คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในหัวข้อคำบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ เป็นตอนที่ 5 ตอนที่ 1 จำได้ไหม? จำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 แล้วจะมีต่อไปเรื่อยๆ ฟังกันมา 4 ตอนแล้วใช่ไหมครับ? ตอบกันได้หรือยังว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ตอบกันได้ไหม? อย่างน้อย ยังพอจะรู้นะว่าเราเป็นใครในพระคริสต์บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ได้หมด ผมพยายามที่จะย้ำตรงนี้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ประเด็นที่สำคัญ ที่เราได้คุยกันไปทั้งหมดใน 4 ตอน ก็เพื่อย้ำให้เรารู้ตัวและให้เรามั่นใจอยู่เสมอว่าเรานั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อยากจะเน้นตรงนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ในวิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ด้วย เข้าใจไหม? เข้าใจไหมครับ?

หลายคนบอกเข้าใจ แสดงว่าจำไม่ได้

เข้าใจไหม?

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา นี่ต้องอย่างนั้น

ไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าเชื่อ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

แล้วยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งที่แล้ว  ผมได้ยกตัวอย่าง เวลาที่เราจะเดินทางไปไหน โดยเฉพาะไปที่ไกลๆ เราก็บอกว่าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งจะบินไปเชียงราย แล้วก็บินกลับมา ผมเมื่อยแขนไปหมด ไม่เมื่อยแขน เพราะผมอยู่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ใครบินไปไหน ตอนนี้ทุกคนก็บอกว่าบินทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เห็นมีใครบินสักคน นั่งเครื่องบินไป ไม่เห็นมีใครบอกนั่ง ทุกคนก็บอกว่าบินไปโน่นบินไปนี่

ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ ฟังให้ดีนะครับ ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ แต่มนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน ถูกหรือไม่ถูก? เราสามารถอธิบายการบิน ที่เครื่องบินมันบินได้ แบบง่ายๆ ด้วย เขาเรียกว่าทฤษฎีการเคลื่อนที่ของอากาศ

คือทฤษฎีบอกว่าอากาศที่เคลื่อนที่เร็วกว่า จะมีแรงกดดันต่ำกว่า และลักษณะของปีกเครื่องบิน จะทำให้อากาศที่เคลื่อนผ่านใต้ปีก มีความเร็วต่ำกว่าด้านบน เพราะฉะนั้น ความดันใต้ปีกเครื่องบิน จึงสูงกว่าความดันเหนือปีกเครื่องบิน จึงทำให้เกิดแรงยกขึ้น ที่เรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น จึงทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นและลอยอยู่ได้ เข้าใจไหมครับ? ตอบสิ? ตอบดังๆ สิครับ?

“ไม่เข้าใจ”

นี่ ต้องตอบอย่างนี้ถึงถูก ยอดเยี่ยมมากเลย ตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อไหม? เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ขึ้นไปบินทำไมล่ะ เพราะเชื่อไง

ซื้อตั๋วเครื่องบิน ต้องไปคิดเหรอ มันจะยกขึ้นตรงไหน? ตรงนี้ปีกเครื่องบินเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้เคยคิดเลย ผมก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วผมก็เดินจ้ำๆ เข้าไปในเครื่องบิน นั่นแหละ แต่กฎเหล่านี้ มันอธิบายแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ลักษณะเดียวกัน ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และผมก็ไม่ต้องมาสอนเรื่องนี้ว่าเครื่องบินมันจะขึ้นอย่างไรให้มันชัดเจน เพราะว่าวันนี้ไม่ได้สอนเรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการยกขึ้นของเครื่องบินอย่างไร? แต่เพียงต้องการเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นภาพว่าด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลก อย่างนี้เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ ถูกไหม? โยนของมีน้ำหนักไป มันก็ตกลงดิน เขาเรียกว่าแรงดึงดูดของโลก เขาเรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติใช่ไหมครับ? ทำให้ไม่มีวัตถุใดๆ สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ มันถูกดูดลงหมด ถูกไหม? ไม่ว่าเราจะโยนวัตถุอะไรขึ้นไป วัตถุนั้นก็ต้องตกลงมา วัตถุนั้นโยนขึ้นไป มันบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อกฎแห่งการดึงดูด”

แล้วมันลอยอยู่ได้ไหม? ไม่ได้ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็ตกลงมาอยู่ดี ไม่ว่าคนนั้นจะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อหรือไม่เชื่อ”  ก็ตาม

เวลาเขาเดินออกมาจากระเบียบชั้นบน แล้วก้าวออกไปข้างนอก ที่ไม่มีพื้นแล้ว เขาก็ตกลงมา แม้เขาจะบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่เชื่อกฎหรอก ถึงจะมีแรงดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ”  ก็ตกลงมาอยู่ดี

แต่กฎแห่งการยกขึ้น คืออะไร?  กฎแห่งการยกขึ้น ที่เมื่อตะกี้ที่บอกว่าเครื่องบินเอาไปใช้ ที่นักวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา กฎแห่งการยกขึ้น อันที่ตะกี้นี้บอก เป็นกฎที่ได้เอาชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก ถูกไหม? เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงทำให้เครื่องบินสามารถอยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาติ สามารถยกขึ้นและลอยอยู่ได้ เคลื่อนไปในอากาศได้ ในขณะที่กฎธรรมชาติยังอยู่ … อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ แรงดึงดูดของโลกยังอยู่ไหม? อยู่ เครื่องบินที่บินอยู่ ลอยอยู่ในอากาศ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ แต่พลังแห่งกฎแห่งการยกขึ้น ชนะ มีอำนาจเหนือกว่าในตอนนั้น และเราซึ่งเป็นมนุษย์ที่โดยตามกฎธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถบินได้ ถ้าเป็นตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถบินได้ แต่เมื่อเราเอาตัวเราเข้าไปนั่งอยู่ในเครื่องบิน เราก็ได้อาศัยเครื่องบิน ทำให้เราเอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ และสามารถบินไปไหนมาไหนได้

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เราก็เลยอาศัยเครื่องบิน เครื่องบินทำให้บินได้”

ถูกไหม? เราไม่ได้พยายามบินด้วยตัวเอง เราไม่ต้องพยายามบินได้ด้วยตัวเอง ถูกหรือเปล่า? เราอาศัยอะไร? เครื่องบิน ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ

ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติทางฝ่ายวิญญาณนะ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกฝ่ายวัตถุ มนุษย์ก็มองไม่เห็น แต่มีอยู่ ถูกไหม? มนุษย์มองไม่เห็นกฎนี้ แต่มีอยู่ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน กฎธรรมชาติมีอยู่อันหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่ากฎแห่งบาปและความตาย มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายด้วยครับ เหมือนกับกฎแรงดึงดูดของโลก ซึ่งมีอยู่ กฎแห่งบาปและความตาย ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอาศัยพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ตะกี้เราอาศัยเครื่องบิน เพราะอาศัยในพระเยซูคริสต์ อาศัยพระเยซูคริสต์จะมีกฎใหม่ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป

และกฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต รู้ได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ชัดเจนแล้วนะ ในหนังสือโรมนะครับ โรม 8:1-2 ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นจะๆ เลย จำให้ได้เลยต่อไปนี้ โรม 8:1-2 ลองอ่านพร้อมๆ กันก่อนนะครับ

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

เอามาเทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้แล้ว อันนี้เหมือนกันเลย พูดตามนะครับ

          “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการล่วงหล่นหรือตกลงมาแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในเครื่องบิน เพราะโดยการอยู่ในเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น ได้ปลดปล่อยให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นอิสระ จากกฎแห่งการดึงดูดของโลก” เอเมน

 

ไม่มีอะไรเลย ธรรมดาเลย ชัดไหม? เริ่มเข้าใจชัดเจนใช่ไหมครับ มันมีกฎของมันอยู่ เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะอะไร? เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปนั่นเอง กฎเก่าที่เรียกกฎแห่งบาปและความตาย ก็คือบัญญัติ ในสมัยโมเสส คือพันธสัญญาเดิม คือตาต่อตา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือพูดง่ายๆ ซึ่งฟังดูเหมือนดี แต่เพราะมนุษย์ตกลงในความบาปแล้ว เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดมาก็มีเชื้อบาปติดมาแล้ว มันก็เลยทำดีไม่ได้ มันก็เลยทำไม? ก็เลยทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น ได้อะไรล่ะ ก็ได้ชั่ว เพราะชั่วไง นี่มันเป็นตรรกะง่ายๆ นะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือไม่มีการอภัย ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด สมัยนั้นเรียกว่ากฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ส่วนกฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ก็คือกฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือพระคัมภีร์ใช้คำว่ากฎใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ … ในพระเยซูคริสต์มีพระคุณอยู่ที่นั่น ไม่ต้องทำดีได้ดีแล้ว ทำชั่วก็ได้ดี กล้าพูดได้เลย โดยความเชื่อในกฎใหม่นี้ เป็นกฎที่ทำให้เราได้รับความชอบธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ เปล่าๆ โดยไม่ต้องกระทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้เรา

ฟังดู แล้วมันเหมือนกับมันไม่ยุติธรรมนะ แต่กฎมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนกับที่กำลังจะบอกว่ายุติธรรมไหม? ที่คนดีๆ ทำดีมาตลอด แล้วก็เดินออกไปที่ระเบียบ แล้วก็ตกระเบียบลงไป แรงดึงดูดของโลกดูดลงไป หรือคนดีๆ ขึ้นเครื่องบิน แล้วเครื่องบินลำนั้น กฎแห่งการยกขึ้นมันเสียไป ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด มันต้องพุ่งเร็ว อยู่ในเงื่อนไขของกฎแห่งการยกขึ้น ทำให้กฎแห่งการยกขึ้นเสียหายไป แรงดึงดูดของโลก ก็ดูดเขาไป ตก อย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเหรอ แล้วอะไรคือยุติธรรม มันอยู่ที่กฎระเบียบที่ถูกตั้งไว้แล้ว ผู้ที่ควบคุมระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่าเป็นอย่างนั้น  ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องดำเนินตามกฎของพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างที่ผมบอก เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ยังมีอยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแห่งความบาปและความตายก็มีอยู่เช่นเดียวกัน

 

และที่บอกว่า “บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” ก็เพราะว่าการลงโทษผู้ที่กระทำผิด เป็นกฎที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติสมัยโมเสสอันเดิม สมัยนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด ซึ่งผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้อีกต่อไปแล้วไง พระเจ้าได้สร้างกฎใหม่ขึ้นในพระเยซูคริสต์แล้ว กฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เราเป็นอิสรภาพจากกฎเก่า ที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในนี้ เราก็มีกำลัง มีอำนาจอยู่เหนือพลังของกฎเก่า ซึ่งกฎเก่า ก็คืออะไร? คือความบาปและความตายต้องชดใช้ เราเลยไม่ต้องชดใช้ เราจึงเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่ได้กฎใหม่แล้ว นักวิทยาศาสตร์สร้างกฎนี้ขึ้นมา แล้วเจอกฎนี้ ก็คือกฎการยกขึ้น เรานั่งยิ้มไปเลย เพราะอะไร? เพราะขณะที่เรานั่งยิ้มนั้น เรามีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก เราลอยอยู่ในอากาศได้ เอเมน เห็นไหม?

แล้วทำไมต้องมีกฎใหม่ของพระเยซูคริสต์ มาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติ ท่านคิดในใจว่าทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้มนุษย์ทำตามบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้รอดจากการถูกลงโทษไม่ได้หรือ! เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ให้มนุษย์ทำดีสิ จะได้ … ได้ดีอย่างเดียวไง เป็นไปได้ไหม?  ผมไม่ตอบ ผมให้พระคัมภีร์ตอบดีกว่า พระคัมภีร์จะตอบว่าทำได้หรือไม่ได้? โรม 8:3-4 จะบอกเลยว่าทำไมมนุษย์จึงทำไม่ได้

โรม 8:3-4 “3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอ เนื่องจากวิสัยบาป เนื่องจากเชื้อของความบาป เนื่องจากสันดานของความบาป  ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ตกทอดมาจากอาดัมและอีฟบรรพบุรุษของเรา ทำให้มนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวก็ทำบาป

จะทำดีสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำบาป  ไม่มีใครสอนอะไรเลย ตั้งแต่เด็กๆ มา ก็เริ่มโกหก เริ่มอิจฉาริษยา เริ่มเห็นแก่ตัว ใครสอนเด็กเหล่านี้  เชื้อมัน เชื้อที่อยู่ในตัวเด็ก พระคัมภีร์บอก ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่บาป คือบาปทุกคน ถ้ามนุษย์สามารถทำตามบัญญัติภายใต้กฎแรก ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือไม่ทำบาป ไม่ทำผิดบทบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว มนุษย์ก็จะรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ คือไม่ต้องรับโทษในความผิดของตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ทำ แต่ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีมนุษย์คนไหนสามารถรักษาบทบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่กระทำผิดบาปเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยโกหกใครเลย  ไม่เคยคิดไม่ดีต่อใครเลย  พระเจ้าจึงต้องให้มีกฎใหม่ เพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากกฎเดิม ซึ่งติดเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เพราะถ้าไม่มาปลดปล่อยจะไม่มีใครรอด พ้นจากการถูกลงโทษเลย ทุกคนต้องได้รับโทษหมด ที่เราคุ้นๆ กันว่าเกิดมาใช้เวรใช้กรรม ไม่หมดสักที เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที มันเรื่องจริง แต่ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีก่อน ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน บนไม้กางเขน พระองค์ทรงไถ่เรา

ถ้อยคำตรงนี้จึงบอกว่าเพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์อ่อนแอ ไม่สามารถบินได้ นักวิทยาศาสตร์จึงช่วยแล้ว ช่วยทำ ช่วยหา จนพบกฎแห่งการยกขึ้น  สร้างเครื่องบินมา ทำให้เราชนะแรงดึงดูดของโลก สามารถบินได้ ความอ่อนแอของมนุษย์บินไม่ได้ แต่โดยนั่งบนเครื่องบิน มนุษย์กลายเป็นบินได้ เอเมน

ลักษณะเดียวกัน สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการกระทำตามบทบัญญัติ ไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากการถูกลงโทษได้  เพราะไม่มีใครเลย อย่างที่บอกว่าไม่มีใครเลยที่จะทำถูกต้องได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะมนุษย์ทุกคนมีวิสัยบาปอยู่ ภาษาเดิมจริงๆ เขาเรียกว่าสันดานบาปอยู่ เชื้อบาปที่อยู่ในตัว ที่จะกระทำความผิดอย่างแน่นอน คือพูดตรงๆ ก็คือถึงไม่ทำไม่อะไรเลย ก็เป็นคนบาป เพราะมันบาปมาจากสายเลือด เข้าใจใช่ไหมครับ? มันมาจากสายเลือด อย่างไงๆ ก็เป็นคนบาป

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป ไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป จึงเป็นคนบาป แต่กำลังหมายถึงมนุษย์ทุกคนเป็นเชื้อสายของอาดัมและอีฟทั้งสิ้น และอาดัมและอีฟพามนุษย์ทั้งครอบครัวของตัวเอง เผ่าพันธุ์ทั้งหมดตกลงไปในความบาปทุกคน ก็เลยโดนโทษนี้ไปด้วย

พระคัมภีร์ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด ไม่บาปเลย ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย โดยการทำตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยตัวเอง โดยการกระทำด้วยตัวเอง โดยพยายามด้วยตัวเอง ไม่มีสิทธิ์เลย เช่นเดียวกัน ที่ผมบอกมนุษย์อ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์เลย ที่จะบินได้ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ ต่อให้ไปเล่นกล้ามเท่าไร ก็บินไม่ขึ้น ถูกไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตัวเอง  ต้องมีใครมาช่วยสักคนหนึ่ง พูดง่ายๆ และผู้นั้น ที่เรารู้ก็คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ กฎของวิญญาณ โรม 3:20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

 

“โดยการรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้”

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่าอยู่ กฎความประพฤติ กฎการทำอยู่ คือกฎแห่งบาปและความตาย พระคัมภีร์ใช้ชื่อนี้ กฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครยังอยู่ในกฎเก่านี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรมของตนไปได้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่ได้เลย  เพราะยังอยู่ในกฎเก่าอยู่ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่มนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ ก็คือต้องหากฎใหม่ให้ได้ หากฎใหม่ให้เจอ แล้วกฎใหม่นั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ที่ไม้กางเขน โดยส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน ก็คือคนนั้นต้องหากฎนี้ให้เจอ และต้องมาอยู่ภายใต้กฎใหม่นี้ ที่เรียกว่ากฎวิญญาณนี้ ซึ่งเป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต เขาจะต้องเชื่อในกฎนี้ และเข้ามาอยู่ในกฎนี้ เขาถึงจะชนะกฎของความบาปและความตาย ซึ่งเขาต้องชดใช้เวรกรรมของเขา ถ้าไม่อยากชดใช้ ก็เข้ามาอยู่ในกฎใหม่ที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย กฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

และผู้ที่สามารถอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น  จะย้ายเข้ามาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ก็ไม่ใช่ด้วยการกระทำอีกแล้ว วิธีเดียวเท่านั้น ที่ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้นั้น ก็คือต้องเป็นผู้ที่เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ และผู้ที่จะอยู่ในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น พระคัมภีร์พูดไว้ คือผู้นั้นต้องเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

และเชื่อในข่าวดี คืออะไรไม่เข้าใจ? อ๋อ! ข่าวดีของพระเยซู ก็หมายถึงต้องเชื่อในข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับท่าน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม บาปท่านได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว ไถ่ท่าน โดยฟรีๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปรับอย่างเดียว นี่คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องเสียอะไรเลย ได้เปล่าๆ เรียกว่าข่าวดี  ถูกไหม?  เข้าไปรับสิทธิ์ คนนั้น มีหน้าที่เชื่อในข่าวดีนี้ ที่มาถึงเขา เชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วก็เดินเข้าไปรับสิทธิของเขา เท่านั้นเอง  เขาก็จะได้รับสิทธิ์นั้นทันที เขาจะได้เข้าไปอยู่ในกฎใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

จำได้ไหมในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ดังเลยนะ เดี๋ยวจะให้ท่านเห็นชัดๆ ข้อพระคัมภีร์ดังเลย ยอห์น 3:16-18 อ่านพร้อมกัน แล้วก็เน้นๆ ตอนช่วงท้ายๆ ข้อ 18 พยายามอ่านให้เน้นๆ ว่าเป็นอย่างไร?

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ในนี้ข้อ 16 บอกว่า “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

ก็คือชีวิตที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป

ในนี้บอกว่า “เพราะพระเจ้าไม่ได้จะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อจะพิพากษาโลก”

ไม่ได้มาเพื่อตำหนิ เพื่อจัดการ “ฉันจะลงโทษเธอ” ไม่ใช่ แต่มาเพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์บนโลกนี้ จะได้รอดจากอะไร? จากกฎของความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย และหนี้เวร หนี้กรรมต่างๆ ที่เราต้องชดใช้

ในข้อที่ 18 บอกว่า “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว”

จริงๆ คำว่า “พิพากษา” มันต้องมีคำว่า “ลงโทษ” อยู่ในนั้นด้วยนะ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เห็นหรือยัง? แปลว่าอะไร?

“ผู้ใดที่ไม่เชื่อพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว” คือเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เกี่ยวกัน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แล้วจะสั่งปรับโทษ เราไม่เชื่อในการที่เครื่องบินยกขึ้นได้ แต่พอเรานั่งบนเครื่องบิน กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกมันก็มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน กฎของความบาปและความตายมันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ มันอยู่แล้ว มันคอยจะดูดคนลงไป อยู่แล้ว  ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ยังถูกดูดอยู่ดี

ในนี้บอกว่าเพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ เพราะไม่เชื่อ ในนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อว่าพระเยซูมาทำกฎใหม่ให้เรา มีสิทธิ์ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตายแล้ว เขาไม่เชื่อตรงนี้ เขาจึงได้รับการลงโทษ อยู่แล้ว เป็นธรรมดา

เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ลงมาเกิด เราก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเราไม่เชื่อพระเยซู แล้วถูกลงโทษ แต่มันถูกลงโทษ ตั้งแต่อาดัมและอีฟพาพวกเราทั้งหมด บรรพบุรุษของเรา พาเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมดลงไปในความบาป  เราได้รับโทษแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมแปลตรงนี้ให้ท่าน เปรียบเทียบตรงนี้ให้กับท่าน … ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นนะครับ อ่านตามผมนะครับ พูดตามผมนะครับ ดังๆ เลยนะ

“ผู้ใดที่เชื่อกฎแห่งการยกขึ้น  ก็ไม่ล่วงหล่นลงมา ผู้ใดไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้นนี้ ก็ล่วงหล่นลงมาอยู่แล้ว แน่นอน 100%” ใช่ไม่ใช่?

“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อว่ามีกฎแห่งการดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ ฉันก็เดินออกไปเลย”

ถ้าผมเดินออกจากเวทีนี้ไป ผมตกไหม? ตก ถ้าอย่างนั้น ผมไม่เดินออกไปหรอก ผมเชื่อ  ถ้าไม่มีกฎในการยกขึ้นมาช่วย ไม่มีเครื่องบิน สมมตินะ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น  เราจะไม่ได้บินเลย ตลอดชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะไปไกลขนาดไหน? ก็ไม่กล้าไป เพราะเราขี้เกียจนั่งเรือ เรากลัวเมา เข้าใจใช่ไหม?

ถ้าย้อนกลับไปที่ตัวอย่างในเรื่องเครื่องบินตะกี้นี้ ลักษณะเดียวกัน คือถ้าเรายังคงอยู่กับข้อจำกัดของกฎเก่า คือกฎเก่า กฎธรรมชาติ บอกว่าวัตถุไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เราจะแพ้กฎนั้น กฎนั้นเรียกว่ากฎแรงดึงดูดของโลก กฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อในกฎใหม่ก่อน ที่นักวิทยาศาสตร์เขาสร้างขึ้นมา คือเชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น เขาคิดขึ้นมาว่ามันมีกฎแห่งการยกขึ้นจริงๆ นะ ที่ทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้ และลอยอยู่ได้ เราก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ ผ่านทางเครื่องบิน โดยอาศัยเครื่องบิน ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ เพราะฉะนั้น ผมจะเขียนสมการให้ท่านดู

เครื่องบิน ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแรงโน้มถ่วงของโลก นี่พูดถึงเครื่องบินนะ กฎธรรมชาติ คือมันมีแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ ไม่สามารถบินได้ ถูกไหม?

คราวนี้กฎไม่ธรรมชาติ กฎที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นอีก กฎที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมา ก็คือแต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะ เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะฉะนั้น สรุปออกมาเป็นผล สามารถบินได้ ลอยอยู่ในอากาศได้

เทียบกับมนุษย์ … มนุษย์นะ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาตินะ ธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ต้องตายและตาย … ตายเดี๋ยวนี้และตายจากโลกนี้ไป ก็เรียกว่าตาย 2 ครั้งเลย  ตายทางวิญญาณด้วย ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลได้ เรียกว่าตาย เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก

ย้ำอีกทีหนึ่ง ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกวันนี้ ทำให้มนุษย์ต้องประสบกับความตาย ต้องอยู่ในนรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว และเป็นอิสระจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ สิ้นสุดชีวิตแล้ว วิญญาณก็สามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นิรันดร์กาล อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่หลังความตาย เข้าใจใช่ไหม? ตรงกันข้าม ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ ก็คือต้องไปอยู่ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เราเป็นคนบาป เราต้องไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกว่านรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศ” ความตาย  แต่คนที่อยู่กับพระเจ้าเรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์

 

ถามว่าทำไมผมถึงพยายามยกเรื่องเครื่องบินขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ปัจจุบัน ควรจะมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันกับการนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน? ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เครื่องบินบินกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนคนกลัวกัน แต่เดี๋ยวนี้บินกันเยอะมากๆ ข้างบนอากาศ คนบินกันเยอะ เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างจะเห็นชัด มันจะเห็นชัด ถามว่าเวลาที่ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ใครก็ตามที่เดินทางโดยเครื่องบิน ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ท่านต้องทำอะไรบ้างไหม? บนเครื่องบิน  ที่จะทำให้เครื่องบินยกขึ้นให้ได้ ท่านไปช่วยยกเครื่องบินไหม? ตอนที่นั่งอยู่ในเครื่องบิน หรือในขณะที่มันลอยอยู่บนท้องฟ้า ท่านช่วยทำอะไรไหมที่มันลอยอยู่บนฟ้าได้  ท่านต้องคอยช่วยนักบินดูแผนที่ไหม? ก็ไม่ต้อง ท่านต้องคอยช่วยดูทิศให้ไหม? เผื่อว่ากัปตันบินเลี้ยวผิดอะไรประมาณนี้  ท่านก็ไม่เคยคิด ท่านต้องคอยช่วยควบคุมระดับการบินไหมว่าสูงไป เตี้ยไป

“นักบินทำไมบินเตี้ยอย่างนี้ น่าสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ 10,000 … 30,000 กิโลเมตร อะไรอย่างนี้ สมมตินะ สูงกว่าพื้นดิน อะไรอย่างนี้  ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม? แค่นั่งเฉยๆ แล้วก็ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใคร? ของคนข้างๆ ไม่ใช่ หน้าที่ของกัปตัน … กัปตันหรือนักบินก็จะพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ตะกี้ผมบอกคนข้างๆ หมายถึงใครรู้ไหม? บางคนเป็นคริสเตียน กัปตันของเรา คือพระเยซู แทนที่เราจะนอนหลับ แล้วพึ่งในพระเยซู พึ่งคนข้างๆ แทน เข้าใจไหม? พึ่งคนข้างๆ แทน มันต้องพึ่งพระเยซูนะ ต้องยึดพระเยซูผู้เดียว ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากพระเยซูเท่านั้น แต่คนข้างๆ มาเพื่ออะไร? เพื่อหนุนจิตชูใจเราเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าพึ่งเขา จนกระทั่งเขาพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ มันเป็นไปไม่ได้

นั่นแหละครับ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ควรจะดำเนินชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ถูกไหม? คริสเตียนทุกคนรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่การได้รับชีวิตนิรันดร์และได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระองค์ทรงตั้งเป้าอย่างชัดเจน แจ่มใส แล้วก็หมดบาป แล้วไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็มันรู้จักพระเจ้าแล้ว คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอวิญญาณออกจากร่าง สามารถไปอยู่สวรรค์ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ ง่ายๆ อย่างนี้

พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์เป็นทางนั้นที่จะนำพาเราไปพบกับพระเจ้าได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เราได้รับสิ่งนั้นจากพระเยซูมาเรียบร้อยแล้ว เราได้รับแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับบางคนได้รับแล้ว ไม่ไปใช้สิทธิของเขาก็มี แต่เราทั้งหลายในที่นี่ เราได้รับแล้ว … แล้วเราก็มาใช้สิทธิของเราแล้วด้วย อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรครับ อะไรที่เราต้องทำ มีไหม? ตอบ อยู่บนเครื่องบิน คุณต้องทำอะไรไหม? ไม่ต้องทำ เพราะฉะนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ลำบากใจนะ มันอยากทำ มันติดนิสัยเก่ามา มันอยากทำ คุณไม่ต้องทำ คนละเรื่องกัน ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องทำดี ไม่ใช่นะ ไอ้ทำดี ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำดี มันอยู่ในวิญญาณมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว พระเจ้าใส่ลงไป เป็นธรรมชาติ ที่เขาอยากทำดี แต่ทำชั่วนั้น เขาไม่อยากทำ แต่มันอดไม่ได้ มันสู้กับมันไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนทำชั่ว ไม่ต้องส่งเสริม ไม่มีใครอยากทำชั่วอยู่แล้ว แต่มันชั่วจริงๆ ก็เพราะเขาสู้ตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับเชื้อความบาปที่อยู่ในตัวของเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ? นี่มันต้องเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั้น เราไม่ต้องทำอะไร เพราะพระเยซูทำให้หมดแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูทำให้เราแล้ว สมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า Finish … It is finished. มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แล้วๆ ครบถ้วนแล้ว จบ เราไม่ต้องทำอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ต้องย้ำอีกทีว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือทำดีอะไรต่างๆ  พระวิญญาณจะนำเราเอง ถึงแม้พระวิญญาณไม่นำเราในอดีต อย่างที่บอก ไม่เชื่อพระเจ้า จิตวิญญาณของเขาคนนั้น ลึกๆ ในใจเขาอยากทำดีทุกคน เพียงแต่มันสู้กับกิเลสตัณหาเนื้อหนังไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเรา ฟังให้ดีนะ วิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้วเช่นเดียวกัน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ … เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว … พระองค์มาตายที่ไม้กางเขน … ตายหรือยัง? ตอบทุกคน ตายแล้ว … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เห็นไหมทำหมดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าที่พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันเกิดผลในชีวิตของเราอย่างนี้ โรม 6:3-6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเกิดผลที่เราอย่างไร?

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เอเมน … เป็นอิสระไหม? ถ้าไม่เป็นอิสระ อ่านตามผม เป็นอิสระแน่เลย อ่านตามดังๆ เลยนะ อ่านให้ตัวเองฟัง

          “เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่าวิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อวิญญาณบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

 

ถามว่าอิสระนั้นที่ไหน? ที่วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ไม่มีผิดเลย  พวกนี้วิญญาณทั้งนั้น มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตาย แล้วมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย รวมความก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ … พระองค์ทรงทำอะไร เราทำอันนั้นด้วย  นี่มันเป็นอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอกไว้ ตื่นเต้นน่าดูเลย ตื่นเต้น

ตัวอย่างที่จะอธิบายให้ท่านเห็นภาพตรงนี้ให้ดีที่สุด ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว หรือครั้งก่อนโน่น ที่ได้ยกตัวอย่างเรื่องถุงชา ที่พูดไปแล้ว คือถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้อะไร? ที่ครั้งที่แล้วคิดอยู่ตั้งนาน ตอบ ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้น้ำชา ไม่ใช่กาแฟ เพราะเราใส่ถุงชา … ถุงชากับน้ำร้อน ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกไป เสร็จแล้ว หยิบถุงชาออกไปเลย เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับถุงชาอีกต่อไปแล้ว เพราะมันรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มันไม่มีทาง ไม่มีทางเลย นึกถึงเรากับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอะไร?  ใครจะมาแยกเราได้ มีใครหน้าไหนจะมาแยกเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ มันหมายถึงอย่างนี้ มีใครจะมาปรับโทษเราได้อีก การปรับโทษ ก็หมายถึงจะมีใครมาว่าเรา … เราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้เป็นหนึ่งกับพระองค์ ไม่มีใครหรอก เมื่อเราเชื่อข่าวประเสริฐนี้ ยึดไว้ให้ดีๆ ทางวิญญาณมันเกิดสภาพนี้แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

เช่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว แยกกันไม่ออก และก็เหมือนกับตัวอย่างเรื่องน้ำชาว่าอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเพราะบางครั้ง เราก็ชงชาแบบเข้ม บางครั้งเราก็ชงชาแบบอ่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นชาแบบเข้มหรือแบบอ่อน อย่างไรมันก็เป็นน้ำชาอยู่ดี อย่างไรๆ ก็เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ดี เพียงแต่มันจะเข้มหรืออ่อนเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ถามท่านในที่นี่ ท่านเป็นคริสเตียนเข้มหรืออ่อน ไปถามเอง ไม่ต้องไปถามคนข้างๆ ด้วยนะ ท่านเป็นคริสเตียนแบบเข้มหรือแบบอ่อน จุ่มไปด้วยกันนั่นแหละ ทำพร้อมกันนั่นแหละ แต่บางคนเข้ม บางคนอ่อน อย่าหันไปหาคนข้างๆ สิ ดูตัวเองๆ ฉันใดก็ฉันนั้น คริสเตียนก็มี คริสเตียนที่แข็งแรงแล้ว อันนี้หมายถึงวิญญาณนะครับวิญญาณ แข็งแรงแล้ว และคริสเตียนที่ยังทำไม? ทางวิญญาณนะ อ่อนแออยู่ ยังเป็นชาอ่อนอยู่ นี่พูดถึงวิญญาณทั้งนั้นนะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็น คริสเตียนที่อ่อนแอ เป็นชาอ่อนๆ ยังไงๆ ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตอบ ใช่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตายไปแล้ว สิ้นจากชีวิตบนโลกนี้แล้วไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ในสวรรค์เหมือนกัน เอเมน และสามารถเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกันเลย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอย่างนี้ พระเยซูตาย เราตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูตาย  คนที่เป็นคริสเตียน อ่อนแอ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ชอบนินทา แต่เขาเชื่อข่าวดีจริงๆ นะ … เพราะเป็นก็คือเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ? เขาเป็นชาแล้ว เขาก็เป็นชา เป็นอย่างอื่นไม่ได้

คือเราพูดเอาเขาออกไป ประพฤติอย่างนั้น มันไม่น่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียน คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาเชื่อในข่าวดีนั้น แล้วหรือยัง? จริงๆ คุณรู้ได้อย่างไร?  ถามสิ คุณรู้ได้อย่างไร?  รู้เอง  พูดเอง คิดเอง พระเจ้าอาจจะไม่ได้มองเขาอย่างนั้น เขาอาจจะเชื่อจริงๆ ก็ได้ แต่เขาสู้ไม่ได้กับเนื้อหนังขนาดนี้ เขาก็เป็นเพียงแค่ชาอ่อน วันนี้ออกจากโบสถ์ เดินออกไป วันนี้ชาอ่อนชาแก่ โอเค อย่าไปทำอย่างนั้น ใช่ไหม?

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนี่ไหม? ทุกคนพูดพร้อมกันว่ากระเทียมดอง เพราะจากวันนี้ไป ท่านจะต้องพูดคำนี้ตลอดไปเลย เดี๋ยวท่านตั้งใจนะ รู้จักกระเทียมดองใช่ไหม? ใครทำกระเทียมดองเป็นบ้าง? เขาก็ต้องเอากระเทียมสดใช่ไหม? ใส่น้ำส้มสายชูใช่ไหม? น้ำตาลใช่ไหม? เกลือใช่ไหม? แล้วก็ดองไว้ ดองไว้กี่วัน? ไม่รู้ แต่ดองไว้ก็แล้วกัน สักระยะหนึ่งก็แล้วกัน  ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเขาดองไว้นานเท่าไร? ทราบแต่ว่าพอได้ที่ เขาก็จะเรียกมันว่าจากกระเทียมสดใส่ลงไปกี่วันไม่รู้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเรียกกระเทียมสดอีกต่อไป ทุกคนเรียกว่าอะไร? กระเทียมดอง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู พร้อมน้ำตาลและเกลือ และอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ ตามสูตรของแต่ละคน คือจากกระเทียมสด

ถ้าพูดตามภาษาพระคัมภีร์นะ แปลเหมือนกัน แต่พูดภาษากรีกให้ท่านฟังนิดหนึ่ง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกบัพติศมาลงในน้ำส้ม น้ำตาลและเกลือแล้ว ยังหัวเราะอีก ทำไมผมผิดตรงไหน? ก็วันนั้นเราเรียนมาตั้งแต่บทแรกแล้วใช่ไหมว่าบัพติศมาแปลว่าจุ่มลง มุดลง ดำลงไป แต่กระเทียมสดดำลงไปไม่ได้เหรอ ทำอย่างไร? ก็พูดภาษากรีกไงว่า.-

“ฉันจะเอากระเทียมสด บัพติศมาลงไปในน้ำส้มสายชู และน้ำตาล และเกลือ สภาพเดิมที่เรียกว่ากระเทียมสดเมื่อตะกี้นี้ ก็จะหายไป  ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งใหม่เรียกว่ากระเทียมดอง”

เห็นไหมบอกว่าให้จำไง เรียกว่ากระเทียมดอง และเมื่อมันถูกเปลี่ยนเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เป็นได้ไหม? ใครสามารถทำกระเทียมดองให้เป็นกระเทียมสดได้ ใครสามารถทำได้ ถ้าทำไม่ได้ คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร มันทำให้กลับไปเป็นที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าจับท่านบัพติศมาลงไป ก็คือพระเจ้า ก็เหมือนเราทำกระเทียมดอง จับเราจุ่มลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ สะอาดหมดจดแล้ว

ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ กลับไปฝึกการทำกระเทียมดองเรื่อยๆ ท่านจะเห็นภาพเอากระเทียมสดมา นึกถึงชีวิตเก่าเรา พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เราก็เหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้

หยิบกระเทียมสดหัวนี้ ใส่ลงไปในโถ น้ำส้มสายชู ตามสูตรของเรา ปิดฝามันไว้เลย เปิดออกมา ฉันให้บังเกิดใหม่กับกระเทียมเม็ดนี้แล้ว ชื่อกระเทียมดอง ไม่ใช่กระเทียมสดอีกต่อไป แล้วมีใครมาเปลี่ยนได้ไหม? ฉันเอง ฉันยังเปลี่ยนไม่ได้เลย มีใครสามารถเปลี่ยนเป็นกระเทียมอื่นได้ไหม? เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น อยากให้ท่านเห็นชัดเจนอย่างนี้ จึงพยายามที่จะค่อยๆ ยกตัวอย่าง แล้วก็พูดซ้ำ พูดอยู่ตรงนี้ พูดอยู่แถวๆ นี้ เพื่อให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่มีอะไรทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่สามารถกลับมา แล้วบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อพระเยซูแล้ว”

พระคัมภีร์จึงบอกในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไรรู้ไหม? บอกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะไม่ทำบาปเลย ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย  สมัยก่อนผมมานั่งคิด มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร? ก็เชื่อพระเยซู ก็ยังทำบาปอยู่เยอะแยะ อ๋อ! เขาหมายถึงวิญญาณไง วิญญาณไม่ทำบาปแล้ว แต่เนื้อหนังมันคนละเรื่องกัน มันยังเดินอยู่ด้วยกัน เข้าใจไหม? ถ้าท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วท่านยังทำบาป มันไม่จริง ท่านโกหก คำว่าโกหก หมายถึงท่านทำจากข้างในนะ ทางวิญญาณข้างใน

เพราะฉะนั้น เมื่อคนเป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เขาจะไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะวิญญาณเขาใสนิ๊งเลย ไม่มีบาป ทุกอย่างสะอาดหมดจด ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างของเชื้อบาปที่อยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง รอวันที่จะเปลี่ยนร่างนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกนี้ พระเจ้าเห็นว่างานการบนโลกนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ใช้เราจนครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เอากลับบ้าน ทำไม? เดี๋ยวจะเปลี่ยนอะไหล่ให้ อะไหล่ๆ วิญญาณไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว วิญญาณนิ๊งแล้ว แต่ร่างกายนี้สกปรก เอาทิ้งไปเลย ใช้อันใหม่ดีกว่า ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ลำบาก ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องมานั่งทาสิว ทาอะไรอีกต่อไป สวยงามตลอดชีวิต ก็คือร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราในสวรรค์สถาน

คราวนี้ ท่านลองเปลี่ยนตรงนี้ ท่านลองเปลี่ยนกระเทียมสด เป็นวิญญาณเก่าของท่าน แล้วท่านนึกตามนะครับ วิญญาณเก่าของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป แล้วเปลี่ยนคำว่าจุ่มลงในน้ำส้มสายชู เป็นบัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่ได้รับแทนที่จะเป็นกระเทียมดอง ก็จะเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากบาป แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ ฮาเลลูยา เห็นหรือยัง? ท่านเปลี่ยนแค่นี้เอง ชุบวิญญาณท่านลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขึ้นมาเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับที่กระเทียมสดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือก็ว่าไป เอเมน

กระเทียมดองไม่สามารถกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านได้การรับการสร้างใหม่ ให้บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปได้อีกต่อไปเลย เพราะท่านได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่า.-

 

“นี่แน่ะ เห็นไหม? มันใหม่ทั้งสิ้นเลย นี่แน่ะๆ Be hold  จงมองให้เห็นเถิดว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นได้รับการสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” 2 โครินธ์ 5:17 เอเมน

เพราะฉะนั้น ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกวันนี้นะครับ อยากจะบอกท่านว่าสิ่งเดียวที่พระคัมภีร์ต้องการให้เราทำ สอนเรา ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? พักผ่อน สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น แต่พระเยซูร้องเพลงนี้เลย สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พระเยซูร้องว่า.-

“เธอยังมีฉันอีกทั้งคน  เรายังมีหนทางมากมาย ขอให้มั่นใจว่าฉันไม่เคยมาสาย ขอเพียงแค่เธออย่ายอมแพ้มันเสียก่อน” เอเมน

จำได้ไหมเพลงนี้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ท่านจะได้เอาเทปนี้ไปฟัง เอาซีดีนี้ไปฟัง พระเยซูร้องให้ท่านว่ามั่นใจในพระองค์ อดทน เชื่อวางใจในพระองค์ ย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า.-

“ฉันกำลังอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระองค์กำลังนำพาชีวิตฉันไปจนถึงชีวิตนิรันดร์” เอเมน

ย้ำกับตัวเองตลอดเวลาได้ไหม? ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องหัดกินกระเทียมเยอะๆ กระเทียมดองไม่ใช่กระเทียมสด หัดกินกระเทียมดองเยอะๆ เพราะกระเทียมดองมีประโยชน์ เขาว่านะ รักษาสุขภาพ เวลาท่านกิน ท่านจะได้นึกถึงตลอดเวลา เอาขึ้นมาดูก่อนกิน ถ้าตราบใดกระเทียมสด ถูกทำเป็นกระเทียมดองแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

“ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ฉันก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในตรีเอกานุภาพอย่างนั้นเลย” เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า สดชื่น พักสงบ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************