คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ” ตอน 1 “หลักข้อเชื่อของอัครทูต” โดย นคร เวชสุภาพร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเพิ่งจะฉลองวันเพ็นเทคอสต์ ต่อด้วยฉลองวันครบรอบ 23 ปีของคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของเรา  ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ร่วมอยู่ในงานนี้ แต่ผมก็ได้ร่วมนมัสการร่วมฉลองไปกับพี่น้องด้วย ผ่านการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เนต

ที่เล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ท่านทราบว่าเทคโนโลยีช่วยเราได้มาก ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้อยู่วันอาทิตย์ในโบสถ์ ก็สามารถฟังได้ที่บ้าน เปิดยูทูป แล้วก็หาลิ้งค์ของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ฟังนะครับ มันช่วยได้เยอะมาก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ส่งคลิปมานำท่านชมวิหารเซนต์พอล ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่เมลเบิร์นครับ ผมได้มีโอกาสนมัสการกับเขาที่โน้นด้วย และหนึ่งในจำนวนการนมัสการ มีการให้ที่ประชุมยืนขึ้น ร่วมกันกล่าวหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ผมก็เลยตั้งใจว่ากลับมาแล้ว จะมาคุยเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะผมเห็นว่ามีประโยชน์มากๆ เลย ท่านจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างของโลกนี้ที่กว้างออกไปกว่าที่เคยเป็น

หลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือบางแห่งเรียกว่าสัญลักษณ์ของอัครทูต ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ก็คือคำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของคริสตศาสนา ที่มีมาตั้งแต่ยุคแรกเลย

คำว่า Apostle ก็คือสาวกของพระเยซูรุ่นแรกๆ

ส่วนคำว่า Creed หมายถึงหลักข้อเชื่อ

รวมกัน ก็คือหลักข้อเชื่อของอัครทูต  คำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของอัครทูต ก็คือคริสเตียนทุกคน เราเรียกตัวเองว่า “เป็นผู้เชื่อ”  เชื่อใน Good News หรือข่าวประเสริฐ

ข่าวดี ก็มาจากพระคัมภีร์ ทุกคนเชื่อพระคัมภีร์หมด แต่พอถามว่าเชื่ออะไร? ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น อ่านพระคัมภีร์เยอะไหม? ศึกษาละเอียดขนาดไหน?  ถ้าศึกษาน้อย ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าศึกษามาก ก็อาจจะตอบได้เยอะ ก็อาศัยพูดกันต่อๆ มาว่าเชื่อว่าอะไร? เขาบอกมาว่าอย่างนี้ ความเชื่อของคริสเตียนในยุคแรก ก็เริ่มหลากหลาย  แตกต่างออกไปเรื่อยๆ กระจัดกระจาย ถูกบ้างผิดบ้าง ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง ไม่ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง

อย่างเช่น กินอาหารที่เขาเอาไปบูชารูปปั้นได้ไหม?  อย่างนี้เป็นต้น วันสะบาโต คือวันอะไร?  วันสะบาโตจำเป็นไหม? ต้องไปโบสถ์ ทำงานได้ไหม? อะไรประมาณนั้น นี่เป็นส่วนเล็กๆ ที่ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่ามันกระจัดกระจาย เชื่อว่าวันสะบาโตต้องไม่ทำงาน หรือเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อว่าอาหารบางอย่างทานไม่ได้

คริสตจักรในยุคแรกๆ จึงรวบรวมสาระสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ในเรื่องของความเชื่อและตามหลักพระคัมภีร์ด้วย โดยรวบรวมจากความเชื่อและคำสอนของบรรดาเหล่าสาวก หรืออัครทูตของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เดินกับพระเยซู แล้วก็เรียกสรุปสาระสำคัญเหล่านี้ว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต

คริสตจักรในยุคแรกๆ ก็ใช้หลักข้อเชื่อนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีต่างๆ ในโบสถ์ เช่น ในการประชุม ก็จะอ่านหลักข้อเชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อจะไม่ลืม หรือผู้เชื่อใหม่ ที่จะรับบัพติศมาในน้ำ ก็ต้องกล่าวหลักข้อเชื่อนี้ก่อนบัพติศมา ซึ่งพิธีการต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังมีการทำอยู่ในทุกวันนี้ ในคริสตจักรหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะคริสตจักรในนิกายเก่าแก่ ตั้งแต่รุ่นเมื่อ 500 – 600 ปีก่อน ยังคงทำอยู่ อย่างเช่น ลูเธอร์แลนด์  แองทีคั้น (ก็คือโบสถ์เซนต์พอลที่ผมไปมา) เพรสไบทีเรียล  เบสท์ทอดิส เป็นต้น ก็มีอย่างอื่นอีก

คือก่อนที่จะเข้าพิธีรับบัพติศมาในน้ำ ผู้เชื่อจะประกาศความเชื่อของตัวเอง ด้วยการกล่าวว่า …

“ข้าเชื่อ” แล้วก็ตามด้วยหลักข้อเชื่อของอัครทูต ก่อนลงน้ำ

เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อ” ตอนที่ 1

ท่านต้องติดตามทุกตอน ท่านจะได้ขอบคุณพระเจ้ารู้ว่าเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ขอบคุณพระเจ้า ใหญ่โตขนาดนี้เหรอ ขอบคุณพระเจ้า ท่านจะมีความมั่นใจในสิ่งที่ท่านกำลังเชื่ออยู่ในตอนนี้ แข็งแกร่งมั่นคง ภูมิใจมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันก่อนว่าที่มาของ Apostle’s Creed มาจากที่ไหน?

หลักข้อเชื่อของอัครทูต Apostle’s Creed เป็นหลักข้อเชื่อตามพันธสัญญาใหม่ ก็คือพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงพระคัมภีร์สมัยที่พระเยซูคริสต์บังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จนกระทั่งพระเยซูขึ้นไปอยู่บนสวรรค์บันทึกไว้จนกระทั่งถึงพระองค์จะกลับมาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มจากการประสูติของพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส มาถึงวันศุกร์ประเสริฐ ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ การเสด็จไปแดนมรณาหรือนรก หรือแดนคนตาย ในช่วงที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันที่สาม คือวันอีสเตอร์ ต่อมาถึงการปรากฏพระองค์กับบรรดาเหล่าสาวก เป็นเวลา 40 วัน เพื่อยืนยันการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ และเมื่อครบ 40 วัน ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า หลังจากนั้น 10 วัน เมื่อครบ 50 วัน คือวันเพนเตคอสต์ ที่พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์ทั้งปวง

 

พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ มีพูดถึงเรื่องการก่อตั้งคริสตจักรสาวก การกำเนิดคริสตจักรสากล การพิพากษาในยุคสุดท้าย การได้รับร่างกายใหม่ของผู้เชื่อทั้งหลาย วันหนึ่งข้างหน้า และการได้รับชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ที่จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไปในสวรรค์สถาน นี่แหละคือสาระสำคัญในพันธสัญญาใหม่ ในหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้

เรามาดูกันว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือ Apostle’s Creed มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์  พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
  3. ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์  หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. จากที่นั่น  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

อาเมน แปลว่าใช่ ฉันเชื่ออย่างนั้นแหละ มันเป็นไปตามนั้น

เวลาเราได้ยินคำเทศน์ หรือคำบรรยาย หรือถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ หรือข้อความอะไรบางอย่างเข้ามา แล้วเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นที่สรรเสริญพระเจ้า  เราสามารถตะโกนดังลั่นว่า “เอเมน” มันเป็นอย่างนั้นแหละ บางคนบอกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรารีบบอกเลยว่าอาเมน อย่างนี้เป็นต้น ท่านควรทราบ และเอาไปใช้ให้ถูกต้องนะ

Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้  ไม่ได้เป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่ามีสิทธิอำนาจอะไร? อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ เป็นการรวบรวมความเชื่อ ตามหลักข้อพระคัมภีร์ ที่บรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ได้บันทึกเอาไว้ แล้วพระคัมภีร์ทุกฉบับ ไม่ว่าอัครทูตคนไหนก็ตาม ใครเป็นคนเขียนก็ตาม ในพระคัมภีร์นั้น  เป็นถ้อยคำของพระเจ้าทั้งหมด ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ซึ่งเราเรียกกันว่าพระวจนะของพระเจ้า หรือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง 2 ทิโมธี 3:14-16 ได้บันทึกไว้

2 ทิโมธี 3:14-16 “14 แต่ส่วนท่านจงดำเนินต่อไป ในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ และได้เชื่อมั่น เพราะท่านรู้จักคนเหล่านั้น ที่ท่านเรียนรู้จากเขา 15 และรู้ว่าตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้รู้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถทำให้ท่านมีปัญญา ที่จะมาถึงความรอดได้ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม”

 

สรุปหลักข้อเชื่อ ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นหลักความเชื่อตามพระวจนะ หรือถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ บางคนถามว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย? ทำไมเราต้องให้ความสนใจกับหลักข้อเชื่อนี้? ที่เราควรจะสนใจ ก็เพราะเขาสรุปมาให้เป็นแก่น เป็นสาระสำคัญเหมือนที่บอกมาโบสถ์สำคัญ ก็สำคัญ แล้วไม่มาโบสถ์ได้ไหม? ได้รับความรอดไหม? ก็ได้รับ ไม่ใช่เอามาบังคับว่าจะต้องมา ท่านถึงได้รับความรอด อย่างนี้เป็นต้น

การเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องหลักข้อเชื่อต่างๆ ตรงนี้ ก็จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจที่ดีขึ้น กระจ่างขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความรอด หรือพระคุณของพระเจ้า และสามารถดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ได้ถูกต้อง เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นอิสระจากระบบพิธีการของมนุษย์ที่คิดขึ้นมาเอง เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในกรอบที่มนุษย์คิดขึ้นมา ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้  แล้วท่านจะรู้ว่าเราควรจะทำอะไรตามที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอนเรา บอกเราว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียน เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร?  ทำอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นที่พอพระทัย ถึงเรียกว่าถูกต้อง เอเมน

สาเหตุที่ต้องมีหลักข้อเชื่อนี้ ก็เพราะว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยคริสตจักรแรกๆ มีหลายคนที่เข้าใจเนื้อหาในพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง แล้วก็มีการสอนกันแบบผิดๆ จนมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีผิดอยู่ และการผิดนี้ มีสองอย่างเท่านั้นเอง คือ …

มาจากผิดแบบบริสุทธิ์ใจ คือไม่รู้จริงๆ เขาสอนมาอย่างนี้ เราก็เชื่อมาอย่างนี้ ก็ว่าไป พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เขาเชื่อมาอย่างนี้ เขาบอกมาอย่างนี้ ก็เชื่อไป

แต่มีบางอย่าง ที่ผิดแบบไม่บริสุทธิ์ใจ คือตั้งใจสอนแบบผิดๆ เพื่อแสวงหาลาภ ยศ และสรรเสริญ อันนี้ก็น่ากลัวด้วย มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว เพื่อปากท้องของคนสอน เพื่อปากท้องของคนเล่าให้ฟัง ก็ต้องระวัง เพราะฉะนั้น หลักข้อเชื่อนี้จึงมีประโยชน์ ที่เราต้องยึดถือ เราก็เอาตรงนี้เป็นหลักเกณฑ์ไว้ ยึดตรงนี้  เรื่องอื่นๆ นอกจาก 12 ข้อนี้ อาจจะมีความสำคัญเหมือนกัน แต่มันน้อยหน่อย ซึ่งเราต้องมีความเข้าใจ แต่ในเรื่องของความสำคัญที่สุด ก็คือความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ นี่สำคัญที่สุด นี่คือหัวใจของพระคัมภีร์ รอดเพราะอะไร? ทำอย่างไรถึงรอด เชื่ออย่างไรถึงรอด ซึ่งมีแก่นอยู่ 12 ข้อ เลยจากนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะถวายหรือไม่ถวาย มันก็ไม่เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์วันอาทิตย์หรือไม่มา ก็ไม่เกี่ยวกับความรอด แต่ถามว่าทั้งสองอย่างนั้นดีไหม? ถ้าท่านปฏิบัติ ดี บางคนสอนผิด เพื่อเอาลาภ ยศ สรรเสริญ ก็บอกให้ท่านมาถวายๆ มาโบสถ์สิ เพื่อจะได้ถวาย อย่างนี้ก็มี ไม่ใช่มีทุกแห่ง

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง จึงมีการรวบรวมหลักข้อเชื่อขึ้นมา เพื่อเป็นบรรทัดฐาน  เป็นแบบฉบับในการหล่อหลอมความเชื่อของมวลคริสตจักรทั้งปวง ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ให้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เข้าใจผิดด้วย

เรากลับมาที่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระคุณความรอดจากบาป อยู่ในหนังสือโรม 10:8-10

โรม 10:8-10 “8 ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? “ถ้อยคำนี้อยู่ใกล้ตัวท่าน อยู่ในปาก และอยู่ในใจของท่าน” คือถ้อยคำแห่งความเชื่อ ที่เรากำลังประกาศอยู่ 9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด” เอเมน

 

บอกไว้ชัดเจนว่าถ้อยคำแห่งความเชื่อที่เราประกาศอยู่นั้น คือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้น ความรอด ขึ้นอยู่กับความเชื่ออย่างเดียว

มาโบสถ์เป็นประจำ แล้วลุกขึ้นยืนตามพ่อแม่ แล้วให้ศิษยาภิบาลทำพิธีให้ ประกาศว่าเราเป็นผู้เชื่อ ผู้ได้รับความรอดแล้ว ไม่ได้ เพราะในนี้บอกว่าประกาศความเชื่อด้วยปาก และยอมรับความเชื่อนั้น ด้วยใจ การเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถที่จะพูดหรือท่องถ้อยคำพระเจ้าได้ ต่อให้เราท่องถ้อยคำพระเจ้าได้หมดทั้งเล่มเลย ก็ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคริสเตียน

ตรงนี้  ที่บอกว่าเชื่อด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่าเชื่อว่ามันเป็นจริงเท่านั้น  แต่ต้องวางใจด้วย

หลักข้อเชื่อใช้คำว่าข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Believe by faith” คือเป็นความเชื่อที่ออกมาจากข้างในใจจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ

“ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ” พร้อมที่จะทุ่มเท หรือมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ หรือพูดง่ายๆ ยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อความเชื่อนี้ เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย ต่อให้ใครไม่ไป ฉันก็จะไป เพราะฉันเชื่อวางใจในพระองค์ มันต่างกับความเชื่อเฉยๆ

“ผมไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์เฉยๆ แต่ผมเชื่อศรัทธาเลย ก็คือผมเชื่อและวางใจ วางชีวิตไว้แล้ว ทุกอย่าง เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น ยอมทุกอย่าง  เอเมน”

มีนักไต่ลวดคนหนึ่ง ตระเวนแสดงการไต่ลวดไปตามสถานที่ต่างๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งชายคนนี้ ก็เปิดการแสดงไต่ลวด คราวนี้ก็เป็นการแสดงแบบท้าทายมาก เป็นการขึงลวดระหว่างภูเขา 2 ลูกข้างผาชัน แล้วสำคัญที่สุด คือไม่มีตะข่ายรองรับ เรียกว่าถ้าพลาด ชีวิตไม่รอด การแสดงครั้งนี้ มีคนดูเยอะมากเลย เงยดูกัน ก่อนเริ่มการแสดงนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนถามคนดูที่อยู่ข้างล่างว่า …

“ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับว่าผมสามารถไต่ลวด เดินข้ามไปได้”

คนดู ก็ตะโกนตอบด้วยความมั่นคงมั่นใจว่า …

“เชื่อ แน่นอน”

เพราะว่าเขาเคยดูคนนี้ ไปเล่นมาทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยก็เคยมา คนนี้ดังมาก ดูในยูทูปมาตลอด ยังไงก็เดินได้ รับรอง 100% แค่นี้ง่ายสำหรับเขามาก  นักไต่ลวดคนนี้ ก็เริ่มการแสดงของเขา จนในที่สุด ก็สำเร็จ เดินข้ามไปได้

การแสดงก็จบลง ท่ามกลางความระทึกตื่นเต้นของผู้ชมมากมาย และเพิ่มความเชื่อให้กับผู้ชมมากมายว่าคนนี้ทำได้ จากนั้น คนนี้ก็ประกาศว่า …

“คราวนี้จะเป็นชุดฟินาเล่ ตอนจบ คือชุดการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมจะเดินข้ามเส้นลวดนี้กลับไปที่เดิม โดยที่จะแบกคนหนึ่งคนไว้ที่ข้างหลัง แล้วข้ามไปพร้อมกับผมด้วย ท่านเชื่อไหมครับว่าผมสามารถทำได้”

คนดูก็เชียร์กันใหญ่เลยว่า … “เชื่อ”

แล้วนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนว่า …

“เอาล่ะครับ ผมขออาสาสมัคร 1 คนที่จะเกาะหลัง แล้วเดินข้ามลวดนี้ไปกับผมด้วย”

ปรากฏว่าคนดูทั้งหมด เงียบกริบเลย สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น ขอเป็นอาสาสมัคร ว่าแล้วเด็กชายคนนี้ ก็ค่อยๆ ปีนบันได ขึ้นไปขี่หลังนักไต่ลวดคนนี้ แล้วก็เริ่มต้นข้ามเส้นลวดนี้ไปพร้อมๆ กับชายคนที่ไต่ลวดคนนี้ ด้วยความหวาดเสียว ในที่สุด ก็ข้ามไปได้ด้วยดี ทุกคนปรบมือกันใหญ่เลย การแสดงจบลง ก็มีคนรีบเข้าไปถามเด็กคนนี้ว่า …

“เมื่อกี้ ทำไมหนูถึงใจกล้าจัง ไม่กลัวบ้างหรือ?”

เด็กคนนี้ก็ตอบว่า …

“ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะผู้ชายที่ผมกำลังเกาะหลังอยู่นั้น ก็คือพ่อของผมเอง ผมมั่นใจว่ายังไงๆ พ่อก็ต้องพาผมผ่านข้ามไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอนเลยทีเดียว”

อย่างนี้เรียกว่าเชื่อศรัทธา

นี่คือตัวอย่างของความหมายที่บอกว่าไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อและวางใจ ยอมทุ่มเท ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของตน ยอมเสี่ยง เพื่อความเชื่อ (ศรัทธา) นั้น มันจึงพิสูจน์ความเชื่อศรัทธานี้ได้ ถ้าไม่ยอมเสี่ยง ก็ยังไม่รู้

เพราะฉะนั้นหลายครั้ง พระเจ้าต้องพาเราผ่านพายุ ให้เราไปพบกับอุปสรรค ปัญหา จึงได้รู้ว่าจริงหรือเปล่า?

“นี่ เชื่อฉันจริงไหม?” หรือว่าเชื่อแค่อยากหายโรค หรือเชื่อแค่ อยากได้พระพรทางการงานการเงิน หรือเชื่อแค่ชีวิตสบายใจ ไม่ต้องลงนรก แค่นั้น ตอนความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เหมือนพระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ยังเชื่ออีกไหม?  

ถ้าท่านตอบตรงนี้ได้ว่ายังเชื่ออยู่ ท่านกำลังเชื่อศรัทธาอยู่ ขณะที่ท่านนอนบนเตียง หายใจ ดูน่าเกลียด เอาอะไรครอบ จะไปหรือไม่ไป ทุกข์ทรมาน ท่านยังเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอยู่ไหม? ท่านยังสามารถเอเมนไหม เวลาศิษยาภิบาลหรือใครไปอธิษฐานที่ที่นอน  ท่านพูดไม่ออก ท่านยังพยักหน้า เอเมน หรือท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ไหว พระเจ้าช่วยด้วย ท่านลองคิดดูแล้วกันว่าท่านอยู่ในสถานะตรงไหน? ความเชื่อนี้ ต้องบวกกับความศรัทธา  เชื่อและวางใจในลักษณะนี้เท่านั้น  ถึงเรียกว่า Apostle’s Creed ได้ ความเชื่อที่ท่านพูด 12 อย่าง

“ฉันเชื่อวางใจว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ พระองค์เป็นพระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”

มันหมายถึงท่านวางใจในพระองค์ได้ ท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อว่า ไว้วางใจว่า ศรัทธาว่าพระองค์ เป็นอย่างนั้นๆ ไม่ใช่พูดลอยๆ ว่าพระองค์เป็นอย่างนั้น ได้ยินได้ฟัง มั่นใจในข้อมูล ไม่ใช่ มันต้องอยู่ข้างใน เชื่อศรัทธาด้วยใจข้างใน แล้วปากพูดออกมานั่นแหละของแท้  ขอพระเจ้าอวยพรครับ