คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อการบรรยายในซีรี่ส์นี้ครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เรามาเรียนรู้กันต่อนะครับ ในหัวข้อเรื่องนี้

พูดพร้อมกัน  “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองพูดกับคนข้างๆ สิว่าเขาจำได้ไหม? “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ถามใคร? ต่างคนต่างถามซึ่งกันและกัน  เราจะมาเรียนรู้ เราอยากรู้ เราย้ำกันมาหลายครั้งแล้วนะครับว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซู พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตามถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเจ้า พระเยซูตรัสนะครับ ว่าพระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณของพระองค์ จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ซึ่งเรียกกันว่าตีเอกานุภาพ เราเข้าไปเป็นหนึ่ง ในตรีเอกานุภาพ

รวมความ ก็คือเราเข้าไปมีส่วน เข้าไปมีส่วนสามัคคีธรรม มีส่วนในความยิ่งใหญ่ ความล้ำลึก ล้ำค่าสูงสุด  คือเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าธรรมชาติของสวรรค์ ธรรมชาติของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนเป็นหนึ่งในนั้นเลย  เอเมน สรรเสริญพระเจ้า

และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในตรีเอกานุภาพแล้ว เราก็เลย โดยปริยาย ได้รับความเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากมลทินทั้งปวง ปราศจากความบาปทั้งปวง ได้รับพระสิริของพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์นั่นแหละ ในพระลักษณะนี่แหละ ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่านานานัปการ คือนับไม่ถ้วนนั่นเอง พระพรเยอะแยะมากมายมหาศาล

และครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันถึงประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คน ที่แม้จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณตามที่พระเยซูบอกไว้ เยอะแยะมากมาย แต่ไม่เห็นมีชีวิตที่มีสันติสุข ตามที่พระเยซูบอกเลย ไม่เห็นมีชัยชนะโลก ตามที่พระเยซูบอกเลย  ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เลย ตามที่เราได้ทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้ว

และผมก็ได้ยกเอาคำพูดของอาจารย์เปาโลมาเป็นแบบอย่างในตอนนั้นว่าในเรื่องของว่าเปาโลดำเนินชีวิตอย่างไร? ทำไมเปาโลได้สันติสุขนั้น  ทำไมเปาโลได้พระพรนานัปการตรงนั้นไปแล้ว เราก็จะเลียนแบบเปาโลใช่ไหมครับว่าเปาโลได้แล้ว เปาโลมีสันติสุขอย่างนั้น เราก็อยากได้เหมือนกัน และวิธีใด ก็คือวิธีทำเหมือนที่อาจารย์เปาโลทำนั่นเอง  ท่านได้แล้ว เราก็ทำ ซึ่งท่านเขียนไว้เป็นเคล็ดลับอยู่ในโคโลสี 3:1-4 เราอ่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

พูดตามผมนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

เวลาพูดถึงชื่อของตัวเอง พูดดังๆ แล้วก็ชี้ที่ตัวเองด้วยนะครับ  “จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”  ทำไมความคิดของบางคนอยู่ที่หน้าอกล่ะ คิดอย่างไรอยู่ที่หน้าอก

“จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

พูดกับใคร? พูดกับเจ้าของสมองที่ตะกี้เราชี้นั่นแหละ เข้าใจไหม?  พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง บางครั้งต้องบังคับมันนะ มันชอบจดจ่อกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้  ในนี้เขาบอกให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ อ่านต่อ

“เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว (ไม่ยอมตายกันเหรอ ดังหน่อย) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า จำไว้ รู้ไหม?”

“รู้”

ประเด็นสำคัญ คือให้ใจและความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก นี่คือหัวใจ นี่คือเคล็ดลับ นิดเดียว แต่ทำยากๆๆๆๆ

คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และเราก็อยู่ในนั้นด้วย ในพระคริสต์ด้วย เบื้องบน คือที่ที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และ

“ฉันก็อยู่ที่นั่น ในขณะนี้ด้วย”

ไม่ใช่รอว่าตาย แล้วไปอยู่ตรงนั้น ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หลับตาลง

“ทุกวันนี้ ท่านอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์”

นี่แหละ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้  จดจ่อจนกระทั่ง เวลาท่านเกิดอะไรขึ้นก็ตามบนโลกใบนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก จดจ่อแบบเปาโลเลย จดจ่อ 24 ชั่วโมง นึกคิดอะไรปุ๊บ เราอยู่ที่นี่ พอท่านคิด ท่านไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนะ การกระทำบนโลกใบนี้ ที่จะโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากระทบ มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ยกตัวอย่าง เขาตบหน้าท่านปุ๊บ ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านก็ทำไม? เอาข้างซ้ายให้เขาตบ ไม่ เราก็หลบซะ แล้วก็รีบหนีไปซะ อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ให้เขาตบต่อ อันนั้น อะไรป้องกันได้ ก็ป้องกันไป แต่เราจะไม่เอาปืนมายิงเขาเลย ถูกไหม? เราทำท่าจะโกรธปุ๊บ เราก็ระลึก

“ฉันอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

แต่ถ้าท่านบอกว่า “ฉันอยู่ในประเทศไทย  ฉันเป็นของของประเทศนี้  ฉันเป็นคนไทย  ฉันเป็นโน่น  ฉันเป็นนี่  ฉันเป็นอะไรก็ตาม อยู่บนโลกนี้ ท่านเสร็จมันเลย นี่ไม่มีสันติสุขแน่นอน ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบชีวิตท่าน ท่านตัดสินใจด้วยตรงนี้แหละว่าท่านอยู่ที่ไหน?  ถ้าอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านชนะ แต่ถ้าท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านแพ้มาร เอเมน ทำได้ไหม?  ตอบตรงๆ ทำได้ไหม? ไม่ได้  แต่ก็พยายามทำให้ได้บ้าง แต่ทำให้ครบ มันไม่ได้นะ ก็พยายามที่สุดนะ ก็พยายามกันต่อไป ใช่ไหม?

ใครที่สามารถทำได้ตามนี้ ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามที่พระคัมภีร์ พันธสัญญาของพระเจ้า สัญญาไว้ในพระคริสต์ว่าจะได้รับอย่างนี้ และจะได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยพระพร นานัปการ เต็มไปด้วยความสุขสงบ และเต็มไปด้วยความพอเพียง ทุกอย่าง ไม่ใช่พอเพียงเรื่องการเงินอย่างเดียว พอเพียงทุกอย่าง พอเพียงหมด พอใจแล้ว

“ในพระคริสต์ ฉันพอใจแล้ว”

          ซึ่งเป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ที่แท้จริง อย่างที่เปาโลอยากให้พวกเราทั้งหลายมีประสบการณ์ตรงนี้ ซึ่งท่านได้รับแล้ว  ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านก็มีความสุข มีสันติสุข ท่านจะอยู่อย่างอดยาก หรืออยู่ในคุกตะราง หรือไปอยู่ในพระราชวัง ท่านมีค่าเท่ากัน คือท่านพอเพียงเสมอ เพราะท่านรู้ว่าต่อให้ท่านอยู่ในพระราชวังนั้น ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านติดคุกอยู่ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรเลย อยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในพระคริสต์ เอเมน จะจนในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ จะร่ำรวยในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นมีอะไรของเราสักอย่าง หรือแม้จะพูดว่าทุกอย่างเป็นของเราก็ได้ แต่แล้วแต่พระเจ้านะ เอเมน เห็นไหมครับ? เคล็ดลับ และเคล็ดที่ไม่ลับ คืออะไร?

 

เคล็ดที่ไม่ลับ คือที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คืออะไร? อยู่ที่เราอยู่ที่เรากำลังมาเรียนรู้ 4 ตอน คือเรียนรู้ว่าการที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่อย่างไร? เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายลำบาก และไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ได้ มันมองไม่เห็น มันต้องใช้ความเชื่อ ถามว่ามันเชื่ออะไร? เชื่อในที่พระคัมภีร์ พระเยซูบอกไว้ พระเจ้าสอนไว้ว่ามันเป็นอะไร? เป็นอย่างนี้ ตรงไหนบ้าง อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้สอนตามที่ศิษยาภิบาลอยากสอน ไม่ใช่ พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ฉันมีความสามารถอย่างไรในพระคริสต์? ฉันมีสง่าราศีอย่างไรในพระคริสต์?”

ตรงนี้ คือเคล็ดไม่ลับ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ที่บอกว่าใช้เวลาหน่อยหนึ่ง นานๆ เลยนะครับ อีกไม่รู้กี่ตอน ซึ่งเรากะกันไว้ว่ากี่ตอนนะคราวที่แล้ว 30 กว่าตอน ตอนนี้เพิ่งไป 4 เอง คิดดูสิ พูดไปเรื่อยๆ ไม่จบตอนนี้แน่ๆ นี่คือเคล็ดไม่ลับ คือต้องเรียนรู้ มาเชื่อพระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ มาเชื่อแล้วต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? ท่านเป็นใคร? เราจะได้รับสิทธิของเราครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ทั้งหมด คือให้รู้ว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ทำไมถึงใช้คำว่า “ซ่อน” เพราะมันไม่เห็นชัดๆ ไง ถ้าบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้ทุกคนถูกย้ายเข้ามาอยู่ในวัง อย่างนี้ก็ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย สมมตินะ สมมติเขาใหญ่เป็นวังใหญ่ๆ อันหนึ่ง คนมาเชื่อพระเจ้า เขาก็ย้ายมาอยู่เมืองนั้นหมด เก็บข้าวของออกจากหมู่บ้านที่เราอยู่ ออกไปที่โน่นหมด อย่างนี้ก็ไม่ต้องอธิบาย แต่นี่ไม่ใช่ บ้านก็ยังอยู่เหมือนเดิม สิวที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนที่เจอกัน แล้วยังหมั่นไส้ ก็ยังเหมือนเดิม อาการหงุดหงิดของเราที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม แล้วบอกว่าเราได้ถูกสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มันเชื่อยาก ลำบากมาก แต่มันไม่ยากตรงที่พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเราแต่ละคน ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ฟังบ่อยๆ เขาว่าอย่างไร? อย่างนั้น

คือพูดง่ายๆ ว่าต้องสนใจนั่นเอง  สนใจสิทธิของเรา ที่พระเจ้าทำให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์นะครับ

พูดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง “ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? … ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์”

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องเรียนรู้ … ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้เราเรียนรู้เสมอ ในใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทั้งหลาย ทั้งปวงที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย ที่บอกในพระคัมภีร์ เราก็จะได้รับ ไม่ใช่ “จะ” นะ เราได้รับแล้ว แต่มันจะปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา จริงๆ เราไม่ใช่จะได้รับนะ แต่ได้รับแล้ว แต่เรายังไม่ใช้สิทธิเลยสักทีหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้ว ถ้าเราสนใจมันนะครับ

พระเยซูจึงบอกว่าอย่างไร? ถ้าท่านได้รู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ถูกไหมครับ? ในหนังสือยอห์น 8:31-32 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ?

ยอห์น 8:31-32 “31 ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ  32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

เพราะฉะนั้น เรากำลังสำแดงความรักของเรา คือพระเยซูตรัสว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เรากำลังเข้าไปหา เราเข้าไปเรียนรู้ เพื่อว่าอะไร? เพื่อว่าเราจะได้รู้ความจริงนั้น ไม่ใช่คนนี้พูด ไม่ใช่คนนั้นพูด ไม่ใช่ศิษยาภิบาลพูด ไม่ใช่โลกพูด แต่เป็นพระเยซูตรัส พูดเองในพระคัมภีร์ แล้ววิญญาณจะสอนเรา ถ้าเราเอาจริงๆ จังๆ จะพาเราเข้าไปรู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? และนั่นเป็นความจริง และความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกไว้ ความจริงที่พระเยซูหมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ก็คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือการไถ่บาป ทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่พระองค์ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นมโหฬารในโลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละคือสิ่งที่บอกว่าความจริง

ยกตัวอย่างเช่นเกิดอะไรขึ้น พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ไถ่บาปเราหมดเรียบร้อยไปแล้ว เราพ้นจากบาปเวรกรรมแล้ว เราไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในจำนวนความจริง เห็นไหม?

ความจริงคืออะไร? คือท่านไม่ต้องทำเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว นี่คือความจริง

ความจริงคืออะไร? เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า กลายเป็นลูกของพระเจ้า

นี่คือหนึ่งในความจริงและอีกมากมาย แม้กระทั่งเรานั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่งกับพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ ในที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน นี่ก็อีกหนึ่งความจริงที่เราต้องเรียนรู้ และความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นไท ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง แล้วทำไม? รับรู้ความจริงแล้วทำไม? เชื่อ จริงๆ เราก็ตั้งใจเชื่ออยู่แล้วทุกวันนี้ แต่บางทีเรายังไม่รู้ความจริง เราตั้งใจจะเชื่อ ถ้าเราตั้งใจเชื่อด้วย พอเรารับรู้ความจริง เรารับรู้ความจริง เราเชื่อปุ๊บ เราก็ได้รับตามที่พระเยซูบอกไปทั้งหมด ใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนั้น ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นอิสรภาพ ได้รับอิสรภาพ ได้รับการเป็นไทจริงๆ มีอิสรภาพอย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ใช่ต้องรอว่าเป็นอิสระแล้ว ตายแล้ว ไปสวรรค์แน่ อิสระจากนรก ไม่ใช่ นั่นมันของอีกนาน ตอนนี้เลย พ้นจากนรกเดี่ยวนี้เลย ได้จริงๆ เป็นอิสระจากอะไรต่างๆ ที่มนุษย์ไม่ชอบ ที่เป็นความทุกข์ เป็นความชั่วร้าย

พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงให้อิสรภาพกับเราแล้ว เราเป็นไทแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังทำตัวเหมือนยังอยู่ในคุกอยู่ ยังถูกพันธนาการอยู่ ยังไม่ชอบเชื่อ หรือยังไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูบอกไว้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คริสเตียนหลายคนก็เป็นอย่างนี้

ท่านลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเราเป็นนักโทษ ถูกคุมขังอยู่ในคุก นึกไม่ค่อยออกใช่ไหมครับ?  นึกถึงตัวเรานะ แล้ววันหนึ่งผู้คุมก็เอากุญแจมาเปิดประตูออกมา แล้วบอกว่า

“อ้าว! เธอออกไปได้แล้ว ชดใช้โทษแล้วทั้งหมด เป็นอิสรภาพแล้ว ออกไปได้”

นึกถึงภาพนะ เปิดประตูกรงขัง แล้วบอกให้เราออกไป แล้วเราก็ลุกขึ้น แล้วก็บอกผู้คุมว่า

“ฉันไม่ออกหรอก ฉันทำผิดมาตั้งเยอะ ฉันสมควรจะได้รับความทุกข์มากกว่านี้อีก ฉันสมควรจะรับโทษมากกว่านี้ ฉันไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ในคุกนี้ต่อไป”

แล้วก็นั่งลง ประตูก็เปิดอ้าไว้อย่างนั้น เห็นภาพไหม? ตลกนะ คริสเตียนหลายคน ยังเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูบอก พระองค์เอากุญแจมาเปิดประตูคุกให้เราใช่ไหม? ให้เราเดินออกไป เหมือนผู้คุมเมื่อตะกี้นี้ไหม? พระองค์บอกว่าไม่ว่าจะเป็นโทษบาป ความผิดร้ายแรงขนาดไหน? ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งหมดเลย พระองค์ได้ไถ่ให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาไปหมดแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่เลือกที่จะกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม  ไม่ยอมเดินออกมา ไม่ยอมรับอิสรภาพของตัวเอง คือพระเยซูทำให้ อย่างครบถ้วน

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเยซูเน้นย้ำกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ถ้าเราได้รับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ก็แสดงว่าคนที่ไม่ออกมา ไม่ได้ความรับความจริง ถามว่าเขาไม่ได้รับความจริงเพราะอะไร?  เพราะถูกโกหกไง มันไม่มีทางที่คนเราจะไม่คิดอะไรเลย อยู่เฉยๆ ไม่มี อยู่ตรงกลาง ไม่มี คือเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าพระเยซูบอกอย่างนี้ บอกเราเป็นไท … ไม่เอา … ถ้าผู้คุมบอกให้เราออกไป เป็นอิสรภาพแล้ว

“ไม่เอา ฉันจะอยู่ ฉันเชื่อนะ แต่ฉันจะอยู่”

มันไม่มี มันไม่มีตรงกลาง คือเรากำลังถูกหลอกอะไรบางอย่าง? เรากำลังเชื่ออะไรบางอย่าง? จากข้อมูลทางโลกนี้ จากมารที่ใส่เข้ามาว่าเราจะต้องทำอะไรอีกบ้าง? ถ้าเรามาเชื่อพระเยซู

“เธอยังไม่พร้อม”

มันจะใส่ที่หูเรา มันจะส่งข้อมูลมาหาเราว่า “เธอเอาอีกแล้ว เธอจะต้องทำอย่างนี้”

อีกแล้วครับท่าน เราก็เลยติดอยู่ที่คุกนั้นอีก แล้วเราก็ไม่กล้าออกมา ในหนังสือโรม 6:6-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ … นี่ก็อีกหนึ่งความจริงในพระคัมภีร์ นี่คือหนึ่งในจำนวนเยอะแยะในพระคัมภีร์ที่เป็นความจริง

โรม 6:6-7 “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป

 

พระคัมภีร์บอกเราเป็นอิสระจากบาปแล้ว อิสระคืออะไร? อิสระเลย อิสระตลอดไป ไม่ใช่อิสระเข้าๆ ออกๆ ตรงกลาง ไม่ใช่ อิสระตลอดไป

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูใช่ไหม? เชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในเรื่องข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว ก็ให้เราเชื่อในผลของข่าวดีนั้นด้วย หมด ครบถ้วนเลย ข่าวดีนั้น เกิดประโยชน์อะไรให้กับชีวิตของเราบนโลกใบนี้บ้าง? เอาเลยๆ เอาทั้งหมด ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พระเยซูทำให้เรามีสิทธิ์ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอีกนะ พระเยซูไม่ต้องทำอีกแล้ว เพียงแต่เราไปรับสิทธิ์ของเรา เชื่อในสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ของเรา ที่พระเยซูทำให้ และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้วในพระคริสต์นั้น การมาเรียนรู้เรื่องนี้ ก็คืออย่างนี้ว่ามาหาผลประโยชน์ในนี้ มาหาประโยชน์ในนี้ มาหาสิทธิของเราในนี้

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น ถึงเรื่องนี้ ถึงเรื่องสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ว่าทำไมสิทธินี้เป็นอย่างไร? ท่านเห็นว่าให้เห็นลักษณะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นแบบโลกใบนี้ ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าอยู่ในพระคริสต์ทางวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเรา รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลยนะครับ

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งนะครับ หลายคนในที่นี่ก็เคยเดินทางโดยเครื่องบิน เดี๋ยวนี้เครื่องบินเขาบินกันแบบว่าเล่นเลยนะครับ แล้วเวลาจะเดินทางไปไหน? ผมก็จะบอกใครๆ ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าผมจะบินไปนิวซีแลนด์ เดือนหน้าจะบินไปฮ่องกง ถูกไหม? เราก็จะพูดกันติดปากว่าเดือนหน้าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ ถามว่าผมบินไปจริงๆ ไหม? ผมต้องไปหาปีกมาใส่เหมือนนกไหม?  เริ่มหัดบิน ผมจะไปฮ่องกงแล้ว ต้องทำไม? พูดพร้อมกัน ต้องทำไม? ไม่ต้อง ฟังให้ดีๆ นะ ไม่ต้อง ผมไม่ต้องใช่ไหม?  ไม่ต้องเตรียมตัวที่จะทำให้เหมือนนก แล้วจะบินนั้น แต่ผมกำลังบอกว่าผม … ด้วยความเชื่อ ผมกำลังจะบินไปฮ่องกง บินมาจากออสเตเรียแล้ว ตอนนี้จะบินไปฮ่องกง เป็นว่าเล่นเลย ผมจะบินไปที่ต่างๆ ด้วยวิธีการที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในไหน? อยู่ในเครื่องบินถูกไหม? ผมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แทนที่จะติดปีก ผมก็เดินทางไปที่สนามบิน แล้วเอาตัวเองเดินเข้าไปอยู่ที่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ให้พูดพร้อมกัน “ในเครื่องบิน”

ใช่ไหม? ผมเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แล้วผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ผมก็กำลังทำที่ผมบอกท่าน ผมกำลังบินไปฮ่องกง แค่ผมเอาตัวผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ผมก็กำลังบินอยู่ ขณะที่ผมนั่งอยู่ในเครื่องบินนั้น กฎทางด้านฟิสิกส์ กฎทางด้านเครื่องยนต์ กลศาสตร์ กลไกต่างๆ ก็จะทำให้เครื่องบินสามารถบินได้ อยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก หรือแรงโน้มถ่วงของโลก

ปกติธรรมชาติ บนโลกใบนี้ เขามี เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ กฎแรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่าGravity กฎแรงโน้มถ่วง หรือกฎดึงดูดของโลก คือดึงดูดวัตถุอะไรต่างๆ ลงมาบนโลกหมด เขาเรียกว่ากฎของการดึงดูด แต่ที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาใช้กฎหนึ่งพิเศษ ซึ่งชนะกฎของธรรมชาติในการดึงดูด คือกฎแห่งการยกขึ้น วิ่งเร็วๆ ทำปีกกินลม อะไรต่างๆ ว่าไปนะ ใครทำกฎนี้ก็ตาม ก็จะสามารถชนะกฎของธรรมชาติ มันก็ชนะกฎของการดึงดูด เครื่องบินก็เลยสามารถขึ้นไปบินอยู่บนอากาศ ทั้งๆ ที่มีแรงดึงดูดของโลกยังดึงดูดอยู่ไหม?  ยังอยู่ แต่มันแพ้แรงของกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ทำให้ผมสามารถบินขึ้น ลอยขึ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทรได้ พอเห็นภาพไหมครับว่าผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นอะไร?

กฎธรรมชาตินั้น มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะว่ามีแรงดึงดูดของโลกอยู่ วัตถุออกไปก็ตก แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เราจึงใช้คำว่าบินไปโน่น บินไปนี่ เพราะเครื่องบินใช้กฎ เครื่องบินคืออะไร? เครื่องบิน คือเครื่องที่ใช้กฎแห่งการยกขึ้น ซึ่งมีกำลังพัฒนาขึ้นมาเหนือกฎแห่งการดึงดูดของโลก เหนือธรรมชาติ

ในทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน  นี่กลับมาทางวิญญาณนะ ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย ถูกไหม? นี่คือกฎธรรมชาติ เกิดออกมาจากท้องแม่ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ไม่รู้ผู้หญิงผู้ชาย  ไม่รู้ว่าทำดีหรือไม่ดีไม่รู้ เดินออกไประเบียงชั้นหนึ่ง ตกมาไหม? ตก บำเพ็ญเพียรไปถึงอีก 50 ปี เดินมาที่เดียวกัน ตกไหม? ตก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มันอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด ถูกไหม? ถูก จนกว่าจะมีกฎอะไรบางอย่างที่มาช่วยเขา ทำให้เขาไม่ตกลงมา

          มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย เป็นธรรมชาติ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ในพระคริสต์นี้ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป เหมือนไหม? ท่านไปอยู่ในเครื่องบิน … เครื่องบินมีกฎที่อยู่เหนือกว่าแรงดึงดูด แรงดึงดูด … ดูดท่านไปอยู่พื้นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์นั้น กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ใช่ไหม? ทำให้ท่านมีชัยชนะอยู่เหนือ กฎของความบาปและความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว ถามว่าแล้วกฎความบาปและความตาย ยังมีอยู่อีกไหม? มีหรือไม่มี? ตอบพร้อมกัน มีหรือไม่มี? มีอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องเครื่องบิน เราออกไป เราก็ตก ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด และมนุษย์อยู่ในความบาป ไม่มีทางที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่งเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น เห็นภาพหรือยัง?  กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่เราอยู่นี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์” หรือ “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” จำเพลงนี้ได้ไหม?

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู

                   ได้ทำให้เรา พ้นจากบาป และความตาย … เอเมน

 

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

ถ้าเราเปรียบเมื่อตะกี้นี้ สมมติแต่งสดเลย “เพราะว่ากฎแห่งการยกขึ้น ในเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ ได้ทำให้เราบินไปโน่นและไปนี่ ลอยอยู่บนอากาศได้”

เหมือนกันไหม? เพี้ยน ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นผมร้องเพลงแบบนี้นะ สุดๆ พยายามอธิบายสุดๆ เลย ร้องเพี้ยนก็เอา

ถามว่าเวลาท่านจะบินไปไหนมาไหน? ท่านก็ต้องทำอะไร? คือหาวิธีใช่ไหม? คือไปซื้อตั๋วเครื่องบินใช่ไหม? หาเงินไปซื้อตั๋วเครื่องบินอย่างนี้ ถูกหรือเปล่า? แต่ท่านไม่เคยพยายามอย่างที่ผมบอก ไม่เคยพยายาม ใครบอกจะไปฮ่องกง ทำอย่างไร? ออกกำลังกายใหญ่เลย หรือไม่มีใครเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วบอกว่า.-

“เหนื่อยมากเลยวันนี้ บินเมื่อยแขนมากเลย”

มีใครไหมที่บินไปต่างประเทศ แล้วบอกว่า.-

“เมื่อยแขนมากเลย ทั้งวันทั้งคืนเลย”

มีใครทำอย่างนั้นไหม? ไม่มีเห็นไหม? เพราะว่าเขารู้ เขาเชื่อว่ากฎนี้มันชนะ โดยออโตเมติก ถูกไหมครับ? เพียงแค่อะไร? เพียงแค่เอาตัวไปนั่งในเครื่องบิน แล้วก็เชื่อวางใจในกฎที่เครื่องบินกระทำให้ และวางใจในกัปตันของเครื่องบิน คือนักบิน ว่าเขาสามารถจะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราทำแค่นี้เอง ถูกไหม?  เราทำแค่นี้เอง เราวางใจ วางใจในกฎของการยกขึ้น และวางใจในคนขับเครื่องบิน แค่นั้นเอง เช่นเดียวกัน เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ พระสัญญาของพระองค์บอกว่า.-

“ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ท่านได้เป็นขึ้นใหม่แล้วกับพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงที่ไม้กางเขนกับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว”

นี่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเองนะ เอเมน ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เหมือนที่ตะกี้นี้ขึ้นเครื่องบิน ไม่ต้องพยายามกางแขนบินๆ ท่านเชื่อในพระเยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูทำให้กับท่าน พระเยซูทำให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่เชื่อและวางใจว่าพระองค์จะทรงนำพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสวรรค์สถาน ชีวิตนิรันดร์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ได้อย่างแน่นอน เหมือนที่เรานั่งบนเครื่องบินนั่นแหละ

          คริสเตียนหลายคนที่ยังไม่สามารถพบกับสันติสุขได้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังพยายามที่จะทำตัวเอง ยังพยายามที่จะทำด้วยตัวเองอีก กลายเป็นว่า.-

          “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำดีมากขึ้นอีก”

          ฟังนะครับ “ฉันอยู่ในพระคริสต์  ฉันต้องทำทุกอย่างให้พระเจ้ารัก ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องรักษาบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงฟ้องผิดอยู่เสมอ เมื่อทำบาป”

          สมัยก่อนฟ้องผิดน้อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ อยู่ในพระคริสต์ พอทำบาป ยิ่งกลัวใหญ่เลย ใช่หรือไม่ใช่

 

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ วันอาทิตย์ต้องมาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ฉันรู้สึกผิดบาปมากเลย”

ไม่ใช่พูด เพื่อให้ท่านไม่มาโบสถ์นะ ไม่ใช่นะ อย่าถือโอกาส เห็นไหม? ถูกไหม?

“ในพระคริสต์ ฉันขึ้นแท็กซี่ วันนั้นเหนื่อยจะตาย แต่ฉันก็ต้องพยายามฝืนตัวเอง ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนขับแท็กซี่ เพราะว่าเขาสอนฉันว่าฉันต้องประกาศ ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา”

ใช่หรือไม่ใช่? แล้วมันเป็นอย่างไร?

“ฉันเชื่อในพระคริสต์”

แล้วอย่างไรต่อไป  “ฉันต้องทำโน่น ทำนี่ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าไม่รักฉัน … ถ้าฉันไม่ถวายสิบลด พระเจ้ารักฉันไหม? ไม่รัก ฉันจะไม่ได้รับพระพร”

คือพระเจ้าไม่รัก ถูกไหม?  ได้ยินคุ้นหูเลย  ถ้าท่านไม่ถวายสิบลด ท่านจะไม่ได้รับพระพร ใครบอก พระพรมันได้ไปแล้ว หมดแล้ว  จะมาเอาพระพรอะไรอีกล่ะ ตอนนี้อยู่ที่เราจะรู้ความจริงหรือไม่? เราจะเป็นอิสรภาพหรือไม่เท่านั้นเอง ให้ท่านถวาย ก็เพียงแต่ทำให้ท่านลดกิเลสตัณหาลง ทำให้ท่านไม่โลภ ทำให้ท่านล่ะความคิดจดจ่อกับโลกนี้ มาจดจ่อที่พระเจ้า ในสวรรค์สถานที่เบื้องขวาที่ท่านนั่งอยู่ ท่านจะได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองตรงนั้นเลย แล้วมาจากไหนล่ะ? ไม่รู้ เสียงแว่วมา แถวๆ ไหนไม่รู้ มันเข้าหูเรา เหมือนเมื่อตะกี้นี้บอก เธอยังไม่หมดบาปหรอก เธออยู่ในคุกต่อไป นายทวารมาเปิดประตู เราก็ไม่ยอมออกไป เพราะเราได้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งมาว่าเรายังไม่หมดเวรหมดกรรมนั้น เห็นไหมชัดไหม? ชีวิตอย่างนี้ มันก็เลยเหนื่อยเห็นไหม? มันไม่ได้อิสรภาพตามที่พระเยซูบอกจริงๆ

เพราะอะไร? เพราะพระเยซูพูดไม่จริงหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราถูกหลอกไง หลอกเพราะความเชื่อเก่าๆ หมายถึงวิถีทาง ชีวิตของเราตั้งแต่เด็กมา หลอกเพราะอะไร? เพราะสิ่งรอบข้าง หลอกเพราะอะไร? เพราะเราไม่สนใจในการที่จะไปเรียนรู้ว่าพระเยซูพูดอะไร? ในพระคริสต์เราเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจก็ตาม เราก็ต้องเข้าไปศึกษา แล้วเข้าไปเรียนรู้ และต้องเชื่อตามนั้นให้ได้ แล้วก็ฝึกฝน มันก็จะไม่เหนื่อยและได้พบกับสันติสุข ได้พบกับความสงบสุข อย่างที่พระเยซูคริสต์พูดอย่างแท้จริงในชีวิตนี้

อย่างตัวอย่างเมื่อตะกี้ที่เปรียบเทียบการอยู่ในเครื่องบินกับการอยู่ในพระคริสต์ มีอะไรที่แตกต่างกันพอจะนึกออกไหมครับ มีอะไรแตกต่างกัน นึกนะครับ

          [1.] คือการที่ท่านจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบินได้ ท่านต้องทำอะไรหลายอย่างมากเลย ตั้งแต่ทำตั๋วพาสปอร์ต ซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า ไปบางประเทศนะครับ ต้องจัดกระเป๋า แต่การได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เชื่อลูกเดียว ถูกไหม? นี่แหละเขาเรียกว่า.-

                   “พระคุณพระเจ้า นั่นแสนชื่นใจ         ช่วยได้ คนชั่วอย่างฉัน”

          รู้ไหมว่าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Amazing Grace มันยิ่งกว่าอัศจรรย์มากมายนักเลย ไม่ใช่พระคุณเฉยๆ พระคุณ อัศจรรย์มากมายหลายประการที่ช่วยฉันรอดพ้นจากความบาปเหล่านั้น

          [2.] คืออะไร? คือแม้ท่านจะได้เข้าไปนั่งในเครื่องบินแล้ว เชื่อวางใจในนักบินแล้ว แต่โอกาสที่ท่านจะไปถึงปลายทางที่ท่านตั้งใจไว้ ได้ 100% ไหม? ไม่ร้อย ท่านจะมีโอกาสไปไม่ถึงปลายทาง มีไหม?  แม้ว่าจะมีน้อยก็ตาม มี เครื่องบินตกไง มีใช่ไหม? มี แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม แต่สำหรับการอยู่ในพระคริสต์ รับรอง 100% ว่าท่านได้ไปถึงจุดปลายทางตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน เอเมน หลับๆ ตื่นๆ … ตื่นๆ หลับๆ มันก็ถึง ถูกไหม?

 

เวลาผมไปต่างประเทศ ผมชอบมากที่สุด คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือก่อนขึ้นเครื่องบิน เข้าห้องน้ำ ทำธุระอะไรเสร็จหมดทุกอย่าง ให้เรียบร้อยเลย แล้วอย่างไรรู้ไหม? พอขึ้นเครื่อง ถึงเวลาอาหารไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่กินอาหารแล้ว นอน เพราะมันเป็นความสบายที่สุด อาหาร คือถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย เพราะกินมันผะอืดผะอม เวลาก็เปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน แต่ถ้าบางคนโอเค ก็แล้วแต่นะ แต่สำหรับผม … ผมเตรียมตัว ผมอยากนอนที่สุด เพราะรู้สึกสดชื่นเมื่อได้หลับและตื่นขึ้นมา เมื่อถึงที่แล้ว ถึงที่ในที่นี่ หมายถึงถึงที่หมายนะครับ ไม่ใช่ถึงที่ แบบภาษาไทยนะ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ  ตื่นมาถึงที่แล้ว หมายถึงถึงที่หมาย สมมติไปฮ่องกง ตื่นมา เครื่องบินก็จะลงแล้ว สบาย ไม่ต้องไปทรมานอยู่บนเครื่อง ถูกไหม? หลับ อ้าว! ถึงแล้วเหรอ สดชื่น แข็งแรง

แต่มีบางคน ทำไมรู้ไหม? ขึ้นไปถึงเก็บโน่นเก็บนี่ ดูทีวี ดูไอโฟน ฯลฯ เหนื่อย นี่บางคน เขาอาจจะชอบอย่างนั้น ไม่ได้นอน หันไปโน่น หันไปนี่ วุ่นวายไปหมด นั่นบางคนนะ นี่บางคนอาจจะเป็นอย่างนี้นะ แต่จริงๆ คงไม่มีหรอก คืออาจจะเดินไปถึงถามแอร์ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว เมื่อไรจะถึง เครียดไหม? สมมติมันบิน 8 ชั่วโมง

“ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเนี้ย”

พอเสร็จ “อ้อ! เหลืออีก 4 ชั่วโมง”

อีกชั่วโมงหนึ่งผ่านไป “ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ผมมองไปหน้าต่างไม่เห็นอะไรเลย เมื่อไรจะถึง”

นี่เปรียบเทียบกับชีวิตของเราบนโลกใบนี้ มันจะอย่างนี้ไหม? เราหงุดหงิด อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ดั่งใจ อันนี้ไม่ได้ดั่งใจ เหมือนไหม? เหมือนคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน วิ่งไปเคาะห้องนักบิน

“บินดีๆ หน่อยนะ ระวังหน่อย ผมคาดว่ามันคงจะมีตกร่องหลุมอากาศ พายุมาหรือเปล่า เพราะผมนั่ง แล้วมันสะเทือน มันแปลกๆ ผมเลยมาดู”

มีไหม? ไม่น่าจะมีเนอะ แต่ชีวิตจริงๆ ในการเป็นคริสเตียน มันมีถูกไหม? เราไม่เชื่อในกัปตันของเรา กัปตันกำลังพาเราไป เราอยากได้อย่างนี้ ก็พอกันกับอะไร? ก็พอกันกับว่าเราไปบอกนักบิน

“นี่ กัปตันๆ บินช้าหน่อยสิ เดี๋ยวมันไม่ปลอดภัย ผมเห็น ให้รัดเข็มขัด แสดงว่ามีพายุ … พายุมาต้องเบาหน่อย อย่าเร็วไป”

ถูกไหม?  ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติสุขเลย  แล้วก็นั่งบนเครื่องบิน แล้วก็เหงื่อแตกไป กลัว กลัวโน่นกลัวนี่

“สะเทือนอีกแล้ว ทำไมมันมืดล่ะ ไม่เห็นสว่างสักที แล้วเกิดน้ำมันหมด ทำอย่างไร? แล้วเกิดเครื่องบิน เครื่องมันเสีย ดับเครื่องหนึ่งทำอย่างไร? เกิดมันจะลง  ล้อมันหายไปอันหนึ่ง ทำอย่างไร?”

มันคิดไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุด เครื่องบินก็จอดที่ฮ่องกงอย่างเรียบร้อยหมดเลย แล้วที่เครียดมาทั้งหมดนั้น ฟรีหมดเลย ให้ฟรี ได้ฟรีไปเลย คือไม่ได้พักผ่อนเลย คริสเตียนก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

ในที่สุด ก็ไปสวรรค์ แต่ก่อนไปสวรรค์ อยู่เหมือนนรกเลย วุ่นวาย อยู่ในพระคริสต์วุ่นวายไปหมดเลย เครียดอันโน่น เครียดอันนี้  ก็พระคริสต์บอกแล้วว่าอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุด เราเชื่อไหมพระเจ้าทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ? คืออย่างน้อยที่สุด ไม่ได้เชื่ออะไรมากมายเลยนะ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เมื่อมาเชื่อพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ต้องรู้และต้องเชื่อว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ที่เราร้องว่า.-

“พระเจ้ายิ่งใหญ่”

          ถูกไหม? ตัวนี้เอามาใช้สิ เมื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ก็มอบไว้ที่พระองค์เลย พระองค์ทรงควบคุมทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้แน่ๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ แต่มันต้องดีแน่นอน เพราะพระองค์สัญญาไว้ว่ามันดี ถึงที่หมายแน่ เอเมน ยังไงถึงฮ่องกงแน่ ถึงที่หมายแน่ๆ ฝากไว้เลย พระองค์นำพาท่าน ต่อให้มีพายุมา ทำท่าเหมือนจะหล่นตกพื้น เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่ก็แล้วกัน อย่างนี้มันก็มีสันติสุข ถูกไหม?

 

เราต้องเอาชีวิตเราฝากและวางไว้ที่พระเจ้า พระเยซูจึงสอนเรา ให้เราอธิษฐานอย่างนี้

“พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์                        พระนามเป็นที่สรรเสริญ

ขอสวรรค์ลงมา                                ให้น้ำพระทัยสำเร็จ บนโลกนี้

เหมือนกับดั่งอยู่ในสวรรค์”

ใช่ไหม? แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมหมดทุกอย่าง

“ขอโปรดประทาน                           อาหารประจำวัน

ขออภัยบาปของข้า                          เหมือนข้า อภัยให้ผู้อื่น

โปรดอย่านำข้า                                 เข้าในการทดลอง

แต่โปรดช่วยข้าจากสิ่งชั่วร้าย”

แล้วต่อไป ร้องต่อไปว่าอย่างไร? ที่อธิษฐานมาทั้งหมด เพราะว่าอะไร? เพราะว่า.-

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์”

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์ อาเมน”

คร่อก! … หลับสบาย

          พระเยซู พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลับสบาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ นึกภาพทั้งหมด ให้นึกว่าเรากำลังอยู่บนเครื่องบินแล้วกัน ลำนี้  ขอบคุณพระเจ้า ท่านขึ้นถูกลำแล้ว ลำนี้ไม่ได้ซี่ซั้วลงที่ทะเลที่ไหน? ลำนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แน่นอน เพราะว่ากัปตันมีนามว่าเยซูคริสต์ ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องจ่ายตังค์ ทุกอย่างฟรีหมด ใช้ความเชื่อ เข้ามาเลย นี่เขาเรียกว่าข่าวดีไง อย่างนี้ไม่ว่าข่าวดีเหรอ ไม่ต้องจ่ายสักอย่างเลย เข้ามา แล้วทำไม? ทำตามบทเพลงนั่นแหละ แล้วก็คร่อกๆ หลับไปเลย เดี๋ยวพอถึงที่หมาย ทูตสวรรค์จะมาเรียกเอง

 

“ถึงแล้วครับ”

“ถึงไหน?”

“ในสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์สถานกับพระองค์”

เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ กำลังหลับ มันจะตกหลุม ตกร่องบ้าง เครื่องบินนะ ตกร่องอากาศบ้าง มันจะชะเวิบชะวาบบ้าง มันจะสะเทือนบ้าง ห้องน้ำจะเล็กๆ ไม่เหมือนอยู่ข้างล่างบ้าง แปรงฟันยากหน่อยหนึ่ง ห้องน้ำนิดเดียว หรืออะไรต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน อดทนหน่อย แป๊บเดียวเอง ก็ใช้มันให้น้อยหน่อยสิ หลับซะส่วนใหญ่สิ เดี๋ยวมันก็ถึง

นี่คือเอามาเปรียบเทียบให้ท่านดูว่าเราควรจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร? ทุกอย่างเลยนะ รวมหมดเลย ทุกเรื่องในโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระองค์หมด ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ลูกเต้า ไม่ว่าจะเรื่องปัญหา เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเรื่องของการงานที่ทำอยู่ มันบีบรัดเหลือเกิน อะไรแล้วแต่ ทุกปัญหาที่อยู่บนโลกใบนี้ วางไว้ที่ข้างๆ ซะ รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มี มีอยู่

“แต่ฉันจะนอน เข้าใจไหม? ฉันจะหลับแล้ว”

แล้ววิธีกินยานอนหลับ คืออะไร? คือเพลงเมื่อตะกี้นี้ ร้องเข้าไปสิ แม้ว่าจะร้องเพี้ยนก็ร้องได้ อธิษฐานเข้าไปสิ

“พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

คือร้องเรียกทั้งหมดนี้เลยนะ พระบิดา ก็คือเราเป็นลูกแล้ว พูดบ่อยๆ เรารู้ เรามั่นใจ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

“ขอให้โลกนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

เห็นไหม? ไม่ได้เป็นไปตามใจเราเลย  หมายถึงเป็นไปตามพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามเรา ขอให้เป็นไปตามพระองค์

“ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน”

แค่นั้น ขอทรงโปรดประทานอาหาร อย่าให้มันอดยาก นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว

“ช่วยเราที่จะดำเนินชีวิต อภัยให้กับคนอื่นได้ และขอช่วย โปรดอย่าพาเราเข้าไปในการทดลอง”

ประเภทหวาดเสียว หลุมอากาศเยอะๆ ไม่เอาๆ แต่ก็ขอเป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ ถ้ามันต้องเอา ก็หยวนน่า แล้วแต่พระองค์ ขอทรงประทานกำลังให้ลูกทนได้ก็แล้วกัน เพราะว่าทั้งหมดนี้ เป็นอะไร? เพราะว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง ฤทธิ์อำนาจก็เป็นของพระองค์ ฤทธิ์เดชทุกอย่างก็เป็นของพระองค์ เพราะฉะนั้นลูกหลับแล้ว จบ เอเมน

 

************************