คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2020 เรื่อง “การได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “การได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ในสถานการณ์อย่างนี้ เรามีพระเจ้าเป็นที่พึ่งของเราชัดเจน มาตั้งแต่โบราณแล้ว อะไรที่มนุษย์เหลือกำลังแล้ว ก็ถึงพระหัตถ์พระเจ้าทุกที เอเมน

อีก 2 สัปดาห์จะถึงเทศกาลคริสตมาส หลายคนก็กำลังหาซื้อของขวัญ สำหรับเทศกาลนี้ เป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว การให้ของขวัญคริสตมาส เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมายาวนานมาก ทุกวันนี้แม้กระทั่งคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้า ก็ยังมีธรรมเนียมการปฏิบัติอย่างนี้แหละ ก็คือการให้ของขวัญซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องธรรดาของโลกใบนี้เลย ในช่วงเทศกาลคริสตมาสอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เทศกาล คริสตมาส ก็คือเทศกาลของขวัญนั่นเอง ทำไมผู้คนถึงมีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันทั่วโลกเลย ในวันคริสตมาส ก็เพราะทุกคนทราบดีว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่มวลมนุษยชาติ ก็คือมนุษย์ทุกคนได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า ตามข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ว่า …

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก ก็คือรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่ได้วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นี้ จะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์”

ยอห์น 3:16 ใครๆ ก็รู้จัก ใครๆ ก็ได้ยิน เดี๋ยวนี้ เรื่องนี้

ของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และสิ่งที่มนุษย์ได้รับ ก็คือชีวิตนิรันดร์ และความหมายของชีวิตนิรันดร์ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดรนั่นเอง เป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่เป็นลูกพระเจ้า  ชีวิตที่มี DNA. เหมือนพระเจ้า ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ นี่คือของขวัญ

วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของขวัญวันคริสตมาส …

“ของขวัญวันคริสตมาส” ที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คืออะไร? หัวข้อเรื่องที่จะบรรยายในวันนี้ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า การที่เราได้ฟัง เราเห็น ได้รับรู้ว่าการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าการที่เราจะสามารถเข้าไปในสวรรค์นั้น ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง? พระเยซูบอกไว้ว่าใครอยากจะเข้าไป อยู่ในสวรรค์ ก็จะต้องมีชีวิต ที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมทุกอย่าง เหมือนเจ้าของสวรรค์ เหมือนพระเจ้า ในมัทธิว 5:48 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระองค์พูดชัดเจนเลยนะ

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

มีอีกฉบับหนึ่ง แปลไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 5:48 “ดังนั้น​ พระบิดา​ของ​พวก​คุณ​บน​สวรรค์​ดี​พร้อม​ขนาด​ไหน ก็​ให้​พวก​คุณ​ดีพร้อม​ขนาด​นั้น​ด้วย”

 

พระเยซูบอกว่า … “ดังนั้น พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ของพวกคุณ ของมนุษยชาติดีพร้อมขนาดไหน? บริสุทธิ์ขนาดไหน? ก็ให้พวกคุณดีพร้อมและบริสุทธิ์อย่างนั้น เหมือนพระเจ้าด้วย”

ทำได้ไหม? พระองค์ทรงทราบดี พระองค์จึงไม่ได้พูดแค่นั้นว่าให้ทำตัวเองให้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าอย่างเดียว แต่พระองค์บอกว่าจะเข้าสวรรค์ให้ทำอะไร? ทำไม่ได้ใช่ไหม? ทำไม่ได้ ให้ไปเกิดใหม่ซะ

พระเยซูบอกว่า … “เงื่อนไขในการเข้าสวรรค์ คือพระบิดาของพวกคุณที่อยู่บนสวรรค์ดีพร้อมขนาดไหน? อย่างไร?  ให้พวกคุณดีพร้อมและบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าอย่างนั้นแหละ”

และเราก็บอก … “ใครจะไปทำได้ล่ะ”

พระเยซูเลยตอบว่า … “ไปเกิดใหม่ซะ มาเกิดใหม่ซะ ถึงจะได้”

พระเยซูบอกมาเกิดใหม่จริงๆ สวรรค์เป็นของผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ และพระเยซูยังพูดอีกว่าสวรรค์ เป็นของคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ

ตะกี้เราบอกแล้วใช่ไหมว่าสวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า วันคริสตมาส เราระลึกถึงวันที่พระเจ้าได้ให้ของขวัญกับมนุษย์ทุกคน ถูกไหม?  และของขวัญนี้ คือสวรรค์ใช่ไหม? แล้วพระเยซูบอกว่าสวรรค์นั้น เป็นของคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ทำไมต้องพูดอย่างนั้น

ตอนสมัยที่ผมเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เมื่อปี 1988  ก็ประมาณ 32 ปีมาแล้ว วันคริสตมาสปีแรก ผมก็ซื้อของขวัญให้กับลูก โต๋เต๋ แล้วก็บอกเขาว่า …

“นี่นะ คืนวันนี้ คืนวันที่ 24 หลับแล้วนะ นึกถึงว่าพระเจ้าจะประทานของขวัญให้ อยากได้อะไร อธิษฐานไว้ เดี๋ยวกลางคืนดึกๆ พระเจ้าจะให้ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้”

โต๋เต๋อายุสักประมาณ 3 ขวบคนหนึ่ง 4 ขวบคนหนึ่ง พอพูดจบปุ๊บ เขาตื่นเต้นไหม? เขาตื่นเต้นมากเลย เขาไม่คิดอะไรมาก เขาตื่นเต้นมากว่าเขาจะได้ของขวัญ เขานอนแต่หัวค่ำเลย หลับไม่หลับไม่รู้ ถึงเวลาพ่อจะปลุกขึ้นมาเอง  พอใกล้ๆ เที่ยงคืน ผมก็ไปปลุกเขาขึ้นมา ค่อยๆ ย่องเข้าไปนะ ตื่นเต้น เดี๋ยวจะได้เจอทูตสวรรค์ เขาตื่นมาปุ๊บ ไม่งัวเงียเลย รีบเดินลงบันไดมา แล้วค่อยๆ ย่องอย่างที่ผมบอก เดี๋ยวทูตสวรรค์ตกใจ เผื่อจะได้เจอทูตสวรรค์ ปรากฏว่าไม่เจอทูตสวรรค์ ไปเจอของขวัญ 2 กล่องวางไว้หน้าประตู เขาก็เปิดประตูไป ไม่มีใครเลย ทูตสวรรค์ไปแล้ว แต่นี่ไงของขวัญ มาแล้ว ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้ แล้วเขาก็ไปเปิดของขวัญดู ด้วยความดีใจ เล่นของขวัญสนุกสนาน เป็นรถบังคับ เพลิดเพลินใหญ่ สนุกสนานขอบคุณพระเจ้า

พระเยซูจึงบอกว่าคนที่ไปสวรรค์ได้นั้น ต้องทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ คือเขาเชื่ออย่างไม่สงสัยเลย เขาเชื่อในข่าวดี ที่ผมบอกเขาไปว่าคืนวันนี้ พระเจ้าจะเอาของขวัญมาให้ เขาก็เชื่อแบบเด็กๆ เขาเป็นเด็กๆ  เพราะฉะนั้น  คนที่จะเข้าสวรรค์ได้  ฟังข่าวดีจากพระเจ้า ก็คือวัน คริสตมาส คือวันที่พระเจ้าให้ของขวัญกับมนุษยชาติ คือการเข้าสู่สวรรค์ ต้องรับของขวัญนี้ด้วยท่าทีที่เป็นแบบเด็กๆ

เพราะฉะนั้น ของขวัญหรือข่าวดีในการเข้าสู่สวรรค์นี้ จึงไม่ใช่สติปัญญา ปรัชญา ความคิดแบบมนุษย์ เปรียบเทียบหาเหตุผล แบบมนุษย์ แต่เป็นสติปัญญาอันล้ำลึกในพระเจ้า ที่ถูกซ่อนไว้ ข่าวดีเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สามารถทำให้คนบังเกิดใหม่ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ก็ทำตัวให้เหมือนเด็กๆ  เชื่อเท่านั้น เด็กจะถามไหมว่าทูตสวรรค์จะมาจากไหน? โต๋เต๋จะคอยถาม แล้วทูตสวรรค์จะมาอย่างไร? เข้าประตูไหน? แล้วเป็นอย่างไร? แล้วผมจะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เขาไม่สนใจ เขาจะรับของขวัญอย่างเดียว เราก็ต้องทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างนั้น

เป็นฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้าจริงๆ ทำให้คนบังเกิดใหม่ ใช่ไหมข่าวดี สำหรับคนที่เชื่อเท่านั้น ไม่ใช่คนที่หาเหตุผล ใช้ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ ในการวิเคราะห์เกิดใหม่อย่างไร? พระเจ้าประทานอย่างไร? พระเจ้าเป็นพระเจ้าจริงไหม? วุ่นวายไปหมดเลย  แล้วหาคำตอบได้ไหม? ได้บ้าง? ไม่ได้บ้าง? แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้หรอก ไม่ได้มีวันพอใจหรอก หาเหตุผลได้แค่นี้  ก็จะหาเพิ่มอีก เพราะมนุษย์ ก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนเดิม และเป็นมนุษย์ที่บาปด้วย แต่พระเจ้าพระเยซูบอกว่าขอให้แค่เชื่อในข่าวดีเท่านั้นเอง เหมือนกับที่ผมบอกกับลูก แล้วลูกก็เชื่อผมว่าคืนนี้ พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้  เขาเชื่อแค่นี้เอง  เขาใช้ความเชื่อ เขาจะไม่ใช้ความคิด

เพราะฉะนั้น เราทุกคนบนโลกใบนี้ จะรับของขวัญ คือเข้าสู่สวรรค์ที่พระเจ้าได้ให้มา 2,000 ปีแล้ว ด้วยวิธีนี้ ก็คือวิธีที่มีความเชื่อเท่านั้น เหมือนเด็กๆ  และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อ จึงสามารถเข้าใจสติปัญญาของพระเจ้าได้ ต้องเชื่อก่อน จึงจะเข้าใจไง นี่จะรอให้เข้าใจก่อนถึงเชื่อ เป็นไปไม่ได้ เชื่อแล้วจึงเข้าใจได้  เคยได้ยินคำนี้ไหม? คนไทยชอบมากเลย  “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”

การเข้าอยู่ในสวรรค์ ก็คือความรอด … รอดจากนรก ความรู้ท่วมหัว คิด ใช้สติปัญญามนุษย์เยอะแยะไปหมด ไม่รอด

ความรู้ท่วมหัว คือการกระทำตัวเองเหมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เป็นคนมีสติปัญญา  เป็นนักปราชญ์ต่างๆ นักคิด นักวิเคราะห์

“ฉันเป็นใคร? ฉันเรียนสูงๆ ขนาดนี้ จะมาเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้หรือ? อะไรมาเกิดใหม่ คนเราเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

ไม่ใช่ผมถามเอง แล้วก็ไม่ใช่ท่านถามเอง นักปรัชญาในสมัยพระเยซูก็ถาม ชื่อนิโคเดมัส ถามพระเยซูเลย บังเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะให้เขาใช้ความคิด สติปัญญาของเขาเรียนไปเยอะ เป็นนักปรัชญาคนหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้อย่างไร? แล้ววิญญาณมาจากไหน? จะมุดเข้าไปที่ครรภ์มารดาอีกเหรอ วุ่นวายไปหมด

พระเยซูไม่ตอบมาก ให้ไปเกิดใหม่ คือเมื่อเขาไปเกิดใหม่ เขาจะรู้เอง ไม่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นความรู้ท่วมหัว  เอาตัวไม่รอด

ขอบคุณพระเจ้าที่หลายคนที่นี่ เป็นเด็กๆ กันหมดเลย ตอนมาเชื่อพระเจ้า มีใครใช้ความรู้บ้าง? มีใครใช้สติปัญญาบ้าง? ไม่มีเลย เพราะก่อนเชื่อพระเจ้า เราก็ความรู้ท่วมหัว ก็เลยเอาตัวไม่รอด ตอนนี้เรารอดแล้ว เพราะเราทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง เชื่อพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เอเมน

พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูมา เพื่อช่วยให้เรารอด จากบาปก่อน แล้วความรู้ค่อยมาทีหลัง พระเยซูมาช่วยให้เรารอดจากการเป็นคนบาป  เข้าสู่สวรรค์ เกิดใหม่ แล้วพระเยซูก็จะเริ่มต้นสอนเราที่เกิดใหม่ ให้เราเรียนรู้จักเรื่องของสวรรค์เองนั่นแหละ เราไปทำสลับกัน

สติปัญญาและเหตุผลแบบมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณ  เรื่องของสวรรค์ของพระเจ้าได้ ทั้งๆ ที่จิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้า รู้ว่ามีสวรรค์

ถามว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนรู้เพราะอะไร? เพราะมันแสดงออกมาจากการประพฤติของมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ สัตว์เอย ต้นไม้เอย ไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ก็คือมนุษย์แสวงหา  กระทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับวิญญาณ  รวมกันทำพิธีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ  มนุษย์เท่านั้นที่แสวงหา รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ ก็เลยสร้างวัตถุเคารพต่างๆ มากมาย  มีความเชื่อ แบบแปลกๆ

ที่ถามว่าทำไมแปลกๆ เพราะว่าโลกวิญญาณในสวรรค์นั้น มีพระเจ้าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่นี่เชื่อแบบแปลกๆ ก็คือแสดงว่าเขายังหาพระเจ้าไม่เจอ เขาบอกว่ามีจานบิน หรืออุกาบาตร่วงลงมา หล่นลงมาบนโลกใบนี้ ถ้าตกลงในประเทศที่รู้จักพระเจ้า ยกตัวอย่างตกในประเทศอเมริกา ประเทศแถบยุโรป ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือตกในประเทศแถบอิสลาม ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแล้ว หรือตกในชาวยิว อิสราเอล ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาจะเอาวัตถุที่ตกลงมานั้น ไปวิเคราะห์ เข้าแล็บว่าเป็นวัตถุมาจากไหน? มาจากดาวอะไร? เป็นอะไรทางวิชาการ แต่ถ้าตกมาแถวเอเชีย  ผู้คนไม่ค่อยจะรู้จักพระเจ้า … พระเจ้า หมายถึงพระเจ้าองค์เดียว ผู้เดียว เมื่อพื้นฐานไม่รู้จักพระเจ้า ตกลงมาปุ๊บ ส่วนใหญ่ประเทศทางเอเซียมาเจอปุ๊บ  จะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม  ก็จะเข้าไปทำอะไร? ท่านรู้อยู่แล้ว ผูกผ้า ขอหวยอีกต่างหาก แล้วก็ทำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย  เพราะว่าข้างในเขาแสวงหาโลกวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า แต่ว่ายังไม่เจอ

นี่เป็นตัวบ่งบอกว่ามนุษย์ทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้า เขารู้ตัวเขาเองว่ามาจากไหน? แต่เขาหาไม่เจอเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ พยายามที่จะหาว่าเรามาจากไหน? ไม่มีทางเจอหรอก จนกว่าเราจะเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้า และบังเกิดใหม่ เราจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าเรามาจากไหน? แล้วเราเป็นใคร? การไปเกิดใหม่ การอยู่ในสวรรค์ ผู้คนก็จะถามว่าสวรรค์คือที่ไหน?

พระคัมภีร์ได้พูดชัดเจน สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ ถ้าใช้สติปัญญามนุษย์ฟัง ก็จะเดินหนี เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจ แต่ผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว ก็จะเริ่มฟัง พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ใช่ มีการยืนยัน จากข้างใน รับรู้ได้ นี่คือสติปัญญา จากพระเจ้า จากพระเยซู เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว

สวรรค์ ก็คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ เหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็พอรู้ คนไทยบอกว่า … “สวรรค์อยู่ในอก  นรกอยู่ในใจ” … พระเยซูก็บอกอย่างนั้นแหละ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ มีสวรรค์ มีนรก แต่หาไม่เจอ ก็เลยบอกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ คือสวรรค์ในที่แห่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณนั่นเอง มีจริง ถ้าไม่มีจริง เราจะเชื่อกันอย่างนี้หรือ? ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็รู้ว่ามีอย่างนี้อยู่ และตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ

ตัวแท้จริงของเรา ไม่ใช่ตัวร่างกายที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แต่ตัวจริงๆ ของเรา ที่จะอยู่นิรันดร์กาล อยู่ตลอดไป นั่นคือวิญญาณ ซึ่งตาเรามองไม่เห็น เรามองซึ่งกันและกันเห็นได้แต่ร่างกายเท่านั้นเอง ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ ร่างกายอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง แต่วิญญาณอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ

พระคัมภีร์บอกว่าในโลกวิญญาณนี้มี 2 แห่ง แห่งหนึ่งเรียกว่าความมืด แห่งหนึ่งเรียกว่าความสว่าง เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของมนุษย์ ก็จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง คือไม่ระหว่างความมืด ก็อยู่ในความสว่าง หรือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นผู้บันทึกไว้อย่างนี้ ว่าบางวิญญาณของมนุษย์อยู่ในพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า บางวิญญาณไม่ได้อยู่กับพระเจ้า  หรือบางวิญญาณอยู่ในความทุกข์นิรันดร์ หรือบางวิญญาณอยู่ในความสุขนิรันดร์ บางวิญญาณเรียกว่าอยู่ในนรก ที่ไม่มีพระเจ้า บางวิญญาณเรียกว่าอยู่ในตรงกันข้ามกับนรก ก็คือยู่ในสวรรค์

สิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณนั่นเอง มวลมนุษยชาติล้วนแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น มีใครอยากไปอยู่ในนรก รู้ทันทีว่าแทบไม่ต้องสอนเลย ทุกชาติ ทุกศาสนารู้เลยว่าตายไปแล้ว หรือแม้กระทั่งอยู่ที่นี่ก็อยากอยู่ในสวรรค์

พอมีความสุขนิดๆ หน่อยๆ ก็พูดจากปาก ด้วยความเผลอตัวเลยว่า … “เหมือนสวรรค์”

พอมีความทุกข์เข้ามาบนโลกใบนี้ ก็พูดเผลอตัวว่า … “โอ้โห! มันนรกมีจริง”

แล้วท่านจะรู้ว่านรกมีจริง เพราะว่ามันทุกข์สาหัส ดังนั้น จิตใต้สำนึกของทุกคนรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็ถึงอยากแสวงหาสวรรค์ ถูกไหม? ถ้าเขาอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว ใครอยากไปหาสวรรค์ ก็มันอยู่ๆ แล้ว แต่มนุษย์ทุกคนแสวงหาสวรรค์สถาน แสดงว่ามนุษย์ทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป

มนุษย์ทุกคนที่เผลอตัว หรือพูด หรือคิดว่าเราอยากจะไปสวรรค์นั้น  แล้วเราชอบไปสวรรค์นั้น ก็เพราะรู้ว่าตัวเราเองเป็นคนบาป ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

นี่คือสาเหตุว่าทำไมพระเจ้า จึงต้องให้เป็นของขวัญ ก็คือให้สวรรค์เป็นของขวัญ สำหรับมนุษย์ เข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไร? ของขวัญมันฟรีอยู่แล้ว ก็เพราะรู้ว่ามนุษย์ทำไม่ได้นั่นเอง มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และไม่สามารถหลุดจากบาปนั้นได้ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:12 “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา  และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์  เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

ตะกี้นี้บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และแสวงหาการไปอยู่ในสวรรค์ ทำไมมนุษย์ทุกคนจึงเป็นคนบาปล่ะ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าบาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว มนุษย์คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มวลมนุษย์ต้องตาย เพราะบาปนี้ ตายในที่นี้ ก็คือหลุดออกไปจากสวรรค์ หลุดออกจากพระเจ้าไป ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในสถานที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่ตะกี้นี้ที่เราได้อ่านกัน จากความสว่างไปอยู่ความมืด  จากสวรรค์ไปอยู่ในนรก อยู่เลย ในนี้บอกว่ามาจากคนๆ เดียว คนนั้น คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา

เราจึงรู้ว่ามนุษยทุกคนเป็นคนบาป อยากถามท่านเลยตอนนี้ว่าท่านคิดว่ามนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ อย่างน้อย ต้องทำบาปกี่ครั้งจึงจะเป็นคนบาป? บางคนบอกครั้งเดียว แล้วมีใครตอบอย่างอื่นบ้าง? ต้องทำบาปกี่ครั้ง เราถึงเป็นคนบาป คำตอบ คือไม่ต้องทำ ก็บาปแล้ว มีบางคนตอบ ศูนย์ครั้ง มีบางคนตอบ 1 ครั้ง บางคนตอบว่าทำบาป โดยไม่ได้ตั้งใจ  ไม่เป็นไร

คำตอบในพระคัมภีร์มีบอกไว้ มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะมนุษย์คนเดียว ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคน เกิดมาเป็นบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือยังไม่ได้ทำบาปเลย เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว เพราะไม่ใช่ตัวเขา ตอนนี้เราเอาแค่นี้ก่อน  พระคัมภีร์บอกว่าเพราะคนนั้น ทำบาป ทำให้เกิดมาเป็นบาป เพราะคนนั้นติดเอดส์ทำให้เราเกิดมาติดเอดส์ไปด้วย อย่างนี้จะเห็นชัดขึ้น ไม่ต้องทำอะไร ก็เท่ากับได้ทำผิดบาป เป็นนักโทษ กบฏต่อพระเจ้า เกิดมาก็ตายทางวิญญาณ เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เกิดมาก็อยู่ฝ่ายมาร เป็นความชั่วร้าย เป็นคนอธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็นเลย ติดเชื้อมานั่นเอง ติดไวรัสมาจากคนอื่น เป็นคนเอาเข้ามา เราไม่ได้เป็นคนให้มันเกิดขึ้น

เราจะเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือความน่าสงสารของมวลมนุษยชาติ ที่พระเจ้าได้มองเห็น และรู้ถึงความเป็นจริง และการกำเนิดของความบาป เรามาอ่านต่อไป โรม 5:15 ว่าเป็นเช่นไร?

โรม 5:15 “แต่ของประทานนั้น  ต่างจากการล่วงละเมิด  เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย  เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  พระคุณของพระเจ้าและของประทาน  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก”

 

ความหมายของข้อนี้ อธิบายง่ายๆ ได้อย่างนี้ว่า … “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น  มัน​แตกต่าง​กัน  ​เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง  ​ขณะ​ที่​ความผิด​ของ​คนๆ ​หนึ่ง  คือ​อาดัม  ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย  แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง  ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า  ​และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว  ​คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

นี่คือคำแปลของอีกฉบับหนึ่ง อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ในข้อที่ 15 บอกชัดเจนเลยว่าคนนั้น คือใคร? ดูข้อ 16 อีกจะเห็นชัดขึ้นไปอีก

โรม 5:16 “และของประทานจากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว  กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว  และนำไปสู่การลงโทษ  แต่ของประทานเกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง  และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม”

 

แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น ก็คือความรอดนั้น แตกต่างอย่างมาก จากผลของความผิดบาป ที่อาดัมได้ทำ แตกต่างกันอย่างไร? เพราะการทำผิดครั้งเดียว การทำบาปครั้งเดียวของบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนติดเชื้อบาป ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ผิด เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นพวกกบฏ ติดเชื้อไปด้วย แต่ของขวัญนั้น ก็คือสวรรค์ ผ่านทางพระเยซู ที่พระเจ้าได้ให้เราฟรีๆ เปล่าๆ นั้น แต่ของขวัญนั้น ได้ทำให้มนุษย์ เราทุกคนได้รับการติดสินว่าไม่ผิดเลย ทั้งๆ ที่ทำผิดตั้งหลายครั้ง เพราะว่ามันเกิดใหม่แล้ว คิดให้ดีๆ ถ้ายังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร  ค้างไว้อย่างนั้นแหละ แล้วก็อธิษฐาน เดี๋ยวพระวิญญาณ ก็จะค่อยๆ สอนเรา

เกิดมา เราไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาป  เพราะบาปนั้น มาจากคนๆ เดียว คืออาดัม ติดเชื้อไวรัสโควิด 00 สมมติว่าตอนนั้นนานมาแล้ว เชื้อนั้น ก็ติดมาสู่พวกเราทุกคน ทำครั้งเดียวเอง ติดเชื้อ

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคือของขวัญจากพระเจ้า คือยารักษาโรค จากตัวไวรัส 00 นี้ ใครรับพระเยซูเข้าไป รับยานี้เข้าไป ก็จะได้รับการรักษาให้หายจากโรค ไม่ใช่หายธรรมดา หายจากโรคไปเลย ไม่ติดเชื้ออีกเลย มีภูมิต้านทานเชื้อนี้ได้ ก็คือมีภูมิต้านทานเชื้อบาปได้ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูมารักษาเราให้หายจากเป็นคนบาป เราได้เกิดใหม่ มีภูมิต้านทานบาป เพราะฉะนั้น ต่อให้เราไปทำบาปอีก อะไรอีกต่างๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป เพราะได้บังเกิดใหม่ ไม่มีบาปอีกต่อไป แล้วยังแถมมีภูมิต้านทาน เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เอเมน

ท่านอาจจะคิดต่อไปว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? คนไปเชื่อพระเจ้า แล้วไปทำบาป เราค่อยๆ เรียนรู้ทีหลัง อย่าคิดมาก คิดมาก เดี๋ยวก็เป็นผู้ใหญ่อีกหรอก เดี๋ยวความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอีก ตอนนี้เอาตัวรอดก่อน เอาง่ายๆ ว่าพระเยซูเป็นของขวัญ มาทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมได้ เข้าสวรรค์ได้ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เพราะเราไม่สามารถทำด้วยตัวเราเอง เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บังเกิดใหม่ได้ มนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาดเรียบร้อย พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าก็เลยต้องให้เป็นของขวัญไง ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ พระเยซูจึงมาช่วยทำไง พระเยซูจึงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนของเรา  ทำแทนเรามวลมนุษยชาติ เพื่อเราจะได้รับการยอมรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป  คือความตาย  แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

เพราะว่าผลของความบาป  ที่ติดเชื้อมานั้น คือความตาย  ตะกี้นี้บอก หลุดจากพระเจ้า หลุดจากสวรรค์ ย้ายออกมาจากอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่อยู่ในสวรรค์ แล้วถูกย้ายมาอยู่นรก พูดง่ายๆ ไม่มีพระเจ้าอยู่ ทุกข์ทรมาน ตลอดกาล แต่ของขวัญจากพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ที่มี DNA เหมือนพระเจ้า  เป็นลูกพระเจ้า จึงบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ จึงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เอเฟซัส 2:8-9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ  ผ่านทางความเชื่อ  ความรอดนี้  ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ  เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

 

ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เป็นฉบับแปลเข้าใจง่าย เขาแปลไว้อย่างนี้ว่า … ที่​พวกคุณ​รอด​นั้น  ​เป็น​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า  ก็คือพระคุณของพระเจ้า ก็คือรอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ เป็นเพราะพระคุณ ความเมตตากรุณาของพระเจ้า  ผ่าน​มา​ทาง​ความเชื่อ​ของ​คุณ  ไม่ได้ผ่านมาจากสติปัญญา การหาเหตุผล  ไม่ได้​มา​จาก​ตัว​ของ​คุณ​เอง ก็คือไม่ได้มาจากการกระทำ สั่งสมความดี หรืออะไรต่างๆ  แต่​เป็น​ของขวัญ​ที่​มา​จาก​พระเจ้า ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ  เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ว่าฉันเข้าสวรรค์ได้ เพราะว่าฉันเป็นคนดี มีความประพฤติดี เป็นคนทำดีมาก สมควรไปสวรรค์ ไม่มีใครสามารถไปสวรรค์ได้ โดยวิธีนี้เลย สักคนเดียว เพราะไม่มีใครสักคนดีพร้อม ไม่ทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาเกิดมาเป็นบาปอยู่แล้ว ไม่ทำอะไรเลย ก็ยังบาปเลย

การเข้าอยู่ในสวรรค์ จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เงื่อนไข ก็คือเชื่อเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นของขวัญ ให้เปล่า? เพียงแค่เชื่อ แล้วก็รับเอาไปฟรีๆ ด้วยความขอบคุณและความยินดีเท่านั้น และพระวิญญาณก็จะสอนเรา  เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เรามีความกตัญญูต่อพระเจ้า ประพฤติตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า

พอเรารู้อย่างนี้แล้ว มนุษย์ที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว อยากได้รับของขวัญนี้เหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่ได้รับ ต้องทำอย่างไร? ตอบว่าง่ายนิดเดียว แต่ยากมากเลย ในพระคัมภีร์เขียนไว้มันง่ายนิดเดียว บางทีเรามาล้อกันเล่น ง่ายนิดเดียว แสดงว่ามันยากเยอะ ใช่ไหม? จะว่าอย่างนี้ก็ไม่เชิงนะ มันง่ายนิดเดียว แค่ใช้พาสเวิร์ดนี้เท่านั้นเอง  ต้องพูดคำนี้เลย “พาสเวิร์ด” เดี๋ยวนี้เป็นยุคดิจิตอล อะไรมันก็ต้องใช้พาสเวิร์ด มันง่ายนิดเดียว แต่เราทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มนุษย์เก่งมาก มนุษย์มีสติปัญญาสูง เป็นนักปรัชญาสูง สามารถทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากได้ ยอดเยี่ยมเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกง่ายนิดเดียว ใช้พาสเวิร์ด ภาษาไทยก็คือรหัสผ่าน ถ้าใช้รหัสนี้ถูกเมื่อไร?  ได้รับของขวัญนี้ทันที ของขวัญนี่ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์

พาสเวิร์ดนี้ รหัสนี้ อยู่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ข้ออื่นๆ ก็มี แต่ข้อนี้ชัดกว่า เอามาข้อเดียวพอ โรม 10:9-10 นี่คือรหัส สำหรับพี่น้อง ที่ยังไม่ได้รับของขวัญของท่าน ที่พระเจ้าได้ส่งมาให้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ ได้ส่งของขวัญนี้มาให้ท่านแล้ว ข่าวดีมาถึงท่านปีนี้แล้ว วันนี้แล้ว ถ้าได้ยินได้ฟัง มารับของขวัญของท่านไปด่วน ต้องบอกว่าด่วน วิธีรับ เปิดคู่มือนี้ดู แล้วก็ให้ทำตาม ใส่รหัสนี้เข้าไป

โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า  “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย  ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ  จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก  จึงทรงให้ท่านรอด”

 

ถ้าเป็นพาสเวิร์ด ต้องพิมพ์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้ เมื่อเป็นโลกวิญญาณ  แทนที่จะพิมพ์ พูดเมื่อตะกี้นี้  หรือจะเรียกว่าอธิษฐานก็ได้ เพราะว่าพูดเข้าไปในโลกวิญญาณ เราก็เรียกว่าอธิษฐาน  … อธิษฐาน คือการปฏิบัติการ การสื่อสาร ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่าอธิษฐาน … อธิษฐาน สื่อเข้าไปในโลกวิญญาณ ก็คือใช้พาสเวิร์ดนี้  ทำการเข้าไปในโลกวิญญาณ  ด้วยการพูดตามนี้เลย พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย  ท่านก็จะได้รับความรอด  เพราะท่านเชื่อด้วยใจ  จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด  แค่นี้เอง

บางคนบอกว่าเชื่อด้วยใจเป็นอย่างไร? ไม่มีคนมาบังคับท่าน ไม่มีใครเอาปืนมาบังคับท่านพูด ท่านพูดด้วยความเต็มใจ นั่นแหละ เชื่อด้วยใจแล้ว พอเข้าใจไหม? แค่นี้เอง แล้วมันเชื่อขนาดไหน? ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปคิดมาก บอกแล้วไง ทำเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง บอกให้เดินลงมาจากข้างบน ตอนใกล้เที่ยงคืน ทูตสวรรค์จะเอาของขวัญมาให้ ก็มารับเอาไป ก็ทำอยู่แค่นั้น ไม่ต้องคิดมาก

โรม 10:11 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า … “ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าผู้ใดที่วางใจในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอายเลย”

 

และถ้าท่านทำอย่างนี้ ในนี้ก็ยืนยันอีก พระเยซูยืนยันว่าถ้าใครใส่พาสเวิร์ดอย่างนี้ไป  ไม่ต้องห่วงเลย  ได้ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน ไม่ต้องอายใครเลย นี่ของจริง และมันเป็นอย่างนี้ 2,000 ปีแล้ว ง่ายมาก ย้ำอีกทีว่าง่ายมากๆ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้ ทำแค่นี้พอ ฟังอีกทีหนึ่ง ใส่พาสเวิร์ดนี้  แล้วทำแค่นี้พอ  ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น  แต่ให้ใส่พาสเวิร์ดด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง ก็คือแสวงหาด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น บางคนก็กลัวอีก …

“ทำไป เดี๋ยวฉันต้องไปเปลี่ยนศาสนาไหม? ฉันต้องมาโบสถ์เป็นประจำไหม? ฉันต้องถวายเงินให้โบสถ์ไหม? ฉันต้องอ่านพระคัมภีร์ไหม? ฉันต้องไปศึกษาไหม?”

คิดแบบสติปัญญามนุษย์อีกแล้วครับท่าน ย้อนกลับไปเมื่อตะกี้นี้ ทำเหมือนเด็กๆ โต๋เต๋เขาไม่ถามเลยว่าทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้ แล้วเขาต้องทำอะไรอีกบ้าง? เขาไม่ต้องถาม เขาจะลงมาเอาลูกเดียว เพราะเขาเชื่อแค่นั้น ทำเหมือนเด็กๆ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้นเลย ทำแค่นี้ ก็คือแค่นี้ แล้วมันก็จะได้จริงๆ ด้วย  เพราะฉะนั้น ทราบแล้วนะว่าใส่พาสเวิร์ดตรงนี้เข้าไป แล้วก็แค่นี้เอง ไม่ต้องไปคิดมาก จากนี้จะต้องทำอะไรอีก ถ้าเป็นอย่างโน้นจะต้องทำ ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร? รับของขวัญอย่างเดียว

พระเยซูจึงตรัสว่า … “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถามว่าทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าการเป็นคนบาปอยู่ และแสวงหาการไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันทุกข์ใจมาก มันทุกข์ใจ มันลำบากมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสวรรค์ แต่เราไม่ได้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราอยากไปสวรรค์ แต่เราไม่ได้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่อยากอยู่ในนรก แต่เราอยู่ในนรกอยู่แล้ว  ถามว่ารู้ได้อย่างไร? จิตใต้สำนึกรู้ แล้วเราพิสูจน์ตรงไหน? ตอนนี้ ก็เห็นชัดๆ ใน 2,000 ปีนี้ มีผู้คนมาเชื่อในข่าวดีนี้ของพระเยซูมากมาย มารับของขวัญของเขา ที่พระเจ้าประทานให้ในวันคริสตมาสแรก รับไปเยอะแยะแล้ว เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข เขารู้ว่าเขาได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ทั้งๆ ที่เขายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาไม่แสวงหาต่อไปแล้ว เขาหยุดแล้ว เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้เราทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลย ทำแค่นี้ พระเจ้าประทาน เป็นของขวัญแล้ว แล้วที่ผมบอกว่ามันยาก เพราะมนุษย์คิดมาก แล้วในที่สุด สรุปว่า …

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก อะไรไปสวรรค์มันจะง่ายขนาดนี้ ฉันทำแทบตาย คนนี้ทำแทบตาย คนนั้นทำแทบตาย ยังไม่ได้เข้าสวรรค์เลย แล้วเธอบอกไม่ทำอะไรเลย แล้วไปสวรรค์ใช่ไหม?”

เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ ใครจะให้ไปสวรรค์ฟรีๆ ง่ายๆ อย่างนี้ โดยไม่ต้องทำอะไร แถมบอกไปสวรรค์แล้วได้บังเกิดใหม่อีก ยิ่งบังเกิดใหม่ ยิ่งรับไม่ได้เลย

เพราะไปคิดมากไง คิดมากเกิน เพราะฉะนั้น ที่เราคิด เก็บไว้ก่อนเลย ใส่พาสเวิร์ดอันนี้ไป เชื่อพระเจ้า แล้วให้มันเกิดใหม่ก่อน แล้วเดี๋ยวพระเจ้าจะสอนเองว่ามันคืออะไร ที่เราคิดมาก บังเกิดใหม่ คืออะไร? การไปอยู่ในสวรรค์เป็นอย่างไร? สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร? เดี๋ยวเรารู้เอง แต่ถ้าเราไปคิดตามสติปัญญาของเรา มันก็ไม่มีวันได้เข้าสวรรค์ และคนส่วนใหญ่เขาก็จะทำอย่างนั้นแหละ

พระเยซูจึงบอกว่าคนส่วนใหญ่ จึงไปที่ประตูกว้าง คนส่วนน้อยมาที่ประตูแคบ ประตูแคบกับประตูกว้างมันต่างกันอย่างไร? มัทธิว 7:13 อ่านมัทธิว 11:28-30 ก่อน

มัทธิว 11:28-30 “28 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก  จงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้  แล้วเรียนรู้จากเรา  เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน  และมีใจอ่อนน้อม  และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก  30 ด้วยว่าแอกของเรา  ก็พอเหมาะ (สบายๆ)   และภาระของเราก็เบา”

 

“แอกของเราก็พอเหมาะ” แอกแปลว่าการมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา แอก คือการมาเป็นภรรยาของเรา  จริงๆ แอกตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับสามีภรรยา อยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน  แอกตัวนี้ไม่ใช่เป็นงาน แอกตัวนี้เป็นสภาพของเมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ แล้วก็ใส่พาสเวิร์ดเข้าไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว

การเกิดใหม่ คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสามีภรรยาเลย ก็หายเหนื่อยสิ ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องทำแล้ว พระเจ้าจะทำการผ่านทางวิญญาณของเรา ภายในเรา เพราะพระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์ไม่ยอมเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป มันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาจจะยอมเชื่อว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณ แต่ไม่ยอมเชื่อว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย ไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันเลยเหรอ ฉันเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้าเลยเหรอ แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ”

พระเจ้าบอก … “ใช่นะสิ ก็เป็นของขวัญ เข้าใจไหม?”

มนุษย์ก็จะตอบว่า … “ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจ ก็ใช้ความเชื่อสิ มันไม่ไหว ก็ให้พระเจ้าจัดการเลย มัทธิว 7:13-14 พระเยซูจึงยกตัวอย่างนี้ เพราะมันเป็นอย่างนี้…

มัทธิว 7:13-14  “13 จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง  นำไปสู่ความพินาศ  และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น  14  ส่วนประตูเล็กและทางแคบ  นำไปสู่ชีวิต  และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ”

 

“เพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ” ก็คือคนที่ยอมเชื่อเฉยๆ ทำตัวเป็นเด็กๆ นั่นเอง ไม่สนใจสติปัญญา หาเหตุผลว่า …

“เกิดอย่างไร? ไปอยู่สวรรค์อย่างไร? หาอย่างไร? ไม่สนใจแล้ว ฉันหาด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองมาเหนื่อยเหลือเกินแล้ว หยุดพัก หายเหนื่อยแล้ว ฉันจะมาหาพระเยซูแล้ว”

วางทุกอย่างลง วางอะไรลง? บางคนบอกวางภาระการงานลง ไม่ใช่ ฟังทางนี้ ถ่อมใจลง  และยอมรับว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการผู้ช่วย กลับใจใหม่ หันหลังให้กับความเย่อหยิ่งจองหอง ความอวดดีของตัวเอง กลับใจจากความคิด ที่นึกว่าตัวเองแน่ ที่จะสามารถพึ่งและทำการปฏิบัติตัวเอง ในความประพฤติของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ได้

นี่แหละ คือการถ่อมใจ … ถ่อมใจแล้วทำอะไร? มายอมรับของขวัญจากพระเจ้า คือความรอดผ่านทางพระเยซู ผู้ช่วยให้รอดนิรันดร์ รอดจากนรก มาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ทันทีเลย เมื่อถ่อมใจลง และใส่พาสเวิร์ดเข้าไปว่า …

“ฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ฉันต้องการผู้ช่วยเหลือ”

ท่านก็ได้รับความรอดทันที พระเยซูไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำความดี ฟังให้ดีๆ พระเยซูมาไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำความดี ไปอ่านในพระคัมภีร์ได้เลย พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ไม่ได้สอนให้คนทำความดีเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พระองค์มาประกาศ ประกาศกับสอนมันต่างกัน ถ้าสอน สอนให้เราทำ  แต่ประกาศ คือบอกว่ามีของขวัญมาแล้ว ถ้าท่านได้รับคำประกาศจากพระเยซู … พระเยซูรู้ว่าประกาศนั้น มันสำคัญขนาดไหน? ประกาศข่าวดี พอคนรับข่าวดีปุ๊บ เกิดใหม่ปุ๊บ เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ แนะนำ ค่อยๆ นำพาไปทีละสเตปๆ สอนไปทีละนิดทีละหน่อยทางวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เกิดใหม่ ไม่ได้รับของขวัญ ไม่ได้รับข่าวดี ไม่ต้อนรับข่าวดี สอนไปให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ ขนาดพระเยซูพูดอุปมา เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ประกาศเกี่ยวกับเรื่อสวรรค์ ยังบอกเลยว่า …

“ตอนนี้ พวกเธอไม่เข้าใจหรอก รอวันหนึ่ง เมื่อเธอเกิดใหม่แล้ว ถึงจะรู้ ตอนนี้ เธอเชื่อเหมือนเด็กๆ คนหนึ่งนะ”

เพราะฉะนั้น ให้ท่านตัดสินใจวันนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน บางคนบอกว่ารอก่อน ใช้สิทธิ์เมื่อไรก็ได้ แต่สิทธิ์นี้ มีโอกาสหมดไป เมื่อ

(1) ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง หรือที่เราเรียกว่าตาย ท่านตายเมื่อไร? วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ท่านก็ไม่ใช่มนุษย์ ถูกไหมครับ? เราเรียกกันภาษาไทยว่าเป็นผี คือเป็นวิญญาณ  แต่ของขวัญนี้ มีไว้ให้สำหรับมนุษย์ทุกคน ก็คือท่านต้องอยู่ในร่างกายนี้ ตัวจริงๆ วิญญาณท่านต้องอยู่ในร่างกายนี้ ถึงเรียกว่ามนุษย์ แต่ถ้าท่านเป็นผี ไม่เกี่ยวกัน ท่านก็จะอด ไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้อีกต่อไป

(2) ท่านจะหมดสิทธิ์รับของขวัญนี้ เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง คือพระเยซูกลับมาใหม่

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรับของขวัญเมื่อไร? ของขวัญนั้น ก็จะอยู่รอท่านตลอดเวลา แต่ท่านต้องเสี่ยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต และท่านจะหมดสิทธิ์ เพราะ 2 เงื่อนไขนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ตัดสินใจรับความรอด รับของขวัญจากพระเจ้า รอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ มาอยู่ในพระเจ้า และเมื่อท่านตัดสินใจ ท่านพูดพาสเวิร์ดนั้น ทำไมรู้ไหมครับ? พูดเสร็จ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย ไม่ใช่รอให้ตายไปก่อน จึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่นะครับ พอท่านพูดพาสเวิร์ดทันทีทันใดนั้น พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย พระเจ้าย้ายท่านจากอาณาจักรของความมืดมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างทันทีเลย  ย้ายออกจากนรกมาอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย ท่านจะมีประสบการณ์เริ่มต้น ทันทีในการดำเนินชีวิตในสวรรค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็อยู่ในสวรรค์แล้วทันที ซึ่งเดี๋ยวเราค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่ผมบอก อย่าไปคิดมาก

นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ประกาศกับเราทั้งหลาย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***************************