คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เตรียมพร้อมที่จะรับของขวัญปีใหม่จากพระเจ้าหรือยังครับ? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็บอกล่วงหน้าว่านี่เป็นของขวัญปีใหม่ ตั้งใจฟังให้ดีๆ รวมกับคำบรรยาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับวันนี้ ถือว่าเป็นของขวัญ เป็นพระพรปีใหม่ที่พระเจ้ามาให้กับเราจริงๆ มีค่ามากมาย มากจริงๆ มากกว่าถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 มากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งโลกเลย อันนี้มากที่สุดเลย และสามารถที่จะถ่ายทอด เป็นมรดกให้กับลูกหลานด้วย

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” ซึ่งเราจะมาต่อกันกับซีรี่ย์ชุดเดิม โลกวัตถุ คือโลกที่มองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย

ในครั้งที่แล้ว เราได้เน้นกันถึงเรื่องความจริงแห่งกฎทางโลกวิญญาณ … โลกวิญญาณ คือตรงกันข้ามกับโลกวัตถุ โลกวิญญาณ คือไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สัมผัสได้ด้วยวิญญาณเท่านั้น

พระคัมภีร์บอกไว้ ในโรม 8: 1 ว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย กฎของความบาปความตาย คือการตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ ใครก็ตาม ที่อยู่ในความบาปในความตาย ต้องโทษนี้อยู่ แต่พระเยซูคริสต์สามารถทำให้คนนั้น เป็นอิสระ จากความบาปและความตายได้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เนื่องจากกฎของโลกวิญญาณมันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เราจึงต้องเตือนตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้า ให้ตัวเองได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่านี่คือกฎของวิญญาณนะ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้นะ ใครทำ ก็ได้พระพร กฎนี้ บอกไว้ว่าอย่างนี้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู”

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ      แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้เรา พ้นจากบาปและความตาย”

เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต คือวิญญาณฉันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยกับพระเยซู ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ พ้นจากกฎของความบาปและความตาย พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการเป็นกบฏต่อพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เอเมน

เมื่อสักครู่ที่เราร้องเพลงกันนั้น นั่นคือกฎในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ ซึ่งใครผู้ใดที่เชื่อในกฎความจริงในโลกวิญญาณอันนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เขาแล้ว คือเป็นแพะรับบาป ให้กับเขา เพราะฉะนั้น เขาก็พ้นจากบาป ไม่มีบาปอีกต่อไป คือได้รับอิสรภาพ เป็นไทไม่ต้องเป็นหนี้สินใคร ไม่ต้องใช้หนี้ ที่เราเรียกกันว่าหนี้บาปเวรกรรมกับใครอีกแล้ว เพราะพระเยซูใช้ทดแทนให้กับฉันเรียบร้อยไป หมดแล้ว เอเมน

ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร จากกฎนี้ ไม่ได้ผลของกฎนี้ ก็คือไม่ได้อิสรภาพ ไม่ได้เป็นไท ยังคงมีหนี้บาป เวรกรรมติดตัว ที่ต้องชดใช้ต่อไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นนั่นเอง ไม่มีใครสามารถช่วยได้ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้ากฎนี้มีอยู่จริง มันก็ต้องเป็นไปตามนี้

และอย่างที่ผมเกริ่นไว้ครั้งที่แล้วว่าถึงแม้ว่าใครคนใด คนหนึ่ง หรือเราจะรับเชื่อแล้ว ทางวิญญาณว่าเชื่อในกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตเรา เมื่อได้รับความรอดทางกฎของโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เราจะได้รับอิสรภาพต่อไปบนโลกใบนี้เลย จะทำอะไรก็ได้ ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่ได้รับผลอะไรทั้งสิ้นเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันมีอีกกฎหนึ่ง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

กลับมาที่เก้าอี้ 2 ตัวเหมือนเดิม โลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะนี้ คนที่เชื่อในสิทธิในโลกฝ่ายวิญญาณ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นแพะรับบาป คนที่เชื่ออย่างนี้ เขากำลังเชื่อว่าพระเจ้าพูดความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์มองไม่เห็น วิญญาณมองไม่เห็น แต่เราเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเอาบาปของเราไป เอาหนี้ เอาสิน ที่เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม เอาออกไปแล้ว พอเราเชื่อ เราใช้สิทธิของเรา  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ไม่เป็นคนบาป เมื่อไม่เป็นคนบาป เราจึงสามารถกลับมาอยู่กับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าได้

นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตาเราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่านได้เห็นภาพ เล็งถึงว่าทางฝั่งสีขาว นี่คือโลกทางวิญญาณ ส่วนสีดำข้างๆ นี้คือโลกทางวัตถุ ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ และขณะเดียวกัน มีโลกทางวิญญาณปกคลุมอยู่เหนือตรงนี้ด้วย คือขณะที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ … มนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ร่างกายเป็นโลกวัตถุ ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือวัตถุที่สร้างโลกใบนี้ ที่เราเรียกกันว่าดิน

“ดิน” ตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างเป็นขึ้น แต่วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น มนุษย์มีส่วนประกอบของการเป็นวิญญาณ และอยู่ในร่างกาย เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งเดียวในมหาจักรวาล หรือในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสิ่งเดียว ที่มีลักษณะเป็นเช่นนี้ คือเป็นวิญญาณ และเป็นสสาร วัตถุ สิ่งของ รวมกันอยู่ในชีวิตเขา ชีวิตเดียว นอกจากมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกใบนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้เลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร?  เพราะว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ว่ามนุษย์เท่านั้นที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่เป็น ต้นไม้ไม่เป็น หินไม่เป็น

ขณะที่มนุษย์เป็นวิญญาณบนโลกใบนี้ มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีส่วนประกอบ 2 สิ่ง ก็คือสัมผัสทางโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเขา สัมผัสโลกวัตถุด้วยร่างกายของเขา สัมผัสร้อนเย็น มองเห็นวัตถุสิ่งของด้วยร่างกายของเขา แต่สัมผัสทางวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ซึ่งอยู่นิรันดร์ตลอดไป  ส่วนจะอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้านิรันดร์ ก็คืออยู่นิรันดร์ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านิรันดร์ ในพระคัมภีร์จึงบันทึกว่ามันมีทั้งสองกฎเลย  กฎที่มองเห็นกับกฎทางวิญญาณ ซึ่งกฎของวิญญาณ มันจบตรงที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

แม้ว่าเราจะได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของเราแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ร่างกายของเรายังเป็นร่างกายที่เป็นทาสของบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว วิญญาณเราไม่ได้อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป วิญญาณเราไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป แต่เนื้อหนังร่างกายยังไม่ตาย ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และยังตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม

นี่คือปัญหาที่เราจะต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสรภาพมากขึ้นในทางโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ ได้พระพรมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร?  ไม่อย่างนั้น เราไม่รู้เรื่องเดินสะเปะสะปะ พอมาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เนื้อหนังก็เป็นลูกพระเจ้าด้วยมั้ง เพราะฉะนั้นจะกินอะไร? จะทำอะไร? ก็ไม่ต้องสนใจเลย เพราะเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าคุ้มครองหมด ไม่ใช่เลย มันยังแยกกันอยู่ ร่างกายก็ยังต้องดำเนินตามกฎของร่างกาย ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้ว สาปแช่ง คือไม่ได้พร ไม่ดี ร่างกายมันสูญเสีย มันเสียหายไปแล้ว มันไม่ได้เหมือนกับตอนที่พระเจ้าสร้างเรามาใหม่ๆ แต่สิ่งที่ได้รับการสร้างใหม่ คือวิญญาณเราต่างหาก ที่มันใหม่เอี่ยม ตาม 2 โครินธ์ 5:17 วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เป็นนิวครีเอชั่น เป็นความใหม่เอี่ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมา เกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เอเมน นี่ตามองไม่เห็น

แต่สิ่งที่ตามองเห็น คือร่างกายเราดูในกระจก ตัวเราเหมือนเดิมหมดเลย เราเชื่อพระเจ้ามา 30 ปีก็เหมือนเดิม แก่ลงด้วย  เพราะว่ามันอยู่ในคำสาปแช่ง คือคำที่ไม่ดี อยู่ในการถูกลงโทษอยู่ มันยังรับโทษของมันอยู่ พร้อมๆ กับโลกใบนี้ทั้งใบ ที่มันเป็นโลกวัตถุยังไม่ได้ถูกไถ่ออกมา แต่โลกวิญญาณได้ถูกไถ่แล้ว เอเมน วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว อย่างไรเราก็ไปสวรรค์ ตอนนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว นี่ใช้ความเชื่อเอา ตามพระคัมภีร์บอก

ส่วนทางเนื้อหนังร่างกายเรา ยังเป็นปกติเหมือนเดิม ยังถูกสาปแช่งเหมือนเดิม รอการฟื้นฟูใหม่ รอการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ บนโลกใบนี้แล้ว คือร่างกายเราหมดลมหายใจ พระเจ้าไม่ใช้ร่างกายเราแล้ว จบงานของเราแล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง นั่นแหละ จบสิ้น พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเราแล้ว นั่นคือการเป็นอิสรภาพ รอดทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายของเรา แต่ถ้าเรายังไม่ตาย พระเยซูมาก่อน ก็จบสิ้นเหมือนกัน  เราก็จะทิ้งร่างเดิมนี้ แล้วไปรับร่างใหม่ จากพระเยซู จากพระเจ้า ในสวรรค์ เหมือนกัน เอเมน

นี่คือพื้นฐาน เพื่อท่านจะเห็นภาพชัดเจน คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ซึ่งใครก็ตามที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ คือได้รับความรอด จบไปแล้ว แต่เนื้อหนัง ร่างกายของเขา ยังต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกวัตถุ ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้วอยู่ อย่าเอามาผสมกันมั่ว ท่านจะงงไปหมดเลย นี่ก็อยากได้  ทำไมพระเจ้าไม่ให้ ไหนบอกจะให้ บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าพอเราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ทางโลกวิญญาณแล้ว พอเรารับเชื่อ ทางโลกวัตถุ เราจะดีไปหมดเลย ทุกอย่าง เข้าใจผิด ไม่ใช่เลย เราก็ยังไม่ทิ้งตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเราได้ภาษีดีกว่า ผู้นำเรา ที่อยู่ในวิญญาณ พลังที่อยู่ในวิญญาณเรา คือพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยงเรา จะช่วยเรา โดยบอกเราว่าตรงนี้เป็นอย่างนั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือไม่ดีที่สุด ก็ตาม เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่ถูกสาปแช่งอยู่ดี

คราวนี้มาถึงกฎของโลกวัตถุ ที่สัมผัสแตะต้องด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราเรียกกันว่ากฎแห่งการหว่าน กฎธรรมชาติ ซึ่งพระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าหว่านออกไป ท่านปาอะไรออกไป มันจะกระเด้งกลับมา ยังไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราหว่านอะไรออกไป เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราให้สิ่งดีๆ หรือทำแต่สิ่งที่ดีๆ ออกไป มันก็จะสะท้อนถึงสิ่งที่ดีๆ กลับมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรมันคือดี เพราะบางครั้งดีของเรา กับดีของพระเจ้า มันไม่เหมือนกัน เรานึกว่าของเราอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ เลวมากกว่าที่คนอื่นที่เขาเห็นอีก เพราะเราอาจจะเย่อหยิ่งอยู่ในขณะนั้น เราไม่รู้ตัว และขณะนั้น เรากำลังโลภอยู่ เรานึกว่าเราทำดีอยู่ ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกขยะแขยง พระเจ้าบอกอย่างนี้ก็ได้  ขณะที่คิดว่าเราเท่ห์มากเลย เราอดอาหารสัปดาห์ละ 3 วัน  เราถวายสิบลด เป็นประจำ สม่ำเสมอไม่เคยขาด เราบริจาคไม่มีการหยุดหย่อนเลย เรามาช่วยงานที่โบสถ์เกือบทุกวันเลย แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าทั้งหมดที่เราทำ มันไม่ได้จริงใจเลยสักอย่าง แม้กระทั่ง เราหลอกตัวเราเอง ตัวเราเองยังไม่รู้เลย ทำไปนั้น เพื่ออะไร?

ยกตัวอย่าง พระเจ้าบอกจงให้ออกไป โดยที่มือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ อย่าไปบอกใครเลย เงียบๆ ไว้ สอนอะไร? สอนเรื่องความบริสุทธิ์ข้างในใจ ที่เราทำออกไปทั้งหมด ที่ความดีทั้งหมดนั้น  เราหวังว่าจะได้สิ่งโน้นสิ่งนี้กลับมา มันเป็นการเย่อหยิ่ง เราต้องการเกียรติ เราต้องการมากขึ้น  เราต้องการความโลภมากขึ้น เราจึงให้ออกไป เราคิดว่าให้ออกไป เราจะได้ 100 เท่ากลับมา นี่เห็นไหม?  เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังทำอะไร? เรานึกว่าเรากำลังให้ออกไป แต่จริงๆ ข้างในใจลึกๆ ของเรา คือเราให้ออกไป เพื่อหวังว่าจะได้พร พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ จริงๆ ไม่ได้สัญญาอย่างนั้นหรอก เราคิดเอง ให้ออกไป แล้วได้ 100 เท่ากลับคืน ถ้าพระเจ้าสัญญาอย่างนี้ ป่านนี้คริสเตียนรวยที่สุดในโลกแล้วนะ 100 เท่ากลับคืน ที่นั่งอยู่ที่นี่ ป่านนี้เรานั่งเรียนอยู่ในอวกาศแล้ว เพราะว่าเรามีเงินเยอะมาก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม? แต่บางคนเขาคิดอย่างนั้น พอเขาคิด เขาให้ออกไป ดูท่าทาง ดูเหมือนดี แต่มันไม่ดีสำหรับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คำว่า “หว่าน” หรือ “ให้ออกไป” หรือ “มอบออกไป” หรือทำอะไรออกไป ที่คิดว่าเราดี จะได้สิ่งดีกลับมา หมายถึงดีในทางพระเจ้า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ดีนั่นในทางพระเจ้าหรือไม่? หรือดี ในทางตัวเราคิดเอง เรารู้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ เพราะพระคัมภีร์เป็นพิมพ์เขียวที่พระเจ้าเขียนเอาไว้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมด พระองค์ทรงทราบดีทุกอย่าง และพระองค์ต้องการให้ลูกของพระองค์ มนุษย์ทุกคนได้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรจะเชื่อตรงนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ เราก็ได้สิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเรา เราก็จะได้สิ่งที่พระเจ้าบอกว่าจะได้

ยกตัวอย่างที่เราพูดถึงเรื่องการให้ออกไป ถ้าเราให้ออกไปตามใจจริงเลย ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ พระเจ้าบอกเราได้เต็มที่เลย ได้สันติสุขในใจ เอเมน ถ้าเราไปหวังทรัพย์สิ่งของมากมาย บ้ากันไปใหญ่ โลภไม่มีวันจบสิ้น เราจะไม่ได้สันติสุข

เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แบบปลอดภัยที่สุด ก็คือดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพิมพ์เขียวของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เขียนบอกเรา สอนเราในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ ซึ่งเกี่ยวกับโลกวัตถุ บอกหมดเลย ทุกอย่างที่จำเป็นต่อเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา แนะนำเราในพระคัมภีร์นี้  ถ้าเราเชื่อตรงส่วนไหน? เราก็จะได้รับพระพรในส่วนนั้น ส่วนที่ยังไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับพระพร หรืออาจจะได้รับคำสาปแช่ง อาจจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี มากหรือน้อยไม่รู้ อะไรที่บอกว่าตามพระคัมภีร์ แล้วเราจะได้สิ่งที่ดี เราก็จะได้สิ่งนั้นเหมือนกัน

สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้า ให้ราบเรียบ 7  อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว”

 

นี่คือข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ ผมชอบตรงนี้ที่สุดเลย

“อย่าคิดว่าตนฉลาด”

มันใช่เลย วันแรกที่ผมอ่านข้อนี้ มันแทงเข้าไปในหัวใจจี๊ดเลย  อย่าคิดว่าตนเองฉลาด แสดงว่าพระเจ้ารู้ว่าเราชอบคิดว่าตัวเองฉลาด และจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราเถียงพระเจ้าอยู่เรื่อยเลย ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีจริงๆ เราบอกว่าไร้สาระ มองก็ไม่เห็น เชื่อพระเจ้าทำไม? หัวเราะเยาะเขาอีกต่างหาก ก่อนที่เราจะเชื่อ จริงหรือไม่จริง? มนุษย์ก็อย่างนี้ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด เขาบอกว่า …

“พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับเธอแล้ว ไถ่บาปเธอเรียบร้อยแล้ว”

“บาป ก็เป็นของฉัน ฉันควรจะชดใช้ด้วยตัวของฉันเองสิ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าตนเองฉลาด แต่พระคัมภีร์บอกอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด จงยำเกรงในพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาบาปของเธอออกไปแล้ว ไถ่บาปให้เธอแล้ว จงเชื่อตามนี้ นี่ยำเกรงในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ด้วย

“จงยำเกรงในพระเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว” ก็คือจงเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า และหนีจากความชั่ว บางคนนึกว่าความชั่ว หมายถึงผิดศีลธรรมแค่นั้น ไม่ใช่ ความชั่วตรงนี้หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือความบาปนั่นเอง คืออะไรที่ต่อต้าน ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่แนะนำเราไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ยำเกรงพระเจ้า ตรงที่เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ รวมทั้งตัวเราด้วย เราไม่เชื่อ นี่แหละ ในพระคัมภีร์บอกเรากำลังทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรากำลังทำบาป บาปตัวนี้ แปลว่าต่อต้านกับพระเจ้า

วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างว่าพิมพ์เขียวที่พระเจ้าได้วางไว้ให้กับเรา พอจะมีอะไรบ้างที่เราจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับพระพรทางด้านวัตถุ เพื่อเราจะได้รับพระพร และได้รับความสงบสุข … สุขทางใจ สุขทางกายขึ้นด้วยในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ แม้ว่าวิญญาณจะจบสิ้นไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ในร่างกายนี้ การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วย

ในพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่พระเจ้าสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความพอเพียง ความรัก การให้อภัย แม้กระทั่งเรื่องอาหาร และการดูแลสุขภาพ

ตัวอย่างเรื่องอาหาร การดูแลสุขภาพ สำคัญมาก การดำเนินชีวิต ไม่ใช่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ เสร็จแล้วในที่สุด เราก็ได้รับผลของการกระทำนั้น สุขภาพก็เสื่อมโทรม ทุกข์ทรมาน ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร จะได้ หรือจะเป็น

เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ พระเจ้าก็ทรงออกแบบพิมพ์เขียวของร่างกายมนุษย์ไว้หมดแล้ว แล้วก็สอนด้วยว่ามนุษย์ควรจะทำอย่างไร? เพื่อให้มีสุขภาพดี ควรกินอาหารอย่างไร? ควรใช้ชีวิตอย่างไร? ควรมีอารมณ์ มีความคิดอย่างไร?  อยู่ในพระคัมภีร์นี้ทั้งหมดเลย  ถามว่าทำไมพระเจ้าต้องเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้าเผื่ออาดัมและเอวาบรรพบุรุษเราไม่ตกลงไปในความบาป และนำพาพวกเราไปอยู่ในการสาปแช่งในโทษของความบาปนั้น พระเจ้าไม่ต้องเขียนอะไรเลย แต่นี่พระเจ้าต้องเขียนบอกมนุษย์ เพราะมนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ตกลงไปในความบาปแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ เพื่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้มีโอกาสอยู่แบบทุกข์น้อยหน่อย ไม่ใช่หมดทุกข์ เพราะมันยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ถ้าเราตั้งใจและดูแลในเรื่องสุขภาพ หว่านในด้านสุขภาพ ตามพระเจ้าบอกไว้ หว่านการเลือกอาหารที่ดีๆ ที่มีประโยชน์ หว่านการออกกำลังกาย ที่พระเจ้าบอกว่ามันมีประโยชน์ และวางไว้เป็นกฎ ให้เหงื่อมันออก จะได้เก็บเกี่ยวความเจริญรุ่งเรืองทางสุขภาพร่างกายได้บ้าง? แต่ยังต้องตายอยู่ดี แต่มันไม่ทุกข์ทรมานมากนัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็ได้บอกเรา เตือนเราในเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าพอมาเป็นคริสเตียน ก็ไม่สนใจ ไม่ดูแลสุขภาพ กินอะไรก็ได้ ฝากไว้ที่พระเจ้า

แต่ก่อนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง จะกินกาแฟวันละหลายแก้ว

“ทำไมกินได้?”

“ไม่เป็นไรหรอก เราวางมือในนามพระเยซู เอาพิษออกไป แล้วกินเลย”

แล้วเป็นไง? ไม่รู้ อย่าไปทำแล้วกัน มันไม่ใช่วิธีนั้น เราชอบคิดของเราเอง เป็นอย่างนี้

ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสุขภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจ็บป่วยอีกเลย ฟังให้ดีๆ ตราบใดที่พระคัมภีร์เป็นจริง ตราบนั้น มนุษย์ทุกคนต้องป่วยแน่นอน ถ้าไม่ป่วย และมันจะแก่ได้อย่างไร? ถ้าไม่แก่ แล้วมันจะตายได้อย่างไร? นี่เฉพาะกรณีพิเศษว่าตายก่อนแก่ อุบัติเหตุ เรื่องไม่ธรรมดา การแก่ ก็คือการป่วยนั่นแหละ ท่านเข้าใจไหม?

“ฉันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร?”

แก่ลง ก็คือเจ็บป่วยแล้วล่ะ วันนี้กับเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนบอกไม่ต่าง กับ 10 ปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนไม่ต่าง กับ 20 ปีที่แล้วล่ะ แล้ววันนี้กับ 20 ปีอนาคต ต่างกันไหม? ต่างกันแน่นอน ความแก่คือความป่วย เพราะคำสาปแช่ง น่าจะดีใจ แสดงว่าถ้อยคำของพระเจ้าเป็นจริงอีกแล้ว

“แม้ฉันจะเชื่อพระเจ้า อธิษฐานตั้งเยอะ พยายามทำตามที่พระเจ้าบอกตั้งเยอะ แต่ฉันยังป่วยอยู่ ฉันจงดีใจว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง”

มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่มีใครชนะตรงนี้ได้เลย ไม่มีใครทำยาอายุวัฒนะ ทำอะไรก็ตาม ที่ชนะตรงนี้ได้เลย  เพราะว่ามันเป็นคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ถ้าคำสาปแช่งนี้เป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มาไถ่บาปฉันทางวิญญาณนั้น ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน เพราะผู้บอก ผู้สอน ก็คือผู้เดียวกัน คือพระเจ้านั่นเอง

ในหนังสือปฐมกาลมีบันทึกไว้ว่าพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพร คืออาหารที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์  มนุษย์ก็เปลี่ยนไป คำสาปแช่งเข้ามา หลังจากเกิดน้ำท่วมโลก ที่น้ำท่วมโลก เพราะมนุษย์ทำชั่ว วุ่นวายไปหมดเลย พระเจ้าเศร้าใจมาก ล้างโลก ด้วยน้ำท่วมโลก

หลังจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าก็เริ่มอนุญาตให้มนุษย์สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แต่กำหนดไว้ว่าสัตว์อะไรกินได้ อะไรไม่ควรกิน อะไรที่เป็นโทษต่อร่างกาย ก็อย่าไปกินมัน อะไรที่เป็นโทษน้อยหน่อย ก็กินมัน เพราะจริงๆ เธอไม่ควรกินอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันวุ่นวายไปหมด อนุญาตให้กินได้ เอาแค่นี้พอ

สิ่งที่พระคัมภีร์สอนว่าอย่ากินมีอะไรบ้าง? ว่ามันจะเป็นโทษ? ตัวอย่างเช่น ปลาที่ไม่มีครีบ ปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่นปลาไหล หรือปลาที่มีหนวด เช่นปลาดุก รวมทั้งหอย ปู กุ้ง เป็นต้น เหล่านี้ พระคัมภีร์บอกอย่ากิน … กินแล้วมันจะเป็นโทษนะ เพราะสัตว์เหล่านี้ กินแต่ของเสีย กินแต่ของสกปรก เป็นเทศบาลที่พระเจ้าให้ไว้บนโลกใบนี้ เพื่อกำจัดของเสีย ท่านลองนึกภาพแล้วกัน เท่ากับท่านกำลังกินขยะเข้าไปทุกวันๆ เดี๋ยวเที่ยงนี้กินขยะไหม? ไปชายทะเลกินอะไร? กินหอย ปู กุ้ง กินขยะ นี่หมายถึงตามพระเจ้านะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม นี่ผมอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านฟัง

สัตว์ใหญ่ เช่น แกะ แพะ รับประทานได้ แต่สัตว์ที่เท้าไม่มีกีบ และไม่เคี้ยวเอื้อง อย่ากิน เท้าไม่มีกีบ ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง อย่างเช่นอูฐ เป็นสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง แต่เท้ามันไม่มีกีบ เหมือนเท้าช้าง หรืออย่างหมู เป็นตัวที่แยกกีบ คือมีกีบ แต่มันไม่ได้เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์ที่มีมลทิน กินไม่ได้ ฟังอีกที หมูกินไม่ได้ หมูไม่ควรกิน นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บอก แล้วที่พระคัมภีร์บอกไม่ให้กินหมูเพราะปัจจุบันเรารู้แล้วว่าหมู นิสัยมันสกปรก มันเป็นสัตว์สกปรก

พูดง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นภาพว่าพระเจ้าบอกไว้ทั้งหมด นี่เป็นกฎนะ คือใคร ก็ได้ ไม่เชื่อพระเจ้าทำ ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎระเบียบอยู่ ในหนังสือเลวีนิติ มีข้อห้ามว่าห้ามกินเลือดสัตว์ และห้ามกินไขมันสัตว์ เราลองอ่านดู

เลวีนิติ 7:22-27 “22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 23 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘อย่ากินไขมัน ไม่ว่าไขมันจากวัว แกะ หรือแพะ 24 ไขมันจากสัตว์ที่พบเมื่อตายแล้ว หรือถูกสัตว์ป่าทำร้าย อาจจะใช้ทำอย่างอื่นได้ แต่อย่ากิน 25 ผู้ใดกินไขมันจากสัตว์ ซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยไฟ จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 26 และไม่ว่าเจ้าอาศัยที่ไหนก็ตาม  ห้ามกินเลือด ไม่ว่าเลือดนก หรือเลือดสัตว์ใดๆ 27 ถ้าผู้ใดกินเลือด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจาก หมู่ประชากรของเขา’”

 

พระเจ้าบอกห้ามกินไขมันสัตว์ ไขมันนั้นให้ถวายพระเจ้า ถามว่าพระเจ้าอยากได้ไขมันไปทำอะไร? ไม่ใช่เลย ต้องการช่วยเรามากกว่า ไม่ให้เรากิน เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ากินไขมันมากๆ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา ร่างกายของเราไม่เหมือนเดิมแล้ว มันวุ่นวายไปหมดแล้ว พยายามบอกลูกๆ ว่านี่คือพิมพ์เขียวที่บอกให้ว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เพิ่งจะมารู้จักไขมันเมื่อไม่นานมานี่เองนะว่าไขมันอะไรดี อะไรไม่ดี และไขมันมากๆ มันไม่ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าสั่งมนุษย์ไว้ตั้งนานว่าอย่ากิน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งเหล่านี้เป็นข้อห้าม เป็นกฎบังคับ แต่พอพระคัมภีร์ใหม่ เราก็มีอิสรภาพในการกินอาหาร พระเยซูยกเลิกกฎต่างๆ หมดแล้ว แต่มีกฎหลายอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ยกเลิกจริงๆ เพราะโลกวิญญาณเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่กฎทางวัตถุ มันยังคงอยู่

คำว่า “คงอยู่” ก็คือกฎอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส แต่มันมีผลเกี่ยวกับทางโลกวัตถุ มันยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าร่างกายวัตถุเรายังไม่ได้ถูกไถ่ถอนออกมา มันยังอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแนะนำอะไร มันยังเป็นประโยชน์อยู่ อย่ามาเหมารวมกันว่าพระเยซูยกเลิกกฎ เพราะฉะนั้น หมูกินได้ เอ๊า! กินไปสิ  เพราะฉะนั้น อะไรที่พระเจ้าบอกกินไม่ได้ กิน ปลาดุกกินได้ ก็กินไปสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้สึก ในปัจจุบัน ก็พิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสัตว์ต่างๆ เหล่านี้มันสกปรกจริงๆ

นี่คือสติปัญญาจากพระเจ้าล้วนๆ ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ว่าแปลนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา อะไรมันถูกกับเรา อะไรมันผิดกับเรา จากร่างกายที่เป็นอัจฉริยะเหมือนพระเจ้า ตอนนี้เป็นร่างกายที่ถูกบาปครอบหงำ ถูกคำสาปแช่งอยู่ มันสมควรจะดูแลร่างกายอย่างไร?  พระเจ้ารู้หมด แล้วก็แนะนำเรา อะไรที่เหมาะ อะไรที่ไม่เหมาะ อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควร บอกหมดเลย เราก็น่าจะตามพระเจ้าดีที่สุด เพื่อจะเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับสุขภาพร่างกายของเรา ไม่ใช่ว่าพอพระเจ้าบอกไม่ เราก็จะกิน แล้วบอกว่าเราใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ ถ้าเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อจริงๆ เชื่อทั้ง 2 กฎ ไม่ใช่เชื่อกฎเดียว คือกฎในโลกวิญญาณ ก็ว่าได้รับความรอด กฎทางวัตถุ ก็เชื่อว่าอย่ากิน มันต้องเป็นโทษกับเรา เราก็ไม่กิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าถ้ากิน แล้วเราจะตกนรก ไม่ใช่ เรากิน เราก็เพียงทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากกว่าธรรมดาเท่านั้นเอง มันก็ไม่ควรใช่ไหม? เพราะเวลาทุกข์จริงๆ แล้วเราก็ปวดใจ ปวดตัว ปวดกายจริงๆ เราก็เดือดร้อนคนอื่นจริงๆ แล้วถึงเวลานั้นเราก็ครางมาจริงๆ ว่า …

“ช่วยทีๆ รู้อย่างนี้ ไม่กิน ก็ดี รู้อย่างนี้ ออกกำลังกาย ก็ดีแล้ว”

รู้อย่างนี้ๆๆๆๆ ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะรู้อย่างนี้ ก่อนมันจะเกิดเหตุ เราอดทนเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเจ้า แล้วก็พยายามทำตามพระเจ้า ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีไหม? มันดีกว่า ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเคร่งมากเลย กินไม่ได้ อย่ากินเลือดนะ พระเจ้าห้าม ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น หมายถึงแนะนำเราว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ถ้าเราไม่เชื่อ ก็เก็บเกี่ยวความทุกข์ลำบากร่างกายไปบ้าง? แค่นั่นเอง มันไม่ได้หมายถึงการตกนรก

ทุกวันนี้ รู้ไหมว่าอาหารประเภทไหนดี? มีประโยชน์ต่อร่างกาย? อาหารประเภทไหนไม่ดี? มีโทษต่อร่างกาย? รู้ไหมว่าของหวานๆ มากๆ ของทอด ปิ้ง ย่างเกรียมๆ ดำๆ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวเยอะแยะไปหมด ทานเยอะๆ เข้าไป มีโทษต่อร่างกาย รู้ … รู้ว่าไม่ดี แล้วยังทาน เพราะมันอร่อย … อร่อย แปลว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอยากกิน เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วไง มันอยากจะเอาโทษใส่ร่างกาย มันอยากจะเอาสิ่งที่ไม่ดีใส่ร่างกายตลอดเวลาเลย มันบังคับไม่อยู่ เพราะว่ามันเป็นทาสของความบาป และคำสาปแช่งอยู่ วิญญาณเราสะอาดหมดจด รับใช้พระเจ้าอยู่ แต่เนื้อหนังร่างกายรับใช้ความบาป

เปาโลพูดเองในหนังสือโรม บทที่ 7 “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า วิญญาณข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ รับใช้พระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้าหมด ยอมพระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่อยู่นี้ มันเอเมนกับกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อะไรที่แย่ๆ ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันเอาหมด นี่คือสงครามที่อยู่ในตัวเราทุกวันนี้ เราจึงพูดกับกระจกอยู่บ่อยๆ ไงว่าหมูกินน้อยๆ หน่อย ต้องพยายามสู้กับมัน

พระเจ้ารู้หมดว่าวิสัยบาป ที่อยู่ในร่างกายของเราเป็นอย่างไร? พระเจ้าจึงบอกไว้ในสุภาษิต 23:2 ว่า …

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า”

 

ท่านรู้ไหมคำว่า “จ่อมีดไว้ที่คอ” เป็นสำนวนโบราณ ภาษาฮีบรู มีความหมายว่า “จงบังคับตัวเองไว้” ในที่นี้ต้องบอกว่าจงบังคับปากของตัวเองไว้ บางครั้งก็เป็นตัวเอง ให้นึกถึงภาพเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เรา ที่ชอบกินไม่หยุด นึกถึงภาพใครที่เราเตือนแล้วไม่เชื่อ แล้วก็หันไปหาเขานิดหนึ่ง แล้วก็บอก เพราะว่าถ้าไม่บังคับ เคยได้ยินใช่ไหม? ปากพาไปสู่ความจน ปากพาจน อันนี้ปากพาสู่โรค ทุกข์ลำบากมากขึ้น ทำให้ถูกต้องตามพระเจ้า ก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่อยู่ๆ ไปเพิ่มทุกข์มากขึ้น

เห็นไหมครับว่ามนุษย์ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้า เสียเงิน เสียเวลากับงานวิจัยมากมายมหาศาล กว่าจะค้นพบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษ แต่ข้อมูลเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เลย เพราะมนุษย์สู้กับกิเลสตัณหา รู้ แต่ทำไม่ได้ พระเจ้าบันทึกมาเป็นพันๆ ปีแล้ว เรารู้จากพระเจ้า และเรามีกำลังจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเราอธิษฐานขอพระเจ้า เราก็จะมีโอกาสทำได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะมีผู้ช่วย พระคัมภีร์จึงบอกผู้ช่วยเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยช่วยเรา ช่วยให้เราทำสงครามทางกิเลสตัณหา ให้เราชนะมันบ้าง ก็ยังดี แทนที่จะแพ้มันตลอด แทนที่จะกินมันตลอด ทุกทีกิน 2 ห่อ ตอนนี้กินมันเหลือครึ่งห่อพอ ตั้งใจจะกินให้เหลือครึ่งของครึ่งอีกที วันสุดท้ายจะชนะมัน และไม่กินอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ชนะจริงๆ

นอกจากเรื่องอาหารที่เราชอบกันแล้ว สิ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ ก็คือการใช้ชีวิต เรื่องอารมณ์ ถ้อยคำพระเจ้าก็สอนเราอีกแหละ เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร? จัดการกับอารมณ์ความคิดเราอย่างไร? ซึ่งเป็นศัตรู เป็นมะเร็งอีกอันหนึ่งที่ทำร้ายร่างกายของเรา  เรื่องอารมณ์ทุกตำราแพทย์ก็บอกว่าถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว มีแต่เครียด ก็มีโอกาสสูง ที่จะเจ็บป่วย เป็นโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน เพราะสภาวะทางอารมณ์มีผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว ในปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์รู้กันหมดแล้ว แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งเหล่าอย่าทำ สิ่งเหล่านี้เป็นโทษกับเราหลายพันปีแล้ว … แล้วเราเชื่อไหม? เราไม่เชื่อหรอก

พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก รู้จักให้อภัย  เพราะถ้าโกรธใคร? แค้นใคร? จิตใจเราก็ไม่สงบ มีแต่ความเครียด พิมพ์เขียวของพระเจ้าจึงบอกว่าอย่าโกรธข้ามวันข้ามคืน อย่าให้ตะวันตกดิน แล้วยังโกรธเขาอยู่ เพราะมันจะทำให้อารมณ์ไม่ดี ทำให้เครียด หลับไม่สนิท เครียดหนักๆ เข้าก็ป่วย คนที่เราโกรธ เขาไม่เป็นไร? แต่เราโกรธเขา เราก็เครียด เราก็ป่วย  เพราะเราไม่สงบ และสงบไม่ได้ เพราะว่าเรามีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราต้องรู้ก่อนว่าศัตรูเราคือใคร? มันพยายามเร้าเราอย่างนี้  เราต้องเข้ามาหาพระเจ้า แล้วสู้กับมัน พระเจ้าจะบอกเราว่าวิธีที่จะทำให้ไม่โกรธคืออะไร? คือให้อภัย เห็นไหม? พอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราให้อภัยไม่ได้ เราก็รีบไปเปิดถ้อยคำพระเจ้าฟังเอา เราก็รีบเปิดอ่านถ้อยคำพระเจ้า แล้วก็อธิษฐาน …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ให้อภัยเขา”

ดูในกระจก ให้อภัยเขาๆ มันก็เริ่มสู้กัน แล้วเราตั้งใจบ่อยๆ เราก็เริ่มชนะ แล้วก็ทำได้ มากหรือน้อยไม่เป็นไร? มันเป็นประโยชน์กับเรา ทำน้อย ก็ได้ประโยชน์ แต่อาจจะได้น้อยหน่อย  ก็ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ตลอด ไม่มีการไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษากฎเหล่านี้อยู่ ให้เป็นไปตามกฎ ไม่มีทางว่าท่านไม่ได้ ถ้าท่านทำแล้ว ได้แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นวันสะบาโต วันที่เรามาโบสถ์ วันอาทิตย์ พระเจ้าจึงบอกว่าต้องมีวันสะบาโต คืออาทิตย์หนึ่ง ให้หยุด 1 วัน  เพราะพระเจ้ารู้แล้วมนุษย์ตกลงไปในความบาป แล้วมันเสียหายแล้ว เขาต้องพักผ่อน แต่ก่อนพักผ่อนตลอดทุกวันเลย ตั้งแต่ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งลงมา มนุษย์ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ หน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้า นี่คำสาปแช่งมันเป็นอย่างนั้น  พืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะกินได้ มันจะขึ้นลำบากหมดเลย แม้กระทั่งทุเรียน มันจะหนามแหลม มันอร่อยมาก ในนั้นบอกไว้ แต่ไม่ได้บอกทุเรียนนะ สิ่งที่เจ้ากินได้ มันจะขึ้นหนามแหลม ลำบาก เกิดความทุกข์ทรมาน บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องทำงานหนัก แต่อย่าให้หนักเกินไป วางใจในพระเจ้า ให้ 7 วัน พักสักวันหนึ่ง แล้วเราพักไหม? เราก็ไม่พัก เราไม่พักไม่พอ แถมวันธรรมดา มี overtime อีก ไปเรื่อย มันก็เกิดความเครียดในร่างกาย เกิดการทำงานหนักจนเกินไป เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รับคำสาปแช่งเข้ามามากขึ้น คือสุขภาพเสื่อมโทรมเยอะขึ้น

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนไว้ มนุษย์ไม่เชื่อ พยายามต่อต้าน เพราะกลัว กลัวจะไม่มีกิน แต่พระเยซูบอกอย่ากลัวเลย นกในอากาศ พระเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่ แล้วเจ้าเป็นใคร เราจะไม่เลี้ยงดูเหรอ นี่หมายถึงคนที่เชื่อในกฎของวิญญาณ ในเรื่องพระเยซู หมายถึงเป็นคริสเตียนแล้ว

พระคัมภีร์สอนเราเยอะแยะมากมาย ให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินการทอง ให้เรารู้จักความพอเพียง พอดี เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายทำงานหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนไม่พอ นอนน้อย ไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ส่วนใหญ่ก็มาจากสาเหตุการไม่รู้จักพอ พูดง่ายๆ โลภ ต้องการมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น มีเท่าไรก็ไม่พอ เพราะข้างในมันกลัว เน้นว่านี่ส่วนใหญ่นะ มีส่วนน้อยที่ทำงานหนัก เพราะมันจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ทำงาน เพราะกลัว กลัวไม่มีกิน จนไม่ดูอะไรที่สำคัญกว่า ร่างกายสำคัญกว่า ก็ไม่สนใจ จะเอาเงินอย่างเดียว หนักๆ เข้า กลายเป็นคนรักเงิน เมื่อมนุษย์เริ่มรักเงินมากๆ มนุษย์ก็ยิ่งทำความเสียหายให้กับตัวเอง ชีวิต ผู้คนรอบข้างมากมาย ตกอยู่ในความน่าอัปยศ แล้วก็ตกอยู่ในอันตรายนานัปการ ตามที่พระคัมภีร์บอก เช่น สุขภาพเสื่อมโทรม จากการโหมทำงานหนัก อันตรายจากการไปสิ่งชั่วร้าย เช่น ไปโกงเขา ก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น หว่านไปแล้ว เสียชื่อเสียง ติดคุกบ้าง พระคัมภีร์จึงเตือนอยู่เสมอว่าให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขณะที่ทำงานหนัก ทำงานเต็มที่นะ จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ขี้เกียจก็อย่าให้เขากิน อย่าไปติดกับดักของโลกใบนี้  ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ โดยการแสวงหาทรัพย์มากๆ โดยไม่นึกถึงการพักผ่อน ไม่นึกถึงร่างกายนี้เลย  แต่ให้วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเลี้ยงดูเราได้ ใน 1 ทิโมธี 6:6-10 บันทึกไว้อย่างนี้

1 ทิโมธี 6:6-10 “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับ  และตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

มีคำกล่าวว่าถ้าต้องการจะมองหาแต่คนที่มีแต่ความทุกข์ ให้ไปมองหาในหมู่คนร่ำรวย รับรองเจอเยอะเลย แต่บางทีเรามองไม่เห็น คนที่มีเงินทองมากมายมักจะเป็นทุกข์ เพราะว่ายิ่งมีเยอะ ยิ่งอยากได้เยอะ เกิดความความอยากได้ไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักพอ และเมื่อไม่พอ แทนที่จะรวย ก็เลยกลายเป็นคนจน น่าสมเพชมาก ก็เลยเป็นทุกข์ อนิจังสามานย์ยิ่งนัก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ปัญญาจารย์ 5:10, 12 “10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย 12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมี ก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ”

 

เหล่านี้เป็นพิมพ์เขียว ที่พระเจ้าสอนเราเรื่องความจริงในโลกวัตถุ มันเป็นจริงตามนี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ ว่าพระเยซูมาไถ่บาปเราแล้ว เหมือนกันเลย

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระเจ้าวางไว้ให้แล้ว และเป็นกฎทางธรรมชาติ ที่กำหนดไว้แล้วว่าถ้าเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร และถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ เราก็ได้รับ คำสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี ก็เกิดขึ้นในชีวิตเรา ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

นี่เป็นกฎความจริงของโลกวัตถุ ที่เราได้เรียนรู้กันในโลกใบนี้ มีอยู่จริงๆ ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย ถ้าท่านไม่ทำตามที่พระเจ้าบอก และท่านอยากได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามา มันไม่ได้เลย  นี่เป็นกฎแห่งความจริงของโลกวัตถุ ซึ่งเป็นความจริง 100% เหมือนๆ กับกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ในพระเยซูที่บอกไว้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณไม่มีการลงโทษอีกแล้ว วิญญาณเป็นอิสรภาพ ไม่มีหนี้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกวัตถุก็ตาม ไม่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณอีกต่อไป วิญญาณเขาเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป ตลอดกาลเลย แม้กระทั่งขณะนี้ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่ยังอยู่นี้ มันยังต้องดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้อยู่ ต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะได้พระพรครบถ้วนบริบูรณ์ วางใจในพระเจ้า แล้วก็ทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีตามที่พระเจ้าบอกไว้ นี่คือพร นี่คือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับเราทั้งหลายในวันปีใหม่นี้ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************