คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว  เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในมหาจักรวาล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยนะ

วันนี้เราก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว คือเรื่องเพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ ตอน 2 “เป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดจากบาป ได้รับการชำระจากโทษแห่งความบาปและความตาย ทางฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือเราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ อีกต่อไป (หมายถึงทางโลกฝ่ายวิญญาณ) เราไม่ต้องคอยกังวลว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? นี่หมายถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่าเผลอไปทำผิด หรือบาปอะไร แล้วทำให้เราสูญเสียความรอดนี้ไป เพราะพระคัมภีร์บอกว่าไม่มีอีกแล้ว ถ้าเราได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จากการเชื่อจริงๆ เรื่องข่าวดีของพระเยซู เราได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ พระเจ้าดูแลเรา ปกปักษ์คุ้มครองเรา อยู่ในความรอดนั้นตลอดไป

จากบทบัญญัติตามพันธสัญญาเดิม ที่เป็นกฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกคนต้องทำตาม ใครไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ หรือเรียกว่าถูกสาปแช่ง พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Telelestai ทำให้สำเร็จแล้ว ยุคแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็กลายมาเป็นยุคพระคุณ ที่ให้เปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีคำว่า “ต้องทำ” หรือ “ห้ามทำ” แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยพื้นฐานของความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งพื้นฐานนี้ ก็เต็มไปด้วยความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน ทำตามคำสอน ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอนว่าบทบัญญัตินี้ สำหรับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู “ห้าม” กับ “ต้อง” เปลี่ยนมาเป็น “ควรทำ” “ไม่ควรทำ” “จงระวัง” เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

ประเด็นที่เราย้ำกันในครั้งที่แล้ว ก็คือเราเป็นอิสระ เสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ที่พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณข้างในของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู เกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นในวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ใส สะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิใดๆ เต็มไปด้วยความรัก ไม่มีความเกลียดอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น ก็เลย สมควรทำตัวให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ที่เปลี่ยนจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งการเกลียดชัง มาเป็นวิญญาณความรักแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งความบาป มาเป็นวิญญาณแห่งความชอบธรรม สะอาดหมดจด ปราศจากบาปแล้ว ก็สมควรเปลี่ยนอุปนิสัยข้างนอกบ้างสิ พระคัมภีร์จะพูดถึงลักษณะอย่างนี้ ผมพยายามรวมมาแปลให้ท่านฟังง่ายๆ คือให้กระทำทุกอย่าง ออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก จากนี้ต่อไป

ใครเขาถามเราว่า … “คุณมีความรักไหม?”

ตอบเขาเลย … “ไม่มี แต่ฉันเป็นความรัก”

หนักกว่ามีอีก มีมันยังหมดได้ แต่เป็น ไม่มีเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่มีผู้ชายอยู่ คุณเป็นผู้หญิง คุณไม่ใช่มีผู้หญิง เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คุณเป็นความรัก เพราะเราพูดถึงวิญญาณของเรา ที่เป็นตัวตนของเราตลอดไป  ไม่ใช่ร่างกายข้างนอกนี้ ซึ่งวันหนึ่งจะต้องลงหลุมไป กลายเป็นดินไป แต่วิญญาณเราอยู่นิรันดร์ และวิญญาณที่อยู่นิรันดร์นั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นพระบิดาของเรา ใครถามท่าน ท่านทำอย่างนี้ เพราะอะไร?

“เพราะฉันเป็นความรัก” เอเมนไหม?

“อ้าว! ทำไมตะกี้นี้ ขับรถมาไปตวาดว่าเขา”

“ก็ฉันว่าไปด้วยความรักที่อยู่ข้างใน ข้างนอกมันเผลอไป โทษที”

จากนี้ต่อไป วิญญาณเป็นความรัก ขับรถ อดทนหน่อย มีอิสระแล้ว ทำให้มันเหมือนข้างในหน่อย ไม่ใช่มีอิสระแล้ว จะด่าใคร ก็ด่าเลย  รอดแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว คนที่เต็มไปด้วยความรักเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ฉันก็ต้องควบคุมเนื้อหนังบ้างสิ? ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ดีขึ้นๆ แต่ทุกอย่าง ทำมาจากพื้นฐานทางวิญญาณ คือวิญญาณแห่งความรัก ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดแจ๋วเลยนะว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

ทบทวนข้อพระคัมภีร์ในกาลาเทีย 5:13-15 บอกว่าเราควรมีอิสรภาพในท่าทีอย่างไร?

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

พี่น้องทั้งหลาย คือผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ผู้นั้นแหละ รวมเรียกกันว่าพี่น้องทั้งหมด ถ้าในปัจจุบัน เราพูดกันง่ายๆ คือคริสเตียน เมื่อไรที่ท่านเห็นคำว่า “พี่น้อง” นั่นแหละ กำลังพูดถึงกลุ่มคนพวกหนึ่ง ที่เชื่อข่าวประเสริฐแล้ววิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่าพี่น้อง

ความเชื่อต้องดิ่งลงไปในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องเชื่อจริงๆ ถึงเกิดใหม่ ดูกันข้างนอก บางครั้งมองไม่เห็น แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ เดาตัวเองนะว่าเราบังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่? ผมบอกเคล็ดลับนิดเดียว ท่านรู้ทันทีเลย ถ้าใครบังเกิดใหม่ หนึ่งอย่างที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือเขาจะหยุดแสวงหา หรือทำสิ่งต่างๆ ให้พ้นจากบาปเวรกรรม ถูกหรือไม่ถูก?  อะไรก็ตามที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าสิ่งนี้ ที่เราเคยทำ แล้วมันจะชดใช้บาป เวรกรรมของตนเอง เราไม่ทำแล้ว และไม่แสวงหาที่จะทำด้วย เอเมน ตรงนั้นแหละ คนนี้เกิดใหม่แน่นอน 100% นี่คือสิ่งที่สามารถวัดตัวเราเองได้ แค่อันเดียวเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ทำอย่างอื่น อย่างอื่นเยอะแยะ ดูไม่ออกหรอกว่าโลภหรือไม่โลภ วุ่นวายไปหมด แต่อย่างนี้ชัด ถ้าบอกว่าบังเกิดใหม่แล้ว

“ฉันยังไปหา ทำอะไรบางอย่าง ที่รู้สึกว่าทำแล้ว ฉันจะได้ลด ชดใช้บาป เวรกรรม ในอดีต” ถ้าทำอย่างนี้อยู่แปลว่าไม่ใช่

เพราะฉะนั้น คนนั้น ต้องพบทางรอดแล้ว และรู้ว่าตัวเองรอด ด้วยโลหิตพระเยซู  พระเยซูทำให้เรารอดแล้ว สบายแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว นั่นแหละ คือบุคลิกของคนที่มีวิญญาณที่รอดแล้ว แต่หลายครั้ง ประกาศข่าวดี ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็มีการบิดเบือนไปจากความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็ถูกนำมาสอนกันต่อๆ แบบผิดๆ นี่ผมกำลังพูดถึงบิดเบือนแบบบริสุทธิ์ใจ วันนี้ไม่ได้พูดรวมไปถึงบิดเบือนแบบตั้งใจ เอาไปทำมาหากิน พระคัมภีร์บอก มีคนเอาข่าวประเสริฐไปทำมาหากินนะ เพื่อปากท้องของตนเอง มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงผิดแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำมาหากิน ไม่ได้ตั้งใจจะบิดเบือน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่มีการตีความหมายตามพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง หรือได้รับการสอนแบบผิดๆ ก็ฟังผิดๆ ไป

นี่เป็นประสบการณ์ หัวข้อเรื่องเขาเรียกว่าประสบการณ์ที่มิรู้ลืมเลือน จากการไปประเทศญี่ปุ่น

… ซึ้งจัง เธอเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่สวยงาม งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ไม่ว่าจะมองมุมไหน? ก็สวยไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็ต้องพูดแบบผมแน่นอน …

ท่านคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

… การได้มานั่งดื่มกาแฟที่นี่ ทำให้อารมณ์และจิตใจของผมสดชื่อ อย่างบอกไม่ถูกกับความสวยงาม แบบธรรมชาติ จนมิอาจลืมได้ ตราตรึงในหัวใจ เฝ้าคิดคำนึงตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น …

อ่านแค่นี้ ท่านคิดถึงว่าผู้ชายคนนี้คงจะไปเที่ยว แล้วไปเจอผู้หญิงญี่ปุ่นที่ชื่อ “ซึ้งจัง” เธอคงน่ารักมาก ลืมไม่ได้เลย นอนละเมอถึงเลย เกิดผู้ชายคนนี้มีภรรยา ได้อ่านแค่นี้ สามีคงมีสิทธิ์หัวร้างข้างแตกได้

“เธอไปทำอะไรอย่างนั้นมา”

“เดี๋ยวก่อนสิ ฟังให้จบก่อน”

“ไม่ฟัง ฉันจะเอาแค่นี้”

ก็มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอีกอย่างหนึ่งได้ อ่านต่อไป

… เพราะการออกแบบสถานที่ ที่ดูโล่งโปร่งตา สถานที่ที่มีสีเขียวมากมาย รายล้อม รอบบริเวณเมืองนี้ รับรอง คุณจะไม่สามารถหาร้านกาแฟที่สวยขนาดนี้ได้อีกแล้ว คุณซึ้งจัง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอออกแบบและดูแลต้นไม้ทั้งหมดนี้ ด้วยตนเอง …

พออ่านถึงตรงนี้ ตกลงพูดถึงใคร? ร้านกาแฟ พอเราแปลผิดปุ๊บ กลายเป็นพูดถึงซึ้งจัง ผู้หญิง คนละความหมายเลย  นี่ยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เล่นๆ เท่านั้นเอง ท่านพอเห็นไหมครับว่าเวลาเราจะตีความหมายในพระคัมภีร์ เราต้องนึกถึงภูมิหลังว่าเขาเขียนไปหาใคร? จดหมายนี้เป็นอย่างไร? อ่านให้มากๆ ไม่ใช่อ่านไม่หมด แล้วก็หยิบมาเล่า เอามาบรรทัดสองบรรทัด แล้วก็ตีความทั้งหมด หลังจากฟัง 2 บรรทัดแล้ว สิ่งที่ท่านคิดในใจ กับฟังจนจบ มันเหมือนกันไหม?  ไม่เหมือนเลยนะ เขาว่าอย่างไร? จากหัวเป็นหางเลย

นี่เป็นตัวอย่างให้ท่าน พอที่ท่านนึกออกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู หลายครั้งก็ถูกบิดเบือนด้วยเหตุผลเดียวกันกับเรื่องราวของร้านกาแฟซึ้งจังนี่แหละ คือบางคนอ่านพระคัมภีร์แค่บางช่วง บางตอน แล้วก็ตีความตามใจของตนเอง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไปเลยว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่ เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอก ภรรยาได้อ่านมา 2 บรรทัด ตีความอย่างนี้ แล้วจากตีความเสร็จ ตีหัวต่อเลย   ซ้ำร้าย ที่หนักกว่า คือบางคนตีความใส่เนื้อหาที่ตัวเองต้องการเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ตามกิเลสของตัวเองที่อยากได้ เช่น …

พระคัมภีร์บอกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ทำให้เราหายป่วย”

ก็เนื้อหนังเรา ความอยากเรา เราอยากหายป่วยไง ก็เลยตีความว่าพระเยซูแบกรับเอาความเจ็บป่วยของเราไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย ถ้าใครป่วย ก็แปลว่า … คิดเอาเองแล้วกัน คุ้นๆ นะ ถ้าใครป่วย ก็แสดงว่าไม่เชื่อ เอ๊า! ยุ่งกันใหญ่เลย และหนึ่งในจำนวนของถ้อยคำพระคัมภีร์ไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือเรื่องความรอด ที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ที่เรากำลังเรียนกันอยู่วันนี้ ขนาดพระคัมภีร์เขียนแบบชัดๆ เป็นตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล ชัดเจน แบบไม่ต้องตีความเลย พระคัมภีร์มีหลายแห่งเลย ที่บอกว่า …

“เมื่อท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านก็ได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดที่สุด และไม่มีใครสามารถปรับโทษท่านได้อีก ก็คือไม่มีการกลับไปกลับมาอีกแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน”

นี่คือเรื่องจริงในข้อพระคัมภีร์ แต่ก็จะมีคนสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ห้ามทำบาปอีกต่อไป เพราะถ้าทำบาป พระเจ้าจะลงโทษ และยังไม่เชื่อ ยังขืนทำต่อไปอีก พระเจ้าจะทิ้งเลย แล้วเราก็ต้องกลับไปเป็นคนบาป ก็ได้รับโทษ ตกนรกอีก คุ้นไหม? แล้วเราเอาอย่างไร? ตกลงสรุปแล้วคืออะไร? หาไม่เจอ

เพราะฉะนั้น คนที่ยังหาไม่เจอกลับไปหาให้เจอให้ได้ว่ามันคืออะไร?  ตัดสินใจให้ถูก พอเริ่มต้นเป็นแบบนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดตลอดว่าเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด พอมันเริ่มผิดแล้ว เริ่มตีความว่าห้ามทำบาปอีกต่อไป ถ้าทำบาปแล้ว จะสูญเสียความรอด ทีนี้ทำอย่างไร? ไม่ทำบาปอีกเลย คิดต่อไปสิ แล้วเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เอาแล้วสิ ยุ่งเลย

เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ มันก็บาปทั้งหมดแหละ มันก็ต้องรับโทษทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะตีกันเองแล้วนะ  แล้วทำอย่างไร? ก็ค่อยๆ เริ่มบิดนิดหนึ่ง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป  บวกกับเนื้อหนัง กิเลสของตัวเองเข้าไป ความโลภเติมเข้าไปอีกนิดหนึ่ง แล้วสร้างเป็นกฎเกณฑ์ เป็นข้อบังคับขึ้นมา พอนานๆ เข้าก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ กลายเป็นนิกายต่างๆ นิกายแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ ตรงกับที่ผมพยายามอธิบาย ความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันถูกบิดเบือนด้วยเหตุประการฉะนี้แหละ นี่บริสุทธิ์ใจทั้งนั้นนะ

พระคัมภีร์ในหนังสือฮีบรู เป็นบทสรุปที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ว่าหลักการพื้นฐานของความเชื่อ คือความรอดที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ มันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ทำให้เรากลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ทั้งบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บาปที่เราได้ทำไว้ในอดีต ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ บาปที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ รวมทั้งบาปที่เราอาจจะทำ หรือทำแน่นอนเลย ในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้ อะไรต่างๆ บาปทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้ถูกชะล้างจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการอภัยแล้ว จากสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

ในหนังสือฮีบรู ผู้เขียน คือชาวยิวที่มีความรู้มาก ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าทำกับอิสราเอล สมัยโมเสส ความรู้เรื่องวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รู้ทั้งสองเรื่องเลย นอกจากนั้นยังมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของศาสนายิวดั้งเดิม คือศาสนายูดาย ยิวนับถือศาสนายูดายก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากนั้น ก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้  บางท่านก็บอกว่าผู้เขียนน่าจะเป็นเปาโล บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นอปอลโล แต่อย่างไรก็ตามเป็นชาวยิวแน่นอน แล้วก็มีคุณสมบัติ มีความรู้คิดคล้ายๆ อาจารย์เปาโล

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรูนี้ เขียนขึ้น ในช่วงเวลาหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ประมาณ 30 กว่าปี

วัตถุประสงค์ของหนังสือฮีบรู เพื่อสอนถึงแก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวที่กลับใจเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้น กำลังถูกล่อลวงอย่างหนัก คือคนที่เชื่อข่าวประเสริฐในยิว วุ่นวายมาก เพราะว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพระเยซูคริสต์ เป็นต้นกำเนิดข่าวประเสริฐ เป็นแหล่งกำเนิดการปฏิเสธพระเยซูอย่างรุนแรง ถึงขนาดตรึงพระเยซู ที่ไม้กางเขน จากความเชื่อและวัฒนธรรมรอบด้าน ทำให้มันยากที่จะต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คนที่เป็นยิว มาเชื่อพระเยซูแล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะกลับไปนับถือศาสนาเดิม เหมือนแต่ก่อน ทำพิธีเหมือนแต่ก่อน หรือจะเดินหน้า เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูต่อไป มีการข่มเหงด้วย  และสังคมด้วย แล้วตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ง่ายเลย

นอกจากนี้ ก็ยังมีบางพวกที่เรียกว่าเป็นลูกผสม คือกลับใจมาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ข้างในยังอยากจะทำอะไรอยู่เหมือนเดิม ยังไม่แน่ใจ ขอเติมนิดหนึ่งได้ไหม?  เอา 2 อย่างได้ไหม? ซึ่งพระคัมภีร์บอกเสมอไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเชื่อพระเยซูด้วย แล้วจะทำด้วยตัวเองด้วย ไม่ได้ จะพึ่งพระเยซูกับพึ่งตัวเองด้วย ไม่ได้ ต้องทำอันใดอันหนึ่งเท่านั้น  ที่ตะกี้นี้บอกว่าอุปนิสัย เกิดใหม่ ข้างในมันต้องมั่นใจ 100% ว่า …

“ฉันไม่ต้องขวนขวายหาอะไรอีกแล้ว ที่จะไถ่บาปให้ตัวเอง”

นั่นแหละ คือบังเกิดใหม่ คนเหล่านี้ยังไม่เกิดใหม่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ต้อนรับ แต่ยังไม่มั่นใจ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น มันก็อยากจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นการชำระบาปให้ตนเอง เหมือนเดิม อยากไปปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเดิม พูดง่ายๆ ก็คือยังทำใจไม่ได้กับความรอด ที่พระเยซูให้มาแบบง่ายเหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไรเลย สมัยก่อนนี้ คนยิวกว่าจะได้รับความรอด ไม่ใช่รอดเลยนะ แค่จะได้รับพรจากพระเจ้าบ้าง ชำระบาปปีต่อปี กว่าจะได้ยากมากเลย ต้องทำเยอะแยะ แล้วยังมาบอกว่าเชื่อพระเยซูเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับความรอดแล้ว รับไม่ได้จริงๆ  ก็เลยคาไว้แค่นั้น  ก็เลยคิดว่าจะหันกลับไป  ทำดีไหม?

และกลุ่มที่อยู่ตรงกลางแบบลูกผสมนี้ แน่ๆ ก็คือพวกปุโรหิตชาวยิว ซึ่งนับถือศาสนายูดายเดิม เชี่ยวชาญในงานรับใช้ ในวิหารแบบเดิมๆ ซึ่งปุโรหิตเหล่านี้ ถึงแม้จะกลับใจมารับเชื่อแล้ว แต่ยังคุ้นเคยกับประเพณีเดิมๆ ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ คือไม่ทำแบบเดิมอีกต่อไป ยังไม่แน่ใจในการเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงในพระเยซู นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย เพราะว่าไม่ใช่ยิวธรรมดา แต่เป็นยิวที่เป็นผู้รับใช้ในวิหาร เชื่อเยอะแยะเลย  คำว่า “เชื่อ” หมายถึงเชื่อ แบบยังไม่เป็นลูกพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่ แค่เริ่มต้น ใช่ ข่าวดีของพระเยซู เห็นกับตา โอเค เชื่อด้วย แต่ตัวเองต้องเข้าสู่วิหาร ไปทำหน้าที่ประจำวัน มันก็ฝืนใจ มันยังไม่ดิ่งลงไป ทำใจลำบาก

และที่สำคัญก็ยังมีปุโรหิตบางกลุ่ม ที่มีอิทธิพลมาก ดูดีมีฐานะ แต่ปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมเชื่อพระเยซู ต่อต้านเด็ดขาด ก็คือกลุ่มคนที่เอาพระเยซูไปตรึงไม้กางเขน ผู้คนเหล่านี้ มีอิทธิพล ดูดีในสังคม มีหน้ามีตา เพราะว่าหลักการของยิว ในอดีตนั้น ปกครองด้วยระบบศาสนานำ ปุโรหิตใหญ่กว่ากษัตริย์ คนเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ คอยข่มขู่ ต่อต้านคนที่เชื่อ ข่มเหงรังแกคนที่เชื่อ ทำให้ผู้เชื่อใหม่เกรงกลัวอำนาจ จำเป็นต้องปฏิบัติภารกิจตามประเพณีเดิม เพื่อไม่ให้มีเรื่อง จะด้วยเต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ก็ไม่รู้แล้ว อันนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น จะมีผู้ที่ยอมทำตามเขา โดยไม่เต็มใจ ผมเชื่อว่ามี ก็คือเชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ไม่รู้จะทำไง ทำไปต่อหน้าทำเฉยๆ แล้วก็อธิษฐานในใจ ด้วยความทุกข์ทรมาน ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ พาเขาออกจากหน้าที่เดิม พาเขาไปไหนก็ได้ ย้ายที่ไปไหนก็ได้ ย้ายประเทศไปไหนก็ได้  เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่อยากทำอย่างนี้แล้ว แต่ตอนนี้ทำไปก่อน เพราะความจำเป็นอะไรก็ว่าไป  เพราะเขาทำด้วยความรัก เขาไม่ได้กลัว และพระวิญญาณนำเขาไป ผมเชื่อว่ามันต้องมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ท่านจะได้มองภาพชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในสังคมของชาวยิว ขณะนั้น ทำไมต้องเขียนหนังสือฮีบรูไปหาเขา

          เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือหนังสือฮีบรู เขียนไปเพื่อ …

(1) ให้กำลังใจกับคนที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก แล้วถูกข่มเหงรังแก ได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากประเพณีเดิม จากคนที่ปฏิเสธพระเยซู จากคนที่ต่อต้านพระเยซู หนังสือนี้เขียนไปหนุนใจคนเหล่านั้น ให้อดทน รอการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจะนำไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หรือพระเจ้านำอย่างไรก็ตาม วิญญาณเราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว  มองที่วิญญาณ พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์ ดังนั้นต้องรักษาตรงนี้ไว้ อดทนต่อไป

(2) เตือนคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐแล้ว ให้อดทน เลือกพระเยซู ถูกแล้ว พระเยซูคือตัวกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังว่าพระคัมภีร์เดิมที่โมเสสทำไว้ เป็นแค่เงา ที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ

(3) เตือนแบบค่อนข้างรุนแรง สำหรับพวกปุโรหิตที่ต่อต้านพระเยซูว่าถ้าท่านทำอย่างนี้ต่อไป ท่านหลงหาย ท่านตกนรก พูดง่ายๆ ท่านไปไม่รอดแน่ เรื่องนี้เรื่องจริง ท่านกำลังโดนของจริงแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พระเยซูยังไม่มาเกิด ตอนนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้ว ท่านต่อต้านอีก หมดแล้วนะ ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว ตายลูกเดียว อย่าเล่นกับพระเจ้า  อะไรประมาณนั้น  เรามาดูในฮีบรู 6:1-3

ฮีบรู 6:1-3 “1 เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น  เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 2 คำสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ 3 และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป”

 

“เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า”

ท่านพอมองเห็นคร่าวๆ จากการที่ได้ฟังภูมิหลังที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าจดหมายนี้เขียนไปทำไม? เขียนไปหาใคร?  ถ้อยคำตรงนี้  ฟังดูเหมือนผู้เขียน เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาพูดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ เป็นถ้อยคำไปถึงชาวฮีบรู ขณะนั้น ซึ่งมีทั้งผู้ที่เชื่อแล้ว พวกที่หลงหายไป รวมทั้งพวกที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลิกเชื่อ หรือเชื่อต่อ ผู้เขียนกำลังบอกว่าเราคุยเรื่องนี้มาเยอะแล้วนะ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ หลักคำสอนเบื้องต้นพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

พื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปง่ายๆ ก็คือ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือหลักการต้นๆ ในนี้บอกว่าเบื่อเหลือเกิน ต้องมาพูดอย่างนี้อีกแล้ว ก็คือเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูที่ไม้กางเขน พูดกันมาตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ไปไหนเลย ทำไมเรายังต้องกลับมาคุยเรื่องนี้กัน ซ้ำๆ ซากๆ อีก เราควรจะเข้าใจกันได้แล้ว ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ และเดินหน้ากันต่อไปได้แล้ว ทำไมยังต้องมาพูดถึงเรื่องเดิมๆ นี้อีก

เรื่องเดิมๆ คือเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในยุคพระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิม เช่นการที่มหาปุโรหิต ต้องนำสัตว์ไปถวาย เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป พิธีกรรมการวางมือบนสัตว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดความบาป  จากมนุษย์ไปสู่สัตว์ เป็นเครื่องสัตวบูชา ให้พระเจ้า ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ มันถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วทำไมยังต้องมาถกเถียงกันเรื่องนี้ว่าทำได้ไหม? ยังต้องทำต่อไปอีกทำไม? เราควรจะผ่านเรื่องนี้กันไปได้สักทีแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ

สรุปรวมๆ เป็นลักษณะอย่างนี้  คือชาวฮีบรูในสมัยนั้น ยังคงเถียงกันในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่บางคนยังยึดติดอยู่กับการติดพิธีเดิมๆ ซึ่งผู้เขียนพยายามที่จะบอกว่า 2 เรื่องนี้ มันอยู่ในเรื่องเดียวกันไม่ได้ มันจะเอามาผสมกันไม่ได้ ถ้าเราเชื่อในความรอดที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูทำให้เราแล้ว เราก็ต้องหยุดในเรื่องของการกระทำพิธีกรรมด้วยตัวของเราเอง ถ้าเรายังทำเพื่อตัวของเราเอง ชำระบาปให้ตัวเอง เราก็ยังบอกว่าเราไม่เชื่อพระเยซู มันไปด้วยกันไม่ได้

“การกระทำอันนำไปสู่ความตาย” แปลตรงตัว คือการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ คือการกระทำพิธีกรรมในวิหาร ซึ่งในอดีตนั้น เคยเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติให้ทำ เพื่อเล็งถึง เป็นเงาถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง ซึ่งมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์มาแล้ว ทำสำเร็จแล้ว เพราะพิธีกรรมเหล่านั้น ถ้ายังทำอยู่ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิตเลย  แม้กระทั่งในอดีตที่ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิต เพราะมันเป็นแค่เงา ที่เล็งถึงพระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  เป็นสิ่งที่ให้ชีวิตจริงๆ คือใครที่เชื่อฟังพระเยซู จะได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่จริงๆ แต่ใครที่เชื่อโมเสสสมัยอดีตนั้น พันธสัญญาเดิมนั้น และทำตามพิธีกรรมต่างๆ เอาสัตว์ไปถวาย ไม่ได้ชีวิตใหม่ ได้แค่ปกคลุมความบาป ปีต่อปีเท่านั้น ต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะมา มันเป็นอย่างนั้น เขาจึงเรียกว่าพิธีกรรมที่นำไปสู่ความตาย มันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย มันสำหรับคนที่ตายแล้ว เขาทำกัน แต่ถ้าเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่พระเยซูสามารถให้ชีวิตใหม่ได้ มีประโยชน์ เอาพระเยซูเป็นแพะ มีประโยชน์กว่าเอาสัตว์เป็นแพะ พูดง่ายๆ เมื่อเอาพระเยซูเป็นแพะ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และก็แค่เชื่อเท่านั้นว่า …

“พระเยซูเป็นแพะของฉัน รับบาปของฉันไปแล้ว”

ความเชื่อตรงนี้ ทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ แต่ถ้าเรายังไม่เชื่อ เรายังเอาสัตว์กลับไปถวายอยู่ การถวายนั้น เราไม่ได้รับชีวิต แต่เราได้รับความตาย  คือตายเหมือนเดิม ตายอยู่ที่เดิม พอเข้าใจใช่ไหม? ท่านพอมองเห็นภาพชัดไหม?

นี่คือสิ่งที่คนเขียนจดหมายไปบอกชาวฮีบรู พยายามตั้งใจที่จะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ ในฮีบรู 6:2 เราควรจะเลิก ไม่ควรมาคุยเรื่องนี้แล้ว คำสอนเรื่องบัพติศมา ก็เพราะว่าเมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สอนไปแล้วไง พวกนี้ก็ยังมานั่งคุยกันเรื่องว่า …

“บัพติศมา ก็ต้องบัพติศมาในน้ำ แบบยอห์นบัพติศโตทำ ต้องทำอีกไหม?” อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือเรื่องการวางมือ ท่านรู้ไหมว่าการวางมือ ไม่ได้หมายถึงการวางมือรักษาโรค การวางมือ คือการที่ปุโรหิตในวิหาร จะทำพิธีในวิหาร คือเอาสัตว์ที่ผู้คน เอามาถวายให้พระเจ้า แล้วปุโรหิตเป็นตัวแทนพระเจ้า เอามือเขาวางบนสัตว์ตัวนั้น  เพื่อเป็นการแสดงว่าเอาบาปของคนที่ถวายสัตว์ มาใส่ไว้ที่สัตว์ตัวนี้ สัตว์ตัวนี้มาแบกบาปเขาไป  สมมติเป็นแพะ ก็เป็นแพะรับบาปของเขาไปปีต่อปี ครั้งต่อครั้งว่ากันไป ต้องให้อธิบายเรื่องการวางมืออีกเหรอ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอาแพะให้ปุโรหิตวางมืออีกเหรอ แล้วคุณมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นปุโรหิต คุณจะวางมือให้กับประชาชนอีกเหรอ พูดตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ตัวอีกเหรอ อะไรประมาณนั้น นี่ใส่อารมณ์เอง ในฐานะที่ถ้าเป็นคนสอน ถ้าเป็นนิสัยเปาโล … เปาโล เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แบบหงุดหงิดมากเลย อะไรที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย  อาจารย์เปาโลจะโมโหมากเลย ไม่ใช่คนใจร้ายนะ เป็นคนที่ปกป้องข่าวประเสริฐอย่างดีมาก อย่ามาแตะต้องข่าวประเสริฐนะ โวยวายทันทีเลย

ต่อไปเรื่องอะไร? เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะว่ายังมีปุโรหิตและคนที่เป็นผู้นำทางศาสนา ที่เรียนเรื่องศาสนาเยอะๆ สูงๆ อย่างน้อย 2 พวก คือพวกฟาริสีที่เรารู้จักกันดี และพวกสะดูสี พวกสะดูสีเขาไม่เชื่อเรื่องเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย นี่เป็นส่วนหนึ่งของข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย รับไม่ได้ ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย  แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเริ่มต้นในการสอนแล้ว อยู่ในส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพื้นฐาน ยังต้องมาสอนกันเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ

เรื่องการพิพากษาลงโทษ ก็เหมือนกัน พระเจ้าจะทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป หมายถึงการพิพากษาลงโทษ ก็คือไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ แค่นั้นเอง ไม่ต้องเถียงอะไรมากเลย ถ้าไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ จบ เพราะพระเจ้าประทานความชอบธรรม คือเป็นคนถูกต้อง โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรที่พระองค์ทรงประทานให้เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรมาก็ตาม ไม่มีประโยชน์เลย

ในนี้สุดท้าย บอกว่า “และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะดำเนินต่อไป” หมายถึงตามน้ำพระทัยพระเจ้าว่าถ้าเผื่อเราหยุด เลิกมานั่งเถียงกันเรื่องเก่าๆ จบไปสักทีหนึ่ง และถ้าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้เจริญเติบโตไปด้วยกัน เรียนเรื่องมาเชื่อพระเจ้า แล้วเป็นลูกพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร? สวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมให้ว่าเป็นอย่างไร? เรามีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? พระเจ้าประทานอะไรให้บ้างในวิญญาณ ของประทานในวิญญาณพระเจ้ามีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา บริสุทธิ์ สะอาดเป็นอย่างไร? มันโตขึ้นไป เจริญเติบโตในโลกนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เตรียมไว้ให้กับเราอย่างไรบ้าง? เราควรทำอะไรบ้างบนโลกใบนี้ เราควรมองไปที่สวรรค์อย่างไร? สวรรค์เตรียมอะไรไว้บ้าง? ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ก็มี เปาโลบอก สิ่งเหล่านี้ ควรจะมาเรียน โตแล้ว มานั่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น พื้นฐานของความเชื่อ ท่านพอเข้าใจไหม?  นี่แหละ ทั้งหมดที่อ่านมาตะกี้นี้ คือความหมายของบทที่ 6 ข้อ 1-3 เรามาอ่านต่อ

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง ไข่มุกเม็ดงาม เจอไข่มุกเม็ดงาม อยากได้ไหม? อยากได้ ต้องกลับไป ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่าง  แล้วก็มาซื้อไข่มุกเม็ดงามนี้ ท่านพอมองเห็นภาพว่าเราอ่านดู เราเข้าใจเขาเหล่านั้น  มันยากมากสำหรับคนที่มีตำแหน่งเยอะๆ พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เข้าแผ่นดินสวรรค์ยาก ไม่ใช่เข้าไม่ได้นะ เข้ายาก เหมือนเอาอูฐรอดรูเข็ม ไม่ได้หมายถึงรูเข็มจริงๆ นะ เอาเข้าไม่ได้อยู่แล้ว รูเข็ม หมายถึงประตูของเมือง เราดูในหนัง มันจะมีประตูใหญ่ๆ ปกติเขาปิด เขาไม่ได้เปิดไว้ ไม่มีใครเข้า ถ้าคนเข้าออกธรรมดา ก็เปิดประตูเล็ก คราวนี้คนค้าขายสมัยก่อนมา ก็เอารถเบนซ์ ซึ่งสมัยก่อนก็คืออูฐ แทนที่จะเอาลามา เอาอูฐมา มันเข้าไม่ได้ เพราะมันมีโหนกสูง เวลาจะเอามาแบกของข้างหลัง มันต้องช่วยกัน ทำให้อูฐมันย่อขา กดมันลงไป  หัวมันสูงกว่าตัวมัน พยายามกด ช่วยกัน เข้าได้ไหม? เข้าได้ แต่มันยากกว่าตัวอื่นๆ ทั่วไป

ดังนั้น คนเหล่านี้ เข้ายากกว่า เขามีตำแหน่ง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงอยู่ มีทรัพย์สมบัติอยู่ เข้ายากไง มีปุโรหิตหลายคนที่ชนะสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ยอมทิ้งเหล่านั้น แล้วก็มาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้  ยกตัวอย่างเช่นเปาโล เป็นต้น แล้วยังมีปุโรหิตอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ผมจะพาท่านไปดู เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ว่าคนเหล่านั้น ต้องมาเชื่อพระเยซูด้วยวิธีใด? อย่างไร? และสิ่งเหล่านี้ เอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราปัจจุบันได้ว่าถ้าเราจะเชื่อพระเยซู มันต้องหัวเด็ดตีนขาด คือเหมือนเพลงที่เราร้องกันเล่นๆ แต่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ที่ว่าร้องเล่นๆ เพราะเราไม่ได้ให้ความลึกซึ้งกับมัน เช่นเวลารับบัพติศมาในน้ำ แล้วเราร้องเพลงว่าอะไรนะ?

“ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย        ไม่หันกลับเลย”

เราร้องไป เหมือนเราร้องไปปากเปล่าๆ ท่านตัดสินใจ หมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่หันกลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเดินต่อไป และถ้าคนทำอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ในอนาคต ไม่หันกลับเลย แต่หลายคนไปยังไม่ทันเกิดใหม่เลย กลับ เพราะกลับไปบ้าน เจอการข่มเหงรังแก กลับไปในสังคมแบบเดิม กลับไปที่ที่ทำงานเดิม ที่ทำงานก็รับเราไม่ได้ หรือเรารับเขาไม่ได้ ในที่สุด เราต้องเลือก จะเอาสังคม ชื่อเสียง เพื่อนฝูง ในอดีต หรือจะเอาไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง นี่แหละเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สรุปตรงนี้สั้นๆ ว่าพระคุณพระเจ้าให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระเราให้พ้นจากความบาป บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นทันทีทันใด เมื่อข่าวดีมันไหลลงไปในวิญญาณของคนใดคนหนึ่ง และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ ปิ๊ง ออกมาในขณะนั้น ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้เป็นอย่างนั้นทันที เป็นลูกพระเจ้าที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ทันทีที่พระคัมภีร์เรียกว่าท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิธีที่ให้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ก็เพียงแค่รักษาข่าวประเสริฐนี้ไว้ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะไหลทิ้ง หรือลึกลงไปเมื่อไร? ตอนไหน? ไม่ต้องสนใจ สนใจแค่ …

“ฉันจะรักษาไว้ รักษาไปเรื่อยๆ ฉันจะไม่ทอดทิ้งเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะต่อต้าน ฉันจะรักษาไว้”นล็น

มันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร?

หลับๆ ตื่นๆ แล้วเมล็ดนั้น มันก็ออกมาเป็นต้นไม้ เขาเรียกว่าต้นแห่งความรอด

นี่เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าอย่างเดียว แล้วเฉยๆ รับข่าวประเสริฐไว้ แล้วรอ แค่นั้นเอง เมื่อเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้วยิ่งง่ายเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย พระคัมภีร์บอกอะไร? คนที่รักษาข่าวประเสริฐ จนกระทั่งได้เกิดใหม่ในวิญญาณ จนกระทั่งได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เป็นอย่างไร? ท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้แล้ว ท่านจะตื่นเต้นมาก

“ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเยซูบอกแล้วจริงๆ”

ในนี้พูดถึง “เรา” คือพูดถึงท่าน และผม และใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู รับข่าวดีพระเยซู จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโรม 8:31-39

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************