คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2020 เรื่อง “พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์  เป็นของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ขอกล่าวคำว่า Merry Chrishmas” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ขอบคุณพระเจ้า ผมเชื่อว่าทุกคนจำได้ เพราะว่าพูดกันทุกๆ ปี แม้กระทั่งใส่หน้ากากอนามัย ยังพูดซะดังเลย

“ท่าน” คือฉัน และมนุษย์ทุกๆ คน

“Merry” เป็นภาษาเดิม  ภาษาโบราณ เป็นการอวยพรวันคริสตมาส “ขอให้ได้พร” … พรอะไร? สันติสุขและความสงบสุข ในพระคัมภีร์ ก็คือ Merry คือขอให้ท่านได้พร คือสันติสุขและความสงบทางใจ

“Chrishmas” คือการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง เรียกว่าคริสตมาส

“Merry Chrishmas” จึงแปลว่า … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่านทั้งหลาย ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้”

ซึ่งตรงนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นข่าวสารจากพระเจ้า เอ๊ะ! ตะกี้นี้เป็นข่าวดีหรือไม่ดี Merry Chrishmas เป็นข่าวดี ถูกไหม? ของขวัญจากพระเจ้าฟรีๆ เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกกันว่าข่าวดี มีข่าวดีมาบอก

วันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าประกาศว่ามีข่าวดีมาบอก พระเยซูบอก มีข่าวดีมาบอก บอกมาแล้ว 2,000 ปี ถึงมนุษย์ทุกๆ คนว่าพระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า

“พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์  เป็นของขวัญจากพระเจ้า”  พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ ณ ปัจจุบันทันทีเลย ไม่ต้องรอ พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เกิดขึ้นทันทีเลย ณ ปัจจุบันทันทีเลย เข้าสู่สวรรค์แบบตัวเป็นๆ เลย สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ต้อนรับข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ รับของขวัญของเขา … เขาจะเข้าสู่สวรรค์ทันที ขณะที่ตัวเป็นๆ อย่างนี้แหละ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

มีใครเคยพูดกับท่านแบบนี้ไหม? ไปสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถึงจะไป นี่ไปจริงๆ เลย และคำพูดนี้เป็นข่าวดี มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ตัวผมพูดเอง มาจากพระคัมภีร์เขียนเอาไว้ ซึ่งผมสามารถประกาศตาม ที่พระเยซูประกาศได้เลย พระเยซูประกาศอย่างนี้ มีข่าวดีมาบอก สวรรค์มาแล้ว มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตายก่อน

เพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนก็ต้องคิดว่าจะไปสวรรค์ รอตายก่อน ตายแล้วจะไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างไร จากโลกนี้ไป เราจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์? ทำอย่างไร? เมื่อไร? ดีขนาดไหน? สะสมความดีไว้นะ เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ ก็เมื่อตายทั้งนั้น มีพระเยซูมาบอกข่าวดี ผู้เดียวในโลกนี้  จนถึงปัจจุบันเลยว่าไปสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย เพราะว่าสวรรค์มาถึงแล้ว และหลังจากที่พระเยซูประกาศนั้น และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  พระองค์ก็ให้บรรดาสาวก คือผู้เชื่อทั้งหลาย รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ที่ได้เชื่อแล้ว ก็มีหน้าที่ประกาศต่อไป เพราะเราได้ประสบการณ์แล้วว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ประกาศ เหมือนพระเยซูบอกว่า รับของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ และเข้าสู่สวรรค์ได้เลยเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย และเราสามารถประกาศแบบแปลกๆ กว่าคนอื่นเยอะแยะ เขาบอกตายแล้วค่อยไปสวรรค์ เราบอกไปได้เดี๋ยวนี้เลย ประสบการณ์เดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านไม่มีประสบการณ์ในสวรรค์เดี๋ยวนี้ ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรเล่าว่าตายแล้ว ท่านจะไปสวรรค์ มันจริงนะ

ถ้าท่านไม่มีประสบการณ์เลยว่าเข้าสู่สวรรค์เดี๋ยวนี้เลย เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตายแล้วเราไปสวรรค์ แต่สำหรับเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้าแล้ว เรามั่นใจว่าหลังจากความตายแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แน่นอน เพราะว่าบัดนี้ ขณะนี้ ตัวเป็นๆ เดี๋ยวนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  และเราสามารถประกาศต่อไปว่านี่คือข่าวดีที่มาจากพระเจ้า  ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เราไม่มีความเขิน ไม่มีความอายในเรื่องนี้เลย เพราะว่าเรามีประสบการณ์แล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าเราบอกว่าตายก่อนแล้วไปสวรรค์ เรามีประสบการณ์หรือยัง? ยัง แล้วเราจะไปประกาศข่าวดีได้อย่างไรว่ามาเชื่อพระเยซูสิ จะได้ไปสวรรค์ คุณยังไม่ได้ไปเลย แล้วคุณจะมาประกาศได้อย่างไร? ใช่ไหม?

ในโรม 1:16 ผู้ที่ประกาศข่าวดีนี้ ท่านหนึ่งที่มีชื่อว่าอาจารย์เปาโล ก็ได้มีความรู้สึกอย่างที่ตะกี้ที่ผมพูดว่าไม่อายเลยที่จะประกาศข่าวดีของพระเจ้าว่าไปสวรรค์ได้ในพระเยซูคริสต์ทันที เดี๋ยวนี้เลย ลองอ่านดูนะครับ

โรม 1:16 “ผม​ไม่​ละอาย​เกี่ยวกับ​ข่าวดีนี้​หรอก  เพราะ​ข่าวดีนี้  ​เป็น​ฤทธิ์เดช​ของ​พระเจ้าที่​จะ​ช่วย​ชีวิต​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจให้​รอด  ช่วย​พวกยิว​ก่อน  แล้ว​ต่อมา  ​ก็​ช่วย​คน​ที่​ไม่​ใช่​ยิว​ด้วย”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ผมไม่ละอายเกี่ยวกับข่าวดีนี้หรอก  เพราะว่าข่าวดีนี้  เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า

“เป็นฤทธิ์เดช” ภาษาอังกฤษจะเห็นชัดมาก พอเป็นภาษาไทยเป็นฤทธิ์เดช บางทีเรารู้สึกภาษาเดิมเก่าแก่นะ ออกไปทางลิเก อะไรต่างๆ ใช่ไหม?  แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Power”  อันนี้ปัจจุบันได้อยู่ เวลามีกำลังทางวิทยาศาสตร์ รถมีพลัง เขาเรียกว่า Power ไฟฟ้า ก็เรียกว่า Power เป็นพลังอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็น แต่มีผล ทำให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะช่วยชีวิตทุกคนที่วางใจ ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ให้รอด ถามว่ารอดจากอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว เรียนรู้เรื่องนี้ไปแล้ว รอดจากอำนาจของความมืด  รอดจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง รอดจากนรก มาสู่ตรงกันข้ามกับนรก ก็คือสวรรค์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า รวมในข่าวดีนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ทำให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ เข้าสวรรค์นั่นเอง เป็นของขวัญจริงๆ ในนี้บอกว่าพวกชาวยิวก่อน แล้วต่อมา ก็เป็นคนที่ไม่ใช่ยิว  ก็คือคนทั้งโลกนั่นเอง คือคนที่ยิวและไม่ใช่ยิว ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับของขวัญนี้ ผมก็เลยไม่ละอาย ฉันก็เลยไม่ละอาย เหมือนที่เปาโลพูด ถึงไม่ละอาย ถูกไหม?

ว่า … “ข่าวดีที่ฉันเชื่อนี้ ทำให้ฉันไปสวรรค์ และสามารถทำให้เธอก็สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเธอเชื่อในข่าวดีนี้ เหมือนกัน” เอเมน

ให้เราพูดพร้อมกัน … “ฉันก็ไม่อาย ในการประกาศข่าวดีนี้ด้วย เช่นเดียวกัน เพราะข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์เดช Power ของพระเจ้า”

เป็นฤทธิ์เดชที่ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด  ย้ายเราออกจากการเป็นคนที่รับโทษทัณฑ์ของความบาป สาปแช่ง  หลุดพ้นจากโทษทัณฑ์ มาสู่อิสรภาพ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ในยอห์น 14:6 พระเยซูตอบผู้คน ที่ถามพระองค์ว่าจะเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  …

ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่า  “เราเป็นทางนั้น  เป็นความจริง  และเป็นชีวิต  ไม่มีใคร มาถึงพระบิดา (เข้าสวรรค์) ได้  นอกจากมาทางเรา (ด้วยฤทธิ์เดช)”

 

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นฤทธิ์เดช เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใคร (นั่นเอง) มาถึงพระบิดา หมายถึงเจ้าของสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าไม่มีใครสามารถเข้าสวรรค์ได้ นอกจากทางเรา ก็คือทางพระเยซู ก็คือฤทธิ์เดช มีใครเคยพูดกับเราอย่างนี้ไหมบนโลกใบนี้ หรือเคยได้ยินใครพูดอย่างนี้ไหม? มั่นใจถึงขนาดนี้เลยไหมว่าท่านไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้เลยล่ะ ถ้าไม่ได้ผ่านทางเรา ซึ่งจะให้ฤทธิ์เดชกับท่านในการเข้าสวรรค์ ทางเรา ก็คือทางข่าวดีของพระเยซู ก็คือทางฤทธิ์เดช ที่ตะกี้เราบอก ข่าวดีนี้คือฤทธิ์เดช

ข่าวดี คือฤทธิ์เดช ทางพระเยซู คือทางข่าวดี ก็คือทางฤทธิ์เดช เห็นหรือยัง? ผมพยายามพาท่านไปดูตามตรรกะ ให้เห็นชัดๆ ว่านี่เป็นเรื่องง่ายๆ มากๆ เลย เข้าใจไม่ยากว่าเราจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  โดยไม่ใช่การกระทำของเรา แต่ด้วยฤทธิ์เดช … ฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นของขวัญ ซึ่งเรามาฉลองคริสตมาส คือฉลองของขวัญนี้แหละ ใน 1 ยอห์น 4:9 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 ยอห์น 4:9 “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก  เพื่อเราจะได้มีชีวิต  โดยทางพระบุตร (ฤทธิ์เดช) นั้น”

 

นี่คือการสำแดงความรักของพระเจ้า  สำแดงด้วยวิธีใด  เสียสละ  ประทาน ให้ของขวัญ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมาก เข้ามาในโลก เพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น ได้มีชีวิต ก็คือได้รอดจากความตาย ถูกไหม? มาสู่ชีวิต และชีวิตนี้ คือชีวิตนิรันดร์ หมายถึงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ชีวิตที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า ชีวิตที่เป็นแบบพระเจ้า ชีวิตที่มีคุณภาพ ลักษณะเป็นของพระเจ้า  พูดง่ายๆ ชีวิตที่เป็น DNA ของพระเจ้า เราจะได้รับชีวิตนี้ เมื่อเรารับของขวัญ คือพระเยซูคริสต์เข้ามาสู่ชีวิตของเรา

ในนี้บอกว่า “เพื่อว่าเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตร คือพระเยซูนั้น”

โดยทางพระบุตร คือโดยทางนั้น ทางข่าวดี … ข่าวดี คือฤทธิ์เดช

เพราะฉะนั้น ข่าวดีในทางพระเยซูบอกว่ามาทางพระเยซู ทางฤทธิ์เดช เราได้รับชีวิตนี้ ผ่านทางพระเยซู ผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางข่าวดีของพระองค์นั่นเอง ยอห์น 1:12-13 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าใครที่ใช้สิทธิของเขา ไปรับของขวัญนี้จากพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้ คือพระเยซู ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช ใครก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา ไปรับของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ เปล่าๆ ซึ่งหมายถึงฤทธิ์เดชในพระเยซูคริสต์ พอรับปุ๊บ ก็จะได้ฤทธิ์เดชอำนาจนั้นเข้ามาในชีวิตของเขา ดูสิว่าฤทธิ์อำนาจนี้ เมื่อเข้ามาในคนนั้นแล้ว เมื่อเขารับของขวัญทันที ฤทธิ์เดชนั้น เข้ามาในชีวิตเขาทันที ฤทธิ์เดชทำให้เกิดอะไรขึ้นทันทีบ้าง เราลองมาอ่านกันดู

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์  ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี  แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

คนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ก็คือใครก็ตามที่ยอมรับ ก็คือมารับของขวัญ เชื่อว่าข่าวดีที่มาบอกนี้เป็นจริง ก็เลยมารับของขวัญจากพระเจ้า มารับพระเยซู เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ ถูกไหมครับ? ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็คือกำลังมารับของขวัญ จากพระเจ้า  พระองค์ก็ประทานสิทธิ ซึ่งคำว่าสิทธิ ในภาษาเดิมใช้คำเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยว่า Power จะได้เห็นชัดๆ ว่ามันใหญ่ มันเยอะ หรือไม่ก็ฤทธิ์เดชก็ได้ เริ่มชินแล้ว พระองค์ก็ประทานฤทธิ์เดช ให้เขาได้เป็นบุตรของพระเจ้า ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ให้ฤทธิ์เดชเขาทำอะไรบางอย่าง ในชีวิตของเขา ในร่างกายของเขา  ให้กลายเป็นลูกของพระเจ้า นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ที่บอกว่า Power หมายถึงอะไร? ดูความยิ่งใหญ่

แล้วในนี้อธิบายให้ฟังคำว่า “ลูกของพระเจ้า” นี้ มีลักษณะเป็นอย่างไร? ได้บอกอย่างชัดเจนอีกว่าคือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงค์ของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้เกิดแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไป  แต่เกิดโดยทางวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เห็นภาพชัดๆ ในนี้  ก็คือใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซู รับของขวัญจากพระเจ้า พระเยซูก็ประทานฤทธิ์เดช ซึ่งอยู่ในข่าวดีนี้ ฤทธิ์เดชนั้นจะเข้าไปอยู่ในร่างกาย ในชีวิตของเขา และถ้าพูดในภาษาไทยง่ายๆ ก็คือขมวดปมอะไรบางอย่าง Power ง่ายๆ ปัจจุบัน ก็คือเหมือนเราเอาขนมเค้กผสมกัน เสร็จปุ๊บ เข้าไปในตู้อบปุ๊บ เปิด Power เปิดสวิทซ์ไฟตู้อบ ร้อนระอุ อะไรเละๆ ตะกี้นี้ ออกมาเป็นขนมเค้กช็อกโกเลต หรืออะไรแล้วแต่ มันหอมหวาน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟัง

หรือเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าโลกกำเนิดได้อย่างไร? เกิดจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ไม่รู้ใครทำให้ระเบิด แต่เกิดจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล เกิดเป็นดวงดาว ดวงจันทร์ เกิดโลกขึ้นมา  เขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ใช่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ  แต่ละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจว่าไม่รู้ใครทำให้เกิดการระเบิดบิ๊กแบงค์อย่างนี้  แต่เรารู้ใครเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล คือพระเจ้า ทำให้เกิดบิ๊กแบงค์ เปรี้ยงเดียว คำว่าเกิดเปรี้ยงเดียว เกิดขึ้นทันที เขาถึงใช้คำภาษาไทยว่า “ฤทธิ์เดช” ไง แรงกำลัง พลังงานยิ่งใหญ่ ก็คือฤทธิ์เดช

เพราะฉะนั้น ใครที่ต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะไปทำให้เขาขมวดปมในวิญญาณ เกิดเป็นบุตรของพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูมาบังเกิด เป็นมนุษย์ในวันคริสตมาสแรกโน้น 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่เหนือแมรี่ แล้วขมวดปม จุติ เกิดขึ้นในหญิงพรหมจรรย์ เปรี้ยง เกิดเป็นมนุษย์ ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เพราะไม่ได้มีเชื้อมาจากฝ่ายชาย ลักษณะคล้ายๆ กันอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับพระเยซู คนนั้นได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า  เพราะเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือได้เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าทันที ไม่ต้องรอตาย ยอห์น 3:3  พระเยซูประกาศว่าอย่างนี้

ยอห์น 3:3 “พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า  “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้  ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

 

“ไม่มีใครที่จะเข้าสวรรค์ได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” เกิดใหม่เท่านั้น จึงเป็นหัวใจของการเข้าสวรรค์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติ หรือการกระทำอะไรก็ตาม แต่ได้ด้วยวิธีเดียวเข้าสู่สวรรค์ โดยการเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ เกิดเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ทำ แล้วเข้าไปในสวรรค์ แต่เกิดเข้าไปในสวรรค์ แล้วเกิดด้วยตัวเองได้ไหม? มีใครบ้างเกิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีใครบางคนทำให้เราเกิด ถูกไหม? บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ให้เราเกิดใหม่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทิตัส 3:5 จึงได้อธิบายอย่างนี้ บังเกิดใหม่ได้อย่างไร?

ทิตัส 3:5 “พระองค์​ได้​ช่วย​ให้​เรา​รอด (จากนรก) ไม่​ใช่​เพราะ​เรา​ทำดี แต่​เป็น​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระองค์​ต่างหาก  พระองค์​ได้​ชำระ​ล้าง​เรา  ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​เกิด​ใหม่  และ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่  ​ด้วย​ฤทธิ์เดช​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์”

 

ข้อเดียว อ่านแล้วมันสะใจดีเหลือเกิน  เป็นความจริงที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ … “พระองค์ได้ช่วยเราให้รอดจากนรก”  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่เพราะเราทำดี

อ่านให้ดีๆ อีกครั้ง … พระองค์ช่วยเราให้รอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ ไม่ใช่เพราะเราทำดี ไม่ใช่เพราะฉันทำดี ไม่ใช่เพราะใครก็ตามที่ทำดีขนาดไหนก็ตาม แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระองค์ต่างหาก ก็คือเป็นของขวัญให้ฟรีๆ ถูกไหม? เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระองค์ได้ชำระล้างเรา  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาป คริสตมาสเราได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? พระเยซู พระผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ พระองค์มา เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย ซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ ไถ่บาปของเรา เพื่อให้เราสามารถบังเกิดใหม่ได้ เพราะจะเกิดใหม่ ต้องบริสุทธิ์สะอาด เหมือนดั่งพ่อของเรา ก็คือพระเจ้า พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็ต้องสะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ก็ได้รับการชำระ ไม่ใช่เป็นเพราะเราทำ จนเราสะอาด แต่เป็นเพราะพระเจ้าตายที่ไม้กางเขน เอาบาปของเราแบกไว้ที่พระเยซู ด้วยตัวของพระองค์ แบกเอาบาปของเรารับโทษแทนเราหมดเลย

ในนี้จึงบอกว่าทำให้เราเกิดใหม่ได้ และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ชัดเจนเลยนะว่าเราเกิดใหม่ด้วยอะไร? ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น  ข่าวดี เป็นฤทธิ์เดช เป็นพลังอำนาจของพระเจ้า จับต้องมองเห็นได้เลยตอนนี้ เห็นชัดๆ เลย ยิ่งมาในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเยอะๆ เราจึงเห็นข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู เจ้าของวันเกิด วันคริสตมาสนี้ เป็นฤทธิ์เดช พลังอำนาจของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้คน ที่วางใจในพระองค์ และเชื่อในพระเยซูคริสต์สามารถได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ทันทีเลย พิสูจน์ได้

พระคัมภีร์บอกลองมาชิมดู หลายคนบอกอย่าทดลองพระเจ้า นี่ไม่ได้ทดลองพระเจ้า นี่มาลองดูว่าข่าวประเสริฐนี้จริงไหม?  ฤทธิ์เดชนี้จริงไหม? เสียบปลั๊กตรงนี้ เอาน้ำเข้าไปในไมโคเวฟ น้ำร้อนได้จริงไหม? ซื้อกลับบ้านไปเลย  ไม่ทันซื้อ ลองก่อนก็ได้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า? เคยลองหรือยัง? ไม่เคย แล้วทำไมไม่ทำ นั่นสิ เคยลองหรือยัง? ยัง แล้วทำไมไม่เอา …

“นั่นสิ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ทำไม ฉันไม่เอา ฉันลองมาเยอะแยะ หลายเครื่องแล้ว เครื่องนั้นก็ลอง เครื่องนี้ก็ลอง ไม่สะใจสักที มีเครื่องนี้ยังไม่ได้ลองเลย”

“เครื่องไหน?”

“เครื่องข่าวดีของพระเยซู ยังไม่ได้ทดลองเลยว่ามันเป็นอย่างไร? ลองเอาคู่มือไปอ่านๆ”

เสร็จแล้วก็เดินจากไป ดูๆๆ ดูเสร็จก็เดินจากไป

พระเจ้าจึงท้า ลองชิมดู จะได้รู้ว่าพระเจ้านั้นดี ลองชิมดู แล้วจะได้รู้ว่าพระเจ้านั้นแสนดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นทางสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า จึงเป็นชื่อเรื่องที่วันนี้ ผมตั้งขึ้นมา มันชัดเจนดี ข่าวดี คือพระเยซูเป็นทางไปสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า  ผู้ที่ใช้สิทธิ์ รับของขวัญนี้ คือพระเยซู เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เต็มไปด้วยสง่าราศี  หรือเต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ค่อยมั่นใจใช่ไหม? เอา “พระ” ออกไปก็ได้ “เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศี และสิริเหมือนพระเยซู” ถ้าเหมือนพระเยซู ยอมใส่ “พระ” หรือยัง?

เพราะฉะนั้น ใครที่ต้อนรับข่าวดีนี้ เชื่อในพระเยซูนี้ จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณที่บังเกิดใหม่ จะเต็มด้วยสง่าราศี  เต็มไปด้วยพระสิริ  ที่เป็นของพระเยซู  เอเมนไหม?  เชื่อไหมว่ามันเป็นจริง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ พระคัมภีร์ก็เลยบันทึกไว้อย่างนั้น ซึ่งความเป็นเหมือนพระเยซู คือเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น ซึ่งลักษณะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซู เป็นเป้าหมายหลัก เป็นน้ำพระทัยหลักของพระเจ้าที่พระเจ้าประทานของขวัญให้กับมนุษย์ทุกคน คือพระเยซูคริสต์

นี่คือความต้องการของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ พระเจ้าต้องการเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกาย เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของเรานี่แหละ พระองค์ต้องการเข้ามาอยู่ นี่คือน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือแผนการของพระองค์ วางแผนไว้ว่าต้องการตรงนี้แหละ คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลนั่นเอง พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์คอยเคาะที่ประตูใจ เคาะๆ เมื่อไรท่านจะเปิดออกมาสักที เปิดเมื่อไร เราจะได้เข้าไปอยู่ที่นั่น สร้างบ้านเราอยู่ที่นั่น ไปอยู่กับพระบิดา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเลย เข้าไปอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อจะคอยดูแล ทนุถนอม ปกป้อง คุ้มครอง จูงมือเราเดินบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง สามารถเผชิญได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่เมื่อท่านเปิดใจ ไม่ต้องรอตายเลย พอเปิดใจปุ๊บ  พระเจ้าก็จะเข้าไปเลย  ท่านเข้าไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าก็จะเข้าไปอยู่กับท่าน  เพราะพระเจ้าอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  เป็นหนึ่งเดียวกัน  เดี๋ยวนั้น ทันที ไม่ต้องรอ และจะจูงมือท่านเดิน ณ วินาทีนั้น ที่ท่านเปิดใจ ตอนที่ตัวยังเป็นๆ อยู่เลย และนำพาชีวิตของท่านตั้งแต่เดี๋ยวนั้นเป็นต้นมา จนไปกระทั่งถึงนิรันดร์

ตอนที่ท่านจากโลกนี้ เป็นเพียงการออกจากร่างนี้ ไปสู่อีกมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เข้าไปสู่โลกวิญญาณ ทุกอย่าง ก็ยังเหมือนเดิม คือท่านกับพระเจ้าก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านยังคงอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม เอเมน ตื่นเต้นหน่อย ผมยังตื่นเต้นเลย

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดี นี้แล้ว พระเจ้าเข้าไปอยู่ในตัวเขา พระเยซูเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเขา อยู่ในตัวเขา เขาได้เกิดใหม่ ใน 1 ยอห์น 4:4 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าถ้าผู้ที่เชื่อข่าวดีนี้แล้ว เป็นอย่างไร?

1 ยอห์น 4:4  “ลูกๆ ​เอ๋ย  พวกคุณ​เป็น​ของ​พระเจ้าจึง​มี​ชัยชนะ  ​เหนือ​พวก​ศัตรู​ของ​พระคริสต์  เพราะ​พระเจ้า​ที่​อยู่​ใน​พวก​คุณ​ยิ่งใหญ่​กว่า​มารที่​อยู่​ใน​โลกนี้”

 

“ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณ” … พวกคุณคือใคร?  ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวดี และได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คุณรู้ไหมว่าคุณเชื่อแล้ว คุณมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามาร ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลกนี้ โรม 8:31 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:31 “เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ดี​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้  ถ้า​พระเจ้า​อยู่​ฝ่าย​เรา  ใคร​จะ​ต่อต้าน​เรา​ได้”

 

“ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราเราได้” … ตอนนี้พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราหรือเปล่า? พระเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเราอย่างเดียว แต่พระเจ้าอยู่ในเราเลย

บางเล่มแปลตรงนี้ว่า … “ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ใครจะต่อต้านเราได้

พระเจ้าที่อยู่ในเราใหญ่กว่าเขาเหล่านั้น ที่เป็นความชั่วร้ายทุกอย่างในโลกนี้  พระเจ้าที่อยู่ในเราใหญ่กว่า

เพราะฉะนั้น เจอปัญหาอะไรตอนนี้ ผลกระทบจากโควิด 19 อนาคตโควิด 20, 21, 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ไม่รู้เมื่อไรก็ตาม พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา โควิดจะทำอะไรเราได้ เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราผ่านไป เอเมนไหม? เอเมน

พระเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดามนุษยชาติทั้งปวง ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วนะ ถูกไหม? ที่ได้อภัยความบาปผิดของมนุษยชาติ ลบล้างความบาปผิดของพวกเราทั้งหลาย ให้หมดเกลี้ยงเลย ถูกไหม? เป็นพระเมตตาที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือพระคุณของพระเจ้า ที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ได้มาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเรา ในวิญญาณของเรา และบอกเราว่าจะไม่ทอดทิ้งเราเลย ตลอดไป จะอยู่กับเราตลอดไป พระคุณนี้ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีอะไรเทียบอีกแล้ว ไม่ใช่ชำระเราที่ไม้กางเขน ชำระเราแล้วปล่อยเราเดินคนเดียว ล้มลุกคลุกคลาน โน ชำระเราจนสะอาดหมดจด  ให้เราบังเกิดใหม่แล้ว และเข้ามาอยู่กับเราเลย กอดเรา โอบไว้เลย ใครอย่ามานะ เราจะดูแลเขาเอง ไม่ต้องห่วง ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ พอใจหรือยัง? สมควรที่จะไม่วิตกกังวลใช่ไหม? สมควรจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหมอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เผชิญด้วยตัวเอง แต่เราเผชิญด้วยฤทธิ์เดชอำนาจและการทรงสถิตของพระเจ้าที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ณ เดี๋ยวนี้ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ๆ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปอีกแล้ว ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว มันเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วจะเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ และตลอดไป ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เพราะพระเจ้าคุ้มเราอยู่ ปกเราอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย ใครจะทำอะไรเราได้ ไม่ต้องรอให้ตายถึงจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ตัวเราเองยังหนีออกจากพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็น DNA ที่มาจากพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา จงมองให้เห็นภาพเหล่านี้เถิด

พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าเราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เกิดใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ในยอห์น 17:20-23 พระเยซูจึงอธิบายให้เราเห็นภาพว่าความต้องการของพระเจ้าเป็นเช่นไร เป็นคำอธิษฐานของพระเยซู ที่พระเยซูอธิษฐานก่อนไปถึงไม้กางเขน  พระองค์ทรงทราบแล้ว พระองค์จะทรงไปทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น พระองค์จึงอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐาน คืออธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น และดูสิว่าพระองค์อธิษฐานอย่างไร? ให้กับใคร?

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น  แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์  ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย  21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระบิดาเจ้า  พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร  ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์  และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย  เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา  22 เกียรติสิริ  ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น  ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์   เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา  และทรงรักพวกเขา  เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

“ข้าพระองค์  (คือพระเยซู) ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย”

พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาเท่านั้น “เขา” ในที่นี้ หมายถึงอัครสาวกที่เดินกับพระเยซู พวกเปโตร ยอห์น ยากอบ สาวก 12 คน แต่พระเยซูบอกว่า แต่ข้าพระองค์อธิษฐานให้กับบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย ก็คือบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวดี ที่มาถึงเขา ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนที่เชื่อในข่าวดีที่เขาประกาศมาเรื่อยๆ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว เราเชื่อในข่าวดี ที่ได้ถูกประกาศ โดยอัครสาวก ส่งกันต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเรา และเราเชื่อในข่าวดี ก็คือเชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางข่าวดีนั้น

ข้อ 21 บอกว่าเพื่อพวกเขาทั้งหมด เขาทั้งหมดนี้ คือมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ต้อนรับของขวัญจากพระเจ้า  ต้อนรับเรา ก็คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  เห็นหรือยัง

“พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย”

พอมองเห็นภาพอะไรไหม? ยกตัวอย่างอะไรดี? เหมือนลูกแตงโมแล้วกัน แตงโมมีไส้ข้างในสีแดง ข้างนอกสีเขียว สมมตินะ เป็น 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นแตงโม 1 ลูก ขอให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในลูกแตงโมนี้เลย … “เขา” คือมนุษย์ผู้ที่เชื่อ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์ทุกคนที่มีสิทธิ์แน่นอน พระเจ้าประทานของขวัญให้กับมนุษย์ทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องทำ เชื่อเฉยๆ ไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าเชื่อต้องบวกกับการกระทำ อันเดียวเท่านั้น คือเชื่อแล้วก็รับของขวัญไปสิ ไม่ใช่เชื่อแล้วไม่รับของขวัญ รับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้า 3 พระภาคเลย เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เพื่อว่าเขาไปไหน พระองค์ก็ไปด้วย ผู้เชื่อไปไหน พระเยซูก็ไปด้วย ไปทำการงานของพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่า …

“ฉันคือของขวัญ ฉันคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งให้โลกใบนี้  จนถึงทุกวันนี้”

ข้อ 22 บอกอันนี้ชัด ที่ตะกี้อธิบายให้ฟังนั้น … เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานให้ข้าพระองค์ สง่าราศี พระสิริที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนั้นแหละ คือพระสิริยิ่งใหญ่ครอบครองโลกใบนี้เลย

ในนี้บอกว่าเกียรติสิรินั้น สง่าราศีนั้น  ที่ได้รับจากพระบิดา ข้าพระองค์ได้มอบให้กับพวกเขาแล้ว พวกเขา ก็คือมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในนามของข้าพระองค์ เชื่อในข่าวดีของข้าพระองค์ เพื่อพวกเขา ผู้ที่เชื่อนั้น จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เห็นหรือยัง? จะได้มีพระสิริ … พระสิริที่ให้กับลูก ลูกให้กับพวกเขาทุกคนเลย เพื่อเขาจะได้มีพระสิริ เหมือนพระบิดากับข้าพระองค์ที่มีพระสิริเดียวกัน …  เชื่อไหมว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่พระเยซูพูดเองเลยนะ พระเจ้าพูดเอง

ข้อ 23 “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” ข้าพระองค์คือใคร?  พระเยซู … พระเยซูบอกว่าข้าพระองค์อยู่ในผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ส่งข้าพระองค์มา เพื่อให้โลกรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แนบแน่นสนิท

และสุดท้าย หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่แน่ใจตรงนี้ว่ามันใช่หรือไม่? โดยมักถามพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงรักลูกหรือเปล่า?” … “ทำไมพระองค์ไม่รักลูก?” หรือว่า “รักไม่เห็นเท่าคนนั้นคนนี้เลย” ฟังตรงนี้ พระเยซูพูดเอง …

“และพระองค์ทรงรักพวกเขา” พวกเขาคือใคร? ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ใช่ไหม? เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วใช่ไหม? รับของขวัญแล้วใช่ไหม? บังเกิดใหม่แล้ว พระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ พระเจ้าทรงรักเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เท่าๆ กันกับรักพระเยซู เราจึงเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริงดงาม เหมือนพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักมากมายเท่ากับพระเยซู พูดง่ายๆ ว่าชีวิตของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรา มีค่า มีสง่าราศี เท่ากันกับพระเยซู

เป็นรูปที่พระเยซูประสูติในรางหญ้า  และมีดาวประหลาดอยู่เหนือโรงนา

            ผมอยากให้ดูรูปนี้ เคยเห็นรูปนี้ไหม? ส่วนใหญ่คริสตมาสจะมีรูปนี้ เห็นดาวไหม? ดาวนี้ก็ต้องรู้นะว่าหมายถึงอะไร? เป็นสัญลักษณ์ของพระสิริใช่ไหม? สง่าราศี เป็นแสงสว่าง พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง ไม่รู้จะอธิบายให้มนุษย์ฟังอย่างไร? เป็นแสงสว่างขนาดไหน? ดาวนี้ที่เห็น จะได้รู้ว่าสง่าราศี พระสิริ ความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ สะอาด พลังกำลัง อำนาจ ความงดงามเป็นอย่างไร? เป็นดวงดาวใหญ่ ดวงหนึ่งมีสง่าราศี เห็นชัดไหมครับ?

แล้วมนุษย์อย่างเรา จากการฟังพระเยซูอธิษฐานเมื่อตะกี้ทั้งหมด ตอนนี้เราเชื่อในข่าวดี เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราต้อนรับสิทธิของเรา รับของขวัญจากพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เราได้อยู่ในพระองค์แล้ว เหมือนพระองค์แล้ว เราอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านเห็นดาวดวงใหญ่ เหมือนในรูปภาพ ท่านอยู่ในใจกลางดาวนั้นแหละ  ท่านสว่างเท่านั้นเลย เราอยู่ในนั้นเลย แล้วจะมีอะไรมาเอาเราออกไปได้ไหม? เพราะว่าเราอยู่ในนั้นเดี๋ยวนี้เลย ตัวเป็นๆ อยู่ในนั้นแล้ว วิญญาณเราอยู่ตรงนั้น แล้วจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป

พระเยซูจึงบอกว่า … “ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ จงมาหาเรา มาหาพระเยซู เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข” ไม่ใช่สุขสดใสแบบนี้นะ … “เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อย” เข้าไปพักอยู่ในนั้น พักสงบอยู่ในดวงดาวนั้น ในรัศมี ในสง่าราศีของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า สนิทกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

พระองค์จึงบอกว่ามาหาเรา หายเหนื่อยใช่ไหม? จงมารับแอกของเรา แอกของเราก็เบา และสบายๆ”

สบายไหม? พักผ่อนอยู่ในนั้น

“แอก” ตัวนี้ ครั้งที่แล้วอธิบายให้ฟังแล้ว แอกนี้แปลว่าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน แอกแปลว่าโยก … โยกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราสิ  และแอกตัวนี้ สามารถแปลได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแบบสามีภรรยา มาแต่งงานกับเรา มาเป็นภรรยาของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งเจ้าเลย จากนี้ไปสามีมีหน้าที่เลี้ยงดูภรรยา ตามวัฒนธรรมประเพณีของชาวยิวสมัยก่อน ภรรยาไม่ต้องทำอะไรเลย  ฝ่ายหญิงไม่ต้องทำอะไรเลย  เมื่อแต่งงานปุ๊บ สามีมีหน้าที่ทำงานทุกอย่าง เลี้ยงดูภรรยา … ภรรยามีหน้าที่อะไร? ปฏิบัติสามี ปฏิบัติพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ภรรยาปฏิบัติสามีอย่างไร? สรรเสริญ นมัสการ ก็คือตรงนี้แหละ  ปฏิบัติ แล้วที่เหลือทั้งหมด อะไรที่จำเป็น ที่สำคัญในชีวิต ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวสามีจัดการให้

นี่ยกตัวอย่างเห็นชัดเลย เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เห็นชัดอย่างนี้เลย ตอนนี้เลย ไม่ใช่รอตายไปก่อน ถ้ารอตายไปก่อน ไม่มีหลักฐาน ไม่รู้ได้ไปอยู่จริงหรือเปล่า? แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ทันที แล้วท่านรับรู้จากถ้อยคำพระเจ้า รับรู้เรื่องราวจริงๆ ว่าอย่างนี้ ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท ท่านรู้มันใช่จริงๆ เราจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะว่าผลของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ ตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่เป็นผู้ที่เชื่อแล้ว ก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในแสงสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม แปลว่าคนดี โดยการบังเกิดใหม่ ก็คือคนดีโดยกำเนิด ไม่ใช่การกระทำที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเป็นคนดีโดยกำเนิด ทำอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงครับถ้าเราเป็นผู้ชาย จากการทำของเรา  มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ทำอย่างอื่นได้  แต่ถ้าเราเกิดเป็นผู้ชาย มาจากผู้ชาย จากการเกิด จะไปทำอะไร ก็จะเปลี่ยนแปลงจากการเกิดเป็นผู้ชายไม่ได้ มันก็เป็นผู้ชายวันยังค่ำ

ฉันใดฉันนั้น เราก็จะมีสันติสุข ความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นความสว่าง อย่างที่บอก เหมือนพระเยซู เป็นความดีงามบริสุทธิ์ สะอาด เต็มด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าในตัวเรา นั่นแหละตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่บังเกิดใหม่นั้น เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระองค์

แล้วต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง จากครั้งที่แล้วว่าทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลยในการที่จะมารับของขวัญจากพระเจ้า ฟรี ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห่อเรียบร้อยแล้ว ใส่ชื่อท่านเรียบร้อยแล้ว วางอยู่ ให้ท่านมารับเอาไป ของใคร ก็ของคนนั้น ไม่มีใครมาขโมยไปได้ ทุกห่อเท่ากันหมด ไม่มีใครมีของขวัญดีกว่ากัน เพราะว่าไม่ได้ของขวัญ โดยการกระทำ แต่ให้ฟรีๆ เปล่าๆ เพราะฉะนั้น เข้ามารับเอาไปเลย  ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น คำว่า “ไม่มีข้อแม้” ก็คือไม่มีข้อแม้ ไม่มีแต่ว่า ต้องไอ้โน่น ไอ้นี่ ไม่มี ไม่ต้องทำอะไรเลย มารับของขวัญเอาไปฟรีๆ เลย แล้วก็บังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าจะนำท่านเองว่ามันเป็นอย่างไร?

เข้าสู่สวรรค์ ฟรีๆ เพราะอะไร? เพราะเป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษยชาติ รักมนุษย์ทุกคนดั่งแก้วดวงใจของพระองค์ แล้วทรงแสดงความรักนี้ โดยการเสียสละชีวิตของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตาย ที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน แล้วในพระคัมภีร์ก็จะถามท่านว่าถึงขนาดนี้ ถ้าท่านรับรู้อย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าทรงรักท่าน และให้ท่านมากถึงขนาดนี้ ถึงขนาดยอมตาย เพื่อท่านได้  แล้วมาอยู่กับท่านอย่างนี้แล้ว ท่านกลัวอะไรอีกล่ะ ท่านคิดว่าอย่างอื่นในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ที่ดีๆ ที่ท่านอยากได้ แล้วพระเจ้าหวงไว้บ้าง? ไม่ให้ ก็แสดงว่าไม่มี เมื่อไม่มี แสดงว่าสิ่งที่เราอยากได้ เราอยากเป็น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อันนี้ไม่ดีสำหรับเราหรอก พระเจ้าเลยไม่ให้เรา แสดงว่ามันมีอะไรบางอย่างดีกว่านั้นอีก เราไม่รู้ ถูกไหม? เราไม่ต้องไปคิดเลยว่า …

“ทำไมพระเจ้าไม่ให้อันนี้ ทำไมพระเจ้าไม่ให้อันนั้น พระเจ้าหวงไว้ทำไม?”

ไม่ได้หวงอะไรเลย  อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด  แต่ความคิด เราคิดไม่ออกว่าอะไรมันดีสำหรับเรา เรานึกว่าอันนี้ดีแล้ว แต่มันไม่ดีหรอก เราคิดว่ากินเหล้าเมายามันดี แต่มันไม่ดีหรอก เห็นไหม? เราไม่รู้ว่าอะไรมันดีไม่ดี เรานึกว่าไปอยู่สถานที่อากาศอย่างนี้ดี มันอาจจะอากาศเป็นพิษอยู่ แต่พระเจ้าทรงทราบ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจในพระเจ้าว่าถ้าพระองค์ทรงรักเรามากขนาดนี้ เราควรวางใจในพระองค์ว่าพระองค์จะทรงทำให้เราได้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี พระเจ้าจะไม่หวงไว้เลย จะเตรียมไว้ให้กับเรา  ผู้ที่รักพระองค์เสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว การรับพระเยซูคริสต์ การใช้สิทธิของท่าน การรับของขวัญนี้  มันจึงเป็นผลประโยชน์ทันที ล้วนๆ ทั้งเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไปถึงนิรันดร์เลย ไม่ใช่ว่ารอไปอยู่สวรรค์เฉยๆ แต่ว่าพระองค์เข้ามาอยู่ในตัวเรา และพาเราดำเนินชีวิต เผชิญกับปัญหาต่างๆ โควิดเผชิญคนเดียวไหวหรือ? บางคนอาจจะบอกว่าไหว มันเหนื่อยใช่ไหม? แต่ถ้ามีอีกผู้หนึ่งที่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มาอยู่กับเรา พาเราเดินอย่างนี้  อธิษฐาน เกิดอัศจรรย์ เกิดหมายสำคัญอย่างนี้ จะมากหรือน้อย หรือเป็นไปตามที่เราอยากได้ มากเท่าไรก็ตาม เรายังพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง เรายังได้เปรียบกว่าที่เราจะมาเดินคนเดียว ถูกไหม?

แล้วในชีวิตนี้ จะต้องประสบปัญหาอะไรต่างๆ มากมาย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท่านจะเดินคนเดียวหรือ? แต่ถ้าท่านพิสูจน์พระเจ้า ต้อนรับข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นของขวัญ เป็นทางไปสู่สวรรค์ เป็นทางที่ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านจะสามารถทดสอบว่าจริงหรือไม่? ท่านสามารถชิมพระเจ้าดูเลยว่าพระองค์ดีจริงหรือเปล่า? และพระคัมภีร์ก็พูดมา 2,000,  3,000, 4,000 ปีแล้ว ทุกคนที่ชิมพระเจ้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า …

“ลองชิมพระเจ้าดู แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงแสนดี”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

*********************