คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4 “มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4

“มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4  ซึ่งมีเก้าอี้ 2 ตัวนี้อยู่เหมือนเดิม แต่วันนี้จะเน้นนิดหนึ่ง คือ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” เรื่องมรดกของผู้เชื่อในพระเยซู

เรามาสรุปกันก่อนว่าความหมายและความแตกต่างของ 2 อาณาจักรจากโลกวิญญาณ ที่เราได้เรียนกันมา 6 ตอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ก็คือโลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่บนโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามี 2 อาณาจักร … อาณาจักรแรกที่เห็นทางซ้ายมือของท่านนั้น จะเป็นแบบสว่างหน่อย ทางขวามือมืดหน่อย จริงๆ ไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเรา แต่พระเจ้าบอกจงมองให้เห็นเถิด

ชีวิตในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตัวจริงของเขาได้อาศัยอยู่ในครอบครัวพระคริสต์นี้ทันที เขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็นถูกเสมอ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่ว่าทำผิดอะไรแค่ไหน? ก็ยังถูก เพราะว่าแกนมันถูก พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็จะให้ผลที่ดี ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลที่เลว มันไม่ได้อยู่ที่ผล แต่มันอยู่ที่ต้นตอ

มาอีกอันหนึ่ง ทางขวามือของท่าน ก็คือมืดๆ พระคัมภีร์ให้ชื่อว่า “ครอบครัวของอาดัม” ใครที่อยู่ในอาดัม ก็คือใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เพราะมันมีอยู่ 2 อันเท่านั้นเอง จะบอกว่า …

“ฉันอยู่ตรงกลาง”

พระคัมภีร์บอกไม่มี มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่าง ในครอบครัวอาดัมหรือในครอบครัวพระคริสต์

ใครอยู่ในครอบครัวอาดัม คนนั้นมีสถานะ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรมนิรันดร์ ก็คือผู้มีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ ซึ่งตรงกันข้ามกับแสงสว่าง คนที่มาอยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าคนชอบธรรม

เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนอธรรมนิรันดร์ อธรรม คือยังคงมีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ และคนที่วิญญาณอยู่ในอาดัม เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทำถูก ทำดีแค่ไหน ก็ยังผิด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะว่าแกนมันผิด ไส้ในผิด เพราะว่าเป็นต้นไม้เลวแล้ว มันออกลูกอะไรมา มันก็ผิดทั้งนั้น เป็นต้นไม้ที่ออกผลมาเป็นเลวหมด นี่คือพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

สรุปแล้ว 6 สัปดาห์เรียนมาได้แค่นี้ พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ต้องให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร?  แสดงว่าต้นไม้ดีหรือเลว ก็ต้องมองไปที่โลกวิญญาณ เพราะโลกวิญญาณ คือแกนของมนุษย์ทั้งปวง วิญญาณจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ แต่เนื้อหนังร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์นั้น สำคัญมากที่สุด  แต่ว่าพอเรามาคุย เรื่องความจริงแบบนี้ เนื้อหนัง คือความคิดของมนุษย์ ความเคยชินในความคิดของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า บางครั้งถ้อยคำของพระเจ้า มันตรงกับความคิดของมนุษย์ก็มี แต่หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ ไม่สามารถจะเข้าใจโลกวิญญาณได้ พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ เนื้อหนัง ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ มันก็เริ่มทำงานแล้ว มันเริ่มต่อต้าน พอเริ่มรู้ความจริงว่าพอเราได้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ปุ๊บ พอเรารู้ความจริงว่าเราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม

พระคัมภีร์บอกมนุษย์ ตั้งแต่เกิดก็อยู่ในอาดัมแล้ว เพราะว่ามันได้พรีโปรแกรมแล้ว ยกตัวอย่างลูกของผม ก็อยู่ในตัวผม ตั้งแต่เกิดแล้ว DNA ของผม ก็ถ่ายทอดไปที่เขา ในทำนองเดียวกัน ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงสุด มนุษย์ทั้งปวง ก็มาจากอาดัม นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น บรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัม เพราะเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัม … อาดัมบาป เราก็บาป อาดัม DNA ในวิญญาณเขาบาป เราก็ DNA เป็นบาป แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู ที่ได้ไถ่บาป “เชื่อ” คำนี้ แปลว่ายอมรับว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับผมจริงๆ ผมเชื่อจริงๆ ผมก็รับสิทธิของผม พระเยซูทำให้ผม 2,000 ปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้รู้เรื่อง พอผมรู้ ผมจะใช้สิทธิของผมบ้างแล้ว พระเยซูเป็นตัวแทนผม รับบาปของผมไปแล้ว พอผมเชื่อปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าก็ให้วิญญาณผมบังเกิดใหม่ มาอยู่อาณาจักรแสงสว่าง ทันทีทันใด ผมก็เป็นลูกของพระเจ้า และผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอคนเราฟังอย่างนี้ มันทำอะไรผิดก็ถูกหมดเลย เพราะเราอยู่ที่ขาวแล้ว คนที่อยู่ที่ดำ ทำอะไรที่ดีๆ ก็ผิดหมดเลย  ทำไมเป็นอย่างนั้น มันรับไม่ได้ใช่ไหม? ก็เลยเกิดความขัดแย้งว่าถ้าอย่างนี้ คนที่อยู่ในแสงสว่างแล้ว สะอาดนิรันดร์แล้ว พ้นจากบาปนิรันดร์ ไปสวรรค์แน่นอนนิรันดร์แล้ว

“อ้าว! อย่างนี้ จากนี้ต่อไป ผมอยู่ที่นี่ ก็จะทำอะไรก็ได้  ผมไปสวรรค์แล้ว ก็จะทำดีไปทำไม ไม่ต้องทำดีแล้ว ไม่ต้องรักตัว สงวนตัว หรือว่าพยายามฝึกฝนประพฤติแต่สิ่งที่ดีๆ ในโลกใบนี้ ก็สบายสิ พระเจ้าสอนให้มนุษย์เป็นคนเลวได้อย่างไร? ผมจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างไรก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง”

จริงในทางความคิดและสติปัญญาของมนุษย์อันน้อยนิด ทุกคนก็จะคิดอย่างนี้

พระคัมภีร์สอนให้เรามีความรัก มีความเมตตา กระทำดีกับผู้อื่น ไม่โลภ พระเยซูบอกว่าจงอย่าโลภ สอนให้เราไม่อิจฉา สอนให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง และสอนเราในเรื่องผลของพระวิญญาณ 9 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราทำดี ละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่ติดมาจากอาดัมที่เป็นเชื้อบาป เพื่อที่เราจะย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เพราะว่าไม่มีใครทำได้ดีพร้อมตามที่กฎเกณฑ์พระเจ้าได้วางเอาไว้ คือทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีเลย พระเจ้าจึงได้ส่งพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ทำแทนเรา เพราะฉะนั้น การจะได้รับสิ่งเหล่านี้ จะได้รับจากพระเยซูเท่านั้น

แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้า โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มาไถ่บาปให้กับเรา พอเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าอย่างนี้แล้ว พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ว่าเราก็ควร หรือสมควรที่จะเป็นลูกที่เชื่อฟัง ทำตามคำสอน เพื่อให้เป็นที่พอใจ หรือสบายใจของพ่อเรา  คือพระเจ้า ทดแทนพระคุณ ความรักของพ่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าเรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่ย้ายไปอยู่ ที่เก้าอี้พระเยซูคริสต์แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งใจจะทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า หรือเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะเราได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เพราะเราได้เป็นลูกแล้ว เราจึงสำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่เป็นผู้พาเราไปตรงนั้น เราสะอาดแล้ว เราจึงไม่อยากทำสิ่งสกปรกแล้ว

วิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริง เราได้รับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา  ที่จะช่วยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้สำหรับเรา ตามคำสอนของพระองค์ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้ทำอะไร? พระวิญญาณก็จะพาเราไปทำสิ่งเหล่านั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ผลแห่งพระวิญญาณ” เพราะว่าไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่ผลแห่งการบังเกิดใหม่ของวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา  เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ย้ายมาตรงนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าก็อยู่กับเรา  วิญญาณเราก็สะอาดหมดจดแล้ว ไม่อยากจะทำอะไรที่เสื่อมเสีย สกปรกหรอก มันเป็นอย่างนี้

นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เราไม่ได้ทำความดีหรือละเว้นความชั่ว เพราะความกลัวอีกต่อไป แต่ก่อนนี้ เราพยายามทำดี เพราะเรากลัวจะถูกลงโทษ เรากลัวจะตกนรก เราจึงไม่กล้าทำ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปสวรรค์แน่นอน แต่เราทำ เพราะเรารักพ่อของเรา และทำเพราะเนเจอร์หรือธรรมชาติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นบริสุทธิ์เหมือนพ่อเรา

เคยได้ยินเรื่องธรรมชาตินี้ไหม? เขาเอาหมู ทำให้สะอาดเลย โกนขน ชมพู เป็นเบ๊บเลยนะ แล้วก็ผูกคอด้วย ใส่กระดิ่ง เหมือนสุนัขคล้องเชือก เดินไปด้วยกัน ในห้างสรรพสินค้า คนก็มอง น่ารักมากเลย สักพักเราก็อุ้มมันขึ้นรถ พอกลับมาบ้าน เราก็ปลดโซ่ออก พอปลดออก มันวิ่งไปหาโคลนนอกบ้านทันที เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แต่เราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติในวิญญาณของเรา เหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะไม่วิ่งไปหาสิ่งสกปรก ถ้ามันไปเจอสิ่งสกปรก มันจะรีบวิ่งไปห้องน้ำ ไปขัดมันออก เพราะว่าธรรมชาติต้องการความสะอาด ตรงกันข้ามกับหมู ท่านเห็นภาพไหม? ของเราสะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะวิ่งไปหาความสะอาด เพราะวิญญาณมันสะอาด อย่างไรก็วิ่งไปหาความสะอาด แต่ถ้าข้างในสกปรก เดี๋ยวมันก็ทนไม่ไหว ไปหาโคลน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่

อีกอันหนึ่ง ก็คือที่เราทำสิ่งที่ดีงาม ละเว้นความชั่ว เพราะว่าเรามั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ เป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของเราแล้ว เราอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ในหนังสือโรม 8 ข้อท้ายๆ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? ใคร? หรือทูตสวรรค์ หรืออะไรก็ตามที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้า ที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราทั้งหลายอีกแล้ว อยู่ในกำมือพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาออกไปแล้ว พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัด ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดขัดขวางได้  พอไหม? พระเจ้ารับประกันขนาดนี้  พอแล้ว ท่านก็จะได้เดินอย่างสบาย แล้วก็ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าเราสำนึกในพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อเรา

นอกเหนือจากพระคุณพระเจ้าที่มีเมตตาต่อเราแล้ว เรายังยำเกรง เราไม่อยากจะเจอกับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์บนโลกใบนี้ เพราะพ่อเราสอนไว้ ไม่ใช่พ่อเราบอกว่าเราจะตกนรก แต่พ่อบอกจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ แต่ถ้าเธอไปเจอของสกปรกมา เธอแพ้นะ เธอผื่นขึ้นนะ เธออาจจะเป็นโรคผิวหนังนะ ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอจะเจ็บปวดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มันทุกข์ลำบากนะ แต่ถ้าเธอเชื่อฉัน มันก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสันติสุข ทุกข์น้อยหน่อย เอาแบบไหน? ลูกก็บอกอยากจะเดินอย่างดี เผลอไปทำไม่ดีบ้าง ก็เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งเราเรียกตามภาษาทั่วๆ ไปว่าผลกรรมของโลกใบนี้ คือหว่านอะไรไปแล้ว ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้นเข้ามา เป็นผลทั่วๆ ไป

สมัยต้องทำบ้าน ตกแต่งบ้านใหม่ ลูกก็ยังเล็กอยู่ … อยู่ไปด้วย ทำไปด้วย ไม่ได้สร้างใหม่ เขาก็กองไม้ไว้เยอะแยะ ทั้งไม้ที่ติดตะปู ก็พาลูกไป

“ลูกจำไว้นะ แถบสนามห้ามเข้าไปเลยนะ แต่ก่อนวิ่งได้ แต่ตอนนี้วิ่งไม่ได้ ตะปูมันเยอะแยะไปหมด เหยียบเข้าไป มันทะลุเข้าไปที่เท้าเจ็บปวดนะ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจ”

วันหนึ่ง พ่อแม่ไม่อยู่ ลืมที่พ่อแม่สั่งไว้ อย่าเข้าไปในสนาม เล่นเพลินเพลิด เข้าไปในสนาม ก็ไปโดนไม้ที่มีตะปูจริงๆ ทิ่มทะลุรองเท้าผ้าใบ อายุประมาณ 4-5 ขวบ ทะลุรองเท้า เลือดไหลโชกเลย ไม่ร้องไห้สักคำ เพราะรู้ว่าไม่น่าเลย พ่อสั่งไว้แล้ว รีบไปให้แม่บ้านช่วยทายาให้ พอผมกลับมา ทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  จนแม่บ้านมาฟ้อง

“วันนี้เหยียบไปเลือดไหลโชกเลย”

“ทำไมเขาเดินเหมือนไม่มีอะไรเลย”

ไม่กล้าบอก เพราะเราสอนแล้ว รู้สึกแล้วว่าถ้าเผื่อไม่เชื่อฟัง มันก็ได้ผลไม่ดี เหมือนที่พ่อได้บอกไว้ แล้วผมกลับมา ผมรู้แล้ว ผมจะทำอย่างนี้ไหม?  ไม่เชื่อฟัง เตะออกนอกบ้านไปเลย  ผมไม่ทำ เพราะเป็นลูกผม ต่อให้ทำมากกว่านี้ ก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เห็นไหม?  ก็เหมือนกันเรากับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าอย่าโลภ พอเราโลภ พระเจ้ามาบอก

“สมน้ำหน้า บอกอย่าโลภ ยังโลภ”

พระเจ้าพูดอย่างนี้ไหม?  พระเจ้าก็มาถึง ลูบหัว พ่อก็บอกแล้วไง แล้วเราก็บอกว่า

“ไม่น่าเลย วันหลังไม่เอาแล้วจริงๆ พ่อจ๋าช่วยด้วย”

พอปีต่อมา เราก็โลภอีก เพลินๆ ไป แล้วก็เผลอ เหมือนเด็กตะกี้นี้ เพลินๆ ไป วิ่งเล่นเข้าไปในสนามหญ้า ก็บอกอย่าไป  มันลืม เมื่อพลาด แทบจะไม่อยากกลับมาอธิษฐานเลย เพราะอาย นี่แหละคือความสำนึกที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ความกลัวแบบสมัยก่อน รู้ว่าอย่างไรเราก็รอด รู้ว่าอย่างไร? พระเจ้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้าน รู้ว่าอย่างไรเราก็อยากจะเชื่อฟัง แต่บางครั้งมันเพลินไปหน่อย เพราะว่าเนื้อหนังของมนุษย์ มันยังมีอิทธิพลของความบาป ยังต้องต่อสู้กันอยู่ บางครั้งเราก็ชนะเนื้อหนัง ทำตามถ้อยคำพระเจ้า ที่สอนเรา บางครั้งลืมตัวไปหน่อย โลภไปหน่อย พระเจ้าบอกให้เราอภัย ตอนนี้อภัยไม่ได้ เพราะมันเห็นต่อหน้า และเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ บางคนไม่ถึง 10 หรอก แค่ครั้งเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว  อภัยไม่ได้ พระเจ้าบอกถ้าไม่อภัย คืนนี้นอนไม่หลับนะ คืนนี้ก่อนจะนอนหลับ อภัยได้ไหม?  เป็นคนนอนเที่ยงคืน ถึงเที่ยงคืน อ้าว! อภัยแล้ว หลับ ได้หรือเปล่า? ง่ายอย่างนั้นไหม? ไม่ง่าย ไม่อภัย แล้วหลับไป ด้วยความโกรธ กัดฟันก๊อตๆ นอนก็ไม่หลับ แล้วก็แค้น แล้วใครทุกข์ คนที่เราโกรธ เขาทุกข์ไหม?  คนที่เขาทำเรา เขาทุกข์ไหม?  เราไม่รู้ แต่เรานั่น ทุกข์เห็นชัดๆ นอนก็ไม่หลับ ความดันขึ้นอีก ก็พ่อเราบอกแล้ว ตื่นเช้ามา พ่อบอก

“ก็ฉันพูด แล้วเธอไม่เชื่อฟัง บอกให้อภัย เห็นไหม?  ไป ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้”

เป็นไปได้ไหม?  ไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ นอกจากพระคุณความรักของพระเจ้า ที่เราจะทดแทนแล้ว ความไม่อยากจะเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระเจ้าบอกอย่าโลภ เราก็ไม่โลภ พระเจ้าบอกถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อที่คอหอยของท่าน  พอมันจะกลืน ท่านแทงมันเลย  เคี้ยว แล้วคายออกมา ทำได้ไหม? ถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อไว้ ก็คือถ้าท่านไม่ยอมหยุดยั้งในกิเลส หรือความอยากได้ พูดถึงอาหารยิ่งชัดเจน ถ้าท่านกินไม่เลือก ท่านก็จะต้องรับผลของมัน เมื่ออายุมากขึ้น แล้วมันส่งผลมา ท่านกินเข้าไปเลย แป้ง บอกกินน้อยหน่อย ก็กินเยอะ น้ำตาล บอกให้กินน้อยหน่อย ก็จะกินเยอะ มันอร่อย มันหวาน น้ำมันที่ไม่ดี บอกอย่ากิน มันอร่อย มันทอด แล้วมันสนุก ชีวิตมันต้องสนุกบ้าง นั่นพูด และในที่สุด ก็ต้องรับผลของมัน แล้วพ่อเราดีใจไหม? ดีใจ บอกแล้วอย่าทำ ทำ ถึงเป็นเบาหวาน ต้องไปตัดขา สมมตินะ

พ่อเราเป็นอย่างนี้ไหม? ไม่หรอก พ่อเราคงเสียใจ นี่แหละ คือความเสียใจ เมื่อเราทำบาป ขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เราอยู่ในความสว่างตรงนี้แล้ว ที่บอกทำให้พ่อเสียใจ เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งดี เพราะรักเรา  ไม่ได้เสียใจ เพราะเราทำบาป เราทำให้พ่อเราเสียเกียรติ ไม่ใช่ พ่อเรามีเกียรติเยอะแยะ แล้วพ่อไม่สนใจเกียรติอีกแล้ว แต่สนใจชีวิตเราว่าเราคงทรมาน ลูกเราไปเหยียบตะปู เลือดสาด ถ้าเขาเชื่อเรา เขาก็ไม่เป็นอย่างนี้  เจ็บใจตัวเอง ใช่ไหม? ถ้าเป็นมนุษย์ คงโกรธ เพราะรัก แต่ถ้าเป็นพระเจ้าไม่โกรธแล้ว เพียงแต่เสียใจว่า …

“ถ้าลูกไปทำอย่างนี้ ลูกก็มีความทุกข์ ลูกอย่าทำเลย เชื่อพ่อเถอะ”

แต่พ่อก็เข้าใจว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงช่วยเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ให้ทุกข์น้อยที่สุด เพราะอยู่บนโลกใบนี้ มันทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลกใบนี้มันเสียหาย ตั้งแต่สมัยที่อาดัมมอบโลกใบนี้ ให้กับมาร ตกอยู่ในความมืดนั้น ความสาปแช่ง มันเข้ามา และคำสาปแช่งนั้น ก็ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้อยู่ ยกเว้นคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ พระเยซูไถ่หมดแล้ว เอเมน แต่วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาไถ่โลกวัตถุนี้ให้กับเรา คือวันที่พระองค์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันที่เราได้รับร่างกายใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะใหม่ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะถูกทำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าเยรูซาเล็ม เอเมน

ท่านเห็นไหม? พอเราเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาพูดกันอย่างชัดๆ เราจะเห็นความรู้สึกของพระเจ้า เราจะเห็นมันเป็นจริงๆ นี่คือมันเกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ นี่คือสติปัญญาของพระเจ้าที่เขียนในพระคัมภีร์ให้เราได้เห็นอย่างนี้

ฟังดีๆ นะ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เชื่อฟัง เพราะความกลัว ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำจะถูกลงโทษอย่างโหด ตามพระคัมภีร์เขาเรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอามันให้ตาย  ถามว่าเด็กเชื่อฟังไหม? เชื่อ เพราะกลัว แต่พอโต อาจจะสู้พ่อแม่ โตแล้ว เขาก็ออกไปใช้ชีวิตเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ เขาไม่ได้คิดถึงพ่อแม่อีกแล้ว แต่ถ้าเราเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก ด้วยความอบอุ่น ไม่ใช้การข่มขู่ ไม่ใช้การคาดโทษ อย่างที่ผมบอก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ฝึกวินัย มีการลงโทษเหมือนกัน ลงโทษด้วยความรัก เขาเรียกว่าฝึกวินัย ลงโทษด้วยความโหดร้าย เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาให้มันตายเลย ว่ากันตามกฎเลย ตรงแป๊ะเลย

ความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขานั้นแหละ ที่จะเป็นเกราะคุ้มกัน ไม่ให้เขาเดินไปในทางที่ผิด เพราะเขาไม่ได้กลัวการถูกลงโทษ แต่เขาไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะเขารักพ่อแม่ เขาสัมผัสความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขาได้ เวลาท่านเลี้ยงลูกในครอบครัว ถามว่าลูกสัมผัสความรักของท่านในครอบครัวได้ไหม? ท่านถามตัวเอง ท่านจะรู้เอง  ไม่ต้องมีใครเช็คท่าน ลูกสัมผัสความรักของท่านได้ไหม? หรือว่าลูกเข้าหาท่านทีไร ขาสั่นตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เด็กก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะพยายามทำสิ่งที่พ่อแม่สอนทั้งต่อหน้าและลับหลังให้ดีที่สุด หรือถ้าเผลอๆ ไปทำผิดอะไรจริงๆ เขาก็จะมาบอกเรา มาขอโทษ เพราะเขามั่นใจในเราว่าเรารักเขา เพื่อให้เราปลอบโยนเขา พันแผลให้เขา เขาไม่ได้มาขอให้เรายกโทษ เขารู้อยู่แล้วว่าเรายกโทษ เข้าใจไหม? การที่เราเข้าไปหาพระเจ้า เมื่อเราทำผิด คือให้พระเจ้าพันแผล ไม่ใช่ขอพระเจ้ายกโทษ … ยกโทษอะไร ก็ยกโทษตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านได้รับความรอดแล้ว ถามว่ามีใครที่รับพระเยซูแล้ว อยู่ในความเชื่อแล้ว อยู่ในแสงสว่างนี้แล้ว

“โอ! พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ได้รับความรอดจากอาณาจักรของความมืด รอดจากนรกที”

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกทำอะไรผิดไป ลูกกลัวนรกนะ ชำระล้างลูกด้วย ให้ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”

ใครยังอธิษฐานแบบนี้อยู่ ความรอดมาพร้อมความชอบธรรม มาพร้อมกับการบังเกิดใหม่ มาพร้อมกันทั้งกล่อง อภัยโทษทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้รับความรอด วิญญาณเปลี่ยนใหม่ บังเกิดใหม่ ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบแล้ว แต่เนื่องจากชีวิตเดิมๆ ของเรามันเป็นอย่างนั้น  เราจึงไม่สามารถที่จะรับความผิดตรงนั้น พระเจ้าดูเราเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง แล้วเราตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งคนที่ไม่เข้าใจพระเจ้ามากเท่าไร? ไม่ได้มาบังเกิดมากเท่าไร? ก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าสอนมากเท่านั้น แต่พอมาเรียนรู้กันตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร?

ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ในเรื่องนี้ที่บอกว่าเราไม่ต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์ แต่เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึงทำดี ตามธรรมชาติ แบบชาวสวรรค์ สำหรับคนภายนอกฟัง ตกใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่สำหรับเรา เราเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในวงจรความคิดแบบเก่าๆ เคยถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ก็ต้องได้ดีสิ  ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว มันถูกในเรื่องของโลกวัตถุ แต่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมีผลเหมือนกันในทางวัตถุ ก็คือทางโลกวิญญาณ ถ้าเผื่อเราได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า … พระเจ้าก็จะช่วยเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามบนโลกใบนี้ ได้สิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ มากขึ้นกว่าไม่มีใครช่วยเราเลย เพราะเราถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรก มันติดอยู่ในใจเราตลอดเวลา โดยเฉพาะคนเอเชีย ติดเยอะ

พอไปอยู่ในที่สว่างแล้ว พระเจ้าบอกนิรันดร์ พอเราทำอะไรผิดไป เราก็นึกว่าต้องลงนรกอีกแล้ว มันก็เลยไม่ตรงตามพระคัมภีร์ แค่นั้นเอง พระเจ้าจึงบอกว่าคนๆ นั้นต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ต้องมองทะลุเข้าไปทางวิญญาณ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ได้ ไม่อย่างนั้นลำบากมากเลย

การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ จึงสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้น เราไปสะเปะสะปะในโลกวัตถุ   จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด ผิดหมด เบี้ยวไปเบี้ยวมา ถ้าท่านเริ่มที่โลกวิญญาณก่อน ท่านจะเริ่มถูกต้องแล้ว  มันอาจจะติดช้าหน่อย แต่ติดถูกเม็ด เพราะฉะนั้น ต่อไป มันก็เรียงตรง

เปาโลเป็นนักประกาศ พอมีคนเชื่อใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็อธิษฐานไม่หยุดหย่อนเลย ในเอเฟซัส 1:17

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์”

 

เปาโลบอก “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เสมอๆ เลย ไม่ใช่เสมอธรรมดา “ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ”

ก็คือขอให้พระเจ้า พ่อของพระเยซูที่เราเชื่อกันอยู่ กำลังพูดกับผู้เชื่อใหม่ชาวเอเฟซัส “เรา” ในที่นี้ รวมทั้งเปาโลด้วย

แสดงว่าที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐมา มันไม่พอ เพื่อท่านจะได้รู้มากกว่านั้น

“ขอพระเจ้า ให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และมีวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้”

วิญญาณนี้ หมายถึงโลกวิญญาณ … วิญญาณนี้ไม่ได้หมายถึง เพื่อท่านจะได้มีสติปัญญาแบบมนุษย์ เพื่อท่านจะขยันอ่านพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะขยันท่องพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันไปโรงเรียนพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันมาโบสถ์ เพื่อท่านจะขยันเข้าห้องเรียนพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ดีหมด แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งสำคัญที่สุด นอกเหนือจากที่พูดมาทั้งหมด ต้องเริ่มที่วิญญาณ … วิญญาณตรงนี้อาจจะหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ วิญญาณของท่านเป็นวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ มาเป็นพี่เลี้ยงเรา สอนเราในเรื่องเกี่ยวกับพ่อเรา เกี่ยวกับพระเจ้าและพระคริสต์ว่าในวิญญาณเป็นอย่างไร?

วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ตรงนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Revelation คนชอบไปใช้ผิด  พระเจ้าสำแดงความรู้ให้กับเราแล้ว รู้ว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? อีกประมาณ 10 กว่าปี ได้กลับแน่ โอ้! วิญญาณสำแดงให้เรารู้แล้ว รู้ว่าพระเจ้าจะอวยพรท่านในการทำธุรกิจนี้เจริญเติบโตจริงๆ ทำต่อไป ถูกหรือไม่ถูก?

“พระเจ้าประทานวิญญาณแห่งความรู้ให้กับผมแล้ว รู้ว่าตอนนี้ คุณเป็นโรคอะไร?”

เขาพูดอย่างนี้ คุณคิดว่าถูกไหม? บางครั้งผลของมันมา ที่ตะกี้พูด มันอาจจะตรงกับความจริงบ้าง? แต่มันไม่ใช่เรื่องของพระคริสต์ ที่ตรงบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น บางครั้งมาจากเรื่องลี้ลับ ไม่ได้มาจากเรื่องพระเยซู ก็ยังทำได้เลย ใช้พลังจิตก็ได้ ใช้หลักไสยศาสตร์ ก็ทำได้ วิทยาคมก็ทำได้ เราก็จะหลงไปในทางนั้น เรามาดูจริงๆ พระคัมภีร์บอกว่ามันคืออะไร?

วิญญาณแห่งสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์อย่างเดียว  ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่นเลย ไม่เกี่ยวกับว่าปีหน้าไปทำงานที่นี่ ออกจากที่นี่ดีไหม? ปีนี้จะแต่งงานกับคนนี้ ดีไหม?  ผู้รับใช้พระเจ้าคนนี้มีของประทานมากในการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณ จะมาบอกว่าอนาคตของท่าน ไปไหม?  ไม่ต้องไป ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไป ไปหาหมอดูดีกว่า อาจจะเก่งกว่า เข้าใจไหม? ผมกำลังจะบอกท่านว่าวิญญาณสำแดงความรู้ เกี่ยวกับพระคริสต์ … พระคริสต์อย่างเดียวเลย ท่านต้องรู้โลกวิญญาณตรงนี้

ต่อไป “เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์”

เพิ่งมาเชื่อเอง ยังไม่สนิทสนมเลย ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? พ่อของเราเป็นใคร? พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณจะสำแดง พระเจ้าให้เรารู้ พอเรามาตรงนี้แล้ว ขอเสมอ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้เรามีสติปัญญาและความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รู้จักพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเจ้า อย่างลึกซึ้งและสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่ใช่ฟังมาจากพาสเตอร์บรรยายให้ฟัง อันนั้น เป็นส่วนเริ่ม จริงๆ จากข้างในเราเองนั่นแหละ สำคัญกว่า ถ้าท่านฟังผม แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่ต้องพยายามมาเชื่อผม แต่ถ้าท่านฟัง แล้วท่านเอาไปคิดตามอะไรต่างๆ พระวิญญาณคอนเฟิร์มว่านี่ คือพระคัมภีร์ในนั้นจริงไหม?  ถ้าจริง ถ้าท่านเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้าไป เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์ เพราะฉะนั้น มันก็จะมีเรื่องที่ไม่แท้จริงของพระองค์แฝงอยู่ในนี้  ถูกไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ชัดเจนเลย มาดูในข้อที่ 18

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณเปิดออก (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน)”

ไม่ใช่ตาเนื้อหนัง ที่เป็นสติปัญญาของท่าน ที่ท่านเรียนหนังสือ หรือเรียนปรัชญาของชีวิต ตาวิญญาณของท่านสว่าง เพื่อรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ เรื่องพระเจ้าจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่นแหละ ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น อันนี้เปาโลบอกสำคัญมาก ตาวิญญาณท่านต้องถูกเปิดออก  และพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะได้ รับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านแล้ว ผู้ที่ได้เป็นประชากรบริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

แล้วแปลว่าเสร็จแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว มีมรดก จัดเตรียมให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่ย้ายจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ทันทีทันใด เขามีมรดกแล้ว

อาจารย์เปาโลทำหน้าที่เป็นพระเอก ไปค้นหาทายาทพันล้าน ก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างจังหวัด น่ารักเชียว ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ ก็ปลอมตัว เป็นเด็กเกเร ทำท่าเป็นผู้ชาย มีปมด้อย ไม่อยากจะเป็นผู้หญิง เสร็จแล้ว ก็ช่วยอุปการะ เรียกมาทำงานที่บ้าน ปรากฏว่ามาทำงานที่บ้าน โดนคนโน้นคนนี้รังแก ข่มเหง จนกระทั่ง เสียศูนย์ เสียสติไปเลย เสียมากๆ ในที่สุด วันหนึ่ง พ่อของพระเอกก็ตาย พ่อพระเอกเป็นเจ้าของมรดกมากมาย ก็ปรากฏว่าในพินัยกรรม เขียนมรดกให้เด็กคนนี้เป็นเจ้าของทั้งหมด แล้วทุกคนทั้งทนายความ ทั้งแม่และคนอื่นๆ ก็เป็นคนไปบอกว่า …

“มรดกเป็นของเธอ บัดนี้ เธอไม่ได้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่ต่อไปแล้ว เธอเป็นเจ้าของบ้านเลย จะไล่คนไหนออก ก็ไล่ได้เลย”

ไม่เชื่อ ร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย  ขนาดหาหลักฐานว่าในหนังสือพินัยกรรมบอกไว้ว่าคนๆ นี้ มีปานอยู่ข้างหลัง สีแดง 1 ปาน สีชมพู 1 ปาน สีน้ำตาล 1 ปาน สมมตินะ ไปดูได้ หลักฐานต้องเป็นคนนี้แน่นอน ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน คงเป็น DNA ในหนังสือพินัยกรรมเขียนอย่างนั้นจริงๆ ปรากฏทนายและทุกคนตรวจ นางเอกคนนี้มีหลักฐานครบถ้วนบริบูรณ์ พอไปบอก นางเอกได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ร้องไห้ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ วิ่งหนีไปอีก

ถ้าอย่างนี้ต้องถึงเราแล้วสิ พระเอกก็เดินเข้าไปอธิบายด้วยความรัก เพราะพระเอกรักเขาอยู่แล้ว

“เป็นอย่างนี้นะ ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ เพราะรักเธอ”

แค่บอกว่ารัก ผู้หญิงสัมผัสได้ เพราะว่าพระเอกทำดีกับเขามาตลอด ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาสัมผัสความรักได้ ก็เริ่มเปิดใจ จริงก็จริง เชื่อ ก็เลยเปลี่ยนสภาพตัวเอง จากหญิงสาวใช้ ถูกรังแก กลายเป็นเจ้าของบ้าน มีมรดกเยอะแยะมากมาย เพราะความรัก

เพราะฉะนั้น เวลาเราไปประกาศให้ใคร ต้องประกาศด้วยความรัก ให้ความรักสัมผัสเขา ค่อยๆ อดทน ให้พระวิญญาณทำงาน บางทีเราอดทนไม่ได้ กิเลสตัณหาเรา มันสูงกว่า เราจะเอาด้วยตัวเอง แล้วในที่สุด มันก็จะเกิดปัญหา พระคัมภีร์ หนังสือภาษาเดิมแปลว่าหนังสือมรดก ที่บอกให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ที่ให้ท่านศึกษาพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เก่า แปลว่ามรดกเก่า มรดกใหม่ มีในนั้นบอกเสร็จเลยว่ามรดกท่านเป็นอะไร? ท่านจะไปรับได้อย่างไร? New Testament แปลว่ามรดกใหม่

ในนี้บอกว่ามรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน คือเปาโลไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว มันใหญ่มหึมามาก นี่สุดแล้ว สุดของสุด ซึ่งการกระทำสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางความเชื่อ

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราตอนนี้ เราอธิษฐานให้ตัวเราเองด้วย  อธิษฐานให้คนอื่นด้วยว่าขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเข้าใจในโลกวิญญาณ มันสำคัญมาก อะไรที่ไม่เข้าใจ อย่าพึ่งติเตียนใคร อย่าพยายามคิดด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ให้วางใจในพระเจ้า แล้วอธิษฐาน

“ขอให้พระเจ้าประทานวิญญาณสติปัญญา ในการสำแดงความรู้ ให้กับลูกด้วย ลูกจะได้มีปัญญาเข้าใจ ลูกไม่เข้าใจหรอก”

แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แล้วก็หงุดหงิด เดี๋ยวอยู่ดีๆ มันก็จะเข้าใจไปเอง เอเมน เขาเรียกว่าเจริญเติบโตขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************