คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015 เรื่อง “พระคุณของแม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  สิงหาคม  2015

เรื่อง “พระคุณของแม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ก็เป็นพิเศษ เป็นคำบรรยายวันแม่ ถ้าถามพวกเราทุกคนว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักของใคร? ตอบสิ?  ความรักของใครยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลเลย … ต้องเป็นความรักของพระเจ้า  ถูกไหมครับ? เป็นความรักของพระเจ้า  … ความรักของพระเจ้า เป็นความรักของผู้ที่ให้กำเนิด เป็นความรักของผู้ที่เป็นผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิด เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ หรือให้กำเนิดมนุษย์ พระองค์จึงทรงรักมนุษย์ทุกคน

และที่บอกว่าความรักของพระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุดนั้น ก็เพราะความรักของพระเจ้าเป็นความรักแบบที่ไม่มีเงื่อนไข พระคัมภีร์บอกไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขาด้วยตัวพระองค์เอง จะทำตัวไม่น่ารักอย่างไรก็ตาม จะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม จะผิดบาปอย่างไรก็ตาม จะกบฏต่อพระองค์อย่างไรก็ตาม จะว่าพระองค์อย่างไรก็ตาม จะไม่เชื่อฟังอย่างไรก็ตาม แต่ความรักของพระองค์ คือพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลายนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิด ที่เราเรียกความรักในลักษณะอย่างนี้ว่าความรักแบบอากาเป้

พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “ความรักแบบอากาเป้” ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มีความรักแบบนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถ้าไม่นับความรักของพระเจ้านะ สมมติว่าตอนนี้เราไม่นับความรักของพระเจ้า ท่านคิดว่าความรักของใครใกล้เคียงกับความรักของพระเจ้ามากที่สุด? ตอบเลยครับ? ความรักของใครใกล้เคียงกับความรักแบบอากาเป้มากที่สุด เท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้เลย ใครครับ? แม่ … แม้กระทั่งพ่อที่นั่งอยู่ที่นี่ยังบอกแม่เลย คิดดูแล้วกัน ก็คือความรักของแม่ เพราะว่าความรักของแม่เป็นความรักเดียวกันกับพระเจ้า  คือเป็นความรักของผู้เดียวในมหาจักรวาล คือเป็นความรักของผู้ให้กำเนิด ผู้สร้างเหมือนกัน

ความรักของแม่ หรือความรักของผู้ให้กำเนิด เป็นความรักที่มีเยื่อใย สายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง ตัดกันไม่ขาด สายเลือดจริงๆ ตัดกันไม่ขาด เป็นความรักในลักษณะเดียวกับความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ตัดได้อย่างเดียว คือสายสะดือ แต่ความรักตัดกันไม่ได้ เยื่อใยตัดกันไม่ได้ ส่งให้แล้ว ผ่านทางครรภ์นั้น

และตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรู้จักเรา และทรงรักเราตั้งแต่ก่อนเกิด … พระคัมภีร์บอกอย่างนั้นนะครับ ถามว่าพระเจ้าแล้ว มีใครไหมครับที่รักเราตั้งแต่ก่อนเกิด คิดให้ดีๆ นอกจากพระเจ้ารักเราก่อนเกิด มีใครไหมที่รักเราก่อนเกิด ตอบ … มี … ต้องตอบว่าแม่และพ่อ แต่จริงๆ แม่สำคัญกว่า เพราะแม่ต้องรู้ตัวเองว่าเราต้องตั้งท้องเขา

ถามว่าตอนที่รู้ว่าจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง?  ยัง ถูกไหม?  รู้ว่ากำลังจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง? ยังไม่ได้ตั้ง แต่ใจไปแล้ว  รักเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่า.-

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย  ใครก็ตามที่มาอยู่ในท้องนี้ ฉันรักเขาเป็นลูก”

นี่แหละเขาเรียกว่าก่อนเกิดไง? ใช่ไหม?  9 เดือนที่แบกอยู่ในท้อง ไม่ใช่เรื่องแบบหมูๆ นะ พูดเหมือนกับผมเคยแบก ไม่ใช่ง่ายๆ เลย  ถ้าไม่รู้ ให้เราลองแบกลูกแตงโม ลูกหนึ่งได้ไหม?  ต้องเกินเนอะ ลูกใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง ให้แบกสักวันหนึ่ง ลองดู ใครก็ตาม คนที่เป็นพ่อ ลองแบกดู หรือใครที่เป็นลูก ลองแบกดู วันเดียวพอ นี่ 9 เดือนคูณไปกี่วัน 9×30 = 270 วัน แบกท้องไว้

คนเป็นแม่ต้องมีความอดทนขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ต้องลำบากขนาดไหนที่ต้องแบก ไม่ใช่ลูกแตงโม แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ความหนักประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ความหนักอย่างเดียว แต่มีสื่อ มีอะไรต่างๆ ออกมา ทั้งแพ้ ทั้งอะไรต่างๆ วุ่นวายหมด ต้องระมัดระวังตัว เพราะกลัวว่าลูกจะพลอยได้รับผลเสียไปด้วย ถ้าเราทำอะไร แต่แม่ก็ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกที่อยู่ในท้อง เพราะตั้งใจแล้ว เพราะรักไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะท้อง ถูกไหม? เพราะความรักลูก ที่มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด เหมือนที่พระเจ้ารักเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก นึกออกใช่ไหม? เรา … แม่ก็รักเขาก่อนที่จะสร้างบ้านอีก เริ่มจากบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คือในครรภ์ของเรานั่นแหละ บ้านเริ่มต้นนั่นแหละ จนกระทั่งคลอดออกมา หาเปล หาอะไรต่างๆ เราเตรียมไว้แล้ว บางคนไปดูห้างสรรพสินค้า ซื้อของมายังไม่ทันได้ท้องเลย  นึกออกใช่ไหม? ยังไม่ทันท้องเลย ซื้อโน่นซื้อนี่ ปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นผู้ชาย ซื้อของเป็นผู้หญิงหมดเลย เคยได้ยินใช่ไหม? อะไรประมาณนั้น ก็เอาของผู้หญิงไปเปลี่ยน เป็นผู้ชายมา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนเด็กนะ ไปเปลี่ยนของ

นี่แหละเป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า และเหมือนจริงๆ เลย และมีเพศเดียวที่เป็นอย่างนี้ เราพูดกันอยู่เสมอว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าไม่รัก ถูกไหมครับ? พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าบอกไม่รัก เช่นเดียวกัน ไม่มีพ่อแม่คนไหนเลยที่ไม่รักลูก 100% ฟังวันนี้จบ ท่านจะรู้เลยว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น หลายคนอาจจะคิดแย้งในนี้ ตอนนี้ หรือเคยได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรบางอย่าง แต่ไม่มี อิสยาห์ 49:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

อิสยาห์ 49:15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ”

 

สรุปแล้ว คือไม่ได้นั่นเอง นี่พระเจ้าตรัสนะ

พระเจ้าบอกว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ?”

พูดสรุป ก็คือไม่มีทางใช่ไหม?  พระเจ้ากำลังพูดกับเราอย่างนี้ “ไม่มีทาง”

แต่เพราะคนเป็นแม่ยังเป็นมนุษย์ เป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ

พระเจ้าบอกความจริงให้เรา “ไม่มีทางหรอก แม่ไม่มีทาง เขาจะไม่รักลูกของเขาหรอก ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย”

แต่เป็นเพราะแม่ของเรา เป็นแม่ที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นบาป และตราบใดที่ยังมีสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนัง ก็ยังคงอยู่ในความบาป ใช้ชีวิตอยู่กับความบาป ความบาป ทำให้มนุษย์อ่อนแอ จึงไม่สามารถสำแดงความรัก หรือกระทำได้ตามอย่างที่ตัวเองอยากได้ คือรักเขาและอยากจะทำอย่างนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้ารักมนุษย์ และพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง เพราะพระองค์ไม่บาป เข้าใจใช่ไหมครับ? เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? เพราะพระเจ้าไม่มีบาป ไม่มีความอิจฉาริษยา ถูกไหมครับ พระเจ้าไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ ความรักของพระองค์จึงมั่นคง ไม่มีเปลี่ยนแปรปรวน ไม่มี และสำแดงความรักมั่นคงนั้น ให้กับมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมดเลย ยุติธรรมเลย พอเห็นภาพไหมครับ? เทียบพระเจ้ากับมนุษย์ที่เป็นแม่ จริงๆ มันเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่มนุษย์อ่อนแออยู่ในความบาป แม่ที่เป็นมนุษย์ บางครั้งก็อาจมีบ้าง หรือไม่ต้องบางครั้ง หลายครั้งมีบ้าง ก็คือที่จะไม่สามารถที่จะรักลูกของตัวเองได้ ตามที่ตัวเองอยากจะรักอย่างนั้น ข้างในมันอย่างหนึ่ง แต่มันทำไม่ได้ ก็เพราะอะไร? ก็เพราะแม่อ่อนแอเหลือเกิน เพราะแม่เป็นมนุษย์ แม่เต็มไปด้วยความบาป  อ่อนแอ มันทำไม่ได้ จริงหรือไม่จริง? ดังๆ เลย จริงหรือไม่จริง? แม่ต้องพูดเลยว่าจริง

เราทำไม่ได้ เราอยากจะทำให้ดีกว่านี้ แต่เราทำได้แค่นี้เอง  เพราะความบาปที่อยู่ในตัวแม่ หรืออยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์อ่อนแอ ทำให้แม่อ่อนแอ เช่นพออารมณ์เสียขึ้นมา เกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ความรักก็เริ่มหวั่นไหว ถูกหรือไม่ถูก? ไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ ตามสถานการณ์รอบข้าง ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักให้มันมั่นคง เหมือนที่พระเจ้ารักได้ ทั้งๆ ที่อยากจะทำ ไม่สามารถรักลูกตัวเอง เหมือนที่พระเจ้ารักมนุษย์ได้

นี่คือสัจจธรรมทำความเป็นจริง พระคัมภีร์พาเราให้เห็นถึงความเป็นจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจในการดำเนินชีวิต มันทำไม? เราถึงตอบปัญหาได้ ในขณะที่สังคมตอบปัญหาไม่ได้ ทำไมแม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย เขาไม่รักหรือไง? รัก ตอบกันไม่ถูก ตอบไม่รู้จะตอบอย่างไร?  แต่ในพระคัมภีร์มีบอกเราว่าอย่างไร?

สรุปแค่ตอนนี้นะ แม่รักลูกทุกคน ใช่หรือไม่ใช่? ถูกต้อง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แม่รักลูกทุกคน ไม่มีทางลืมลูกของตัวเอง ไม่มีทางเกลียดลูกของตัวเอง ถ้าถามจริงๆ ถามแม่จริงๆ ว่ารักลูกของตัวเองหรือเปล่า? ขณะที่ทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ดีต่อลูก เขารักไหม? รัก เพราะมันเป็นอะไร? ทำไมถึงรัก เพราะอะไร?  เพราะในธรรมชาติที่พระเจ้าใส่ไว้ไง พระเจ้าใส่ไว้ในสิ่งต่างๆ ให้กำเนิด จะรักสิ่งที่เขาให้กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ ซึ่งวิญญาณมาจากพระเจ้า  เป็นพระฉายพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เหมือนพระองค์ เขาต้องรักผู้ที่ให้กำเนิดแน่นอน ตามธรรมชาติ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ แต่พอเกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิต มันไม่สามารถเอาชนะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ชนะความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถชนะอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรียกว่าเสียสละได้ เพราะอะไร เพราะมันอ่อนแอ มันสู้ไม่ได้ นี่คือความเป็นจริง อยากจะรักลูกให้มากกว่านี้ มันทำไม่ได้ ไม่อยากจะเห็นแก่ตัวเลย แต่มันก็เห็นแก่ตัว เพราะอะไร? เพราะฮอร์โมนในร่างกาย เพราะความกลัว พอความกลัวมา ก็หมดแล้วนะ

แล้วความกลัวมาจากไหน? ความกลัว ก็มาจากเชื้อบาป ที่มันติดอยู่กับตัวของมนุษย์ทุกคน ผ่านทางอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงไปในความบาป และได้รับคำสาปแช่งมา คำสาปแช่งนั้น ก็ตกลงมาอยู่ที่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคน จึงเต็มไปด้วยความบาป และความบาปทำมาให้อีกอันหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือความกลัว  …  ความกลัวทำให้เราเห็นแก่ตัว  …  ความกลัวทำให้เราไม่เสียสละให้ใครแล้ว เพราะความกลัว เราจึงสามารถทำชั่วได้เยอะแยะมากมาย หมายถึงเยอะแยะก่ายกองไปหมด และความกลัวนี่แหละ ทำให้เราไม่สามารถรักลูกเราได้ เหมือนที่เราอยากจะทำ ถูกไหม?

นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ทุกคน ที่เป็นลูกทั้งหลายควรจะได้รู้ ที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้  ลูกทั้งหลายควรได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังวันนี้ว่าแม่ของเรานั้น ที่เราคิดว่าทำไมเขาทำอย่างนี้? เขาไม่รักเราหรือ? คำตอบในวันนี้ คือเปล่าเลย เขายังรักเราอยู่ แต่เราต้องเข้าใจว่าเขา ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความบาป เพราะอ่อนแอเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนจึงควรที่จะเข้าใจ และสมควรอย่างยิ่งที่จะรักพ่อแม่ของตัวเอง นี่เติมให้พ่ออีกคนหนึ่ง วันนี้จริงๆ มันต้องมาคู่กันนั่นแหละ แต่อย่างที่บอกนะ ตามหลักธรรมชาติ แม่มีความสำคัญมากกว่า ลึกซึ้งกว่า เด็กและลูกๆ ทุกคนควรจะรักพ่อและแม่ของตัวเอง ผู้ให้กำเนิดเราเองนั่นแหละ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีข้อแม้เลย ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้นะ ไม่ว่าพ่อแม่จะปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจเถิดว่าพ่อแม่รักเราอย่างแน่นอน ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เอเมน

ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราสามารถผ่านเหล่านี้ไปได้ว่า.-

“ยังงั้นๆ ฉันก็ตัดสินใจ ตั้งใจแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อแม่รักเรา ฉันเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าสอนมา พระเจ้าบอกอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ให้ฟังว่าพ่อแม่เราอยู่ในสถานะอะไร? แม่เราอยู่ในสถานะอะไร? รักเราขนาดไหน? ไม่ว่าฉันจะมองไป แล้วแม่ทำอะไรก็ตาม อย่างนี้ก็ตาม  ฉันรู้สึกไม่ชอบ หรือไม่รู้สึก สังคมบอกว่าไม่ถูก ฉันก็จะยังรักแม่ของฉันอยู่ เพราะเขารักฉัน … ฉันรู้ว่าเขารักฉัน เขาไม่ได้เกลียดฉันเลย”

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลยที่จะไม่รักแม่ของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์นะ และจงจำไว้เลยว่าแม่รักเราที่สุดแล้ว เกินกว่านี้ทำไม่ได้แล้ว แม่ทุกคนก็สุด แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ไม่ใช่สุดของคนนี้ จะมาเทียบกับคนนี้ ไม่ใช่ สุดก็คือสุด … สุดของแต่ละคน ก็คือสุด … สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ อีกคนหนึ่งสุด ก็แค่นี้ อย่าเอาแม่คนนี้ มาเปรียบเทียบกับแม่คนนี้ มันทำไม่ได้ ของใคร ก็ของเขา เพราะเขาทำได้แค่นี้ มันสุดแล้ว ถามว่ารักไหม? มันรัก และมันสุดแล้ว  ทำดีกว่านี้ได้ไหม? ไม่ได้แล้ว เพราะอะไร? เพราะมันอ่อนแอ มันได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาให้เรา คือให้ดีที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจถึงชีวิตของเขาว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราอาจจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น

แต่ถ้าฟังอย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าสอนเราว่าอย่างไร? ว่าแม่รักเราอย่างไร?  เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และสามารถที่จะแม่ของเราได้ว่าแม่รักเราที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีแม่คนไหนในโลกเลย ที่ไม่รักลูกของตนเอง นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  เราเชื่อตามนี้ แล้วมันเป็นไปตามนี้จริงๆ

ยกตัวอย่างให้ฟังนะ ผมเคยทำเพลง และร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่ง นานมาแล้ว เกือบจะ 40 ปีแล้ว เป็นเพลงที่เกี่ยวกับแม่นี่แหละ เป็นเพลงที่เหมือนกับสอนอย่างนี้ ให้รู้ว่าแม่รักเรามากขนาดไหน? แม้ว่าสังคมจะไม่เข้าใจ และว่าแม่ว่าไม่ดี ผมบอกให้ฟังเลยนะ ในโลกนี้ ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแม่คนไหนที่ทำไม่ถูก เข้าใจไหมครับ? แม่ทำผิดเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ทำผิด เพราะเขาเกลียดลูกของเขา มันอาจจะมีปัญหา มันอาจจะมีความจำเป็น มันอาจจะมีอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง เป็นไปตามความบกพร่อง หรือความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ที่มันเกิดจากคำสาปแช่งมา ตั้งแต่สมัยอาดัมและอีฟ โลกใบนี้ เต็มไปด้วยสกปรก โสโครก แย่ไปหมดแล้ว เราก็บาป เขาก็บาป สังคมรวมบาปทั้งหมดเลย มันกระทบกระทั่งกันทั้งหมด ยุ่งไปหมดเลย วุ่นวายอีลุงตุงนังไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น การกระทำที่ไม่ถูกต้องอะไรต่างๆ บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ทำให้เขาคนนั้น ต้องทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าไม่ดี แต่เขาทำสิ่งเหล่านี้ มิได้ เขาไม่รักลูกของเขา บทเพลงนี้ ชื่อเพลง ผมใช้ชื่อเพลงว่า  “แม่ใจร้าย” เคยได้ยินไหมครับ?  เนื้อเพลงว่าอย่างนี้ว่า.-

สาวเจ้าเพิ่งแต่งงาน หนีความกันดาร

                        ไปทำงานแดนไกล

                        พอสามเดือน จึงรู้ว่าท้อง

                        แต่งานห้ามท้อง เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        จึงตัดสินใจ ลาไปกลับบ้าน

สาวเพิ่งแต่งงาน มาจากต่างจังหวัด หนีความกันดาร ต่างจังหวัด เกิดความกันดาร ไม่มีเงินจะกินข้าว หน้าแล้งอะไรอย่างนี้  ฤดูแล้งเข้า  ทำมาหากินไม่ได้ ทำเกษตรก็ไม่ได้  จึงต้องมาทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ก็เข้ามาทำงานที่โรงงาน

สมัยก่อนนี้ โรงงานดังนะ ถือว่าถ้าจะทำงานโรงงาน ต้องเข้ามากรุงเทพ  เขาเข้ามากรุงเทพ เพื่อทำงาน  ฟังนะครับ ปรากฏว่าทำงานไป 3 เดือน ทำไม? เพิ่งรู้ว่าท้อง เพราะเพิ่งแต่งงานไง  ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? ก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม? ไม่รู้จะทำอย่างไง? อยากได้เงินก็อยากได้เงิน แต่รักลูก มีท้องแล้ว ก็เลยต้องกลับบ้าน เมื่อกลับบ้าน เกิดอะไรขึ้น  ต่อสัปดาห์หน้าแล้วกัน  ไม่ได้ คราวนี้ผมตายแน่ ทุกคน แล้วอะไร? สามเดือนแล้วเป็นอย่างไร? เดี๋ยวดูสิว่าแม่ใจร้ายจริงไหม? สามเดือนแล้วนะ ขึ้น บขส. สมัยก่อนใช้บริการ บขส. … บขส. ไม่มีแอร์ รถแน่เอี้ยดเลย สามเดือนก็กลับไปตายที่บ้านดีกว่า มีเท่าไรก็แค่นั้น เอาลูกไว้ก่อนแล้วกัน  ดูแลลูกไว้ก่อน อย่างไรก็ว่ากันนะ กลับไปบ้าน  พอกลับไปถึงหมู่บ้านปุ๊บ ลงรถ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน  ถึงบ้านปุ๊บ

แล้วก็สุดร้าวราน ถึงบ้านพบพาน

                        ผัวว่ามีเมียใหม่   จึงอุ้มท้องกลับโรงงาน

                        หาเงินซมซาน ไม่ได้ยอมบอกใคร

                        อีสาวเอาผ้ามารัดบังหน้าท้องไว้ (x2)

                        ลำบากเท่าใด ไม่ยอมกล่าวขาน

                        โอ๊ย!  ซิมันไม่ยอมกล่าวขาน

ความรู้สึกแม่เป็นอย่างไรตอนนั้น … ก็คือตัดสินใจทำอะไร? ทำอย่างไรได้ ก็กลับมาโรงงาน ไม่บอกใคร? กลับมาสู้ต่อ ไม่มีบ้านอยู่แล้ว ลูกต้องอยู่ เราต้องอยู่ ครอบครัวต้องอยู่ต่อไป กลับมาทำงานต่อ

แล้วทำไง ถ้ารู้ว่าท้องเขาไม่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้น เอาผ้ามารัดที่หน้าท้อง ให้มันยุบหน่อย ให้มันเหมือนคนพุงโร่ แต่ไม่ใช่ท้อง จะได้ทำงานได้ต่อไป  ถูกไหม?

ก็คือลำบากเท่าไร? ก็ไม่พูดกับใคร? อดทน  … เห็นไหม?  เห็นความสู้ของแม่ไหม? อดทนไหม? ความแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่งไหม? แกร่งไหม? แกร่งมากเลยนะ เสร็จแล้วไงต่อไป ก็ทำงานต่อไป  เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่จะคลอดลูก จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูแลลูกของเขา เขาต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว ต่อไป

ครั้นเจ็ดเดือนพ้นผ่าน คืนข้างโรงงาน

                        ซิมันก็คลอดลูกได้

                        สองมือเจ้าบรรจง แม่วางลูกลง

                        ลูกน้อยไม่หายใจ

                        โถ! เวรกรรม สาวต้องจำหนีไกล (x2)

                        ต้องทิ้งลูกไว้ ไร้สิ้นวิญญาณ

                        โอ๊ย!  ไร้สิ้นวิญญาณ

เจ็ดเดือนผ่านไป กลางคืนข้างโรงงาน ก็คลอดลูก แสดงว่าไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ คลอดที่โรงพยาบาล แต่นี่พูดง่ายๆ ออกมาเอง เพราะแค่ 7 เดือน ยังไม่ครบกำหนด แต่เนื่องจากไปรัดไว้ เนื่องจากอะไรหลายๆ อย่าง ทำงานหนักอะไร สมมตินะ แล้วเกิดอะไรขึ้น พอคลอดลูกข้างโรงงาน

สองมือเจ้าบรรจง หมายถึงว่าเขายังนึกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่นะ เขาตั้งใจ แล้วค่อยๆ วางลูกลง นึกออกไหม? คลอดลูกตามปกติ ค่อยๆ วางลูกลง ปรากฏว่าลูกตายแล้ว อาจจะเกิดก่อนกำหนด แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครมาช่วยอะไรต่างๆ  นั่งนึกภาพนะ

“จำต้องหนีไกล” ตายแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ตกใจ รู้ว่ามีความผิด  กลัวแล้ว ความกลัวเข้ามาสู่จิตใจแล้ว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งเอาไว้ แล้วไปก่อนแล้ว รู้ว่าตายแล้ว คราวนี้ต่อไป สุดท้าย นี่สังคมแล้ว ถึงตัวเราแล้ว

เช้า พวกเพื่อนโรงงานวิพากษ์วิจารณ์ ถึงอีแม่ใจร้าย

                        สาวสินอน ระทมปวดร้าว

                        กองเลือดเหม็นคาว เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        เค๊าด่าว่าใครนะ  อีแม่ใจร้าย

                        โอ๊ย!  เค๊าว่าอีแม่ใจร้าย

เช้า พวกหนังสือพิมพ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ถูกไม่ถูก?

เช้า พวกทีวีวิทยุ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้

เห็นไหม? แม่ใจร้ายมาก  แม่ใจอำมหิต แย่มาก

แล้วตอนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ใครได้ยิน?

เลือดยังโครกอยู่เลย  น้ำตาไหล ทั้งๆ ที่รัก ทั้งๆ ที่สูญเสียลูกไป  แต่สังคมว่าเขาเป็นคนใจโหดร้าย ใจอำมหิต ได้ฟังจากวิทยุ จากทีวี หนังสือพิมพ์พูดถึงรายนี้ๆ  … เห็นไหม? เหมือนปัจจุบันไหม? คิดดูนะ

โอ๊ย! เขาว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! ทีวีว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! หนังสือพิมพ์ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เพื่อนๆ ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เลยว่าตัวเอง อีแม่ใจร้าย

นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ … นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในตัวเรา ทำให้เราช่วยตัวเองไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง  เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้น เราไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นเลย ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมานในจิตใจของแม่คนนั้นอีกไม่รู้เท่าไร? และในปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม?

ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ มีใครไหมมานึกถึงเหตุการณ์ว่ามันอาจจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ความผิดของแม่คนนั้น คนเดียว พ่อไปอยู่ไหนตอนนี้ ไม่ได้ว่าเขานะ สมมติอย่างนี้ แล้วก่อนจะถึงเขา มีคนอีกเยอะแยะมากมาย มีสถานการณ์ร่วมมากมาย มันไม่ได้เป็นความผิดของคนๆ นั้นคนเดียวเลย  แต่มันเป็นความผิดร่วมกันทั้งมวลมนุษยชาติ เพราะเราตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความอ่อนแอ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ไม่สามารถช่วยเหลือคนรอบข้างเราได้จริงๆ สักอย่างหนึ่ง เราต่างคน ต่างก็ทำ เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะไม่มีใครรักแท้สักคน เพราะไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และไม่มีบาป  ไม่มีบาปเท่านั้น ถึงมีรักแท้ได้ พอเข้าใจหรือยัง

นี่แหละ คือถ้าเรารู้ถึงปัญหาของสังคมอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่เพราะความบาป ทำให้มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น จำไว้เลยนะครับว่าสำหรับลูกๆ ทั้งหลาย  จำเรื่องนี้ไว้ แล้วผมต้องการพูดอะไรรู้ไหมครับ?  อย่างที่ผมเคยบอกทุกๆ ปีว่าแม่เรา สำหรับลูกทั้งหลายนะ … แม่เราอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุด  แต่เป็นคนที่รักเรามากที่สุด … ถูกหรือไม่ถูก? แม่เรา สำหรับคนชาวบ้าน เขาอาจจะเป็นแม่ใจร้าย แต่สำหรับเรา เขารักเรามากที่สุด  เขามีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่จำเป็นต้องทำแบบนั้น จนสังคมไม่เข้าใจ แล้วไปตราหน้าเขาว่าเป็นแม่ใจร้าย แต่เขารักเรามากที่สุด

ถ้าเด็กคนนี้ มีวิญญาณและรับรู้เรื่องนี้ ที่ 7 เดือนตายไปเนี้ย ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้ เขาจะรักแม่เขาไหม? รักแน่นอน เห็นไหม? แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะความกลัว เพราะความไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร? ก็แก้กันไปตาม สติปัญญาขนาดนั้น ที่เป็นคนบาป แค่นั้น ได้รับการศึกษาแค่นั้น แล้วได้แค่นี้เอง จะทำอย่างไรล่ะ เห็นไหม?  ถูกไหม? เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทั้งหลายฟังตรงนี้ไว้นะครับ แม่ของเราอาจจะไม่ได้ดีที่สุด ตามสายตาของผู้คนรอบข้าง แต่เขาเป็นแม่ที่รักเรามากที่สุด  ในมหาจักรวาลนี้  เอเมน

ต้องตัดปัญหาไปทีละเรื่องๆ ทีละอย่างว่าสำหรับลูกกับแม่แล้ว ลูกควรจะมีท่าทีอย่างไรกับแม่ของเรา ซึ่งจริงๆ ก็รวมไปถึงพ่อของเราด้วยนั่นแหละ  แต่วันนี้พิเศษ ให้แม่เป็นใหญ่แล้วกัน ในสุภาษิต 23:25 พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงตรัสสั่งเรา สอนเรา กำชับเรา อย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เพราะนี่คือความจริง

สุภาษิต 23:25 “จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ (หรือได้ชื่นใจ)”

 

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ” เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วทั้งพ่อและแม่ที่ให้กำเนิด รักลูกที่เขาให้กำเนิดแน่นอน เหมือนกับพระองค์ พระองค์จึงบอกนี่คือกฎเกณฑ์เลยว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่มีข้อยกเว้น … ไม่มีข้อยกเว้น  ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ ก็เป็นลูกมาก่อนทั้งนั้น  ที่อายุมาก  เดี๋ยวนี้ที่ยังเด็กๆ ก็เป็นลูกปัจจุบัน แต่ที่โต ก็เคยเป็นลูกมาก่อน เพราะฉะนั้น พูดมาถึงเราด้วยว่าพระเจ้าสั่งเลยนะว่า.-

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ ได้ชื่นชมยินดี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น”

พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนี้ว่า “จงทำให้พ่อแม่ยินดี จงให้แม่ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้ที่ได้คลอดเจ้านั้นได้ยินดี ได้ปลื้มใจ ถ้าเขาทำไม่ดี ให้เขาได้ทุกข์ใจไปเลย”

พูดอย่างนี้หรือเปล่า?  ไม่พูด แต่มนุษย์พูดไหม? เพราะมนุษย์พูด เพราะมนุษย์ชี้นิ้วอย่างเดียว ว่าเขาอย่างเดียว ประณามเขาอย่างเดียว คิดอะไรก็อันนี้ไม่ดี  อันนั้นแย่  เขาเรียกว่าทับถมอย่างเดียวเลย ไม่คิดถึงเหตุผล หรือเหตุผลอะไรต่างๆ เพราะมนุษย์มีแต่มองเขาตรงข้าม ไม่เคยมองตนเอง วันหนึ่งท่านจะมองกระจกสักกี่ครั้ง มองกระจกประมาณ 1 นาที แต่มองคนอื่นเท่าไร? ตัดนอนออกไป 8 ชั่วโมง ที่เหลือมองคนอื่นหมด แต่มองตัวเอง มองกระจกแค่ตอนแปรงฟัน ไม่รู้กี่นาที  ไม่รู้ ต่อวัน เพราะฉะนั้น เราจะมองแต่คนอื่น แล้วตัดสินคนอื่นตลอดเวลา อย่างนี้ๆ เห็นไหม? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าบอกว่า.-

“จงให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้า ไม่รู้ล่ะ เขาคลอดเจ้าหรือเปล่า? ถ้าคลอดเจ้า จงให้เขาชื่นใจนะ เคารพเขานะ รักเขานะ”

แม้เขาจะทำผิดก็ตาม  แม้เขาจะทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะทำกับลูกอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้เขาจะทำอย่างไร? เขารัก เขาทำไม่เป็น

เมื่อกี้เราพูดถึงหน้าที่ของลูกแล้วใช่ไหม? คราวนี้มาถึงหน้าที่ของแม่ แม่วันนี้อยากจะบอกนะครับ ใครที่เป็นแม่ อย่าลืมนะครับวันนี้ พูดทุกคนคำว่า “แม่” หมายถึงมีพ่อพวงมาด้วยนะ คนที่เป็นแม่ ทุกวันนี้ผมรู้เยอะแยะ ทั้งโลกเลย เต็มไปด้วยความท้อแท้ เต็มไปด้วยความทุกข์ กังวล กลุ้มใจ เป็นห่วง ถามว่าใคร? ลูก จริงหรือไม่จริง? มีลูกที่เป็นวัยรุ่นอยู่ แม่ก็เป็นห่วง  ห่วงไม่จบไม่สิ้น ไม่เลิกเลย  กลุ้มใจ ท้อแท้ … ท้อแท้เพราะอะไร?  มันไม่ได้ดั่งใจเลยนะ

“มันน่าจะอย่างนี้ มันน่าจะอย่างนั้น”

เป็นห่วงไปหมดทุกประการ ทุกอย่างเลย

          ผมเลยอยากจะบอกพ่อแม่ หรือแม่ที่กำลังทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้ว่าท่านยังมีความหวังนะ ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ … ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ที่เดียว ถ้าท่านไม่มีพระเยซูคริสต์ ท่านจะไม่มีความหวังเลย  เพราะที่ผมพูดมาทั้งหมดตะกี้นี้แล้ว ให้เหตุผลท่านแล้วว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันเกิดอย่างไร? ถูกไหม? ท่านเห็นภาพนั้นไหม? ถ้าท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็เดินเข้าไปอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ต้น มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย  ไอ้นั้น ก็ผิด ไอ้นี่ ก็ผิด ไม่รู้จะแก้อย่างไร? พันละวันพันละเกไปหมด ไม่รู้จะแก้ตรงไหน? เพราะต่างคนต่างก็บาป แก้กันเอง คนแก้ก็บาป คนถูกแก้ก็บาป ต่างคนต่างบาป รวมกันแล้ว มันจะไปไหน? มีพระเยซูเท่านั้น ที่ไม่บาป เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถช่วยเหลือเราได้ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย  ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์

 

          วิธีทำอย่างไร? เชื่อพระองค์ แล้วมอบทุกอย่างไว้ที่พระองค์เลย ไม่ต้องตัดสินบนพื้นฐานของโลกใบนี้อีกต่อไปเลย ทุกสถานการณ์มอบไว้ที่พระเจ้า  วางใจในพระองค์ เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สามารถควบคุม ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ และในมหาจักรวาลนี้ได้ ตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมและครอบครองอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้เลย พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่ตาเรา มนุษย์ธรรมดามองเห็นว่าไม่ดีนั้น ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ของดีที่สุด ในที่สุด

 

ดีที่สุด ในที่สุด หมายถึงตอนนี้อาจจะไม่ดี แต่ในที่สุด มันจะมีดีที่สุดของที่สุด รออยู่ แล้วในที่สุด เราถึงจะได้ดี เข้าใจใช่ไหมครับ? มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่อย่างนั้น เราแม่ทั้งหลายเอ๋ย จะหมดความหวังเลยนะครับ  ลูกบางครั้ง เป็นวัยรุ่น อยากจะไปทำอย่างโน่นอย่างนี่ แล้วท่านจะไปเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะสมัยนี้ … สมัยก่อนยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีไอโฟน ไม่มียูโฟน ไม่มีบีโฟน ไม่มีอะไรโฟนๆ ทั้งนั้น ยิงนก ตกปลาธรรมดา กลุ้มใจลูกเต็มไปหมด ท่านจะปิดกั้นอะไร ท่านจะบอก “อย่า” ในเมื่อไอโฟนมันสอนหมดทุกอย่าง ในอินเตอร์เน็ตสอนทุกเรื่อง ทุกความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันชัดเจนหมดแล้ว ท่านว่าท่านเสียงจะดังกว่าสื่อเหล่านี้หรือ!  สื่อเหล่านี้มันคุมโลกไปแล้ว  ท่านจะบอกปิดไม่ให้ดูๆ ท่านคิดว่าท่านปิดไหวไหม? ไม่ไหว ถูกไหม? ท่านปิดได้ไหม? ไม่ได้ ปัจจุบันจะเห็นชัด แล้วความหวังท่านจะอยู่ที่ไหน?  ก็คือถ้าท่านไม่เชื่อพระเยซู ท่านก็จะมีแต่ความกลุ้มใจ กลัว เขาจะไปนั่น เขาจะไปนี่ จะติดยาไหม? จะอันโน่นไหม? วุ่นวาย จะไปเป็นโจรหรือเปล่า?  จะทำงานอะไร?  หากินอย่างไร? มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยใช่ไหม? แต่ท่านมีพระเจ้า ท่านสามารถวางใจในพระเจ้า ท่านพึ่งในพระองค์ … พระองค์จะทรงนำให้ลูกเราไปในทางที่ดีเอง แม้ว่าขณะนี้ เราอาจจะมองดูว่าไม่ดีก็ตาม  เข้าใจใช่ไหมครับ?

ลูกเราอาจจะทำอะไรที่ไม่ดีในขณะนี้ ลูกเราอาจจะติดยาอยู่ ลูกเราอาจจะติดตะราง  ติดคุกอยู่ ถามว่าแล้วเราทำดีที่สุดหรือยัง? ทำดีแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า.-

“เพราะพ่อแม่เขาไม่ค่อยได้ดูแล”

แล้วท่านรู้ไหม บางคนพ่อแม่ดูแล ก็เป็น ผมไม่ได้พูด เพื่อว่าบอกว่าท่านไม่ต้องดูแล เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุดแล้ว โอเค … แค่นั้นแหละ ถามตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุด แล้วใครเป็นคนบอกว่าดีที่สุด คือเราเข้าไปหาพระเจ้า พระเยซูหรือยังว่า.-

“พระองค์ช่วยลูกด้วยๆ ลูกทำได้แค่นี้”

นั่นแหละ คือดีที่สุดของท่านแล้ว  ถูกหรือไม่ถูก? ตราบใดที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู แล้วบอกพระเจ้าว่า.-

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกทำดีที่สุดแล้ว”

นั่นผมมั่นใจว่าท่านดีที่สุดแล้วจริงๆ แต่ถ้าคุณบอกไม่มีพระเยซู แล้วคุณมาหาผม แล้วบอกว่า

“ผมทำดีที่สุดแล้ว”

ไม่แน่มันอาจจะมีบางอย่างที่คุณจะทำได้มากขึ้น ถ้ามีกำลังจากพระเจ้าเข้ามาสนับสนุนคุณ เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมกำลังจะบอกว่าพระเยซูเป็นคำตอบ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่เขาจะอยู่อย่างไม่ท้อแท้ อยู่อย่างมีสันติสุข อยู่อย่างมีความหวังว่าลูกที่เขารัก ต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นตอนนี้ก็ตาม แม้ว่าเขาจะเห็นตอนนี้ อาจจะดูไม่ดีต่างๆ แต่ในที่สุด เขาต้องดีแน่นอน เพราะเราอธิษฐานให้เขา เราหวังใจเขาในพระเยซูคริสต์ แม้ตอนนี้เขาจะติดยาอยู่ อนาคตเขาอาจจะเป็นผู้รับใช้ เยอะแยะนะครับคำพยานทั่วโลก คำพยานเยอะแยะเลยนะ ผมจะบอกไม่ใช่น้อยนะ เยอะเลย ทั่วโลกเลยว่าลูกติดยา แต่ในที่สุด ลูกกลายเป็นคนประกาศเรื่องพระเจ้า คนสอนเรื่องพระคัมภีร์ กลับใจใหม่เยอะแยะ เคยได้ยินไหม? แล้วยังเรื่องอื่นๆ อีก ลูกที่เคยดื้อกับแม่อย่างมากมาย ติดตะราง ติดคุก กลับกลายเป็นคนดีมากมาย รักแม่มากกว่าลูกที่ไม่ได้ติดคุกด้วยซ้ำ มีไหม? มี

นี่ขนาดพูดท่านยังเห็นเลยว่ามี  ถ้าบอกว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ตอบสิ ได้ไหม? ได้ … ใช่ทุกอย่างอยู่แล้ว   เพราะฉะนั้น เห็นไหม ถ้าเราเอาปัญหาทั้งหมดนี้ แม่ทั้งหลาย มาคุกเข่าต่อพระเจ้า แล้วบอก

“พระเจ้า … ลูกฝากลูกคนนี้ ฝากด้วยเถิด”

ท่านคิดว่าพระเจ้าจะฟังท่านไหม? ในเมื่อพระเจ้าบอกมาอย่างนี้ว่าความรักของแม่บริสุทธิ์ ท่านคงคิดว่าแม่คุกเข่าอธิษฐานให้ลูก จะได้อย่างนี้ไหม?  เห็นไหม?  ในพระคัมภีร์มีเสมอ พระเยซูจึงบอกว่าเข้ามาหาพระองค์เถิด พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข คือเข้ามาหาพระเยซู แล้ววางไว้ที่พระองค์อย่างนี้ ไม่ต้องเอาสติปัญญาตัวเอง จบ ทิ้งไปแล้ว ต่อไปนี้ ทำได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นแหละ

          “ฉันเรียน ป.4 มา ฉันทำได้แค่นี้  ฉันก็หยุดอยู่แค่นี้แหละ”

          “ฉันเรียน ม.4 มา ฉันทำสุดได้แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้แหละ”

          “ฉันมีสติปัญญาเป็นด็อกเตอร์  ฉันทำได้แค่นี้ ฉันทำสุดแค่นี้”

          ต่างคนต่างสุดของตัวเองแล้ว  ที่เหลือ

          “พระเจ้าช่วยลูกด้วย ช่วยลูกของลูกของลูกด้วย”

          ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ยืนยาวพอ  “ช่วยลูกของลูกของลูกของลูกของลูกอีกทีหนึ่งด้วยเถิด” ใช่ไหม?

 

พระเยซูจึงบอก  จึงให้เราอธิษฐานอย่างนี้  มัทธิว 6:9 บอกว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ สอนคำอธิษฐานเดียวว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ คำอธิษฐานนี้ทำไม? ทำให้เราสามารถที่จะวางใจในพระเจ้าทั้งหมดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงครอบครองในทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์ ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำหนดไว้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มาหาพระเจ้า ผู้กำหนดทุกสิ่งดีกว่า แล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราดี เพราะพระองค์รักเรา … เราเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำได้ อย่างไรก็ดี สัญญา พระองค์สัญญา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ลูกของพระองค์นั้น พระองค์จะทรงกระทำให้เกิดเป็นผลดีทั้งสิ้น  อย่างไรตอนจบ มันต้องดี เชื่อพระองค์หรือเปล่า? แล้วก็วางใจในพระองค์

“ใครจะว่าอย่างไรแล้วแต่ ฉันมีความหวังในลูกฉันเสมอ อย่ามาว่าลูกฉันก็แล้วกัน”

หมายถึงไม่ใช่ไม่ฟังนะ ฟัง

“ฉันมั่นใจในลูกฉัน เดี๋ยวเขาก็ต้องดี”

แล้วเราตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ดี ทำอย่างไร? ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาก็ดีเอง  มั่นใจถึงขนาดนี้ เอเมน แล้วทำอธิษฐานนั้น ก็อยากให้เราจำเอาไว้ จำเป็นบทเพลงเลย คำอธิษฐาน จำไว้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ต้องเกิด ก็เกิดทุกข์อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็ตามอธิษฐานตามนี้  ไม่เกิดอะไรขึ้น  แต่ละวัน อธิษฐานตามนี้  มีชีวิตอยู่ อธิษฐานตามนี้ แม่ทุกคนอธิษฐานตามนี้

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยด้วยเถิด อย่านำลูกและลูกของลูก และหลานของลูกเข้าไปสู่การทดลอง แต่ขอให้หลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวงของโลกใบนี้ที่มีอยู่ เหตุเพราะอะไร? พระองค์ทรงทำได้ เพราะฤทธิ์เดช อำนาจ พลัง พระสิริเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

ให้แม่ทุกคนร้องบทเพลง (เพลงคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9) นี้ให้ได้ ถ้าร้องไม่ได้ แม่ก็ใช้ท่องเป็นอาขยานก็ได้ ให้แม่วางใจในพระเจ้า มาจากมัทธิว 6:9 ที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน

เราลองคิดดูนะครับ สมมติว่าแม่รักลูกของเราเองอย่างมาก แล้วเราก็กลุ้มใจกับลูกเรา ท้อแท้ เพราะเราอยากจะให้เขาได้ในสิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิด อยากให้เขาทำ มันดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาอาจจะมีอย่างอื่นที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาได้ เราอยากให้เขาเป็นอันนี้ เราอยากให้เขาเป็นอันนั้น เราอยากให้เขาทำอันนี้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เขาเป็นอย่างไร? มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

          เพราะฉะนั้น แม่เข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานอย่างนี้ จึงเป็นแม่ที่สงบ จึงเป็นแม่ที่มีสันติสุข ผมไม่ได้บอกว่ามีความสุข แต่มีสันติสุข เป็นแม่ที่นิ่งและมีความหวังอยู่เสมอ ไม่เดือดร้อนมากมาย จนเกินไปบนโลกใบนี้ ไม่กลัวจนเกินไป ไม่กังวลจนเกินไป แต่เขาจะอยู่กับพระเจ้า และอธิษฐานให้ลูกๆ เขาเสมอ อย่างนี้แหละ  เอเมน

 

********************