คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 6 ยังอยู่ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอนที่ 3 เรามาทบทวนความเข้าใจ ขั้นพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณที่เราได้สรุปไว้ในครั้งที่แล้วกันก่อน ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากขึ้น  อยากจะเรียนรู้จักพระเยซูมากขึ้น  อยากจะมีชีวิตที่เจริญเติบโตในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น อยากจะคุยกับใครถึงเรื่องพระเจ้า อยากจะตอบคำถามที่อยู่ในใจเราตั้งนานแล้วมากขึ้น เราต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ความจริงในโลกวิญญาณนั้นว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ให้มีความมั่นใจ มองอะไรต่างๆ ในชีวิตนี้ มันจะเปลี่ยนไปหมดเลยว่าเรามองทะลุไปถึง เรื่องทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ

เรามาทวนนิดหนึ่ง เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมและครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า ที่มนุษย์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าสร้าง ก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของศัตรูต่อพระเจ้า ก็คือมาร ขัดคำสั่งพระเจ้า เราเรียกกันตามภาษาพระคัมภีร์ว่าล้มลงในบาป “บาป” ก็คือการพลาดจากเป้าพลาด (Miss the target) ที่พระเจ้าตั้งใจให้ลูกพระองค์เป็นอย่างนี้ มันพลาดเป้าไป บาปก็เข้ามาในมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือโลกวิญญาณ ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง  ก็กลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลายก็ได้รับเชื้อหนึ่ง เรียกว่าบาปกันหมดเลย เป็นตระกูลแห่งการกบฏ เพราะมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นมนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาป ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา โลกกบฏต่อพระเจ้า ความมืดเข้ามา

จนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ตั้งแต่วันนั้น จนมาถึงวันนี้ โลกวิญญาณ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งแสงสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด ซ้อนกันอยู่ ซึ่งเปรียบได้กับ 2 เผ่าพันธุ์ 2 ครอบครัวใหญ่ๆ ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ปกครองครอบครัวนี้ด้วยความรัก มีพระเยซูเป็นพี่ เรียกเราทั้งหลายว่าน้อง เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์

อาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยังไม่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวนี้ปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ลักษณะเป็นทาส เป็นนักโทษ เป็นลูกหนี้ คอยถูกตามทวงตลอดชีวิต นี่คือภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และมนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่เป็นสมาชิกในครอบครัวของอาดัม ก็จะเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ หรืออยู่ในประเทศใดในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่เกี่ยวกับประเทศจีน ไม่เกี่ยวกับอเมริกา เกี่ยวกับ 2 อาณาจักรเท่านั้น คือท่านไม่อยู่ในอาดัม ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด พระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนั้น

เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ไม่ถูกมารหลอก ผ่านการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านความคิดเก่าๆ ของเรา ผ่านทางเพื่อนฝูงของเรา และผ่านทางในคริสตจักรเอง โดยเราไม่รู้อะไร แล้วสอนผิดไป ก็ถูกหลอก โดยรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง บางครั้งไม่รู้ เพราะว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังมันบังไว้ บางทีเราอยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ มันก็เผลอตัวไป ถูกหลอก แล้วก็สอนในสิ่งที่ผิดไป ก็เป็นไปได้ หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะหลอก และไม่ได้ตั้งใจอยากได้อะไร? แต่มันไม่รู้จริงๆ นึกว่าถูกแล้ว ก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย สามารถจะถูกหลอก ในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยอยู่ที่นี่

ตอนที่เริ่มใหม่ๆ เมื่อ 24 ปีที่แล้ว เราก็สอนอะไรหลายอย่างที่มันผิดไป แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น เรานึกว่ามันถูกแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องอำนาจ จะต้องเรียกเงินเข้ามา จะต้องหายโรค จะต้องอะไรต่างๆ เราไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อเรารู้ พระวิญญาณสอนเรา เราก็คำนับ และรับเอาสิ่งนั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ ให้มันถูกต้องว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ที่เราเคยสอนว่ารักษาเราหายทุกโรค ถ้าเราเชื่อในถ้อยคำนี้ มะเร็งเราก็หาย มันไม่จริง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ เราก็อยากได้ทางโลกวัตถุ  แต่ในโลกวิญญาณหมายถึงด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน รักษาเราให้หายจากโรคบาป ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ วิญญาณเราหายแล้ว เหมือนกับที่เรากำลังเรียนรู้เรื่อง 2 โลกว่าตอนนี้เราอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

และเมื่อเราทั้งหลายรู้แล้วว่าเรามาเชื่อพระเจ้า … เชื่อพระเจ้า หมายถึงยอมรับในข่าวประเสริฐของพระเยซู ยอมรับเชื่อ ในพระคัมภีร์จะพูดเสมอว่าให้ท่านเชื่อ ท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านคิดว่าพระคัมภีร์บอกให้ท่านเชื่อ หมายถึงเชื่อว่าพระเยซูรักษาท่านหายโรคได้ พระเยซูทำให้ท่านร่ำรวยได้ พระเยซูสามารถใช้หนี้สินที่ยังติดอยู่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเอาอาณาจักรแห่งความสว่างมาสถาปนา ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แล้วท่านยอมรับตรงนี้ ที่ท่านยอมรับพระเยซูว่าท่านเชื่อตรงนี้  ทันทีทันใดนั้น ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง วินาทีนั้นเลย แต่เราไม่รู้ว่ามันวินาทีไหน? ที่เราเชื่อจริงๆ เราอาจจะได้ยินคนพูดเรื่องนี้มา 5 ครั้งแล้ว เริ่มต้นเชื่อนิดๆ หน่อยๆ แต่มันยังไม่เกิดขึ้นในวิญญาณเราจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นครั้งที่ 15  ที่เราได้ยินเรื่องนี้ หรืออาจเป็นครั้งที่ 500 เราได้ยินเรื่องนี้ แล้วเราปิ๊งขึ้นมาทันทีในวิญญาณของเรา ในวินาทีนั้น มันเกิดสิ่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายจากโลกวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าทันทีเลย

ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีผู้ใด หรืออำนาจใด หรือสิ่งใดๆ หรือการกระทำใดๆ ที่จะสามารถนำท่านออกไปจากอาณาจักรนี้ได้อีกแล้ว ท่านจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง โดยที่ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์ พอท่านย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างแล้ว ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่มีทางออกไปอีกแล้ว มันจริงตามนั้น เพราะท่านเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีทางเลย มันอยู่ไปตลอด ไม่มีการมาอยู่ แล้วก็ออก เข้าๆ ออกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง ตอนนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านออกไปได้ไหม ถ้าเราเข้าไป แล้วเราออกมาได้ ก็แสดงว่าวันนี้เข้า พรุ่งนี้ออก วันนี้ทำดี ก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้า พรุ่งนี้ไปตะคอก ไปโกหกเขา ไปโมโหด่าเขา ทันทีทันใด ไปอยู่ที่มืดแล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหม? ท่านอยู่กับพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าดองกัน แยกกันไม่ออกเลย  วันนี้ทำดี วันนี้มาโบสถ์วันอาทิตย์ เลยอยู่ที่นี่  เดี๋ยวเดินออกไป แดดมันร้อน โมโห หงุดหงิด ไปด่าคนเขาบนรถเมล์ มาอยู่มืดเลยเหรอ กลับไปถึงบ้าน นึกขึ้นได้ พระเจ้าขอโทษด้วยๆ ทำผิดไปแล้ว เข้าไปอยู่สว่าง ลูกทำข้าวให้กินวันนี้ โมโหหิว ทุกทีให้ทำ 6 โมงเย็น ทำไมวันนี้ ไม่ทำ ลูกบอกลืมไป ตวาดลูก กลับไปอยู่มืดอีก อย่างนี้เหรอ เพลินๆ อิ่มแล้วสบายใจ นึกขึ้นได้ตะกี้ไปตวาดลูก บอกพระเจ้าลูกเสียใจด้วย  ท่านจะกลับไปกลับมาวันละกี่ครั้ง? ท่านลองนึกดู เป็นไปได้ไหม?

ความคิดเดิม ความเชื่อเดิม เราคิดอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่เราไม่ได้เอามาเจาะให้มันลึกละเอียดๆ อย่างนี้  พอเจาะละเอียดๆ อย่างนี้ เราก็จะรู้ว่าเราคิดผิด มันไม่ใช่ พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าใคร พระเจ้าบอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ไม่มีใครต้านทานได้ ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจใด ก็ไม่สามารถเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ อย่างนี้ค่อยสมควรร้องเพลงพระเจ้ายิ่งใหญ่ ถูกไหม? ไม่ใช่กลับไปกลับมา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ตลอด เราจะอยู่ในความสว่าง

ตอนนี้ถ้าท่านต้องกลับไปที่บ้านทุกคืน แล้วนั่งคิดว่าวันนี้ตรงไหนบ้างที่ฉันยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วเกิดลืมไป ทำอย่างไร? ท่านต้องเอากระดาษแผ่นหนึ่ง เดินไปที่ไหนท่านคอยจด อันนี้ทำไม่ถูกต้อง กลับมาถึงบ้านเปิดลิสมาเลย 1, 2, 3, 4  สารภาพไปเลย สบายใจหน่อย หลับสนิท อย่างนั้นเหรอ ท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ อีกทางหนึ่งต้องใช่สิ นั่นแหละคือทางพระคัมภีร์เป๊ะเลย ผมจะพาท่านไปอ่าน โรม 3:22-26

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงได้ไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ความชอบธรรมจากพระเจ้า คือพระเจ้าตัดสิน แล้วว่าท่านไม่มีบาปแล้ว  ท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ไม่มีโทษ ไม่มีตำหนิ ขาวมาก เรียกว่าผู้ชอบธรรม  … อธรรม คือท่านอยู่ตรงนี้ (ฝั่งดำ) ท่านเต็มไปด้วยความบาป สกปรก กบฏต่อพระเจ้า ต้องใช้หนี้เขา แต่บัดนี้ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าเรียกท่านว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว อยู่ที่โลกแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซู อยู่กับพระเจ้าแล้ว ทันทีทันใด ในขณะที่ท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านก็อยู่ในความสว่างนั้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยไป เอเมน

ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ ได้ไถ่ แสดงว่ามันสำเร็จไปแล้ว ตอนพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว ได้ไถ่แล้ว ได้จ่ายเงินให้ครบหมดเรียบร้อยแล้ว จ่ายหนี้ให้พวกเธอหมดแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว เมื่อไรใครรับเชื่อ ก็ได้เลย” เอเมน

“ได้” คือสำเร็จแล้ว  พูดถึงการไถ่ของพระเยซู เมื่อไร? ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ยุคคริสเตียน หรือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว จะใช้คำว่า “ได้” ทั้งนั้น ผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นอดีตไปแล้วทั้งนั้น  เอเมน แค่นี้นิดเดียว ความเชื่อเราเปลี่ยนไปแล้ว นึกว่ายังไม่ได้ รออยู่ตั้งนาน ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่พวกเขา

หมายถึง 2 พวกเท่านั้นเอง คือคนที่เชื่อพระเยซู และคนอิสราเอล 2 พวกนี้พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เป็นผู้ชอบธรรม โลกนี้มี 2 เผ่าพันธุ์ คือยิวและอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่ได้เป็นยิว เราก็อยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็นยิว แต่เราเชื่อในข่าวดี คนที่เป็นยิว เขาก็จะต้องเชื่อในข่าวดีเหมือนกัน เขาจึงจะได้รับความรอด ไม่แตกต่างกัน เอเมน

ในนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตพระเยซู ถ้าท่านฟังผมพูด ท่านจะรู้แล้วว่าตรงนี้ต้องแปลว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูเป็นเครื่องลบบาป ทำเสร็จไปแล้วทั้งนั้น แก่ผู้ที่มีความเชื่อ เชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้  คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทำให้เรียบร้อย ต้องเขียนคำว่า …

“พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ สำแดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ และโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ลงโทษบาปที่ทำไปก่อนหน้านั้น”

ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด ลบออกหมดเลย หลังพระเยซูคริสต์ ลบออกหมดเลย พระองค์ได้กระทำเช่นนี้  เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ ในการปัจจุบัน ก็คือหลังจากพระเยซูตายและเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เพื่อว่าพระองค์จะเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ในบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ก็คือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เชื่อในพระเยซู พระองค์นับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้านับเราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ตัดสินเราเรียบร้อยแล้วว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม สมควรนั่งกับพระเยซูในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ทันทีทันใด เมื่อใครก็ตาม เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด ขณะที่เขาเริ่มต้นเชื่อ เขาอาจจะฟังครั้งแรก มีคนมาพูด เขาก็สนใจนะ หรืออาจจะไม่สนใจก็ได้ ฟังครั้งที่ 2 จากวิทยุ เขาพูด ก็ดี อีกครั้งหนึ่ง ฟังครั้งที่ 300 จากใบปลิว ก็ดีเหมือนกัน ฟังครั้งที่ 7,000 จากเพื่อนสนิท ฟังครั้งที่หนึ่งหมื่น  จากภรรยาตัวเอง  มันเกิดอะไรขึ้นมา เกิดเอาไปคิด นั่งอยู่ที่บ้านก็คิดๆ ในเช้าวันหนึ่ง ก็คิด

“ฉันเอาดีกว่า ฉันเชื่อแล้วล่ะ”

นั่นแหละเขาเรียกว่ารับเชื่อ ในวิญญาณของเขามันเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เขายังไม่รู้ตัวเลย ไม่ต้องมีความรู้สึกขนลุก ขนพอง สยองเกล้า ไม่ต้องมีดีใจ ร้องไห้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ บางคนไม่ได้ขึ้นอยู่ตรงนั้น บางคนอาจจะรู้สึก เชื่อพระเจ้าดีกว่า ซึ่งอาจจะเป็น ณ วินาทีนั้นก็ได้ ที่วิญญาณของเขาเกิดใหม่จริงๆ พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเจิมเขา เรียกว่าชุบเขา เรียกว่าบัพติศมาเขา ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าย้ายเขามาอยู่นี่เลย  และนับเขาว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าเขายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปแล้ว พระเยซูรับเขาแล้ว จบ เขาก็มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้มาตั้งนานแล้ว แล้วเขาไม่ใช้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเขา มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนาน เป็นมรดกให้เขาตั้งนานแล้ว อยู่ที่เขาจะมารับหรือไม่รับ ใครไปรับแทนเขาก็ไม่ได้ ใครจะผลักเขามารับ ก็ไม่ได้ ต้องเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่มีใครเอาเขาออกไปอีกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป จบแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของพระเจ้า

คำถามที่มักมีคนถาม แม้กระทั่งตัวเราเอง อาจจะถามในใจว่าถ้าอย่างนั้น การมาเป็นคริสเตียน การเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยอมรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเมื่อรับเชื่อแล้ว ไม่ต้องทำความดีก็ได้สิ

ฟังให้ดีๆ ถูกไหม? ท่านจะถูกคนแย้งตามเหตุผลมนุษย์ ทำแต่เรื่องผิดๆ ก็ได้  เพราะแค่เชื่ออย่างเดียว ก็ได้รับความรอดแล้ว จริงไหม? มาดูโรม 12:1-2

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายเมื่อพิจารณาถึงพระเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์

 

ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ ก็เหมือนตะกี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเลย  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เหมือนพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า ในนั้น แต่เนื้อหนังข้างนอกเรายังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิม สรุปเป็นเหมือนกับการหนุนใจพี่น้องในครอบครัวแห่งความสว่าง ที่เขาอยู่กันด้วยความรัก

“น้อง!  น้องเข้ามาอยู่ใหม่  หรือน้องที่อยู่นานแล้ว  พระเจ้ารักเรามากนะ  ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เรา  รู้อยู่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด”

“เพราะฉะนั้น  เนื้อหนังร่างกาย ก็พยายามทำอะไรก็ตาม ให้มันเป็นไปตามวิญญาณ … วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปทำสิ่งสกปรกเหมือนเดิมนะ เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่พ่อเรา พ่อเรารักเรามากเลย”

รวมสรุป ต้องการให้เรารู้แค่นี้เอง  และเป็นอย่างนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่มันสมควรที่จะกระทำ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดหมดจด เราสมควรทำสิ่งที่เป็นสะอาดๆ อย่าไปทำสิ่งเก่าๆ พระเจ้าจะไม่สอนเราว่า …

“รู้ไหม? ทำไมถึงเข้ามาในนี้ได้ เพราะพระเจ้ารักนครมากไง”

ไม่ใช่ รักเท่ากันทุกคนแหละ เข้าใจไหม?

“เพราะนครก่อนมาเชื่อ เขาทำดีไว้เยอะ พระเจ้ามองดูอยู่แล้ว”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง

“ก่อนมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยไปสร้างโบสถ์คริสเตียนไง”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง หรือมาเชื่อแล้วก็ตาม

“เธอต้องทำดีเยอะๆ เลยนะ พระเจ้ารักคนที่ทำดีมากๆ”

ไม่ใช่อีกแหละ ถ้าเธอทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว พระเจ้าเกลียดเธอเลย  จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง เพราะพระเจ้ารักเราแล้ว และรักตลอดไป และอภัยให้เราตลอดไป เอเมน

ท่านพอมองเห็นภาพไหมว่าผมกำลังนำท่านให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ เราได้รับความรอด เพราะเป็นพระคุณ ความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าที่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจึงมีความรู้สึกตั้งใจ เชื่อฟังและจะทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อเรา พ่อเราดีใจ เรารักพ่อเราแล้ว แต่เราทำได้หมดไหม?  ไม่ได้  พอไม่ได้ พ่อเราโกรธ ว่า ตบซ้ายขวาหัน กระเด็นเป็นอย่างนั้นหรือ?

พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก

พระเจ้าอภัยให้เราเสมอแหละ พระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้นเลย ทุกวันนี้ มานั่งบรรยายแก้ต่างให้พระเจ้าของเรา  ฟังให้ดีๆ นะ เราไม่ได้ทำความดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า หรือเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะกระทำความดี เพื่อจะย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อจะมาอยู่ในพระคริสต์ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย ในพระเยซูคริสต์ เราจึงได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง พออยู่ในความสว่าง เราจึงสำนึกในพระคุณความเมตตาจากพระเจ้า และได้กำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่กับเรา ให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนของพระองค์ ในพระคัมภีร์ได้ เอเมน คำว่าได้เมื่อตะกี้ ผมไม่ได้หมายถึงได้หมด หมายถึงตั้งใจ เราถึงจะมีความตั้งใจอย่างนั้น วิญญาณของทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่มีวิญญาณไหนอยากจะทำสิ่งที่ผิดพลาด เขาอยากจะทำถูกต้องหมด เพราะว่าวิญญาณเขาสะอาดหมดจด แต่ปัญหามันอยู่ที่ร่างกายเก่า ความคิดเก่าๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ พระคัมภีร์บอกได้รับการเปลี่ยน ที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ หรือเราฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวันนี้ หรือเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้าทุกวันนี้ พระวิญญาณกำลังสอนเรา กำลังเปลี่ยนแปลงเราไปเรื่อยๆ ในวิญญาณของเรา

เราสำนึกอยู่ในใจว่าเราสมควรทำในสิ่งที่พ่อเราบอก พ่อเราบอกว่าดี เราก็ทำ เราต้องยึดมั่นคงในความเชื่อว่าเราอยู่ในความสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้เพียงกรณีเดียว ก็คือเพราะว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราต้องยึดกอดตรงนี้ไว้ให้แน่น เพราะเรามาเชื่อพระเจ้า เดี๋ยวมันก็เซไปเรื่อยๆ ว่าเราต้องทำอันโน้น เราต้องทำอันนี้ เพื่อเราจะรักษาตำแหน่งให้อยู่ตรงความสว่าง ไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คุณก็อยู่ในความสว่าง เอเมน มันฝืนกับความคิดเก่าๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราไม่ได้ทำความดี หรือละเว้นการกระทำชั่ว เพราะความกลัวต่อไปแล้ว สมัยก่อนเราทำ เพราะเรากลัว แต่ตอนนี้ เราทำ ไม่ใช่ เพราะกลัวพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก ไม่กลัวแล้วว่าถ้าไม่สะสมความดี จะไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่กลัวแล้วว่าถ้าทำบาป จะต้องไปนรก ถ้าท่านกลัวอย่างนั้น อย่างที่ผมบอก แล้วท่านรู้ได้อย่างไรวันหนึ่ง ท่านทำบาปไปกี่ครั้ง แค่ไปตะคอกเขา แค่อารมณ์เสียใส่เขา ก็บาปแล้ว พระเยซูบอก แค่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ตกนรกแล้ว แค่เห็นผู้หญิง แล้วคุณมีความรู้สึก ความคิด ตกนรกแล้ว

พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีใครทำได้หรอก มาตรฐานของพระเจ้าในความบริสุทธิ์ โดยการกระทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าตาพาไปทำผิด ควักตาออก ถ้ามือขโมยของ ตัดมือทิ้ง ถ้าขาพาไปชั่ว ตัด ทุกคนเข้าสวรรค์ คงเป็นพิการหมด พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันทำไม่ได้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

“ท่านจงอธิษฐานอย่างนี้”

จบสุดท้ายบอกว่า “ถ้าท่านยกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อท่าน เหมือนกับที่พระเจ้ายกโทษให้กับท่าน พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่านด้วย  ฟังให้ดีๆ พระเจ้าจะอภัยให้กับคนที่อภัยให้กับคนอื่นที่ทำไม่ดีต่อท่าน ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? มีคนทำได้ไหม? แล้วพระองค์ก็ตรัส ที่ตะกี้นี้บอกว่าถ้าตา ทำให้ท่านไปทำบาป  ตัดทิ้ง  พูดง่ายๆ  พูดอะไรออกมา  มนุษย์ทำไม่ได้ทั้งหมดเลย  พวกฟาริสีเหล่านั้น เขารู้ทันทีว่าใครจะไปทำได้ โกรธเขา อภัยให้ตลอดเลย เขาทำอะไรให้ อภัยให้ตลอดเลย มันทำไม่ได้ นั่นแหละ พระเยซูกำลังบอกว่าทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ กำลังจะบอกว่าเราต้องพึ่งพระเจ้า พึ่งในการไถ่บาปของพระเยซู เวลาท่านอ่านไป พอท่านรู้ แล้วท่านจะขำว่าเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น ฟาริสีเกิด 2 พวก พวกหนึ่งก็งง อีกพวกหนึ่งเจ็บแค้น พระเยซูเหมือนกับว่าเขาทางอ้อมว่าหน้าซื่อใจคด

อย่างที่ผมบอก พระเจ้าอภัยให้เราหมดแล้วที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” หมายถึงบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ท่านคิดดู มีเหตุผลไหม? บาปในอดีตของเรามาจากไหน? มาจากเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่มาจากเราไปทำบาปนะ มันมาจากเราเกิดมา เราก็บาปแล้ว แล้วพอพระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้  มีคนไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำดีอะไรเลย ก็พ้นจากบาปแล้ว ทีอย่างนี้ไม่เอา แต่ที่บอกว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาก็บาปแล้ว ต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม เอา ไม่มีเหตุผลเลย  อยู่ดีๆ เกิดมา ใช้หนี้ ใช้กรรม

“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำอะไร เมื่อไร บอกมาสิ ไม่เห็นมีใครบอก มีแต่บอกว่าเกิดมาต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม”

แล้วเราก็เชื่อ แล้วมีอีกฝ่ายหนึ่งมาบอกข่าวดีของพระเยซูว่า …

“เธอมีหนี้ เวร กรรมต้องใช้ใช่ไหม? พระเยซูใช้ให้หมดแล้ว ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องทำอะไร? แค่เชื่อพระเยซูก็ใช้หมดแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้  คนเราต้องทำสิ่งที่ดีๆ มันเป็นไปได้อย่างไร?”

อ้าว! ตอนที่คุณรับ บอกว่าผิด มีบาป ใช้เวร ใช้กรรม คุณไม่เห็นพูดกับเขาเลย

“ผมไปทำเวรกรรมที่ไหน? บอกผมมาสิ ผมต้องใช้แค่ไหน? ผมต้องทำดีเท่าไร ถึงจะใช้มันหมด กี่ตังค์ว่ามา”

ไม่เห็นพูดเลย “ใช้ไปกี่ปี กี่ชาติก็ไม่มีวันจบ”

อ้าว! พูดอย่างนั้นอีก แล้วคุณก็เชื่อด้วยนะว่าเกิดมาใช้เวร ใช้กรรมตลอด พอพระเยซูมาบอก พระเจ้าส่งพระเยซูมา เพื่อเราจะหมดเวร หมดกรรม หมดเลย มันเชื่อยากจริงๆ

นี่พูดให้ท่านเห็นชัดๆ การมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ จะเป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของท่าน ท่านแค่ยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ส่งมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แค่นั้นเอง ในโลกวิญญาณมีแค่นั้น นอกนั้น ท่านคิดกันเองหมด แล้วต่อจากนั้น เราทำสิ่งที่ดีๆ ก็เพราะเราสำนึกในพระคุณ เรารักพ่อของเรา เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ ทำผิดพลาดไป พ่อเราก็อภัย แต่เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี แค่นั้นเอง จบ แล้วก็มั่นใจว่าพระคริสต์นำพาเราได้ ฤทธิ์เดชอำนาจพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกินมหาศาล

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่บอกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างของพระคริสต์ เขาปกครองกันแบบครอบครัว เต็มไปด้วยความรักอย่างนี้แหละ มันไม่เหมือนกับโลกของความมืด ที่ตะกี้เราบอกว่าควบคุมโดยความบาปของมาร อยู่เหมือนเป็นทาส ถูกข่มเหง ถูกตวาด ถูกข่มขู่ ถูกใช้งาน เหนื่อย เข้ามาอยู่กับพระเยซูหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นเรื่องความจริงที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น หูมนุษย์ ก็ไม่ได้ยิน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของเรา มันจึงยากที่จะเข้าใจ มันจึงต้องใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา ทีละนิดทีละหน่อย แล้วค่อยๆ ให้พระวิญญาณนำไป ย่อยไปทีละนิด ถึงจะเข้าใจได้ อย่าใช้ความรู้สึก ซึ่งอยู่ในสัมผัส อย่าใช้ตา ต้องเห็น อย่าใช้มือ ต้องจับ ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใต้สำนึก ไม่ได้ช่วยเราในเรื่องพระเจ้าเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าใครไปยึดติดอยู่ตรงนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลับกลายเป็นแย่ด้วยซ้ำไป ในเรื่องของสัมผัสว่าถ้าพระวิญญาณมา ต้องขนลุกนิดๆ ถ้าพระวิญญาณมา ต้องลอยไปลอยมา หรือพระวิญญาณมาได้รับการเจิม ต้องนอนกลิ้งไป หรือล้มลงไป ไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น

นี่คือความจริง จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการที่จะมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ แล้วตอนนี้ ฉันอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณจริงๆ ไม่ว่าจะโลกวิญญาณ แบบที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่างของพระเจ้า หรือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด ฉันอยู่ที่ใดที่หนึ่งจริงๆ ที่เราจะมั่นใจว่ามันเป็นจริง ร่างกายฉันตอนนี้นั่งอยู่ในโบสถ์โฮลี่ อยู่ที่ซอย 8 กรุงเทพกรีฑาก็จริง แต่วิญญาณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าคนที่จะได้รับรู้ เรื่องโลกวิญญาณ เรียนรู้อย่างนี้  แล้วก็มากขึ้นในโลกวิญญาณ เข้าใจ จึงไม่สามารถจะใช้อธิบายด้วยตามนุษย์ หรือปากมนุษย์ หรือความคิดแบบมนุษย์ แล้วเข้าใจอย่างนี้ได้

ตอนนี้เราจะพูดถึงคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เป็นอย่างไร? พอย้ายมาแล้ว มาอยู่ในความสว่างก็จริง แต่นิสัยเดิมๆ ความคิดเดิม มันก็ติดมาหมดแหละ สมมติเสื้อตัวนี้ คือร่างกายเรา ร่างกายก็ร่างกายเดิม มีวิญญาณเท่านั้นที่เป็นขาวใหม่ เท่านั้นเอง ในหนังสือเอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานให้กับบรรดาผู้เชื่อเริ่มต้นเหล่านี้ว่าเธอต้องได้รับตรงนี้ แล้วเธอถึงจะเจริญเติบโต รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน? มีชีวิตที่เต็มไปด้วยชัยชนะ มีชีวิตที่จะสามารถสัมผัสกับบรรดาผู้คนมากมาย เพื่อให้ข่าวประเสริฐไปหาเขาทุกคนได้ เป็นชีวิตที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ได้

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

แปลจากอันสุดท้ายขึ้นมาก่อน “ผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูไถ่บาปให้ท่าน”  ผมนั่งอยู่ที่นี่ ผมได้ยินข่าวประเสริฐ เขาบอกว่าพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปเวรกรรมให้กับมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์ทรงทำเสร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ผมได้ยินอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ รับสิทธิที่พระเยซูทำให้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมจะรับสิทธิของผมแล้ว ผมจะได้รับการไถ่บาป พอได้รับการไถ่บาปปุ๊บ ผมก็กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้า

บริสุทธิ์นี้ ใช้คำๆ เดียวกับโบสถ์เลย Holy ใช้คำเดียวกับที่พระเยซูทำเลย ก็คือชำระ ซึ่งได้รับเป็นประชากรของพระเจ้า ที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ชอบธรรม ไม่มีบาปเลยของพระเจ้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อยู่ที่มืดๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะย้ายมาตรงนี้แล้ว

ตอนต้นบอกว่า  “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ” วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน ที่เราเห็นกันอยู่ นั่งกันอยู่ ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา ร่างกายเราถูกสร้างด้วยดิน ก็ต้องกลับไปสู่ดิน เวลาเขาทำพิธีฝังศพที่สุสาน ศิษยาภิบาลก็จะบอกว่ามาจากดิน ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ไปสู่ดิน แล้วก็เอาดินกลบ  เป็นสัญลักษณ์ ดินนั้น ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง 4 บนโลกใบนี้  พอเราตาย ร่างกายนี้ ถูกฝังเข้าไปในดิน บางคนกลัวถูกเผา เป็นคริสเตียน ไม่กล้าให้เผา เพราะกลัวร้อน  งง จริงๆ มีบางคน ติดจากของเก่า กลัวร้อน แล้วบางคนก็บอกว่าเดี๋ยวตอนพระเยซูกลับมาใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของเราที่ตายไปแล้ว จะกลับขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? มันถูกเผาไปหมดแล้ว คิดไปถึงขนาดนั้น ลืมคิดไปว่าฝังลงไปในดิน มันก็หายไปหมด เหมือนกัน

ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม หมดทั้งตัว ไม่เหลืออะไรเลย คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” พระเจ้ามีวิธีทำให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ด้วยร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอเมน ไม่ต้องพยายามคิดหรอกว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร?

ยกตัวอย่างอันหนึ่งให้ดู เอาใกล้เคียงที่สุดเคยเห็นต้นข้าวไหม? ต้นข้าว ออกดอกเหลืองอร่าม แล้วช่อก็สวยงาม ต้นนี้เปรียบเหมือนเราได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ต้นข้าวเริ่มต้นจากเมล็ดเดียวเล็กๆ  แล้วในพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ 15 บอก เมล็ดนั้นต้องลงไปที่ดิน ต้องเน่าก่อน ใช้คำว่าเน่าเลย  แล้วมันถึงเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา

ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป และวิญญาณตัวนั้น มีตาวิญญาณที่จะรับรู้ ให้ตาวิญญาณของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงท่าน นำพาท่านไป ตามทางที่พระเจ้าวางไว้

เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่น สวรรค์แล้ว ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านจะได้มีความมั่นใจว่าท่านนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าได้พาท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว เรียนรู้ด้วยทางวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้ด้วยความคิดมนุษย์ ท่านต้องเรียนรู้ใหม่

อย่างเช่น เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักรแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

“และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ได้รับมรดกเรียบร้อยแล้ว”

ยกตัวอย่าง นางเอกถูกข่มเหงตลอด มารู้ทีหลังว่าเป็นทายาท คุณปู่ยกสมบัติให้ แต่เธอไม่เชื่อ พระเอกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะไปขุดเอาคุณปู่ขึ้นมา ก็ไม่ได้ เพราะคุณปู่ตายแล้ว เอาแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปู่มา ยืนยัน ใช่จริงๆ ตอนเธอเกิด คุณปู่บอกเลยว่าเธอเป็นลูกคนโน้นคนนี้ เขารักเธอมาก ยกให้เธอคนเดียวเลย ไม่เชื่อหรือ? คุณปู่บอกฉันว่าเธอมีปานซ้าย ที่มือขวาข้างหลัง อะไรก็ว่าไป เปิดมาดู มีจริงๆ ใช่แน่นอน นางเอกบอกว่าไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้

เพราะสิ่งเหล่านี้ มาเทียบกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า มาตรงเลย เพราะเอาเหตุผลของมนุษย์มาเทียบไม่ได้เลย ต้องทางวิญญาณจริงๆ แล้วทำอย่างไรนางเอกถึงจะเปลี่ยนใจได้ พระเอกมาบอกใหม่

“ฉันบอกความจริงเธอทั้งหมด เพราะฉันรักเธอจริงๆ”

โอ้โห! รับได้เลย เพราะไม่ได้ด้วยเหตุผลแล้ว ความรัก คืออะไรบางอย่างที่มันเหนือเหตุผล

“เพราะฉันรักเธอ ฉันไม่โกหกเธอหรอก”

“ใช่”

เห็นไหม? ความคิดมนุษย์ จะไปบอกเรื่องพระเยซูกับใคร? มรดกยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ไม่เชื่อหรอก เหมือนนางเอกเรื่องนี้ แต่ในที่สุด เขาก็ได้รับมรดกของเขา ตามที่เขาสมควรจะได้รับ เพราะมีใครบางคนรักเขาจริงๆ เขามั่นใจคนนี้ จากนั้นเขาเลยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องกฎหมาย ไปอ่านดู มรดกที่เขียนไว้ เริ่มเข้าใจ อันนี้ก็ของฉันจริงๆ นี่ก็ของฉันจริงๆ จากนั้นนางเอกเปลี่ยนจากเป็นคนใช้ กลายเป็นคนใช้เขา กลายเป็นเจ้าของบ้าน ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันเรื่องนี้ ต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะนำท่านต่อไปเอง แล้วท่านจะเดินต่อไป เราเรียกที่นี่ว่าในพระคริสต์  … ในพระคริสต์ เราจึงมีความหวัง … ความหวังไม่ใช่พึ่งการกระทำของตัวอีกต่อไป ความหวังไม่ใช่พึ่งความสามารถของตนเองอีกแล้ว

ความหวัง ก็คือฉันฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ฉันจะเดินกับพระองค์ เหมือนกับเพลงที่บอกว่าอยู่ในพระคริสต์ เดินอยู่กับพระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร เพราะหมดหน้าที่ มอบให้กับพระเจ้าแล้ว เป็นของพระองค์ต่อไป เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************