คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อเรื่องว่า “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” และครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้แล้ว จากรากศัพท์ของคำว่า “ผู้เผยพระวจนะ” แปลมาจากภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ก็คือ “Prophet” …

“Pro” แปลว่า “เบื้องหน้า”

ส่วน “Phet” มาจากคำภาษากรีก ที่แปลว่า “พูด” หรือ “กล่าวออกไป”

รวมความแล้ว “Prophet” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็หมายถึง “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า หรือในอนาคต”

เรารู้แล้วว่าผู้เผยพระวจนะ คือใคร? แปลว่าอะไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ซึ่งการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์ จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เกือบทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะ มีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาถือกำเนิด และเรื่องราวการเผยพระวจนะทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อ่านตรงนั้น แล้วเล็งถึงหรือไม่เล็งถึง แต่พระคัมภีร์เล็งไปถึงพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องนางรูธ ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องโมเสส ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เรียนรู้ถึงหรือไม่ถึง ทั้งหมดนั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องราวคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้า พอมาถึงพระเยซูคริสต์ จึงกลายเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ ได้รับการประกาศกันต่อๆ มาว่าที่พระเจ้าวางแผนไว้ เมื่ออดีต ตั้งนานมาแล้ว บัดนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น  จึงสามารถพูดว่าข่าวดี แห่งความสำเร็จ มันสำเร็จแล้ว ถึงเป็นข่าวดี ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ต้องลุ้นต่อไป มันยังไม่ดีจริง แต่สำเร็จแล้ว มันคือข่าวดี

การประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ของพระเจ้า ก็คือเรื่องของสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ล่วงหน้าสำเร็จแล้ว นี่คือข่าวดี ได้ถูกประกาศมาตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว ประมาณนั้น

และเรื่องราวเล่านั้น ที่กำลังพูดถึง ก็คือพันธสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง โดยจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้รับมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวา เอาความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน เนื่องจากคำสาปแช่ง ซึ่งเป็นผลจากการทำบาป ต่อต้านพระเจ้า หนีพระเจ้าไป ไปอยู่ใต้หรือไปเชื่อฟังมาร มนุษย์ตั้งแต่นั้นมา ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก

คำสัญญาของพระเจ้า ก็คือจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ด้วยการทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน รับโทษบาปทั้งหมด แทนมนุษยชาติ

นี่คือเรื่องราวที่มีการเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราเรียกกันว่าภาคพันธสัญญาเดิม คือสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คำว่า “เดิม” คำว่า “ใหม่” แบ่งกันตรงที่พระเยซูเกิดหรือยัง? ถ้าพระเยซูคริสต์ยังไม่เกิด เรียกว่าพันธสัญญาเดิม …

เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาช่วยให้รอด เดิมบอกว่าพระองค์เตรียมแผนการนี้ ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป และหลังจากการเผยพระวจนะ ผ่านไป เป็นเวลาหลายๆ พันปี ก็ถึงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ และมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ด้วย  รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ ทำแผนการของพระเจ้าที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ที่สัญญาไว้ล่วงหน้านั้น สำเร็จ ณ เวลานั้น สิ่งที่เคยถูกเรียกว่าการเผยพระวจนะ หรือการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็ถูกเรียกใหม่ว่าข่าวดี

นี่คือการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ พระคัมภีร์เดิมสัญญาไว้ว่าอย่างนี้ๆ เรียกว่าพระคัมภีร์เดิม พอพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมาทำให้สำเร็จ จากการบอกล่วงหน้า จึงกลายเป็นสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” เราทุกคนต้องอยู่ในคำนี้เยอะ จนตลอดชีวิตของเรา ไปชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไปถึงนิรันดร์เลย ต้องจำให้ได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ “สำเร็จแล้ว”  ภาษากรีกพูดว่า “Testelesti”

โรม 1:1-4 อาจารย์เปาโล ก็คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เหมือนเราอย่างนี้  อยู่ในยุคก่อนเรา เกือบ 2,000 ปี ก็ได้พูดอย่างนี้แหละ

โรม 1:1-4 “1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และทรงแยกไว้ เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2 คือข่าวประเสริฐซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 3 ข่าวประเสริฐนั้น เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด 4 และผู้ซึ่งโดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศ ด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ มาจากคำว่าไบเบิ้ล … ไบเบิ้ล แปลว่า book … book แปลว่าหนังสือ … หนังสือที่บันทึกไว้ Holy แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าใช้เขาบันทึก ตามพระองค์บอก เขาถึงเรียกว่า Holy ศักดิ์สิทธิ์ เขาหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกเรื่องราวข่าวประเสริฐนี้ เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แต่ปิดบังไว้ก่อน เป็นแผนการลับ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผย รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ให้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร?

แค่พูดคำว่า “เป็นแผนการ หรือสัญญาที่พระองค์ทรงเตรียมล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก”

ท่านเข้าใจไหม ก่อนสร้างโลก ไม่เข้าใจ เรามีหน้าที่เชื่ออย่างเดียว เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจเองแหละ วันไหน? วันที่เราอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นวันหนึ่ง ที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้ เปาโลบอกว่าวันที่เราจากโลกนี้ไป เราจะรู้ ในสิ่งที่เราอยากจะรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย คือวันที่เราไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้านั่นเอง ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว

พระเจ้าค่อยๆ สำแดงและเปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เพื่อจะได้เล้าโลมจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย ก่อนช่วงที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มันไม่มีความหวังอะไรเลย มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาปทั้งสิ้น และอยู่ภายใต้ความกลัวการถูกลงโทษในใจลึกๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระเจ้าจึงค่อยๆ เปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ แผนการของพระองค์ ให้มีความหวังใจว่าสักวันหนึ่ง วันหนึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาของเรา อาจจะไปถึงลูกหลานของเรา หรือเหลนของเราก็ได้ วันหนึ่งข้างหน้า ความบาปผิดเหล่านี้ ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ มันจะได้รับการชำระ ได้รับการไถ่ เราจะหลุดพ้นเสียทีหนึ่ง เราจะหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง ต้องมีสักวันหนึ่ง พระเจ้าต้องการอย่างนี้ และเพื่อให้มนุษย์ใจจดใจจ่อในสิ่งเหล่านี้ และเมื่อวันที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาจะได้รู้ว่าเป็นพระเจ้าแน่ๆ เพราะพระองค์บอกล่วงหน้ามาแล้ว  โรม 16:25-26 บันทึกเรื่องนี้ไว้

โรม 16:25-26 “25 บัดนี้ แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่น โดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้า และการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการทรงสำแดงข้อล้ำลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 26 แต่บัดนี้ ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกัน ผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะ ตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์”

 

เห็นไหม? เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้น ปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจ และเชื่อฟังพระองค์ในข่าวประเสริฐนี้ จากพระสัญญาของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แผนการลับ ที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากคำสาปแช่ง ถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่ง แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปจริงๆ ซึ่งแต่เดิมเคยถูกปิดบังไว้ เรียกว่าเป็นแผนการลับ จนมาถึงได้รับการเปิดเผยผ่านทางผู้เผยพระวจนะทีละนิดทีละหน่อย จนมาถึงการเกิดขึ้นจริงๆ ในวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต จากนั้นเป็นต้นมา พันธสัญญาหรือคำเผยพระวจนะเหล่านี้ จึงกลายเป็นข่าวดี ให้เราทั้งหลายประกาศออกไปว่ามันสำเร็จแล้ว ประกาศไปจนกระทั่งสุดปลายแผ่นดินโลก

พระเยซูทรงประกาศข่าวดีนี้เป็นคนแรก ที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ตอนบ่าย 3 โมง  พระเยซูก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงประกาศดังลั่นในใจ แต่ปากอาจจะพูดเบาๆ เพราะว่าทรมานมาก หายใจไม่ออกแล้ว จะยกเลิกวิญญาณตัวเอง

พระองค์บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” บันทึกไว้เป็นภาษากรีกว่า “Testelesti”  ทุกอย่างจ่ายเรียบร้อยแล้ว ที่วางแผนมาทั้งหมด ตั้งหลายพันปี จบแล้ว บาปเวรกรรมของมนุษย์ได้ถูกชดใช้เรียบร้อยแล้ว จงประกาศตามพระเยซู พระองค์ประกาศอย่างไร? ท่านก็ไปประกาศอย่างนั้นแหละ ประกาศตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้สัญญาไว้ล่วงหน้าว่าเป็นบัญชา คือเป็นคำสั่ง เป็นคำพูดของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมว่าเมื่อถึงเวลามันจะต้องเกิดขึ้นตามนั้น ฉันจะช่วยลูกฉันกลับมาใหม่

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงต้องยึดหลักถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งสอง คือทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ให้มันตรงกัน เป็นแนวทางสำคัญในการประกาศข่าวดีว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทุกแห่งทุกหน ไม่มีที่สิ้นสุดของความจริงนี้ คือพระคัมภีร์เดิม ยืนยันด้วยพระคัมภีร์ใหม่ พูดพระคัมภีร์ใหม่ก่อน ยืนยันด้วยพระคัมภีร์เดิมว่า …

“ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ถูกลบหายไป จนกว่ามัน จะเกิดขึ้น”

จุดๆ หนึ่ง คือแม้พระเยซูต้องนั่งลาที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีใครเคยขี่เลย เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็ยังถูกบันทึกเอาไว้ก่อน บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปอ่านดู จะบอกโดยผู้เผยพระวจนะเขียนไว้ว่าพระเมสโปดก พระเจ้าจะเข้ามา หมายถึงพระเยซู ท่านคิดดูสิ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นไปตามพันธสัญญา เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้าของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าพูดผ่านเขาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ ฮาเลลูยา เห็นความยิ่งใหญ่ไหม?

เพราะฉะนั้น การประกาศข่าวดี ท่านต้องเห็นทั้งสองอันเลย  ก็จะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์ อ่านพระคัมภีร์เดิมนึกไม่ออกว่าตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่รู้ในใจว่ามันเล็งถึงใคร? ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องพระเยซู ตอนที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เกี่ยวข้องหมดแหละ ฉันมีหน้าที่รู้แค่นี้ ไม่ ต้องรู้หมด อันไหนรู้ ก็รู้  ไม่รู้ ก็สรุปว่าเป็นไปตามนี้ เอเมน นี่คือหลักการที่เราจะไปประกาศข่าวดี นี่คือความจริงที่เราจะเป็นผู้สืบสาน พูดให้ลูกหลาน เหลน โหลนของเราภายภาคหน้า

ปัญหาของการประกาศข่าวดี คือมนุษย์มักจะใช้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในใจ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อเก่าๆ ความรู้เก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ การฟ้องผิดเก่าๆ ในชีวิตเดิม ความเคยชินกับการฟ้องผิดในใจว่าตนเองเป็นคนบาป มีมลทิน ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ และอยู่ในร่างกายใช้คำว่าเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาป อยู่ภายใต้การกระตุ้นของร่างกาย ความคิดจิตใจที่เป็นทาสของความบาป เป็นเชื้อบาปในตัวเองอยู่ มักจะไปเอาตรงนี้ มาใส่ลงไปในการประกาศข่าวดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในใจลึกๆ จิตใต้สำนึกก็คอยที่จะฟ้องว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก มันฟ้องตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็มักจะใช้ความรู้สึกเคยชินนี้ ในการเข้ามามีความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า เมื่อมารู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักก็ตาม แทนที่จะใช้สิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า คือถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ที่เป็นความจริง ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ว่าพระคัมภีร์เดิม หรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว มาเป็นบรรทัดฐาน มาเป็นรากฐาน มาเป็นกรอบในการประกาศข่าวดีในชีวิตของตนเอง

พระคัมภีร์บอกว่าอะไรที่พระเจ้าบัญชาไว้ แผนการของพระองค์ที่ได้วางไว้ ที่พระเจ้าได้บันทึกไว้เป็นอย่างไร? พระเยซูได้มาทำทั้งหมด สำเร็จแล้ว ก็ให้เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ใครจะถามว่า …

“เป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า?”

ไม่ค่อยกล้าพูด เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าสะอาดพอจะเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็ควรจะเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามมองเห็น หรือด้วยความเข้าใจแบบมนุษย์ หรือใช้ความรู้สึกเอา คริสเตียนที่แท้จริง ต้องไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่นี่ ไม่มีคำว่า “รู้สึก” ต้องมีแต่ “ฉันรู้” “ฉันเชื่อ”

“วันนี้ ฉันรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวที่นี่” ถูกหรือผิด?  คิดเอาเอง

“วันนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”  ถูกหรือผิด?  ผิด

“ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากเลย” ถูกหรือผิด?  ผิด

เห็นไหม ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง” ถูกหรือผิด?

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างลึกซึ้งมาก ขนลุกไปหมด”  ถูกหรือผิด? แล้วทำไมทำล่ะ

“ฉันรู้สึกว่านมัสการเมื่อเช้านี้ อินมากๆ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วยวันนี้มากกว่าเมื่อวานนี้อีก มากกว่าสัปดาห์ที่แล้ว” ถูกหรือผิด?

ต่อให้ท่านวันนี้ ตื่นไม่ทัน ต่อให้เมื่อตะกี้นี้รถตัดหน้า ต่อให้รอรถเมล์อยู่ รถเมล์ลงไปในโคลน กระเด็นขึ้นมาสาดท่าน ท่านเข้ามาที่นี่ตัวเปรอะโคลน เลอะมาก ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห นั่งลงไปปุ๊บ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม? แถมเล่นเพลงไม่ชอบอีก พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม?  เห็นไหม? โดยความรู้สึกหรือความเชื่อ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์แล้ว เอเมน นี่หมายถึงอย่างนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

บางครั้งที่เรารู้สึกว่าดี เมื่อได้ยินคนพูดถึง หรืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า โดยใช้เนื้อหนังของเขาอธิบาย บางครั้งเรารู้สึกดี เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้ ตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็เพราะว่าเรากับเขาคนนั้น ต่างคนต่างเป็นคนบาปเหมือนกัน มีเนื้อหนัง มีความรู้สึกฟ้องผิดเช่นเดียวกัน และเรารู้สึกว่ามันสบายใจขึ้นจัง เมื่อได้รับการปลดปล่อยในจิตใจ แล้วก็คิดเอาเองว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการมั้ง เพราะมันได้ผล มันโล่งเลยวันนี้

เช่น เวลาเจ็บป่วย แล้วก็คิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะไปทำผิดอะไรมา แล้วก็มีคนอธิษฐานให้ว่า …

“ขอพระเจ้าทรงเมตตา อภัยในความบาปผิดของเขาทั้งหลายที่ได้กระทำมา รักษาเขาให้หายด้วยเถิด”

เรารู้สึกสบายใจเลย แล้วก็ว่านี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ถูกหรือไม่ถูก? ที่ถามนี้ คือท่านจะรู้สึกอย่างนั้นจริงไหม?  มันปลดปล่อยเลย  แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกอยู่แล้วว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษ บาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้นแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคต และไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ นี่คือสำเร็จแล้ว ข่าวดีที่พระเยซูบอก แทนที่จะเชื่อพระเยซู เชื่อคนนี้ที่อธิษฐานให้เราดีกว่า เพราะเรารู้สึกสบาย รู้สึกได้รับการปลดปล่อย เขามาอธิษฐานให้ แต่มันผิด ก็คือผิด เพราะเราใช้ความรู้สึกในการรับรู้ เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นตัวบรรทัดฐานว่าจริงไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าท่านเข้ามาในโบสถ์ ท่านรู้สึกว่าวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น การที่เราทำตามเนื้อหนัง ความรู้สึกนึกคิดแบบเนื้อหนัง ตามความเคยชินเก่าๆ ทำตามความเชื่อเก่าๆ จากแรงกระตุ้น เนื่องจากบาปในเนื้อหนังของเรา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการปฏิเสธพระเยซู โดยเราไม่รู้ตัวก็ได้ เรากำลังบอกพระเยซูว่าไม่สำเร็จหรอก ถ้าสำเร็จจริง เราจะมาพอใจในการที่เขาอธิษฐานให้เราว่าเราไปทำบาปอะไรมา เราถึงได้รับการเจ็บป่วย เพราะเราไปทำผิดมา มันไม่ใช่ ถ้าเราเชื่อเขา เราก็ปฏิเสธพระเยซู ถ้าเราเชื่อพระเยซู เราก็ไม่เชื่อเขา

บางคนเห็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิดป่วย แล้วก็คิดเอาเองว่าคงไปทำอะไรมา ที่เป็นการผิดต่อพระเจ้า หรือทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ก็เลยลงโทษให้สุขภาพเสื่อมโทรม แล้วก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ และด้วยความปรารถนาที่ดี ที่เขาเรียกว่าความหวังดีที่โลกไม่ต้องการ ความปรารถนาดีอย่างจริงใจเลย ก็พยายามมาร่วมกันอธิษฐาน เป็นหมู่ใหญ่เลย อธิษฐานโต้รุ่งช่วยกัน

“ขอพระเจ้าโปรดเมตตาความผิดใดๆ ที่เพื่อนกระทำลงไป ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการ ขอทรงโปรดยกโทษให้เขา อย่าไปลงโทษเขาเลย” อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันถูกตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

คราวนี้เรามาดูว่าถ้อยคำพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งความสำเร็จแล้วของพระเยซูเป็นอย่างไร? ว่ากันตามจริง ตามหลักพระคัมภีร์เลยนะ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง คือไม่เชื่อในข่าวดี ต่อต้านพระเยซู เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซู ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว เหมือนชาวยิวในอดีต ที่คุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ และนำสิ่ง ที่พระเจ้าได้สั่งให้ทำไว้ในอดีต มาใช้ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า ในยุคหลัง จากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คือกำลังบอกว่าพระเยซูทำไม่สำเร็จ เราเลยต้องทำต่อไง เช่น  สมัยพันธสัญญาเดิม ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ไปถวาย เรียกว่าสัตวบูชา เพื่อปกคลุมบาปของตนเอง แล้วค่อยเข้าไปบัลลังก์ของพระเจ้าได้ แต่หลังจากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว ทุกเวลา ทุกเมื่อ ด้วยโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยโลหิตของสัตว์อีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ด้วยความคิดแบบเก่าๆ ตามเนื้อหนังของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอีกหน่อย น่าจะต้องมีพิธีการอะไรสักหน่อยหนึ่งนะ ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้าสัตวบูชาสักหน่อยดีไหม? เวลาจะติดต่อกับพระเจ้า ขออีกสักนิดหนึ่ง เรากำลังบอกว่าพระเยซูทำให้เราไม่พอ ขอทำอีกหน่อยหนึ่ง ช่วยพระเยซูหน่อย คล้ายๆ อย่างนั้น

ซึ่งพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่บอกว่าการกระทำแบบนี้ คือการกระทำโดยความไม่เชื่อ ในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งก็เป็นบาปที่รุนแรงมากที่สุด ที่อภัยไม่ได้ เพราะเป็นบาปที่กำลังต่อต้านพระคริสต์ พระเยซู กำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกไว้ ช่วยมนุษย์ได้สำเร็จ เสร็จแล้ว มันไม่จริง เรากำลังปฏิเสธพระเยซู มันเลยรุนแรงตรงที่ว่าจากนี้ต่อไป เราไม่มีพระเยซูแล้วนะ ไม่มีใครมาช่วยให้เรารอดแล้ว มันถึงรุนแรง ท่านทำบาปอย่างอื่นมา ท่านก็กลับมาหาพระเยซูได้ แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านจะไปหาใคร? เหลือเพียงท่านเดียวแล้ว ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์จึงบอกว่าทำอย่างนั้น  มันไม่ดีเลย  อย่าทำดีกว่า เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู และกำลังเหยียบย่ำพระคุณ ซึ่งเป็นบาปร้ายแรง และไม่มีใครสามารถช่วย ให้รอดจากบาปนี้ได้อีกเลย  ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ  ก็ท่านปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด  ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็แค่นั้นเอง  ท่านจะปฏิเสธอย่างอื่นอะไรต่างๆ แต่ยังเหลือพระเยซู ท่านยังมีโอกาสกลับมาหาพระเยซู แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู แล้วจะหาใครล่ะ เพราะพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่เราปฏิเสธพระคุณนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกว่านอกจากพระเยซูคริสต์ ไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดอีกแล้ว พระคัมภีร์จึงย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเอง ไม่ใช่ด้วยเนื้อหนัง แรงกระตุ้นจากเชื้อบาปในตัวเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเนื้อหนังอ่อนแอมาก พระเจ้าประทานกำลังให้เราที่วิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนัง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อ บันทึกไว้ในกาลาเทีย 3:26 มันสำเร็จแล้ว พระเจ้าต้องการทำให้เรา เป็นลูก บัดนี้ทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้

ตอนที่เกิดเรื่องการถกเถียงกันอย่างนี้ในกลุ่มชาวยิวว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่ข่าวประเสริฐมาถึงชาวยิวใหม่ๆ อาจารย์เปาโลสรุปไว้ง่ายๆ เลยว่าสิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ถ้าผมบอก “ความเชื่อ” ท่านต้องคิดต่อ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่ทำสำเร็จแล้ว

“สิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ก็ถูกหมด แต่อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ในข่าวดีนี้ ก็ผิดหมด” สรุปง่ายๆ

โรม 4:22-23 “22 ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบ 23 แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

พูดง่ายๆ มีความสุขกับการที่มีความเชื่อในความจริงแห่งข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ ไม่ว่าเขาทำอะไร ก็ไม่มีความสุขเลย มันเป็นบาปทั้งนั้น เพราะเขาไม่เชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ แค่นั้นเอง คือเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เราก็จะเชื่อว่าไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับกลายเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะมันสำเร็จไปแล้ว Testelesti ไปแล้ว และไม่มีการลงโทษใดๆ จะเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว (ทางวิญญาณ) โรม 8:1 ได้บันทึกเอาไว้

ท่านอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามันบันทึกไว้ตรงไหน? แต่ท่านเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ท่านก็ได้รับผลตามนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำว่าเมื่อปากเราพูดว่าเชื่อ การกระทำของเรา ต้องออกมาตามปากที่พูดนั้นด้วย เชื่อก็ต้องทำด้วย ไม่ใช่ปากเชื่อแล้วว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูกแล้ว มาลบล้างความผิดบาปให้ตัวลูกจนหมดสิ้นแล้ว แต่การกระทำข้างนอก ยังแสวงหาวิธีการที่จะลบล้างบาปให้ตัวเองเพิ่มอยู่เลย ยังพยายามทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้นอยู่เลย แล้วมันคืออะไร? ปากพูดอย่าง แล้วทำอีกอย่าง ยากอบ 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:24 “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

พูดง่ายๆ คือเมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้เราแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะปฏิบัติตามนั้นด้วย คือไม่ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป ประจำปี ประจำเดือน ประจำวัน ซึ่งชาวยิว เคยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลานานอีกต่อไปแล้ว ถ้าเชื่ออย่างนั้น ก็ต้องกล้าทำอย่างนี้ พระคัมภีร์เปรียบเทียบการกระทำแบบนี้ว่าเปรียบเหมือนเชื้อเพียงนิดเดียว ก็ทำให้แป้งขนมปังฟูขึ้นทั้งก้อนได้ เป็นคำพูดที่พระเยซูได้เตือนว่าจงระวังเชื้อของฟาริสี เชื้อความไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เราอาจจะเห็นไม่สำคัญ แต่พระเยซู พระเจ้าเห็นสำคัญ เชื้อของไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เช่น กินอาหารที่บูชารูปเคารพ แล้วเกิดฟ้องผิด ไปกินข้าว คบหาสมาคมกับคนอื่น ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลัวคนเขาเห็น เชื้อเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจสามารถฟูขึ้นมาได้ คือเกิดเป็นความคิดที่เชื่อผิดๆ แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้

ถ้าเทียบกับปัจจุบัน พระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้นะ คือเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถวายสิบลด พระเจ้าจึงพอพระทัย ถ้าเผลอ ไปทำผิดบาปอะไรมา ต้องรีบอธิษฐาน ขอการอภัยจากพระเจ้า เป็นการลบล้างบาป พระเจ้าจึงจะอภัยให้ ถ้าเจ็บป่วย อธิษฐานแล้วยังไม่หาย แสดงว่าต้องไปทำบาปอะไรมา หรือถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ก็อาจจะมีคนในครอบครัวไปทำอะไรลบหลู่พระเจ้า จึงถูกลงโทษ อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็เคยคุ้นๆ กันอยู่ ถ้าความจริงไม่มาถึงเรา … เราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ใครส่งข่าวดีนี้มาให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่ข่าวดีจริง นี่คือตัวอย่างที่บอกเป็นเชื้อแห่งความไม่เชื่อ ถ้าปล่อยไว้ ก็อาจฟู เผยแพร่กันออกไปเยอะแยะทั้งก้อนเละ ทั้งโบสถ์ ไปกันทั้งคณะก็ได้  ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีของพระเยซู คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ ปลดปล่อยมนุษย์ อะไรเยอะแยะในนั้น สำเร็จแล้ว

ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระองค์ได้ทรงชำระล้างเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ จนเราสะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิ โดยร่างกายของพระองค์ได้แบกรับเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในขณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสบายใจ เมื่อได้อธิษฐานว่า …

“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยในความผิดบาปของลูก ขอทรงโปรดชำระล้างลูกให้สะอาด”

ทำไมมันแย้งกันเหลือเกิน ในขณะที่ปากเราเชื่อในข่าวดี แต่ความประพฤติเราไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่แหละคือเรากำลังปฏิเสธ เรากำลังต่อต้านพระเยซู โดยไม่รู้ตัว ปากบอกว่าเชื่อ แต่ไม่กล้าที่จะทำ ด้วยอะไรก็ตาม เรากำลังทำให้ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูเสียหายไป จนในที่สุดถึงลูก หลาน เหลน โหลน เขาก็อาจจะไม่รู้จักความจริงในข่าวดีของพระเจ้าเลย จนกระทั่งเลวร้ายที่สุด เขาอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยข่าวดีจริงๆ อีกครั้งหนึ่งก็ได้

ท่านเคยรู้สึกดีไหม? เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน และบริจาค หรือรู้สึกสันติสุข มันคนละอย่าง ผมหมายถึงตอนนี้ ท่านเชื่อในข่าวดีแล้ว ท่านได้บริจาค ช่วยน้ำท่วม ท่านรู้สึกว่าตัวเองบริสุทธิ์ขึ้นไหม?  รู้สึกเราได้สะสมความดีมากขึ้นไหม? คิดไปเรื่อยๆ นะ ผมพาท่านไปเรื่อยๆ ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้ช่วยเหลือหมาจรจัด ที่มันเดินสะเปะสะปะ หรือสัตว์อะไรที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ท่านมีความรู้สึกไหมว่าบาป เวรกรรมของท่านลดน้อยลง

ตอนก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเคยคิดกันอย่างนี้ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ ถ้าผมไปช่วยสุนัข บาปเวรกรรมผมน้อยลง บางทีสุนัขจะช่วยเราบ้าง หมายถึงตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถูกไหม? แต่ผมกำลังบอกว่าเราสามารถมีโอกาสคิดย้อนกลับไปชีวิตเดิมได้ว่าตอนนี้ท่านเคยรู้สึกไหมว่าท่านอยากจะทำความดีเยอะเลย อยากออกไปประกาศทุกวัน อยากรับใช้พระเจ้าทุกวัน เพราะท่านกำลังอยากสะสมความดี เพื่อจะให้มีคุณภาพมากขึ้น จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เคยคิดไหม? ไม่คิดก็แล้วไป

พระคัมภีร์จึงบอกไว้ว่าผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีว่าสำเร็จแล้ว ท่านต้องนึกในใจ ข่าวดี สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จแล้ว ผู้เชื่อ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ด้วยความเข้าใจ แบบมนุษย์ เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างไร? ก็เชื่อตามนั้นว่ามันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องสู้กับความคิดเก่าๆ แบบเนื้อหนัง ที่มันกระตุ้นมาด้วยเชื้อของความบาป ต่อต้านข่าวดีของพระเยซูอยู่เรื่อยๆ  โคโลสี 3:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนพระเจ้าจะให้สว่างขนาดไหน? แต่ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าใจมากหรือเข้าใจน้อยก็ตาม ฉันใช้ความเชื่อเอา พระคัมภีร์บอกให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน … สิ่งเบื้องบน คือในสวรรค์ บัดนี้เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เริ่มต้นบอก ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งตัวท่านอยู่กับพระคริสต์ ท่านก็ได้นั่งอยู่เบื้องขวากับพระองค์ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ อยากเชื่อเยอะขึ้นทำอย่างไร? ไปอ่านช้าๆ อ่านบ่อยๆ พูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ

“ฉันเป็นขึ้นมาร่วมกับพระเยซูคริสต์ และตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น ตามเหตุและผล ฉันจึงอยู่ในสวรรค์สถานด้วย”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ว่าเราบ้าทั้งนั้นแหละ แต่พระคัมภีร์ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าเราไม่จดจ่อ เราก็จะถูกเหตุผลของโลกดึงเราไป ตามแรงกระตุ้นแห่งกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

“จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” พูดง่ายๆ เลือกพระเจ้า ไม่ใช่เลือกระบบของโลก เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่เลือกที่จะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรที่เป็นของโลกทั้งหมด ไม่เอา ไม่สนใจ ระบบของโลกเลิกไปเลย ตอนนี้ฉันอยู่ในระบบของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ฉันเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ยังเดินอยู่ มาบอกท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ หมายถึงท่านตายต่อบาปไปแล้ว ผมได้แค่นี้เหมือนกัน บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ชีวิตของเราทั้งหลายตอนนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ท่านก็เอาถ้อยคำนี้ ไปพูด ไปอ่านบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้ท่านเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ท่านไม่มีทาง สามารถเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมพระองค์ในพระเกียรติสิริ พระเกียรติสิริ คือสง่าราศีของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือตัวเรา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ได้ทำให้เราทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ และย้ายเราเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ และเรียกว่าในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในกรุงเทพ เราก็กำลังอยู่ในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ในโบสถ์ขณะนี้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์ คือในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพระบิดา และพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์อีกมากมาย และเราอยู่ในนั้น แล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ และเราก็อยู่ที่นี่ไปตลอด ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีใครเอาเราออกไปจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว เพราะเราซ่อนอยู่ในความยิ่งใหญ่ แห่งฤทธิ์เดชอำนาจ และสง่าราศี และพระสิริของผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งได้ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ นั่นแหละเราอยู่ในพระองค์ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************