คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

เรายังเกาะติดสถานการณ์ หลังการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ 40 วัน หลังจาก 40 วัน พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ไปประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น จากอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 36 แล้ว วันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ ก็ครบ 40 วันพอดี เป็นวันที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า นี่พูดถึง 2,000 ปีที่ผ่านมา

พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป เพื่อรับบาปของมนุษย์ไว้ เพื่อเป็นแพะรับบาป  และพระเจ้าให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงพูดไว้  เป็นความจริง  และที่สำคัญ  ก็คือให้เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู  มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูด้วย ตรงนี้สำคัญที่สุด

 

พระเยซูต้องปรากฏพระองค์เอง เดินอยู่กับมนุษย์ 40 วันเท่านั้นเอง เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ มากินข้าวกินปลา พูดคุย จับมือ ถือแขนกับพวกสาวกมากมาย เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่เคยประกาศก่อนจะสิ้นพระชนม์ และเพื่อส่งสาวกของพระองค์ออกไปเป็นพยานว่าพระองค์ เป็นอยู่ ทรงพระชนม์อยู่ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

“จริงๆ ฉันเห็นมากับตา ฉันจับมากับมือจริงๆ”

ตัวนี้สำคัญ ทุกเหตุการณ์มีที่มาที่ไป มีเหตุผล ซึ่งพระคัมภีร์มีบันทึกไว้ทั้งหมด

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษา ก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

ที่พระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอยู่ในสวรรค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่เสด็จลงมา พระเยซูจึงบอกว่าการที่พระองค์จะจากพวกเราไป เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานนั้น ก็เพื่อผลดีของพวกเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ลงมาสถิตอยู่ในตัวเราเลย เพื่อมาช่วยเราในระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

ถ้าพระเยซูเดินอยู่กับเราตลอดอย่างนี้   ก็แค่อยู่ข้างนอกตัวเรา   แต่ถ้าพระเยซูเสด็จไป พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา พระวิญญาณจะอยู่ในใจของเรา ในวิญญาณของเรา ต่างกันเยอะ เห็นหรือยังว่าพระเจ้าวางแผนอะไรไว้ พระเจ้าสามารถมาสถิตกับเราได้ อยู่กับมนุษย์ได้

ในยอห์น 14:26-27 พระองค์พูดถึงเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สัญญาว่าจะให้มาช่วยเรา

ยอห์น 14:26-27  “26  องค์ที่ปรึกษา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมา ในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน  และอย่ากลัวเลย” เอเมน

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณ    ทั้ง 3 พระองค์นี้    ในพระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกันเราอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องสภาพของวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็คือพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราด้วย พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วย

“อ้าว! แล้วพระเยซู ในพระคัมภีร์บอกสถิตอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์”

ใช่พระองค์ สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ ในขณะเดียวกัน เราเป็นมนุษย์ เราคิดไม่ถึง เหมือนเราไปบอกมดว่า …

“เดี๋ยวเราจะเดินไปหน้าโบสถ์ ใช้เวลา 1 นาที”

มดมันบอกว่า “จะบ้าหรือ! ทำไปได้อย่างไร ใช้เวลา 1 นาที เขาต้องเดินกันเป็นเดือนๆ”

สมมติให้ฟัง มดมองไปไม่มีภูเขา มองทางราบอย่างเดียว แต่เรามองไป โอ้โห! มีเก้าอี้ขวางอยู่ ประตูสูง  เขาบอกเขามองราบอย่างเดียว ไม่เห็นมีอะไรเลย เข้าใจใช่ไหมครับว่าสายตาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน นี่คือใจความสำคัญที่บอกว่าพระวิญญาณมาอยู่กับเราดีกว่าอย่างไร?  ก็คือพระเจ้าพระเยซูสถิตอยู่ข้างในตัวเราเลย

หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ 10 วัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงลงมา 10 วัน   บวกกับอีก  40  วันหลังวันอีสเตอร์ ก็คือ 50 วัน วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์นั่นเอง

วันที่ 50 ภาษาฮีบรูเขาเรียกว่า เพ็นต้า … เพ็นต้า ก็คือ 5 … เพนเทคอสต์เดย์ วันที่ 50 นับจากวันอีสเตอร์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าวันเพนเทคอสต์ และปีนี้ตรงกับวันที่ 15 เดือนนี้

แล้วเมื่อถึงวันเพนเทคอสต์ ทุกคนก็รู้ โดยเฉพาะที่นี่ ต้องรู้เลย เพราะเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง  คริสตจักรแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้น ในวันเพนเทคอสต์ เมื่อ 23 ปีที่แล้ว

วันศุกร์ประเสริฐ คือวันที่พระเจ้าไถ่บาปให้กับเรา

วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเจ้าเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

และวันเพนเทคอสต์ คือวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับเรา

 

ครั้งที่แล้ว เราได้สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีความมั่นใจอยู่ 2 สิ่ง คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา แทนร่างกายที่เราเห็นทุกวันนี้ ก็คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์นั่นเอง  พระเยซูไถ่เราที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง ก็คือผลจากวันเพนเทคอสต์นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างชีวิตของโยเซฟ บุตรชายคนโปรดของยาโคบ ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกพวกพี่ชายกลั่นแกล้งและขายให้ไปเป็นทาสที่เมืองอียิปต์ ถูกใส่ร้ายจนติดคุก จนกระทั่งได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มีอำนาจใหญ่โตในอียิปต์

จนวันหนึ่ง เกิดกันดารอาหาร  และพวกพี่ชายของโยเซฟ   ต้องพากันมา ขอซื้อข้าวที่อียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการไปแล้ว แทนที่โยเซฟจะโกรธพวกพี่ชายที่ได้เคยจะฆ่าตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพราะพวกพี่คิดเองหรอก แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นต่างหาก”

ให้อภัยหมดเลย  เกินกว่าคำว่าให้อภัยอีก เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไร? คิดว่าเป็นพระเจ้าผู้เดียวที่เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ ไม่มีต่างกันเลย  แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราทั้งหลาย ก็เหมือนกัน โยเซฟยังต้องเจออุปสรรคปัญหา และเจอความทุกข์ยากลำบากมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับโยเซฟ เห็นไหม?

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากจะได้อะไร? ก็ได้ตามใจ ไม่ใช่เป็นคนพิเศษ แต่มันหมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป จะใช้เรา … เราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในภาพใหญ่ๆ แผนงานใหญ่ของพระเจ้า เราเป็นแค่จิ๊กซอเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ

วันนี้มาดูกันต่อว่าโยเซฟ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย มีคุณลักษณะอย่างไร? และเขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าโยเซฟมีชีวิตที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์ของชีวิต และการกระทำของโยเซฟ ก็ทำให้คนรอบข้างเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของเขา นี่คือแบบอย่างที่ดี ที่เราควรเรียนรู้

ตอนที่คนอิชมาเอลซื้อโยเซฟมาจากพวกพี่ชาย ไปเป็นทาส แล้วเขาก็ขายต่อให้กับโปทิฟาร์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ สังเกตดูว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟอย่างไร? ดูปฐมกาล 39:2-6

ปฐมกาล 39:2-6 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และทรงอวยพรให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้น  ในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ 3 เมื่อนายเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้า  ประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ 4 โยเซฟจึงเป็นที่โปรดปราน และกลายเป็นคนสนิทของนาย  โปทิฟาร์จึงตั้งให้โยเซฟดูแลครัวเรือนของเขา และมอบทุกสิ่งที่เขามีอยู่ ไว้ในมือของโยเซฟ 5 ตั้งแต่นายมอบหมายให้ โยเซฟดูแลทุกสิ่งในครัวเรือน และทุกสิ่งที่เขามี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวของคนอียิปต์นั้น เพราะเห็นแก่โยเซฟ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกสิ่งของโปทิฟาร์  ทั้งในบ้านและในทุ่งนา 6 ดังนั้น โปทิฟาร์จึงไว้ใจให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เขามี เมื่อมีโยเซฟเป็นผู้ดูแล  เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องใดเลย เว้นแต่อาหารที่จะรับประทาน”

 

คิดดูสิจากการเป็นทาส เขาทำ จนกระทั่งเจ้านาย เจ้าของบ้าน ยกให้เป็นเหมือนบ้านของเขาเลย แค่ถามว่าวันนี้มีอะไรกิน?  องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จในทุกสิ่ง ที่เขาทำ เห็นชัดไหม?

นี่หมายถึงคนอื่นเห็นนะ ไม่ใช่เราพูด นี่คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย โยเซฟก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา … เขาจึงมีความมั่นใจมาก เขารู้เลยว่าเขาไปเป็นทาส เดินเข้าไป ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่เขารู้ว่าเขาไปเป็นพระพร สำหรับบ้านหลังนี้ เขาจะทำให้ดีที่สุด

จำได้ไหมที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านทราบ ถึงเรื่องที่เราไปสมัครงาน เวลาไปสมัครงาน เราไม่ได้ไปของานเขาทำ แต่เรากำลังจะไปดูว่าพระเจ้าจะพาเราไปอวยพรบริษัทนี้ไหม?   ถ้าสัมภาษณ์เสร็จแล้ว    เขาไม่เอา    แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อวยพรบริษัทนี้ ต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงเดินไปอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่เดินไปจ๋องๆ ไปของานเขาทำ พอเขาไม่ให้งาน เสียใจมากเลย ไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

นี่คือคุณสมบัติพิเศษของผู้เชื่อว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันจริงๆ”

จะเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนจากลูกเศรษฐี กลายมาเป็นทาสรับใช้ในเรือนเจ้านาย แทนที่โยเซฟจะตีโพยตีพาย ร้อง ถามหา …

“พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมทิ้งเราเป็นอย่างนี้? ทำไมกลายเป็นตกต่ำอย่างนี้? ทำไมเสียฟอร์มอย่างนี้? ทำไมแย่อย่างนี้?”

หลายคนไม่เข้าใจ …

“พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วให้เป็นทาสทำไม? ไหนพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อวยพรให้เธอเป็นคริสเตียน  ทำไมจนอย่างนี้”

เคยได้ยินคนพูดไหม? เคย ไม่ต้องแคร์เขา ถ้าพระเจ้าให้ท่านอยู่อย่างนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เอเมน

และเมื่อตอนที่โยเซฟถูกภรรยาของเจ้านายใส่ร้าย กล่าวหาว่าโยเซฟเข้าไปลวนลาม จนกระทั่งโยเซฟถูกจับไปขังคุก มาดูว่าโยเซฟตอบสนองต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร? ปฐมกาล 39:20-23

ปฐมกาล 39:20-23 “20 และเจ้านายนำโยเซฟมาขังไว้ในคุกหลวง 21 แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา และทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัศดี  22 ดังนั้น พัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก 23 พัศดีผู้นั้น ไม่ต้องใส่ใจต่อสิ่งใดๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” เอเมน

 

ดีใจที่เขาอยู่ในคุกหรือ? ไม่ใช่ … ดีใจ เพราะเขาสำแดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาอีกแล้ว จนกระทั่งหัวหน้าดูแลคุก คือพัศดีได้เห็น ทั้งๆ ที่ตอนเข้าไปเขากลุ้มใจ เขาวิตกกังวล เดินคอตกเข้าไปในคุก เดินเข้าไปในการทดลอง แน่นอน ใครอยาก ก็เป็นมนุษย์  อยากสบายๆ ไปเจออย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจ แต่ขณะตกใจกลัว เขามีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย  ในนี้บันทึกไว้ …

“องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา ทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัสดีคนดูแล”

คนไม่รู้เรื่อง เขาจะถามว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่อยู่ในคุก ไม่ดีกว่าเหรอ”

ถูกหรือเปล่า?  นี่คือความคิดของมนุษย์อีกแล้ว

มาถึงตอนที่โยเซฟ มีโอกาสทำนายฝัน ให้กับคนเชิญจอกเหล้าองุ่นของกษัตริย์ฟาโรห์ หลังจากที่ทำนายฝันให้แล้ว พูดอะไร? ปฐมกาล 40:14-15

ปฐมกาล 40:14-15 “14 เมื่อท่านได้ดีแล้ว โปรดระลึกถึงข้าและเมตตาสงสารข้าด้วย โปรดช่วยทูลฟาโรห์ เรื่องของข้า และช่วยข้าออกจากคุกนี้ 15 เพราะข้าถูกลากตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู และบัดนี้ ต้องมาอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร”

 

เมื่อตอนต้นบอกว่าแม้จะอยู่ในคุก พระเจ้าก็ยังสถิตอยู่ด้วย และโยเซฟ ก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย และพระเจ้าอนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่ในคุก รู้อย่างนี้แล้ว ทำไมยังต้องดิ้นรนหาทางออกจากคุกด้วย ทำไมมันแย้งกัน ฟังคำพูดเมื่อตะกี้ทรมานไหม? ทรมาน เขาอยากอยู่ในคุกไหม? ไม่อยาก เขาวิงวอนไหม? วิงวอน

แค่คำพูดว่า “ขอเมตตาสงสารข้าด้วยเถิด ข้าถูกใส่ร้าย”

แสดงว่าเขามีความคิดอย่างนี้ตลอดเวลา ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ในคุกนั้น ถูกไหม?  เขาไม่ได้มานั่งคิดตอนนี้ แต่เขาคงคิดตลอด  ขณะที่เขาคิดอย่างนี้ตลอดเวลา แต่การดำเนินชีวิตเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแรง ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้าตลอดเวลา จนผู้คนรอบข้างเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาจริงๆ แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียว ขณะที่เขาอธิษฐาน เขาอาจจะบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว”

แต่พอเขาเดินออกไปทำงาน  เขาก็ทำอย่างดีที่สุด  คริสเตียนเราเป็นอย่างนี้ ผู้คนมองเข้ามาเข้มแข็ง พอถึงวิญญาณ เราก็อ่อนแอ เราก็ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอความเมตตาจากพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ซาดิสต์ อยากทุกข์ทรมานมากๆ เขาก็อยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ ทุกข์กาย เพราะกายนี้ มันเป็นกายเก่าที่มีเชื้อบาปอยู่ มันมีเจ็บปวด อ่อนแอมาก  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราก็อยากที่จะสบาย  พูดง่ายๆ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ดีงามทั้งหมด ไม่มีทุกข์ทรมานอย่างนี้ นี่มันมาจากบาป แต่ต้องอดทน เพราะการไถ่นั้นสำเร็จแล้ว แต่รอขบวนการครบถ้วนบริบูรณ์ก่อน ที่โยเซฟเป็นอย่างนี้ เพราะโยเซฟก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเนื้อหนัง ไม่ใช่คนวิเศษ แตกต่างอะไรกับเราเลย ยังมีความกลัว มีความวิตกกังวล เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่ชอบนะครับ แม้จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

“แต่ถ้าเลือกได้  ก็ขอให้ความทุกข์นี้ ออกไปจากข้าพระองค์เถิด”

ถูกไหม?  มันเป็นความคิดปกติของมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป  แม้กระทั่งพระเยซู ก็เป็นเช่นเดียวกัน  จนมาถึงตอนที่โยเซฟมีโอกาสทำนายฝันให้กับฟาโรห์ โยเซฟก็แสดงออกถึงคุณลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา นั่นก็คือเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัว ที่จะพูดในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้เขาพูด พระเจ้าบอกเขาอย่างนั้นจริงๆ

ตอนที่คนเชิญจอกออกจากคุกแล้ว ก็ลืมโยเซฟไป 2 ปี แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระเจ้าประทานความฝันให้กับฟาโรห์ ไม่สามารถมีใครมาทำนายฝันได้ คนเชิญจอกคนนี้ นึกขึ้นได้ ยังมีคนรู้จักคนหนึ่ง ชื่อโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ฟาโรห์ก็บอกให้เรียกมา โยเซฟก็ได้มีโอกาสมาพบฟาโรห์ โยเซฟได้ทำนายฝันให้ฟาโรห์ว่าจะมีการเก็บเกี่ยวผลอย่างมากมาย 7 ปี หลังจากนั้นอีก 7 ปีจะเกิดการกันดารอาหาร และฝันที่ฟาโรห์เห็นนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดขึ้น

โยเซฟได้แสดงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่จะพูดออกไป เมื่อเขามีความมั่นใจว่านี่พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น   แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ    ถ้าเกิดขึ้นไม่จริงโยเซฟก็คอขาดพอดี  กล้าหาญขนาดไหน? นอกจากมีความกล้าหาญแล้ว ในความมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่  ทำให้เขาได้แสดงออกถึงความมีเมตตาและอภัยด้วย  จากเหตุการณ์การกันดารอาหาร ทำให้พวกพี่ชายมาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟแทนที่จะโกรธพี่ชาย  เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา พระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ชีวิตเขาอย่างเดียว ทุกคนทุกชีวิต มั่นใจมากเลย

ปฐมกาล 45:5-8 “5 บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเอง ที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดิน สองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น  มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา”

 

ถ้าเราจะทำเหมือนกับโยเซฟ วันนี้เราจะต้องคิดให้ดีๆ เราอาจจะต้องไปขอบคุณผู้คนที่ครั้งหนึ่ง เคยทำไม่ดีกับเรา  ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่ามันไม่ดี แต่เพราะเหตุการณ์นั้น  มันทำให้เรามาเชื่อพระเจ้าได้ทุกวันนี้ … วันนี้เราต้องคิดใหม่ ไม่ใช่ไม่โกรธเขาไม่พอนะ ต้องหาทางเอากระเช้าดอกไม้ไปขอบคุณเขา  …  เขาคงงง ทำอะไร?

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เรามองไปทุกอย่างสบายๆ แล้ว คือคำว่า “สบายๆ” ก็ต้องผ่านเนื้อหนังอีก ถึงต้องมาสอนกัน เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์ต้องทำอย่างนั้น แต่ให้รู้ว่าข้างในเรา จะทำอย่างไร?  และถ้าเราทำได้ เราเองนั่นแหละ จะได้พรคนแรกเลย คือหายเหนื่อยและเป็นสุข  เอเมน

“ขอบคุณพระเจ้ามากๆ วันนั้นโกงผมไป ผมเลยมีงานใหม่ที่ดีกว่า ถ้าไม่โกง ผมไม่เจ๊ง ผมไม่มีทางมาทำงานนี้หรอก งานนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่สุด      คือผมไม่มีทางมาหาพระเจ้าหรอก     ผมเย่อหยิ่งมาตั้งนานแล้ว    แต่เนื่องจากเจอวันนั้น ไปไหนไม่รอด ผมจึงเชื่อ ได้รู้จักพระเจ้าจริงๆวันนี้ ชีวิตของผมเปลี่ยนไปหมดเลย  ทุกอย่างก็ดีกลับมาหมดเลย ขอบคุณมากๆ”

นี่คือความจริง มนุษย์รับยาก แต่เราต้องเรียนรู้กันไป

เรื่องราวของโยเซฟที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ซึ่งจะต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ รอบข้างแบบนี้ และเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่กับเราตลอดเวลา ควรเอาเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต

 

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ทุกอย่าง ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ตรงนี้เป็นหัวใจเลย

พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป เรียกว่ารับใช้

ตอนนั้น อียิปต์ เป็นเหมือนกับประเทศมหาอำนาจ ร่ำรวยมาก โยเซฟเหมือนนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการ ใหญ่มาก เป็นคนฮีบรู เป็นยิว คนยิวก็แห่กันมา ย้ายจากที่ลำบากลำบนมาที่นี่  เส้นใหญ่ครับ เพราะผู้สำเร็จราชการเป็นชาวยิว ก็เลยเอื้ออำนวยให้คนยิวอยู่ดี กินดี เป็นเวลาหลายร้อยปี ผู้คนเหล่านั้น คือพี่น้องของโยเซฟ เป็นชาวยิวทั้งนั้น มีลูกมีเต้าเยอะแยะ ลูกก็แข็งแรง เพราะกินดีอยู่ดี  ฟาโรห์คนเก่า ที่รู้จักโยเซฟตายไป รุ่นของโยเซฟหมดไป ฟาโรห์คนใหม่ไม่รู้จักโยเซฟ มองไป คนยิวน่ากลัว เพราะแข็งแรง คนเยอะแยะมากมาย เกิดคิดกบฏขึ้นมาแย่เลย เพราะฉะนั้นต้องจัดการให้มันน้อยลง ก็กลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนกระทั่งโมเสสก็เกิดในช่วงที่ถูกฟาโรห์คนใหม่ข่มเหง โมเสสเกิดที่นี่ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าโยเซฟได้รับพระพร ทำให้ชาวยิวมาที่นี่ ครอบครัวของโมเสสก็อยู่ที่นี่ โมเสสก็คลอดออกมา แล้วเกิดอะไรต่างๆ ที่ไม่ดี  พระเจ้าก็อนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อเป็นไปตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น โยเซฟก็เป็นแค่จิ๊กซอตัวหนึ่งที่ทำให้โมเสสมาเกิด แล้วโมเสสกระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้พวกเราทั้งหลาย นั่งอยู่ที่นี่ได้ รู้จักพระเจ้าได้ การไถ่ถอนของพระเจ้าสำเร็จ เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ก็เพราะส่วนหนึ่ง ก็คือโยเซฟที่ตกลงไปในบ่อน้ำ

ถ้าคิดมาย้อนปัจจุบัน ผมนึกถึงปู่ผม  … ปู่ผมมีครอบครัวที่ดีมากอยู่ที่ประเทศจีน ในสมัยนั้น เกิดสงครามกลางเมือง จำเป็นต้องอพยพออกมา เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว ก็อธิษฐานกับพระเจ้า …  พระเจ้าก็นำพาโดยอัศจรรย์ มาเมืองไทย อยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวที่มีฐานะที่ดี ไม่อย่างนั้นผมคงเกิดที่โน่น พระเจ้านำหมดเลย ตอนที่ปู่ผมตาย ผมยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย มาลำบากลำบนเปล่า?

ปู่ผมไปอยู่กับพระเจ้าไม่กี่ปีต่อมา   ผมมาเชื่อพระเจ้า    …    พระเจ้ามองหมดแล้ว มันจะต้องเกิดวันนี้ คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ มีอายุครบ 23 ปี ก็ต้องมีคนๆ หนึ่ง มาช่วยกันกับอีกหลายๆ คน ทุกคนถูกเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว ให้มาทำอะไร? มันต้องมีคริสตจักรที่นี่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้า ผมตายจากโลกนี้ไป ผมจะเห็นภาพอนาคตข้างหน้าว่าเพราะปู่ย้ายมาที่นี่ ผมมาเป็น คริสเตียน ผมมาร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ที่นี่  มาประกาศข่าวประเสริฐ คนนี้ก็เชื่อจากการประกาศของผมออกไป ไม่ใช่ผมดีนะ ผมกำลังจะเล่าให้ท่านฟัง ผมไปประกาศ คนนี้เชื่อ แล้วเขาก็ไปทำงานของเขาเกิดผล ท่านพอจะเข้าใจอะไรไหม?

ผมกำลังพยายามให้ท่านเห็นภาพว่าเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการงานของพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าใช้เราอย่างนี้ๆ เราไม่รู้เรื่อง เราก็ว่าของเราไปเรื่อยๆ ตายไป เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำวันนี้  มันกระทบสู่ผลดีอะไร ภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า อีกมากมายขนาดไหนเราไม่รู้ แต่เรารู้แน่ๆ ว่ากระทบแน่นอน เพราะว่ามันเป็นแผนการใหญ่ของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าครอบครัวของพระเจ้า เอเมน

ชีวิตผมเหมือนกัน ถ้าไม่มีวันนั้นลำบากลำบน ผมก็ไม่มาเชื่อพระเจ้า ต้องกลับไปขอบคุณอีกหลายคน ที่ทำให้ผมลำบากลำบนวันนั้น แล้วได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะไม่ใช่เขา แต่เป็นพระเจ้าจัดเตรียมแผนการให้เราเล็ดลอด ค่อยๆ เข้ามาสู่ทางของพระองค์ได้ ชีวิตเราก็ควรจะเป็นแบบโยเซฟ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของแผนการของพระเจ้า และในทุกสิ่ง ให้เราคิดเหมือนกับที่โยเซฟคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม จงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพื่อผลดีเสมอ ในขณะที่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ รู้แต่ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน สำหรับเราและผู้คนเยอะแยะมากมาย   ที่จะกระทบเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต   และจงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ให้ดีที่สุด และยึดมั่นไว้อย่างมั่นคงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอนหลับ หรือตื่นอยู่ พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรืออยู่ในวัง จะมีกินหรืออดอยาก หรือจะเจ็บป่วย หรือจะแข็งแรง พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะถูกเขาดูถูกหรือถูกเขาสรรเสริญ พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ท่านก็ไปใส่ทุกอย่าง พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนี้ และเมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราเป็นแผนการส่วนหนึ่งเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็ให้เราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็จงดีใจ ไม่ใช่ดีใจ เพราะอยากมีชีวิตอยู่นะ

ตราบใด ท่านมีลมหายใจอยู่ ท่านมีคุณค่าที่จะมีชีวิตต่อไป ถ้าท่านรู้ว่าขณะที่ท่านมีลมหายใจ นั่นคือพระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ มันมีอะไรบางอย่างกระทบต่อไป ท่านอาจจะบอก …

“ก็นอนอยู่ในห้อง ICU ไม่ไปสักที”

พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ไม่ต้องคิดว่าใช้อย่างไร? แต่ถ้าหมดลมหายใจ ก็จบงาน พักผ่อนแล้ว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ท่านรับใช้ได้ตลอด ไม่ว่าเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ท่านก็รับใช้ได้ตลอด คือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คุณค่าที่รู้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา และนำพาชีวิตเรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือแผนการใหญ่ของพระองค์ที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาดี ไม่ใช่สำหรับเราคนเดียว แต่ดีสำหรับภาพรวมทุกคน เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ