คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์  โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อในซีรี่ส์ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น”

ทบทวนกันสั้นๆ ประเด็นหลักๆ ที่เราเรียนรู้กันที่ผ่านมา

(1) ความหมายของคำว่า “เราเป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดนิรันดร์ (ในทางวิญญาณแล้วจริงๆ) ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทำอะไรได้บ้าง? ทำอะไรไม่ได้บ้าง? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียความรอดนิรันดร์ได้อีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ

(2) ผู้ที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไทแล้วจริงๆ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าเฉยๆ แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความประพฤติเลย  เป็นพระคุณพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

(3) ผู้ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่จะต้องผ่าน 2 ขั้นตอนนี้เสมอ ตามพระคัมภีร์ คือ …

3.1 คนนั้นจะต้องได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูก่อน เรียกว่าได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น มีคนมาประกาศ แจกใบปลิว หรืออะไรก็ตาม ฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ มีเพื่อนมาพูด คนนั้นจะต้องได้ยินก่อน

3.2 เริ่มต้นเชื่อ คือเริ่มต้นรับเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ ที่ตัวเองได้รับมานั้น แล้วก็ได้เก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ปฏิเสธ รับไว้ เริ่มต้นเชื่อว่ามันจริง เหมือนเพลงที่เราร้องกันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดนิรันดร์ในทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางพระเจ้า การรับบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เขาเรียกว่าพิธี เขาก็บอกให้เราร้องเพลงเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเพลงหนึ่งที่เราร้องกันในนั้น ก็คือ …

“ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

แม้ว่ากลับไปบ้าน กลับไปสู่ชีวิตเดิม ออกจากพิธีไปเรียบร้อยแล้ว เจออะไรก็ตาม ก็คือจะรักษาความเชื่อนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้เวลาไหน? วันเวลาใด เจ้าความเชื่อนั่น มันดิ่งในวิญญาณของเขา การบังเกิดใหม่ ลึกลงไปในใจ มันบังเกิดมาปุ๊บ เป็นการระเบิดเปรี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนตอนพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ด้วยความซุปเปอร์แบงค์ ระเบิดเปรี้ยงออกมา เขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที เริ่มต้นเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ และไม่มีใครเอาเขาออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว

เราก็ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นจดหมายฝาก ซึ่งชาวฮีบรู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เดิม ประเพณี การปฏิบัติ ในบัญญัติสมัยโมเสส ที่พระเจ้าสั่งไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขารู้ทั้งสองอย่าง เขาก็เลยเขียนจดหมายมาแนะนำ มาสอน มาเตือน ให้บรรดาพี่น้องได้รู้เรื่องนี้  พี่น้อง ก็คือชาวยิวทั้งหลาย ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือจดหมายฝากฮีบรู จงนึกไว้ว่าเขาเขียน ถึงคนที่เป็นยิว คนที่ไม่ใช่ยิว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เพียงแต่บางอันประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้บ้าง

หนังสือฮีบรู เขียนสมัยตอนพระเยซูพึ่งจะเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานใหม่ๆ ช่วงประมาณ 30 ปีนั่น ไม่รู้เขียนตอนไหน? ซึ่งเนื้อหาในพระคัมภีร์ฮีบรูจะเน้นในเรื่องแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซู คือผู้ที่จะมาทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าได้ทำการบอกล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งแต่ในสมัยอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเรา ที่เรียกว่าพระคัมภีร์เดิมจดบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างนี้ แล้วก็ให้โมเสสและชาวยิวเป็นตัวแทน ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสส ที่หนังสือฮีบรูเรียกว่าเป็นเงาของพระเยซูที่จะมาทำให้สำเร็จในอนาคต ซึ่งตอนที่เขียนจดหมาย ฉบับฮีบรูนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว

นี่คือรายละเอียดต่างๆ ซึ่งพูดย่อๆ ในเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือฮีบรู เวลาจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าเขาเขียนถึงใคร? ลักษณะอย่างไร? ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา เอาประโยคเดียวมาใช้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ

เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หลายครั้งเราเอาแค่ประโยคเดียวมา แล้วก็บอกว่าอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ เรากำลังทำการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดหรือเปล่า? อาจจะจริงก็ได้ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ว่าอันตราย วันนี้เรามาต่อ บทที่ 6

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

ผู้ที่เขียนนี้  ก็เดินอยู่ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนก็เป็นเพื่อนกันกับชาวยิวด้วยกัน ผู้เขียนกำลังบอกว่าในบรรดาชาวยิว หลายคนก็เดินอยู่กับพระเยซู เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ได้เห็นพระเยซูเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เห็นลาซารัสเดิน เห็นคนตาบอดมองเห็นอย่างอัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเยซูผิดกว่ามนุษย์คนอื่นมากมาย เป็นการพิสูจน์ว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันจริงนะ มีอยู่ผู้เดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ตั้งแต่โลกนี้มีมา แล้วก็ได้ฟังพระเยซูพูดเลย  บางคนไม่ได้เห็นพระเยซู แต่เห็นอัครสาวกรุ่นแรกๆ อย่างเปโตร ยากอบ ยอห์น ทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้เห็นกับตา ได้ฟังข่าวประเสริฐ และได้เห็นอะไรมากมายต่างๆ เหล่านั้น

คนเขียนก็บอกว่าคนเหล่านี้ได้รับรู้แจ่มแจ้งด้วยตาตัวเอง  ถึงแม้จะได้เห็น ได้เป็นพยานในการอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็น จะเชื่อเหมือนกันหมด ใช่พระเจ้าแน่ เห็นแล้ว บางคนก็เชื่อจริงๆ รักษาความเชื่อไว้ จนกระทั่งบังเกิดใหม่จริงๆ อย่างเช่น เปโตร หรือมาระโก หรือแม้กระทั่งเปาโล … เปาโลแรกๆ ก็ไม่เชื่อ จนในที่สุด ก็ต้องยอมเชื่อ ด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์เหมือนกัน บังเกิดใหม่เหมือนกัน แต่คนที่มองๆ ดูแล้ว เห็นกับตาไม่เชื่อ นี่แหละกำลังพูดถึงคนเหล่านั้น  ที่ตัวเองก็เคยลิ้มรสแล้ว เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ไม่เชื่อ แล้วยังมีบางพวกที่หนักกว่านั้น ก็คือไม่เชื่อว่าเป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า หาว่าพระเยซูเป็นพวกผี เพราะว่าเจ้านายเป็นผี เป็นพวกซาตาน พระเยซูบอกว่าอย่างนี้ เป็นพวกหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นพระเยซู หรือเห็นอัศจรรย์ หรือเห็นการงาน ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของแท้จริงๆ แล้วจะเชื่อพระเจ้านะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น   เพราะฉะนั้น ปรับมาประยุกต์ใช้กับพวกเราในปัจจุบัน บางคนคิดว่าถ้าวันนี้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง หรือไม่พระเยซูปรากฏเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งโลกคงจะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูหมดเลย เหมือนกับเรา ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี  อันนี้เป็นสัจจะธรรม เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ ทำอะไรต่างๆ ให้เห็นกับตาว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ โดยการพิสูจน์แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะได้รับผล ตามที่มนุษย์คิด มันไม่ใช่วิธีนั้น มันเกิดใหม่ในวิญญาณ มันไม่ใช่เกิดใหม่ทางด้านตามองเห็น ต่อให้เรียกคนมาตอนนี้ แล้วมีใครบางคนมีความเชื่อตรงนี้ แล้วก็เรียกเขาขึ้นจากความตาย ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งประเทศจะมารู้จักพระเจ้า อย่าว่าทั้งประเทศเลย เอาแค่ห้องนี้ ห้องเดียว สมมติถ้ามีคนไม่เชื่อสัก 10 คน ผมเชื่อว่าทั้ง 10 คนนั้น อาจจะเชื่อสัก 2 คนจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเริ่มต้นเชื่อ แล้วรักษาความเชื่อต่อไป เห็นวันนี้ คนนี้เป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ เชื่อๆ กลับไปบ้านเจอตอ เจอการข่มเหงรังแก เดี๋ยวอีก 3 วันก็ลืมไปแล้ว ลืมวันที่เห็นคนนี้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ มีผู้เชื่อ อธิษฐานในนามพระเยซู เขาเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ ยังเดินอยู่เลย  แต่ตัวเขาเอง เขาไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังสิ่งเหล่านั้น

และท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ เวลาที่ไปต่างประเทศ สมมติคนที่ชอบไปทัวร์  พอแวะเมืองแรก เจอของที่อยากได้ กะจะซื้อมาเก็บหรือซื้อมาฝากก็แล้วแต่ แจ๋วเลย  ไปดูๆ จับๆ ใช่เลย ดีแล้ว แต่ไม่ซื้อหรอก หวังว่าไปเมืองต่อไป รัฐต่อไป อาจจะถูกกว่านี้  อันนี้ยังไม่ดีพอ จริงๆ มันดี แต่ยังๆ ขอเลือกต่อ ยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องไป ปรากฏว่าวันพรุ่งขึ้น ไปอีกแห่งหนึ่ง มันถูกกว่าจริง แต่ไม่ใช่ของแท้ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้ก็ดี แต่มันยังไม่ใช่ ในสิ่งที่ต้องการ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้เขาบอกแน่นอน แพงระเบิดเลย ไม่มีเงินพอ ในที่สุด นึกขึ้นมาได้ อันแรกที่เจอวันแรก มันของแท้และถูกมากเลย เกือบจะฟรีเลย ก็เลยพูดคำนี้ …

“รู้อย่างนี้”

แปลว่ามันพลาดไปแล้ว “รู้อย่างนี้” ปรากฏที่รู้อย่างนี้ พูดตอนไหน? พูดตอนยืนอยู่ที่สนามบิน กำลังเดินทางกลับเมืองไทย หมดโอกาส จะกลับไปร้านเดิมได้ไหม? รู้อย่างนี้ สั้นๆ ก็คือเหมือนคนที่หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่างแล้ว พึ่งจะรู้ว่า …

“รู้อย่างนี้ ฟังข่าวประเสริฐวันนั้น ฉันเชื่อก็ดี มันเป็นจริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้จริงๆ เพื่อนฉันพูดข่าวดีกับฉันนั้น เป็นเรื่องจริงว่าให้เชื่อพระเยซูไว้ พระเยซูเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด รู้อย่างนี้ มันก็สายไปแล้ว”

เปรียบเหมือนคนที่ได้รับฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีแล้ว ได้จับ ได้ชิม ได้ลองดูแล้ว นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ตัดสินใจ เพราะคิดว่าอาจจะมีสิ่งอื่นรออยู่ที่ดีกว่า อาจจะมีข่าวที่ดีกว่านี้

ถ้าพูดย้อนกลับไปถึงชาวยิวในสมัยนั้น เขาคิดอย่างนี้จริงๆ มีคนยิวหลายคนในสมัยนั้น ก็คิดอย่างนี้จริงๆ เขาเห็นกับตาว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์อย่างไร? ผู้ที่เชื่อพระเยซู อัครสาวกที่ประกาศข่าวดีกับการอัศจรรย์อย่างไร? และมาฟังถ้อยคำพระเจ้า มันตรงเป๊ะว่า …

“นี่ตรงเป๊ะกับที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมที่เขาเคยอ่านมา เขาได้เรียนมาตั้งนาน ตั้งเยอะแยะ ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูจะเป็นอย่างไร? จะมาเกิดอย่างไร?  จะตายที่ไม้กางเขนอย่างไร? และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์อย่างไร?”

แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอาจจะมีพระมาสิยาห์ องค์ต่อไป ที่เก่งกว่านี้อีก รอก่อนแล้วกัน ซึ่งเขาก็รอกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังรออยู่ก็มี

“พระมาซีฮาห์” หมายถึงผู้ที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ผู้ที่ถูกพระเจ้าใช้ให้เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษยชาติ ได้มาเกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็รอไง

ในข้อ 5 กับข้อ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

สมมติว่าผมพาคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า แล้วรับเชื่อพระเจ้าแล้วต่อหน้าผม แล้วก็ทิ้งพระเจ้าไป ผมเสียหน้าไหม? ผมบอกว่า …

“โดยฤทธิ์เดช แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อพระเยซู ท่านจะได้รับความรอด เพราะพระเยซู ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จงรับเชื่อพระเยซูเถิด”

ปรากฏว่าเขารับข่าวดีนี้ไป เขาเชื่อในพระเยซูว่าเขาได้รับความรอด เขาเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ วันหนึ่งเขาทิ้งพระเจ้าไป เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ได้ทำสำเร็จแล้ว เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่บุตรพระเจ้า เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  ไม่ใช่พระมาซีฮาห์ เขากำลังจะบอกว่าพระเยซูโกหก และคุณนครก็ไปเชื่อพระเยซู แล้วคุณนครก็เลยโกหกตาม โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร? เขาแค่ทิ้งไปแค่นั้น มันหมายความว่าอย่างนั้น

ปรับมาใช้กับยุคปัจจุบัน หลายครั้ง เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  ถ้าเรายังไม่ได้เกิดใหม่จริงๆ ทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล หมายถึงในหมู่ชาวยิว อย่างที่บอกเขียนไปหาชาวยิว คนนี้ที่เริ่มต้นเชื่อ อาจจะเป็นปุโรหิตเก่า หรือเป็นปุโรหิตตอนนั้น เชื่อแล้วยังไม่แน่ใจ เอาอย่างไรดี? ในที่สุดทิ้งความเชื่อไป คนในสังคมชุนนุมชนยิวเขาจึงบอกว่า …

“เห็นไหม? ถ้าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์จริง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริง นายคนนี้มาเชื่อ แล้วออกไปทำไม? นี่เป็นพยานให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูไม่จริง ถ้าจริง คนที่เชื่อคนนี้ ก็ต้องเชื่อต่อไปสิ”

พูดง่ายๆ เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยการปฏิเสธข่าวดี ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ตัวจริง ปฏิเสธพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านพอเห็นภาพนะ เขากำลังบอกว่าถ้าพระเยซูทำสำเร็จตามที่พระองค์พูดบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ไม่ต้องรักษาบัญญัติต่างๆ ต่อไปแล้ว แต่คนนี้ พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็กลับไปทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ยังกลับไปถวายสัตว์ ยังกลับไปทำพิธีอีกอย่างอื่น เขาไม่ต้องพูด แต่การกระทำของเขา กำลังบอกว่าพระเยซูพูดไม่จริง เป็นการปฏิเสธพระเยซู การลบหลู่พระเยซู ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้น ที่เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้าตัวจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระบิดา ให้กับมนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ แต่คนที่บอกว่า …

“ฉันก็เชื่อนะ ฉันเห็นสาวกหลายๆ คน เพื่อนฉันเอง เปโตรเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยฉันได้ ฉันได้รับความรอด แต่สิ่งที่ฉันเคยทำตั้งแต่อดีตมา จนกระทั่ง ถึงอายุ 70 กว่าแล้วเนี้ย ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสั่งให้ทำ ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ฉันเลิกไม่ได้ ฉันต้องทำต่อไป เพราะว่าฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันเอาชัวร์ๆ ดีกว่าว่าถ้าเกิดเปโตรพูดผิด ข่าวประเสริฐผิด ฉันยังช่วยตัวเองได้ เอามาชำระบาปด้วยตัวเอง ทำพิธีเหล่านี้ ท่านว่ามีคนเป็นแบบนี้ไหม? มี แล้วถามว่ามีคนแบบนี้แล้ว เรียกว่าได้รับความรอดไหม? ได้รับการบังเกิดใหม่ไหม? มีโอกาสบังเกิดใหม่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ลองปรับมาเข้ากับปัจจุบัน ใครที่มั่นใจว่าท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ ท่านบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ท่านมั่นใจมากว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเชื่อไหมว่าท่านสามารถกลับไปทำอย่างเดิมได้ อย่างพิธีที่เคยทำอย่างเดิม ความเชื่อเดิม สมัยก่อน เอาข้อเดียวพอ ท่านจะทำสักครั้งหนึ่งได้ไหม? วันเกิดท่านครั้งต่อไป ไปสะเดาะเคราะห์ ท่านจะทำไหม? ไม่ทำ นี่แหละ อันเดียวกันกับที่บอกว่าท่านจะเห็นชาวยิว หนังสือฮีบรูที่เขียนไปหาเขา มันเป็นอย่างไร? การสะเดาะเคราะห์กับการที่เขาเอาสัตว์ไปถวายบูชาให้กับพระเจ้า เป็นประเพณีเดิมของชาวยิว มันก็อันเดียวกัน เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องการชำระบาป ถ้าเชื่อพระเยซู จนสนิทใจ จนบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะมันสะอาดแล้ว แต่ถ้าเชื่อไม่สนิทใจ มันยังคั่งค้างอยู่ มันอยากจะทำ มันไม่สะอาดสักที มันก็สะเดาะเคราห์ ในวันเกิดของเรา ในปีนี้ เพราะปีต่อไป เราก็ต้องสะเดาะห์ต่อ สะเดาะห์ไปเรื่อยๆ

คำว่า “เกิดใหม่” ไม่ใช่รอให้ตายไป แล้วเกิด เกิดใหม่ เกิดเดี๋ยวนี้ ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ต้องเกิดใหม่ วิญญาณเขาต้องเป็นใหม่แล้ว ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ถ้ารอให้ออกจากร่างกาย มันสายไปแล้ว

ท่านไม่สามารถเอาพระเยซูเป็นตัวสำรองได้ และท่านก็ไม่สามารถเชื่อพระเยซูเป็นตัวเอก และเอาอันอื่นเป็นตัวสำรอง ก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านรับพระเยซูเป็นตัวเอก ท่านจะไม่เอาตัวสำรอง เพราะท่านรู้ว่าท่านพึ่งและวางใจ และหวังใจในความสามารถของตัวเองนี้ได้  ท่านจะไม่มีสำรองอีกต่อไป

ข่าวประเสริฐมีมาไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้มีไว้ สำหรับวิญญาณ ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับประกาศไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่เกี่ยว เมื่อมนุษย์ตายไป  หยุดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็จบการเป็นมนุษย์ เมื่อจบการเป็นมนุษย์ ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป  ดูในฮีบรู 6:7-8

ฮีบรู 6:7-8 “7 ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง”

 

ถ้อยคำตรงนี้ เปรียบให้เห็นถึงผืนแผ่นดิน 2 แห่ง 2 ลักษณะ หรือกลุ่มผู้เชื่อ 2 พวก กลุ่มคน 2 พวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อข่าวประเสริฐ

พวกหนึ่ง คือแผ่นดินที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์ ก็คือพวกที่ผ่านขั้นตอน 3 พวกที่ผมพูดไว้ คือได้รับฟังข่าวดี  เชื่อในข่าวดีนั้น  และเก็บรักษาข่าวดีนั้นไว้ จนกระทั่งความเชื่อในถ้อยคำนั้น ค่อยๆ ดิ่งลึกๆ ลง จนเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าบิ๊กแบงค์ เกิดการเนรมิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในวิญญาณ ในร่างกายของคนๆ นั้น เรียกว่าบังเกิดใหม่ นิวคีเอชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม สะอาดหมดจด ในข้อนี้บอกว่า …

“เป็นแผ่นดินที่ให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูก และได้รับพรจากพระเจ้า”

ฝน ก็คือน้ำ  น้ำฝน ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผืนแผ่นดิน ก็คือคน มนุษย์บนโลกใบนี้  เมื่อได้ข่าวดี น้ำฝนมานะ จะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? มันจะมีผลออกมาอย่างไร?

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือในข้อที่ 8 ที่บอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็ก หนามใหญ่ เป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ค่า ก็คือพวกที่ได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เอา พวกนี้ ก็จะตกอยู่ในอันตราย  จากการถูกสาปแช่ง เพราะว่าในพระคัมภีร์ตะกี้บอก ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง ความหมาย ก็คือเมื่อปฏิเสธข่าวดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อน้ำฝน คือข่าวดีที่เข้ามา ไม่เกิดผลเลย  แห้งแล้งอยู่เหมือนเดิม  ก็คือปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้า  ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ก็ไม่มีทางอื่นใดเลย  ที่จะได้รับความรอดอีกแล้ว สุดท้ายก็จะได้รับโทษของความบาปและความตาย ซึ่งโทษนั้น ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ก็คือบึงไฟนรกเผาผลาญนั่นเอง และข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูจริงๆ และเก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้อย่างนี้ จนกระทั่งความเชื่อนั้น ได้ดิ่งลึกลงไปในใจ จนกระทั่งบังเกิดใหม่ สิ่งที่จะได้รับนั้น  ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ในฮีบรู 6:9-12 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

กำลังจะบอก “แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงแม้จะถูกข่มเหงรังแก เราก็อดทน รักษาความเชื่อไว้ เพราะวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้วนะ เราเป็นลูกพระเจ้า  รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอดนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แปลว่ามันไม่ได้สุขสบาย ในนี้บอกว่าต้องอดทนนะ อาศัยความเชื่อและความอดทน

ในคำอุปมา ที่พระเยซูสอนบรรดาสาวกตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลักษณะอย่างนี้ เกี่ยวกับสวรรค์แบบนี้ แผ่นดินสวรรค์อาณาจักรเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็พูดเป็นคำอุปมา เปรียบเทียบ ผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ

พระเยซูบอกว่าผลที่เราจะได้กับการหว่านเมล็ดพืช  … เมล็ดพืช ก็คือข่าวดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่เราหว่านออกไปนั่น มันไปตกอยู่ที่ดินประเภทใด ดินที่กินน้ำได้ดีไหม? หรือไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำเลย เราหว่านด้วยวิธีการเดียวกันหมด แต่ผลที่ได้รับไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราหว่านลงไปอยู่ที่ไหนต่างหาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหว่าน แต่ขึ้นอยู่กับการรับเมล็ดที่หว่าน มัทธิว 13:3-9 ดูสิ พระเยซูสอนว่าอย่างไร?

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

“ใครมีหู จงฟังเถิด” แสดงว่าบางคนไม่มีหูเหรอ? ตอนที่พระเยซูเดินอยู่ บางคนหูด้วนเหรอ? หูขาด ก็ยังได้ยินอยู่นะ ไม่มี กำลังบอกถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ให้ฟัง พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเรา เขาก็จำเสียงได้เรา ถ้าไม่ใช่แกะของเรา เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง”

ยกตัวอย่างในฮีบรู มี 3 ประเภท ดังนี้ …

ประเภทที่หนึ่ง คือเชื่อในข่าวดี รักษาไว้ จนกระทั่งมันดิ่งในวิญญาณ และบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะเข้าไปอยู่กับเขา เขาจะเป็นลูกของเรา เขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีใครสอนเขา เรื่องเราอีกต่อไป เราจะสอนเขา โดยส่วนตัว เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้เลย อยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ขณะนี้เลย แล้วเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วเขาสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังด่าคนนั้นอยู่เลย เมื่อตะกี้ขับรถมา ยังด่าคนนั้นอยู่เลย ยังหงุดหงิด ทนไม่ไหว แต่เขารู้ภายในใจว่าเขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาไม่ได้สะอาดหมดจด เพราะการกระทำของเขา แต่เขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเอาไว้ แต่งตั้งเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเขา จนสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีตำหนิใดๆ เลย  พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว  สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เขาเชื่อ เขามั่นใจตรงนี้ เขาจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างนั้นตลอดไป เอเมน ใครเป็นอย่างนี้ …

“เมื่อเช้าก็ไปด่าเขา ตกนรกแน่เลย เดี๋ยวไปบ้าน จดไว้นิดหนึ่ง กลับบ้านไป ขอพระเจ้ายกโทษที เอ๊ะ แล้วอันไหนที่ยังจำไม่ได้ เราจะตกนรกไหมเนี้ย อันอื่นจำไม่ได้ ไม่แน่ใจวันก่อนนี้ ทำท่าอยากจะซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่รู้ว่ามันบาปหรือเปล่า? เพราะว่าถ้าซื้อล๊อตเตอรี่เห็นเขาบอกว่าบาป เราอยากซื้อ แต่ไม่ซื้อมันบาปไหม? เขาบอกว่าไม่บาปนะ ถ้าอยากเฉยๆ ไม่ซื้อไม่บาป แต่พระเยซูบอกว่าแค่เห็นหญิง มีความกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว อันนี้เท่ากับที่เราจะซื้อล๊อต เตอรี่แล้วเราไม่ซื้อ แต่เราอยากซื้อ เท่ากับเราร่วมการซื้อไปแล้วหรือไม่? คิดไม่ตก สรุปว่าเราไปนรกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ นอนไปกลัวไป

“ขอปรึกษาอาจารย์ คือเมื่อวานนี้ จะขึ้นรถเมล์ มันไม่จอด ไม่จอดไม่พอ มันวิ่งลงน้ำ กระเด็นขึ้นมาเลอะหมดเลย ปกติ ดิฉันก็เป็นคนอภัยให้เขาเสมอ วันนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าตามหลังไปเลย ด่าเสียๆ หายๆ เศร้ามาถึงวันนี้ 7 วันแล้ว ยังไม่หายเลย รู้สึกจะตกนรก อาจารย์อย่างนี้ตกนรกหรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราไม่อภัยคนอื่น พระเยซูก็ไม่อภัยให้เราด้วย”

เก่งนะ ข้อพระคัมภีร์จำแม่นเลย ให้เราอภัยให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะได้อภัยให้เรา

“ยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ชุดแต่งมาอย่างดี กะจะไปโบสถ์ โบสถ์ก็ไม่ได้ไป เลอะไปหมดเลย  ไปไม่ทัน ยังโมโหไม่หายเลย อาจารย์อย่างนี้ตกนรกไหมเนี้ย?”

แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? ไม่ตกเหรอ แต่รถมันตกหลุม น้ำกระเด็นขึ้นมา ไม่ตกเหรอ? แต่มันทนไม่ไหว อภัยให้เขาไม่ได้เลยนะ แล้วอย่างนี้พระบิดาจะอภัยให้เราเหรอ นอนไม่หลับมา 7 วันแล้ว ช่วยทีเถอะ  ผมก็จะบอกว่ามาฟังครั้งหน้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************