็นภาพว่าคลุมกาย คืออะไร? พอจุ่มลงไป มุดเข้าไปนะ ถ้าท่านมุดลงไปในน้ำ ท่านก็จะคลุมกายด้วยน้ำ ทั้งหมดเลย ตอนที่เรารับบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเป็นการสมมติ เป็นการประกาศให้ผู้คนว่าเราเชื่อในพระเจ้า ในรูปแบบของพิธีกรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเกิดขึ้นจริงๆ
ในทางฝ่ายวิญญาณ ตอนนั้น ที่เราสมมติ ทำพิธีกัน ลงไปในน้ำใช่ไหม พอลงไปปุ๊บ ขึ้นมาปุ๊บ ตอนลงไป ก่อนขึ้นมา ทำอย่างไร มันถูกคลุมไปด้วยน้ำ แต่พอมาเรื่องของพระวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ปุ๊บ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ยังไม่ทันลงน้ำเลย ทันที ทันใด ถ้าท่านเชื่อจริงในวิญญาณของท่าน พระเจ้า พระบิดาจะจับท่านชุบลงไปในไหน? ในพระคริสต์ ในเมซีฮาห์ ท่านคิดดูสิว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ในเมซีฮาห์ แล้วท่านก็ลงไปในพระมาซีฮาห์ ในการเจิมนั้น เรียกว่าพระคริสต์นั้น เป็นหนึ่งเดียวกันเลย แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร? เหมือนที่ท่านทำตัวอย่าง คือจุ่มลงไปในน้ำ บัพติศมาในน้ำ พอลงไปในน้ำปุ๊บ ท่านกับน้ำเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือภาพสมมติ ภาพเงา เป็นภาพที่ไม่ใช่ของจริง เป็นรูปภาพที่จะบังเกิดขึ้นจริงๆ ในวิญญาณ ทางพระเยซูคริสต์ ในตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม
คนสมัยก่อนเขาไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย เดวิด อิสยาห์ เขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เขารู้อย่างเดียวว่าพระเมซีฮาห์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระเมซีฮาห์จะมา พระเมซีฮาห์คือใคร? พระเมซิฮาห์ คือพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ ก็คือไคร์ซ … ไคร์ซ ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งเอาไว้ เพื่อมาทำงานพิเศษ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เขารู้ว่าพระเจ้าสัญญาไว้ จะมีพระมาซีฮาห์มา เท่านั้นเอง แต่เขาไม่รู้นะครับว่าพระเมซีฮาห์ที่จะมา จะมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ได้มาช่วยเราธรรมดา จะมาพาเราเข้าไปอยู่กับพระองค์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะเข้าไปอยู่ในพระเมซีฮาห์ ถ้าเผื่อมีใครไปพูดกับโมเสสตอนนั้น หรือพูดกับเอลียาห์ตอนนั้น เอลียาห์ก็จะบอกว่า.-
“จะบ้าเหรอ แกบ้า เพี้ยนไปแล้ว”
แต่นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นหมดเลย มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เป็นพระคุณมหาศาลของพระเจ้าที่ทำอย่างนี้ คนสมัยนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย แม้แต่เราเดี๋ยวนี้ เราฟังดู เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่เราเชื่อ เพราะว่าพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งอย่างไร รู้ไหมครับ? เหมือนอะไรรู้ไหม? จะยกตัวอย่างชัดขึ้นนะครับ การลงบัพติศมาในน้ำที่ตะกี้อธิบายให้ฟัง ยังไม่ค่อยชัดเท่าไรว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ลงไป มุดลงไปปุ๊บ ที่เขาบอกว่าเวลาจะทำพิธีนี้ ต้องทำไม? กดหัวลงไปให้จมน้ำ เพื่อที่จะให้มีสัญลักษณ์ว่าท่าน มุดอยู่ ถูกคลุมอยู่ด้วยน้ำ แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำ แต่มันดูอย่างไร มันก็ไม่เป็นหนึ่ง เพราะยังเป็นตัวอยู่ แต่ถ้ายกตัวอย่างอันนี้ง่ายเลย คืออย่างไรรู้ไหม? ท่านเคยชงชาใช่ไหม? เอาชาถุงก็ได้ มีน้ำอยู่ใช่ไหม? ร่างกายท่านเป็นถุงชา พอท่านเอาถุงชาลงไปในน้ำร้อน สักครู่หนึ่ง มันจะเกิดอะไรขึ้น ชามันจะเข้าไปสู่น้ำ น้ำจะไหลเข้ามาสู่ชา ชาและน้ำทำปฏิกิริยาอะไรกันก็ไม่รู้ รวมกันเป็นน้ำชา แยกออกไหม? พอมาเป็นน้ำชา ท่านพอจะมองออกไหม อันไหนคือชา อันไหนคือน้ำ ไม่ออกแล้ว ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านถูกจุ่มลงไป ถูกชุบลงไป ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระมาซีฮาห์ ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่สามารถแยกท่านได้ว่าใครเป็นท่าน และใครเป็นพระมาซีอาห์ นี่พูดถึง ยกตัวอย่างให้ฟังนะ เข้าใจไหม?
ในหนังสือยอห์น 20:31 บันทึกอย่างนี้นะครับ “แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจะได้มีชีวิต ในพระนามของพระองค์”
พระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เห็นไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจึงได้รับชีวิตในนามของพระองค์ อยู่ในนามนั้น ถึงจะมีชีวิต ไม่ใช่เชื่ออย่างเดียว เชื่อแล้วพระเจ้าจับท่านลงไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นแหละ ท่านถึงจะได้รับชีวิต เพราะว่าพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งของชีวิต ไม่มีที่ไหนมีแล้วในโลกนี้ ในมหาจักรวาลนี้ พระองค์เป็นแห่งเดียว ที่เป็นชีวิตและเป็นแสงสว่าง ท่านเข้าไปอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิต
ชีวิตของพระเยซู และชีวิตของท่านมองไม่ออกว่าชีวิตเป็นของใคร? ทั้งสองฝ่ายเป็นชีวิตทางพระเจ้าเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายเป็นแสงสว่างเหมือนกัน พระเยซูบอกท่านไปไหน ท่านจงจำไว้ ท่านเป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกว่าท่านเดินไปไหนก็ตาม ท่านเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ท่านพยายามทำตัวให้เป็นแสงสว่าง เป็นคริสเตียนไม่ใช่ เพื่อจะทำตัวให้เป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ ทำดีแล้วท่านจะเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ ท่านเป็นแสงสว่างอยู่แล้ว จงให้แสงสว่างนั้นมันฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายาม มันไปของมันเอง ท่านต้องรู้ก่อนว่าท่านเป็นแสงสว่าง ไม่อย่างนั้น ท่านไม่รู้ พอไม่รู้ ก็เดินสะปะสะเปะ แต่ท่านรู้ว่าตัวท่านเองเป็นแสงสว่าง บางคนเข้าใจผิด คิดว่ามาเป็นคริสเตียน ต้องทำตัวเป็นความสว่าง ไม่ใช่ ท่านเป็นความสว่างอยู่แล้ว ผมต้องทำตัวเป็นผู้ชายไหม? ถามจริง ท่านต้องทำตัวเป็นผู้หญิงไหม? เพราะว่าท่านเป็นอยู่แล้ว ยกเว้นว่าท่านจะเป็นเพศที่สาม ท่านอาจจะต้องทำ แต่ถ้าท่านเป็นอะไร? แต่ท่านเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านเป็นผู้หญิง ท่านก็เป็นผู้หญิง ท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราเป็นแสงสว่าง เราเป็นชีวิต นี่ ไม่ใช่เราไปขอชีวิตจากพระเจ้า พระเจ้าจับเราใส่เข้าไปในหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตเดียวกันเลย
โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ 2 แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”
เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่ทุกคนเลย เพราะว่าพระเยซูมาไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ ตั้งใจฟัง บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปแล้ว ไม่ใช่สิ
เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ บัดนี้ ไม่มีการลงโทษใดๆ เลย ไม่มี จะทำบาป ทำผิดอะไร ก็ไม่มีการลงโทษ สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระมนุษย์ให้พ้นจากบาปผิดทั้งปวง ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ดังๆ สิ ไม่ใช่ ต้องมั่นใจ ข้างๆ เขาไม่กล้าพูด เราก็ไม่พูด ไม่ใช่ เฉพาะผู้ที่เลือกว่าจะมาอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทำจริง
เขาก็จะได้รับสิทธิของเขาเอง เอเมน สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนได้รับ เอ๊ะ! ถูกหรือเปล่านี้ ถูก สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนได้รับ เพราะว่าทุกคนไม่ได้ใช้สิทธิของเขา ใช่ไหม? เงิน 600 บาทต่อเดือน สำหรับคนมีอายุแบบผม หรือแบบใครก็ตามที่มีอายุ 60 ขึ้นไป ที่รัฐบาลคอยช่วยเหลือ เขาเรียกเป็นค่าอะไร? เบี้ยค่าครองชีพของผู้สูงอายุ ค่าเลี้ยงดูผู้สูงวัย 600 บาทต่อเดือน เป็นของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ของคนในประเทศนี้ ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ แต่คนที่ได้รับไม่ใช่ทุกคน เฉพาะคนที่ยอมเชื่อและไปใช้สิทธิของเขา ไปยื่น กรอกข้อความที่เขตว่า.-
“ฉันอายุเท่านี้จริงๆ นะ ฉันนคร เวชสุภาพร อายุเท่านี้ เอาบัตรประชาชนให้ดู อยู่บ้านเลขที่นี้ โอเค ฉันต้องการรับ 600 บาท”
ในที่สุด ผมก็ได้ 600 นั้นจริงๆ นี่เหมือนกันเลย คือใครก็ตามเมื่อมาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อจริงๆ นะครับ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เป็นพระเมซิฮาห์ ที่ถูกเจิมตั้งไว้โดยพระเจ้า ให้มาทำการนี้โดยเฉพาะ คือ
“มาไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป แล้วพระองค์มาทำแล้ว คือตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระโลหิตทรงชำระมนุษย์ให้สะอาดหมดจดทุกคนเลย โดยรวมทั้งฉันด้วย ฉันจะเอาแล้ว ฉันจะไปรับสิทธิของฉัน”
นั่นแหละ คือเชื่อในข่าวดี เขาก็จะได้รับสิทธินี้ทันที ได้เชื่ออย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ทันที เป็นผู้ที่ถูกจุ่มลงไป ไม่ใช่สระน้ำหน้าบ้านเรา ไม่ใช่ จุ่มลงไป มุดลงไป ได้ถูกชุบลงไป โดยพระเจ้า ลงไปในพระคริสต์ทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นตีหนึ่ง ตีสี่ ตีห้า กี่โมงก็ตาม ที่เขาปิ๊งขึ้นมาว่า.-
“เชื่อแล้วๆ เขามาประกาศตั้งนาน เขามาเล่าให้ฉันฟังตั้งนาน ฉันเชื่อแล้ว วินาทีนี้เลยทันที”
พระเจ้าจับท่านมุดลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งเรียกว่าไฟ พลังอำนาจยิ่งใหญ่นี้ ที่เรียกว่าพระคริสต์ พระคริต หรือมาซีฮาห์ ทันทีทันใด ท่านได้รับสิทธินั้นทันที และเมื่อจุ่มท่านลงไป มุดลงไปในน้ำ ท่านเปียก ถูกไหม? ตอนที่เราทำตัวอย่างบัพติศมาในน้ำ
บัพติศมาในน้ำ ไม่ใช่ไม่สำคัญ ถามว่าสำคัญไหม? มันเป็นเหมือนกำลังใจให้เรา ที่ดีที่เดียวที่เราจะบอกผู้คนว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เป็นการปฏิบัติให้เห็นเท่านั้นเอง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางวิญญาณเลย ไม่ได้เกี่ยวสักนิดหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านลงน้ำให้ตายสัก 20 ครั้ง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะการลงน้ำเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ได้เห็นเท่านั้นเอง ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ บางคนบอกว่า.-
“ฉันจะไปลงน้ำ เพื่อฉันจะได้รับชีวิตนิรันดร์”
ไม่ได้หรอกครับ ท่านไม่ได้ ถ้าท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์จริงๆ ท่านจะไม่ได้ตรงนี้ แต่ส่วนใหญ่ที่เขาลงน้ำ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปจริงๆ ก่อนแล้ว เขาถึงลงน้ำ นี่พูดถึงส่วนใหญ่ ก็มีส่วนน้อยที่เป็นคริสตาม ก็ตามเขามา ก็อยากลงน้ำ เขาลง ก็อยากลงบ้าง สนุกดี แปลกดี ก็อยากลงบ้าง อย่างเช่น ลูก หลาน เหลน โหลนอะไรประมาณนี้ ก็ลงไปเถอะ ไม่เป็นอะไร สนุกดี แต่เมื่อวันหนึ่งที่เขาตามแล้ว วันหนึ่งที่เขาเรียนรู้จักพระเจ้าจริงๆ แล้วเขาเชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เขาถึงจะได้รับการจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ เรียกว่าในพระคริสต์ ในคริต ในไครซ์ ในมาซีฮาห์นี้ เอเมน เข้าใจนะ
แล้วถามว่าจุ่มลงไปเป็นอะไรเกิดขึ้น ถ้าจุ่มลงไปในน้ำ เราก็เปียก แค่นั้นเอง จบ ไม่มีอะไรเลย จริงๆ ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว นอกจากเปียก แต่พระเจ้าชุบท่าน ลงไป กดท่านลงไป ทำให้ท่านมุดลงไปในพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกิดขึ้น ในวิญญาณของท่านทันที ในคนๆ นั้น ทันทีทันใดเลย
พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ท่านอ่านดูนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทันทีทันใดนั้น มันสปาร์ก นึกถึงภาพอะไรดี ในปัจจุบัน อย่างที่ผมบอก ต้องนึกถึงภาพปรมาณู ทางวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ ที่มันยิ่งใหญ่ ใส่เข้าไปปุ๊บ มันระเบิด 2 โครินธ์ 5:17 เกิดอย่างนี้ขึ้น ก่อนจะอ่านท่านนึกถึงภาพนะครับ พอท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ คนใดคนหนึ่ง หรือเราก็ได้ เราเอง พอผมเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อจริงๆ เลย ซาบซึ้งในข่าวประเสริฐจริงๆ เลย ทุกคนมีวินาทีนี้ทุกคน ไม่มีใครไม่มีเลย ทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์เดี๋ยวนี้ ทุกคนมีวินาทีนั้น เพียงแต่จะระลึกถึง หรือนึกถึงหรือไม่เท่านั้นเอง วินาทีนั้น มันซาบซ่าส์ ขณะนั้น พระเจ้ากำลังทำพิธีบัพติศมา หรือจุ่มท่าน กดท่านให้มุดลงไปในน้ำ เหมือนคล้ายๆ กับตอนที่ศิษยาภิบาลกดท่านรับบัพติศมาในน้ำ หน้าโบสถ์ คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ตรงนี้ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านตัวไม่เปียกเลย เพียงแต่เหงื่อแตกเท่านั้นเอง ท่านไม่รู้ตัวเลย แต่ในทางวิญญาณ พระเจ้ากำลังจับท่านเข้าไปในไฟแห่งพระวิญญาณ ที่เรียกว่าพระคริสต์ มาซีฮาห์ ฤทธิ์เดชอำนาจ ไฟแห่งพระวิญญาณ อะไรก็ว่าไป ท่านลองอ่านตรงนี้ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้น
2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
เห็นหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น? ถ้าลงน้ำเปียก แต่ในทางวิญญาณ เมื่อเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าบัพติศมาท่านลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ มาซีฮาห์ เกิดอะไรขึ้น ท่านถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ … นี่แน่ะในภาษาเดิมเขาเรียกว่าอะไรรู้ไหมครับ แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ Be hold บอกจงมองให้เห็นเถิด มันใหม่มาก จงเห็นเถิด ไม่เห็นก็พยายามทำให้เห็น เพราะว่ามันเป็นจริงตามนั้น คืออะไร? คือท่านกลายเป็นสิ่งใหม่เลย เป็นวิญญาณดวงใหม่เอี่ยม ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกอยู่ในวิญญาณท่านอีกต่อไป เอเมน ความจริงตรงนี้ไม่ต้องเชียร์ ท่านก็ต้องปรบมือแล้วล่ะ เพราะท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เกือบ 100% เป็นตรงนี้หมดเลย โดยเราไม่รู้ตัว พอเรามาเรียน
“อ้อ! เราเป็นอย่างนั้นเหรอ ก็ดีเหมือนกันนะ”
เนี้ยแหละ ใหม่ไหม? รู้สึกกลับไปบ้าน หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลยนะ ถ้าตาใหม่ขึ้นเยอะเลย
“ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป”
กลับไปทำไมสิวยังอยู่ล่ะ แผลเป็นก็ยังอยู่ เพราะว่าที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของวิญญาณของเรา วิญญาณของมนุษย์ ซึ่งสำคัญที่สุด ร่างการเราวันหนึ่งมันต้องตายทุกคน ร่างกายเรา พระเจ้าไม่จัดการแล้ว เพราะว่าเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้แล้ว แต่วิญญาณเราจะต้องอยู่นิรันดร์ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไม่มีพระเจ้า หรือที่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์นิรันดร์กาล ที่ใดที่หนึ่ง ต้องอยู่แน่นอน ตลอดกาล เพราะพระเจ้าให้วิญญาณมนุษย์ สร้างวิญญาณมนุษย์ให้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นวิญญาณที่มาจากพระองค์ เป็นวิญญาณนิรันดร์ นิรันดร์ที่เป็นกาลเวลานะ ก็คืออยู่ไม่มีการตาย ไม่มีการสูญสิ้น พอเข้าใจใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น ตัวนี้ เสร็จสิ้นไปแล้ว สำคัญมาก นี่คือความหวังของคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง ผู้ที่ต้อนรับข่าวดีพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าจับใส่มาอยู่ในพระคริสต์ คือวิญญาณของคนๆ นั้น ได้รับการชุบขึ้นมาใหม่ จุ่มขึ้นมาใหม่ เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนจากวิญญาณที่ตายแล้ว ในความบาป ไม่รู้จักพระเจ้า มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก โสมม กลายเป็นสภาพวิญญาณใหม่ สะอาดบริสุทธิ้เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ได้รับการ Anoint เจิมด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ เพราะเข้าไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจ พอเข้าใจใช่ไหม เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็น Anointed one พระคริสต์เป็นฤทธิ์เดช เป็นการเจิมของพระเจ้า คนนั้นเข้าไปอยู่ในการเจิมของพระเจ้า วิญญาณเข้าไปอยู่ในพระเจ้า เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง สะอาดบริสุทธิ์ ชำระอย่างรุนแรงเลย ทำให้สภาพของวิญญาณนั้น มีลักษณะเหมือนพระเยซู หรือเรียกว่ามีพระฉายเหมือนพระเจ้า
ยกตัวอย่างเหมือนอะไรรู้ไหมครับ? เหมือนแจกันทองคำโบราณ มีค่ามหาศาลมากเลย อยู่ๆ มา มีคนไม่รู้จักค่าของมัน นึกว่าเป็นทองปลอม ก็ทิ้งมัน พอทิ้งมันนานๆ เขา หยากไย่ มันเคอะไปหมดเลย เขาเรียกว่าขี้ทอง หรือว่าเกลี้ยงทอง หรือว่าเชื้อราอะไรต่างๆ เกิดขึ้น สกปรกหมดเลย หนาหลายปีมา ไม่มีใครเอาเลย ลูกๆ หลานๆ เหลน โหลน ก็เอาแจกันอันนี้ ไปขายทอดตลาด ข้างในมันเป็นทองแท้ ทองคำบริสุทธิ์ นึกออกใช่ไหมค่ะ ขายไปตลอด ยิ่งขายไปเท่าไร ยิ่งสกปรกโสโครก โสมม เต็มไปหมด ไม่เห็นทองเลย ไม่เห็น เห็นแต่แจกันอะไรดำๆ แต่เมื่อมีคนหนึ่งรู้ว่าข้างในมันเป็นทอง ก็เลยไปซื้อแจกันทองนี้มา มาทำอะไรรู้ไหมครับ? เขาจะมีน้ำยากัด ทองเวลาเราเอาไปล้าง เขาจะมีน้ำยาอันหนึ่ง สำหรับล้างทอง ให้มันบริสุทธิ์ ให้เอาสิ่งที่สกปรกติดอยู่ออกไป อันนี้ผมไม่รู้เรื่องหรอกนะ ผมเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง จริงๆ เขาล้างอย่างไรไม่รู้ แต่เขามีวิธีล้าง เขาก็เอาแจกันทอง ซื้อมาถูกๆ เอง แล้วมาทำไมรู้ไหม? มาจุ่มมันลงไป ให้มันมิดลงไป ในสารเคมี น้ำสารเคมีตัวนี้ พอลงไปปุ๊บ น้ำสารเคมีก็ทำการไปปฏิกิริยากับตัวแจกันนี้ กัดสกปรกออก ชุบกลายเป็นทองขึ้นมาใหม่ ปิ้งเลย ใสแจ๋วเลย
ท่านรู้ไหม น้ำสารเคมีนั้น ถ้าเทียบกับพระเยซูคริสต์ คืออะไร? น้ำนั้น คือน้ำเลือดของพระเยซูเอง พระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์นั้น สามารถลบล้างบาปทั้งสิ้น ความสกปรกโสโครกทั้งสิ้นของวิญญาณเราได้ เอเมน พอไหม? ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้เราได้รู้อย่างนี้ ที่ให้เราได้รู้อย่างนี้ ทำไมพระเจ้าทรงเมตตาต่อเรามากขนาดนี้ เราเหมือนแจกันที่ไปอยู่โน่น ขายทอดตลาดมาไม่รู้กี่ทอดแล้ว ตอนนี้อยู่ … ขอโทษนะ อยู่ข้างส้วม เขาทิ้งไว้ ไม่มีใครไปซื้อเลย คนนั้นเดินมาก็เตะที บางคนก็ … ขอโทษนะ … ถ่มน้ำลายลงไปในแจกันนี้ มันอยู่กับพื้น จริงๆ มันอยู่บนหิ้ง เป็นทองสวย มีแก้วจาระไน ทำเป็นตู้วาง ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าประตูส้วม แล้วก็นาน หยากไย่ขึ้น ถ่มน้ำลายลงไปอะไรต่างๆ สกปรกโสโครกมากๆๆๆๆ แล้วพระเจ้ารู้ พระเจ้าทรงคิดแบบนี้
“อันนี้ ฉันจำได้ แจกันอันนี้ ฉันสร้างเอง ของจริง คือทองแท้บริสุทธิ์ ฉันยอมไปซื้อมา”
แล้วก็ชุบลงไปในสารเคมีพิเศษ ซึ่งทำยากมาก เพราะต้องเกิดขึ้นจากการเสียสละของพระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์ต้องตายที่ไม้กางเขน เพื่อได้รับสารเคมีนี้มา เรียกว่าพระโลหิตของพระองค์ เพื่อที่จะกัดตัวบาป โสโครก ที่ติดอยู่กับทองนี้ ลอกมันออกหมดให้ได้เลย ท่านคิดดู ต้องลงทุนขนาดไหน? ที่จะทำสารเคมีตัวนี้ ขึ้นมา เพื่อชำระล้าง แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าแม้กระทั่งแจกัน ที่มันสกปรก โสโครกขนาดนั้น ที่อยู่หน้าห้องน้ำขนาดนั้น แต่พระเจ้ารู้ว่ามันบริสุทธิ์ ข้างในมันเป็นทองบริสุทธิ์ พระองค์เป็นผู้สร้างเอง พระองค์รู้ ท่านรู้ไหมโสโครกขนาดนั้น ถ้าเป็นเรา เราไปซื้อ มันคงไม่กี่ตังค์ ถูกไหม? จ่ายเงินไม่กี่ตังค์ แล้วเราก็ซื้อกลับมา แต่พระเจ้าต้องจ่ายราคาแพงมาก คือจ่ายชีวิตของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เอง ยอมสละพระเจ้า สภาพของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ที่ต่ำต้อย สละสภาพพระเจ้าเด็ดขาด มาอยู่เป็นมนุษย์ธรรมดา เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์มารับโทษบาปแทนมนุษย์ เพื่อแจกันนั้นจะได้กลับคืนไปสู่หิ้งเหมือนเดิม เอเมน นี่คือพระคุณ เขาเรียกว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้า เขาเรียกว่า Amazing Grace ถ้าใครได้เรียนรู้ตรงนี้ Amazing Grace จริงๆ
นอกจาก พยายามอธิบายให้ท่านเห็นภาพ พระคริสต์ๆ ในพระคริสต์ เป็นอย่างไร อยากให้ท่านเห็นภาพ เพราะอะไรรู้ไหมครับ ท่านจะได้เห็นพระคุณของพระเจ้า ได้เห็นคุณค่าของตัวท่านเอง และได้เห็นว่าพระเจ้าได้ทำอะไรเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ ทุกวันนี้ มันเกิดขึ้นแล้วนะ ที่พูดเนี้ย ทั้งหมด ไม่ใช่จะเกิดขึ้นนะ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วพอเรารู้ เราก็จะใช้สิทธิของเรามากขึ้น ถ้าเรารู้ เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข อย่างที่พระเยซูบอกเรามากขึ้น พยายามจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่า “ในพระคริสต์” นั่นคืออะไร? ในพระคริสต์เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ในพระคริสต์เป็นเหมือนอะไรอีกรู้ไหม?
ในพระคริสต์เปรียบเหมือนครอบครัวหนึ่ง เปรียบเหมือนครอบครัวพระเจ้าใหญ่ๆ เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู ให้จิตวิญญาณเราได้สะอาดหมดจดแล้ว เราได้ย้ายเข้ามาสู่ครอบครัวในพระคริสต์ ในพระคริสต์เหมือนครอบครัวหนึ่ง เหมือนกับสำมะโนครัวหนึ่งที่มีทะเบียนอันหนึ่ง เข้าใจใช่ไหมครับ
เจ้าของบ้าน ก็คือพระเจ้า พระบิดา ถูกไหม? สมมติเอานะ พระเจ้าทำทะเบียนขึ้นมาใหม่ทะเบียนหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้สร้างทะเบียนนี้ขึ้นมา หัวหน้าครอบครัว เขาเรียกอันดับหนึ่ง ถูกไหม? ต้องเบอร์หนึ่ง ทะเบียนบ้านนี้เรียกว่าบ้านพระคริสต์ บ้านพระคริสต์ สมาชิกอันดับหนึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว มีชื่อว่าพระเยซู อันดับสอง คือไม่รู้เปโตร เปาโล ท่านเป็นอันดับที่เท่าไรไม่รู้ เข้าใจไหม? ในพระคริสต์หมายถึงอย่างนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเข้าไปอยู่ในสถาบันนี้ เราเข้าไปอยู่ในครอบครัวนี้ แล้วมันหมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจด้วย พร้อมๆ กันเลยทีเดียวเชียวล่ะ 1 โครินธ์ 12:13 ท่านจะเห็นภาพตรงนี้ มันเหมือนครอบครัวอย่างไร? มันเหมือนถ้าเราไปอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันอย่างไร? คำว่า “ในพระคริสต์” นอกจากเป็นภาพแบบที่ตะกี้นี้ ที่ผมอธิบาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ ที่เราได้ถูกสร้างขึ้น แล้วจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจนี้แล้ว เป็นเหมือนทะเบียนบ้านที่เราเข้าไปอยู่ มีนามสกุลว่าพระคริสต์ สมมติอย่างนั้นนะ เป็นน้องของพระเยซู อยู่ในบ้านเดียวกัน มีสิทธิเท่ากัน 1 โครินธ์ 12:13 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ
1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเราทั้งหมด ก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”
จะลองแปลงตรงนี้ ให้ท่านได้เห็นภาพว่ามันคืออะไร? ท่านจะได้เข้าใจชัดขึ้น
“เพราะเราทั้งหมด ก็ได้รับการจุ่มลงไป การชุบลงไป การมุดลงไป โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือไท เราทั้งหมด ก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”
พอมองเห็นไหม? คือเราทั้งหลาย เหมือนกันหมด เหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผมยกตัวอย่างอันนี้ ไม่รู้ว่าน่าจะได้ไหม? น่าจะได้เหมือนกันนะ เหมือนท่านไปเห็นฝูงม้า เข้าใจไหม? ท่านเห็นฝูงม้า ฝูงหนึ่ง สมมติ 10,000 ตัว ท่านมองไปเป็นม้าหมดเลย ท่านรู้ไหมตัวไหนเป็นตัวไหน? คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ จริงๆ มันมีนะ ถูกไหม? ม้าแต่ละตัวมันก็จะมีแต่ละลักษณะ แต่เรามองไปเป็นฝูงม้า ถูกหรือเปล่า? เหมือนกัน มนุษย์ท่านมองไปทั้งหมด ท่านมองไป ท่านรู้ว่าคนนี้เป็นมนุษย์ ต้องมาบอกท่านไหมว่านี่มนุษย์นะ อันนั้นเราด่ากันมากกว่า ที่บอกไม่เหมือนมนุษย์ จริงๆ เรารู้ แต่เราแกล้ง เราไปว่าเขา ถูกไหม?
“แกไม่เหมือนมนุษย์”
ไม่ต้องบอก ท่านมองดู ทุกคนรู้หมดแล้ว อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์เห็นไหม ก็เหมือนกันหมด ลักษณะเดียวกัน คนที่เกิดใหม่โดยวิญญาณ โดยพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ คนเหล่านั้นอยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่ในครอบครัวพระคริสต์ เป็นเหมือนกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เป็นลักษณะชีวิตเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย เอเมน
และการที่เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้รับการถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระคริสต์ทันที เราก็จะมีลักษณะ มีชีวิตอยู่เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า ท่านไปต่อเองแล้วกันว่าควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้
สามารถอยู่กับพระเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย เอเมน สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เหมือนที่พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระองค์ จำคำนี้ได้ไหม? รู้ แต่จำไม่ได้แล้ว เอาถ้อยคำมาให้อ่าน ท่านอ่าน ยอห์น 14:20 ฟังพระเยซูพูดเองเลยนะครับ ผมไม่ได้พูดนะ ยอห์น 14:20 พูดไว้อย่างนี้ พระเยซูตรัสว่า.-
ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”
เอเมน … ผมไม่ได้พูดเลย พระเยซูบอกว่าในวันนั้น ถามว่าในวันนั้น คือวันไหน? วันนั้น คือวันนี้ วันที่เรากำลังพูดอยู่นี้ วันนั้น คือวันที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน ในตอนบ่ายสามโมง แล้วพระองค์ตะโกนว่า It is finished. มันสำเร็จแล้ว มันไม่ใช่กำลังจะสำเร็จ มันไม่ได้กำลังจะเริ่มต้น เพิ่งจะเริ่มต้น แต่พระองค์บอกว่ามันสำเร็จแล้ว จบแล้ว การไถ่บาปให้กับมนุษย์ จบสิ้นแล้ว ครอบครัวได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทะเบียนบ้านของพระเยซูคริสต์อันใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในวันนั้น พวกท่านจะได้ตระหนัก พวกท่านจะได้รู้ว่าพระเยซูอยู่ในพระบิดา พระเยซูอยู่ในพระเจ้า พระบิดา และพวกท่านอยู่ในพระเยซู พวกท่านได้เชื่อพระเยซูแล้ว ได้ถูกจุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว และพระเยซูอยู่ก็อยู่ในพวกท่าน และเราทั้งหลายก็อยู่ในพระบิดา รวมความแล้วว่าอย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้านั่นเอง หนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? ถ้าไม่เหมือนกัน ถูกไหม?
ท่านพอจะมองเห็นหรือยังว่าความสัมพันธ์ตรงนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระเจ้านะ และพระเจ้าทรงอยู่ในพระองค์ … ช้าๆ นะ และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์อยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา สรุป คือเราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงอยู่ในเรา เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์
สรุปแล้วเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? รอให้เราตายก่อน แล้วค่อยไปอยู่ในสวรรค์ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ไหม? ไม่ใช่ เกือบถูกหลอกแล้ว เกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และบอกว่ามันจบแล้ว “เททเทเลสสไต” ภาษากรีก ที่บอกว่าจ่ายหมดแล้ว จ่ายหมดแล้ว จ่ายอะไร? จ่ายหนี้บาปของมนุษย์ทั้งหลายไปเรียบร้อยแล้ว หมดเกลี้ยงแล้ว มนุษย์พ้นจากหนี้บาปแล้ว ใครก็ตามที่รู้ข่าวดีนี้ มารับสิทธิของเธอไปเลย เธอจะได้รับการจุ่มเข้าไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงพลังอำนาจของพระเจ้า ที่เรียกว่าที่กระทำการงานอยู่ในพระคริสต์ และเธอจะได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์นี้ อยู่ในครอบครัว อยู่ในทะเบียนใหม่นี้ เอเมน เรียกตัวเองว่าลูกของพระเจ้าเลยทันที
พอเราว่าจุ่มลงไปในพระคริสต์ เราถูกมุดเข้าไปในพระคริสต์ใช่ไหม? พระเจ้าจะจับเรามุดเข้าไปในพระคริสต์ใช่ไหม? เราได้รับการถูกสร้างขึ้นมาใหม่ใช่ไหม? เกิดปฏิกิริยาใหม่ คือวิญญาณใหม่ใช่ไหม? แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? “เราอยู่ในพวกท่านใช่ไหม?” แล้วพูดต่อมาในข้อ 23 ว่า.-
ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา”
ภาษาเดิมบอกว่าจะสร้างบ้านร่วมกับเขา Make our home with him. ใครก็ตามที่รักเรา และรักพระเยซู เชื่อฟังคำสอนของพระเยซู หมายถึงไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูสอนว่าตบหน้าข้างซ้าย ให้หันข้างขวาให้ตบด้วย ไม่ใช่แค่นั้น สอนว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับเรา พระองค์เป็นพระคริสต์ๆ ไม่ใช่มาเชื่อพระเยซูว่า.-
“อ๋อ! พระองค์บอกว่าใครทำอะไรไม่ดีกับเรา ให้อภัยเขา ใครเขาอยากได้เสื้อเรา เอาเสื้อคลุมไปด้วย”
ไม่ใช่แค่นั้น ตรงนั้นไม่สำคัญเท่ากับตรงนี้ ต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เลือกสรรไว้มาทำงานพิเศษ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป เชื่อตรงนี้ และเชื่อว่าพระองค์มาจริงๆ เกิดแล้ว และไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว ที่ไหน? ที่ไม้กางเขน ตามที่พระองค์ได้บอกว่าพระองค์มา เพื่อตายที่ไม้กางเขน และในวันที่ 3 พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ เชื่อจริงๆ ตามนั้น พอเชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้ากับพระเยซูจะมา เขาเรียกว่า Make out home. หมายถึงว่าทำบ้านของเรากับเขา หมายถึงมาอยู่กับเขา ภาษาไทยแปลว่ามาอยู่กับเขา
ตอนนี้ใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า พระเยซูอยู่กับท่าน ต้องรอไหม? รอให้วันหนึ่งท่านตาย ไปอยู่กับพระเจ้าไหม? ท่านรู้ไหมว่าเวลาเราตายอะไรเกิดขึ้น? แค่เราเปลี่ยนมิติ ทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนมติเข้าไปเท่านั้นเอง สิ่งที่จริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรามองเรืองรางเหลือเกิน ต้องอ่านจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่เราเอเมนๆ ยิ้มๆ อย่างนี้ ไม่ชัด แต่เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราจากร่างนี้ไปแล้ว ทิ้งร่างนี้ไปแล้ว มันจะปรากฏให้เราอย่างชัดเจน เปิดให้เราเห็นอย่างชัดเจน ไม่ได้เป็นมากกว่านี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้น ไว้รอสัปดาห์ต่อไป
ตอนนี้เรามาร้องเพลงนี้ด้วยกัน ผมนึกถึงการจุ่ม การชุบลงไปแล้ว ผมนึกถึงเพลงนี้ ตอนที่เรารับบัพติศมาในน้ำ เราก็เอาเพลงนี้มาร้อง แต่เราร้อง เราก็นึกว่าการรับบัพติศมาในน้ำ ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าแบบวิญญาณอย่างนี้ ตามพระคัมภีร์อย่างนี้ มันก็ไม่ลึกซึ้งเท่าไร แต่พอได้เรียนอย่างนี้แล้ว ร้องอย่างนี้ มันลึกซึ้งมากเลยว่า “มีธารน้ำพุเต็มด้วยโลหิตของพระเยซู” เห็นไหม? “ถ้าใครทำบาป ดำลงให้มิด”
คำว่า “ใครทำบาป” นี้ ไม่ได้หมายถึงคนทำบาป หมายถึง sinner หมายถึงคนบาปอย่างเรา มนุษย์ คนบาปทุกคนเลย พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาปทุกคน ถ้าคนบาปอย่างเรามุดลงไปในพระโลหิตพระเยซูนี้ จะถูกล้างชำระให้พ้นบาปทั้งปวงเลย เอเมน
*********************
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2015 เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร
คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2015
เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ”
โดย นคร เวชสุภาพร
ตอนนี้เราผ่านเพ็นเทคอสต์มาถึงวันนี้ ก็ 4 สัปดาห์แล้ว ถ้าเป็นวันเพ็นเทคอสต์แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็ต้องพูดว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว เราได้คุยกันไปแล้วนะครับว่าวันเพ็นเทคอสต์ ก็คือวันที่พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ในลักษณะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้นมาตลอดเลยนะครับ มาจนถึงทุกวันนี้
แล้วมีใครบ้างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับเขา คำตอบ ก็คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้น เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิทธิ์นี้ เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เพียงแต่รอให้คนๆ นั้น มนุษย์คนนั้นรับรู้ นอกจากรับรู้แล้ว มารับสิทธิของเขานั่นเอง แล้ววิธีการต้องมารับสิทธิ์ต้องทำอย่างไรบ้าง? คำตอบ ก็คือจะรับสิทธิ์ทำอย่างไร? เหมือนท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ รับสิทธิ์ไปแล้ว การจะเข้ามารับสิทธิ์ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา ให้เราเป็นวิหารของพระวิญญาณนั้น ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัตินะ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น และการเชื่อตรงนี้ เป็นการเสนอตัวให้ไปรับสิทธิ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้วที่ไม้กางเขน
ถ้ารู้ แต่ไม่เชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนเรารู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้ง เวลาเขาเลือกตั้ง แต่ถึงวันเลือกตั้ง เราไม่ไปใช้สิทธิ์ ก็มีค่าเท่ากับเราไม่มีสิทธิ์ ถูกไหมครับ? คนที่ไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่ได้ไปเลือก เรามีสิทธิ์ แต่เราไม่ไปเลือก เราก็เท่ากับเราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน คือต้องเริ่มต้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อะไร? ข่าวดีคืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย เป็นแพะรับบาปให้กับเรา และวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แค่นี้สั้นๆ แล้วไปรับสิทธิ์ทันทีเลย และหลังจากที่รับเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าคนๆ นั้น เราผู้ที่ทำแบบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้นไปเรียบร้อยแล้ว คือได้ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว สามารถเริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้นนะ สามารถเริ่มต้นรับรู้ถึงฤทธานุภาพอำนาจ และความยิ่งใหญ่สูงสุดของใคร? ของพระเยซู เพราะพระเยซูบอกแล้วว่าพระวิญญาณจะมา เพื่อจะยกย่องพระเยซูขึ้น พระวิญญาณมา ไม่ได้มายกย่องพระองค์เอง เพราะพระวิญญาณมาไม่ใช่เพื่อยกย่องคน คนนั้นคนนี้ พระวิญญาณมาไม่ได้ยกย่องใครเลย นอกจากยกย่องพระเยซู พระวิญญาณจะพาเราไปที่เดียวเท่านั้น คือให้ไปรู้จักพระเยซู แล้วพระเยซูจะนำพาเราไปรู้จักกับพระบิดา เอเมน
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งอยู่ที่พระเยซู ไม่ใช่พระวิญญาณ เข้าใจใช่ไหมครับ? พระวิญญาณจะเป็นตัวนำเราไป ในหนังสือเอเฟซัสจึงได้ระบุไว้อย่างนี้ ให้ท่านอ่านดูนะครับว่าเป็นสิ่งสำคัญขนาดไหน? เราจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ความมหัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ ความจริงของพระเยซูคริสต์ ความโดดเด่นของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็ได้จากการวิงวอน ขออธิษฐานให้พระวิญญาณนำพาเราให้ไปพบกับพระองค์ พบกับใคร? พระเยซู เริ่มต้นแล้วใช่ไหม? เราเริ่มต้นเชื่อแล้ว พอเราเชื่อข่าวดีปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาแล้ว ก็เริ่มต้นสอนเราในเรื่องของพระเยซู แล้วก็สอนเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สอนให้เราทำฤทธิ์เดช ไม่ใช่สอนเราให้ทำการอัศจรรย์ แต่สอนให้เราทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเยซูมากขึ้น รู้จักพระเยซูมาขึ้น นี่คือเป้าหมาย ไม่ใช่มาติดอยู่กับอะไรต่างๆ เหล่านั้น ในการปฏิบัติ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? เอเฟซัส 1:16-21 ลองอ่านดูนะครับ
เอเฟซัส 1:16-21 “16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น 18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครอง และเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย”
นี่คืออะไร? นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ของเรา ซึ่งการที่เราจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ก็เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น และพระวิญญาณจะเปิดตาใจเรา ให้สามารถที่จะรับรู้ความจริงเหล่านี้ได้ เหมือนตะกี้ทีเราอ่าน เปาโลบันทึกไว้เห็นไหมว่าสำคัญขนาดไหน?
“ข้าพเจ้าเพียรทูลอธิษฐาน ขอพระเจ้าของเรา ขอให้ตาใจของท่านเปิดออก ขอให้ท่านได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดงความรู้”
ทำไมเรียกว่าวิญญาณ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Spirit of revelation, Spirit of wisdom คือวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ วิญญาณซึ่งมันไม่มีเหตุมีผลของมนุษย์ที่จะสามารถเข้าใจได้ แต่มันลึกซึ้งมาก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการสำแดง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณแห่งสติปัญญา พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณสำแดงความรู้ ทั้งสิ้นอยู่ในพระวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระวิญญาณจะเป็นผู้นำพาเราไป โดยวิญญาณแห่งสติปัญญา จะให้สติปัญญากับเรา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ จะให้ความรู้กับเรา เรื่องเกี่ยวกับใคร? พระเยซู จำไว้เลย เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และเพราะพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พระองค์จึงทรงย้ำกับเราอยู่ตลอดเวลาว่าอะไร? อย่ากลัวเลย อย่าให้ใจท่านวิตกกังวลเรื่องใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วนั้นเอง มันจบแล้ว พูดง่ายๆ มันจบแล้ว พระองค์จึงสอนให้เราอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9 นั่นคือจบนะ ท่านไปอ่านดูเถอะ บทอธิษฐานที่พระเยซูสอนในมัทธิว 6:9 อ่านดูทั้งหมดนั้น นั่นคือวางใจในพระเจ้า จบแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เต็มด้วยพระสิริ ฤทธิ์เดช พระราชอาณาจักรทั้งหมดนั้น เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ตลอดชั่วนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระองค์ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันจบตั้งแต่นั้นเลย ไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ทั้งสิ้น ถ้าเราคิดตามภาษามนุษย์ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจ ควบคุมอย่างไร? ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี คิดตามภาษาของมนุษย์เราบอกว่าไม่ดี แต่จงมองตามสายตาของพระเจ้า ทรงควบคุมทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์บอกว่าดีแล้ว เอเมน มันถึงไม่วิตกกังวล และพระเยซูผู้นี้ ที่ตะกี้เราอ่านนั้น ในพระคัมภีร์บอกใช่ไหมครับว่าผู้ที่ทรงฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งในมหาจักรวาลนี้ พระองค์ทรงให้พระวิญญาณของพระองค์ มาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราคือวิหารของพระเจ้า และคือสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั่นเอง
อย่างนี้ สติปัญญามนุษย์เข้าใจไหมเนี้ย ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ตอนนี้บอกว่าความยิ่งใหญ่อลังการเหล่านั้น ตอนนี้สถิตอยู่กับเรา จะเข้าใจไหม? พูดธรรมดาจะเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่นี่เรานั่งตาแป๋วเลย เอเมนอยู่ในใจๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในใจว่าเราเข้าใจ มันจริงๆ เป็นอย่างนั้น เอเมน ข้างในมันใช่ๆ ลองอ่านดูนะครับ 1 โครินธ์ 3:16-17 ได้บอกไว้ว่าเราเป็นวิหาร 1 โครินธ์ 3:16-17
1 โครินธ์ 3:16-17 “16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเอง เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น”
ยังจำได้ไหมครับ เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกตอกตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ไหมครับ? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าม่านได้ขาดออกเป็นสองท่อน มัทธิว บทที่ 27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ดูสิว่าเหตุการณ์วันนั้น มันเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ เอามาให้ท่านดูนิดหนึ่ง มัทธิว 27:50-51 บันทึกอย่างนี้นะครับว่า.-
มัทธิว 27:50-51 “50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”
นี่บันทึกไว้ ช่วงที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ว่าขณะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ตอนบ่ายสามโมง บอกว่าเสร็จแล้ว เททเทเลสไตล์ (ภาษากรีก) ได้จ่ายให้หมดแล้ว จ่ายหนี้สิน กรรมเวรของมนุษย์ทั้งหมด จ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์สิ้นพระชนม์ ทันทีทันใดนั้น ในนี้บอกว่าอย่างไร? ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน
ม่านในวิหาร คืออะไรรู้ไหมครับ? ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง คือม่านนี้ แต่เดิม ตามพระคัมภีร์เดิม เคยเป็นที่กั้นส่วนของอภิสุทธิสถาน ในพลับพลา ที่อิสราเอล ชาวยิวต้องติดต่อกับพระเจ้า ทางพลับพลานั้น ม่านนี้ กั้นอยู่ในส่วนของอภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นชั้นในที่สุดของพลับพลา และเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ในสมัยพันธสัญญาเดิม ซึ่งในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้เลย นอกจากมหาปุโรหิตเพียงผู้เดียว และเข้าไปได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเอง
ความหมาย คืออะไร? ในสมัยนั้น คนทั่วไป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะเป็นคนบาป มหาปุโรหิตต้องเตรียมตัวมากมาย เยอะแยะก่ายกองเลย แล้วเข้าไปได้ปีละครั้ง ด้วยความอันตราย ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เผลอแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ตาย เพราะว่าความสกปรก เข้าไปอยู่กับความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ต่างหาก แต่เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ม่านในวิหารขาดออกเป็นสองท่อน เล็งถึงความหมาย คือไม่มีอะไรกั้นขวางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระล้างบาปให้กับมนุษย์แล้ว เสร็จแล้ว จ่ายให้แล้วไง มนุษย์ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยตรงแล้ว พระเยซูเปิดทาง พระเยซูพระองค์ทรงเป็นทางนั้น พระองค์เป็นทางที่เราจะไปหาพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านม่านอีกต่อไป ม่านจึงเอาออกไป เล็งถึงว่าม่านไม่จำเป็นแล้ว ใครก็ไปหาพระเจ้าได้ เอเมน ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะพระเยซูคริสต์ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์คนนั้น สะอาดหมดจด สามารถที่จะเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ถ้าไม่สะอาดหมดจด ทำไม? ตาย
ที่ม่านในวิหาร ขาดเป็นสองท่อน เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหีบพันธสัญญาอีกต่อไปแล้ว แต่พระเจ้ามาสถิตที่ไหนครับ? เตรียมตัวมาสถิตกับมนุษย์คนที่เชื่อในการไถ่บาป เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ที่ไม้กางเขน
ที่บอก “สำเร็จแล้ว จ่ายให้หมดแล้ว”
ตอนบ่าย 3 โมงนั้น เชื่อตรงนี้ ก็ได้รับทันที มีสิทธิที่จะต้อนรับพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันว่าเมื่อเราเป็นวิหารของพระเจ้า เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว ในการเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้มาสถิตอยู่กับเราแล้ว พระองค์จะทรงนำพาชีวิตเราอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไร? ในลักษณะอย่างไรในขณะนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระวิญญาณเริ่มต้นทำงานในชีวิตเราแล้ว พระองค์ทรงทำอะไรต่อไป
ประการที่ 1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา จะทรงย้ำยืนยันกับเราในเรื่องข่าวดีที่เราเชื่อในพระเยซู ย้ำยืนยันในใจว่าใช่แล้ว และใช่อีก เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก ก็ใช่แล้ว เสร็จแล้วปีต่อไป ก็ใช่อีก พอ 3 ปีต่อไป ก็ใช่อีก มากขึ้นเรื่อยๆ ยืนยันความเชื่อของเราว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับเราและมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทุกวันนี้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บัดนี้ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อธิษฐานให้กับเราอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องนี้แหละ 1 โครินธ์ 12:3 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ
1 โครินธ์ 12:3 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
ตรงนี้ แปลได้หลายอย่างเลย มันลึกซึ้งมาก ข้อเดียวนี้ มีความลึกซึ้งมาก ในนี้เอาตรงที่เราจะคุยกันในวันนี้ ในนี้บอกว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นเจ้านายสูงสุดของเขา ในคนๆ นั้น ที่พูดออกมานั้น นอกจากคนนั้น จะถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันหมายถึงอย่างนี้ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงกล่าวโดยการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาใช้สิทธิ์ของเขา ที่พระเยซูไถ่บาป พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเขา เขาจึงพูดจากวิญญาณของเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านายเหนือชีวิตของท่าน พระเยซูสูงสุด
ในทางอีกทางหนึ่ง กลับกัน เราสามารถพูดตรงนี้ได้ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านาย แต่ไม่ได้พูดด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน ก็ไม่มีค่าอะไรเลย เป็นศูนย์ ไม่มีค่าอะไรเลย พอเข้าใจใช่ไหมครับ? มันพูดจากเนื้อหนังของเราไง พูดจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา มีวิญญาณและมีเนื้อหนัง ก็คือร่างกาย ถ้าเราพูดจากร่างกายของเรา มันก็มีเชื้อบาปเต็มไปหมด ถ้าเราพูดจากวิญญาณของเรา … วิญญาณของเรา คือถูกชำระแล้ว โดยข่าวประเสริฐของพระเยซู และพระวิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา เราพูดจากวิญญาณตรงนั้นออกมาได้เลย แต่ก่อนหน้านี้เราพูดด้วยอะไร? ความรู้สึก ความคิดที่เป็นมนุษย์ เราอาจจะได้ยินคนพูดกับเรา เชื่อในคนนี้ เพราะว่าเขาเป็นพ่อเรา เขาเป็นแม่เรา เขาเป็นอาจารย์สอน เขาบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราก็ใช่ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงไหม? เขาอาจจะพูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าเขาพูดด้วยความรู้ของมนุษย์ว่าคนนี้เชื่อ เพราะว่าพ่อแม่ เป็นพ่อแม่เราเชื่อ เชื่อพ่อแม่ ไม่ได้เชื่อพระวิญญาณนะ เชื่อพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ อ้อ! พระเยซูเป็นพระเจ้า
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเด็กๆ ที่พ่อแม่ดูแลทุกวันนี้ เติมให้ เสริมให้ เราต้องดูแลลูกเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพูดจากวิญญาณของเขา โดยรับเชื่อพระเยซูจริงๆ พระเยซูบอกเขา พูดนำพาเขา พูดนำพาเขาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ในชีวิตของเขาจริงๆ นั่นแหละ วันนั้นแหละ เขาเป็นผู้ที่ใช้สิทธิ์นี้จริงๆ ก่อนหน้านั้น เขาอาจจะพูด เพราะเขาเกรงใจเรา ก่อนหน้าเขาอาจจะพูด เพราะว่าเขารักเรา เขาไม่ได้รักพระเยซูหรอก
ลักษณะเดียวกัน ในที่นี่สามารถเอามาขยายความได้ว่าไม่มีใครที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะสามารถสาปแช่งพระเยซูได้ มันเป็นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ก็คือคนที่สาปแช่งพระเยซูได้ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ถือโทษโกรธ
จำได้ไหม? ผมได้สอนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่าบางคนชอบไปขู่บอกว่าถ้าไม่เชื่อพระเยซู อย่าลบหลู่นะ จริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้ถืออะไรเลย พอเข้าใจไหม? ถ้าเรื่องตะกี้นี้ที่เราพูดมาว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านายสูงสุด นอกจากจะกล่าวโดยพระวิญญาณนะ ถ้าตรงนี้เป็นจริง อีกด้านหนึ่งก็เป็นจริง ไม่มีใครสามารถสาปแช่งพระเยซูได้จริงๆ ถ้าเขาเชื่อพระเยซูแล้วจริงๆ แสดงว่าเขายังไม่เชื่อ มันก็เหมือนเราที่ยังไม่เชื่อในอดีต พระเจ้าอภัยให้เสมอ เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมารู้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะสาปแช่ง พอเข้าใจไหม?
ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ ก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ล่วงหน้านานแล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมาถึง ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และจะทรงบรรจุพระธรรมไว้ในจิตใจของเขา พระธรรมนี้ คือมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง เดี๋ยวมาลองอ่านดูนะ เดี๋ยวอธิบายต่อในหนังสือพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ 31:33-34 ตรงนี้เล็งถึงเรื่องราวนี้โดยเฉพาะเลย ค่อยๆ อ่าน และทำความเข้าใจไป
เยเรมีย์ 31:33-34 “33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่านี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”
ซึ่งในหนังสือฮีบรูก็ได้ดึงเอาข้อความนี้ อ้างเอาข้อความนี้มาใส่ไว้ในฮีบรู 8:10-11 ยืนยันให้ท่านเห็นว่าฮีบรู พระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างถึงข้อความในพระคัมภีร์เดิมเมื่อตะกี้ แล้วก็มาพูดตรงนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร?
“ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา” นี่พระเจ้าตรัสนะครับ “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”
ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วใครมาสอนแทน? ใคร? พระเยซูมาจะมาสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะมาสอนเราเอง พระเยซูตอนเดินอยู่กับสาวก ก่อนที่จะถูกตรึง
พระเยซูบอกสาวกว่า “เราเป็นทางให้ท่านไปหาพระบิดา เราจะสำแดงพระบิดาให้กับท่าน”
พูดง่ายว่า “เราจะสอนเรื่องพระบิดาให้ท่าน ท่านจะได้รู้ว่าพระบิดาของท่าน พระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน เป็นพระบิดาเดียวกัน คือพ่อของพระเยซูกับพ่อของท่านเป็นพ่อเดียวกัน เราจะเป็นผู้นำท่านไปพบกับพ่อ พามาเจอกัน” นึกภาพนะ มาคืนดีกัน
พระเยซูจะสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณของพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผมสังเกตตรงนี้ดู แถมให้ท่านนิดหนึ่ง บอกว่า.-
“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น” คือสมัยนี้นะ หลังจากพระคัมภีร์เดิมนั่นนะ
“คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา”
ท่านรู้ไหม? บทบัญญัติ คืออะไร? บางเล่มเขาแปลตรงนี้ว่า.-
“เราจะใส่ถ้อยคำของเรา”
บทบัญญัติ ก็คือถ้อยคำ
ท่านรู้ไหม? “ถ้อยคำของเรา” คืออะไร? ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 พระองค์ คือพระวาทะ พระวาทะแปลตรงๆ แบบภาษาไทยๆ ง่ายๆ ก็คือ The word ก็คือถ้อยคำ ตรงนี้ ก็คือพระเยซู
พระเยซู คือถ้อยคำ ถ้าใส่ตรงนี้เป็นพระเยซู ก็คือ.-
“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะใส่พระเยซูเข้าไปในใจของเขา”
และจากนี้ จบ เดี๋ยวพระองค์จะนำเอง โดยพระเยซูสถิตอยู่ในเรา มาในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้ามี 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระองค์เป็นเหมือนบุคคลเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เราไม่เข้าใจมากนัก เห็นไหมครับ? พระเยซูจะสอนเราเองในเรื่องนี้
และนอกจากจะย้ำยืนยันในความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระวิญญาณมาสถิตกับเราแล้ว จะย้ำยืนยันในใจแล้ว
ประการที่ 2 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังย้ำยืนยันกับเราอีกว่าการไถ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ชำระบาปให้กับเรานั้น ที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้านั้น มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่ลิเกนะครับ มันจริงๆ ซึ่งสมัยก่อน ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า หรือแม้ตอนเรารับเชื่อเริ่มต้นใหม่ๆ เรายังรู้สึกกระยิกๆ ลิเกนิดๆ แต่พอไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา ยืนยันไปเรื่อยๆ จนเราใช่เลย สรรหาคำมาอธิษฐานกับพระเจ้าแบบเพราะพริ้งเลย ยิ่งกว่าลิเกอีกคราวนี้ ยิ่งกว่าอีก ราชาศัพท์ใช้ผิดใช้ถูก ใช้เก่งกันหมดเลย คิดดูสิ ไม่เคยเล่นลิเกมาก่อน แบบใช้กันถูกหมด พูดเพราะมากเลย แต่ละคน สบายเลย มาจากไหนล่ะ? มาจากความมั่นใจข้างในไง มั่นใจมากขึ้นทุกวันๆ ฮีบรู 10:14-17 บันทึกไว้อย่างนี้
ฮีบรู 10:14-17 “14 พระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเรา ในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา” 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”
พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าทรงรับเรากลับมาคืนดีกับพระองค์แล้ว ยืนยันอย่างนี้กับเรา พระเจ้าให้เรารับฐานะเป็นลูกของพระองค์แล้ว เขาเรียกว่าลูกแบบรับมา คือรับมาเป็นลูก เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราเคยทำมาตั้งแต่อดีต เคยจดมาตั้งหลาย ตั้งเยอะแยะทั้งหมด จดๆ แล้วก็ลืมหมด จำได้แต่บาปที่ทำเท่านั้น จริงหรือไม่จริง? เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าที่ทำดีมานั้น ไม่ช่วยอะไรหรอก บาปแค่ครั้งเดียวที่เราทำไปนั้น มันติดตัวเราไปจนถึงไหน? คิดเอาเอง ถึงไหน? หลังความตายแล้วกัน จริงหรือไม่จริง?
ในอดีตเราเป็นอย่างนี้จริงไหม? ทำความดีมาเยอะแยะ ลืมหมดเลย ทำผิดบาปแค่ครั้งเดียว โกหกแค่ครั้งเดียว จำแม่นๆ จำอยู่นั่นแหละ
“ฉันไม่น่าทำๆ”
วันที่ไปช่วยเด็กกำพร้า จำได้แค่ 2 วันผ่านไป ลืม
“วันนั้น ฉันไปหรือเปล่าเนี้ย … ปีที่แล้ววันเกิดฉันไปหรือเปล่าน่า”
จำได้ไหม? จำไม่ได้ แต่ทำอะไร ทำสิ่งที่เลวร้าย ที่คิดว่าเลวร้าย ไม่มากเท่าไร? อาจจะ 30 ปีก่อน 30 ปีผ่านไป ยังจำได้แม่น
“วันนั้น วันที่ฉันทำไม่ดี วันที่ฉันไปขโมยของเขา ถูกเขาจับติดคุกไป”
จำแม่นเลย อย่างนี้แหละ นี่คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในตัวมนุษย์ มันจะฟ้องเราอยู่เรื่อย แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์มาย้ำยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นแล้ว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา ซึ่งความจริงทั้งหลายเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้สอนเราเอง คนอื่นสอน ก็ได้ไหม? ไม่ได้ ตอบตรงๆ เลย ไม่ได้
“อ้าว! แล้วอาจารย์สอนทำไมล่ะ … ไม่ได้ แล้วกำลังคุยอยู่นี้คุยอะไร?”
ใจเย็นๆ สอนได้แต่ข้างนอกเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจก็มี ผู้ที่จะเอาเรื่องไปทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้น คือพระวิญญาณ ท่านนั่งฟังอยู่นี้ พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ ผมพูดของผมไปเรื่อย สำหรับคนที่ยกตัวอย่างคนที่ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ ยังไม่เชื่อ ไม่ได้รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ มานั่งที่นี่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ เขาได้ยินผมพูดเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไร? เข้าใจใช่ไหมครับ?
เพราะฉะนั้น ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ คนอื่นสอนไม่ได้หรอก มันเป็นสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า รับรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่รับรู้โดยความเข้าใจแบบสติปัญญาแบบมนุษย์ ผู้คนบนโลกใบนี้จะประกาศข่าวดีอย่างไร? ก็เพียงแค่ให้เราได้รับรู้ ให้เราได้ยินข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่จะเข้าใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครนำ? พระวิญญาณ เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็ไม่ต้องพยายามลุ้น พยายามผลักดัน พยายามเคี่ยวเข็ญ จนเกิดเรื่อง คุ้นๆ ไหม? พยายามๆ จนกระทั่งเขารำคาญ ก็ท่านจะพยายามไปยัดเหยียด เคี่ยวเข็ญ ก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจสิ ท่านต้องกลับไปทำอะไร? คิดดีๆ แล้วก็คุยตามเหมาะสม ตามโอกาส ที่มีโอกาสให้ แล้วก็ด้วยความสุภาพอ่อนนุ่ม และใช้ช่วงเวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วกลับไปอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเขาดีไหม? มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณพยายามในโลกนี้ คุณตายเลย ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูบอกเลย ไปที่ไหนก็วุ่นวายหมดเลย เพราะเขายังไม่รู้จัก บ้านจะได้ไม่แตกสาแหลกขาด มาเชื่อทีหนึ่ง กลับไปถึงบ้าน พยายามจะบีบบังคับ ยิ่งคนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก่อนคนอื่นเขาในบ้าน มีสิทธิกว่าคนอื่นในบ้านเขาสูงๆ กว่าคนอื่น คือไม่ใช่เป็นลูก สมมติเป็นพ่อ ยิ่งหนักเลย อาการหนัก บ้านนั้น บ้านแตกสาแหลกขาด บ้านไหนมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกมาเชื่อก่อน ดีที่สุด เพราะลูกถูกบีบคั้นอยู่ ไม่กล้าทำอะไร? แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ บีบคั้นลูก
“ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น”
ตัวเองจะเอา ใช่ไหม? ตัวเองอยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่รอพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะทำให้คนเข้าใจข่าวประเสริฐ หรือไม่ก็ตาม อยู่ที่พระวิญญาณ เอเมน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันนะ พระวิญญาณจะเป็นผู้บอก เหมือนขณะนี้ท่านฟังผมไป พระวิญญาณจะเป็นผู้บอกท่านว่า เออ! I see … I see แปลว่าอะไร?
“เข้าใจแล้ว อ๋อ! ใช่ๆ อ๋อ! พระวิญญาณสถิตอยู่ ใช่”
เห็นไหม? ท่านจะอ๋อไปเรื่อยๆ เหมือนเรารับเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก เราก็อ๋อเหมือนกัน พระเจ้าเป็นอย่างนี้ ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า เหมือนตอนผมรับเชื่อใหม่ๆ ก็ใช่ คนพูดมาเยอะแยะ ไม่ค่อยเข้าใจ บางครั้งก็ต่อต้าน บางครั้งไม่ต่อต้านหรอก แต่ไม่รู้เรื่อง คือไม่เข้าเลย ไม่ต่อต้านนะ แต่บางครั้งต่อต้าน หมั่นไส้ รำคาญ แต่บางครั้งไม่ต่อต้าน มันไม่เข้า ที่ไม่ต่อต้าน คือมันจนตรอกแล้วไง ที่ต่อต้านอยู่ มันเย่อหยิ่ง สู้กับเขา คราวหลังสู้ไม่ไหว อยากจะรับเหมือนกัน มันรับไม่ได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มันจะรับ จะรับอย่างไร ไม่เข้าใจ จนวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที ไม่ต้องมีใครสอนเลย ปิ๊ง ขึ้นมา อ๋อ! เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ทันที รู้แล้วว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? เขาพูดมาตั้งนาน เราเป็นคนบาป เราไม่เข้าใจ เราเป็นคนบาปอย่างไร?
แม้กระทั่งบางครั้งเราไม่ต่อต้าน เราเชื่อว่าเป็นคนบาป เรายอมเชื่อ แต่ว่าเราไม่ได้เชื่อจากวิญญาณของเราจริงๆ เราเชื่อแบบหยิ่งๆ นิดๆ แบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ แล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่พอพระวิญญาณเข้ามา พระวิญญาณสำแดงความบาปให้เราเห็นชัดเจน บาปจริงๆ แล้วพระเยซูมาไถ่บาปให้เรา มันเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 4:4-6 จึงบอกไว้อย่างนี้นะครับ
กาลาเทีย 4:4-6 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ”
เอเมน ปรบมือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับเรา เป็นผู้ที่บอกเรา ยืนยันกับเรา และสอนเราให้เรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ให้บอกว่าพระองค์เป็นอับบา แปลว่าปาป๊า แปลเป็นลักษณะเหมือนปาป๊า ไม่ใช่เป็นพ่อ เหมือนเราเรียก น้อยคนนะที่นี่ ที่เรียกพ่อ ปกติเราจะเรียกปาป๊าบ้าง แด๊ดดี้ อะไรอย่างนี้ คุ้นเคยสนิทกันมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังจะบอกเราว่าพระเจ้ารักเรามากนะ พระเยซูคริสต์รักเรามากนะ ไถ่บาปให้กับเรา เปี่ยมด้วยความรักมากมาย ต้องการสนิทกับเรามาก ให้เรียกพระเจ้าว่าอะไร? ปาป๊า เข้าใจใช่ไหม? แด๊ดดี้ เอเมน
พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ยืนยันในจิตใจเราว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับเรา เรามีฐานะเป็นอะไร? มนุษย์คิดไม่ออก ไม่เข้าใจเลยว่าเราก็เป็นคนบาปขนาดนี้ เราก็ตัวเล็กขนาดนี้ แล้วพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ควบคุมดวงดาวทุกอย่าง ใหญ่ยิ่งสูงสุดเลย แล้วรับเราเป็นลูก มันเป็นอย่างไร? นั่นแหละ พระวิญญาณเป็นผู้สำแดงสิ่งนี้ให้กับเรา ในยอห์น 16:12-15 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ พระเยซูสอนสาวกไว้อย่างนี้ ยอห์น 16:12-15 พระเยซูสอนเราอย่างนี้
ยอห์น 16:12-15 “12 ยังมีอีกมาก ที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ 13 แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน”
เอเมน ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ นี่คือคำพูดของพระเยซูก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พูดกับเหล่าสาวกไว้ เพราะตอนนั้น เหล่าสาวกยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ พูดไปก็งงๆ เพราะพระเยซูบอกว่า.-
“รอก่อนๆ พระวิญญาณมา เดี๋ยวเธอจะรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร?”
“แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”
คำนี้คำเดียว ก็ครอบคลุมหมดทุกอย่าง และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในเรื่องของความเชื่อ ยืนยันของเรื่องการทรงไถ่ ชำระล้างบาปของพระเยซูที่ทำให้กับเราแล้ว นอกเหนือจากนั้น ทำอะไรอีก ในข้อต่อไป คือข้อที่ 3
ประการที่ 3 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงสอนและนำพาชีวิตเราแต่ละคน ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ และนำพาชีวิตเราให้ได้พบกับสันติสุขในชีวิตที่แท้จริง
ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ ไม่ใช่ในทางที่เราคิดกันเองอีกแล้ว ลองดูสิเป็นอย่างไร? ยอห์น 14:26-27 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ ยอห์น 14:26-27
ยอห์น 14:26-27 “26 องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่ง ที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน และอย่ากลัวเลย”
พูดง่ายๆ คืออย่ากลัวเลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านแล้ว สันติสุขที่เรามอบให้กับท่านนี้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกนี้ให้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกมอบให้กับเราแล้ว อย่ากลัวเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องของสันติสุขที่โลกนี้ไม่เข้าใจ
เมื่อเราได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ยืนยันกับเราว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจริง ก็คือสิ่งทั้งหลายที่พระเยซูพยายามสอนเรา และอีกมากมายที่ยังไม่ได้สอนเรา หมายถึงสอนเราผ่านทางสาวกในอดีตที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ และอีกมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ได้สอน ขณะเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่สอนในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาขอพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อีกมากมาย ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนท่านหมดเลย (เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์) แล้วแต่ละคนว่าจำเป็นต้องรู้สึกซึ้งมากขนาดไหน? เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าไม่ต้องเอาไปใช้มาก ก็ไม่ต้องรู้เยอะหรอก ใครเป็นคนตัดสินตรงนี้ว่าจะรู้เยอะ รู้น้อยดี พระวิญญาณเป็นผู้นำทั้งสิ้น ให้เราวางใจในพระองค์นั่นเอง พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองว่าไม่ต้องไปคิดมากแล้ว พระวิญญาณนำไปเลย รู้แค่นี้ ก็แค่นี้ รู้แค่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอเมน ไม่ต้องรู้อะไรมาก พอแล้ว เพราะไม่ให้ไปสอนใคร เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่นั้น ก็จบ ก็ไม่ต้องได้รู้อะไรมันเยอะแยะ พอมาวันอาทิตย์ คนที่ได้รู้มากกว่าที่พระวิญญาณนำพา ก็มีหน้าที่นี้ เขาอาจจะมาสอน แล้วเราก็ฟัง สนุก เอเมน พอกลับไปบ้าน เราก็ลืม แต่มันเข้าไปแล้ว เข้าใจไหม? มันก็เข้าไปในวิญญาณแล้ว ท่านก็สบายใจว่ากลับไปทีไร ลืมทุกทีเลย ก็ไม่ได้มีหน้าที่นี้ ก็จะไปจำทำไม? สมองมีไว้ทำอย่างอื่นบ้าง สมองมีไว้พักผ่อนบ้าง อย่าเครียดมากเกินไป อย่างนี้ เอเมน ไม่ใช่เป็นคริสเตียนหน้าตายู่ยี่ตลอดเวลา
“ทำอะไร?”
“กำลังคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าอยู่”
ไม่ต้องมากถึงขนาดนั้น เอาพอดีๆ บางคนพยายามจะยัดเหยียด สอนนะ ตัวเองเป็นอาจารย์ แล้วก็อ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน พยายามยัดเหยียดให้สมาชิก ไปอ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ตี 5 ตื่นไปทำงาน 6 โมงเช้า รถติด กลับมาบ้าน กว่าจะถึงบ้าน 3 ทุ่ม ไม่มีแรงแล้ว
“ต้องอ่านนะ อ่าน สำคัญๆ”
อ่านไปทำไมอย่างนั้น มันก็เนื้อหนังเราทั้งสิ้น อ่านไปทำไม? ทรมานเปล่าๆ ไม่ต้องอ่าน ได้แค่นี้ บางคนดูผมอยู่นี้ ตอนนี้ นี่เรื่องจริง ไปอ่านทำไม มันไม่ไหว แล้วจะไปทรมานมันทำไม? มาวันอาทิตย์ฟัง ขึ้นรถเมล์ได้สัก 2 ข้อ 3 ข้อ หรือมีโอกาสฟัง CD ที่เขาเทศน์ ก็แบ่งกันรับใช้ พวกอาจารย์เขาทำงานอยู่ในโบสถ์ เขาก็อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ มาสอนท่าน ท่านก็กลางวันไม่ต้องไปอ่านหรอก ฟังของท่านไป นิดๆ หน่อยๆ พระวิญญาณจะนำท่านเอง ตามลักษณะของแต่ละคน ซึ่งมีหน้าที่ไม่เหมือนกันไง เอเมน ไม่ใช่ไปพยายามยัดเยียด ทุกคนจะต้องมาเป็นอย่างนี้หมดเลย แล้วใครจะหาเงินมาให้โบสถ์ใช้ คนทำงานไป ก็ทำงานไป เอาเงินมาถวายแล้วกัน อันนี้พูดเล่นนะครับ พูดเล่น ที่นี่ไม่เน้นเรื่องถวายทรัพย์อยู่แล้ว เพราะการถวายทรัพย์ คือการช่วยท่าน พระเจ้าต้องการช่วยท่านให้ลดละกิเลส ไม่ใช่มาช่วยพระเจ้า ถ้าท่านมาช่วยพระเจ้า เอาเงินกลับไปเลย ไม่ต้องถวาย พระเจ้ายิ่งใหญ่ ร้องอยู่ทุกวัน พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด แล้วมารอเงินถวายจากท่าน ตายแล้วพระเจ้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? ใช่ไหม? เอเมน ต้องมั่นคง มั่นใจอย่างนี้
แล้วนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำให้เรา ก็คืออะไร? ก็คือประการที่ 4
ประการที่ 4 ทรงให้ความสามารถกับเรา ที่เราเรียกกันว่าของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีตัวอย่างบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เดี๋ยวลองอ่านดูนะครับ นี่คือตัวอย่างเท่านั้น มีมากกว่านี้ อย่างที่ผมบอก เยอะแยะมากมาย ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ความสามารถกับเราได้ นี่คือจำนวนหนึ่งในสมัยโน่น ที่พระคัมภีร์สมัยโน่น ที่ได้บันทึกไว้ว่านี่คือจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใน 1 โครินธ์ 12:7-11
1 โครินธ์ 12:7-11 “7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญา โดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคน มีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น 10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆ และอีกคนแปลภาษาแปลกๆ ได้ 11 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้”
เอเมน … พระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคน ตามที่ทรงกำหนดไว้ ตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนสร้างโลก การสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ ประโยชน์ของคนที่สำแดงอย่างเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่นี้ ดูตัวอย่างอีกอันหนึ่งใน 1 โครินธ์ 12:28-31 มีของประทานอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ ยกขึ้นมาตัวอย่างนะครับ
1 โครินธ์ 12:28-31 “28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31 แต่ให้เราใฝ่หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
ในคริสตจักร หมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ไม่ได้หมายถึงในโบสถ์แบบนี้นะครับ คริสตจักรตรงนี้หมายถึงผู้เชื่อทั้งหมด ทั้งโลกนี้เลย ใครจะเชื่อที่ไหน? มุมโลกไหน? เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น ไม่ใช่หมายถึงโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ที่โน่น ที่นี่ ไม่ใช่หมายถึงตัวอาคาร หมายถึงตัวประชาชนคนที่เป็นวิหารบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์มาสถิตอยู่กับในพระลักษณะของพระวิญญาณ นั่นแหละคือหนึ่งในจำนวนคริสตจักร มารวมๆ กันเป็นหนึ่งคริสตจักร นี่ผมคนเดียวก็เป็นหนึ่งคริสตจักร ทุกคนรวมๆ กันเป็นหลายๆ คริสตจักร พอเข้าใจใช่ไหม? คริสตจักรคืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่กับฉัน อยู่กับเรา พวกเราทั้งมวล ทั้งโลกนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น
ตรงนี้ท่านจึงเห็นภาพชัดเจนว่าพระวิญญาณให้ความสามารถ เพราะว่าบางคนในสมัยนั้น พยายามที่จะมองดู คนทำอัศจรรย์ คิดอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่าทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? ทุกคนขึ้นมาเทศน์แบบนี้หรือ? ทุกคนขึ้นมาเล่นดนตรีแบบโต๋หรือ? เห็นหรือยัง? ทุกคนจะมาร้องเพลงแบบอาร์ตใช่ไหม? อย่าเลยมันเพี้ยน อาจารย์นำไม่ให้ขึ้นมาอยู่แล้ว เพราะอะไร? ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นมาร้องหมดดิ ทำไมคนนี้เป็นอย่างนี้? ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนี้? เพราะพระวิญญาณทราบดีว่าใครเหมาะกับอะไร? เพราะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดให้นั่งที่นี่ ให้ท่านนั่งเฉยๆ นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ต้องคิดว่าจะช่วยอะไรดี จะช่วยพระเจ้าตรงไหนดี เดี๋ยวถ้าพระวิญญาณนำท่าน ท่านถูกกำหนดไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาเอง มาเองแน่ๆ หลายคนขึ้นมาบนนี้ ไม่มีใครเรียกเลยนะ แล้วเขาเอง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา ไม่รู้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้
แต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? แต่ให้หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ วันนี้ไม่มีเวลา ต่อจากข้อความนี้ไป คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งใครๆ ก็รู้จักดี ให้พวกเราหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ มีทุกคนเลย ของประทานนี้คืออะไร? คือความรักในพระเจ้า รักแท้ของพระเจ้า รักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เห็นด้วยกับการประพฤติไม่ดี ให้อภัยเสมอ ความรักอย่างนี้แหละ เป็นของประทานอย่างหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีรักแท้แบบพระเจ้า อย่างนี้ไง อย่างนี้มีทุกคน ไปแสวงหาเลย พวกที่ตะกี้นี้บอกจะมาร้องเพลง ก็ไม่ต้องมาแสวงหา ถ้ามีก็มี พวกที่จะมาเทศนา จะมีก็มี พวกที่ทำการอัศจรรย์ได้ ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะมีก็มี พอเข้าใจไหม? แล้วพระวิญญาณก็จะนำเขาทำ แต่ละคนๆ ว่ากันไปตามชีวิตของแต่ละคนๆ นั้น ที่พระวิญญาณ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และกำกับเขาไว้ว่าควรจะทำอะไร? มันจบแล้ว อย่าไปคิดมาก มาเชื่อพระเจ้ามันจบหมดทุกอย่างแล้ว อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งเหนื่อย แล้วแทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และไม่เหนื่อยนะ ไม่หายเหนื่อย เป็นสุข ท่านไม่หายเหนื่อยไม่พอ คนข้างๆ ท่าน เขาก็ไม่หายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน เพราะท่านทำให้เรื่องยุ่งไปหมดเลย เข้าใจใช่ไหม? พอเครียด คนอื่นเขาก็เครียดตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออยากจะย้ำยืนยันให้กับท่านว่าพวกเราทั้งหมดในที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ และเราได้เรียนรู้กันมาเยอะแยะแล้วว่าพระวิญญาณของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุดขนาดไหน? แล้วพระองค์อยู่กับเรา แล้วถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มีอะไรที่เราต้องกลัว มันจบแล้วจริงๆ ท่านต้องพยายามมองข้ามในสิ่งที่มันเป็นเหตุเป็นผลบนโลกใบนี้ ออกไปให้หมด นี่คือความจริง พระวิญญาณจะนำท่านต่อไปว่านี่คือความจริง ท่านมองข้ามไปเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาถึงบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็สบาย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เอเมน ให้เรารู้อยู่เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว และพระองค์ตรัสกับเราว่า.-
“อย่ากลัวเลย เราเป็นพระเจ้าของเจ้า อย่าขยาดเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดไป”
ตลอดเลยเห็นไหม? ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในพระคัมภีร์เดิม ก็พูดอย่างนี้ เล็งถึงพระเยซูจะมาเกิด พูดมาตลอด
“อย่ากลัวเลยๆ”
พอพระเยซูมา ก็พูดเหมือนกันอย่างนี้ “อย่ากลัวเลยๆ”
มาจริงๆ แล้ว นี่ของจริง ตอนพระคัมภีร์เดิมเป็นเงา แต่ตอนนี้ เป็นของจริง พูดให้ตรงๆ ก็คือตอนพระคัมภีร์เดิม ที่พูดถึงพระเยซู เป็นเหมือนรูปพระเยซู ท่านจะเห็นชัดขึ้น ถ้าบอกเป็นเงา ท่านอาจจะยังไม่เห็น เป็นเหมือนรูป เอารูปมาให้ดู แต่พระคัมภีร์ใหม่ ตอนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตัวจริงมา เข้าใจไหมตัวจริง เหมือนเราไปดูดารา ดูรูปดาราในหนังสือพิมพ์ นี่ตัวจริงมาครับ ตัวจริง เอเมน
พวกเราขอบคุณพระเจ้าไหม? พวกเราอยู่ในช่วงเวลาของตัวจริงมา ขอบคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องอยู่ในช่วงที่ดูแต่รูปๆ นี่พระเยซูตัวจริงมาเลย ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหน? หรือจะทำอะไร? เราก็ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น พูดกันในใจของเราว่าไม่ต้องกลัวเลย พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา อยู่ในเรา ใครจะทำอะไรเราได้ เราชนะหมดเรียบร้อยแล้ว ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน
พูดกับทุกสถานการณ์อย่างนี้เลย ทุกสถานการณ์ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปคิดว่าเอาเหตุผลของมนุษย์เข้ามา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วผู้ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนี้ได้ เราชนะขาดลอยแล้ว เราไม่ต้องไปคิดมาก ทุกเรื่อง วางทุกอย่างไว้กับพระเยซูคริสต์ หรือพระเจ้าได้ ผู้ที่จะนำพาเราผ่านตรงนี้ได้ ก็มีเพียงผู้เดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้รับ และสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่วันที่เราเริ่มต้นเชื่อ ใช้สิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา จึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด แล้วพระเจ้าจึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานี้จะนำพาเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเมื่อไรท่านทราบไหม? จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นิรันดร์ จนถึงเราไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ด้วยวิญญาณของเรา หน้าต่อหน้า เป็นผู้ยืนยันกับเราตลอด เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย สบายใจได้ วางใจได้ในทุกอย่าง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำไป
และสุดท้าย ก็คือเราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเยซูบ่อยๆ พระเยซูเป็นผู้จุ่มเราลง หรือบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่รับเชื่อ และต่อๆ มาทุกวันๆ จุ่มเราอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิธีการที่เราจะเร่งตรงนี้ให้มันติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นได้ ก็คืออธิษฐานขอบ่อยๆ
“พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระวิญญาณของพระองค์มากขึ้น”
จะอะไรก็ตามให้มันออกมาว่าท่านอยากได้มากขึ้น ท่านอยากได้วิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนลูกด้วยเถิดพระเจ้า พระเยซูจุ่มอยู่ลงไปในความล้ำลึกของพระองค์ จุ่มอยู่เข้าไปในอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวันๆ รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะไปขอร่ำขอรวย ชื่อเสียงอะไรต่างๆ เข้าใจไหม ตรงนี้มันสำคัญกว่าตั้งเยอะ เพราะทั้งหมดนั้น มันได้ไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่ในการกำหนดของพระเจ้าแล้ว ถ้าพระเจ้ากำหนดให้ท่านจน ท่านจนตลอดแหละ หลบกันใหญ่เลย พอบอกอย่างนี้ จนในตามภาษามนุษย์นะครับ แต่ในพระเจ้าร่ำรวยมาก เอเมน เปโตรรวยไหม? รวยมหาศาล เปาโลรวยไหม? รวยมหาศาล ไม่ใช่คนรวยในโลกใบนี้ที่เรียกว่ารวย ทางพระเจ้าไม่ใช่ พระวิญญาณบอกเราว่าร่ำรวยในทางพระเจ้า คืออย่างไร? ต่อไปในอนาคต เอเมน
เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรามากขึ้น สถิตอยู่แล้ว สถิตอยู่อีก มีมากแล้ว ขอมากขึ้นอีก ตรงนี้ไม่เรียกว่าโลภเลย เพราะมันเป็นพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายโลก เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
******************