คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอนนี้ตอนที่ 3 แล้ว ใช้ชื่อตอนว่า “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ความหมายของความแตกต่าง เรื่องการเผยพระวจนะกับข่าวดี เรื่องพระเยซู สรุปง่ายๆ ก็คือคำเผยพระวจนะเป็นพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และได้ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน ยังไม่มีการเปิดเผย รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม จึงเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย ทางผู้เผยพระวจนะ ที่เรียกว่า “Prophet” หรือที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ นั่นคือแผนการ หรือข่าวดีที่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งที่เรียกกันว่า “คำเผยพระวจนะ” หรือเรียกว่า “คำบอกล่วงหน้า” ก็เกิดขึ้นจริง คือพระบุตร พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป ไม่ใช่ เพียงอิสราเอลเท่านั้น  แต่แทนมนุษยชาติทั้งปวง และ ณ เวลานั้น คำเผยพระวจนะหรือคำบอกล่วงหน้าที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ก็ถูกเรียกใหม่ว่าเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ เพราะว่าแผนการของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้าไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลายเป็นข่าวดี

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้ไปประกาศข่าวดีนี้ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ใครเชื่อในข่าวนี้ ก็ได้รับผลจากข่าวดีนี้ ได้รับสิทธิจากข่าวดีนี้ คือได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากโทษของความบาป และได้รับอะไรเยอะแยะตามสิทธิที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ หัวใจสำคัญของการประกาศข่าวดีนี้ ก็คือข่าวดีนี้ มันสำเร็จแล้วนั่นเอง Testelesti

แผนการที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป รอดจากความทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย มันสำเร็จแล้ว จบแล้ว นี่คือข่าวดี

แล้วทำไมเราต้องมาเรียนรู้กันเยอะแยะ ทำไมผมต้องมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็เพราะว่าด้วยเนื้อหนังของเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ความเคยชินของเรา ที่เราเป็นกันอยู่ ดำเนินชีวิตกันอยู่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ของเรา วัฒนธรรม ประเพณีเก่าๆ ที่เรา ดำเนินอยู่ตลอดมา ด้วยสำนึกในจิตใจเก่าๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งยังอยู่กับเรา สำนึกในจิตใจนี้ ที่หยั่งรากลึกมาถึงทุกวันนี้ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราว่าเราเป็นคนบาป มันจึงทำให้เราเชื่อเรื่องข่าวดีได้ยาก เชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐหรือข่าวดีนี้ ได้ยาก ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเป็นฤทธิ์เดช และเชื่อยาก มนุษย์ก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเพิ่มมากขึ้น เพื่อแลกกับความรอดที่ได้รับ แม้เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่ อยากจะลบมันบ้าง เพราะมันเคยชินกับจิตใต้สำนึกอย่างนี้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีจริงๆ ของพระเจ้า พระเยซู ปากก็บอกเชื่อ แต่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้น ผมจึงมาย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ เรื่องสำคัญและย้ำตามพระคัมภีร์เลย  พระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายฝากของอาจารย์ต่างๆ จะเน้นเรื่องนี้มาก ให้ความสำคัญมาก พระเยซูเองก็ประกาศ สอนเรื่องนี้ ในพระกิตติคุณหลายๆ เล่ม ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และสอนมนุษย์ด้วยตัวตนที่เป็นมนุษย์อยู่ พูดถึงเรื่องนี้เยอะเลย ยกตัวอย่างมากมายไปหมด บางคนคิดเอง ทำเองไม่พอ ไปสอนคนอื่นให้ทำอย่างนี้ด้วย

ผู้เชื่อใหม่บางคน เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า พอมาเจอการสอนแบบใหม่นี้ หมายถึงแบบที่เสริมเอง เติมเอง ก็เข้าใจว่าคริสเตียนต้องทำแบบนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อฟัง เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ เขาอยู่บนเวทีต้องให้เกียรติ ต้องเชื่อ ก็ทำตาม ทำตามไม่พอ ยังสอนลูกสอนหลาน สอนผู้เชื่อใหม่ต่อๆ ไปอีก มันก็เลยเป็นหางว่าวไปยาวเลย นี่แหละคือความสำคัญ ที่ผมพยายามมาพูดย้ำบ่อยๆ แล้วพยายามทำให้มันละเอียด ก็เพราะอย่างนี้แหละ สอนกันต่อๆ มา หนักเข้าๆ ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นความเข้าใจผิดในวงกว้าง หลายๆ คนก็เลยคิดว่าพอมาเป็น คริสเตียน มาเป็นผู้เชื่อแล้ว มีกฎบังคับเต็มไปหมด ข้อห้ามเยอะแยะทั้งสิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ห้ามทำ ใช่หรือไม่? ทุกคนคิดในใจอันนี้ต้องทำ อันนี้ห้ามทำ

ในขณะที่พระคัมภีร์บอกว่าให้เราประกาศข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ต่อๆ ไป พระเยซูเป็นผู้แรกที่ประกาศ บนโลกใบนี้เลยว่าสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนั้น มันจบแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ เป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ มนุษย์ได้รับการลบล้างบาปชั่วนิรันดร์แล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากนี้ มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตามพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้น แต่ผู้เชื่อหลายคน ก็ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ห้ามทำ” “ต้องทำ” ก็คือกฎนั่นแหละ พระเยซูบอกว่าเป็นอิสระแล้ว แล้วมันคืออะไร?

มีผู้เชื่อใหม่หลายคน พอต้องมาเจอการสอนแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ซึ่งในยุคนี้ พออึดอัดแล้ว ทำอย่างไร? ท่านก็กดไปทั้งไลน์ เฟสบุ๊ค พันธุ์ทิพย์ Google อยากรู้ว่าอะไรคือความจริง พออึดอัด ก็ต้องโพสต์ทั้งโซเซียนมีเดีย ตั้งกระทู้ เต็มไปหมด

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟังบางส่วนที่อ่านเจอมา และต่อไป ถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องนี้ให้มีหลักฐานตามถ้อยคำพระคัมภีร์ ยิ่งเจริญเติบโตในประเพณีวัฒนธรรม ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุสิ่งของที่มันเจริญ ยุ่งไปหมดเลย คราวนี้ ข้อห้ามคงจะเยอะขึ้น มาเป็นคริสเตียนตอนนี้อาจจะมี 500 ข้อ อีก 5 ปีผ่านไป เมื่อเราไปอยู่ดวงจันทร์แล้ว คงจะเพิ่มไปอีกประมาณ 3,000 ข้อ เพราะเราไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง จริงๆ ถ้าพื้นฐานถูกต้อง ไม่ว่ามันจผ่านไปอีกกี่ปี? มันก็ต้องเหมือนเดิม ตอนที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่นานๆ ไป เหลือครึ่งสำเร็จ

เรามาดูสิว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง? มันตรงกับใจเราไหม? มีโพสต์อันนี้บอกว่า …

“อาจารย์ที่โบสถ์สอนว่าห้ามทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพ แต่ไม่กล้าบอกที่บ้าน ทำอย่างไรดี?”

ที่บ้านเขายังไหว้อยู่ แล้วเราก็นั่งอยู่ เขาก็กินกัน แต่อาจารย์บอกว่า “อย่ากิน” เราก็เลยกินไม่กิน? สรุปแล้ว ไม่บอก? แล้วแต่

“เป็นคริสเตียน บางคนบอกกินปลาดุกได้ บางคนบอกกินไม่ได้ สรุปว่ากินได้ไหมครับ? ปลาดุกฟูนี้อร่อยมาก ผมชอบ ขอคำแนะนำด้วยครับ?”

ใครที่กำลังมีแฟน อ่านตรงนี้ให้ดีๆ

“ให้คำแนะนำด้วยค่ะ แฟนยังไม่เชื่อพระเจ้า วางแผนเตรียมแต่งงาน แต่มีหลายคนเตือนอย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ”

สะดุ้งโหยงเลย สรุปว่าแต่งไหม? ต่อไป

“เพื่อนๆ เรา ที่โบสถ์อื่น ต้องออกไปประกาศกันหรือเปล่าค่ะ บางอาทิตย์ทำงานเหนื่อยมาก แต่โดนตามตลอด บังคับให้ไปประกาศ การประกาศเกี่ยวกับความเชื่อ ความรอดไหมค่ะ?” คุ้นๆ ไหม?

“เป็นคริสเตียนเล่นน้ำสงกรานต์ ตามประเพณีไทยได้ไหม?”

“มีญาติจะบวช แม่ให้ไปร่วมงานที่วัดด้วย แต่พี่เลี้ยงที่โบสถ์บอกว่า “ห้ามไปเด็ดขาด” ทำอย่างไรดี?”

“เมื่อไรจึงจำเป็นต้องอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้าบ้าง?”  เมื่อไรครับ?

“การเฝ้าเดี่ยว เราควรใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละวัน”

เหล่านี้จะเป็นคำถามที่เราได้ยินหรือแม้กระทั่งตัวเราเองมีในใจบ่อยๆ ถ้าท่านเป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แล้วมีใครถามท่านส่วนตัว สมาชิกที่นี่ต้องตอบได้แล้ว รับรอง ผมเชื่อเลย  เพราะว่าได้เรียนรู้ไปบ้าง? เราจะตอบว่าอย่างไร? ใน 1 โครินธ์ 10:23 เป็นคำเฉลย

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

นี่คำตอบแล้ว ทำได้ไหม? ไม่รู้ มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าเป็นประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องทำ

พันธสัญญาเดิม คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป

ในสมัยพันธสัญญาเดิม มีบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามันยังไม่สำเร็จ ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ในพระคัมภีร์เดิมเขียนชัดเจนเลย ที่เรียกว่ากฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Testelesti (ทำสำเร็จแล้ว) ที่ไม้กางเขน ทำให้พันธสัญญาของพระเจ้า กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันนี้ ก็ถูกลบไปแล้ว ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเยซูได้ฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ และนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  คือบทบัญญัติต่างๆ ไม่มีผลต่อวิญญาณ ทางชีวิตของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งพระคุณ “พระคุณ” คือให้ฟรีๆ ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องลงแรงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันจึงเรียกว่าข่าวดี ท่านเคยเห็นโฆษณาไหม?

“วันนี้ฉลองเปิดที่ดูแลล้างรถใหม่ เพราะฉะนั้น อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ล้างรถฟรี”

นี้คือข่าวดี เขาเขียนว่าข่าวดี เบ้อเริ่มเลย “ล้างรถฟรี” เห็นไหมข่าวดี ในยุคแห่งพระคุณนี้ ไม่มีคำว่า “ต้อง” ไม่มีคำว่า “ห้าม” แต่มีคำว่า “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” หรือ “ไม่สมควรจะทำ”  ทำแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ทำแล้วเกิดการเสริมสร้างขึ้นหรือไม่? ถ้าทำในสิ่งควร เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่ส่งเสริมมันก็ทำให้เกิดสันติสุข เกิดความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดผลดี ก็ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่เรียกว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว แต่ถ้าทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดใหม่ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพิ่มขึ้นอีก ทั้งโลกตกลงไปในความบาป มันทุกข์ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่าทำ ไม่ดี ยังไปทำอีก เพิ่มความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด ในพระเยซูคริสต์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่ทั้งหลายทั้งปวง ความรอดทางวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้กับเรานั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำที่บอกสมควรหรือไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงบอกว่าไม่มีคำว่าต้องไง

ความรอดนิรันดร์ทางวิญญาณของมนุษยชาติ ได้รับจากความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  นั่นแหละ คือหัวใจแห่งความรอดในวิญญาณนิรันดร์ของเรา คือความเชื่อตรงนี้ อันเดียวเลย

ผมชอบไปเดินออกกำลังกาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ นิดหนึ่งก็ออกไปเดิน ออกกำลังกาย เพราะทำให้จิตใจสภาพดี เพราะว่าเวลาเราไปดูทุ่งนา ทุ่งหญ้า หรืออะไรกว้างๆ ใหญ่ๆ เราจะสามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้มากขึ้น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด วิญญาณพวกเราถูกสร้างโดยพระเจ้าจะชินกับสิ่งเหล่านี้ คือสวนใหญ่ๆ กว้างๆ ทุกประเทศ ทุกแห่ง นานมาแล้ว เป็นพันๆ ปีมาแล้ว สวนสาธารณะอะไร เป็นสิ่งที่มนุษย์ขวนขวายหามากที่สุด

เมื่อไปเดินออกกำลังกายในสถานที่แห่งหนึ่ง เขามีบึงใหญ่ มีต้นไม้ล้อมรอบ เขากักน้ำเอาไว้ เขาก็จะมีป้ายติดไว้ตรงบ่อน้ำ หลายท่านคงเคยเห็นบ่อยๆ ผมเห็น ก็สะดุดตา นึกถึงเรื่องนี้แหละ พอเรานึกถึงพระเจ้า เราก็จะมองอะไรเป็นเรื่องพระเจ้าหมด ป้ายใหญ่เลยนะ  บรรทัดแรก เขียนว่า “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “อย่าลงเล่นน้ำ”

ฟังให้ดีๆ “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่ง “อย่าลงเล่นน้ำ”  ผมอ่าน แล้วรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เรากำลังเรียนเรื่องข่าวดี ความสำเร็จที่พระเยซูทำ คำว่า “ห้าม” กับ “อย่า” ท่านคิดว่าเหมือนกันไหม? เพื่อจะได้เข้าไปในจิตใจลึกๆ ผมก็เดินๆ ไป แล้วก็คิด ไม่เหมือนนะ

คำว่า “ห้าม” แปลว่า “ทำไม่ได้” ใครฝ่าฝืน กระทำ มีความผิด ต้องถูกลงโทษ เช่น หากถูกตำรวจจับ ถูกปรับ

คำว่า “อย่า” หมายถึงไม่แนะนำให้ทำ หรือไม่ควรทำ แต่ถ้าเราจะฝ่าฝืนไปทำ ก็ไม่ได้เป็นความผิด ถึงขนาดต้องโดนลงโทษ แต่อาจจะมีผลร้ายต่อชีวิต หรือเสียประโยชน์ตัวเอง เช่น ป้ายบอกว่า “ห้ามตกปลา” ถ้าเราฝ่าฝืนเอาเบ็ดไปนั่งตกปลา เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกตำรวจมา อาจจะต้องเสียค่าปรับไป ปลาก็ไม่ได้เลย ยึดปลาเราคืน ยึดเบ็ดไปอีกต่างหาก แต่ป้ายที่เขียนว่า “อย่าว่ายน้ำ” ถ้าใครเกิดคะนอง โดดลงไปว่ายน้ำ เจ้าหน้าที่คงไม่ไปตามตำรวจมาจับ แต่เขาก็จะมาเรียกเรา

“ขึ้นมาเถิด เพราะน้ำมันสกปรก ตายไปหลายคนแล้ว ติดเชื้อ” สมมติ อย่างนี้ หรือ

“มันอันตราย เดี๋ยวจมน้ำตายหรอก ไม่ดี ขึ้นมาเถอะ”

แค่นั้นเอง แล้วเราก็ขึ้น ไม่มีอะไร ถูกไหม?

ผมพยายามพูดให้ท่านเห็นภาพ ความแตกต่างระหว่างกฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับกฎแห่งพระคุณมันคืออะไร?  พระคัมภีร์เดิม กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เป็นกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟันบอกว่าจะไปเฝ้าพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ เลือดแพะไปถวาย เพื่อชำระบาป ต้องเข้าพิธีสุหนัต ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทิน แล้วก็มีอีกหลายร้อย หลายพันข้อ ห้ามอีกเยอะแยะมากมายที่ต้องทำตาม แต่พอมาถึงยุคพระคุณ ในสมัยพระเยซู เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น  พูดง่ายๆ คืออันนี้อย่าทำ อันนี้ควรทำ

อันนี้ยกตัวอย่างแบบหินเลย สะดุดเยอะเลยเรื่องนี้ ยกไปถึงอดีต ในสมัยยุคหลังพระเยซู เป็นขึ้นจากความตายใหม่ๆ พึ่งจะประกาศ ข่าวประเสริฐนี้ เริ่มเข้า ประกาศที่คนยิวก่อนเลย

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ร้ายแรงของชาวยิวมาก คือเรื่องการเข้าสุหนัต การขลิบอวัยวะเพศชาย เพื่อทำพันธสัญญากับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าสั่งให้ทำตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ เป็นพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่สมัยพระเยซูนั่นเอง เล็งให้เห็นถึงเรื่องราวที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำ

พูดถึงเรื่องการเข้าสุหนัต ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ ในหนังสือกาลาเทีย ผมเอามาให้ท่านอ่าน ท่านจะเห็นภาพชัดๆ ลึกๆ และสามารถเอามาเทียบกับชีวิตของเราได้ คือผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ในยุคที่เรากำลังพูดถึงนี้  ได้รับการประกาศ โดยอาจารย์เปาโล  แล้วเขาก็เชื่อในข่าวดี แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน คนที่มาเชื่อพระเยซู ที่เป็นคริสเตียนแล้ว จากการประกาศของเปาโล ก็เชื่อในผู้นำ เปาโลก็เป็นยิว แต่ปรากฏว่าเปาโลมีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ พอเชื่อปุ๊บ สร้างฐานพอสมควรแล้ว อาจารย์เปาโลก็ลาไปเมืองอื่นๆ เพื่อจะประกาศต่อไป ก็ปล่อยให้ผู้นำยิวอื่นๆ และผู้นำคริสตจักรกลุ่มชน ดูแลกันเอง

ปรากฏว่ามีผู้นำยิว ที่ไม่ใช่เปาโลแล้วนะ ก็เริ่มเข้ามาสอนผู้เชื่อใหม่ แล้วผู้นำยิวเหล่านี้ ในสมัยนั้น แม้ว่าเขาจะเชื่อพระเยซู บางคนอายุถึงได้เห็นพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้  ทำอัศจรรย์ต่อหน้าเลย เห็น เขาก็เชื่อว่าข่าวดีนี้เป็นจริง แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออย่างมั่นใจ เพราะว่าเขายังคุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ ที่เขายังยึดติดอยู่ในพิธีเดิมทางความเชื่อของเขา ศาสนายิวของเขาอยู่  เขาก็เลยเชื่อว่าสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขนนั้นจริง แต่ยังจริงไม่ครบ เขาก็เลยสอน โดยแกมบังคับให้ผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลบอกเป็นอิสระแล้ว ไปสอนให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ต้องเข้าสุหนัต ตามบทบัญญัติเดิม ที่ชาวยิวเคยทำมาในอดีต ซึ่งเล็งถึงสิ่งที่พระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดี คนเหล่านี้บอกยังไม่สำเร็จ โดยไม่ได้พูดคำนี้  แต่พูดให้ไปทำส่วนนั้น ก็แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่สำเร็จนั่นเอง  อาจารย์เปาโลก็โมโหมากเลย ในกาลาเทีย 3:1-14

กาลาเทีย 3:1-14 “1 ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า ภาพพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน คือท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน 3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ! หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ! 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ! สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ! 5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน

6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” 9 ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัม บุรุษแห่งความเชื่อ 10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” 14 พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติ โดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

 

ดูสิ ความรัก จึงทำให้เกิดอารมณ์ แบบโกรธมาก

“ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย”

โอ้โห! ท่านอ่านทั้งฉบับนี้ จะรู้ว่านี่เปาโลรักเขาเหล่านี้มาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ ยกตัวอย่าง …

“คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน”

พูดง่ายๆ ก็คือ … “ท่านได้รับพระวิญญาณ ท่านได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ เป็น คริสเตียน โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยข่าวดีที่ผมเล่าให้ฟัง”

เปาโลกำลังบอก ก็คือโดยข่าวดีนั่นเอง

“ท่านโง่เขลาป่านนี้หรือ!”

หนักเลย หลังจากที่เริ่มต้นดีๆ ด้วยความเชื่อทางพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยความขวนขวายของมนุษย์หรือ! กลับมาทำเองอีกแล้วใช่ไหม? จะลบล้างบาปให้ตัวเองอีกแล้ว ดูสิ โมโหไหม?

“พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน ก็คือให้ท่านได้เกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย  และทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น คือทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ก็เพราะว่าท่านรักษาบทบัญญัติหรือ! หรือเพราะท่านเชื่อ (ในข่าวดี) ในสิ่งที่ท่านได้ยิน ที่ผมหรือเปาโลได้ประกาศออกไป”

เห็นไหม? ผมเลือกเอาเฉพาะที่มันๆ มานะ ที่ใช้อารมณ์นี้ คนต่างชาติ ก็คือคนไม่ใช่ยิว

“คนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่าทุกประชาชาติจะได้พรผ่านทางเจ้า คนทั้งปวงที่พึ่งการกระทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง และมีเขียนไว้ว่าขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

พูดง่ายๆ ว่า “ถ้าคุณดำเนินด้วยตัวเองตามธรรมบัญญัติ จะทำด้วยตัวเอง คุณต้องทำให้ตลอดรอดฝั่งนะ บัญญัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น แล้วมันไหวไหม? ทำได้ไหม?”

“ไม่ได้”

ไม่ได้ ก็ไปพึ่งพระเยซูสิ พูดง่ายๆ อย่างนั้น

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำแช่งสาปของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำแช่งสาป แทนเรา ซึ่งมีเขียนไว้ว่า … เนื่องจากพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะ พระเจ้าเล็งถึง บอกล่วงหน้าว่า ‘ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกสาปแช่งแล้ว’”

เล็งถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกสาปแช่งแทนเรา นี่คือการบอกล่วงหน้าในพระคัมภีร์เดิม ถูกสาปแช่ง เพื่อพระพรจะมาถึง โดยผ่านทางความเชื่อ เพื่อคนเหล่านั้น จะได้รับพระวิญญาณตามสัญญา

ได้รับพระวิญญาณ หมายถึงวิญญาณได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่าวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ได้บังเกิดใหม่ หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู นี่หมายถึงอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องพิธีเข้าสุหนัต และพิธีอื่นๆ แต่ผมยกเอาพิธีเข้าสุหนัตมา เดี๋ยวพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็จะพูดถึงตอนนี้ชัด เพราะว่าเรื่องนี้ เรื่องสำคัญ ถ้าพลาดไป ข่าวประเสริฐจะเบี้ยวไปเลย พอมาถึงเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อ ซึ่งจะเป็นผู้รับใช้อีกท่านหนึ่ง ชื่อว่าทิโมธี เด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกแกะ เป็นศิษย์เอกของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลคนเดียวกันกับที่ตะกี้นี้โกรธมากในเรื่องนี้

ทิโมธี เบื้องหลัง ก็คือมีแม่เป็นชาวยิว และพ่อเป็นชาวกรีก และเปาโลกำลังจะรวบรวมทีมไปรับใช้ด้วยกัน และจะเอาทิโมธีไปด้วย และอาจารย์เปาโลต้องการให้ชาวยิวร่วมมือกับอาจารย์เปาโล ยอมรับอาจารย์เปาโล เพื่อจะเอาข่าวประเสริฐไปประกาศให้กับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลไม่อยากให้มีการต่อต้านมากเกินกว่านี้ หรือทุกข์ลำบากเกินกว่าเท่าที่จำเป็น ได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 16:1-3  ผมอ่านให้ฟัง นึกภาพตามนะ

กิจการ 16:1-3 “1 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิว แต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3 เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้น เนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก”

 

เห็นแก่คนยิวเหล่านั้น ที่ความเชื่อเขายังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกทิโมธีไปเข้าสุหนัต  เห็นไหมครับว่ามันไม่มี คำว่า “ห้าม” ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่คำว่า “อิสระ ในพระเยซูคริสต์” เท่านั้น  มีอิสระในการทำว่าทำแล้ว เกิดผลดีหรือไม่ดี? เสริมสร้างหรือไม่เสริมสร้างเท่านั้น อยากจะทำอะไร? มีอิสระที่จะทำได้ แต่ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ เห็นไหม?  เปาโลรู้ว่า … ในหนังสือกาลาเทีย ตอนที่ผู้นำยิวมาใส่ความเชื่อผิดๆ ให้กับผู้เชื่อที่กาลาเทีย เปาโลโกรธจัด ไม่ได้ แล้วแรงถึงขนาดไหน?  อ่านไปตอนจบบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเกลียด (หมายถึงโมโห) คนเหล่านี้มาก ที่มาสอนให้พวกท่านเข้าสุหนัต พวกนี้ ไม่ใช่สมควรเข้าสุหนัตนะ แต่สมควรตัดทิ้งทั้งอันเลย เอาไปตอนซะเลย”

จริงๆ ในข้อสุดท้ายของกาลาเทีย โมโหมากเลย แต่พอมาถึงทิโมธีทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะแตกต่างกันด้วยวาระ แตกต่างกันด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เพราะฉะนั้น วันก่อนผมถึงถามไง ไปเช็งเม้งได้ไหม?  ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ไปคิดเองว่ามันเสริมสร้างไหม? จะเอาคนนี้มาใส่คนนี้ไม่ได้ เห็นอาจารย์นครยังทำอย่างนี้เลย เราไปทำบ้าง ไม่ใช่ ผมอาจจะต้องทำอย่างนั้น แต่ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้  แต่ทั้งหมดทำเพื่อเสริมสร้าง เป็นประโยชน์ เป็นความรักในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ท่านพอจะเห็นภาพไหม? มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ ทำแล้ว เป็นการเสริมสร้าง ส่งเสริม หรือทำแล้ว ให้เกิดการสะดุด ไม่มีเสริมสร้าง ทำให้หลักการเสีย นี่คือหลักการที่แท้จริง ในยุคพระคุณ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน  พระเยซูจึงบอกว่าทั้งหมดมันรวมกันมาเหลือข้อเดียวแล้ว ตอนที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว บทบัญญัติเยอะแยะเป็นหลายพันข้อ รวมกันเหลืออันเดียว คือความรัก

ความรัก คือการเสียสละ เห็นแก่คนอื่นก่อน ท่านทำอย่างนี้หรือไม่? ท่านไปวัดดู ถ้าท่านทำอย่างนี้ ท่านอยากจะทำอะไร ก็ทำไป ถ้าในใจท่านรู้ว่าท่านทำสิ่งนี้ เพื่อความรัก เพื่อผู้อื่นก่อน เป็นประโยชน์ ท่านก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น

พอพูดถึงเรื่องห้ามทำ ต้องทำ มันจำเป็นต้องคุยถึงเรื่องนี้ สำคัญ เรื่องนี้ ทำให้หลายคนตื่นเลย เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานที่สุด และเป็นเรื่องที่พูดถึงมากที่สุด มีกระทู้เยอะที่สุด ตั้งแต่เคยมีมา เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผู้คนมากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนตื่นเต้นที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนหลุดออกจากพระเจ้ามากที่สุด คือเรื่องเงินในกระเป๋า เอาล่ะสิ คนที่ไม่มีเงินสบาย คนมีเงิน …

“มาแล้ว มายุ่งกระเป๋าฉัน จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ อย่ามาพูดเรื่องกระเป๋าฉันนะ”

ถ้าเราไม่มีเงิน พูดไปเถอะ แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ …

“ศิษยาภิบาลพูด ต้องการเงินในกระเป๋าเราแล้วสิ”

ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการถวายสิบลด ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หายใจโล่งเลย ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งมันเลิกไปแล้วใช่ไหม? น่าจะดีใจ โอเค เรามาพูดถึงเรื่องถวายสิบลด กระทู้ที่อ่านเจอมีอย่างนี้นะครับ อาจจะโดนใจใครหลายคน มีผู้เชื่อ เขาถามมาว่า …

“ผมเพิ่งขายที่ดินไป พอศิษยาภิบาลทราบข่าว ก็มาคุยกับผมเรื่องให้ถวายสิบลดให้พระเจ้า พระเจ้าทรงทราบดีว่าผมขายไปได้เป็นเงินเท่าไร? สิบลดจะเป็นเงินจำนวนเท่าไร?”

“อย่าโกงพระเจ้า อย่าเหมือนอานาเนีย” อันนี้ศิษยาภิบาลขู่เขานะ

“‘อย่าเป็นเหมือนอานาเนียกับซับฟีราที่โกงพระเจ้าเรื่องนี้’ ทำให้ผมเครียดมาก ที่ดินที่ผมขายไป เพราะผมเอาเงินมาใช้หนี้ และตอนนี้ ใช้เงินกู้ไปซื้อ ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่เท่าไรเอง ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”

นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ไปอ่านดูเยอะแยะ ทุกข์ทรมานไหม?  นี่มันข่าวดีไหม ผมเชื่อพระเยซูต่อไปดีไหม?

ขอโทษทีที่อ่านขำไป ผมเชื่อทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้อยู่ เพราะฐานมันยุ่งไปหมดแล้ว ไม่รู้ฐานมันอยู่ตรงไหน? เราต้องหาทางให้เจอ

จริงๆ แล้วในเรื่องการถวายสิบลด คุยไปหลายครั้งแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่าการถวายสิบลด ไม่มีผลอะไร? เกี่ยวกับความรอด โดยความเชื่อของเราเลย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้นด้วย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลงด้วย วันนี้ ผมและพวกเราทุกคนที่นี่ ขอยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ อาเมน โอ๊ย! สบายแล้ว ไม่ต้องถวาย ดีใจจัง เป็นอิสระแล้ว ใช่หรือเปล่า? คนที่มีเงินใช่หรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ พระเจ้ารักเราทั้งหมดเหมือนกัน

เหมือนกัน แปลว่าอะไร? คนที่รู้สึกว่าคนอื่นมองว่าดี คนที่รู้สึกคนอื่นมองว่าไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกว่านิสัยไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกนิสัยดี คนนี้คนอื่นบอกว่าเป็นคนถวายเก่ง คนนี้คนอื่นบอกขี้เหนียว ไม่ค่อยถวาย พระเจ้ารักเท่ากัน

พระเจ้าบอกในกาลาเทีย 3:26 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์นี้ ของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เข้ามาอยู่ บัพติศมาในพระคริสต์ บัพติศมาเข้าในส่วนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระคริสต์แล้ว

กาลาเทีย 3:26 “ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายเป็นลูกๆ ของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อ” จบ

โดยความเชื่อ เป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว รักเท่ากันหมดเลย

ในยุคแห่งพระคุณนี้ การถวายสิบลด ไม่ใช่บทบัญญัติ ที่จะมาบังคับให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนต้องทำอีกต่อไป แต่ว่าเป็นการแนะนำ ฝึกฝน ให้ผู้เชื่อ คือประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้าทั้งหลาย รู้จักการให้ออกไป ด้วยความรัก มีใจชื่นชมยินดี เพื่อแนะนำให้บทเรียนในการดำเนินชีวิต ในโลกใบนี้ เพื่อจะดำเนินการบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข อยู่ด้วยความสงบสุข และทุกข์น้อยลง

ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ เพราะพระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทุกๆ คนแหละ เพราะโลกมันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป นี่เรื่องจริง แต่มาเป็น คริสเตียน มาเชื่อพระเยซูแล้วว่าพระองค์อยู่กับเรา  พระองค์ดูแลเรา นำพาชีวิตและสอนเราให้ดำเนินชีวิตอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราและคนอื่น เราก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น คนอื่นก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น นั่นแหละ พระเจ้าจะสอนเราทำ รวมทั้งการถวายสิบลดด้วย

เรามาดูในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้ และการถวายนี้อย่างไร? ชัดเจนมาก ใน 2 โครินธ์ 9:1-15

2 โครินธ์ 9:1-15 “1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้ เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ 2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่าตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลาย ได้กระตุ้นพวกเขา ส่วนใหญ่ให้ลงมือทำตาม แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้ จะไม่สูญเปล่า 3 แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่ สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอกไว้ 4 เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้า พบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เราเองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน 5 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องกำชับพี่น้องเหล่านั้น ให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวาง ตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลา ก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วยการฝืนใจ หว่านด้วยใจกว้างขวาง

6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่นิรันดร์ 10 บัดนี้ พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่าน ประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉางของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน

11 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกด้าน เพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า 12 การรับใช้ที่ท่านทำอยู่นี้ ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย 13 ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้  และเพราะการรับใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้า เนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่าน ซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขาและแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง 14 และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่าน ขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วยพระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน 15 ขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับของประทานอันสุดจะพรรณนาของพระองค์” เอเมน

 

ผมพูดถึงเรื่องถวายมาตลอดว่าไม่จำเป็นต้องถวายสิบลด หลายคนก็เข้าใจผิด คงนึกว่าผมคงไม่ทำ แต่ผมบอกท่านวันนี้เลยว่าผมทำมาก … มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าถวายสิบลด เพราะว่าผมรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นประโยชน์ มันง่ายกว่าการคิดว่ารายได้เข้ามา ถวาย 10% แต่ก่อนนี้ ตอนเข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถวายสิบลด เพราะเขาสั่งมา กลัวจริงๆ กลัวตามที่อ่าน แล้วหัวเราะไปด้วย นั่นคืออดีตของผม ที่บ้านก็จะอย่างนี้ เพราะว่ากลัว แต่ตอนหลังรู้แล้ว ยังรักษาไว้ ยังทำอยู่ ไม่กลัวแล้ว แต่ยังถวายสิบลดอยู่เหมือนกัน มันคิดง่ายดี ไม่รู้จะให้เท่าไร? เราตั้งหลักตามข้อพระคัมภีร์ตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าคิดหมายไว้ก่อน ตั้งแต่อยู่ในใจแล้วว่า …

“ถ้ารายได้เข้ามา ฉันจะตัดอันนี้เป็นค่าใช้จ่าย ตัดนี้เป็นค่ารถ ตัดนี้เป็นค่าน้ำ ตัดนี้เป็นค่ารักษาพยาบาล ตัดนี้เป็นสิบลด”

สิบลด แปลว่า 10% เราไม่ให้ได้ไหม? ได้ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ และก็ไม่เคยขาดเลย ที่ตั้งไว้ มันได้ทุกที และได้มากกว่าอีก เพราะเป็นการฝึกฝนไง  ถ้าให้ 10 ได้ ต่อไปก็ให้ 20, 30 ได้ ถ้าให้ 30 ได้ ก็ให้ 50 ได้ ถ้าให้ 50 ได้ ก็ให้ร้อยหนึ่งได้ เพราะมันไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ไม่ให้ แล้วมาให้ร้อย ไม่จริงแล้ว แสดงว่าข้างในต้องการกลับคืน ไม่ใช่วิธีนั้น แต่ก่อนนี้มาใหม่ๆ ยอมรับว่าเคยถวายสิบลด เพราะอยากได้กลับคืน เขาบอกว่าถวาย แล้วจะได้ 10 เท่า 100 เท่า 5 เท่า อะไรก็ว่ากันไป  อยากได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลย ในพระคัมภีร์เขาให้ความหวังเรา แต่ไม่ใช่ความหวังที่เราจะต้องมาเรียกคืนว่าจะต้องเป็นเท่านั้น ต้องอย่างนี้ พระเจ้าไม่ใช่ตู้ ATM นะ ใส่ไปเท่านี้  เด้งออกมาเท่านี้ ไม่ต้องทำมาหากินพอดี

ถ้าเข้าใจถึงความรักพื้นฐานข่าวดีของพระเจ้า จะเข้าใจตรงนี้ชัดๆ พระเจ้ารักเรามาก พยายามไม่แตะต้องเงินเราเลย รู้ว่าเรารักเงินมากเลย  ท่านจะมีเงินและมีพระเจ้าพร้อมๆ กันไม่ได้ พระเยซูบอกเลย เพราะรู้แตะเรื่องนี้ทีไร? มันแตะหัวใจของพวกเราทุกทีเลย …

“จะมาเอาอะไรกับฉันอีกล่ะ”

ในนี้บอกว่าให้เราเตรียมพร้อมในใจไว้ก่อน เรื่องที่เรากำลังพูดอยู่นี้  เกิดการกันดารที่เยรูซาเล็ม แล้วแถบนั้นอดอยาก จึงมาเรี่ยไรเงินจากที่นี่ไปช่วย … ช่วยทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ในนี้ถึงเรียกว่าเป็นบริจาค มันไม่มีสิบลด มันมีแต่ว่าท่านสามารถเอาคำนี้ แปลเป็นไทย แล้วเอาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตท่านว่าท่านเตรียมตัว เหมือนคนไปธนาคาร ต้องวางแผนล่วงหน้าในชีวิต ในการใช้เงินของเรา เราจะสะสมเงินไว้เท่าไร? กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้? เราจะใช้เงินเท่าไร? อันนี้เป็นประโยชน์ในการทำบัญชี ท่านว่ากี่เปอร์เซ็นต์ที่ท่านเตรียมไว้ในการรู้จักให้ออกไปฟรีๆ ให้ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นว่าจะได้อะไรกลับมา พระคัมภีร์ใช้คำว่าหว่านออกไป

“หว่านออกไป” คือท่านทำนา ปีนี้ทำมาได้ 30 ถัง ท่านคิดว่าจะกินสักกี่ถัง? เอาไปขายกี่ถัง? แล้วที่เหลือท่านต้องเตรียมเป็นเมล็ดเอาไว้หว่านในฤดูหน้า ไม่อย่างนั้น ท่านกินหมด ฤดูหน้า ท่านไม่มีหว่าน อดตายพอดี ธรรมชาติ ไม่เห็นมีอะไรเลย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ที่พระเจ้าสอนเรามากกว่า เห็นไหม? มันชัดๆ ง่ายๆ เอาไปใช้ได้หมดเลย เตรียมไว้สำหรับค่าพยาบาลกี่ตังค์? กี่เปอร์เซ็นต์? อย่าซี้ซั่วใช้ อันนี้ใช้สุรุ่ยสุร่ายได้กี่เปอร์เซ็นต์? มันเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องฝึกฝนในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นผู้เชื่อจริงไหม? ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีจริงๆ ท่านต้องรู้จักการให้ออกไป  ไม่ใช่ไม่มีสักเปอร์เซ็นต์เลย ยังเป็นหนี้อยู่ จะมาเอาอะไรกับฉัน ท่านก็อยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ท่านไม่ได้เชื่อจริงแล้ว ถ้าเชื่อจริง ท่านต้องไม่ขาด ต้องมีเหลือให้ด้วย เพราะมันเป็นเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นคำแนะนำจากพระเจ้า เป็นเปอร์เซ็นต์นะลูก เราได้มา 10 บาท 10% ของ 10 บาท มันบาทเดียวนะ ท่านให้บาทหนึ่งกับคนให้ 10 ล้าน มีเงิน 100 ล้านเท่ากัน ไม่มีใครดีกว่าใคร? แต่พระเจ้าต้องการให้ได้รับสิ่งดีๆ ในนี้บอกว่า …

“และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่าง ที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา เพราะท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

ไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ทุกอย่าง เพื่อเอามาทำดีต่อไป  ถ้าเราเรียนรู้ลึกซึ้งไป พระเจ้านำเราไปเรื่อย เราเชื่ออย่างเดียวได้ผลออกมาอย่างนี้ทุกคน เราคอยคิดโน่น คิดนี่ มันจะไปไหน? พระเจ้าไม่ได้ต้องการเงินจากเรา พระเจ้าต้องการให้เราดีที่สุด  แต่กลัวว่าเงินมันจะทำร้ายชีวิตเรา กลัวว่าเงินจะทำอันตรายความเชื่อเรา จึงต้องค่อยๆ สอนเรา ค่อยๆ ฝึกเรา ไปทีละนิดที่ละหน่อย เพราะฉะนั้นวันนี้ เข้าใจแล้วนะ

ผมพูดอยู่เสมอ พอพูดถึงเรื่องสิบลด ก็จะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องถวายก็ได้ โฮลี่ส์เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเคยคุยกันอยู่ตลอด ถ้าไม่มีใครถวายเลย เราก็เลิก ไม่มีเงินแล้ว ไม่มีอะไร? ไม่ยากเลย  ถ้าไม่มีเงินดูแลสถานที่แล้ว ก็เลิกสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าจริง พระเจ้าต้องดูแลสิ  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา คำว่า “เกี่ยวอะไรกับเรา” หมายถึงยังต้องให้ เพื่อฝึกฝนตัวเราเอง เข้าใจใช่ไหมครับ? แต่มันมาเกี่ยวอะไรกับเรา ทำไมต้องให้คริสตจักรมีเงินเยอะๆ เข้ามา เพื่อเราจะอยู่ได้  ถ้าพระเจ้าให้อยู่ มันก็จะอยู่เอง ถูกไหม? เราเอาความถูกต้องดีกว่า อะไรที่มันถูก เราก็บอกว่าถูก อะไรที่เป็นประโยชน์ เราก็บอกเป็นประโยชน์ เหมือนพระคัมภีร์พูดเดี๋ยวนี้ ในเรื่องนี้ เรื่องการถวายนี้

อีก 4 ปี เราจะหมดสัญญา เราก็ต้องเตรียมสถานที่ใหม่ พระเจ้าไม่ได้โยนเงินมาจากข้างบนหรอก พระเจ้าก็จะใช้ทั้งโลก เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่ ก็ไม่มีเงินอย่างนี้แหละ  ในที่สุด มันก็มีมาจนได้ แล้วก็ใช้คนที่พร้อม เพราะที่นี่ไม่เคยสอนผิดจากหลักพระคัมภีร์ กล้ายืนยัน โดยเฉพาะเรื่องนี้  ไม่เคยบังคับว่าให้คนต้องให้ๆ บอกเสมอว่าอย่าให้นะ ถ้าฝืนใจ ไม่ต้องให้ ไม่ต้องถวายสิบลดก็ได้ แต่ให้ท่านไปคิดดูว่ามันฝึกฝนไหม? มันฝึกฝนชีวิตเราหรือเปล่า?  อะไรอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เที่ยวนี้ก็เหมือนกัน อีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ทุกอย่าง แต่มิใช่หมายถึงพวกเราจะไม่มีหน้าที่ตรงนี้

ผมเป็นศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอนในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ต้องการอยากจะได้เงินจากพวกท่าน พูดกลับไปกลับมา พูดถึงเรื่องนี้ พูดยากนะ พูดเรื่องอื่นสนุกสนาน พูดเรื่อง ก็ไม่สนุกเลย  นานๆ ถึงพูดที ไม่อยากจะพูด ไม่พูดก็ไม่ได้  พอไม่พูด ก็เหมือนไม่บอกทางสว่างให้กับท่าน มีทางที่ท่านจะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่อยากจะพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้ ก็กลายเป็นไปทำให้เขาโลภ มันไม่ใช่ มันคือตรงกลาง เข้าใจไหม? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมก็ไม่เข้าใจ มันวนไปวนมา สมมติผมจะบอกว่าเมื่อ 16 ปีที่แล้ว มีคนได้พรตามนี้ จากความเชื่ออย่างนี้ ร่วมกันก่อสร้างตรงนี้มาตลอด และได้พรตามนี้เป๊ะเลย  และตอนนี้ ท่านฝึกฝน ท่านรู้จักให้ออกไป ท่านก็จะได้พรจากนี้ต่อไป อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะมีสถานที่ใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่ตรงพรในโลกใบนี้นะ ไม่ใช่ไปสวรรค์แล้วมันได้ ไปสวรรค์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในโลกใบนี้  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข ความสงบสุข และพระเจ้าสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือทุกอย่าง เพื่อการดีต่อๆ ไป เยอะแยะมากมาย เหมือนที่เขาเขียนไว้ว่า …

“เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์”

ผมอยากให้ท่านได้ตรงนี้ ก็เลยมาหนุนใจท่าน ฝึกให้ออกไปบ้าง กลับมาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมศิษยาภิบาลพูดลำบาก ยากไหม? ไม่พูดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องพูด ผมพูดเสมอๆ ตลอดมาว่าไม่จำเป็นต้องถวาย ให้ไปฝึกฝน ตรงนี้มันคือพร มันไม่ใช่ได้เงินกลับมาอย่างเดียว มันได้ทุกอย่างเลย  ในนี้บอกทุกอย่าง

“พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการ อย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา”

เวลารถท่านตายกลางถนน บนทางแยก ทางด่วน ไม่มีใครจะทำให้ ก็จะมีคนไปดูแลท่าน เอเมน ยกตัวอย่างให้ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่น ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หมายถึงอย่างนั้น  แต่ตอนเราให้ เราไม่ได้หวังตรงนี้ เข้าใจไหม? พูดยากอีกแล้ว เราไม่ได้หวังว่าเราให้ออกไป แล้วเราจะได้ตรงนี้ ไม่ใช่ ให้วันนี้ไป

“พระเจ้าบอกว่าจะให้ ไม่เห็นให้สักที ไหนล่ะ วันนี้ต้องมานั่งเข็นรถ ไหนล่ะ รถพิเศษที่บอกว่าจะเตรียมมา ไม่เห็นมาเลย”

ไม่ใช่ มันอธิบายยากใช่ไหม? สรุปแล้ว มันไม่เข้าใจหรอก ท่านเชื่อไหม? อย่างนี้ดีกว่า ท่านทำตามพระคัมภีร์นี้ว่าฝึกฝน รู้จักให้ ผมจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด ให้อย่างไม่ได้คิดอะไรเลย มือซ้ายให้ มือขวาไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านให้อะไรเท่าไร?  ไม่ต้องบอกเลยว่าให้อะไรเท่าไร? ไม่ต้องใส่ชื่อฉัน กรุณาอย่าใส่ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องออกบิลก็ได้ ออกบิลดีแล้ว ให้ตามหน้าที่เขา จะได้ลงบัญชีเอาไว้ อะไรอย่างนี้

คือผมอยากจะอธิบายให้ท่านฟังว่าสิ่งนี้เป็นพระพรมากมาย ไม่ใช่เป็นการเรียนอย่างเดียว เพราะว่าผมฝึกฝนปฏิบัติตามมา 30 ปีแล้ว โง่ๆ เซ่อๆ เรื่องข่าวดี ทำตามเขาไป ผิดๆ ถูกๆ แก้ไขความเชื่อไปเรื่อยๆ  แต่ยังปฏิบัติตามเหมือนเดิมตลอดๆ  และผมเชื่อว่าข่าวดีนี้  มันไปถึงลูกหลานเหลนโหลนของผม ไปบอกคนอื่นๆ ต่อๆ ไป มันก็เป็นไปตามพระคัมภีร์ตรงนี้เลยว่าเราได้เป็นพระพรด้วย เกิดการขอบคุณพระเจ้าขึ้น เกิดการสรรเสริญพระเจ้าขึ้น ข่าวดีนี้ถูกประกาศออกไป เราได้ทำสิ่งที่ดีๆ น้ำท่วม คนเกิดลำบากยากจน เราก็เข้าไปช่วยได้ เพราะว่าเขามี ถามว่าเขามี เพราะอะไร? เพราะว่าเขาเก็บเมล็ดไว้ สำหรับหว่าน พอเราหว่านปุ๊บ พระเจ้าก็อวยพรให้ต้นไม้เจริญเติบโต เราก็เก็บเกี่ยวไปอีก เราก็หว่านออกไปอีก เอเมน

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือเราเป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้ออะไรที่ให้เราต้องอันนั้น ต้องอันนี้ แต่พระองค์แนะนำในสิ่งที่ดีๆ เราควรจะทำตาม และสิ่งเดียว สำหรับลูกของพระเจ้า ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีข้อห้ามเพียงข้อเดียวเอง ซึ่งจะสอนตอนต่อไป แต่วันนี้ ให้เป็นกระสายนิดหนึ่ง

ข้อห้ามเพียงข้อเดียว คือห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีของพระเยซูเด็ดขาด เพราะเมื่อไรท่านทิ้งข่าวดี ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู เหยียบย่ำพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่บริสุทธิ์สะอาดว่าไม่มีค่า ก็คือเข้าพิธีสุหนัต หรือทำพิธีอะไรต่างๆ ด้วยใจท่านรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ ท่านทำ เพราะว่าท่านกลัวว่าท่านไม่รอด นั่นแหละคือค่อยมาเรียนต่อครั้งหน้าว่าพระคัมภีร์พูดตรงไหน?  ถึงเรื่องนี้ว่าห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีนี้ เด็ดขาด รักษาไว้เป็นของท่าน ห้ามปฏิเสธข่าวดีของพระเยซู และที่เหลือมีเต็มไปหมด  ควรทำตามไหม? ควรทำตาม เพราะมันเป็นประโยชน์ เสริมสร้าง พระคัมภีร์จะสอนเรา ยกตัวอย่างเช่น อย่าโลภ  อย่ามีรูปเคารพ  อย่าโกรธ  อย่าเกลียด  อย่าอาฆาต  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศ  อย่าโกง  อย่าเห็นแก่ตัว  อย่าเล่นไสยศาสตร์  อย่าเล่นคาถาอาคม  อย่าโกหก  อย่าหลอกลวง   และอย่า … อื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดเลย  ที่พระเจ้าสอนท่าน  พอท่านรู้ว่าอย่า ก็อย่าไปทำ หรือพยายามให้น้อยลงๆ ทำเมื่อไร ก็เจ็บตัวเมื่อนั้น  ก็เขาบอกอย่าแล้วไง ดังนั้น จงทำสิ่งที่พระวิญญาณ หรือสติปัญญาท่าน หรือในพระคัมภีร์บอกว่าดี ก็ทำตามนั่นแหละ เพื่อชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ จะได้ถวายเกียรติพระเจ้า แล้วมันมีแต่สันติสุข มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น  วางใจในพระเจ้านะ และทำสิ่งที่ดีเหล่านี้  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************