คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2018 เรื่อง “การกิน การอยู่ก็สำคัญ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2018

เรื่อง “การกิน การอยู่ก็สำคัญ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง จะมาฝากข้อเตือนใจ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหมด มันเหลือล้นมาก อันนี้ไม่ต้องพิสูจน์นะ เป็นความเชื่อที่เห็นชัดเจน ที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตายเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย  เพื่อเราทั้งหลาย มันพิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทรงรัก เมตตา หวังดีต่อเราจริงๆ จริงใจ

คราวนี้ ความหวังดี พระองค์ก็ทรงกระทำตามที่แผนการของพระองค์ทรงวางไว้ ซึ่งเป็นกฎ เป็นระเบียบหมดเลยนะ พระองค์ฝืนกฎระเบียบของพระองค์เองก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นพระเยซูถูกส่งมาบนโลกใบนี้ เพื่อมนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ถูกไหม? รอดจากนรกใช่ไหม? แล้วถามว่าทุกคนต้องทำอย่างไร? ทุกคนก็ต้องทำตามกฎระเบียบ คือต้องไปใช้สิทธิของเขา พระเจ้าไม่มาบังคับ บีบคอเขาให้เขาเชื่อ อย่างนี้ ยกตัวอย่าง มันเป็นกฎระเบียบ

พระเจ้าคงน้ำตาไหลมากเลย ถ้าคนไม่ใช้สิทธิของเขา ไม่เชื่อในพระเยซู ไม่รู้ทำอย่างไร? นี่เราก็รู้ๆ กันอยู่ แล้วเรื่องอื่นล่ะ เหมือนกันแหละ เรื่องพรก็เหมือนกัน  พรหลายๆ อย่างที่เราขอ  พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ามันมีกฎ มีระเบียบของมัน พระเจ้าอยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็เลยประทานถ้อยคำของพระองค์ สอนเราในพระคัมภีร์ ทั้งเรื่องโลกวิญญาณ เรื่องโลกวัตถุ

โลกวิญญาณก็จะมีกฎของโลกวิญญาณเอง  ยกตัวอย่างโลกวิญญาณ เชื่อพระเยซู แล้วได้รับความรอดแล้ว ได้รับการอภัยจากบาป  100%  ได้รับแน่นอน  อภัยให้แน่นอน ได้รับความรอดแน่นอน ได้บังเกิดใหม่แน่นอน นี่คือกฎของโลกวิญญาณ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามใบโลกใบนี้ ถ้ากฎของโลกวิญญาณ คือคุณเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน เพื่อคุณ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คุณได้เกิดใหม่แน่นอน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เห็นไหม? นี่คือกฎ

ในทำนองสลับกัน คือไม่ว่าคุณเชื่อในโลกวิญญาณอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าคุณทำอะไร บนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกใบนี้ มันมีอยู่ว่าคุณทำอะไร? คุณก็ต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งนั้นเหล่านั้น พระเจ้าอยากจะช่วยเราเต็มที่ ก็ประทานถ้อยคำให้กับเรา สอนเรา เพื่อให้เราเป็นอิสระ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท

เกริ่นมาตั้งเยอะ ทุกคนคิดว่าจะพูดอะไรน่า? จะพูดว่าพระเจ้าสอนเราหลายๆ อย่าง ให้เรากระทำ แล้วมันจะเป็นพรกับชีวิตของเรา คือการบังคับเนื้อหนัง กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา ซึ่งยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราบังคับมันได้มาก เราก็ได้พรมาก ถ้าเราบังคับมันได้น้อย เราก็ได้พรน้อย  เราก็เสียประโยชน์ไป

อย่างเช่นเปาโลบอกว่าอะไรที่มันเป็นประโยชน์ เป็นการเสริมสร้าง ก็จงทำไปเถอะ  เป็นคริสเตียน ไม่มีกฎข้อห้าม คืออยากจะทำ เชิญเลย แต่คิดดูให้ดีๆ ว่าที่ทำไป มันมีประโยชน์หรือเปล่า? ถ้ามันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำเลย ถ้าทำแล้วทำไม? ตกนรกหรือ? ไม่ตกหรอก ถ้าทำแล้ว ไม่มีความสุข ไม่ได้รับความรอด หรือเหมือนรอดด้วยไฟ ทรมาทรกรรม

ยกตัวอย่าง สำคัญมาก วันนี้มากเตือนให้ ทุกๆ ปี ก็พูดเตือนตรงนี้แหละ แล้วก็เตือนอยู่เรื่อยๆ ทุกคนก็ยังอยู่ในกิเลสตัณหาตรงนี้มากที่สุด  แล้วทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนมากขึ้นทุกวันๆ ในยุคปัจจุบันนี้ เยอะขึ้นทุกวันๆ พูดเพื่อเตือนทุกคน แล้วเตือนตัวเองด้วย เตือนคนรักด้วย บางครั้ง เราเตือนมากไป ก็หาว่ายุ่งนะ แต่มันต้องเตือน ก็คือเรื่องของสุภาษิต 23:2 ใครจำได้บ้าง?

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าตะกละเห็นแก่กิน ก็จงเอามีดจ่อคอหอยตนเองไว้”

 

ถ้าเจ้าตะกละ ก็คืออยากกิน ใช่ไหม? จำได้ใช่ไหม? เตือนแล้วใช่ไหมว่าง่ายๆ ที่จำได้ง่ายๆ ไม่ใช่มาเรียนเรื่องสุขลักษณะ หรือว่าสุขภาพในปัจจุบัน อะไรเป็นอะไร? ยากเย็นเข็ญใจ ง่ายๆ จำไว้เลย เตือนไว้บอกว่าเป็นผลสรุปเรียบร้อยแล้วว่าแป้งและน้ำตาล มันอันตรายต่อชีวิตเรามาก มันคือยาเสพติด ยิ่งกินยิ่งติด แล้วมันบ่อนทำลายร่างกายเรา ทำให้แก่ และตายก่อนวัยอันควร มันทำให้เราต้องทรมานกับสุขภาพร่างกาย โรคหลายโรค ทุกโรคเลยล่ะ มันทำให้เราอ่อนแอลง และโรคเหล่านั้น ก็รุมเราได้ เชื้อโรคอะไรต่างๆ ความเสียหายของร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น

ก็ต้องเตือนทุกปี พอเดือนมกราคมก็ทำได้อยู่ พอเดือนธันวาคมฉ่ำเลย กินหมด อะไรที่มันหวาน สำหรับร่างกายแล้ว อย่างที่บอก มันไม่มีคำว่าแป้ง มันมีแต่น้ำตาลกับน้ำตาล  กินน้ำตาลมันก็เป็นน้ำตาล กินแป้งไป ร่างกายมันบอกไม่รู้หรอกว่าเป็นแป้ง มันก็คือน้ำตาล จะกินอะไรเข้าไป มันคือน้ำตาลหมด และสิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อชีวิตเรามาก เตือนแล้วหลายครั้ง

เชตใหม่ ปีหน้าเริ่มต้น อยากลดความอ้วน ก็ลดน้ำตาล แป้ง แล้วก็คอยสังเกตอันหนึ่งที่เคยบอกไว้ มี 3 อันทีชัดๆ คือแป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี นี่เขาก็พิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพิษ มันเป็นพิษ สนใจหน่อยเถอะ กินน้ำมันมะพร้าวดีๆ ไม่อยากกิน มีกลิ่นบ้างล่ะ กลิ่นไม่หอม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่อร่อย กลับไปกินน้ำมันพืชเหมือนเดิม น้ำมันถั่วเหลืองเหมือนเดิม แล้วมันก็เป็นพิษต่อร่างกาย

นี่แหละคือที่ตะกี้นี้บอก “ถ้าเจ้าตะกละ” ตะกละ หมายถึงมันอยาก เราต้องสู้กับมันด้วยสติปัญญา ถ้อยคำพระเจ้า และคำอธิษฐานด้วย  และความรู้อย่างนี้ เรามาเล่าสู่กันฟัง เป็นแบบพี่น้องง่ายๆ  ไม่ต้องเรียนสูง ก็รู้แล้วว่าน้ำมันผ่านกรรมวิธี ตามซุปเปอร์มาเก็ตที่วางอยู่ อะไรที่มันใส อยู่ได้เป็นปีๆ หลายๆ ปี ก็ไม่เสีย พวกนั้น แล้วจะไปหาข้อมูลเหล่านี้ เดี๋ยวนี้หาง่ายจะตายในอินเตอร์เนต เยอะแยะไปหมด

สนใจสิ่งเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ประโยชน์ ได้การเสริมสร้างขึ้นในชีวิตของเรา และคนที่เราดูแลอยู่ ในครอบครัวเรา อาจจะมีสามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ หลาน คนที่เราดูแลอยู่ อย่างที่โบสถ์ ตั้งแต่แนะนำไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน เดี๋ยวนี้สะอาดหมดจด ทุกคนรับประทานอย่างมีความสุข อาจจะยังมีแป้งบ้าง แต่อย่างที่บอกว่าให้เอาไปลดส่วนตัว เราไม่ได้บังคับ แต่ให้รู้ ค่อยๆ ลดลง กินให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่กินไม่ได้ แต่กินให้มันน้อยๆ หน่อย แต่น้ำมันไม่มีแล้ว น้ำมันที่นี่ น้ำมันมะพร้าวตลอด แถมบริการให้สมาชิกในราคาถูกอีกต่างหาก พยายามยัดเยียดให้ไปกินให้ได้  หลายคนก็ติดเป็นนิสัย แล้วก็ได้ผลไปแล้ว ก็ดีใจด้วย แต่หลายคน รวมทั้งวัยรุ่นต่างๆ เตือนไว้ พยายามเตือนไว้ วัยรุ่นวันนี้ วันหน้า ก็คือเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง หรือเจ็บป่วย  อ่อนแอ ก็อยู่ตรงนี้  การกินสำคัญ

จากประสบการณ์และเห็นชัดๆ เลย ดูผู้คนหลายๆ คน ผมให้การกินเป็นเบอร์หนึ่ง ออกกำลังกายเป็นเบอร์ 2 เบอร์ 3 เบอร์ 4 ไม่ออกกำลังกายยังได้เลย  กินให้ถูกต้อง กินให้ดีๆ เพราะกินให้ถูกต้อง กินให้ดีๆ สุขภาพแข็งแรง มันอยากจะออกกำลังกายเอง ทำงานโน้นทำงานนี้ อยากจะออกกำลังกายเอง มันเป็นไปเอง แต่บังคับให้ออกกำลังกาย ไปออกกำลังกาย แต่กินไม่ดี วันนี้ลดไป 1 ขีด กินไป 1 กิโลฯ มันจะไปรอดได้อย่างไร? ในที่สุด ป่วย ต่อให้อยากออกกำลังกาย แต่ป่วย มันก็ไม่ไหวแล้ว ออกกำลังกายไม่ได้  เห็นไหม? เสียผลประโยชน์ เสียสุขภาพ ได้รับความรอดไหม? คนละเรื่องกัน รอด ไปสวรรค์ แต่ไปแบบเหมือนถูกรนด้วยไฟ เหมือนผ่านไฟไป  ร้อนรนเลย อย่างนี้  เลยอยากจะเตือน และเตือนอีก เตือนทุกๆ ปี

3 สิ่งนี้ ง่ายๆ เอาง่ายๆ ก่อนเลย 3 สิ่งนี้ที่ควรลดให้มันน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็คอยสังเกต คอยหาความรู้เรื่องเกี่ยวกับ 3 สิ่งนี้ คือ …

(1) แป้ง

(2) น้ำตาล

(3) ไขมันต่างๆ

แป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ใช้ น้ำมันผัดข้าว อย่างคุณไปสั่งอาหารตามสั่ง ตามร้าน ตอนเที่ยงหรือตอนเย็น

“ผัดกะเพราะไก่จานหนึ่ง”

คิดในใจเลย 3 สิ่งนี้ มีอยู่ในนั้นหรือเปล่า? มีเยอะน้อยเท่าไร? คิด ถ้าคิดได้ปุ๊บ ไม่รอดแน่ หิว แต่น้ำมันเห็นเลย น้ำมันถั่วเหลือง มันคงจะดูดลงไปในข้าว ข้าวก็เป็นแป้งอีกต่างหาก มีไก่อยู่นิดเดียว คิดสะระตะ จำได้วันนั้น พาสเตอร์เตือนแล้ว เพราะฉะนั้น อดทน แทนที่จะสั่งไก่ผัดกะเพรา กลายเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง รองท้องได้ไหม? ไข่ต้ม 2 ฟอง หมดเลย หายไปเลย ข้าวหายไป น้ำมันไม่ดีหายไปแล้ว สมมติตอนนั้น เราไม่มีทางเลือก ไปเจอร้านนี้ แล้วก็หิวแล้ว และไม่มีอย่างอื่นให้เลือก ไข่ต้มก็ยังได้ เห็นไหม? มันต้องใส่ใจไง ไม่ใช่ผมทำได้ทุกอย่างนะ ผมก็พูดเหมือนเปาโล …

“ไม่ใช่ข้าพเจ้าได้ทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าต้องทำอะไร?”

ทุกวันนี้ก็พยายามอยู่ และจนตาย ก็คงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก ไม่เหมือนวิญญาณที่สมบูรณ์แบบแล้ว เนื้อหนังมันไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็พยายามทำ ให้มันได้ทรมานน้อย มันจะได้ทุกข์น้อยๆ หน่อย เอเมน

จำได้ไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ท่านก็ไปดัดแปลงเองว่าไปเจออะไร? ที่ไหนอย่างไร? ท่านระวัง 3 สิ่งนี้ให้ดีๆ ไปในร้านอาหาร หรือว่าไปในร้านสะดวกซื้อ จะไปซื้อน้ำกินขวดหนึ่ง มองไปเลย แป้งและน้ำตาล ไม่เอา มองไป แป้ง น้ำตาลๆ ไม่เอา มันหิวน้ำ  ไม่เอาๆ อันนี้เย็นๆ หยิบได้ เป็นอะไร? น้ำเปล่า ซึ่งคนหยิบน้อยที่สุดเลย หารู้ไม่ว่าน้ำเปล่า เป็นพิษน้อย บางคนบอกไปซื้อทำไมน้ำเปล่า ที่บ้านก็มีกิน แต่ไหนๆ จะมาซื้อทีหนึ่ง ก็ซื้อที่มันหวานๆ หน่อยสิ เอาพิษเข้าตัว ลืมไปว่า 5 บาท 10 บาท ที่เราไปซื้อน้ำขวดหนึ่ง  มันเพิ่มความสุข หรือเพิ่มความทุกข์ให้กับเรา เราจะเสีย 10 บาทอยู่แล้ว ไม่ใช่เสีย 10 บาทแล้ว ต้องซื้อน้ำหวานๆ สิ ที่บ้านไม่มี อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยน  นี่คือหนึ่งในจำนวนการเปลี่ยนความคิด จะรู้สึกหิวข้าว จะทานอะไร จะจับอะไรใส่ปาก นึกถึง 3 สิ่งนี้ให้ดีๆ แป้ง น้ำตาล น้ำมัน มีไหม? กรอบๆ ฉีกออกมากรอบๆ นั้น มันทำมาจากอะไร? คิด เราจะกินอะไรเข้าไป คิด อย่า ทำตามที่พระคัมภีร์บอกตะกละ แล้วจ่อคอหอยไว้เลย ก็เพราะอะไร? เพราะมันคือความตายกำลังเข้ามา เราไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เรากลัวความตาย  พระเจ้าไม่ได้ให้เรากลัวความตาย ความตายเราไม่กลัวเลย เราไปสวรรค์แน่ แต่เราไม่อยากให้ชีวิตมันต้องเป็นภาระคนอื่น แล้วตัวเราเองก็ทุกข์ทรมานด้วย ไม่จำเป็น

ความจริงถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  เพื่อเราจะได้รักษาชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เหมือนกับอันอื่นๆ ที่เราอยากจะทำให้มันดีๆ อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตเรา ซึ่งเราปล่อยปละละเลย เราไม่นึกว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะสนใจ สนใจหมด แต่ในพระคัมภีร์บอกหมดเลย อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรเป็นประโยชน์ก็จงทำไปเถิด อะไรเสริมสร้าง ก็จงทำ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ไม่เสริมสร้าง ก็จงอย่าทำ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท นี่คือความจริงที่เขาพิสูจน์มาแล้ว ที่เขาวิจัยมาแล้ว ทั่วโลกยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ คือถูกต้อง สุขภาพดี ไม่ใช่ ท่านทดลองๆ เอาทดลองสักปีหนึ่ง จากอีก 2 วันข้างหน้า  ขึ้นปีหน้าปุ๊บ  ทั้งปีเลย ลองงดน้ำตาลหมดเลย ดูสิว่ามันเป็นอย่างไร?  กินน้ำมันมะพร้าวดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น พิสูจน์ได้ใน 2 เดือนยังได้  ดูว่ามันจริงไหมว่าสุขภาพมันดีขึ้นหรือไม่? เอเมน

ปีหนึ่ง มาคุยกันครั้งหนึ่ง อย่าหาว่ามายุ่งเรื่องส่วนตัว ฉันจะกิน แต่อยากจะเห็นท่านมีสุขภาพที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดา และพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับเรา ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป นิดหนึ่ง หน่อยหนึ่ง อดทน ลด ละ กิเลสของเราไปบ้าง ความอยากอะไรต่างๆ ไม่ใช่ชีวิตทรมาน แต่เป็นชีวิตที่มีสติ ไม่ใช่ไม่ทานเลยขนมหวาน ทานบ้าง แต่อย่าเยอะ สติของเรา กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน กินเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งก็ทิ้งร่างกายนี้ แล้วแต่พระเจ้าจะใช้มานานเท่าไร? กินเพื่ออยู่ กินเดะเลย  อันนี้ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองตะกละไป เอเมน

 

*****************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อน

ภาษาไทยบอกว่าอย่างไรครับ? …“ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้บนโลกใบนี้ มากขึ้นทุกวันๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้าจริงๆ คือเทศกาลคริสตมาส

เราจะไม่มาดูเรื่องประวัติศาสตร์ว่าใช่วันที่ 25 จริงไหม? วันที่ 24 จริงไหม? ไม่ใช่สิ พระเยซูเกิดแถวๆ เดือนเมษายน อะไรต่างๆ บางแห่งเขาก็ฉลองเดือนมกราฯ ก็มี เราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราสนใจว่าปีหนึ่ง ทั้งโลกมีการระลึกถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนก่อน 2,000 ปีอีก ตั้งหลายพันปีมาก่อนที่จะเกิดขึ้นว่าวันคริสตมาสจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความตาย ในวิญญาณของเขา  ในชีวิตของเขา  นี่คือข่าวดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และข่าวดีนี้จะถูกประกาศออกไป ตั้งแต่พระเยซูกำลังจะทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์มาทำไม? เริ่มประกาศข่าวประเสริฐไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ประกาศข่าวประเสริฐนี้มาตลอด คนก็รับรู้ รับรู้ข่าวดีของพระเจ้า มี 2 พวก …

พวกหนึ่งที่รับรู้ คือรับรู้ในลักษณะเป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ไม่มีผลอะไร?  สำหรับวิญญาณจิตเลย  เพราะว่าเขารู้เฉยๆ เขารู้ … รู้เรื่องพระเยซู รู้ดีกว่าคนที่เป็นคริสเตียนบางคนอีก เขารู้

ถามว่าเขารู้เพราะอะไร?  เขารู้ เพราะเขาศึกษา ก็รู้เรื่องแหละ ไม่ได้ยากเย็นอะไร? แต่ข่าวดีของพระเจ้า มันต้องใช้ความเชื่อเอา และเกิดผลทางวิญญาณ ที่พระเยซูบอก มันไม่มีทางอื่น พระเยซูมาเดินบนโลกนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้น พระเยซูเลยเตือนก่อนเลย เตือนใคร? เตือนพี่น้องของพระองค์ในทางเนื้อหนังนะ ในทางมนุษย์ พี่น้องของพระองค์ ก็คือชาวยิว พระเยซูก็เตือนชาวยิวก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างนี้แหละ ข่าวประเสริฐ เรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ พระเจ้าบอกเรื่องราวไว้ตั้งแต่โน้น  ตั้งแต่ก่อนเราจะมาเกิด  ตั้งหลายพันปีแล้วใช่ไหม? พวกท่านก็รู้ดี ท่านคือพวกยิว ท่านก็อ่านหนังสือเหล่านี้ เยอะแยะ ศึกษา ตั้งใจ แต่พอตัวจริงมาถึง ท่านกลับไม่เชื่อ ในหนังสือยอห์น 5:39-40 ได้บันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ฟังดูนะ เอาใช้กับพวกเราได้ด้วย นี่พระเยซูพูดกับชาวยิว นึกภาพนะ ชาวยิว  ในสมัยนั้น รู้เรื่องพระคัมภีร์จะตาย เพราะว่าเขาเป็นคนของพระเจ้าเลย ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ตั้งหลายพันปีก่อน ติดสนิทกับพระเจ้า รักษาบทบัญญัติ ศึกษาบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างมากมาย ใกล้ชิดพระเจ้ามาก ดูสิพูดว่าอย่างไร? …

ยอห์น 5:39-40 “39 ท่าน (คือพวกยิวนะ) ขยันศึกษาพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้น คือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเรา เพื่อจะได้ชีวิต”

 

นึกว่าการปฏิบัติเช่นนั้น การเคร่งครัดทางศาสนายิว ดูเอาจริง เอาจัง จะทำให้เขารอด พระเยซูบอกอย่างนั้น

ศึกษาเรื่องเดียวกับเราแล้ว ท่านนึกว่าการกระทำอย่างนั้น พระเจ้าจะให้ชีวิตนิรันดร์กับท่าน พอตัวจริง ก็ศึกษาเรื่องของเรา พระเยซูมาแล้ว พระเยซูบอก เรานะ พระเจ้าส่งมา  เพื่อช่วยท่าน กับไม่เชื่อ แล้วรู้ไหม? รู้เรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ขาดอย่างเดียว คือขาดความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร แค่นั้นจบ จบแล้ว

ไม่ใช่เชื่อว่าพระเยซูรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ เรียกคนง่อยให้สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป เขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ทั้งๆ ที่เขามีความรู้มากมาย

ที่มาคุยเรื่องนี้ เพราะ 2-3 วันก่อนนี้ ได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีอาชีพ เรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นไกด์ จริงๆ ก็พอจะได้รู้เรื่องนี้บ้างพอสมควรแล้ว เวลาไปเที่ยว ชอบคุยกับคนที่เป็นไกด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปเที่ยวแถบตะวันออกกลาง ไปอิสราเอล ก็ชอบคุยเรื่องพระเจ้าใช่ไหม? ท่านรู้ไหมว่าคนไปเที่ยวอิสราเอล ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไปเที่ยวอิสราเอล ไกด์ที่นั่นนะ เก่งมาก เก่งยิ่งกว่าด๊อกเตอร์คนที่เรียนพระคัมภีร์ที่เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ จำแม่นหมดเลย อะไรเป็นอะไร เพราะเป็นชีวิตของเขาเองด้วย ชีวิตของบรรพบุรุษของเขา  ปู่ย่าตายายเขา เป็นยิว  ส่งทอดกันมา เขาเรียนด้วย เขาไปเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วมาทำทัวร์ พูดเป็นฉาก รู้หมดเลย ถามอะไร หลักฐานเป็นอย่างไร? ปีค.ศ.ไหน? ใครมาตรงนี้? ไปตรงนั้น รู้หมดเลย แต่เขาขาดอย่างเดียว คือขาด เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีอย่างนี้จริงๆ

เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะสังเกตว่าเอามาดัดแปลงใช้กับชีวิตคริสเตียนว่าเรามีชีวิตคริสเตียนแบบที่เราเชื่อพระเยซูจริงๆ ว่าเป็นใคร? หรือว่าเราต้องไปค้นหา แล้วถึงเอามาเป็นหลักฐานว่าเราเชื่อพระเยซู ถ้าเราเอาไปค้นหาพระคัมภีร์ ไม่ใช่ผมไม่ส่งเสริมการอ่านพระคัมภีร์  สนับสนุนให้ยิ่งอ่านยิ่งดี ยิ่งศึกษายิ่งดี แต่เป็นตัวประกอบให้กับความเชื่อของเรา ไม่ใช่เอามาเป็นตัวหลัก เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเอามาเป็นตัวหลัก ท่านตายแน่ เพราะหลายอย่างในนั้น ท่านไม่เข้าใจ มันต้องเป็นตัวรอง

เหมือนที่เราคุยกันใช่ไหม? ยายแก่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แต่เขารู้จักพระเยซู เขาจึงได้รับความรอด เขาไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์เลย ยายแก่ๆ เขารู้จักพระเยซู ถามว่าเขารู้จักพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะเขาไปผ่าตัด

หมอมาถามว่า … “เจ็บไหม?”

“ไม่เจ็บค้า ขอบคุณพระเจ้า” นี่เขารู้จักพระเยซู

“ยาย น่าสงสารจริงเลยยาย ฟันหรอหมดปากเลย กินข้าวได้เหรอ”

ยายหัวเราะ … “ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ยังเหลืออีก 2 ซี่ และขอบคุณพระเจ้ามากกว่านั้น คือซี่หนึ่งอยู่ข้างล่าง และอีกซี่หนึ่งอยู่ข้างบน มันยังเคี้ยวกันได้ไง ถ้ามันอยู่ข้างล่างหมด เคี้ยวไม่ได้เลยนะ”

นี่ไง หาเรื่องขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าคนนี้รู้จักพระเจ้าแน่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่รู้เลย ข้อนี้อยู่ไหน? ข้อนั้นอยู่ไหน? หรือนั่งข้างหน้านี้ กำลังชูมือสรรเสริญพระเจ้า ร้องไปเมื่อตะกี้นี้ ฮาเลลูยา เราอยู่ข้างหลังมองไปคนนี้คงจะได้รับพระพรพระเจ้าเต็มที่ในชีวิต เลิกเสร็จปุ๊บ เดินมาดูข้างหน้า คนที่เราเห็นชูมือนั้นนะ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่ไม่มีขา พิการทั้ง 2 ขาเลย อย่างนี้แหละ คนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าพระคัมภีร์ คืออะไร? แต่รู้ว่า …

“พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าให้ฉันบังเกิดใหม่ ฉันรักพระเจ้า ฉันรู้จักพระองค์”

ไม่ใช่ … “ฉันมีความรู้เรื่องพระองค์” ไม่ใช่

“ฉันรู้จักพระองค์ แต่ไม่มีความรู้เรื่องพระองค์มากมายนัก ไม่รู้ พ.ศ.ไหน? มาเกิดอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย แต่ฉันรู้จักพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่กับฉัน คุยกันทุกวัน คุยกันอย่างไร?  เดินไป ก็คุยไป อันนั้น ก็คุยไป อันนี้ ก็คุยไป มีอะไร ฉันก็คุยกับพระเยซูทุกวัน” นี่คือการรู้จักพระเยซู

ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับโลกใบนี้ เพราะว่าทรงรักโลกนี้ พระเจ้าทรงรักโลก จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความรู้เรื่องพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูถูกประทานโดยพระเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากนรก แต่มนุษย์คนนั้นจะต้อง เชื่อในพระเยซูว่าเป็นใคร แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์   ที่พระเจ้าประทานให้มาช่วยเหลือมนุษย์ แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าวันเกิดคริสตมาสวันไหน? พ.ศ.อะไร? อย่างไร? มาเกิดลักษณะเป็นอย่างไร?  เกิดแล้วมีโหราจารย์กี่คน? 3 คน หรือ 2 คน ในประวัติศาสตร์มี 3 คน แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นอย่างไร? แล้วศพตอนนี้อยู่ที่ไหน?  แล้วอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไง แล้วมันจริงหรือไม่จริง อันนั้นเป็นเรื่องประกอบ รู้ก็ดี ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แค่ที่รู้ก็พอ คือรู้จักพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่พระเจ้าประทานให้เรา แค่นี้ ก็พอแล้ว

นี่คือหัวใจของการประกาศเรื่องพระเจ้า ก็คือชีวิตที่รู้จักพระเยซูจริงๆ อย่างที่เรารู้ การประทานชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านทางพระเยซู ก็คือให้พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา มาทำให้เราบังเกิดใหม่ นั่นแหละ ไม่ใช่มาเกิดใหม่ เพราะเรารู้เรื่องพระเยซู ไม่ใช่ แต่เพราะเราเชื่อ แต่ถามว่าเราเชื่อเพราะอะไร? เพราะเราได้ยินเรื่องราวของพระเยซู อย่างนี้ถูก เราเชื่อ เราบังเกิดใหม่ เพราะเราได้ยินข่าวประเสริฐ อย่างนี้ถูก ไม่ใช่เราได้รับความรอด เพราะเราไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่ใช่ เราได้รับความรอด เพราะมีคนมาประกาศ อย่างนี้ก็ไม่ใช่อีก เรารอด เพราะมีความมาประกาศ และเราเชื่อ … เชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? อย่างนี้ ไม่ใช่ คนมาประกาศ คนเชื่อ เพราะว่าจริงๆ แล้ววันนี้เทศกาลคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลกเลย ใครๆ ก็ฉลอง อย่างนี้ต้องมีพระเจ้าแน่ๆ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ แต่เราเชื่อด้วยหัวใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ต่อให้สัปดาห์ต่อไป  หรือปีต่อไป ไม่มีคริสตมาสในโลกนี้อีกเลย ก็จะเชื่อพระเยซู เอเมน ต้องอย่างนี้ บางทีเราพูดไป มีหลักฐานอะไรต่างๆ เราก็จะไปติดยึดกับหลักฐาน วัตถุเหล่านั้น แล้วก็บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเยซู เพราะหลักฐาน”

วันหนึ่งหลักฐาน ก็ถูกลบเลือนหายไปได้ มันสูญสิ้นไปได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าพระองค์ไม่สูญสิ้น พระองค์สถิตอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์บอกว่าถ้าเราเชื่อพระองค์ พระองค์จะมาสถิตอยู่กับเราตลอด ไม่มีใครหน้าไหนจะเอาเราออกไปพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใด จะเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ ถ้าเราบังเกิดใหม่ในพระเยซู ด้วยความเชื่อแล้ว เอเมน

เข้าใจนะ คราวนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราเรียนรู้จักพระคัมภีร์ เราก็ต้องเรียนรู้ในท่าทีนี้ว่าเรียนรู้ เพื่อมาเสริม เสริมความเชื่อของเรา  เสริมความสนุกสนาน เขาเรียกว่าจรรโลงชีวิตให้มีความสุข แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าว่าให้เรารู้ เพื่อไปบอกคนอื่นว่าการมาเชื่อพระเยซู เขาเชื่อกันอย่างไร?  อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าพระเจ้าไม่นำเราไปเรียนรู้อะไรมากมาย ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ปัจจุบันนั้น มันหนักกว่าเยอะ ยิ่งกว่าด๊อกเตอร์อีก เรียนรู้วันหนึ่งตื่นขึ้นมา ไม่สบายบ้าง ทำงานเจ๊งบ้าง โมโหเข้าบ้าง โกรธเขาบ้าง แล้วก็ไม่อยาก แล้วไปทำ อย่างนี้ ยิ่งกว่าเรียนตลอดชีวิตของเรา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จักพระเยซู โดยชีวิตประจำวัน พระเจ้าสอนเราเป็นวินาที อยู่กับเราตลอดเวลา นี่แหละ คือของแท้ เอเมน

นี่แหละ คือของแท้ ทุกคนไม่หนี ถ้าเขาได้เกิดใหม่ในพระเจ้า พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับเขา วิญญาณเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหน พระเจ้าจะนำเขาไป โดยสอนเขาไปทีละวันๆ

อย่างที่บอกใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่บังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าวิญญาณที่อยู่ตลอดกาลหรือ? ไม่ใช่ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่ตายตลอดกาล อยู่ในนรกตลอดกาล แต่วิญญาณนิรันดร์ หมายถึงวิญญาณที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้าเลย ชนิดเรียกว่าเป็นของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เรียกว่าลูกๆ ของพระเจ้า นี่จะได้ชีวิตอย่างนั้น จะได้วิญญาณอย่างนั้น บังเกิดใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ แล้วมีความคิดจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ชำระโดยฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน สะอาดหมดจดเรียบร้อย มีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายที่อ่อนแอ ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ยังแพ้เชื้อโรคอยู่ ร่างกายที่ยังแพ้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังอยู่ ซึ่งมารสามารถส่งผ่านทางความบาปเข้ามากระตุ้นเราได้ ในเนื้อหนัง ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่มันไม่ใช่ตัวจริงของเรา เพราะร่างกายนี้ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ตัวจริงของเรา มันเข้ามาไม่ได้แล้ว ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ และวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า

วิญญาณและความคิดจิตใจเราจะได้รับร่างกายใหม่ในอนาคต และมันเป็นความหวังใจนิรันดร์ของเราทั้งหลาย รอวันพระเยซูกลับมา ก็คือวันนี้แหละ วันแห่งชัยชนะของเรา ก็คือวันที่ทิ้งร่างกายนี้ไป และวิญญาณเราออกจากร่างไป นั่นแหละ คือวันแห่งชัยชนะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าตายดีกว่าอยู่ หมายถึงออกจากร่างกายนี้ดีกว่า แต่ถ้าอยู่ในร่างกายนี้ ก็ขอให้พระเจ้าใช้ไป อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ รับใช้พระเจ้าไป พระเจ้าสถิตอยู่ นำไปไหน ก็ประกาศ ให้คนเขารู้จักพระเจ้า ไปทีละวัน หมดหน้าที่ ก็กลับบ้าน กลับไปทำอะไร? กลับไปอยู่ในสวรรค์ พักผ่อน รอร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนแออีกต่อไป เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ต้องไปสู้กับบาปอีกต่อไป สบายตลอดชั่วนิตย์นิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังใจของข่าวประเสริฐ และคือข้อมูลที่เราทั้งหลายควรจำไว้และเรียนรู้ ไม่ยากเลย จำแค่เรื่องราวเหล่านี้ แล้วเอาไปบอกคนเขา บอกแค่นี้ ไม่ต้องไปบอกอย่างอื่น เอเมนว่าจะเราพึ่งพระเยซูด้วยวิธีนี้ วิธีใด? ก็คือวิธีนี้ โดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อ แล้วถึงจะได้ เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วได้เลย ได้เมื่อไร? ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอตาย แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์ เชื่อปั๊บ  วิญญาณเกิดใหม่ปุ๊บ อยู่ในสวรรค์ปั๊บ เดี๋ยวนี้เลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมเท่านั้นเอง เอเมน

ประกาศไหม? ปีหนึ่งประกาศครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง ช่วงเดือนธันวาคมนี้ กระตุ้นกันทีหนึ่ง ก็ไปประกาศตามชีวิตของเรา ไม่ต้องเร่งรีบ แต่เป็นไปตามที่พระเจ้านำเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ตื่นขึ้นมา ก็นำพาเราตลอด จนกระทั่งหลับ ในกลางคืน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อนได้ไหม? เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะถึงวัน คริสตมาส ตอนนี้ไปที่ไหน อย่างที่บอกพระคัมภีร์ได้ถูกทำให้สำเร็จ โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไปทุกแห่ง มันมากขึ้นทุกปี ไม่มีน้อยลงไป มีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชื่นชมยินดีกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเป็นจริงตามนั้นว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูจะต้องถูกประกาศไปทั่วโลก และจะถึงวันสิ้นสุด พระองค์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือความหวังของเรา

เพราะฉะนั้น เวลาคริสตมาสผมชอบไปเดินตามห้าง ไม่ได้ไปซื้อของและไม่ได้ตั้งใจไปเอาแอร์ เอาบรรยากาศ เดินดู แล้วมีความสุขดี เพราะขนาดคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขายังมีความสุขเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เรารู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? มองอะไรไป ก็เห็นถ้อยคำพระเจ้าในนั้น ฟังเพลง ก็ฟังถ้อยคำพระเจ้า อยู่ในเพลงเหล่านั้นหมด เพลงที่เปิดนั้น ทั้งหมดเลย พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทั้งนั้น

วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าบันทึกไว้อย่างไร? มันต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน และมันเป็นจริงๆ แล้วมันอัศจรรย์ที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เฉพาะพระคัมภีร์ตัวไบเบิ้ลได้ถูกพิมพ์และขายออกไปแล้ว ประมาณ 5,000 ล้านเล่ม ตกแล้วคนในโลกนี้ น่าจะมีคนละ 1 เล่ม ประมาณเกือบๆ 1 เล่ม เยอะที่สุด ขายดีที่สุด  เป็นหนังสือขายอันดับดีที่สุดของโลก มาเป็นหลายปีแล้ว ตลอดเลย ไม่มีใครทำลายสถิตของไบเบิ้ลได้เลย แล้วไบเบิ้ลนี้ ท่านเชื่อไหมว่าเรื่องราวในไบเบิ้ล เป็นเรื่องทั้งหมดกี่ปี? ใครรู้บ้าง? ตั้งแต่โมเสสเป็นคนเขียนเริ่มต้น เฉพาะเรื่องที่เขียนมาถึงปัจจุบัน ที่เราได้อ่านกันในพระคัมภีร์ใหม่

พระคัมภีร์ใหม่ เขียนสำเร็จ ประมาณสัก 100 ปีในช่วงพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ประมาณนั้น หนังสือนี้ถูกเขียนถึงสมัยโมเสส ประมาณ 4,000 ปี ช่วงระยะเวลาของหนังสือเล่มนี้ ที่เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องราวนะ เรื่องราวเกินกว่าเยอะเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ไม่มีวันเวลาด้วย นับไม่ถ้วนปี เป็นเลยล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระคัมภีร์เล่มต้น แต่เฉพาะเริ่มเขียน จนจบหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลา 4,100 ปี เขียนหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ประกอบด้วยเล่มเล็กๆ 66 เล่ม

เริ่มต้นเล่มแรก ก็คือหนังสือปฐมกาล หนังสือสุดท้าย คือวิวรณ์ เป็นการสำแดงล่วงหน้าว่าจะจบโลกนี้อย่างไร? ขึ้นต้นและจบสุดท้าย 66 เล่มใช้เวลา 4,100 ปี เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องนะ เรื่องยาวกว่านั้น แต่เขียน เฉพาะเขียนอย่างเดียว ตั้งแต่โมเสสเขียนมาถึงยอห์น 4,100 ปี ใน 4,100 ปี มีคนเขียนทั้งหมดตั้ง 40 คน ปกติหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนคนหนึ่ง หรือไม่ก็ 2 คน นี่เขียน 40 คน 4,100 ปี ปรากฏว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? เขาพิสูจน์แล้ว พิสูจน์อีกว่าเรื่องนี้ คนเขียนขึ้นมาเอง คนแต่งขึ้นมาใหม่  มันพิสูจน์อย่างไรก็ไม่ออก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมาเขียน แล้วมันตรงกันได้อย่างไร? โมเสสเขียนมาตรงกันกับสิ่งที่ยอห์นเขียน เมื่อ 4,000 ปีผ่านมาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร? แล้วไม่ได้ตรงแบบธรรมดา ตรงแบบเป๊ะๆ เลย นี่คืออัศจรรย์

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาว่าพระเจ้าแห่งอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงเป็นเหมือนกับพระเจ้ารู้อยู่แล้ว  มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ จริงๆ ไม่ต้องใช้พระคัมภีร์ก็ได้ แต่เดี๋ยวก็ไปเถียงกัน ไปว่ากัน วุ่นวาย คนนี้ถูก ฉันว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันมีพระวิญญาณอยู่ในฉัน เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาตรงกลาง ไปพิสูจน์เอง แล้วกันว่ามันเขียนไว้ในนี้มีไหม? มีหรือไม่มี ถ้าไม่มี ก็บอกว่าไม่มี มันผิด ถ้ามี ก็บอกว่ามี อย่าไปซีซั่วใส่เข้าไป อย่าไปแต่งเติมลงไป  เห็นไหม?

พระเจ้าทรงทราบก่อนล่วงหน้า ตั้งนานแล้วจึงได้เตรียมชายคนหนึ่ง ให้ไปเรียน โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเรียน นอกจากเตรียมสติปัญญาให้เขาเรียนแล้ว เรียนเก่งๆ ในเรื่องภาษาแล้ว ไม่พอ ยังต้องให้เรียนรู้จักเรื่องวิญญาณ เรื่องจิตใจ เตรียมใจเขาไว้ เตรียมความเชื่อเขาไว้ เริ่มต้น คนนั้น ก็คือโมเสส เตรียมโมเสสตั้งแต่โมเสสไม่รู้เรื่อง เล็กๆ ออกมา เกิดเหมือนเป็นกำพร้าเลยนะ แต่เตรียมเขาไว้แล้ว ให้ไปเรียน เรียนอย่างดี แบบลูกกษัตริย์เลย ลูกฟาโรห์เลย เรียน เพื่อจะได้เรียนรู้ และได้มาเป็นคนเขียน เริ่มต้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเขียนยากที่สุด ตอนเริ่มต้น ทั้งหมด 66 เล่มเล็ก รวมเป็นเล่มใหญ่ไบเบิ้ล เขียนโดยคน 40 คนบวกกับ 1 วิญญาณ ก็คือวิญญาณพระเจ้า พระเจ้าดลใจให้คนๆ นั้น 40 คนเขียน เป็นเรื่องเดียว เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนเขียน พระวิญญาณเขียน มันจึงเรื่องเดียวกันไง

มันจึงเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะว่าพระวิญญาณเป็นผู้เดียว แต่ผ่านทางคน 40 คนใน 40 สมัย ยุคประมาณ 4,100 ปี จึงเรื่องเดียวกันหมดเลย  อัศจรรย์ใหญ่ พระเจ้าเตรียมหมดเลย เตรียมคนแรก คือโมเสส เตรียมคนสุดท้าย คือยอห์น  เก่งด้วยกันทั้งคู่ เก่งแบบนักประวัติศาสตร์ นักจดบันทึก นักค้นคว้า นักเขียน คงไม่เตรียมเปโตรเป็นคนสุดท้าย เพราะเปโตรเป็นชาวประมง นึกออกใช่ไหม? หรือคงไม่เตรียมซาอูลเป็นแรก แต่เตรียมโมเสสเป็นคนแรก เราจึงได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

นี่พูดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นว่าทั้งหมดนี้  เป็นเรื่องๆ เดียวที่เขียนขึ้นมา ถามว่าเรื่องนั้น คือเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับทำอย่างไรมนุษย์จะได้ไปสวรรค์ ก็คือต้องเกิดใหม่ แค่นี้เอง ทั้งเล่มบอกแค่นี้เองว่ามนุษย์จะไปสวรรค์ ต้องไปอย่างไร? และเขาต้องเกิดใหม่ ผู้ที่มาบอกคนสุดท้าย ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วพูดเรื่องนี้ คือพระเยซู หลังจากนั้น ไม่ต้องมีแล้ว เพราะหลังจากพระเยซู ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายไม่ใช่มาลาคี แต่เป็นพระเยซู ไม่ใช่ยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ แต่เป็นคนหลังยอห์น บัพติศโต บอกว่า …

“คนที่มาข้างหลังฉัน จะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าที่ฉันจะไปผูกเชือกรองเท้า ด้วยซ้ำไป เขา คือเยซู เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง”

เห็นไหม? แค่คิดแค่นี้ ที่คิดได้ทั้งหมดนี้ ไปเดินเล่นนะ ไม่ได้ไปค้นคว้าอะไร? เราไปเดินเล่นเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลยนะ ถามว่าที่เดินเล่นนี้ คิด ใครคิด พระวิญญาณคิด เดินเล่นทำอะไร? คุยกับพระเจ้าไป คุยด้วย กินไอศกรีมไป  ไม่ได้อยู่ในห้องอธิษฐานหรอก นั่นแหละ คืออธิษฐานที่ลี้ลับของมนุษย์ ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอธิษฐานกับพระองค์ทุกเมื่อ คุยกับพระองค์ทุกอย่างได้ ไม่ใช่จะคุยกับพระองค์ ต้องเอาอย่างนี้ ท่านคิดไป พระเจ้าก็คิดตามท่าน พระเจ้านำท่าน ท่านยังไม่รู้เลย มองก็ไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? เหมือนอย่างที่ผมเคยเทน้ำร้อนลงไปในถุงชา แล้วผมถามว่าไหนล่ะ ตัวไหนชา ตัวไหนน้ำ ไม่เห็นเลย แยกไม่ออก มันเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันวิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระผู้ไถ่ของเรา ท่านทำอะไร พระเจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา อยู่ตรงนั้นแหละ จะทำผิด ทำถูก ทำอย่างไร? อยู่ตรงนั้นแหละ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สำนึกหรือไม่สำนึก พระเจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ รู้ไหมว่าพระองค์อยู่ด้วยตรงนั้นหรือไม่? พระองค์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่แล้ว ก็อยู่เลย และอยู่ตลอดไป พระองค์บอกว่าไม่มีใครหน้าไหน? ใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาท่านออกไปจากมือของฉันได้ เอเมน

ขอบคุณพระเจ้านะ นี่คือวันคริสตมาสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นความหวังเดียวของมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง มองไป มีความสุขในวันคริสตมาส แต่ก็แอบทุกข์ใจไม่ได้ ไม่ใช่เราทุกข์ใจ แต่พระวิญญาณทุกข์ใจ ทุกข์ใจตรงไหน? แหม! อยากให้คนอื่นได้รู้อย่างที่เรารู้นะ มันง่ายมากเลยข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้ามันง่ายๆ จริงๆ ง่ายจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ เป็นหินก้อนสะดุดให้กับมนุษย์ เพราะมันง่ายเกินไป มนุษย์ทุกคนเกิดมามีบาป อยากจะทำอะไรก็ตาม เพื่อล้างบาปตัวเอง ฟ้องผิดตลอดมาว่า …

“ฉันบาปๆ”

ก็เลย อยากจะหาอะไรทำ เพื่อจะลบบาปตัวเอง ตั้งแต่กำเนิด ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นอย่างนี้หมด มันจึงกลายเป็นประตูใหญ่ ที่พระเยซูบอก ประตูใหญ่ คือทุกคนอยากจะทำๆ มีประตูเล็กๆ ประตูเดียวที่ผ่านทางพระเยซู ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มาเลย บาปผิดอะไรต่างๆ สกปรกอะไรต่างๆ ก็เข้าได้ เข้าสวรรค์เลย  ไม่มีใครอยากเข้า เพราะทุกคนอยากทำด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป อยากจะล้าง ล้างไม่ออก ก็ล้างใหญ่เลย พยายามไปบอกคนอื่นให้ช่วยกันล้าง ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูมาถึงเราวันคริสตมาส ก็คือไม่ต้องลาเลย ล้างอย่างไรก็ไม่หมด มาหาฉัน ง่ายนิดเดียว  เชื่อแล้ว ก็เข้าไปเลย  ไม่เอา ขอไปทำเองดีกว่า มันเป็นอย่างนี้ มันจึงน่าเศร้า

พอเรารู้ความจริงอย่างนี้  พอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจึงทำมันง่ายอย่างนี้ เราจึงขอบคุณพระเจ้า เราจึง Amazing grace แต่ Amazing สำหรับเรา คือทำไมคนเขาไม่เชื่อ ก็พระเยซูบอกแล้ว ทุกคนไปทางกว้างหมด ไปประตูกว้างหมด ประตูเล็ก ไม่ค่อยมีใครมา ใครเข้าสวรรค์ ต้องเข้าประตูเล็ก ประตูเล็กคืออะไร? ไม่ค่อยมีใครมาหรอก เพราะไม่มีใครจะยอมเชื่อพระเยซู 100% จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะไปทำด้วยตัวเอง พยายามๆ พยายามไม่ได้ ก็ไปบอกคนอื่นพยายาม พยายามจนตาย บอกง่ายๆ ไม่เอา

นี่คือความทุกข์ทรมานช่วงคริสตมาส เวลาเราคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราปกป้องคุ้มครองดูแลข่าวประเสริฐให้ดีๆ สิ่งเดียวที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือข่าวประเสริฐจะต้องถูกประกาศออกไป ข่าวประเสริฐ คือข่าวดี ข่าวดีจริงๆ นอกเหนือจากข่าวดีแล้ว มันคือข่าวร้าย ถ้าไม่มาพึ่งพระเยซูทางเดียว ถือว่าเป็นข่าวร้ายทั้งหมด อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง  เป็นกฎ เป็นระเบียบอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นข่าวร้ายทั้งหมด ข่าวดี คือประตูแคบ เล็กๆ เอง คือไม่ต้องทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน ก็เข้าสวรรค์ได้ ไม่ต้องเป็นฟาริสีที่รักษาศีล รักษากฎระเบียบตั้ง 2-3 พันข้อ 500 ข้อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นเลย ใครก็ได้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู เจ้าของคริสตมาสเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ คือหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องประกาศออกไป คริสตมาสจึงมีไว้ เพื่อประกาศ ที่เราเห็นกัน ที่แจกของ มีของขวัญอะไรต่างๆ เหล่านั้น  คือหน้าที่ที่พระเจ้านำพาผ่านมนุษย์ เพื่อประกาศ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขากำลังประกาศ เพลงเหล่านี้ ที่ถูกดลใจโดยพระวิญญาณ  เพลง Silent night, Holy night อะไรต่างๆ ที่เราฟังอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งหนึ่งที่เป็นการประกาศ ต้องประกาศ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พวกเราที่นี่ก็ได้อิทธิพลมาจากข่าวประเสริฐอย่างนี้แหละ จนถึงวันนี้ เรามาถึงความรอดแล้ว ก็ส่งกันต่อๆ ไป  ความรัก ความหวังดี คือการให้ ให้ที่ดีที่สุด คือให้ชีวิตกับเขา เราทำได้แล้ว เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยวิธีการบอกเขาในเรื่องข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีของพระเยซู คืออะไร? เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018 เรื่อง “วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018

เรื่อง “วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่เราจัดเป็นวันพ่อ ได้มาระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน อันดับแรก ก็คือระลึกถึงพระคุณของพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา  คือพระเจ้า ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด จะได้ถูกรับเข้ามาเป็นลูกของพระองค์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่ 1 ปี ก็มาระลึกถึงวันนี้

และขณะเดียวกัน วันพ่อแห่งชาติ มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามาก คือทำให้เราระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่อีกอันหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือพ่อผู้ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์ ก็เลียนแบบ มีความรัก เหมือนกับพ่อที่เป็นพระเจ้า เพียงแต่ว่าพระเจ้าใส่ความรักของพระองค์ลงมาในคนที่เป็นพ่อ เพียงแต่ว่าพ่อเป็นมนุษย์ ตกลงไปในความบาป เสียหายไป บางทีรัก อยากจะรักมาก แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าความอ่อนแอของเนื้อหนังร่างกาย มันทำให้ไม่สามารถที่จะแสดงความรักอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่อยากจะทำได้

ฉะนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่เราน่าจะมาระลึกถึงว่าจริงๆ แล้วไม่มีทางไม่รักหรอก เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าความรักของพระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ คือผู้ที่เป็นพ่อ เพราะฉะนั้น เขาต้องรักเราแน่นอน  เพียงแต่บางทีบางอย่างเขาปฏิบัติไม่ได้ เราก็ต้องรู้ เราก็ต้องเข้าใจ ก็มาทำความเข้าใจกันในวันนี้ วันนี้คริสตจักรก็จัดเป็นวันพิเศษ เป็นความระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน

 

*****************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “Thanksgiving Worship and Prayers” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “Thanksgiving  Worship and Prayers”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ถ้าสังเกตจะเห็นว่านมัสการจะมีแต่เพลงขอบคุณ เพราะอะไร?  เพราะว่าเดือนนี้เป็นเดือนขอบคุณพระเจ้า ประจำปีของทุกๆ ปี คือเป็นเดือนที่มีวันขอบคุณพระเจ้าอยู่ในนั้น แล้วเราก็นำสิ่งนี้ นำโอกาสนี้มา ระลึกถึงพระคุณพระเจ้าร่วมกัน วันนี้ ก็เลยเป็นพิเศษ นมัสการพิเศษ เน้นเรื่องการขอบคุณพระเจ้า เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ และรู้ว่าพระคุณของพระเจ้า ต่อชีวิตเรานั้น เป็นเช่นไร เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง จะให้ต่างคนต่างขอบคุณส่วนตัว แต่จะขอแนะแนวให้ก่อนว่าเราควรจะขอบคุณพระเจ้าตรงไหน? มี 2 อันเท่านั้นเอง ความหวังในโลกนี้ และในโลกหน้า

ในพระเจ้ามี 2 อย่าง ความหวังปัจจุบันนี้ ตอนนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าสัญญากับเราว่าอย่างไร?  ดูแลเราอย่างไร? และความหวังในชีวิตหน้า ความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่เราจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล พระเจ้าสัญญากับเราไว้อย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา ในใจของเรา ยืนยันกับเราอย่างไรว่า 2 สิ่งนี้เป็นจริง นี่แหละ เราขอบคุณพระเจ้าใน 2 อย่างนี้

เอาอย่างแรกก่อน เราควรขอบคุณพระเจ้าเรื่องความหวังในปัจจุบัน คือพระเจ้าบอกว่าแม้นกในอากาศ มองสิ นกในอากาศมันเคยอดตายไหม? มันไม่ได้ทำมาหากินอะไร? มันไม่ได้หว่านข้าว ไม่ได้เก็บเกี่ยว พระเจ้าเลี้ยงนกเอาไว้ แล้วท่านล่ะ ท่านในที่นี่ คือใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซู ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สำคัญกว่านกนั้นตั้งเท่าไร? เห็นนกบินอยู่บนฟ้าทุกชนิด มีข้าว มีปลากิน อยู่ได้ดี ชีวิตของท่านพระเจ้าดูแลให้อย่างมากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเอาอะไรกิน วันนี้ พรุ่งนี้ จะทำอย่างไร? พระเจ้าดูแลให้ เห็นไหม? สัญญา

สัญญาที่สอง บอกว่าไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีความโหดร้ายใดๆ ไม่มีอิทธิพลใดๆ ไม่มีอาวุธใดๆ มาทำร้ายท่าน เอาท่านออกไปจากมือพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตาม ท่านเดินไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับท่านตลอดเวลา เห็นไหม?

นี่ 2 เรื่องแค่นี้  และท่านก็เห็นแล้วว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้จัดเตรียม จัดหาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านจำเป็นต้องใช้สอย จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะดูแลเลี้ยงดูท่าน ไม่มีวันขัดสน พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น  คนมาเชื่อพระเจ้าไม่เคยขัดสน

คำว่า “ขัดสน” บางคนก็บอกว่ายังขาดแคลนเงิน เรารู้สึกขาดแคลน แต่เราไม่ขัดสน เรามีพอกินพอใช้ มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็ใช้มาก บางคนมีน้อยใช้มากอีกต่างหาก เพราะมันมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ใช้ไป ให้ออกไป

แล้วอะไรที่จำเป็น เงินซื้อไม่ได้ อย่างที่ผมเคยบอก เงินซื้อไม่ได้หลายเรื่องเลย เงินซื้อไม่ได้ แต่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราได้ สันติสุข ความสงบสุข เงินซื้อได้ไหม? ไม่ได้ และอีกหลายๆ เรื่อง  ความสัมพันธ์ ผู้คนรอบข้างที่ดีงาม จิตใจที่ดีงาม ซื้อได้ไหม? ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา นี่คือความหวังใจอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง เราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง ผู้ทรงนำพาเราผ่าน  นี่สัญญาไว้อย่างนั้น

แล้วก็มีตัวอย่าง เช่น เปาโลก็เป็นตัวอย่างว่าพระเจ้านำพาเขาผ่าน ผ่านหมดทุกอย่าง ตอนอด ก็ผ่าน ตอนมีก็ผ่าน ตอนแข็งแรงดี ก็ผ่าน ตอนสุขภาพไม่ดี ก็ผ่าน ผ่านเพราะอะไร? เพราะพระเยซู พระเจ้าเสริมกำลังให้เขา เขาผ่าน เอเมน

สองสิ่งนี้เหมาะสมที่จะนำมาคิดในการขอบคุณพระเจ้าประจำปี จริงๆ ประจำวันของเราด้วยซ้ำ ประจำชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ปีหนึ่ง ครั้งหนึ่งที่เรานำมาเน้นให้ท่านได้ปฏิบัติ ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็จะมีพระพรมากยิ่งขึ้น

ใช้เวลานี้ในการขอบคุณพระเจ้าส่วนตัว ท่านก็อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าอย่างที่ผมบอกมา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความหวังเดี๋ยวนี้  ปัจจุบันบนโลกใบนี้ เดินบนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วงแล้ว

สองความหวังในโลกหน้า เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไม่ต้องกลัวตายเลย ตาย คือกำไรชีวิต เริ่มต้นใหม่ เข้าไปในสวรรค์สถาน หลุดรอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากตลอดไปเลย 2 สิ่งนี้ให้เราขอบคุณพระเจ้านะ …

“พระเจ้าเราขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ขอบคุณพระองค์ที่หลายครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าเราจะเผชิญปัญหานั้นได้อย่างไร? หลายครั้งที่ปัญหานั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้จริงๆ โดยสายตาของมนุษย์ เหมือนทางตัน แต่แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ก็เข้ามาในวินาทีนั้น ช่วยให้รอดไปอีกครั้งหนึ่ง บินขึ้นมาใหม่เหมือนนกอินทรีพร้อมกับพระองค์ ลูกทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ และมันเป็นสิ่งดี สำหรับลูกทั้งหลาย ที่จะดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วย

ขอทรงนำพวกเราทั้งหลายต่อไป แบบนี้ด้วยเถิด และขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ทุกครั้งที่เรานึกถึงความตาย ความเจ็บปวด อีกด้านหนึ่ง คือความปิติยินดีที่เราจะได้พักผ่อน อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลเสียทีหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถให้ความคิด ความสงบ การเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากความหวังใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราขอบคุณพระองค์ สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถซื้อได้ ไม่สามารถแสวงหาด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยกำลังของมนุษย์  แต่เป็นของประทานจากพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

เราทั้งหลายขอบคุณพระเจ้า สำหรับปีนี้ และปีต่อๆ ไป เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสฯ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศไทย ที่พระองค์ทรงให้เราได้มาเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ มีสันติสุข ความสงบสุขที่นี่ เป็นประเทศที่ปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ และมีอิสรภาพ เสรีภาพในการทำหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการแสวงหาความจริงในองค์พระเยซูคริสต์

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงประทานให้ในประเทศนี้ ที่ให้เราได้อยู่ร่วมกันเหมือนกันเหมือนครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่ง มีความผูกพันซึ่งกันและกัน

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับครอบครัวที่ดีงาม ที่พระองค์ทรงประทานให้เราได้อยู่อาศัยในคริสตจักร เหมือนครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่เราได้รู้จัก เป็นพี่เป็นน้อง หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน โดยท่ามกลางการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เราขอบคุณพระเจ้า

ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเลี้ยงดูเรา ไม่เคยขัดสน ไม่เคยขาดแคลน ไม่เคยอดตาย มีกินมีใช้ตลอดเวลา

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงแก้ไขให้หลายเรื่อง หลายสิ่งนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร? เหตุการณ์อย่างไร? แต่รู้ว่าไม่สามารถที่จะมีใช้มาช่วยเราในขณะนั้นได้ แต่พระองค์ก็มาช่วยเราทุกที ทุกครั้ง ตลอดเสมอมา เราขอบคุณพระองค์

และขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงประทานความมั่นใจ ยืนยันในจิตใจของเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเราเหมาะสมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างนี้แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งนี้

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ ขอชีวิตเราเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด ขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ในนามพระเยซู  เอเมน

 

*********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “ความหมายของการให้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “ความหมายของการให้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เดือนพฤศจิกายน ใกล้เทศกาลอะไรน๊า เทศกาลขอบคุณพระเจ้า เราก็มาเริ่มต้นคุยกันทุกปี ปีนี้พิเศษนิดหนึ่งว่าเราจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไร ถึงจะเหมาะที่สุด รู้ไหม?  มีอันเดียว ที่ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าให้เราขอบคุณตรงนี้ เพื่อชีวิตเราเอง ไม่ใช่เพื่อพระองค์เลย คนที่เป็นพ่อแม่ คนที่เป็นคนให้กำเนิด ก็จะมักจะอย่างนี้เสมอ ไม่เคยคิดถึงตัวเองหรอก คิดถึงคนอื่นเสมอ บางทีสอนไป ให้ทำไป ดูเหมือนทำให้พระองค์ แต่ไม่ได้ทำให้พระองค์หรอก ส่วนประโยชน์อันใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นกับคนทำนั่นแหละ ก็คือลูกคนนั้นที่กตัญญู พระเจ้าบอกว่าถ้าอยากจะรับใช้พระองค์ ให้มีชีวิตด้วยการให้

วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องการให้ นานจะคุยทีหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บาดใจมาก ไม่อยากจะคุยเลย คุยทีไรมันสะเทือน เพราะมันสะเทือนหัวใจที่สองของเรา ซึ่งสำคัญกว่าหัวใจแรกอีก  หัวใจแรกเราอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา? ทางซ้าย  หัวใจที่สองอยู่ซ้ายขวาเลย รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน? กระเป๋าตังค์ พูดถึงกระเป๋าตังค์ ทุกคน  วันนี้จะพูดถึงการให้

การให้ คือการต้องให้ออกไป หลายคนไม่เข้าใจ มาหาพระเจ้า  เวลาจะให้ จะถวาย  ทำไงรู้หรือเปล่า? ตั้งเป้าเลย อยากจะได้คืนตรงนั้น อยากจะได้คืนตรงนี้ อยากได้ตรงนั้น อยากได้ตรงนี้ เลยไม่ได้เลย เพราะว่าการให้ ให้โดยตั้งใจว่าอยากจะได้คืน ไม่ใช่ให้เลยไง เอาใหม่อีกที การให้โดยที่เราตั้งใจหวังว่าจะได้คืน ไม่ว่าจะคืนน้อย คืนเยอะ คืนอะไรก็ตาม มันก็คือไม่ได้ตั้งใจจะให้ ถูกไหม? เราเรียกว่าอะไร? ถ้าทำอย่างนั้น อย่างท่านไปตลาด

ท่านตั้งใจจะซื้อมะม่วงสักโลหนึ่ง ท่านเอาเงินให้เขา 200 เพื่ออะไร? ท่านให้เงินเขาไป 200 ท่านให้เงินเขา 200 ใช่หรือเปล่า? ไม่ได้ให้ ท่านแลกกับมะม่วงที่ท่านตั้งใจอยากได้ อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าให้ เห็นหรือยัง? นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ให้เราได้สังเกตเห็น

อีกอันหนึ่ง แง่มุมหนึ่งที่ให้เห็น ก็คือขณะที่เราไปกับเพื่อนเรา เราทานข้าว 2 จาน สั่งจานหนึ่ง แล้วยังไม่อิ่ม สั่งอีกจานหนึ่งมา ปรากฏว่าสั่งอีกจานหนึ่งมา อิ่มเกินไป กินได้ครึ่งจานอิ่มแล้ว อีกครึ่งจานเราให้เพื่อน  แบ่งให้เพื่อน เราให้เธอ เราให้เขาไหม? ถามจริง เราให้หรือเปล่า? อีกครึ่งจานเราให้เขาไหม? ไม่ได้ให้ ทำไม?  เราเหลือ เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาสักหน่อยเลย เราเหลือ เรากินไม่หมด เราจะทิ้งแล้ว ทิ้งไป ก็เสียดาย เพราะฉะนั้น ให้ดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ให้ บางคนบอกฉันเสียดายนะ เอาไปให้เขาดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ให้ ให้ในลักษณะของพระเจ้า ไม่ใช่แบบนี้

แค่ยกตัวอย่าง 2 อย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าคำว่าให้ในลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของพระเจ้า แปลว่าอะไร? คำที่พระเยซูพูดว่าการให้ เป็นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่ายิ่งการรับ การให้ที่พระเยซูพูด หมายถึงอะไร? หมายถึงการแลกหรือ? หมายถึงการลงทุนหรือ? เพื่อจะหวังกำไรหรือ?  ไม่ใช่ แต่การให้เป็นลักษณะอย่างนี้ อยู่ใน 2 โครินธ์ 9:6 จะได้รู้ว่าที่แล้วมาทั้งปี หรือบางคนเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ตั้ง 10 ปีแล้ว ได้ให้อะไรบ้างไหม? ปรากฏว่าคิดมาแล้ว ไม่ได้ให้เลย ทั้งหมดเป็นการลงทุน และเป็นการทิ้งขยะของเหลือ เสียดาย ไหนๆ จะทิ้งอยู่แล้ว ก็เลยไปให้คนอื่นเขา อย่างนี้ไม่ได้ให้แบบพระเจ้า

2 โครินธ์ 9:6-8 6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรใหตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง

 

ตะกี้ผมอ่านแบบตกร่องให้ท่านเห็น  เพื่อให้ท่านจำแม่นๆ ว่านี่คือการให้ จำไว้ ให้ต้องคิดหมายไว้ในใจว่าเราตั้งใจให้จริงๆ ให้ ก็คือให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาถึงเรียกว่าให้ ถ้าหวังแม้แต่นิดเดียว คือจะเป็นลงทุนก็ตาม จะเป็นเศษของ ของเหลือ ก็ตาม ช่วยเอาไปเก็บที ช่วยเอาไปทิ้งขยะที นั่นแหละ เรากำลังบอกเพื่อเรา เอาไปทิ้งขยะที  แหม! ทำเป็นมีบุญคุณอีกนะ ให้เขา ตัวเองก็กินไม่ลง อย่างไรก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว นึกออกใช่ไหม? เสื้อขาดๆ แทนที่จะเอาไปทำขี้ริ้ว แต่เอาไปให้เขา แล้วก็บอกว่าให้ ไม่จริง

ถ้าท่านอยากให้จริงๆ ยกตัวอย่างเสื้อขาดๆ คุณต้องเอาเสื้อที่คุณรักที่สุด อย่างนี้แหละ ท่านจะชัดเลยว่านี่ให้จริง เวลาให้ มันจะมีเหมือนมีดเฉือน เลือดชิบๆ นิดๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าให้ พระเจ้าทำเป็นตัวอย่าง ยอห์น 3:16 พระเจ้าทรงให้พระบุตร คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา นี่แหละให้ เลือดชิบๆ มีเสียสละลงไป นั่นแหละ คือการให้

“คิดหมายไว้ในใจ” คือตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เสียใจเลย มีแต่สุข ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ ยังไม่ทันให้เลย แค่ตัดสินใจได้แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราตั้งใจจะมาโบสถ์ คิดว่าจะเอาเงินมาให้ เพื่อมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า การเอาเงินมารวมกันที่โบสถ์ โบสถ์ ก็คือสถานที่ของพระเจ้า เพื่อจะเอาไปประกาศข่าวดีหลายๆ ทาง แล้วแต่ ให้ข่าวดีออกไป เป็นการงานดี ตั้งใจจากที่บ้านแล้ว ตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจตั้งแต่ที่บ้านแล้ว วันนี้ 10 บาทนี้จะให้ออกไป จบสิ้น พออธิษฐาน เอเมนปุ๊บ มีสุขแล้ว  เพราะไม่ได้นึกว่า 10 บาทนั้น มันไม่ใช่ …

“พระเจ้า ลูกให้ไป 10 บาทแล้ว พระองค์สัญญา (เปิดพระคัมภีร์เลย 2 โครินธ์ บทที่ 9 เมื่อตะกี้) พระองค์จะให้ลูกเหลือล้น ให้ทุกอย่างที่ลูกจำเป็น โอ้! เหลือล้น มีทรัพย์สินเงินทองเยอะแยะ ลูกเหลือล้นมีมากมาย”

ไม่ใช่วิธีนั้น … ใช่ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปหวังว่าจะต้องเหลือล้นอย่างนั้น จะต้องเหลือล้นอย่างนี้  ในนี้บอกมีทุกอย่างที่จำเป็น แล้วใครเป็นคนตัดสินใจจำเป็น? ใคร? เราเหรอ ถ้าเราจำเป็น มันจำเป็นไปหมด มากกว่ารถเบนซ์ ยังจำเป็นเลย มีรถเบนซ์ก็อยากจำเป็นเป็นรถยี่ห้ออื่น ไปดวงดาว ก็จำเป็นไปดวงอื่นต่อๆ ไป ไปดวงจันทร์ได้ ก็จำเป็นที่จะไปดวงดาวพฤหัสฯ ที่ไกลออกไป ไม่มีวันจบวันสิ้น นี่คือจำเป็นเหรอ เราไม่มีทางหรอก เพราะเราอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในความบาป อยู่ในความอ่อนแอ เป็นไปไม่ได้หรอก ดังนั้นความจำเป็นตรงนี้อยู่ที่พระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้เราทุกอย่างที่เราจำเป็น ถ้าเราอธิษฐานอย่างนี้ว่าเราตัดสินใจถวาย 10 บาท จบ พรุ่งนี้ให้ออกไปเลย จบแล้ว เรานอนหลับสบาย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะว่าไม่ว่าเราจะจำเป็นอะไร เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้เอง อย่างนี้ คือเรียกว่าให้ เอเมนไหม? จบสักที

นึกว่าพระเจ้าเป็น ATM นึกว่าพระเจ้าเป็นสลอดแมนชีน ให้ไป 10 บาท กะจะได้ 100 นี่คิดการค้าเกินควร ตำรวจควรจำนะเนี้ย  เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่แย่มากเลย จะเอาตั้ง 10 เท่า 100 เท่า เห็นพระเจ้าเป็นแบบหมูๆ ให้ไป 10 บาทจะเอามา 100 เอามาพัน ไม่ใช่หน้าที่เรา  นี่แหละคือเคล็ดลับของการเจริญรุ่งเรืองในทางพระเจ้า มันนิดเดียวเอง ทำได้ไหม? นานๆ พูดที ทำได้ไหม? ทำได้ อดทนหน่อย ฝึกตั้งแต่นิดๆ หน่อยๆ 10 บาท ก็ทำได้ ถ้าท่านทำ 10 ได้ 100 บาทก็ทำได้  100 บาท ต่อไปเป็นพันก็ทำได้ เห็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นสิบล้าน เป็นยี่สิบล้าน เป็นร้อยล้านท่านก็ทำได้ เพราะมันเริ่มจากนิดเดียว อย่ารอบอกพระเจ้า …

“พระเจ้าให้ถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อน จะให้เลย”

ไม่มีวันให้หรอก อย่างนี้ก็โลภตลอดชีวิต ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันต้องมาจากนิดเดียว ถ้าน้อยท่านให้ได้ ใหญ่ก็ให้ได้ น้อยยังให้ไม่ได้เลย อย่าไปหวังเลยว่าพอมีเยอะๆ แล้วจะให้ เป็นไปไม่ได้ ทุกคน พอเป็นไปไม่ได้ นึกถึงจะเป็นไปได้ทุกที แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก …

“รอให้ฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อนเถอะ ฉันจะสร้างโบสถ์เองเลย จะถวายครึ่งหนึ่งของที่ถูกเลย”

สมมติว่าถูกจริงๆ ให้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน ถ้าบางคนบอกว่าให้ ถูกเลย ให้ครึ่งหนึ่ง ก็หวังพระเจ้าจะให้อะไรมาอีกไหม? ไม่มีวันจบสิ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าโลภ ซึ่งพระเยซูบอกว่าจงระวังความโลภทุกชนิด  ทุกคนรู้วิธีการให้ แล้วแต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลาด้วย 10 บาท เมื่อคืนตัดสินใจให้ไปแล้ว เงินยังไม่ได้จ่ายออกจากกระเป๋าเลย มีความสุข นี่แหละ มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ โอ้โห ยิ้มตลอดเลย  ยิ้มหวังว่าจะได้ เปล่า ยิ้มหวัง พระเจ้าดูแล แม้กระทั่งนกในอากาศ  พระองค์ยังดูแลเลย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ลูกเป็นลูกพระองค์ พระองค์จะดูแลลูก เพราะลูกเป็นลูกที่เชื่อฟัง จบ

ลูกเป็นลูกที่ไม่โลภ แล้วแต่พระองค์ แล้วแต่ทุกอย่าง ชีวิตมีความสุข แล้วในนี้บอกว่าทุกเวลา ทุกเวลา คือคุณจำเป็นอะไร? ทุกเวลา มันไม่แน่นอน วันนี้ท่านอาจจะจำเป็นใช้เงิน แต่ในวันข้างหน้าอีก 10 ปีท่านอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว เพราะเงินท่านมีแล้ว  หรืออาจจะไม่มี แต่เงินก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้น  อย่างอื่นมากกว่าที่ช่วยได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไร เงินก็ช่วยไม่ได้ ถูกไหม? แต่อาจจะเป็นคนข้างเคียงช่วยได้ อาจจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้โดยเฉพาะมาช่วยคุณได้ พระเจ้าจะส่งคนนั้นแหละมาหาคุณ เอาสติปัญญามาให้คุณ เงินก็จะช่วยไม่ได้ เอเมนไหม? เยอะแยะมากมาย ในชีวิตเราก็ผ่านมาเยอะ ทุกเวลา เวลาไหนก็ตาม เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้อะไรต่างๆ มาถึงที่เลย  ใครเอามาให้ พระเจ้าจัดเตรียมให้ และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง

ล้นเหลือทำการดี ไม่ได้หมายถึงเงินนะ บางทีแรง บางทีสติปัญญา  บางทีโอกาสด้วย บางครั้งมันมีโอกาสให้ท่านทำดี มันมีโอกาส บางคนไม่มีโอกาส พระเจ้าเปิดโอกาสให้ท่านมีโอกาสทำดี ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าพาท่านเผอิญเดินไปเจอคนกำลังเป็นลม ล้มฟุบลงไป พระเจ้าทำการงานในใจของท่านช่วยเขา ดูแลเขาอย่างดี จนกระทั่งเขาหายดีเลย เรียบร้อยแล้ว ท่านรู้สึกมีความสุขมากเลย ที่ได้ให้ตรงนี้ออกไป ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลยว่าวันนี้ ท่านจะเดินออกจากบ้าน เคยมองดูใครล้มบ้าง ท่านไม่ได้ดู ท่านก็ทำงานชีวิตของท่านไปเรื่อยๆ อยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา แต่พอเกิดขึ้นปุ๊บ ทันทีปุ๊บ เวลานั้นทันที ท่านต้องการอะไร? ท่านได้รับการทรงนำจากพระเจ้า เรื่องความรัก ความเสียสละ ความเสี่ยง ที่จะกล้าทำ บางครั้งมันเสี่ยงนะ เขาอาจจะอยู่กลางถนนก็ได้ ท่านต้องเสี่ยงบ้าง แต่พระเจ้าจะบอกท่านว่าให้ทำอะไรบ้าง? ในขณะนั้น  แล้วท่าน พอทำเสร็จแล้ว ท่านดูเป็นฮีโร่เลยนะ นี่คือการดี ฮีโร่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่อย่าไปรับนะ อย่าไปรับว่าเราเป็นฮีโร่ เราขอบคุณพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป นั่นคือหนึ่งบทบาท ในชีวิต ไม่ได้มีเป็นหยากเยื่อเลย สำหรับเรา ขอบคุณพระเจ้า  เป็นการดีอันหนึ่ง ที่พระเจ้าทำผ่านชีวิตเรา จบ ไม่ใช่เราควรจะได้รับเกียรติ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป เห็นไหม?

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเรา แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในการให้ด้วยความตั้งใจจริงจากข้างในว่าให้เพราะความยินดี คืออะไร? ให้จริงๆ นะ ไม่ใช่ให้เพื่อหวัง เอเมน

จากนี้ต่อไป รู้จักการให้แล้วนะ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาประมาณ 11 โมงกว่าๆ คริสตจักรก็จะมีเวลาให้ท่าน ช่วงนี้ เป็นเวลาที่แล้วแต่ท่าน จะบอกท่านเสมอว่าทำใจให้สบาย จะให้ไม่ให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วไม่ต้องให้วันนี้  เดี๋ยวนี้ก็ได้ ไปให้ที่อื่น แอบให้ อะไรก็ตาม อยู่ที่ท่าน วิธีการให้ ผมอยากจะบอกท่าน เป็นพยานกับท่านว่าคนทำอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้จริงๆ

ถ้าใครอยากได้พระพรที่พระเยซูบอกว่าเป็นสุขมากยิ่งกว่าการรับ ใครอยากได้ล้นเหลือ มีทุกอย่างเท่าที่จำเป็นในทุกเวลา  จงให้ๆ อย่าหยุดให้ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? จะแนะนำท่านว่าจงให้เถิด ยิ่งให้มากเท่าไร? ท่านยิ่งได้มากเท่านั้น คำว่า “มาก” ไม่ใช่เงินจำนวนมากๆ หมายถึงให้ตามกำลังของท่าน คนมีล้านหนึ่ง เขาให้ 10 บาท กับคนมี 10 บาท เขาให้ 10 บาท มันต่างกันเยอะเลยนะ คนมีล้านหนึ่งให้แสนหนึ่ง กับคนมี 10 บาท ให้ 9 บาท ต่างกันเยอะเลยนะ มันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันอยู่ที่จำนวน การเสียสละของท่านออกไป  การเฉือนเนื้อของท่าน การเฉือนหัวใจของท่านเจ็บปวดขนาดไหน? ท่านยอมออกไปนั้น  ตัวนี่แหละ คือตัวกำหนดว่ามันเยอะขนาดไหน? ซึ่งมันวัดกันไม่ได้ คนมีความสามารถอยู่หนึ่งแสน มันหลอกไม่ได้หรอก ก็รู้ว่าตัวเองมีแสนหนึ่ง คนมีหนึ่งพัน ก็หลอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองมีหนึ่งพัน เพราะฉะนั้น เขาเฉือนจากหนึ่งพัน ไปร้อยหนึ่ง 10% นะ แต่คนมีแสนหนึ่ง เฉือนร้อยหนึ่ง เฉือนออกไปห้าร้อย เฉือนออกไปพันหนึ่ง สู้คนนี้ไม่ได้เลย มี 1% เท่านั้นเอง มันเป็นตัวเปอร์เซ็นต์มากกว่า

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ให้ท่านได้สังเกตว่าได้ให้มากมาย แล้วพยายาม คือฝึกฝน ครั้งแรกยกได้น้อย ต่อไปจะยกได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นกฎกติกาที่พระเจ้าวางไว้  กล้ามเนื้อในการให้ออกไป มันจะเพิ่มพูนขึ้นๆ อย่าไปอยู่ดีๆ แบกหนักๆ ล้มทับตาย ทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้เดือดร้อนเลย  แต่เป็นการฝึกฝน เอาใจใส่ ตั้งใจจริง  เอเมน

 

*********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2018 เรื่อง “จงยึดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2018

เรื่อง “จงยึดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้ว เราไปค่ายกัน สนุกไหมครับ? คนที่ไปมา สนุกไหม?  สนุก ปีหน้าไปอีกไหม? ไป ปีนี้สนุกนะ  คือไม่ได้ไปทำอะไร สนุกดี  ปีหน้าไปอีกนะ ปีหน้าใครที่ยังไม่เคยไป ปีนี้ ก็ไปปีหน้า แต่จะอีกหรือเปล่า ก็ไม่รู้นะ แล้วแต่พระเจ้า

พูดถึงคำอธิษฐานที่บอกว่าเรากำลังจะย้ายสถานที่ไปไหน เราไม่รู้นะ? หมายถึงที่นี่จะหมดสัญญาอีก 3-4 ปีกว่า เราก็จำเป็นต้องย้าย เพราะฉะนั้น ก็มีการจัดเตรียมตามลักษณะของปัญญามนุษย์ทุกคน ก็ต้องเคลื่อนไหว เตรียมตัวบ้าง ไม่ใช่เชื่อพระเจ้า แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ก็เลยถือโอกาสนี้ มานั่งคุยกันตรงนี้ นิดหนึ่งว่าหลายคนเข้าใจผิดว่าพอเป็นโบสถ์ หรือเป็นคริสเตียน ทำอะไรแล้ว มีพระเจ้าอยู่แล้ว มันต้องสำเร็จอยู่เรื่อยไป มันต้องสำเร็จแน่ เพราะใคร? พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ ก็อ้างไปเยอะแยะมากมาย สรุปแล้ว คือความสำเร็จ คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด เมื่อมารู้จักพระเจ้า เขาคิดว่าอย่างนั้น ซึ่งจะถูกหรือผิด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร?

ก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง เหมือนตัวอย่างที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าที่เคยบอกว่าเวลาเราฟังอะไร สิ่งสำคัญที่สุด ต้องฟังให้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วจึงสรุปได้ว่าเรื่องนี้มันเรื่องอะไร? อย่าเหมือนกับคำพังเพย ที่เขาบอกว่าฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็พูดแล้ว จบแล้ว สรุปว่าตัวเองคิดว่าอย่างนี้  พอมันผิด มันผิดไปเรื่อยๆ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น  ในทางวงการคริสเตียน ก็คือเมื่อตะกี้ที่เล่าให้ฟังว่าเป็นคริสเตียน ต้องสำเร็จ มันต้องยิ่งใหญ่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เสมอๆ

จำเรื่องนี้ได้ไหม? เรื่องซึ้งจัง … ซึ้งจังเป็นคนญี่ปุ่น เป็นเจ้าของร้านกาแฟ สวยงาม น่าหลงใหล มีเสน่ห์ที่สุด ตั้งแต่ผมเคยพบมา เกิดมาไม่เคยพบอะไรอย่างนี้เลย ตั้งใจว่าวันหนึ่ง จะต้องกลับไปหาซึ้งจังให้ได้

จบแค่นี้ก่อน ยังไม่ได้อ่านต่อ ผมอาจจะถูกบอกว่าไปหลงผู้หญิงอีกเหรอ ถูกไหม? ฟังดูเหมือนอย่างนั้นใช่ไหม? แต่คุณรู้ไหมว่า ถามจริงๆ ที่พูดเมื่อตะกี้ทั้งหมด ท่านคิดว่าอะไร? ซึ้งจังสวยไหม? เพราะยังไม่ได้อ่านตอนต่อไป ท่านก็เอาไปกระเดียดแล้ว

“นี่นะเป็นอย่างนี้นะๆ คนนี้เขาไปที่นั้น เจอซึ้งจัง คงจะสวยมาก คงจะมีเสน่ห์ คงจะสวยงาม คงจะน่ารัก”

คงจะอะไรต่างๆ คิดไปใหญ่โต จังไปกระเดียดแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ ยังไม่อ่านตอนจบเลย บทมันยังไม่จบเลย  อ่านไปเศษหนึ่งส่วนสี่บท แล้วก็จบแล้ว แล้วก็จบไปกระเดียดแล้ว เหมือนเราอ่านพระคัมภีร์เพียงแค่วรรคเดียว แล้วเอาไปใช้ เช่นบอกว่าต้องสำเร็จแน่ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ว่าข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ทุกคนก็ร้องพร้อมกันว่าเอเมน ทุกคนร้องพร้อมกัน เพราะอยากได้คริสตจักรใหญ่ๆ อยากได้แอร์เย็นๆ อยากได้สบายๆ เหมือนกันทั้งสิ้น  มนุษย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย ไม่ผิด ก็เลยเอเมนกันใหญ่ คนเชียร์ก็เชียร์เต็มที่ เอาอ้างพระคัมภีร์ขึ้นมา  อย่างนี้มันชัดดี ในพระคัมภีร์ฟีลิปปี 4:13 บันทึกอย่างนี้ ขึ้นพระคัมภีร์ให้เห็นเลย ทุกคนก็เชื่อเลย 4:13 คือประโยคเดียว ในจำนวนพระคัมภีร์ฟีลิปปีอีกตั้งหลายหน้า หลายบท หลายบทไม่พอ แล้วพระคัมภีร์ฟีลิปปี ก็เป็นหนึ่งในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ที่ยังอยู่ในจำนวนพระคัมภีร์ใหม่อีกหลายเล่ม ยังอ่านไม่จบเลย  เหมือนซึ้งจังเมื่อตะกี้

สรุปแล้ว ซึ้งจังสวยไหม? เราต้องไปอ่านต่อ เพราะถ้าอ่านต่อไป ตะกี้นี้ เราอ่านจบที่ตรงไหนนะ … ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะไปพบซึ้งจังอีกครั้งหนึ่ง เพราะหลงใหล เสน่ห์ของเธอมาก ถูกไหม? เสร็จแล้วอ่านต่อไป บอกว่า … แม้ว่าซึ้งจังจะอายุ 90 แล้วก็ตาม ทั้งตาเข่ ทั้งขาสั้นข้าง ยาวข้าง แต่ทุกเช้า ตลอดระยะเวลา 7-80 ปี เธอไปเก็บชาด้วยตัวเอง ในภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกสดใส เธอชงชาด้วยตัวเอง บรรยากาศของร้านกาแฟนั้น ทำอย่างหรูหรา แบบธรรมชาติ ที่ใครไปแล้ว ต้องหลงใหลทุกคน

รอดไปแล้ว เห็นไหม? กลายเป็นที่พูดมาทั้งหมด ตั้งแต่ต้น กำลังพูดถึงอะไร? คนหรือสถานที่? สถานที่ ไปคนละเรื่องเลย เห็นไหม? แค่นี้เอง เห็นอะไรบางอย่างไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดูชัดๆ ว่าเป็นไปได้เยอะแยะ และในปัจจุบันเยอะมากเลยแบบนี้ เพราะปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการสื่อสาร สื่อสารกันง่าย เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะไปกระเดียดอย่างที่ผมบอกเยอะเลย ฟังเขามานิดหนึ่ง อ่านในไลน์มานิดหนึ่ง ก็ไปกระเดียด อะไรก็ไม่รู้เลย กระเดียดแล้ว บางคนเอาข่าวเก่ามา ลืมอ่านไป ในนั้นเขาบอกว่าเมื่อปี 2015 เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ไปอ่านแต่ตอนต้น ตอนจบไม่อ่านว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร? ไปเตือนกันใหญ่เลย

“ไฟกำลังจะไหม้ที่นี้ ที่นี่เมืองกำลังจะถล่ม”

ไปดู เป็นข่าวเก่า อย่างนี้เป็นต้น อีกเยอะแยะมากมาย อย่างนี้ต้องระวัง

กลับมาที่ตะกี้นี้บอกว่าพระคัมภีร์บอกว่าฟีลิปปี บท 4 บอกว่า … ข้าพเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง  …

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในพระเยซู ทุกคนในนี้ พระเยซูเสริมกำลังเราทุกคน ต้องทำโบสถ์ให้ดียอดเยี่ยม พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ จะมาให้นั่ง แบบไม่มีแอร์ได้อย่างไร? เห็นไหม? แล้วคริสเตียนทั้งหมด มีแอร์ไหม? ทั้งโลก แล้วพวกเราทำไมอยู่ได้อย่างนั้น  เราไม่คิดถึง เราไม่ได้ไปค้นความจริงว่ามันคืออะไร?

โอเค ค้นใกล้ๆ นิดหนึ่ง แบบซึ้งจังเมื่อตะกี้ ในพระคัมภีร์บทนี้ บทที่ 4 พูดถึงเรื่องอะไร? ก่อนที่จะมาจบด้วยว่า … ข้าพเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง  … สรุปรวมๆ ในข้อนี้ มันอยู่ในบทความยาวๆ อันหนึ่ง ที่เปาโลกำลังบอกว่าชีวิตคริสเตียน เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราไปรอดแล้ว เราไม่ต้องห่วงอะไร? มีอะไรอยู่อย่างสงบ สันติสุข อธิษฐานกับพระเจ้าทุกสิ่ง อย่ากังวลในสิ่งใดๆ เลย ฝากไว้ที่พระเจ้านะ เสร็จแล้วอะไรต่อไป เสร็จแล้วก็บอกคริสเตียนต่อไปว่าท่านคิดถึงข้าพเจ้า อยากจะมาร่วมงานข้าพเจ้าดีแล้ว เตรียมเงินต่างๆ เหล่านั้นไว้ กลัวว่าข้าพเจ้าจะไม่มีกินใช่ไหม? เพราะได้ยินข่าวว่าข้าพเจ้าอดๆ อยากๆ จะบอกให้ฟังนะ ตัวนี้ เขาเรียกว่าตัวสำคัญ สาระสำคัญที่สุด ในบทนี้ เขียนว่าอย่างไร?

“ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในการที่จะพึ่งพอใจในทุกสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น ในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าพึ่งพอใจในทุกสถานการณ์ๆ ทุกสถานะที่ข้าพเจ้าอยู่ ไม่ว่าจะอดอยาก หรือร่ำรวย หรือมีกิน มีใช้ พอเพียง มีชื่อเสียง ไม่มีชื่อเสียง อยู่ในคุกหรืออยู่ข้างนอก  รวมทั้งหมด ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์เหล่านี้ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า เอเมน

เปลี่ยนไปไหม? เปลี่ยนเลย  เอาข้อความนี้มาพูดตะกี้นี้ บอกว่าฮาเลลูยา เอเมน คริสตจักรจะเป็นอย่างไรในอีก 4 ปี จะมีแอร์หรือไม่มีแอร์ ข้าพเจ้าก็พึ่งพอใจอย่างนั้นแหละ แล้วแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เอเมน

แต่ไม่ใช่ไม่ถวายเลยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คนละเรื่องอันนะ การถวาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เข้าใจใช่ไหมว่านี่มันคือบริบท  คือเหมือนกับตะกี้เราอ่านจดหมายฉบับหนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับซึ้งจัง นี่คือความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง และชอบเอาคำนี้ ไปใช้ทั่วไปหมด แล้วก็บอกว่ามาจากพระคัมภีร์ๆ ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ดูถูกพระเจ้าของเราว่าพระเจ้าไม่แน่จริง

“ไหนล่ะ สัญญาไว้อย่างนี้ ไม่เห็นทำตามเลย”

จริงๆ ไม่ได้สัญญาเรื่องนี้สักหน่อย สัญญาว่าเมื่อเรารอดความบาป ในพระเยซูคริสต์ช่วยเรารอดจากความบาป ชีวิตเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เราสบายแล้ว ตรงนั้นมากกว่า ส่วนชีวิตบนโลกนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเราไปทีละก้าวๆ เอง ไม่ได้สัญญาว่าอยู่บนโลกนี้ แล้วมันจะสบาย  เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว มันจะสำเร็จ ทุกอย่าง ทำอะไรก็สำเร็จ ป่านนี้เราคงเห็นคริสเตียนเป็นเจ้าของตึกใหญ่โต บริษัทร่ำรวย ทั้งหลายเป็นคริสเตียนหมดเลย แล้วผู้คน ก็เข้าคิวมาที่โบสถ์กันหมดเลย มาเพื่อสมัครขอเป็นสมาชิก ขอรับเชื่อในพระเยซู เพราะต้องการพระเยซู ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก เพราะต้องการความสำเร็จในชีวิต แล้วมาไหมล่ะ มีใครมาบ้าง? ไม่มาสักคนหนึ่ง เพราะเขารู้ว่ามันไม่ใช่

แล้วไม่ใช่ เรายังมาโกหกกันเองอีก หยุดสักทีหนึ่ง หยุดพูดตรงนี้สักทีหนึ่ง มาเพื่อเชื่อพระเยซู แล้วไม่เจ็บป่วยเลย  พอกันสักทีหนึ่งได้ไหม?  มาเชื่อพระเยซู ทำอะไรก็สำเร็จหมด พอสักทีได้ไหม? ยอมรับความจริงอย่างนั้นได้ไหมว่าพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อ ไปค้นดูก็ได้  ค้นดูไม่พอ ดูชีวิตคนตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบันนี้ ที่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างนั้นหรือไม่? มีทั้งคนที่เจริญเติบโต เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต มี มีคนที่เป็นขอทาน ก็มี เป็นคนที่แข็งแรง ถึงระดับยักษ์ใหญ่ก็มี เป็นคนที่เจ็บป่วยตั้งแต่เริ่มต้น พิการตั้งแต่เริ่มต้น ก็มี แต่คนเหล่านี้ มีสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือเขาสันติสุข มีความพึ่งพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เอเมน ตรงนี้มีเท่ากันหมดเลย  แต่ส่วนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ พระเจ้าไม่ได้พูดไว้ในสัญญาตรงนั้น ก็อย่าไปกระเดียดพูดสิ พูดตามที่พระเจ้าบอก จบ จบตรงไหน? ตรงนั้น ไม่ต้องเอาไปกระเดียดต่อ

นี่คือวิธีการ ไม่อย่างนั้น เราจะเห็น เอะอะอะไร ก็จะมาบอกว่าพูดไปสิ พูดไปให้เกิดกำลังใจนะ แล้วจะทำให้สำเร็จ ในนามพระเยซู ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันต้องทำให้สำเร็จ แล้วสำเร็จไหม? ไม่สำเร็จ ถ้าสำเร็จจริง ป่านนี้ทั้งโลกคงเข้ามาที่โบสถ์ มาเรียนรู้วิธีนี้ แล้วก็เรียนรู้ ไม่ต้องมีโรงเรียนแล้ว มาเรียนตรงนี้ดีกว่า เรียนตรงนี้เรื่องเดียว รับรองทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว แล้วไปเรียนทำไม  โรงเรียน ด็อกเตอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องเรียนแล้ว มาเรียนเรื่องวิธีเอาถ้อยคำพระเจ้ามาพูด มาอธิษฐาน เพื่อให้สำเร็จดีกว่า จริงหรือไม่จริง มันใช่อย่างนั้นไหมล่ะ มันก็ไม่ใช่

พระคัมภีร์ก็บอกว่าโลกใบนี้มันวิปริตไปแล้ว มันพิสดารไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว มันอยู่กันอย่างนี้แหละ อยู่แบบกลับหัวกลับหาง แต่ในโลกวิญญาณพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว มันคนละเรื่องกัน โลกใบนี้มันวิปริตไปแล้ว รอวันที่พระองค์จะทรงสร้างโลกนี้ใหม่ แล้วเมื่อนั้นแหละ ทุกสิ่งจะสวยงาม เรามีความหวังนิรันดร์ในอนาคต ตอนนี้เรามีความหวังแน่นอนในปัจจุบัน คือในโลกวิญญาณเท่านั้น ส่วนชีวิตในปัจจุบัน ในโลกที่มองเห็น ก็ตั้งใจทำตามถ้อยคำพระเจ้าที่เตือนเรา  บอกเรามากที่สุด  ส่วนผลจะออกมา สำเร็จหรือไม่สำเร็จในทางตามนุษย์มองเห็นอย่างไร? ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถผจญ เผชิญ ทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า เอเมน น้อยลงแล้วเห็นไหม? พิสูจน์ได้เลย ไม่มีชีวิตชีวาเลย ไม่มีความหวัง

ถ้าตะกี้บอกว่า “ในนามพระเยซู เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ท่านทำอะไรร่ำรวยแน่นอน อย่าพูดนะว่าไม่ร่ำรวย ต้องดี ต้องสำเร็จ ทำงานทุกอย่าง ออกไปทำธุรกิจทุกอย่าง ทำอะไรก็ต้องเจริญลูกเดียว”

ทุกคนพูดพร้อมกันว่าเอเมน เพราะอยากได้ อันนี้เรื่องธรรมดา ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แต่ให้รับรู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้น เพราะพูดถึงความจริง ชีวิตคนเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ อาจจะเจ็บป่วยบ้าง อาจจะแข็งแรงบ้าง ชีวิตมันก็อย่างนี้ ทุกข์ๆ สุขๆ ทุกข์ๆ แต่ทั้งหมดนี้ เราสามารถเผชิญได้ เพราะพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา และพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เรา ให้เราสามารถเผชิญสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้  เอเมน ไม่ค่อยเอเมน ไม่อยากจะเอเมน ใครอยากจะเอเมนล่ะ มันไม่อยาก แต่จะอยากหรือไม่อยากก็ตาม ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นเช่นนั้น สุขภาพร่างกายมันก็ต้องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าท่านไปหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ผิดหวัง อันนี้หนักกว่าเก่าอีก

“ทำไมพระเจ้าไม่รักษาฉัน”

เอะอะโวยวาย ก็เลยไม่มีการเรียนรู้ในการพึ่งพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ ไม่ได้อะไร? ไม่ได้ความพึ่งพอใจ ไม่ได้สันติสุข ไม่ได้ความสุขที่สุดในชีวิตเท่าที่ทำได้ พลาดไป แม้ว่าจะได้รับความรอด ก็ตาม นี่พูดถึง

จำเพลงนั้นได้ไหม? นึกถึงเพลงนี้เลย เอามาแปลเป็นไทย

“ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน        น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึ่งพอใจ ดี                     แค่นี้มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ”

จำได้แค่นี้ แค่นี้ก็เหลือเชื่อว่าจำได้ เพราะผมชอบคำว่า “ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจ ดี แค่มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ” ร้องได้ไหม? ร้องออกจากวิญญาณท่านได้ไหม? ท่านเชื่อตรงนี้ไหม? ตอนที่ท่านเจ็บป่วย ตอนที่กิจการมันพังพินาศลงเลย ไหนพระเจ้าอวยพรมา 10 ปี มันพังไม่เหลืออะไรเลย ยังร้องตรงนี้ได้ไหม?  เหมือนที่เปาโลบอก ทำได้ เพราะพระเจ้าสัญญาแล้วไงว่าพระเจ้าสัญญาแล้วงว่าเราจะเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์เสริมกำลังในวิญญาณให้กับเราผ่านพ้นไปได้  แต่ไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องผ่านตรงนั้น แล้วแต่พระเจ้าจะนำเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าใครกำลังพอขนาดไหน? เรียกมา ใช้เขาในทางไหน? อย่างไร? ไม่เหมือนเปาโลทุกคนหรอก อ้าว! ร้องอีกที …

“ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน        น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึ่งพอใจ ดี                     แค่นี้มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ”

เพราะฉะนั้น โบสถ์เราในอีก 3 ปีข้างหน้า เล็กหรือใหญ่นะ แล้วแต่พระเจ้า ถ้ามันเล็ก ฉันก็จะไปอธิษฐาน แบบน้ำตาไหลพรากนั้น แต่ฉันผ่านทุกอัน

นี่คือความสุขใจ สันติสุขและความจริงในชีวิตที่จะทำให้เราเป็นไท ไม่ใช่ มาโกหกเรา เอาใจเรา ให้เราเป็นไท เปล่า เอาใจเรา ให้เราเสียคน แล้วจะแย่ หนักขึ้น แต่เจ็บเดี๋ยวนี้เลย รู้ว่าไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ ไม่เป็นไร พระเจ้าจะปลอบโยน นำพาเราผ่านไปเรื่อยๆ แล้วเราจะนิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงชีวิตนิรันดร์ เอเมน

 

***********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2018 เรื่อง “จงนิ่งสงบ และรู้ว่าเราคือพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2018

เรื่อง “จงนิ่งสงบ และรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ พระเยซูบอกว่าถ้าเราอยากจะรู้จักอาณาจักรสวรรค์ ถ้าเราอยากเข้าใจอาณาจักรมากขึ้น เรามีหน้าที่ทำ 3 สิ่งนี้ คือ …

(1) ขอ และขออยู่เรื่อยๆ อย่าหยุดขอ

(2) หา หาไปเรื่อยๆ แล้วก็อย่าหยุดหา

(3) เคาะ แล้วเคาะไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเคาะ

ถ้าไม่หยุด 3 สิ่งนี้ ท่านก็จะหา และหาไปเรื่อยๆ ท่านก็จะได้พบไปเรื่อยๆ ถ้าท่านขอไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ท่านขอไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ถ้าท่านเคาะไม่หยุด เคาะไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ท่านเคาะ ประตูก็จะเปิดให้กับท่านเรื่อยๆ ไม่หยุด

ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพแข็งแรง  เกี่ยวกับการเงินเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้น  ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  แล้วพูดเกี่ยวกับอะไร? ขออะไร? หาอะไร? เคาะอะไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เพราะประโยคนี้ พระเยซูเป็นคนพูด ถ้าพระเยซูพูดเมื่อไร? มันหมายถึงพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ วิธีเข้าสวรรค์ทำอย่างไร?  ไปสวรรค์เกี่ยวกับพระเจ้าทำอย่างไร?  มนุษย์จะไปได้อย่างไร? แล้วเราเรียนรู้มานิดหนึ่งแล้วว่าอันดับหนึ่ง คนนั้นต้องบังเกิดใหม่ นี่คือสิ่งที่หนึ่งที่พระเยซูพูด

ถ้าพระเยซูพูดอะไรต่างๆ ท่านต้องฟังทางมนุษย์ ท่านไม่ค่อยเข้าใจ ท่านก็ตอบไปเลยว่าเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์แน่นอน เกี่ยวกับเรื่องบังเกิดใหม่แน่นอน คนที่บังเกิดใหม่เคาะไม่หยุด คนที่ยังไม่รู้จักสวรรค์เลย ยังไม่เกิดใหม่ พูดถึงเมื่อตะกี้ ทำอะไร? เคาะๆ หาๆ ขอๆ ที่อยากจะไปสวรรค์ เจอพระเยซู ไม่หยุดเลย ไม่เข้าใจตอนนี้ ฟังพระเยซูต่อไป พระเยซูพูดไม่เข้าใจ ก็ฟังๆ วันหนึ่งจะถูกเปิดให้กับเขา เขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์เลย  พอเข้าไปสู่สวรรค์ปุ๊บ เขายังไม่ยอมหยุดอีก ทำอะไรต่อเคาะๆ หาๆ ขอๆ ต่อไป เขาก็จะเริ่มต้นเติบโต รู้ว่าบังเกิดใหม่แปลว่าอะไร?  เข้าใจแล้ว มันคืออย่างนี้นั่นเอง อยู่บนโลกใบนี้ ต้องทำตัวอย่างไร? เข้าใจและเจริญเติบโตในวิญญาณต่อไปเรื่อยๆ ชื่นชมยินดีมากขึ้น มีสันติสุขมากขึ้น ไม่หยุดเลย เอเมน

นี่คือความหมาย ท่านรู้เคล็ดลับแล้วใช่ไหม? ดังนั้นการไปค่ายครั้งนี้ คือหนึ่งในจำนวนวิธีการขอๆ เคาะๆ หาๆ เรื่องเกี่ยวสวรรค์ ก็คือบังเกิดใหม่ เรื่องวิญญาณเอ่ย เที่ยวนี้เราจะไปดูสิว่าตัวจริงๆ เราบังเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร? ใครอยากรู้บ้าง? ว่าหน้าตาท่านเหมือนกับในกระจกที่ท่านมองเมื่อเช้านี้หรือเปล่า? ตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ตัวจริงๆ ท่านหน้าตาเป็นอย่างไร? เที่ยวนี้จะเอากระจกไปให้ท่านดู กระจกทางวิญญาณนะ ไปดูว่า …

“อ๋อ! ฉันเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างนี้นั่นเอง”

ใครอยากรู้บ้าง? ถ้าใครไม่อยากรู้ จ่ายค่าค่ายแล้ว ก็ต้องไปนะ เราจะได้รู้แล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร? ที่พระคัมภีร์บอกจำนวนหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู บทที่ 10 ฮีบรูเป็นหนึ่งที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ เกี่ยวกับพระเยซู เกี่ยวกับที่พระเยซูมาทำการให้มนุษย์เข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร? เกิดใหม่ได้อย่างไร?  บังเกิดใหม่ คืออะไร? อย่างชัดเจนมาก

ในฮีบรู 10:14 บอกว่าการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามารถชำระได้แล้ว ชำระใครได้แล้ว? ชำระมนุษย์ทั้งปวงให้สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ เลย เป็นสิ่งที่ถูกต้องแยกออกมา เป็นวิหารของพระเจ้าเลย ซึ่งหมายถึงใคร? หมายถึงคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูก็ได้รับตรงนี้ ท่านคิดดูสิ

เราจะไปดูสิว่าตัวบังเกิดใหม่ของเรา ที่ในนี้บอกว่าสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นอย่างไร? ทางวิญญาณ ใช้เวลานิดเดียว แต่ผมคิดว่ามันก็ทำ เป็นการจุดประกายให้ท่านเห็นว่าวิญญาณเราเป็นเช่นไร? แล้วเราจะมีความภูมิใจ มีความอิ่มเอิบใจ มีความมั่นคง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้และตลอดไป มีความหวังที่มั่นคง เพราะว่าชีวิตเราเกิดและได้วางรากบนศิลา พระเยซูคริสต์ มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างนี้เอง มันจะเห็นชัด

และผมกำลังจะเตรียมอะไรให้ท่านหลายอย่าง ให้ท่านเรียนน้อย แต่ปฏิบัติมาก ปฏิบัติแค่นี้ วนเวียนไปเรื่องพระเจ้า เรื่องสวรรค์ เรื่องบังเกิดใหม่ และมีวิธีการใหม่ๆ ให้ท่านดูว่าลองทำอย่างนี้ดูไหม? บางทีเราพยายามหาด้วยตัวเราเองมาเยอะแล้ว เราพยายามอยู่นิ่งๆ แล้วลองหาแบบฝ่ายวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ค่อยได้ทำ ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะมนุษย์ก็ชอบทำอะไรบางอย่าง รู้สึกได้ทำ

ยกตัวอย่างเช่น พอเข้าห้องอธิษฐาน ก็ไม่หยุดเลย พูดถ้อยคำพระเจ้า  อธิษฐานกับพระเจ้า พูดๆ ลืมฟังพระเจ้าไปเลย พระเจ้าไม่ได้โอกาสพูดเลย พระเจ้าจะเข้ามาพูด อ้าว! พอเราหยุดปุ๊บ เราก็เดินออกไปเลย พอดี อะไรประมาณนั้น อันนี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

เที่ยวนี้ลองทำตามที่พระเจ้าบอกเรา สอนเรามาตั้งนานแล้วว่าจงนิ่ง และรู้เถิด เราคือพระเจ้า จงนิ่งแปลว่าอะไร?  แปลว่าไม่พูด จงนิ่ง แปลว่านิ่งๆ ไม่ต้องพูดมากเฉยๆ นิ่งๆ ไว้ แล้วเฉยๆ เหรอ ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ใช่ จงนิ่ง และรับรู้เท่านั้นเองว่าพระองค์เป็นพระเจ้า สถิตอยู่กับเรา เราบังเกิดใหม่อยู่ในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร แค่นี้เอง นิ่งๆ ใจเย็นๆ เราไม่เคยเย็นๆ อย่างนี้เลย เที่ยวนี้เราไปเย็นๆ กัน คือเย็นเดียว เลิกเลย ที่เหลือเป็นอิสระส่วนตัว ไปนิ่งกันเอง

สอนให้นิ่งง่ายนะ แต่เอาไปทำมันยาก สอนให้นิ่งใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง โอเค จากนี้ต่อไปทำอย่างนี้นะครับ เวลาจะไปหาพระเจ้า เข้าไปถึง แล้วนิ่งๆ จบแล้ว เรียน ก็คือนิ่งๆ แปลว่าอะไร? คืออย่าพูด ไม่ต้องพูด อยู่เฉยๆ นิ่งที่สุดเลย ไม่ต้องเดินไปมาด้วย คืออยู่นิ่งๆ ใจเย็นๆ สบายๆ

และก็รับรู้ แปลว่าอะไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอะไร? สั้นๆ ง่ายๆ เอง ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่อย่างไร? ถามพระวิญญาณบริสุทธิ์เอาเองสิ ถามโดยวิธีอะไร? นิ่งๆ อยากรู้ไหม?  บังเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร? ถ้าอยากรู้ ถามพระวิญญาณ ถามพระเจ้าเอง ถามด้วยวิธีอะไร? นิ่งๆ เพราะในนั้นบอกว่านิ่ง แล้วรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า จะได้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ถ้าไม่นิ่ง ก็ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นอย่างไร?

เพราะฉะนั้น ใครอยากรู้จักพระเจ้าเยอะๆ ก็ต้องนิ่งเยอะๆ ก็ฝึกตั้งแต่ค่ายครั้งนี้ไป ไปนิ่งๆ สัก 3 ชั่วโมงกว่าๆ ดูสิว่ามันเป็นอย่างไร? มันจะตายไหม? นิ่งสัก 3 ชั่วโมงกว่าๆ

“อ้าว! มาค่ายครั้งนี้ ไม่มีการสอนเหรอ”

“นี่แหละสอน แล้วทำอะไร? นิ่งๆ อ้าว! เริ่มแล้วนะ 1, 2, 3”

“ไม่มีการสอนเหรอ?”

“มีสิ ก็นี่ไง สอนอยู่ ทำอะไร? นิ่งๆ เฉยๆ”

แต่ไม่ขนาดนั้นหรอก ให้ท่านนิ่ง แล้วผมจะพูดนิดๆ หน่อยๆ ให้ท่านฟังว่าทำไมเราต้องนิ่ง และขณะที่นิ่ง เราควรรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า รับรู้อย่างไร? Be still แปลว่าจงนิ่ง And know แปลว่ารับรู้ ท่านรู้ไหมว่า Know ที่แปลว่ารับรู้ มันแปลว่าอะไร? แปลว่า Worship แปลว่านมัสการ คำว่านมัสการ มิได้หมายถึงมาร้องเพลงอย่างนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของท่าทางการนมัสการ

นมัสการ แปลว่าการเข้าไปหาพระเจ้า การเข้าไปหาพ่อเรา มีความสัมพันธ์ รู้ว่าคนนี้เป็นพ่อเรา  แล้วก็คุยกัน  นี่เขาเรียกว่านมัสการ ซึ่งออกมาได้หลายวิธี การนมัสการ ด้วยการร้องเพลง เป็นแค่หนึ่งอย่างในจำนวนนั้น มีอีกหลายอย่าง คือเข้าไปนิ่งๆ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ก็เป็นการนมัสการอีกอย่างหนึ่ง เป็นการ worship ลึกๆ ในวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้า แสวงหาคนเหล่านั้น ที่เข้าไปหาพระองค์ ด้วยการนมัสการทางวิญญาณ และความจริง

ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า  เราผ่านทางความจริง คือเราเชื่อในพระเยซู เราเจอพระเจ้าแล้ว คราวนี้ เราก็มาเรียนรู้ว่าลองนิ่งๆ ดูสิว่าพระเจ้าที่รู้จักกับเราแล้ว เป็นพ่อเราแล้ว เราอยู่ในบ้านนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยแวะเข้าไปดูพ่อเราสักที วันนี้ลองแวะเข้าไปดูพ่อเราสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร? อันนี้พูดเล่นๆ ในทางมนุษย์ แต่จริงๆ อยู่กับเราตลอด บางทีเราไม่รู้ เราก็ไปแสวงหาพระเจ้าข้างนอกบ้าง ตรงนั้นเขาบอกคนนี้เทศน์ดี เราก็ไป ตรงนี้เขาบอกมีอัศจรรย์ เราก็ไป ตรงนั้นเขาบอกมีอย่างนั้น เราก็ไป ไปหมดทุกแห่งเลย ลืมคิดไปว่าพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา สถิตอยู่กับเราแล้ว สร้างบ้านอยู่ในเรา อยู่กับเรา เราบังเกิดใหม่ เราลืมไป  ไปหาสะทั่วเลย  สิ่งเดียวที่ยังไม่ได้หา คือที่บ้าน พระเจ้าอยู่ที่บ้าน เราไม่ได้ไปหา เราดันออกไปข้างนอก ออกไปเยอะแยะ อย่างนี้เป็นต้น

เที่ยวนี้จะได้มีโอกาสมารวมกัน เดินทางอีกเส้นทางหนึ่งที่เราไม่เคยทำ ลองทำกันดูสิว่ามันเป็นอย่างไร? ง่ายๆ ไม่มีอะไรเลย คือทำอะไร? นิ่งๆ แต่มันยาก ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลยนะ ไม่ต้องเตรียมพระคัมภีร์ไป ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เตรียมอย่างเดียว คือนิ่งๆ ไปแล้วนิ่งๆ อยู่บ้าน คุยให้จบเลยนะ ลองดูสิว่าไม่คุยสัก 3-4 ชั่วโมง มันจะเป็นอะไรไหม? ลองนิ่งๆ ดูนะ ขอบคุณพระเจ้า

 

**********************