คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 8 “กฎแห่งความจริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 8 “กฎแห่งความจริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นการบรรยายครั้งแรกของปี 2018 สำหรับผม วันนี้เราจะกลับมาคุยกันต่อในซีรี่ย์ ชุดเดิมของเรา ที่ผมเริ่มเรื่องไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ เอามาใช้ได้ตลอดกาล ใช้ได้ในทุกพื้นที่ชีวิตของเราทั้งหลาย เมื่อไรก็ใช้ได้

วันนี้เป็นตอนที่ 8 มีชื่อตอนว่า “กฎแห่งความจริง” ตลอด 7 ตอนที่ผ่านมา เราก็วนเวียนกันอยู่ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่ทุกครั้งจะเห็นผมนั่งสลับไปสลับมา เก้าอี้ขาว เก้าอี้ดำ เก้าอี้ดำ เขียนว่า “อาดัม” เก้าอี้ขาวเขียนว่า “พระเยซูคริสต์”

เราก็จะย้ำอยู่แค่นี้ เพื่อจะได้ให้เห็นภาพว่าโลกวิญญาณที่ตาเรามองไม่เห็น พระคัมภีร์บอกมีอยู่จริงๆ ลักษณะเป็นอย่างไร? พอจะเล็งออกง่ายขึ้น ซึ่งผมย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องทั้งหมด ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เล่ากันในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ สิ่งที่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องโลกวิญญาณ ต้องจำไว้ เพราะมองไม่เห็น เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ไม่สนใจ เดี๋ยวก็นึกว่ามันจริงไหม? จะคิดอย่างนี้อยู่เรื่อย มนุษย์มักกบฏ ไม่ชอบฟังพระเจ้า ไม่ชอบจริงๆ นะ ไม่อยากจะรู้ ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ

“ใช่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงมองไม่เห็นก็เชื่อ”

ให้พูดความจริงของพระเจ้าที่หน้ากระจก แล้วพูดให้ตัวเองฟังชัดๆ จำไว้ๆ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกแล้ว ตัวตน ชีวิตของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ เกิดจากวิญญาณ และวิญญาณนี้ต้องอยู่นิรันดร์ ทำไมถึงต้องใส่คำว่า “ต้อง” ถึงไม่อยากอยู่นิรันดร์ ก็เป็นอยู่นิรันดร์ เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นนิรันดร์

คำว่า “นิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงคุณภาพว่าจะดีหรือไม่ดี? แต่หมายถึงระยะทาง ความสามารถในการอยู่ได้ คือตลอดไป ไม่มีการสูญสิ้นนั่นเอง มันแปลว่าอย่างนี้ก่อน ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ว่าเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ สำคัญอย่างไร? ถึงจะต้องมานั่งพูดซ้ำๆ ซากๆ เพราะว่า 2 โครินธ์ 4:16-18 ได้บันทึกว่านี่แหละคือประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราว่าให้สนใจเรื่องโลกวิญญาณไว้ให้ดีๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

ใครที่ตื่นนอนขึ้นมา รู้สึกท้อใจ รู้สึกเหนื่อย หรือบางครั้งไม่ได้ตื่นนอนตอนเช้า บางครั้งตื่นแล้ว ก็พอได้อยู่ พอเผชิญปัญหาในตอนกลางวัน ในตอนสาย ไปทำมาหากิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เจอปัญหา เหนื่อย หมดแรง ท้อใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย มันเซ็งเหลือเกินโลกใบนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้  ก็เพราะว่าเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง ไม่ได้ย้ำกับตัวเองว่าเราไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น มันไม่จีรัง ยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์

“วิญญาณของฉันและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่ฉันมองไม่เห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ และฉันเชื่อในพระเยซูแล้ว มันดีแน่นอน ส่วนตอนนี้ฉันเผชิญปัญหาอะไรที่ตามองเห็น ฉันจับต้องมองเห็นได้ ฉันปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ เห็นชัดๆ เลย มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันต้องสิ้นสุดไป มันต้องหมดไป จะหมดไปด้วยการหายโรค หรือตัวฉันหมดไป ก็คือฉันตาย มันหมดอยู่ดี วิญญาณฉันไปอยู่ในที่ที่ดี เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว”

มันก็บรรเทาความทุกข์ยากลำบากลงมา นี่คือตัวอย่างที่ยกนิดหนึ่ง ให้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้มันแปลว่าอะไร? ทุกวันเราต้องจดจ้องอย่างนี้ ทุกวันเราต้องมองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่คริสเตียน หรือมนุษย์ทุกคนควรจะทำ

คำว่า “จิตใจภายใน” ของเรา คือวิญญาณข้างในของเรา เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน มีพลัง เป็นลูกของพระเจ้า ตรงนี้สำคัญ สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เราจะต้องจับ ยึด เกาะติดแน่นไว้ตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง ก็เพราะว่าเรามองไม่เห็น ถามว่าทำไมเรามองไม่เห็น เพราะเราตกลงไปในความบาป เราอยู่ในเชื้อของความบาป เราเป็นคนที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือตัวเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อ พระคัมภีร์บอกเราบาป มันจริงๆ พอบาปปุ๊บ ตาฝ่ายวิญญาณมันบอด พอบอด มันก็ไม่เห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่ามันมีอยู่จริง แต่ตาเราบอดไง ถามว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงไหม? มีอยู่จริง แต่ที่เราไม่เห็น เพราะว่าตาเราบอด

เหมือนร่างกายทุกวันนี้ ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก เราเห็นต้นไม้อยู่ อีกคนหนึ่งตาบอด เขาบอกว่าไม่เห็นต้นไม้ แล้วถามว่าต้นไม้มีอยู่จริงไหม? มีอยู่ แต่ทำไมไม่มีสำหรับเขา เพราะว่าเขาตาบอด ในโลกวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่มองเห็น ที่ไม่จีรังยั่งยืน ตามพระคัมภีร์บันทึกเมื่อกี้นี้ ถามว่าคืออะไร? ก็คือวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่มันสามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา สัมผัสด้วยกาย หรือสัมผัสด้วยกลิ่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่เป็นถาวรนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ และตาวิญญาณก็ไม่เห็น เพราะเราเป็นคนบาป และมันบอดไปแล้ว มันไม่เห็น ก็คือดวงวิญญาณของมนุษย์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เช่น ทูตสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมารซาตาน  สมุนของมันอีก และทูตสวรรค์ของพวกเราเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นเหล่านี้ มันมีอยู่จริง สวรรค์สถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย มีอยู่จริง ที่ไม่ใช่สวรรค์สถาน ที่เรียกว่าที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตลอดไป มีอยู่จริง

และในโลกวิญญาณมีกฎ มีความจริงอยู่ในนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นหนังสือกฎทั้งหมดเลย กฎหมายของพระเจ้า เป็นกฎต่างๆ ซึ่งใครทำตาม ก็ได้พร ใครไม่ทำตาม ก็ได้ในสิ่งที่กฎเขียนเอาไว้ เหมือนเราขับไปข้างนอก มันมีกฎหมายอยู่ คุณไม่เชื่อว่ามีกฎหมาย คุณซี้ซั้วขับไป  คุณก็ได้รับการสาปแช่ง ถูกใบสั่งบ้าง บาดเจ็บบ้างอะไรต่างๆ มีเรื่องราวปัญหา แต่ถ้าคุณออกไป คุณเชื่อว่ามันมีกฎจริงๆ แล้วคุณพยายามไปศึกษาว่ากฎเขาว่าอย่างไร? คุณก็พยายามทำตามกฎ คุณก็ปลอดภัย ไม่โดนจับด้วย

เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็มีกฎของโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ ทำให้คนๆ นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือกฎที่เขียนไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ กฎเป็นอย่างนั้น ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความเชื่อในความจริงของกฎโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ให้เรารู้ว่ามันมีกฎตรงนี้อยู่ ความจริงที่บอกว่าวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปติดอยู่ ซึ่งจะต้องใช้หนี้บาปเวรกรรม ก็คือต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอด นิรันดร์ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว อย่างที่เราบอกว่าวิญญาณต้องอยู่นิรันดร์ แต่ต้องอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทรมาน ในที่ที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

และวิธีการที่จะให้หลุดพ้นจากหนี้เวรกรรมตรงนี้ได้ ก็มีอยู่ทางเดียว ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้ ก็คือให้เชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ผู้เดียว ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาลบบาปออกไปจากดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคนแล้ว นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่มีขึ้นมา ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างนี้  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่

ผู้ใดที่เชื่อกฎนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา หรือให้กับมนุษย์ทั้งปวง ก็คือได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องเป็นหนี้ เป็นสิน ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป คือเป็นไท พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม “ชอบธรรม” หมายถึงเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษ ชอบธรรมแปลว่าถูกต้อง ดีแล้ว นี่คือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ กฎนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับสิทธิ แค่นั่นเอง เรามาดูต่อไปว่าไม่เชื่อ ไม่ได้รับ มันคืออะไร?

คำว่า “ไม่ได้รับสิทธิดีๆ จากพระเจ้า” ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราเรียกกันว่าไม่ได้รับพระพรจากกฎ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณนี้ เพราะว่าไม่เชื่อในกฎนี้  ก็ไม่ได้รับอิสรภาพ จากกฎที่บอกว่าเป็นอิสรภาพแล้ว ก็เป็นหนี้บาป เวรกรรมติดตัวอยู่ ที่ยังคงต้องชดใช้ด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งไม่มีทางใช้หมดเลย

ฉะนั้น คำพูดที่บอกว่าผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี ก็คือได้รับคำสาปแช่ง ก็คือไม่ได้รับพระพร ผู้ใดที่ไม่เชื่อกฎวิญญาณที่พระเจ้าบอกนี้  ก็จะไม่ได้รับพระพร ก็คือไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎนี้นั่นเอง พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าได้รับคำสาปแช่ง อะไรก็ตามที่มันไม่ดีแค่นั้นเอง ท่านอย่าไปคิดมากเลย คำสาปแช่ง ก็เหมือนกับขึ้นศาล ผู้พิพากษาตัดสินคดี แล้วบอกว่าท่านต้องถูกจำคุก การถูกจำคุก ก็เรียกว่าท่านถูกสาปแช่ง หรือสั่งว่าท่านต้องไปชดใช้หนี้เขาพันล้านบาท นี่คือคำสาปแช่ง แต่ถ้าศาลบอกว่าท่านเป็นอิสระ ท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย กลับบ้านได้ อย่างนี้เรียกว่าพระพร

พระพร คำสาปแช่ง จะเอาแบบไหน?  วันนี้ผมจะเอาวิถีทางที่ท่านจะได้พระพร และคำสาปแช่งมาวางไว้ตรงหน้า ให้ท่านเลือกเอา ท่านอยากได้พรหรืออยากได้คำสาปแช่ง ท่านมีสิทธิ์เลือกด้วยตนเอง พระเจ้าก็เลือกให้ท่านไม่ได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สามารถมองดู ถ้าท่านเลือกพระพร ท่านได้พรแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าดูอยู่ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับท่านเลย แต่ถ้าเลือกคำสาปแช่ง พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะท่านเลือกเอง

แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มันก็ยังเป็นอยู่วันยังค่ำ หลายคนบางครั้งพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ถ้าเราไม่เชื่อ” ก็ปลอบใจตัวเองว่า  “มันคงไม่ได้เป็นไปตามนั้นหรอก”

พอเราไม่เชื่อ เราก็นึกว่ามันไม่ใช่ แต่อย่าลืมว่าถึงเราไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าคนที่ไม่เชื่อ ก็ถูกปรับโทษอยู่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อปรับโทษ มาเพื่อสาปแช่งมนุษย์เลย แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ที่กำลังถูกสาปแช่งอยู่นั้น ลองอ่านดูยอห์น 3:16-18 ดูสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? พระเยซูคือใคร? มาทำอะไร? นี่คือกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสอนเรา ให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ เพื่อประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเอง พอรู้จักความจริง เราเลือกในสิ่งที่ดี สิ่งที่ดี ก็เข้ามาในชีวิตของเรา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เชื่อพระเยซู แต่เขาถูกสาปแช่งอยู่แล้ว พอเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูมาช่วยเขา เขาก็เลยอยู่ที่เดิม ไม่ได้หนักขึ้น อันเก่าก็หนักพอสมควรแล้ว

นักประกาศหลายท่าน รวมทั้งบิลลี่ แกรแฮม ได้บอกว่าถ้อยคำที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสมือนหัวใจของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่รวมเอาแผนการของพระเจ้าทั้งหมด รวมเอาพระลักษณะของพระเจ้า รวมเอาเหตุและผลของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาไว้ในข้อพระคัมภีร์ 3 ข้อนี้

แผนการของพระเจ้า คือต้องการช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป เวรกรรมทั้งหลาย ก็คือคำสาปแช่งที่ถูกสาปไป ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม

พระลักษณะของพระเจ้าที่เราได้เห็นในข้อนี้ คือความรัก ความเมตตา ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ถึงขนาดยอมให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษยชาติ คิดดูก็แล้วกัน นี่คือความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สำแดงออกแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน

เหตุและผลของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่ ต้องได้รับโทษของความบาป คือการสาปแช่ง และทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้นได้ ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทรงเอาไปแล้ว เชื่อว่าพระเยซูมาเป็นแพะรับบาปแทนเราแล้ว

เพราะฉะนั้น ผลของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็จะไม่ถูกลงโทษ ไม่อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป เป็นอิสระไปเลย ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม ก็ถูกสาปแช่งเหมือนเดิม นี่คือความจริงของกฎของโลกวิญญาณ  ซึ่งมีอยู่จริงๆ พระเจ้ากำลังสำแดงให้กับเรา ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ มีกฎนี้อยู่จริงๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านจะรับสิทธิของท่านหรือไม่ก็ตาม แต่มันมีกฎนี้อยู่จริงๆ

ซึ่งกฎนี้ สรุปได้อย่างนี้ว่าก่อนที่พระเจ้าจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ให้นั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความรักเมตตา ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จึงทำให้เกิดข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ขึ้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน ตามแผนการของพระเจ้า เพื่อมาไถ่บาป เพื่อมารับโทษของความบาป แทนมนุษย์ทั้งปวง ทำให้มนุษย์ทั้งปวงสามารถเป็นอิสรภาพจากความพินาศนิรันดร์ ในนรกได้ โดยแค่เชื่อพระเยซู เชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ

มีนักเขียนอยู่คนหนึ่ง เป็นนักเขียนหนังสือที่โด่งดังมาก เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเขียนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ มีผลงาน ขายดีที่สุด หรือ The best seller ออกมาเยอะแยะ แล้ววันหนึ่งเขาก็เขียนหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เป็นหนังสือใหม่ของเขา  มีชื่อว่า “ทำอะไรจึงได้ไปสวรรค์” และ “ทำอะไรจึงต้องไปนรก” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมาก เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ อยากจะแสวงหามาก เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน รู้ว่าตัวเองอยากไปสวรรค์ เมื่อจากโลกนี้ไป ไม่อยากจะไปอยู่ในนรก คนก็ดีใจ

“ฉันอยากจะรู้ เพราะฉันอยากไปสวรรค์ มาสอนฉันว่าไปอย่างไร? สบาย”

และยังสอนด้วยว่าทำอย่างไรไปนรก ไม่มีคนอยากจะอ่าน แต่อ่านดูนิดหนึ่ง เผื่อเรากำลังทำ จะได้เลิกทำ

หนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือทำอะไรได้ไปสวรรค์ เรื่องที่สอง คือทำอะไรได้ไปนรก ทุกคนก็สนใจมาก ไปซื้อหนังสือเล่มนี้มา เล่มหนามาก พอเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมา หน้าแรก เขียนหัวเรื่องใหญ่โตเลยว่าเพราะมนุษย์ทำอะไร จึงได้ไปสวรรค์ แล้วหน้าต่อๆ ไป ทั้งเล่มเลยนะครับ เปิดไป เป็นกระดาษเปล่าหมดเลย  ไม่ได้บันทึกอะไรเลย ประมาณเกือบครึ่งเล่ม แล้วก็มีตัวหนังสือโผล่มาที่กลางเล่ม เขียนตัวโตๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อ จบเรื่องแล้ว

แล้วทุกคนก็ต่อไป แล้วจะไปนรก ทำอย่างไร? ก็เปิดต่อ นี่คือครึ่งเล่มแล้วนะ เขียนหัวข้อตัวใหญ่เหมือนกันว่า “เพราะมนุษย์ทำอะไร จึงต้องไปนรก” ไม่อยากไปนรก จะได้ฝึกฝนทำตามที่เขาสอน  และก็เหมือนเดิม หน้าต่อไป ว่าง ว่าง ว่าง จนหมดเล่มเลย มาเจอคำตอบ หน้าสุดท้ายเขียนตัวใหญ่มากว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” จบเล่ม

ไม่ต้องทำอะไรเลย  นี่คือความหมายของความจริง ของกฎของโลกวิญญาณ ที่บอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ถูกสาปแช่ง แต่ใครที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อความจริงตรงนี้ เราหรือใครก็ตาม ก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่าพระพร ตามที่พระเจ้าสอนไว้ บอกไว้ ในกฎ ในความจริงของพระองค์ ซึ่งพระพรตรงนี้ ก็มีเงื่อนไขของเวลา ตามที่พระคัมภีร์เขียนบันทึกไว้ว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือก่อนที่วิญญาณออกจากร่าง ตายจากโลกนี้ไป หรือไม่ก็พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ถ้าถึงตอนนั้น ก็หมดเวลาที่จะตัดสินใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? ไม่มีสิทธิ์ บางคนบอกว่าหลังความตายค่อยมาตัดสินใจว่าจะเลือกเชื่อพระเยซูหรือไม่? จะได้เห็นทันตาวิญญาณเลย พอตายไปปุ๊บ ก็เห็นเลย  เพราะทุกวันนี้ไม่เห็น เพราะร่างกายมันถูกสาปแช่ง อยู่ในร่างกายที่แย่มาก มันบอดทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จะเห็นแล้ว ค่อยมาเชื่อได้ไหม? ถ้าได้ผมก็ไม่ต้องมาประกาศสิ ถ้าได้พระเยซูก็ไม่ต้องมาประกาศ ถ้าได้พระเจ้าคงล้างโลกเลย มนุษย์ทุกคนก็รอดหมด เพราะทิ้งร่างกายนี้ไป ก็เจอพระเยซูหมด

ถามว่าทำไมไม่ได้? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ ต้องเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เป็นมนุษย์จริงๆ  เพื่อมาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ เริ่มครอบครัวใหม่ เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่ เริ่มสำมะโนครัวใหม่ของมนุษย์ เพื่อมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น มนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อและเลือด พระเยซูบอกเรามีเลือดและเนื้อ คือเราเป็นมนุษย์จริงๆ เราไม่ได้เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณ ไม่มีร่างกายนี้ เราไม่ได้เรียกว่ามนุษย์ … มนุษย์ต้องมีร่างกายนี้อยู่

พระเยซูตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาป แทนมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์เท่านั้น จึงมีสิทธิที่จะไปรับสิ่งที่พระเยซูทำได้ แต่เมื่อมนุษย์วิญญาณออกจากร่างแล้ว เขาไม่มีร่างกายแล้ว เขาไม่เป็นและไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป เขาถูกเรียกว่าเป็นวิญญาณ หรือภาษาไทยเดิมเรียกว่าเป็นผี ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ ธรรมดา ผีก็คือวิญญาณ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คนไม่เข้าใจ คิดว่าพระเยซูเป็นผี ใช้คำว่าผี … ผี ก็คือวิญญาณ … วิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นวิญญาณ ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เป็นตัวแทนรับโทษบาปให้กับวิญญาณ หมดสิทธิ์ไปเลย

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก เราไม่รู้ว่าวันเวลาใดที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แล้วเราจะกลับมารับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่มนุษย์ พระเยซูเป็นตัวแทนมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ แล้วเรามาเรียนรู้ เพื่อเราจะได้พระพร ได้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ในการตัดสินใจนั่นเอง

และทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อพระเยซูอย่างเดียว เราก็ได้รับพระพร ได้รับอิสรภาพ ตามสิทธิที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อพูดแบบนี้ ก็มาดักกันอีกทางว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอย่างนี้ก็สบาย มาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ พระเยซู พระเจ้าก็อภัยให้หมด จะทำผิดทำบาป ก็ได้ ได้รับการอภัยให้หมดเลย เดี๋ยวก่อน ฟังตรงนี้ต่อไป ได้หมดเลย ได้พระพรหมดเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะในพระคัมภีร์สอนถึงเรื่องกฎต่างๆ แม้ว่าเราจะบอกว่ากฎของโลกฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด ก็ตาม

ถ้าใครกำลังคิดว่าสบาย มาเชื่อพระเยซูแล้วจะทำอะไรก็ได้รับพระพรแน่ๆ อยากจะเตือนว่าอย่าลืมว่าชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันก็มีกฎของโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเรียกว่ากฎฝ่ายวัตถุ คือฝ่ายที่ตามองเห็นอยู่เหมือนกัน ความรอดที่ได้รับมาแล้ว เป็นสิทธิในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นความรอดในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ใช่กฎทางโลก แต่มันมีกฎของโลกวัตถุด้วย สิ่งของที่จับต้องได้ มันมีกฎอยู่ แล้วพระเจ้าก็เขียนไว้ในนี้หมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็ยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา

เช่นเดียวกัน เราก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับกฎของโลกวัตถุนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แม้ว่ามันจะสำคัญน้อยกว่าโลกฝ่ายวิญญาณก็ตาม ไม่ใช่ไม่มองมัน แล้วก็ไม่สนใจ แต่มิพระพรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจแล้วว่าวิญญาณเราไปสวรรค์แน่นอน ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ 100% ตามพระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เรายังไม่ทิ้งจากร่างนี้ไป เราอยู่ในร่างมนุษย์นี้นะ ในขณะเดียวกัน เรานั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเช่นกัน  ตอนนี้ อยู่ในสวรรค์แล้ว เราเชื่ออย่างนี้ก็ตาม

แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องให้ความสนใจด้วยว่าแล้วกฎแห่งการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ที่ยังเป็นมนุษย์ แต่อยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่วิญญาณอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์ มันเป็นอย่างไร? และจะต้องทำอย่างไร? แม้พระคัมภีร์จะเตือนแล้วว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แม้วิญญาณจะอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน เผชิญกับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ แต่เราก็ยังมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อให้ทุกข์ยากลำบากน้อยที่สุด เท่าที่เราทำได้ เพราะพระเจ้ารักเรา อยากให้เรามีความสุขที่สุด แม้ว่าวิญญาณเราจะอยู่ในสวรรค์ก็ตาม

ความจริงของกฎ แห่งโลกวัตถุ พระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าถ้าท่านหว่านสิ่งใดลงไป ท่านก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กลับมา กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็คือถ้าท่านหว่านสิ่งที่ดี หว่านสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ท่านก็ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพรกลับมา แต่ถ้าท่านหว่านสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้า ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ไม่เป็นพระพร เรียกว่าคำสาปแช่งมาเหมือนกัน ไม่ว่าวิญญาณท่านจะอยู่กับพระเยซูแล้วหรือไม่ก็ตาม เอเมน

ทำในสิ่งที่ดี หมายถึงดี ตามพระคัมภีร์บอก ไม่ใช่ ดีตามที่ท่านบอก ดีตามที่ท่านคิดกับดีของพระเจ้า บางอย่างมันเหมือนกัน แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกัน

พระคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของกฎ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะว่าทั้งโลกแห่งวิญญาณและโลกวัตถุนี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างพิมพ์เขียวขึ้นมาทั้งหมดเลย พระองค์เป็นผู้กำหนดว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จะดำเนินไปทางไหน? อย่างไร? ต้องพบกับอะไร? นี่คือโลกวัตถุ แน่นอนว่าพิมพ์เขียวของพระเจ้าต้องเป็นพิมพ์เขียวที่ดีที่สุด ต้องเกิดผลดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะเป็นลูกของพระองค์ เขียนก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้วว่ามีกฎอยู่ตรงนี้ ให้มนุษย์ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ในบ้านหลังนี้ เรียกว่าโลกนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อในพิมพ์เขียวของพระเจ้า คือดำเนินชีวิตตามคำบอก คำสอน คำแนะนำของพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งที่เราหว่านลงไป คือสิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ คือได้รับพระพร ชีวิตก็ทุกข์น้อยๆ หน่อย แต่ถ้าเราไม่ยอมฟัง ดื้อดึง ซึ่งมันก็เป็นนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป พยายามที่จะดื้อ เดินห่างออกจากคำสอนของพระเจ้า ออกจากพิมพ์เขียวที่พระเจ้าบอกไว้ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โอกาสที่ชีวิตเราจะเดินบนโลกใบนี้ จะพบกับความผิดพลาด พบกับความล้มเหลว พบกับความทุกข์ ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะได้รับพระพรทางโลกวิญญาณแล้วหรือไม่ก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าแม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนก็ตาม

เหมือนเวลาที่เราจะสร้างบ้าน ก่อนลงมือสร้างบ้าน เราก็ทำแปลน เราก็ดำเนินตามแปลนนั้น ทำซะอย่างดี พอเริ่มสร้าง ซีซั่วทำ มั่วซั่ว บ้านก็พังลงมา ก็เช่นเดียวกัน พิมพ์เขียวของพระเจ้ามีบอกไว้เยอะ เต็มไปหมด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มนี้ บอกทั้งหมดเลย เรียนไม่จบเลย มีพิมพ์เขียวบอกเสร็จสรรพเลยว่าท่านควรจะทำอะไร? และได้อะไร? ถ้าเราเชื่อตรงไหน? เราก็จะได้พรตรงนั้น ถ้าตรงไหนเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ มันแยกกันนะ ไม่ใช่ว่าได้ตรงนี้ แล้วได้หมด ไม่ใช่ โลกวิญญาณท่านได้ไปแล้ว แต่โลกวัตถุ ถ้าท่านทำสิ่งนี้ ท่านก็ได้สิ่งนี้ ถ้าท่านไม่ทำ ท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าวางเป็นกฎระเบียบว่าท่านทำสิ่งนี้ มันก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น ท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะได้อย่างนี้  ถ้าท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้อย่างนี้ อะไรต่างๆ

ยกตัวอย่าง ในพระคัมภีร์บันทึกมาเป็นหลายพันปี บอกว่าเนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านควรกิน? เนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านไม่ควรกิน? ถ้าท่านกินสิ่งที่ไม่ควรกิน ที่เรียกว่าเป็นมลทิน สัตว์สกปรก ที่พระเจ้าบอกไว้ ท่านจะเป็นโรค เกิดความทุกข์ทรมานในร่างกายของท่าน เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอะไรต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงอันนั้น หมายถึงว่าเกิดอะไรไม่ดีในร่างกายของท่าน

ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจจะสัก 40 – 50 ปี ไม่เกินนี้ จนมาถึงปัจจุบัน พึ่งจะค้นพบทางวิทยาศาสตร์เห็นว่าสัตว์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน มันสกปรกจริงๆ มันมีสารเคมีอะไรบางอย่างที่เป็นสารเคมีที่เขาใช้ชื่อตามวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่าสารตัวนี้ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคน

ยกตัวอย่าง ปลาดุก ปลาที่มีหนวด ปลาที่ไม่มีเกล็ด ปัจจุบันเขาค้นพบแล้ว ปลาพวกนี้ มันมีไขมันที่เลวมาก มันสกปรกมาก มันกินขยะทั้งนั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะ ถามว่าเราเป็นคริสเตียน เราอยากจะกิน กินได้ไหม? ได้ ก็ในเมื่อโลกวิญญาณสำคัญกว่า อย่างไรเราก็อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็เจ็บป่วย

“พระเจ้า รักษาลูกให้หายโรคที”

จะรักษาอย่างไร? ในเมื่อกินอยู่อย่างนั้น พระเจ้าก็ต้องมาเริ่มต้นเบอร์หนึ่งใหม่ ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ในการกิน อดทนหน่อยนะ เอามีดจ่อคอหอยหน่อยนะ สิ่งที่ไม่ดี ก็อยากกิน สิ่งดีๆ ก็ไม่อยากกิน เพราะถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง เพราะมนุษย์อยู่ในความบาป ร่างกายนี้ ยังอยู่ในอิทธิพลของความบาปอยู่ แม้ว่าวิญญาณเราจะรอด วิญญาณเราจะถูกสร้างใหม่เอี่ยม ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้เลย  วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้าตลอดชั่วนิจนิรันดร เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจดแล้วทั้งสิ้นเลย ก็ตาม แต่ร่างกายเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าจะใช้เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น มันยังอยู่ในกฎของโลกวัตถุอยู่ กฎของโลกวัตถุบอกว่าอย่ากินอันนี้นะ กินแล้วมันจะเป็นโรค เราก็ไปกิน เราก็เก็บเกี่ยวความเป็นโรคเข้ามาในร่างกายของเรา ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย ใน 1 โครินธ์ 3:10-15

1 โครินธ์ 3:10-15 “10  โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้น แต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

จริงๆ แล้วตรงนี้ ไม่ค่อยตรงกับที่ผมพูดมาทั้งหมดหรอก มันเป็นการบอกกล่าวถึงคนที่มีหน้าที่เป็นนักประกาศ ไม่ใช่ผู้เชื่อธรรมดา ผู้ที่มีหน้าที่ออกไปสอน  ออกไปประกาศ บางทีสอนๆ ไป ก็ใช้เนื้อหนังเข้าไปด้วย ต้องการชื่อเสียง ต้องการอะไร? ซึ่งตัวเขาเอง เขาก็เชื่อพระเยซู เขาก็ได้รับความรอด แต่ได้รับแบบทุกข์ทรมาน เพราะว่าอย่างอื่นไปทำไม่ถูก

ยกตัวอย่าง ถ้าเราเป็นคริสเตียน แล้วเราไปโกงเขา การเป็นคริสเตียนของเรา ก็เป็นวิญญาณอยู่ ได้รับความรอดอยู่ แต่เราไปโกงเขา เราจะต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ซึ่งตอนนั้น เราอาจจะรู้สึกว่าดี พระเจ้าอวยพรๆ เดี๋ยวก็โดน เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้เช่นไร มันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนเอาอันนี้มาอ้าง อธิษฐานในใจ แต่คำอธิษฐานนั้นเอาเปรียบชาวบ้านเขาหมดเลย พระเจ้าตอบคำอธิษฐานด้วย  ก็จะไม่ตอบได้อย่างไร? เราอยากได้อย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ใจเราอยากได้ เราก็พุ่งตรงไปทำสิ่งนั้น มันก็ได้สิ ก็คือเราหว่านสิ่งนั้น เราก็ได้ เอาเปรียบเขา ปกปิดเขา ไม่ให้เขารู้ พระเจ้าก็เตือนเราหลายครั้ง แต่เราไม่ได้ยินหรอก เพราะว่าเนื้อหนังเรามันเสียงดังกว่า

“พระเจ้าอวยพรแล้ว เอาเลย”

เราก็คว้าหมับ แล้วอย่างไร? ถ้ามันสำคัญจริงๆ ก็ติดคุก ติดคุกแล้วอย่างไร? ก็อธิษฐานกับพระเจ้า และถ้าออกมาแล้ว ยังไม่สำนึกอีก ติดอีกไหม? ก็แล้วแต่ว่าคุณจะทำอะไร? นึกออกใช่ไหม?

มันต้องมีเหตุจากเราทั้งสิ้น อย่าไปโทษพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าให้เกิดขึ้น ไม่มี ถ้าทำได้ พระเจ้าไม่ให้เกิดอะไรที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระองค์ทรงรักเรามาก อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 2 เหตุผล

เหตุผลแรก ก็คือเราไม่รู้จริงๆ เหมือนกับโลกกลมกับโลกแบน ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร? ไม่รู้จริงๆ ว่ากินอันนี้ เห็นเขาบอกกินได้ ก็กิน ไม่รู้จริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้ความจริงเฉยๆ แต่มีอีกฝั่งหนึ่ง คือทั้งๆ ที่รู้ความจริงด้วยว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่าโลภ แต่เราจะโลภ เราสู้เนื้อหนังไม่ได้

เห็นไหม มันมี 2 ลักษณะ เพราะฉะนั้น อย่านึก แต่ทั้งสิ้นทั้งหมด มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเจ้าทำให้เราเป็นอะไร? เราเองเป็นผู้เลือก

วันนี้เอามาฝากท่านว่าให้ท่านเลือกเอา จะเอากฎไหน? กฎที่ได้พร หรือกฎที่ได้คำสาปแช่ง

สรุปว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นมาวันนี้ บอกแล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล เพราะว่ากฎหมายของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโรม 8:1 บอกว่า …

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษใดๆ คำสาปแช่งใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปที่อยู่ในอาดัมและความตาย คืออยู่ในอาณาจักรมืด”

 

นี่คือกฎหมายของพระเจ้าที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้วว่าตอนนี้ ท่านอยู่ในกฎไหน? เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่นี่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ กฎวิญญาณ ไม่ใช่กฎโลกวัตถุ กฎวิญญาณ ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันดีใจก่อนแล้วกัน

สัปดาห์หน้ามาเรียนรู้กันต่อครับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************