คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 5 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 5

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ในปัจจุบัน มนุษย์ทั้งโลก กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย เราก็รู้กันอยู่แล้ว ความวิตกกังวล ความบีบคั้น ความกลัว ปกคลุมไปทั่วโลกเลย ทั้งกลัวไวรัส 19 ผลกระทบจากไวรัส 19 ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งการกินการอยู่จะทำอะไรกิน จะอยู่อย่างไร? ถ้าโรคภัยไข้เจ็บมา จะสู้อย่างไร? ไม่ใช่โรคไวรัส 19 อย่างเดียว มันยังมีไวรัสนับไม่ถ้วน แถมโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เป็นเชื้อโรค ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วนที่การกินการอยู่มันผิดเพี้ยนไปหมด เพราะว่าคนมันเยอะขึ้น ความแตกแยกกัน การทะเลาะวิวาท ความเห็นแก่ตัวของผู้ที่เรียกว่าคน เพราะคน แปลว่าความวุ่นวาย

เคยเอาน้ำตาลใส่ลงไปในน้ำร้อนไหม? เราต้องทำอะไร? เราต้องคน  … คนแปลว่าอะไร?  ทำให้มันยุ่งๆ สิ ให้มันวุ่นวาย จากมนุษย์เลยกลายเป็นคน คนยิ่งเยอะเท่าไร มันก็ยิ่งยุ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น สมัยก่อนอาจจะมีพันล้านคน ก็ยุ่งแค่พันล้าน ตอนนี้มี 7,000 ล้าน มันยุ่งมากขึ้นทุกๆ วัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อยู่บนความหวาดกลัว ความรุนแรง ความไม่แน่นอนของชีวิตหรือ?  เพราะฉะนั้น ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ มันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าไปหวังว่ามันจะดีขึ้น มันอาจจะดีขึ้นของโควิด แล้วอย่างอื่นล่ะ คนมีน้อยลงไหม? บางคนก็ดีใจว่าตอนนี้น้อยลง เพราะเป็นโควิดเสียชีวิต ไม่จริงหรอก เดี๋ยวมันก็เยอะมาอีก เพิ่มมากกว่าลดน้อยลง

เพราะฉะนั้น ซีรี่ย์การบรรยายในชุดนี้ คือชุดที่ชื่อว่า “มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  จึงเป็นเหมือนการเตือนจากพระเจ้า ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ต้องบอกว่าทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะรู้จักพระเยซูหรือไม่รู้จักพระเยซูก็ตาม ข่าวสารนี้มาถึงมนุษย์ทุกคน  ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากขณะนี้ มั่นคงไม่หวั่นไหว  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ในช่วงเวลานี้จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราทุกคนด้วยซ้ำไป  ที่ผู้คนกำลังสับสน กำลังหาทางออก หาที่พึ่ง และเราได้เรียนรู้เรื่องนี้มาด้วยกันแล้ว 4 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 5 ทำไมต้องละเอียดขนาดนี้  ก็ละเอียดอย่างที่ตะกี้นี้บอกว่ามันไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากแค่นี้  มันอาจจะมีมากกว่านี้อีก

หลายสำนักเขาวิเคราะห์มาว่าปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง  ปีหน้าผลกระทบของโควิด 19 จะรุนแรงของจริงแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอก จริงหรือไม่จริงอย่างไรแล้วแต่ แต่เราเตรียมตัวไว้ก่อน สำหรับพระเจ้าแล้ว ให้ลูกของพระองค์เตรียมตัวอยู่เสมอ ตลอดเลย เพราะโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะมันเสียหายไปแล้ว

พระเจ้าได้เตือนคนที่ยังไม่เชื่อ คนที่ยังไม่ได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ โดยเตือนผ่านทางเปาโล ให้ผู้ที่ยังไม่เชื่อเหล่านั้น ได้ตัดสินใจเชื่อซะ ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่างซะ ย้ายจากการพึ่งตนเอง มาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์จะเข้าไปช่วยเหลือท่าน ซึ่งเป็นการเตือนจากเปาโล โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สำแดงออกมา เตือน ด้วยความรัก ห่วงใย จนขนาดน้ำตาไหลเลย

เวลาเปาโลเขียนสิ่งเหล่านี้ เปาโลบอกว่าทำโดยวิญญาณ ทำจากข้างใน ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฟีลิปปี 3:17-21 ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เรามาดูกันว่าพระเจ้าได้เตือนเราอย่างไร? เตือนทั้งคนที่ยังไม่เชื่อ และเตือนคนที่เชื่ออย่างไรบ้าง?

ฟีลิปปี 3:17-21 “17 พี่น้องทั้งหลาย จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า และเลียนแบบ ผู้ที่ดำเนินชีวิต ตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้ 18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่าน และบัดนี้ ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่ามีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรู ต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขา คือความพินาศ  พระของเขา คือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก 20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอย พระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

ในข้อ 18-19 เตือนบรรดาผู้คนที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังช่วยเหลือตัวเองอยู่ ยังพยายามด้วยตัวเองอยู่ เตือนไว้ว่าปลายทางของคนที่ยังไม่ได้ความรอด คือความพินาศ … พินาศ คือไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พินาศตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย อย่างที่ผมบอกแล้วว่าเตือนด้วยน้ำตา นึกถึงข่าวสารที่มาจากพระเจ้า  พระเจ้ารักท่านมาก ดั่งที่พระคัมภีร์บอกท่านว่าทรงรักท่านมากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจเลย รักมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศ พระองค์รักมนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น กำลังจะบอกท่านว่าพระเจ้าเตือนแล้วเตือนอีก เตือนท่านแล้ว สำหรับเราเอง เราก็ระลึกถึงญาติพี่น้อง ผู้คนรอบข้างเรา ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังแสวงหาสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งในนี้บอกว่ามันเป็นเรื่องอับอาย ปักใจอยู่แต่กับเรื่องของฝ่ายโลก ลาภ ยศ สรรเสริญ พึ่งพาตนเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้ท่านถ่อมใจลง  พระคัมภีร์บอกมาชิมพระผู้ช่วยให้รอดดู แทนที่จะสู้อยู่คนเดียว เผชิญโควิดและผลของโควิดที่กำลังเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด ด้วยความกลัวอะไรต่างๆ นานา อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น แทนที่จะเผชิญสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวท่านเองคนเดียว ลองให้พระเจ้า มาช่วยท่านไหม?

อัญเชิญ หรือว่าเชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่านไหม? เรียกว่ารับเชื่อ นี่พระเจ้าเตือนท่านแล้ว

บางคนอาจจะถามว่า … “แล้วจะเชิญอย่างไร?”

ง่ายนิดเดียว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือข่าวดี  และใครที่เชื่อในข่าวดี เชื่อแค่นี้เองว่ามันเป็นจริง  พระเยซูได้กระทำอย่างนั้น  เพื่อฉันแล้วจริงๆ พระคัมภีร์ในโรม 10:9-10 บอกว่าเพียงแต่ผู้นั้นเชื่อ และพูดด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เชื่อด้วยใจว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 แค่นี้เอง คนนั้นก็ได้รับความรอด ก็เป็นผู้เชื่อ เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว

อย่างที่บอกว่าลองชิมพระเจ้าดู ลองเอาข่าวประเสริฐนี้ไปวิเคราะห์ดู ไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ได้กับได้ พระคัมภีร์จึงบอกให้มาลองพระเจ้า มาชิมดูสิ แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และรักท่านมากขนาดไหน? และท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข แทนที่ท่านจะสู้คนเดียว

สำหรับข้อที่ 20-21 เมื่อสักครู่นี้ เป็นการแนะนำ  ไม่ต้องเตือนแล้ว เพราะว่าเป็นผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดไปเรียบร้อยแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เลยกลายเป็นพระเจ้าแนะนำลูก ให้มองไปที่ข้างหน้า  มองไปที่หลักชัย หลักชัยอยู่ที่ข้อ 21 หลักชัยของข้อที่ 20 ก็คือของเราทั้งหลายที่เป็นพลเมืองสวรรค์ เขียนให้คนที่อยู่บนโลกใบนี้อ่าน ยังไม่ตาย แต่อยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง ให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว”

ไม่ต้องรอตายไปก่อน เป็นแล้ว พระเจ้าเลยแนะนำผู้ที่เป็นลูกฉันแล้ว ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างไร? ข้อที่ 21

ข้อที่ 21 “พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์

เป้าหมายของเราคืออะไร? เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่เป้าหมายหลักชัยของเราอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือร่างกายที่อ่อนแอนี้ เมื่อมันตายไป เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไปอยู่ในโลกใหม่ ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ทรมานอีกแล้ว นี่คือหลักชัย พระเจ้าบอก …

“ลูกเอ๋ย มองไปตรงนี้เลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้”

อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้ากำลังนำพาลูกๆ ของพระองค์ ไปที่จุดนี้แหละ คือสันติสุขในพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สันติสุข ความสงบสุข

การมีสันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ก็คือสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของเราสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั่นเอง ซึ่งจะส่งผลให้เราไม่หวั่นไหว ไม่กลัวในสิ่งใดๆ เลย และทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น มันแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ไม่ว่าโควิดมันจะมีหรือไม่มี โควิดมันจะสิ้นหรือไม่สิ้น ผลจากโควิดมันจะแรงมากหรือแรงน้อย ดีขึ้นหรือเลวลงก็ตาม มันจะอยู่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง นี่พระเจ้าบอกเรา สิ่งเหล่านี้ ซึ่งผ่านทางเปาโล

เปาโลก็เลยแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่มีแล้ว สิ่งที่เราได้รับแล้ว สิ่งที่เราเป็นแล้ว ซึ่งอยู่ในโลกวิญญาณ ซึ่งเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โลกวิญญาณ ก็คือสวรรค์นั่นเอง หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าเบื้องบน หรือสวรรค์ หรือโลกวิญญาณ ในเอเฟซัส 1:3 เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่บอกว่าในเบื้องบน ในโลกวิญญาณ เรามีอะไรแล้ว เราเป็นอะไร เราได้รับอะไรแล้ว

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  พระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน”

 

“ผู้ได้ทรงประทาน” แสดงว่าได้แล้ว เราได้รับแล้ว ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ … นานัปการ คือทุกอย่าง เยอะแยะไปหมดเลย แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน ตรงนี้ ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณ หรือในเบื้องบน เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว

ยกตัวอย่างที่ตะกี้นี้บอก เราเป็นลูกของพระเจ้า  นั่นคือหนึ่งในจำนวนนานัปการ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คือหนึ่งในจำนวนนานัปการ

อีกข้อหนึ่งใน 1 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

 

“พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” ต้องตายไปก่อนหรือเปล่า? ต้องเรายังหายใจอยู่เลย แต่ในวิญญาณได้เกิดใหม่ มันหมายถึงตรงนั้น นี่คือพรหนึ่งในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

สรุปผล ก็คือเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าให้เราได้เกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เข้าไปนั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว

เราลองคิดกันดูว่าพระพรในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มันเป็นอย่างไรบ้าง? เรามาวิเคราะห์กันหน่อย เพื่อประเมินว่าในโลกวิญญาณเรามีอะไร? เราเป็นอะไรแล้วบ้าง? ที่เราได้นั่งอยู่กับพระเจ้าแล้วตอนนี้ ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ …

–  เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว    ได้บังเกิดใหม่   อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์

–  มีชีวิตนิรันดร์   ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา   คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงชีวิตไม่มีการตายอีกต่อไป แต่ชีวิตนิรันดร์นี้ หมายถึงชีวิตที่มี DNA มีลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เขาเรียกว่าพระลักษณะของพระองค์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เราได้รับชีวิตของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์เข้ามาแล้ว  เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว

–  เรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  จูงมือเราเดิน  ทุกเสี้ยววินาที  ผ่านโควิด ไม่โควิด ต่อให้มีอะไรก็ตาม พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา เดินอยู่กับเราตลอดเวลา ในขณะนี้ ไม่ว่าเราจะหลับหรือจะตื่น พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว ให้เรารับรู้สิ่งนี้

–  เรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์      พระคัมภีร์บอกเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์     มีมรดก คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

–  เราเป็นผู้ชอบธรรม   เป็นธรรมิกชน   เราบริสุทธิ์   สะอาด   ปราศจากบาป   ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เราได้รับมาฟรีๆ เลย

–  เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาท อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราเป็นสมาชิก เป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักเท่าๆ กันกับพระเยซูเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาท อยู่ในครอบครัวของพระเจ้ามีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นพ่อ เหมือนพระเยซู

–  พระเจ้ารักและโปรดปรานเราดั่งแล้วตาดวงใจของพระองค์เหมือนพระเยซูคริสต์

–  เราเป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์   พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง   พระเยซูเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่าง

–  เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน          มีสิทธิอำนาจสูงสุดในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

–  และเรากำลังรอร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายที่อ่อนแอลงทุกวันนี้  ที่เดี๋ยวก็ไม่สบาย  เดี๋ยวก็วิตกกังวล  เดี๋ยวก็กลัว  เดี๋ยวก็ต้องกินข้าว  เดี๋ยวก็ปวดท้อง  เดี๋ยวก็เหนื่อย อะไรก็ไม่รู้  ร่างกายที่อ่อนแอ เห็นภาพไหม? เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  จงมองไปที่สิ่งเหล่านี้  นี่คือหลักชัยของเรา

และรอโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่มาแทนโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ ที่มันวุ่นวายไปหมด ที่มันเละเทะ ต้นไม้ที่กินไม่ได้ ก็ขึ้นดีเหลือเกิน ต้นไม้ที่จะกิน ปลูกแทบตาย ก็ไม่ยอมขึ้น วุ่นวายไปหมด เดี๋ยวอากาศก็เสีย ตรงโน้นก็แย่ แต่โลกใหม่จะเข้ามา  และสรรพสิ่งที่อยู่ในโลก จะถูกสร้างใหม่หมด สัตว์ดุร้ายทั้งหลาย ก็เป็นมิตรกับเราตลอด  เป็นเพื่อนของเรา

เราลองคิดดู เรากำลังรอสิ่งเหล่านี้ เห็นภาพไหมว่าสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราเป็นอยู่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ย้อนกลับไปอีกทีหนึ่งสำหรับคำเตือน ผู้ที่ยังไม่เชื่อในเรื่องนี้ ที่ท่านกำลังเฝ้าต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญาตนเอง ด้วยกำลังของตนเอง กำลังแสวงหาที่พึ่ง แสวงหาทางออก นี่แหละคือทางออก ไม่ใช่ทางออกเฉพาะว่าความลำบากในเรื่องโควิด การกินการอยู่เท่านั้น แต่ไปถึงทางออกถึงชีวิตหลังความตายด้วย ท่านเห็นไหม และสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่มาเชื่อพระเยซูแล้ว รอตายก่อน จึงจะได้รับ ไม่ใช่เลย มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ได้รับเดี๋ยวนี้เลย พระเจ้าจึงบอกให้มาชิมพระองค์ ถ้ามันเป็นจริง ท่านเชื่อในพระองค์ปุ๊บ ท่านจะได้ประสบการณ์อย่างที่ตะกี้นี้พูดมาทั้งหมดเลย ประสบการณ์ในการเป็นลูกของพระเจ้า ประสบการณ์ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน จูงมือท่านเดินผ่าน ในแต่ละวันๆ ประสบการณ์ในการบังเกิดใหม่ ความหวังใหม่ ประสบการณ์ในการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีงาม เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นคนบาป  ไม่ต้องชดใช้บาปอีกต่อไป  ท่านจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้ทันที เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้

ท่านจึงมั่นใจว่านี่ใช่แน่นอน เพราะฉะนั้น หลังความตาย ฉันก็สบายแน่นอน เพราะพระคัมภีร์ก็พูดไว้เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์พูดว่าที่ได้รับก่อนที่จะตายบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนมัดจำ โดยผ่านทางพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เปิดใจแค่นี้เองง่ายๆ คือถ่อมใจลง หยุดความเย่อหยิ่ง ที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วยตัวเอง พอแล้ว มันเหนื่อยมาก มนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  เพราะฉะนั้น แค่เปิดใจ แล้วก็ต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้ทั้งหมด ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงแนะนำเราว่าให้เรามีความชื่นชมยินดี พึงพอใจ มีความสุข มีความหวังในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นแล้ว ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่ตะกี้นี้เราได้ลองวิเคราะห์กันดู ได้รับ ได้เป็นอะไรกันบ้าง? ให้เราชื่นชมยินดีและพึงพอใจ และเฝ้ามอง จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ถึงสิ่งเหล่านี้ ให้มันเหมือนเป็นสิ่งของที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แบบวัตถุเลย เหมือนที่เราจับต้องมองเห็นโฉนดที่ดิน ที่เราเป็นเจ้าของ เราไม่เห็นตัวที่ดินหรอก เรารู้ว่าเป็นของเราแน่นอน เพราะเราเห็นโฉนดที่ดินที่เราใส่ในเซฟ บางทีเราลืมไป ไม่ค่อยมั่นใจ ถ้าใครไม่มั่นใจ ก็ไปเอาออกจากเซฟมา แล้วก็แปะไว้ที่หน้ากระจก ทุกเช้า ทุกวันก็จะเห็นว่าโฉนดนี้เป็นของชื่อเรา  เราก็มั่นใจ เราไม่ได้เห็นตัวจริงๆ แต่เราพุ่งไปที่นี่ พูดกับตัวเองว่าเรามีที่อยู่ที่นี่ๆ

เหมือนขณะนี้ที่โบสถ์เรา มีที่ดินอยู่ที่หนึ่ง เกือบๆ 3 ไร่ กำลังจะสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า สร้างอาคารแห่งใหม่ ซึ่งมีผู้ถวายมา ตอนนี้โอนมาเป็นของมูลนิธิฯ คริสตจักรเรียบร้อยแล้ว ได้นำเอาโฉนดมาขึ้นสไลด์ให้สมาชิกได้เห็น หลายคนได้เห็นแล้ว ทุกคนก็พุ่งเป้าไปที่นั่น บางคนเริ่มถวายทรัพย์กันเข้ามาเยอะแยะมากมาย หลายล้านแล้ว เราต้องใช้เงินอีกจำนวนหลายล้านบาท ในการไปสร้างอาคารใช้สอย บนที่ดินนี้ คนที่ถวายทรัพย์ คนที่ให้เงินเรามา ร่วมไปก่อสร้างยังไม่ได้เห็นที่ดินเลย ไม่ได้เห็นตัวจริง แล้วถวายทำไม? เพราะว่าเห็นโฉนดแล้ว เท่ากับท่านรู้สึกว่าใช่ มันมีจริงๆ

นี่แหละ ลักษณะเดียวกัน เราอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกเราในโลกวิญญาณมีอะไรบ้าง? เราเป็นลูกของพระเจ้า  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เหมือนที่ตะกี้นี้เราพูด เราได้รับพระพรนานัปการในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าบอกว่ามองดูสิ โฉนด คือข้อความในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เรามีความเชื่อ เหมือนที่ตะกี้นี้ เรามีโฉนดที่ดินอยู่ ไม่เห็นตัวจริง แต่ทำท่าทำทางเหมือนเลย ไปที่ไหน …

“ที่โบสถ์ กำลังก่อสร้างบนที่ดิน 3 ไร่แล้ว ขอบคุณพระเจ้า กำลังก่อสร้างอยู่ ฉันก็ร่วมไปด้วย”

“แล้วเธอไปเห็นที่ดินหรือยัง?”

“ยัง”

“เห็นอะไร?”

“เห็นโฉนด” เหมือนกัน

“ไหนบอกเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้วไง พระเจ้าสถิตอยู่แล้วไง เห็นหรือ?”

“ไม่เห็น แต่มีโฉนดอยู่ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน และฉันอ่านในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น” เอเมน   เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ให้เราทำเหมือนกับที่โบสถ์กำลังทำ ตอนนี้โบสถ์กำลังทำอะไรรู้ไหม? บางคนยังไม่เห็นที่ดิน หรือไปเห็นมาครั้งเดียวก็ตาม ตอนที่เห็น ยังไม่ได้เป็นของเราเลย ยังไม่ได้โอนชื่อมา ตอนนี้โอนชื่อมาแล้ว ตั้งแต่โอนชื่อมา เรายังไม่เห็นเลย  เห็นแต่โฉนดว่าชื่อเป็นของมูลนิธิฯ แล้ว  แต่ทั้งหมดที่ไม่เห็น รวมทั้งเห็น กำลังบากบั่นมุ่งไปสู่ที่ดินนี้ ทุ่มเงิน ทุ่มแรง ทุ่มกายออกแบบก่อสร้าง อะไรต่างๆ ไปที่นี่หมดเลย ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็น เหมือนกัน เราผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรากำลังบากบั่น วิ่งไป โน้มตัวไป จดจ้อง จดจ่อ ไม่กระพริบตาเลย เพื่อไปรับรางวัลเพิ่มเติม ได้ที่ดินแล้ว จะไปก่อสร้าง เดี๋ยวพระเจ้าก็นำเงินมา แล้วก็ก่อสร้างสถานที่แห่งใหม่ ให้เราได้ใช้สอยที่โน้น เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ให้เรามุ่งไป โน้มตัวไป  จดจ่อ ไม่กระพริบตาไปที่รางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับเมื่อวันที่จากโลกนี้แล้วไง เอเมน โน้มตัวไปตรงนี้เลย ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราก็น่าจะปฏิบัติตัว ประพฤติตัวให้มันสมกับที่ได้รับ ได้มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ถูกไหม? คือชื่นชมยินดีมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ขอบคุณพระเจ้า อีกปีกว่าเราก็จะย้ายไปอยู่ที่ดินของเราเอง ไม่ต้องย้ายไปย้ายมาอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เหมือนกัน อีกไม่กี่ปีเอง ฉันก็จะย้ายบ้าน โลกใบนี้ไปอยู่ในสวรรค์สถาน จบซะที หายเหนื่อยและเป็นสุขสักที ขอบคุณพระเจ้า มันเหมือนกันไม่มีผิดเลย แล้วถ้าเราทำได้ตลอดเวลา มันเกิดอะไรขึ้น ทุกเสี้ยววินาที มันก็เหมือนกับที่เรากำลังจะย้ายไปสู่ที่แห่งใหม่  เมื่อ 2 เดือนก่อน ตอนที่ฝนตกหนักๆ ตอนที่พายุแรงๆ หลังคารั่ว น้ำลงมาเต็มไปหมดเลย  อาจารย์นำขึ้นไปซ่อม หลังคาแตก ร่วงเกือบตกลงมา แต่ท่านก็เฉย มาบอกพวกเรา พวกเราก็เฉย ไม่ใช่เฉย เพราะไม่เห็นใจ หมายความว่าเฉยว่ามันรั่วแล้ว ไม่ซ่อมแล้ว ช่างมัน เอาเท่าที่ทำได้ ปะๆ ไปก่อน แมววิ่ง 2-3 วันก่อน วิ่งโครมเลย ฝ้าหล่นลงมา เราก็หัวเราะ แหะๆ ถ้าเผื่อตอนสมัยยังไม่มีที่ดิน  เราก็ไปซ่อม ต้องใช้ต่อ  แต่ตอนนี้เรามีที่ใหม่แล้ว เรากำลังมุ่งไปสู่หลักชัยแล้ว เพราะฉะนั้น มันจะร่วงลงมา เอาอะไรปะๆ มันไว้ก่อน อะไรมันร่วงๆ ช่างมัน ใช้มันไปก่อน ใช่หรือไม่ใช่ มันจะอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเอง เรามีที่ถาวรของเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ขอบคุณพระเจ้า สำหรับหลักชัยนั้น ให้เราชื่นชมยินดีด้วยวิธีใด เวลาเราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดเวลา เราก็จะมีชีวิตอยู่ให้เป็นไปด้วยกันกับความเป็นจริงนั้น ก็คือเราก็จะเริ่มฉายแสงสว่าง ในวิญญาณของเราออกมา คือสำแดงพระเยซูคริสต์ออกมา จากชีวิตของเรา นึกภาพออกใช่ไหม? เพราะเราเห็นเป็นความจริงแล้ว เราจับต้องมองเห็นได้ เราปฏิบัติตัวทุกอย่างเลย เหมือนเราเป็นแล้วทั้งนั้น เพราะมันเป็นแล้วจริงๆ เราก็จะฉายแสงสว่าง ให้ความรักแบบพระเจ้าออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ในใจของเรา ซึ่งเป็นความรักที่พระเยซูบอกว่ารักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง เพื่อนบ้าน คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ที่เราเจอ เจอใคร ก็คือเพื่อนบ้านเราทั้งนั้น พระเยซูกำลังบอกว่าจงรักมนุษย์ทุกคนที่ท่านเจอ

ท่านจะไปรักมนุษย์ที่อยู่ป่า อยู่เขา ที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่มีโอกาสได้สำแดงความรักกับเขา แต่ท่านจะมีโอกาส สำแดงพระเยซูคริสต์ ความรักแบบพระเยซูออกมาจากใจของท่าน  ก็ต่อเมื่อท่านเจอกับใครบนโลกใบนี้ นั่นแหละ เพื่อนบ้านของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนบ้านของท่าน ที่เขากำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังลำบาก นั่นแหละ  พระเยซูบอกเพื่อนบ้านของท่าน ที่ท่านจะต้องรักเขาอย่างมากมาย เพราะว่าความรักนั้น เป็นความรักของพระเยซูคริสต์

มีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่มีแล้ว เป็นแล้ว มันก็สบายใจแล้ว มันก็เริ่มฉายแสงข้างในออกมา เริ่มจากการฉายแสงสว่าง เป็นเหมือนพระเยซูออกมา เป็นผู้ให้ เป็นผู้อภัย แบ่งปัน ช่วยเหลือ แจกจ่าย ด้วยความรักที่บริสุทธิ์จากข้างในออกมา ไม่ใช่จะพยายามจากข้างนอกว่า …

“เขาสอนว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่เลย ไม่มีใครมาบังคับให้ฉันทำ ไม่มีใครมาบังคับให้ฉันรักเขา ไม่มีใครมาบังคับ มาสอนฉันว่าฉันต้องถวายสิบลด ต้องถวายทรัพย์ สร้างโบสถ์ ไม่มีใครมาบอกเลย แต่ฉันทำออกมาจากข้างใน”

เห็นไหม?  จงถวายด้วยใจของท่าน ที่เตรียมจากใจ ไม่ใช่จากภายนอก ไม่ใช่จากกฎระเบียบ จากประเพณี แต่จากข้างใน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีความอิสระ ไม่ติดยึดกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว เพราะรู้ว่าหลังคามันจะรั่ว น้ำจะหก ห้องน้ำจะกดไม่ลง มันอยู่ชั่วคราว มันไม่ได้อยู่นิรันดร์ ที่นิรันดร์ เรามีห้องน้ำทำเป็นทองเลย รออยู่ ตรงนี้อยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวหมดสัญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ร่างกายบนโลกใบนี้ก็เหมือนกันอีกไม่นาน อยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ไปแล้ว เราก็จะไม่ติดยึดกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกระวนกระวาย และความทุกข์นั่นเอง มันก็หลุดพ้นจากการไปติดยึดกับบนโลกใบนี้ อย่างที่ย้ำมาตลอดว่าเคล็ดลับของความมั่นคง ไม่หวั่นไหวท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ก็คือความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่แค่ชั่วคราว แต่ของถาวรนิรันดร์นั้น เราได้รับเรียบร้อยแล้ว เรามีหมดเลย เยอะแยะมากมาย เทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งเคล็ดลับนี้ ได้ถูกเปิดเผย โดยเปาโล ผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าท่านได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในทุกรูปแบบ ทุกสถานการณ์แล้วจริงๆ มีประสบการณ์ เปาโลไม่ได้สอนเพียงแค่คำพูด แต่ใช้ชีวิตของตนเอง เป็นตัวอย่างในเรื่องต่างๆ ว่าเปาโลได้ประสบการณ์ที่จุดพีกสุด สูงสุดเลย ดีสุดและก็แย่สุด บนสุด และล่างสุด เปาโลผ่านมาหมดแล้ว เปาโลจึงบอกว่าเป็นเคล็ดลับที่นำพาตัวท่านเองผ่านประสบการณ์เหล่านั้น ผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้นมาได้ ถูกหินขว้างจนตาย ต่ำสุดใช่ไหม? แล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ตายจริงๆ แล้วถูกขังในคุก ถูกเฆี่ยน เจ็บปวดจริงๆ ต่ำสุดๆ เลย แต่มาสูงสุดๆ คือ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ผ่านทางเปาโล ผู้คนยกเปาโล นึกว่าเป็นพระเจ้า พาไปเลี้ยงอะไรต่างๆ นี่สูงสุด แต่ไม่ว่าจะสูงสุด หรือต่ำสุด เปาโลก็บอกว่าข้าพเจ้ารู้วิธีที่จะเผชิญกับมัน เป็นเคล็ดลับ สูงสุด ก็ไม่เหลิง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ต่ำสุด ก็ไม่หมดความหวัง ต่ำสุด ก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พาผ่านไปได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้น เคล็ดลับเราจึงมาเรียนรู้กัน ฟีลิปปี 4:13 ซึ่งได้พูดถึงเคล็ดลับหนึ่งของเปาโลว่าถ้าทำอย่างที่เปาโลสอน เราจะได้รับตรงนี้ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงเคล็ดลับนี้ จะกระโดดมาที่ตรงนี้ก่อน  เพราะอยากให้ทราบรายละเอียดของข้อนี้ก่อน เราจะคุ้นหูมาก และคุ้นหูในลักษณะที่เข้าใจกันผิดเยอะ เลยเอามาแก้ไขตรงนี้ก่อน แล้วค่อยไปดูตรงเคล็ดลับจริงๆ ว่าเปาโลสอนให้เราทำอะไร? ถึงจะได้ความพึงพอใจ ได้สันติสุขตรงนี้

ฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

ถามว่าทำไมถึงเน้นข้อนี้ก่อน เพราะรู้ว่าทุกคนจำได้ หลายคนท่องเลย ใช่ไหม? ผมก็จำได้ …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังแก่ข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” แถมยกมือแบบชัยชนะด้วยใช่ไหม? ถ้าใช่ ฟังทางนี้ ฟังแล้วคุ้นๆ กับข้อพระคัมภีร์นี้ใช่ไหม? แต่ท่านคิดว่าท่านเข้าใจถูกไหม? ในอดีต หรือแม้กระทั่งตอนนี้ พอพูดถึงถ้อยคำนี้ ท่านนึกถึงอะไร?

พระคัมภีร์ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งข้อ ที่ได้ถูกนำไปใช้แบบผิดๆ เยอะมาก จึงเน้นตรงนี้ ข้อนี้ก่อน ทั้งใช้สอน หนุนใจ  สอนให้ทำ  สอนให้คิด ให้ฝัน อย่างเช่น พวกการ์ดอวยพรคริสเตียน จะมีถ้อยคำอย่างนี้เต็มไปหมดเลย การ์ดอวยพรวันเกิดก็มี การ์ดแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ ก็มี อย่างเช่น แสดงความยินดีในโอกาสได้รับงานใหม่ ก็มี จบการศึกษาก็มี ทำธุรกิจ เปิดกิจการใหม่ ก็มี ส่งการ์ดอย่างนี้  แม้กระทั่งการ์ดอวยพรแต่งงานยังมีเลย “ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่ง ทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” นี่ไง ในที่สุด ก็ได้แต่งงานแล้ว อธิษฐานมาตลอดเลย จนได้ และทุกวันนี้ ก็ยังมีคนหนุนใจ แบบนี้ ด้วยถ้อยคำนี้อีกเยอะ

ปัญหา คือพระคัมภีร์ข้อนี้ เมื่อถูกแยกนำไปใช้เดี่ยวๆ ดึงลงมา แล้วมาใช้ ส่วนใหญ่จะใช้แบบผิดๆ และผลของการใช้แบบผิดๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดการกระตุ้นความอยากของเนื้อหนัง ตามระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้าเลย เขาเรียกกันว่าวัตถุนิยม พาไปสู่ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม กิน เกียรติ นั่นเอง

อยากได้รถ อธิษฐานเลย ยกข้อพระคัมภีร์นี้มาเลย อยากได้รถ อธิษฐานว่าอย่างไร? …

“ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสามารถจะมีรถคันใหม่ได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

คุ้นๆ ไหม?

“ข้าพเจ้าสามารถมีสุขภาพแข็งแรงได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าสามารถ ….” อีกเยอะแยะมากมายไปหมด

“ข้าพเจ้าสามารถทำธุรกิจตรงนี้สำเร็จ เจริญรุ่งเรืองแน่นอน เพราะพระเยซูคริสต์เสริมกำลังให้ข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าได้รับการโปรโมท เลื่อนขั้นขึ้น จากการทำงานนี้ เป็นหัวหน้าคนได้ อย่างแน่นอน เงินเดือนขึ้นอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าทำได้ เพราะพระเยซูคริสต์เสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

เห็นไหมสิ่งเหล่านี้ คนเอาไปใช้แบบนี้เยอะ แปลกๆ กว่านี้อีก ก็มีอีกเยอะ แล้วมันถูกไหม? เดี๋ยวเราฟังกันไปเรื่อยๆ มันกำลังเร้าใจให้เราไปแสวงหาแบบโลกใบนี้ โลกใบนี้เขาก็แสวงหากันอย่างนี้แหละ อยากได้สิ่งของบนโลกใบนี้ แล้วก็หนุนใจกัน ให้กำลังใจกัน เขาเรียกว่าการพูดแบบให้กำลังใจตนเองในเชิงบวก ซึ่งเขาบอกมีพลัง แล้วเอาเป็นบทบรรยาย เอามาทำสัมมนา เร้าใจผู้คน …

“ฉันทำได้ๆ”

จึงมีความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาชั่วคราว แต่มันไม่ได้จริงตามนั้น แล้วมันไม่ได้ไม่พอ มันเป็นการเร้า อย่างที่ตะกี้บอก เร้ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไปสู่ความโลภ และนั่นคือศัตรูกับพระเจ้าเด็ดขาดเลย  ตรงกันข้ามกับความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ตรงกันข้ามกับสันติสุขในพระเยซูคริสต์ ตรงกันข้ามเลยเห็นไหม? เราเอาข้อพระคัมภีร์มาใช้อย่างนี้

คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังให้ข้าพเจ้า” ไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถเป็นเศรษฐีได้ หรือเราต้องประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง หรือเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ เพราะเราเป็นผู้เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว หรือเพราะเราอธิษฐานทูลพระเจ้าอย่างจริงจัง ความเชื่อเลยเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่ ซึ่งการกระทำอย่างนั้น มันคือการพึ่งตนเอง ก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาหาพระเจ้า ก็ต้องพึ่งพระเจ้า แล้วแต่พระองค์ ตอนนี้มันแล้วแต่ฉัน ฉันจะเอาอย่างนี้ มีอะไรไหมพระเจ้า? ก็คือการเป็นศัตรู นึกภาพให้ดีๆ โดยเอาข้อพระคัมภีร์มาใช้เป็นหลัก ถามว่าใครเป็นคนวางแผนเหล่านี้ ก็คือมารนั่นเอง มาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย

คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าลูกของเรา ที่พึ่งเรียนจบ จะมีงานทำที่ดี มีเงินเดือนเยอะ มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างแน่นอน ลูกเอาไปท่องเลย เดี๋ยวพ่อช่วยท่องด้วย ไม่ใช่

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าธุรกิจที่เราลงทุนไป มันต้องสำเร็จแน่นอน มันต้องรวยแน่นอน ไม่ใช่

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าเราป่วยอยู่ แล้วอธิษฐาน แล้วมันต้องหายๆ ไม่ใช่ เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่หลายคนยังถูกหลอกเอาไปใช้อยู่

แต่คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ตรงนี้ จริงๆ แล้ว แปลจากภาษาเดิม ชัดๆ แปลว่า “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นกำลังให้กับข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จากข้างใน

“ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” เป็นประโยคสุดท้าย ในข้อที่บอกว่าเป็นเคล็ดลับ ที่เปาโลบอกในข้อ 12 กับข้อ 13 ประโยคสุดท้ายบอกว่า … “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้” … เราจะมาดูสิว่าเผชิญอะไร? เผชิญความสำเร็จหรืออะไร? เราจะดูสิว่าบริบทนี้ พูดถึงอะไร? ก็ต้องย้อนกลับไปที่เมื่อสักครู่ที่ข้อ 12 และ 13

ฟีลิปปี 4:12-13 “12 ข้าพเจ้ารู้ว่าการใช้ชีวิตแบบถ่อมใจ ในยามขาดแคลนเป็นอย่างไร  และข้าพเจ้าก็รู้ว่าการใช้ชีวิตแบบสุขสบาย ในยามมั่งมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์  และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี  ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย  มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์  ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

ชัดเลยใช่ไหม? “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์” ทุกสถานการณ์ข้าพเจ้าสามารถเผชิญได้ สถานการณ์อะไร? ความหิวโหย ความอดอยาก ความมั่งมี ความมีเหลือกินเหลือใช้ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอกมีเหลือใช้ ก็ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ก็มองไปที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ขณะที่ไม่มีอดอยาก ขัดสน ก็มองไปที่พระเจ้าว่าพระเจ้าดูอยู่ พระเจ้ามองอยู่ พระเจ้าเห็นอยู่ พระเจ้าอยู่กับฉันด้วย นี่ไง ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะเผชิญได้ทั้งสองอย่าง บางคนบอกว่าเผชิญได้ อย่างที่ไม่ดีอย่างเดียว ไม่ใช่ อย่างที่มนุษย์เห็นว่าดีก็ต้องเผชิญนะ ลำบากกว่าด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่างเช่น เผชิญความมั่งมี เกิดร่ำรวยขึ้นมานึกว่าไม่เผชิญหรือ? เผชิญการทดลองว่าจะเย่อหยิ่งจองหองไหม? มันก็เผชิญนะ ไม่ใช่ไม่เผชิญ

นี่เป็นตัวอย่างการหยิบข้อพระคัมภีร์ไปใช้ แล้วไม่ดูบริบทว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร? ภาพรวมเป็นอย่างไร? ซึ่งจะได้ความหมายที่ไม่ถูกต้อง เอาข้อหนึ่งออกมา แล้วเอามาใช้เลย แล้วก็สอนต่อกันไปเรื่อยๆ แบบผิดๆ ซึ่งบางครั้งผิด แบบตั้งใจก็มีนะ ผิดแบบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อีโหน่อีเหน่งก็มี

ซึ่งจริงๆ แล้วเคล็ดลับของอาจารย์เปาโลตรงนี้ ก็คือกระบวนการการเรียนรู้ที่จะพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น  เพื่อให้การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อทั้งหลายได้หายเหนื่อยและเป็นสุข เคล็ดลับตรงนี้ทำให้ผู้เชื่อทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นสุขตรงนี้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ก็คือการพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ขณะนี้ เราพึงพอใจแล้ว เพราะเรารู้แล้วเราเป็นใคร? เป็นต้นทุนเยอะแยะมากมาย บนโลกใบนี้ เรารู้แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราพึงพอใจในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น  เคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์ และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็คือฟีลิปปี 4:4-7 นี่คือเคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์ และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ให้ “เผชิญ” นะ ไม่ใช่ “ทำได้” “สามารถ” เผชิญ …

ฟีลิปปี 4:4-7 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน  ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน  ความอดทนนานของท่าน  เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง 6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย  แต่ในทุกๆ สถานการณ์  จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน  และการอ้อนวอน  พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า (ความพึงพอใจในสิ่งที่มีที่เป็น ที่เกิดขึ้น)  ซึ่งเกินความเข้าใจ  จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

วิธีการ ก็คือ …

(1) จดจ่อ จดจ้องไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร? มีอะไรบ้าง ที่เป็นของเราแล้ว เราอยู่ที่ไหน? แล้วทำอะไร? ชื่นชมยินดีในตรงนี้แหละ ตรงโลกวิญญาณ ตรงพระพรต่างๆ ในฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า ที่เราไล่กันมา เมื่อตอนต้น จงชื่นชมตรงนี้ จงจดจ้อง เวลาพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอก … “จงชื่นชมยินดีเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถอะ” … ก็แสดงว่าบนโลกใบนี้มันไม่น่าชื่นชมยินดีเลย ในขณะที่มีโควิด เงินเดือนก็ไม่มี การงานก็เจ๊ง บางคนอาจจะติดโควิดอีกด้วย แล้วชื่นชมยินดีไหวหรือ? ไม่ได้ให้ชื่นชมยินดีตรงนั้น ให้ชื่นชมยินดีว่าถึงแม้จะติดโควิด แต่ฉันเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ถึงแม้ว่ากิจการงานจะเจ๊งอยู่ ลำบากอยู่ มันทุกข์ทรมานอยู่ ชื่นชมยินดีได้ หันหน้ามาชื่นชมยินดีว่า …

“ฉันอยู่ในพระเจ้าแล้ว ฉันมีสวรรค์รองรับอยู่แล้ว บ้านฉันในสวรรค์ใหญ่โตขนาดไหน? พระเจ้าเป็นเจ้าของเงินทั้งหมด พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน”

พอมองเห็นไหม? มันหมายถึงตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะชื่นชมยินดีแบบปลอมๆ หน้าเหยๆ อาจารย์ที่โบสถ์บอกว่าต้องชื่นชมยินดี เงินเดือนไม่มีเลย ไม่มีรายได้มา 1 ปีแล้ว จะกินจะอยู่ก็ลำบากมากเลย ต้องยิ้มสิ ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ได้ มันคนละเรื่องกัน ทุกข์ก็ได้ เป็นไปตามธรรมดา เป็นไปตามภาษามนุษย์ เมื่อโดนไฟลวก มันก็ร้อง โดนไฟลวก ชื่นชมยินดี ไม่ใช่ ร้องเลย …

“พระเจ้าช่วยด้วย”

แต่ข้างในวิญญาณสามารถชื่นชมยินดีได้ พอจะมองเห็นไหมครับ? ว่านี่แหละ คือของแท้ ของจริง ชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ชีวิตมีความหวัง

(2) ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวที่เราได้บังเกิดใหม่ข้างใน สำแดงออกมา สำแดงวิญญาณข้างในของเรา ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือสำแดงพระเยซูคริสต์ ฉายแสงพระเยซูคริสต์ ฉายแสงที่เป็นวิญญาณของเราออกมา ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรา คือมือไม้ อะไรต่างๆ ตา การกระทำทุกอย่าง ฉายสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นความรัก การให้ การเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ก็คือข้อที่บอกไว้ว่าจงให้ความอ่อนสุภาพ อ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน และความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ก็คือคนรอบข้าง ก็คือรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง จากข้างใน ให้พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ฉายแสงออกมาในชีวิต ให้ออกมาในขณะที่เผชิญกับสถานการณ์อะไรก็ตาม บางครั้งเราก็ต้องยอมอดทนนาน เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ก็อย่างที่บอก มันไม่ใช่ความผิดของเราเลย  แต่เราก็ต้องบอกว่า …

“ขอโทษนะ ถ้ามีอะไรที่เราทำผิดพลาดไป ขอโทษ”

ไม่อย่างนั้น เราต้องแข่งกัน แย่งกัน พยายามที่จะให้เป็นถูกให้ได้ ไม่ใช่เลย เราก็มีส่วนผิดทั้งนั้น ทุกคน ไม่มีใคร ไม่ได้เป็นคนบาป แต่เราเป็นคนบาปที่พระเจ้าได้ทรงชำระเราเรียบร้อย ช่วยเราให้พ้นจากบาปได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

ให้ความรัก การให้ การเสียสละ  การไม่เห็นแก่ตัว ก็คือลักษณะของชีวิตแบบผลของพระวิญญาณออกจากชีวิตของเราไป

(3) ให้เราติดต่อ  มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวของเราตลอดเวลา เขาเรียกว่าอาศัยอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยวิญญาณ  ในพระคัมภีร์บอก In spirit  อธิษฐานก็อธิษฐานด้วยวิญญาณ  มองก็มองด้วยวิญญาณ พูดก็พูดด้วยวิญญาณ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น ก็คือรับรู้ พูดคุยภายในกับพระเจ้าตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร?  ภาพของวิญญาณ โลกของวิญญาณ โลกของสวรรค์ที่เราได้อยู่แล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นทุกวันๆ เพราะเราดำเนินชีวิตตามนั้นจริงๆ และมันมีจริงๆ และมันเป็นจริงๆ ด้วย ก็มีค่าเท่ากับที่ตะกี้นี้ที่ย้อนไป ยกตัวอย่างเหมือนเรามีที่ดินโบสถ์ ถ้าไม่มั่นใจ อยากให้มั่นใจมากขึ้น ก็เดินไปทุกวันเลย  เดินผ่านโบสถ์ใหม่ทุกวันเลย เห็นทุกวัน …

“นี่ที่ของเราๆ”

โฉนดแทบไม่ต้องใช้แล้ว นี่มันเห็นความเป็นจริง คล้ายๆ อย่างนั้น ซึ่งวิธีทำ ก็คือการอธิษฐาน การวิงวอนและการขอบพระคุณ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก วิงวอน แปลว่าเจ็บปวด  วิงวอน แสดงว่ามันไม่ไหวแล้ว เหมือนที่พระเยซูวิงวอนกับพระเจ้า ถึง 3 ครั้ง จนเหงื่อเป็นเลือด เหมือนเปาโลขอพระเจ้าให้เอาหนามในเนื้อออกไปถึง 3 ครั้ง อย่างนี้ไม่เรียกอธิษฐานแล้ว เรียกว่าวิงวอน เหมือนกับผมหรือท่านอธิษฐานกับพระเจ้า 3,000 ครั้งไปแล้ว นี่กำลังวิงวอนอยู่ ไม่ได้อธิษฐานแล้วอย่างนี้ เขาเรียกว่าวิงวอนแล้ว

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว”

หรือเหมือนกับพี่น้องทั้งหลายในขณะนี้ ที่อาจจะไม่มีรายได้เลย ธุรกิจต้องหยุดไป  เงินเดือนก็หมดไป ไม่รู้จะเอาอะไรกิน พรุ่งนี้จะอยู่อย่างไร? ว่ากันไปทีละวัน กำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าใช่ไหม? ถูกแล้ว มาถูกทางแล้ว วิงวอนต่อไป ในนี้บอกอธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณ … ขอบพระคุณได้อย่างไร? ไม่ใช่ขอบพระคุณว่าไม่มีเงินเดือน ไม่ใช่ ขอบพระคุณว่า …

“อย่างน้อย ฉันมีเยอะแยะเป็นมัดจำแล้ว ก็คือฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ทอดทิ้งฉันแน่นอน” … อะไรแบบนี้ นึกออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ให้เราทำตามวิธีการ หรือกระบวนการนี้ เป็นกระบวนการนะ เพราะฉะนั้น ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเน้นไปที่โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? แล้วสันติสุข ความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ค่อยๆ นะ เป็นป้อมปราการที่มั่นคงปกป้อง ปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเรา ให้อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถาน มีสันติสุข มีความสุขอยู่ที่นั่น

ซึ่งผลจากการกระทำตามกระบวนการนี้   จะเป็นไปตามธรรมชาติของการเจริญเติบโต ค่อยๆ ทีละนิดๆ ค่อยๆ ของการเจริญเติบโต เหมือนดักแด้ ที่จะกลายเป็นผีเสื้อ มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เป็นไปตามกระบวนการ …

–  ค่อยๆ เพิ่มความพึงพอใจเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  ด้วยวิธีการ กระบวนการนี้  ถ้าเราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความอ่อนน้อม ถ่อมสุขภาพของเราประจักษ์กับผู้คนทั้งปวง ผู้คนรอบข้าง ไม่กระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย อธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณพระเจ้าไปเรื่อยๆ  ฝึกไปเรื่อยๆ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เพิ่มความพึงพอใจ

–  ค่อยๆ ลดความวิตกกังวล  และลดความกลัว

–  ค่อยๆ  เพิ่มความรักแบบพระเจ้า ซึ่งทำให้เกิดความสุขทั้งผู้คนรอบข้างและตัวเราด้วย

–  ค่อยๆ  ลดความเห็นแก่ตัวลง  ซึ่งทำให้เกิดความสุขทั้งผู้คนรอบข้างและตัวเราเองก็สุขด้วย

–  ค่อยๆ  เพิ่มการให้ ซึ่งการให้ ทำให้เกิดความสุขทั้งผู้อื่นและตัวเราได้มากกว่าด้วย

–  ค่อยๆ  ลดความโลภลง ซึ่งทำให้สุขทั้งเขาและเราก็สุขด้วย

–  ค่อยๆ เพิ่มความมั่นคง  ไม่หวั่นไหว  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

–  ค่อยๆ  เจริญเติบโต  เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้ ใช้ไปแสดงความรักกับผู้คนรอบข้าง ซึ่งในที่สุด การเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณของเรา จะส่งผลออกมาที่ความประพฤติ ในการตอบสนอง ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญบนโลกใบนี้นั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงของขาลง และไม่ใช่ช่วงขาลงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของขาขึ้นสุดๆ ตรงกลางมันโอเค พอไหว แต่ขึ้นสุดๆ ก็ต้องระวัง ลงสุดๆ ก็ต้องระวัง มันทุกข์ได้ทั้งสองอัน

การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญบนโลกใบนี้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณหรือไม่? ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณ  มันก็ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็ตาม ดีหรือไม่ดีก็ตาม ต่ำสุดหรือสูงสุดก็ตาม มันก็จะเป็นความประพฤติแบบความรักของพระเจ้า คือความรักแบบการให้ ด้วยความเสียสละ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง ก็คือการสำแดงพระเยซูคริสต์ออกมานั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************