คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอ้ครทูตร” ตอน 2 “ข้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดา” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้เรามาทบทวนของครั้งที่แล้ว วัตถุประสงค์หลักที่มีการรวบรวมหลักข้อเชื่อนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน หรือเป็นมาตรฐาน ในการหล่อหลอมความเชื่อศรัทธาของรุ่นต่อๆ มา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงกันตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เหตุผลที่ผมตั้งใจสอนให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ …

เหตุผลที่ 1 เพื่อจะหล่อหลอมความเชื่อของคริสเตียนทั้งหลาย ในการร่วมเป็นประชากรของพระเจ้า  ร่วมเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกัน มีความเชื่อตรงกัน

เหตุผลที่ 2 เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเกิดความมั่นคงในเรื่องของความเชื่อ ที่เป็นสาระสำคัญ หรือเป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แก่นแท้ของข่าวประเสริฐนั่นเอง

 

การตีความหมายพระคัมภีร์ที่หลากหลาย ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยๆ  ก็ไม่เป็นอะไรมากนัก   ไม่ใช่แก่น  แต่ถ้าเป็นสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระคุณของพระเจ้า เกี่ยวข้องกับความรอดจากบาป การที่ได้กลับมาคืนสู่ความดีของพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้น อันนี้เป็นหลัก เป็นแก่นเลย ผิดไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ยกตัวอย่าง …

–  กินหมูหรือไม่กินหมู อย่างนี้น้อย ไม่ได้เป็นหลัก ไม่ได้เป็นแก่น

–  วันสะบาโตต้องหยุดทำงานไหม?    หรือทำได้หรือไม่ได้?    บางแห่งก็ทำได้   บางแห่งก็ทำไม่ได้

อย่างนี้ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ แตกต่างกันได้ บางนิกาย บางคริสตจักรอาจจะมีขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ ในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญเหล่านี้แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง ที่อเมริกาคงไม่มีเช็งเม้ง แต่ประเทศไทยมี นี่คือสาระไม่สำคัญ

“จะร่วมก็ร่วมไปเถอะ ไม่ร่วม ก็ไม่เห็นเป็นไร?”

ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรมของเราที่นี่ เรามีเช็งเม้ง ถ้าเทียบกับประเพณีของอเมริกา เขาเรียก Memory day หรืออะไรสักอย่าง คือวันแห่งการระลึกถึงคนที่จากไปแล้ว  เขาก็จะเอาดอกไม้ช่อหนึ่ง หรืออะไรต่างๆ ไปที่หลุมศพ ไปคำนับ ไปให้เกียรติ ไประลึกถึงใครก็ตามที่เรารัก ที่เขาจากไป ถามว่าพอเรามาเป็นคริสเตียน เราไปเช็งเม้งได้ไหม? ถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

นี่ยกตัวอย่างให้อันเดียว ท่านก็เอาเรื่องนี้ไปใช้กับทุกเรื่องได้หมดเลย  แต่ท่านต้องเรียนรู้ หลักข้อเชื่อเสียก่อน จะอเมริกาหรือเมืองไทยจะต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเกิดจากแมรี่หรือมารีย์ ที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ เห็นประโยชน์หรือยัง? แทบไม่ต้องไปถามใคร? …

“ฉันไปงานนี้ได้ไหม?  ฉันไปงานศพ ฉันควรจะทำอะไร?”

ท่านเอาไปวิเคราะห์เองได้  ท่านเป็นอิสระ นี่คือสิ่งที่พระเยซูอยากบอกให้เรารู้ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ความจริงจะทำให้เราเป็นไทได้อย่างไร? แต่ถ้าเมื่อไรที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากหลักข้อเชื่อ 12 ข้อนี้ ต้องตอบว่าคริสเตียนรับไม่ได้ ผิดแน่นอน ถ้าผิดจากหลักข้อเชื่อนี้ ก็ถือว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จทันที

เหตุผลที่ 3 เพื่อให้เรามีความเข้าใจในเรื่องของคริสตจักรสากล และเห็นถึงความสำคัญของการร่วมสามัคคีธรรมกัน ร่วมดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณกับพี่น้องในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เหมือนเพลงที่ร้องว่า …

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ แปลว่าเราเป็นยูไนเตด คือดองกัน  เป็นครอบครัวเดียวกัน ของใครก็ตามที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทั่วโลกเลย ที่ไหนก็ตาม ที่เขาเชื่อเหมือนเรา 12 ข้อนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล เราเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เชื่อ 2,300 กว่าล้านคน

 

ท่านได้ยินคำว่า “คริสตจักรบริสุทธิ์” เมื่อไร? จงจำไว้ หมายถึงผู้เชื่อ 1 คน และผู้เชื่ออีกเหมือนๆ กันอย่างนี้ในพระเยซูคริสต์อีกหลายๆ คนทั่วโลกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคริสตจักรเดียว

สรุปง่ายๆ เหตุผลที่เราควรเรียนรู้หลักข้อเชื่อ มีอยู่ 3 ประการ ก็คือ …

(1) เพื่อให้มีหลักและความเชื่อที่ถูกต้องตรงกันทั่วโลก

(2) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ อย่างกระจ่างในหลักข้อเชื่อ ในพระคัมภีร์ใหม่

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของ     Holy Church    คือของคริสตจักรสากล   หรือคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักรบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เอเมน

 

ถามว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ทำไมบริสุทธิ์ เพราะที่นั่นอธิษฐานเยอะ เพราะที่นั่นอดอาหาร ไม่ใช่แต่เพราะพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ไถ่บาปให้กับเขาทุกคน  ตั้งแต่คนที่มาเชื่อเมื่อตะกี้นี้ กับคนที่รับเชื่อไปเมื่อ 80 ปีที่แล้ว บริสุทธิ์เท่ากันไม่มีผิด ตั้งแต่คนที่อธิษฐาน แค่ 3 คำ กับอีกคนหนึ่งอธิษฐานมา 30 ปีแล้ว ก็บริสุทธิ์เท่ากัน นี่แหละความจริงจะทำให้เราเป็นไท

วันนี้เรามาดูข้อแรกก่อน

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก”

เราย้ำเรื่องความแตกต่างของคำว่า “เชื่อ” กับคำว่า “เชื่อศรัทธา” หรือเชื่อวางใจ ที่ผมได้ยกตัวอย่างคนไต่ลวด ที่เขาท้าทายคนดูให้ขี่คอ และไต่ไปพร้อมกัน แต่ไม่มีใครกล้าขึ้นไป มีเพียงเด็กชายเล็กๆ ปีนขึ้นไปเท่านั้น

แล้วผมก็ยกตัวอย่างว่ามันต่างกันอย่างไร? เด็กคนนี้เขาเชื่อ คนดูก็เชื่อ ซึ่งเป็นคำยกตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำว่า “เชื่อศรัทธาในพระเจ้า ในพระบิดา” เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับพ่อเหมือนกัน เด็กคนนี้ เขารู้จักคนที่ไต่ลวดคนนั้น เพราะเป็นพ่อของเขา ไม่ใช่รู้จักธรรมดา รู้จักสนิท รู้จักเขาถึงไส้ ถึงพุงเลย วางใจคนนี้แน่นอนเลย  เพราะเป็นพ่อเขา แต่คนอื่นเชื่อ เพราะได้ยินความสามารถ ความเก่งกาจของคนๆ นี้ จากคนอื่นเล่ามา เคยเห็นคนนี้ทำ เชื่อเฉยๆ แต่พอให้ไปเสี่ยงชีวิต ไม่เอาแล้ว เพราะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ ไม่ได้เชื่อวางใจในความสามารถของเขาจริงๆ ซึ่งตรงนี้ ผมใช้คำว่า “เชื่อศรัทธา”

อยากให้เราเห็นว่าความเชื่อศรัทธา วางใจสุดชีวิตกับความเชื่อเฉยๆ มันแตกต่างกันอย่างไร? แล้วพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เมื่อมาเป็นคริสเตียน คนจะเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ รับความรอดในพระเยซูคริสต์ได้ จะต้องมีความเชื่อศรัทธาวางใจตรงนี้ เกิดผล ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ มันไม่เกิดผล เหมือนที่ยกตัวอย่างในหนังสือโรม 10:9

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด”

 

ในหลักข้อเชื่อ ข้อแรกนี้  ที่ขึ้นต้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก” พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า แบบศรัทธาวางใจ วางชีวิตเราลงเลย ไม่ได้บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดเฉยๆ” เพราะฉะนั้น ใน Apostle’s Creed จึงใช้คำว่าเชื่อ เป็น “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจและศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด” เอเมน

เวลาท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระบิดาเจ้า จงมีความรู้สึกในใจว่าเราเชื่ออย่างนี้จริงๆ เชื่อศรัทธาวางใจ เสี่ยงชีวิตกับพระองค์ได้เลย

คำว่า “เชื่อ” เฉยๆ ก็คือแค่การเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของเรา แต่คำว่าเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Believe by faith เป็นความเชื่อที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเราจริงๆ เป็นความเชื่อที่สามารถขับเคลื่อนการกระทำในชีวิตของเรา ง่ายๆ เลย เป็นความเชื่อ ที่เปลี่ยนชีวิตเรา กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เป็นความเชื่อที่ออกมาจากใจลึกๆ ของเราจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ พร้อมที่จะทุ่มเท หรือพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ได้ ไม่ใช่บางอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะเชื่อและวางใจ

เชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเรา ดูแลเราได้ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็อาจจะมีหลายคน ที่เชื่อเหมือนกันว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ผู้สร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก แต่ความเชื่อแค่นี้ ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของเขาเลย แม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเชื่อแค่นี้  เหมือนคนดูที่เชื่อในการเดินข้ามอีกครั้งหนึ่งของนักไต่ลวด ไม่มีประโยชน์กับเขาเลย เพราะว่าเขาเชื่อแค่นั้น แต่พอบอกให้ไปเสี่ยง เชื่อจริงๆ ก็ขึ้นไปสิ เขาไม่ขึ้น ก็เพราะเขาไม่ได้เชื่อจริง

หลายคนในโลกนี้ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูอยู่ห่างๆ แล้วก็เชื่อ แต่เอาไหม? ไม่เอา เพราะยังห่วงประเพณี ห่วงญาติพี่น้อง ห่วงคนโน้นว่า ห่วงคนนี้ว่า ไม่ใช่ศาสนาเรา ไม่ใช่ประเพณีเรา ก็เลยเชื่อเฉยๆ แต่พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั้งหมดที่นี้ เดินก้าวออกมาใช่ไหม?  โดนด่าไปแล้ว ใช่หรือเปล่า? โดนต่อต้านไปแล้ว แต่เราก็มั่นใจ

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป”

นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ “ฉันก็จะตามไป”

คิดถึงที่บ้านเขากำลังโกรธ ที่เรามารับบัพติศมาในน้ำ มันต้องมีแน่นอน เพราะว่ามันต้องเปลี่ยน แต่ที่เราเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในจิตใจเรา  ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราได้เห็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นไท เราหลุดออกมาจากกรอบเดิม เราหลุดออกมาจากประเพณีเดิม ที่มนุษย์สร้างไว้เป็นกรอบ บอกว่าอันนี้ดี แต่ไม่ใช่ ตอนนี้ดีที่สุดของเรา คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา … เรามีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ … พระองค์ทรงนำพาเราไปสวรรค์ได้อย่างแน่นอน เราพ้นจากบาปแล้ว เราเดินไปด้วยความเชื่อ (ศรัทธาและวางใจพระองค์)

“แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

ทุกวันนี้ มีอยู่ 2 อย่าง มีโปแตสแตนต์กับคาทอริค เอาง่ายๆ ก่อน มาติน ลูเธอร์เป็นเหมือนบิดา เป็นผู้เริ่มต้น เป็นผู้รวบรวม แล้วให้กำเนิดโปแตสแตนต์

มาติน ลูเธอร์ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “เชื่อ ศรัทธา วางใจในพระเจ้า” ไว้อย่างนี้ นี่ 500 กว่าปี นี่คือสิ่งที่เขาเขียนไว้ เขาไปพบความจริง เขาอยากให้ผู้คนได้รู้ เขาเลยเขียนรวบรวมความเป็นจริง เหล่านี้ขึ้นมาว่า Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อในนี้ ต้องเชื่อและวางใจ

คำว่า “เชื่อและวางใจในพระเจ้า”  คือไม่ใช่เพียงแค่ว่าสิ่งที่มีการกล่าวถึงพระเจ้า เป็นเรื่องจริง แต่เป็นความเชื่อที่ทำให้เราสามารถวางทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราไว้ที่พระองค์ได้  เป็นความเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ทำให้เราสามารถยอมรับความเสี่ยงและสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้  เป็นความเชื่อที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ ที่เรียกกันว่า “Beyond Understanding” เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เป็นความเชื่อศรัทธา ที่มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีแผนการ สำหรับเรานั้น หรืออนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรานั้น จะต้องเป็นไปตามพระสัญญาของพระองค์ทุกประการ คือดีแน่นอน และเราไม่สามารถมอบความเชื่อวางใจในลักษณะนี้ให้กับใครได้อีกแล้ว  จะต้องเป็นความเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด สิ่งใด ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น มีเพียงพระเจ้าพระบิดา ผู้สูงสุด และผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  เพราะถ้าท่านรู้ตรงนี้ ท่านจะเป็นอิสระ

ท่านจะรู้ว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม?  ใจท่าน มีพระองค์สูงสุดไหม?  บางคนบอกว่ากำลังโลภใช่ไหม? ท่านกำลังอธิษฐานกับพระบิดาในใจว่าอะไร? เป็นของพระองค์ ข้างนอกใครจะทำอะไร ไม่มีใครรู้หรอก ใช่ไหม?

และด้วยความเชื่อและวางใจนี้ เราจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกเลย เพราะเราเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา  มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  ความเชื่อและวางใจของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับภัยอันตราย หรืออุปสรรคปัญหาใดๆ ก็ตาม ความเชื่อศรัทธาในพ่อของเรา จะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าจะในยามสุข หรือทุกข์ ในยามมั่งมีหรือยากจน ความเชื่อวางใจในพระเจ้า  ในลักษณะนี้  ที่เราให้กับพระเจ้านี้ จะไม่วันน้อยลงเลย ไม่ว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐาน ตามใจปรารถนาของเราหรือไม่ก็ตาม

นี่คือบทสรุป ที่มาติน ลูเธอร์บอกไว้ ความเชื่อศรัทธาต้องเป็นอย่างนี้ เหมือนตัวอย่างพระเยซูบนไม้กางเขน พระเยซูไถ่บาปให้กับมนุษย์ ต้องรับโทษทั้งหมดของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน ทุกข์ทรมาน พระองค์อธิษฐานว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ก่อนที่พระองค์จะสิ้นใจ พระองค์ตรัสว่า …

“พระเจ้า พระบิดา ลูกมอบวิญญาณให้กับพระองค์”

ก็คือเอาไงเอากัน แล้วแต่พระองค์ ไม่เคยตายมาก่อน ไม่เคยแยกจากพระองค์ หมายความว่า ณ วันนี้ต้องทำ พระเจ้าพระบิดา แล้วแต่พระองค์ เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ นี่คือความเชื่อศรัทธา วันหนึ่งเราก็ต้องตัดสินใจ แล้วแต่พระองค์ ในใจลูกวางใจในพระองค์ อยากถามพวกเราทุกคนในที่นี้ว่าความเชื่อและวางใจในพระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา ณ วันนี้ ในขณะนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้  เป็นเหมือนที่มาติน ลูเธอร์ได้อธิบายไว้หรือเปล่า?

ในหลักข้อเชื่อข้อแรกนี้ “ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” มีหัวใจสำคัญอยู่ 2 อย่างเท่านั้นเอง ในข้อนี้ คือ …

(1) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา เป็นพ่อของเรา

(2) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พูดง่ายๆ เราต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง ยิ่งใหญ่สูงสุด ขณะเดียวกันเชื่อว่าพระองค์เป็นพ่อจริงๆ พ่อที่รักเรามาก พ่อที่ดูแลทุกก้าวในชีวิตของเรา นิดๆ หน่อยๆ ก็ดูตลอด

เราต้องเชื่อตรงนี้ให้ได้ นี่แหละคือคริสเตียน และขอเพียงท่านมีความเชื่อและวางใจใน 2 สิ่งนี้ ความเชื่อของท่านก็จะเป็นแบบมาติน ลูเธอร์ พูดเมื่อสักครู่นี้ ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน จริงๆ เลย เหมือนที่เด็กคนนั้น ขึ้นไปขี่หลังพ่อเขา แล้วก็เดินไต่ลวดข้ามเหว โดยไม่มีตาข่ายรองรับ  และเชื่อไหมว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ปัญหาของท่านขี้ประติ๋วสำหรับพระเจ้า แค่นั้นเอง และสิ่งที่มาติน ลูเธอร์ อธิษฐานไว้ ทั้งหมด ก็มาจากพระคัมภีร์

มาติน ลูเธอร์ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์สอนเรา ให้อธิษฐานอย่างนี้  พระองค์ทรงเริ่มต้นการงาน โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระองค์ประกาศคำแรกว่า …

“อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว”

พอเริ่มสอนไปนิดหนึ่ง มีคนถามว่าแล้วเราจะอธิษฐานกับพระบิดาอย่างไร? พระเยซูก็สอนให้เขาอธิษฐานอย่างนี้  ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ดังที่สุด อยู่ในหนังสือมัทธิว  เรียกว่า The Lord prayer คือคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9-13

มัทธิว 6:9-13 “9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่าข้าแต่พระบิดา แห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะ 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก 11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ในกาลวันนี้ 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิด ต่อข้าพระองค์นั้น 13 และขออย่านำข้าพระองค์ เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจและฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

 

นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้  ขึ้นต้นว่า …

“ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเยซูกำลังสอนเราให้เชื่อว่าพระเจ้า ไม่ใช่พ่อของโลก ไม่ใช่พ่อของมหาจักรวาล แต่เป็นพ่อของเรา ส่วนตัว แล้วพระองค์ทรงมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์สามารถดูแลเราทุกสถานการณ์ได้ ตามคำอธิษฐานทั้งหมดนั้นแหละ

ตอนที่พระองค์ทรงสอนอยู่นั้น อีกไม่นาน พระองค์จะทรงตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนมนุษยชาติทั้งปวง และวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และจะเสด็จสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เปิดทางสว่างให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ สามารถเข้ามาหาพระเจ้า กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระองค์ได้ สอนล่วงหน้าไว้เลยว่ากำลังจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น พระองค์ทรงทราบดีว่าภารกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ คืออะไร? พระองค์เลยสอนล่วงหน้าว่าจากนี้ต่อไป ให้อธิษฐานอย่างนี้นะ จากนี้ต่อไปไม่ได้หมายถึงจากนี้ไปอีก 1 ปี จากนี้ไปอีก 3 วัน จากนี้ไปอีก 1 อาทิตย์ จากนี้ไปจนกระทั่งพระองค์จะกลับมาใหม่ แล้วเราไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกเลย

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงคริสตจักรอภิสุทธิสถาน พระเยซูสอนเราให้อธิษฐานลักษณะอย่างนี้ จงเชื่ออย่างนี้ และจากนี้ต่อไปอีกกี่ปีไม่รู้ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาใหม่ เปลี่ยนแปลงหมดทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องอธิษฐานกับพระองค์แล้ว เพราะเราจะเห็นหน้าพระเจ้าพระบิดาหน้าต่อหน้าเลย เอเมน เมื่อนั้นสวรรค์ก็ลงมาตั้งอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้สวรรค์มาตั้งอยู่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ครบบริบูรณ์

คราวหน้าเราจะมาต่อในรายละเอียดของความหมายของคำว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ” “อับบา” ขอพระเจ้าอวยพรครับ