วารสาร Holy News ฉบับที่ 1354

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มีนาคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั่นเป็นเช่นไร”  ตอน 5

“… “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก” พระเยซูกำลังพูดกับใคร?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

“อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 5 วันนี้เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกับความจริง คำว่า “อุ่นๆ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Lukewarm” ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์วิวรณ์ บทที่ 3 เดี๋ยวอ่านก่อนนะ แล้วดูสิ ความหมายท่านคิดว่าอย่างไร?  และในระหว่างที่อ่านให้ท่านฟัง  หรือท่านอ่านตามไปด้วยก็ได้  ท่านลองคิดตามไปด้วยนะว่า ถ้อยคำตามบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับใคร? วิวรณ์ 3:14-22 เป็นคำตรัส คำพูดของพระเยซูบอกนิมิตกับอาจารย์ยอห์นได้บันทึกเอาไว้ …

“วิวรณ์ 3:14-22 “14 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักร ที่เมืองเลาดีเซียว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาเมน (พระเยซู)  เป็นพยานที่สัตย์ซื่อและเที่ยงแท้  เป็นผู้ปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ตรัสว่า 15 ‘เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ร้อนไม่เย็น เราอยากให้เจ้า ร้อนหรือเย็น ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง 16 เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก 17 เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวช น่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่ 18 เราแนะนำเจ้า ให้ซื้อทองคำ ที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง ซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่า อันน่าละอาย และซื้อยา มาทาตาของเจ้า  เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น 19 เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอน ผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงกระตือรือร้น และกลับใจใหม่ 20 เราอยู่ที่นี่แล้ว เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา 21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขา มีสิทธิ์นั่งกับเราบนบัลลังก์ของเราเหมือนที่เราได้มีชัยชนะ และได้นั่งกับพระบิดาของเรา บนบัลลังก์ของพระองค์ 22 ใครมีหู ก็จงฟัง สิ่งที่พระวิญญาณ ตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

 

“ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” พระเยซูคงไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่มีหูหรอกนะ  แต่หมายถึงหูทางฝ่ายวิญญาณ ใครมีหู ฟังเรื่องนี้ในชนิดที่เป็นความรู้ สติปัญญา ทางโลกวิญญาณ  จงฟังเถิด

ข้อ 15-16 บอกว่า “พระเจ้าตรัสว่าเรารู้ถึงการกระทำของเจ้า  เจ้าไม่ร้อน ไม่เย็น  เราอยากให้เจ้าร้อนหรือเย็น ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง  เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น  ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก

ประเด็นหลักที่เราเรียนรู้กัน ในวันนี้ ก็คือคำว่า “อุ่นๆ” ไม่ร้อนไม่เย็น  พูดกับใครน๊า? ไม่ร้อนไม่เย็น

ถามว่าเรามาเรียนรู้กันในเรื่องนี้ เพราะอะไร? เพราะยังมีการเข้าใจผิดในความหมายตรงนี้เยอะมาก  และเป็นอันตรายด้วย เหมือนที่ผมเคยพูดบ่อยๆ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจดหมายฝากในพระคัมภีร์ใหม่ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถ้อยคำที่เรากำลังอ่านอยู่นั้น กำลังพูดถึงใคร? เรากำลังไปแอบอ่านอีเมล์เขาอยู่นั้น  เขาพูดถึงใคร? เขาเรียกว่าไปจับเอาอะไรมานิดหนึ่ง แล้วก็มาพูด ไม่ตรงกับบริบท ที่เขากำลังคุยกัน เขากำลังคุยถึงเรื่องอะไร?

เพราะฉะนั้น ถ้อยคำที่เรากำลังอ่านอยู่ในหนังสือ พูดถึงใคร? และเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว เรียกว่าบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว หรือกำลังพูดถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ อันนี้สำคัญเลย ผู้ที่ยังไม่เชื่อ คือผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ยังไม่บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  เพราะถ้าเรายังเข้าใจผิด ในสิ่งนี้ แล้วเราตีความหมายผิด อันแรกนี่เลย เรียกว่ากระดุมเม็ดแรกเลย ถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ทำให้ผิดหมดเลย กระดุมเม็ดแรกผิด คืออะไร?  ก็คือเขาเขียนถึงใคร? ถ้าเขียนถึงคนไม่เชื่อ แล้วเราคิดว่าเขียนถึงเรา ผู้ที่เชื่อ ท่านลองคิดดูว่ามันจะไปคนละเรื่องขนาดไหน? ใช่ไหม? คนเชื่อกับไม่เชื่อ

ดังนั้น หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร” ตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก พระเยซูกำลังพูดกับใคร?” นี่คือหัวข้อเรื่อง พระเยซูกำลังพูดกับใคร? คำพูดตรงนี้ คือกระดุมเม็ดแรก ถ้าท่านรู้ว่าพูดกับใคร? เอาล่ะ คราวนี้ง่ายขึ้นสำหรับการอธิบายความหมายของบริบทนี้

จากที่เราเพิ่งอ่านพระคัมภีร์ไปเมื่อสักครู่นี้ ที่ให้ท่านคิด ท่านคิดว่าตรงนี้พระเยซูกำลังพูดกับใคร? พระเยซูกำลังพูดกับท่าน ที่เป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วหรือเปล่า? เมื่อตะกี้นี้ พระเยซูกำลังพูดกับตัวท่าน ที่เชื่อพระเยซูแล้ว ที่เรียกพระเยซูว่าพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้า แล้วเรียกตัวเองว่าลูก หรือเปล่า? ท่านคิดว่าพระองค์กำลังพูดกับท่านหรือเปล่า?

หลายคนคงเคยได้ยิน การตีความหมาย การสอนพระคัมภีร์ในข้อนี้ ไม่ใช่สอนอย่างเดียว แถมมาขู่เราอีกด้วยว่า … “เชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องรักษาความเชื่อให้ดีนะ ต้องร้อนรนในการรับใช้ ต้องร้อนรนในการออกไปประกาศ (หมายถึงประกาศข่าวดี  ประกาศพระเยซู) ต้องร้อนรนในการอธิษฐาน ในการอ่านพระคัมภีร์ เพราะไม่อย่างนั้น เราจะกลายเป็นคริสเตียนแบบอุ่นๆ แล้วพระเจ้าจะคายเราออกมา คุ้นไหมครับ? ไม่ใช่คุ้นธรรมดา บางคนคุ้น แบบสะดุ้งเลย ได้ยินอยู่บ่อยๆ และก็รู้สึกฟ้องผิดด้วย ทั้งๆ ที่ในใจก็ไม่น่าจะใช่ แต่ก็ไม่มีแรงสู้ผู้ที่มาตีความหมายผิดๆ แล้วมาขู่เราอย่างนั้น สู้เขาไม่ได้ ก็เกิดความฟ้องผิด

คือผมไม่ได้กำลังมาพูดว่าเราต่อต้านการกระทำดีเหล่านี้ว่าร้อนรนในการรับใช้ ร้อนรนประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย คือต้องทำจากใจ  เป็นอิสระจากใจ  ทำดีจากใจที่ดีพร้อมและพระเจ้าสร้างให้ พระเจ้าให้บังเกิดใหม่ดีพร้อมแล้ว ทำดีจากใจ ไม่ใช่ท่าทีของการทำดี เพื่อรักษาความรอดที่พระเจ้าให้ไว้ โดยพระคุณ ถ้าเราโดนขู่อย่างนั้น ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าให้รักษาความรอด  อย่าให้พระเยซูคายเราออกมา คือรักษาความรอด รักษาฐานะการเป็นลูกพระเจ้า โดยการกระทำเหล่านี้ ไม่ใช่ ไม่ถูก แล้วตามที่ท่านได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พื้นฐานแรกเลย จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ การตีความแบบนั้น ท่านมั่นใจหรือยังว่ามันถูกหรือมันผิด ที่ตะกี้นี้บอกว่าต้องร้อนรนในการทำโน่น ร้อนรนในการทำนี่ ถ้าไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะคายท่านออกมา คือพูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าจะดูความประพฤติของท่าน ถ้าความประพฤติท่านไม่ดี เลิกกัน ไม่ช่วยให้รอดแล้ว ตัดสัมพันธ์ความเป็นบุตรอย่างนั้นหรือ?

พอเราคิดย้อนกลับไปถึงข่าวประเสริฐที่เราได้รับ ตั้งแต่วันแรก เป็นพื้นฐานอยู่ในจิตใจเราว่าเรารอดโดยพระคุณ รอดโดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำปุ๊บ เราจะเริ่มเห็นชัดเจนว่ามันไม่ใช่ มันโผล่มาดูเหมือนดี แต่มันไม่ใช่ของจริง พระคัมภีร์เขาเรียกว่ามันเป็นน้ำนม ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ปลอมปน ดูเหมือนน้ำนม แต่มันเป็นยาพิษ น้ำนมบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือถ้อยคำแห่งความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู แต่นี่ดูเหมือนคล้ายๆ พระเยซู อ้างพระเยซู แต่เป็นของปลอม เป็นนมปลอมนั่นเอง เป็นเมลามิน สมัยก่อนนี้ เคยฮิตครั้งหนึ่ง เมลามิน นมปลอม

ความจริงที่เราเรียนรู้กันมาตลอด เช่นที่บอกว่าความเชื่อและความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่ในการประพฤติของเรา หรือการกระทำของเราเลย เราได้มา โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ

เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้วทันที และบัดนี้ วิญญาณของเรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้า ถาวรนิรันดร์แล้ว ไม่มีการย้ายเข้าออกอีกแล้ว  เมื่อเชื่อในพระเจ้า  ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย และความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีอำนาจใด ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะสามารถมาพรากเราออกจากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่สามารถจะเอาเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว เรารอดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว เอเมน

นี่คือพื้นฐานที่เราเรียนรู้ความจริงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และเราได้รับความรอด ใช่หรือไม่? ทุกคนต้องพยักหน้า แล้วบอกว่าใช่ จริงๆ

เมื่อท่านรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ครับที่พระเจ้าจะคายท่านออกมา ชัดแล้วนะ หรือปฏิเสธ เลิกรับเราเป็นลูกแล้ว เพราะความประพฤติเรา การกระทำเราไม่ดี  พระเจ้าไม่พอใจ เห็นไหมครับท่านจะตอบเองได้เลย ไม่ต้องมีใครแนะนำเลย ข้างในท่าน จากถ้อยคำแห่งความจริงที่ได้เปรียบเทียบปุ๊บ ท่านจะได้รู้ทันที อันนั้นไม่ใช่แล้ว

เพราะฉะนั้น ในข้อที่ 16 ที่บอกว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก”

ท่านคิดว่า “พระเยซูกำลังพูดถึงผู้เชื่อ ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่แน่นอน ไม่ใช่ตัวฉันแน่นอน”  … เห็นชัดเลยนะ

ถ้าเรามีพื้นฐานความจริงที่หนักแน่นมั่นคงอย่างนี้แล้วในถ้อยคำพระเจ้า เป็นกระดุมเม็ดแรก  เป็นพื้นฐานที่แน่นอนแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว เวลาได้ฟังใครสอนอะไรที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงกับข่าวประเสริฐที่เรารู้อยู่  ฝังอยู่ในใจของเรา บางครั้งเราอาจจะไม่แน่ใจว่าความหมายที่แท้จริงนั้น มันคืออะไร? แต่เรารู้ๆ อยู่ว่ามันผิดจากหลักการข่าวประเสริฐอย่างแน่นอน เรามีพื้นฐานที่ถูกต้องอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าความหมายอุ่นๆ มันคืออะไร? ไม่เป็นไร ค่อยๆ ไปศึกษา คริสเตียนอุ่นๆ เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าไม่มีการมาคายเราออก  ไม่ใช่เราแน่นอน เราก็ค้นคว้าต่อไป ถามเขาอุ่นๆ มันคืออะไร? มันแปลว่าอะไร? ตามบริบทในพระคัมภีร์ เดี๋ยวเราก็จะเจอ เห็นไหม? ไม่ต้องตกใจ

ตัวอย่างเช่น ในข้อนี้ ถ้ามีใครมาสอนว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องทำตัวให้ร้อนรนในการรับใช้ ต้องออกไปประกาศ ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ ต้องไปโบสถ์ เป็นประจำ ต้องถวาย ถ้าไม่อย่างนี้ จะกลายเป็นคริสเตียนอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ที่จะอยู่กับพระเจ้าได้ พระเจ้าคายทิ้ง พระเจ้าจะเขี่ยเธอทิ้งออกจากการเป็นผู้เชื่อ ในคริสตจักรของพระองค์ ซึ่งเรารู้แล้วว่าเป็นการสอนที่ขัดแย้งกับความจริงที่เราได้เรียนรู้มา จากพื้นฐานข่าวประเสริฐที่อยู่ภายใน ที่ทำให้เราบังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น เรารู้ว่ามันผิดแน่นอน ส่วนความหมายที่ถูกของคำว่า “อุ่นๆ” นั่นมันคืออะไร? เราก็ไปศึกษาทีหลัง ซึ่งก็คือวันนี้ ที่เรานั่งศึกษากันอยู่ตอนนี้ว่ามันคืออะไร?

ในวิวรณ์ บทที่ 1 – บทที่ 3 เป็นจดหมาย เป็นคำเขียนของอาจารย์ยอห์นที่ได้รับนิมิต จากพระเยซูให้เขียน ที่มีไปถึงคริสตจักรทั้ง 7 ในแคว้นเอเชีย และในบทที่ 3 ที่เราเพิ่งอ่านกันไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นจดหมายถึงคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย

นี่คือกำลังพาท่านไปค้นคว้าศึกษาว่าเราอยากรู้ว่าคำว่า “จะคายเจ้า” “เจ้าอุ่นๆ เจ้าไม่ร้อนไม่เย็น” มันแปลว่าอะไร? “เพราะเจ้าอุ่นๆ เราจะคายเจ้า” มันแปลว่าอะไร? คืออะไร? เราก็จะไปศึกษาบริบท วิธีศึกษาบริบท ก็คืออย่างนี้แหละ เขียนถึงใคร?

ซึ่งที่ตั้งของเมืองเลาดีเซีย ในยุค 2,000 ปีก่อน เป็นเมืองที่ไม่มีทั้งแหล่งน้ำร้อนและน้ำเย็น  เพราะสมัยนั้น น้ำที่มีประโยชน์ มีค่ามาก คือน้ำร้อนและน้ำเย็น ซึ่งหมายถึงน้ำแร่ร้อนกับน้ำแร่เย็น มีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย รักษาและเสริมสร้างสุขภาพให้กับผู้คน เขาเรียกกันว่าน้ำที่มีค่า มีประโยชน์ มีผลดี นึกถึงว่าพระเยซูกำลังพูดให้ยอห์นเขียนเป็นจดหมาย ให้กับคริสตจักรเมืองเลาดีเซีย พระองค์กำลังบอกว่าน้ำร้อนกับน้ำเย็น มันมีผล เราอยากให้เจ้าเกิดผล เจ้ามีผล อยากให้เจ้าเป็นน้ำร้อนหรือไม่ก็น้ำเย็น ซึ่งเอามาเป็นประโยชน์ ทำยา ดีต่อสุขภาพ เกิดผลประโยชน์ พูดง่ายๆ ซึ่งชาวบ้าน ประชาชนชาวเมืองเลาดีเซีย พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ รู้ดีเลยว่ามันมีค่าอย่างไร? เพราะเขาต่อท่อมาตั้งแต่ไกล เพื่อจะเอาน้ำนี้มาใช้ในเมือง

แต่เมืองเลาดีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของตัวเอง ไม่มีแหล่งน้ำอย่างนี้ ไม่มีแร่ที่เป็นร้อน หรือเย็นตรงนี้ ต้องไปเอามาจากที่อื่น ต้องอาศัยน้ำร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนของเมืองฮีราโพรีส และก็ต่อท่อมา ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปทางเหนือ และต้องอาศัยน้ำเย็นจากบ่อแร่น้ำเย็นของเมืองโคโลสี ที่อยู่ห่างไกลออกไปทางทิศใต้ ไกลมากเลยนะ และกว่าที่น้ำร้อน จากบ่อน้ำพุร้อน และบ่อน้ำพุเย็น ไหลมาจากต้นทาง จะมาถึงเลาดีเซียได้ ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็กลายเป็นน้ำอุ่นไปแล้ว เพราะมันไกลมาก  เพราะฉะนั้น เมืองเลาดีเซียจึงไม่มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นใช้ มีแต่น้ำอุ่นๆ ที่ไม่มีค่า ไม่มีผล สำหรับชีวิต

พอนึกภาพออกนะ พูดง่ายๆ อยู่ตรงข้ามกับน้ำร้อนและน้ำเย็นนั่นเอง พระเยซูจึงใช้ตัวอย่างน้ำอุ่น เปรียบเทียบกับคริสตจักรในเมืองเลาดีเซีย นึกถึงภาพน้ำอุ่น  น้ำอุ่น คือน้ำที่มันเสีย น้ำที่ไม่มีประโยชน์ น้ำที่มีประโยชน์ คือน้ำร้อน หรือไม่ก็น้ำเย็น มีคุณค่า คุณค่ามันจะหมดไป เมื่อมันไม่ร้อนและไม่เย็น  คุ้นๆ ไหมว่าพระเยซูกำลังหมายถึงอะไร? ซึ่งในคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย ถึงแม้จะเป็นคริสตจักรของพระเจ้า มีชุมชนของผู้เชื่ออยู่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ แม้จะอยู่ใกล้ชิด ได้ยินข่าวประเสริฐ แต่ก็ไม่ได้เกิดผล เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว คือเขาเชื่อแบบศาสนา

คุ้นๆ ไหม? มันก็เหมือนคริสตจักรในบ้านในยุคปัจจุบันนี้ ในบ้านเรา ในโลกนี้ อย่านึกว่าในคริสตจักรจะมีแต่ผู้เชื่ออย่างเดียว มันไม่ใช่ โดยเฉพาะยกตัวอย่างในสมัยโน้น ที่เลาดีเซีย ยิ่งชัดเจนใหญ่ เป็นเมืองที่มีธุรกิจมากมาย ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างดี ผู้คนเข้าไปสังสรรค์ เข้าไปมีสังคมในคริสตจักร เพราะมันเป็นแหล่งที่ดีมาก เพราะมีแต่ผู้คนดีๆ ทั้งนั้น  อยากจะไปคบคนดีๆ

ถ้าไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างให้ชัดเลย ก่อนผมจะมาเชื่อพระเจ้า ผมก็มีโอกาส มีคนชวนไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง สองแห่ง ผมก็ดูดีหมดเลย ไม่ต่อต้าน ไม่อะไรเลย แต่ถามว่าเชื่อพระเยซูไหม? ไม่เชื่อหรอก ที่นี่เขาทำกันดีๆ เป็นคนดีกันทั้งนั้นเลย น่าคบ บางคนก็มาพูดคุยว่ากำลังทำ MLM อยู่ เราก็คุยด้วยอะไรต่างๆ เหล่านั้น มันก็เป็นสังคมหนึ่ง นึกภาพนะ แล้วผมเห็นเขาว่าดี เพราะการกระทำ เขาก็สอนดี แต่ผมไม่ได้เชื่อพระเยซู  เพราะผมเห็นว่าดี แบบศาสนา เขาสอนให้คนทำความดี ก็ดีแล้ว แล้วก็มีสังคม มีคนดีๆ อยู่ในนั้น แล้วได้มีโอกาสพูดคุย เผื่อทำธุรกิจอะไรต่างๆ ต่อไป มากมาย อันนี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น การเขียนไปหา บอกถึงคริสตจักรเมืองเลาดีเซีย มิได้หมายถึงทุกคนเป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ในบทนี้ ข้อที่ 16 ที่บอกว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก” พระเยซูกำลังพูดถึงผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ซึ่งถึงแม้จะมาร่วมกิจกรรมอะไรบางอย่าง แบบศาสนาในคริสตจักรเลาดีเซียก็ตาม แต่ยังไม่ได้เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ในชีวิตของเขา เหมือนที่ตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างตัวเองให้ฟังชัดแล้วนะ

พระเยซูบอกว่า “อุ่นๆ” คือไม่ร้อนไม่เย็น  ความร้อนความเย็น คือคุณภาพของประโยชน์ในการยกตัวอย่าง ตรงนี้ของพระเยซู คุณภาพของลักษณะ ไม่ใช่ความประพฤติให้มันร้อน หรือความประพฤติให้มันเย็น  แต่เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะของน้ำ ร้อนหรือเย็น หรืออุ่น ไม่ใช่หมายถึงทำให้ร้อน ทำให้เย็น  ทำให้อุ่น ไม่ใช่ หมายถึงมันเป็นร้อน หรือเป็นเย็น  หรือเป็นอุ่น ถ้ามันเป็นร้อน เป็นเย็น มันดี มันมีประโยชน์ ถ้าเป็นอุ่น มันไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แค่นี้เอง ถ้าเป็นร้อน มีประโยชน์ ได้บังเกิดใหม่ มีชีวิต ถ้าเป็นอุ่น ไม่มีชีวิต นึกถึงภาพอะไร? นึกถึงพระเยซูพูดถึงเรื่องเกลือ จำได้ไหม?

“ท่านเป็นเกลือของแผ่นดินโลก”

เกลือหมดความเค็ม เจ้าของก็เอาไปทิ้ง พระเจ้าจะทำให้ท่านเป็นเกลือ “เป็น” ไม่ใช่เราทำให้เป็นเกลือ เราทำตัวเองให้เป็นเกลือไม่ได้ เราทำตัวเราเองให้เป็นน้ำร้อน หรือน้ำเย็นไม่ได้ นี่กำลังพูดถึงเรื่องของการเป็น ไม่ใช่เรื่องของความประพฤติ

ตรงนี้รู้ไว้เสริมความรู้ จะได้ชัดเจนว่าเรื่องของพระเยซู ที่เล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับอุปมา เกี่ยวกับสวรรค์ต่างๆ เหล่านั้น เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงบอกความจริงในโลกวิญญาณว่าลักษณะท่านเป็นอย่างไร? พระองค์จะไม่มาบอกถึงเรื่องความประพฤติ คนละเรื่องกัน ความประพฤติแยกออกจากการเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร? อย่าเอามาผสมกัน

ต่อไป วิวรณ์ 3:17 พระองค์ก็ตรัสอย่างนี้ว่า …

วิวรณ์ 3:17  “เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวช น่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่”

 

อย่างที่บอกเมืองเลาดีเซีย เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองมาก คล้ายเมืองนิวยอร์กอะไรประมาณนั้น  เป็นเมืองที่ค้าขาย แล้วพ่อค้าแม่ค้าเต็มไปหมด แล้วก็ประสบความสำเร็จเยอะ มีทรัพย์สินมากมายที่มีค่าอยู่เยอะ ที่นั่น ความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่นมั่งคั่งร่ำรวย เมื่อเทียบกับเมืองใกล้เคียงแล้ว เป็นผู้ที่มั่งมี ซึ่งพระเยซูกำลังบอกอะไร?  กำลังบอกว่าเขากำลังให้ความสนใจกับสิ่งของที่มองเห็นบนโลกใบนี้ คือทรัพย์สิน ว่าเขามีเยอะแยะมากมาย ร่ำรวย เขาอาจจะอยู่ในคริสตจักรอย่างที่ตะกี้บอก อยู่ในโบสถ์  แต่เขาไม่ได้มองเรื่องโลกวิญญาณ เขามองเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทั้งหมด

สมมติชาวเลาดีเซีย เขาอาจจะมั่งมี เขาอาจจะถวายให้กับโบสถ์ โดยที่เขาไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่เขาเชื่อว่าเขาถวายออกไป เขาจะได้พระพร เขาจะได้บุญ และเขาจะสะสมตรงนี้ไว้ เมื่อตายไปแล้ว เขาจะได้บอกพระเยซูวันพิพากษาว่า …

“ลูกได้ถวายตรงนั้น สร้างโบสถ์ก็ถวาย ช่วยคนจนก็ถวายในโบสถ์ ในนามของพระองค์”

นึกภาพออกไหม?  เขาคิดว่าทรัพย์สินที่เขามีอยู่ การกระทำของเขาต่างๆ นั้น มันดีพอแล้ว สำหรับการเตรียมพร้อม ที่จะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เขาทำดี เขาทำถูกต้อง แล้วเขาก็มีสังคมอยู่กับคนดี คนถูกต้องแล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น ซึ่งสำหรับชาวเลาดีเซียที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ที่ประพฤติตัวอย่างนี้  ดูในโลกภายนอกแล้ว ดูเหมือนร่ำรวย  แล้วก็ดูดีด้วย คนก็ยกย่อง แม้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเองที่อยู่ในเลาดีเซียด้วยกัน ก็ยังให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าดูแล้ว เขาก็เป็นคนดี ดูแล้วเขาก็มีความประพฤติที่ยอดเยี่ยม ดูแล้วเขาไม่มีที่ติตามสายตาของมนุษย์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณ พระเยซูด้วยความรัก มองไปที่วิญญาณ ไม่ได้มองที่ข้างนอก ภายนอกดูเหมือนๆ กัน นั่งอยู่ในคริสตจักรเหมือนๆ กัน แล้วแถมทำดีกว่าอีกคนหนึ่งด้วยซ้ำไป ดูภายนอก แล้วดูเหมือนคนดี แต่ถามว่าข้างในของเขา มีแรงจูงใจในการกระทำดีของเขาอย่างไร? ทำดี เพื่อหวังไปสวรรค์ หวังว่าจะได้รับการพิพากษาให้ถูกต้องเหมาะสม ได้ไปสวรรค์ เนื่องจากการกระทำดีนั้น หรือว่าทำดี …

“เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ธรรมชาติฉันเป็นคนดี เพราะฉะนั้น ฉันมีความประพฤติที่ดี เป็นไปตามธรรมชาติของฉัน”

มันมี 2 อย่าง แต่ข้างนอกดูเหมือนกันนะ

พระเยซูจึงชี้ให้เขาเห็นด้วยความรักว่าแม้ว่าดูตามสายตาข้างนอกแล้วดูดี ไม่ขัดสน ร่ำรวย แล้วตัวเองก็รู้สึกเชิดหน้า ชูตาว่า …

“ฉันดี ใครๆ ก็ยกย่องฉัน”

แต่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าแต่วิญญาณข้างใน มันน่าสงสาร ตาบอด เปลือยกายอยู่ นึกภาพออกใช่ไหม? นึกภาพในยุคปัจจุบัน ก็ยังได้ ผู้ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ อาจจะถวายทรัพย์เยอะแยะ แล้วก็มั่นใจในความดีงามที่เขาทำทั้งนั้น เขาก็มีความรู้สึก เขามีสง่าราศี ไม่ได้เปลือยกาย คำว่า “เปลือยกาย” หมายถึงมีความชอบธรรมของตนเอง ไม่อายใครเลย ฉันทำบุญตั้งเยอะแยะ เป็นคนใจบุญสุนทาน ใครๆ เขาก็รู้หมดทั้งเมืองนี้ ใครๆ ก็รู้หมดทั้งสังคมนี้ว่าฉันเป็นคนดี มีใจบุญสุนทาน

พระเยซูกำลังบอกด้วยความรัก ไม่ใช่ประชดนะ เดี๋ยวอ่านต่อไปจะรู้ว่าพระองค์ทรงรักและห่วงใยขนาดไหน? พระองค์กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าแต่ในวิญญาณ ซึ่งจะเป็นตัวสำคัญในการอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์นั้น กำลังพินาศอยู่ น่าสงสาร ตาบอด ไม่เห็นความจริงในโลกวิญญาณ เปลือยกายอยู่

วิวรณ์ 3:18 พระองค์จึงแนะนำด้วยความรักอย่างนี้ว่า…

วิวรณ์ 3:18 “เราแนะนำเจ้า ให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ จากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง ซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่า อันน่าละอาย และซื้อยา มาทาตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น”

 

พระเยซูตรัส “เราแนะนำเจ้าด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย ให้เจ้าซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ จากเรา”

ก็คือให้มาเชื่อในพระองค์ แทนที่จะไว้ใจในทรัพย์สินเงินทอง และการกระทำดีของตนเองนั้น ขายมันทิ้งไปซะ อย่าไปสนใจมัน ความดีที่ทำ จากทรัพย์สินที่มีอยู่ หรือความดีที่สะสมไว้ มันช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ทิ้งมันไปซะ อย่าไปพึ่งพา มาพึ่งในเราดีกว่า เพราะพึ่งในเราแล้ว เจ้าจะได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เจ้าจะได้บังเกิดใหม่ และบริสุทธิ์ และดีพร้อมเลย จากเรา คือพระเยซู เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง อันนี้ของแท้ เพื่อเจ้าจะมีวิญญาณที่ไม่ได้เป็นคนจนอีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ เจ้ามีเงินทองข้างนอก ก็จริง แต่เจ้าไม่เชื่อเรา วิญญาณเจ้าเป็นเหมือนคนจนที่ขัดสน ที่ขาดแคลน แต่ตอนนี้ ถ้าเผื่อเจ้าเชื่อเรา เจ้าได้บังเกิดใหม่ เป็นของพระเจ้าแล้ว วิญญาณของเจ้า มันมั่งคั่ง ร่ำรวยในโลกวิญญาณ ได้รับพระพรนานัปการ และเป็นทายาทของพระเจ้าในสวรรคสถาน เห็นไหม?

“ให้เจ้าซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เอาความดี ความงาม ความชอบธรรมที่ตัวเองสร้างขึ้น จากตัวเองที่บอกกระทำดี แล้วจะได้สิ่งที่ดี ทิ้งไปซะ แล้วก็สวมเสื้อผ้าใหม่ ก็คือความชอบธรรม ที่มาจากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเลย ไม่ใช่ประพฤติเป็นผู้ชอบธรรม แต่วิญญาณเปลี่ยนเป็นผู้ชอบธรรมเลย เมื่อเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สัญลักษณ์ในพระคัมภีร์ ใช้คำว่า “ได้สวมชุดสีขาว” ชุดสีขาว คือชุดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม

เป็นผู้ชอบธรรม เพื่ออะไร? เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่าอันน่าละอาย

ความเปลือยเปล่าน่าละอาย คือความบาป เพื่อปกปิดความบาป คือความบาปจะได้ถูกเอาออกไป เจ้าสวมความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ต้องอายใครต่อไปแล้ว เพราะเป็นผู้ชอบธรรม โดยกำเนิดแล้ว ยืนต่อหน้าพระเจ้าได้ ไม่ต้องเข้าสู่การพิพากษาของพระเจ้า หลังความตาย เปลือยเปล่า นึกถึงอะไร? นึกถึงสมัยบรรพบุรุษ อาดัมและเอวา พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าเมื่อเขา 2 คนตกลงไปในความบาปครั้งแรกปุ๊บ สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือเขาสูญเสียพระสิริของพระเจ้าไป ความดีงามของพระเจ้าหายไปจากชีวิตของเขา สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเขา ก็คือเขาอาย เขาเปลือยกายอยู่ อันนี้แหละ อายเพราะอะไร? เพราะบาปมันเข้ามา พระสิริของพระเจ้าหายไป

“และซื้อยามาทาตาของเจ้า  เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น เพราะว่าเมื่อเชื่อในตัวของเรา” มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ ตาวิญญาณของท่านก็จะเปิดออกกว้างขึ้น จะได้เห็นพระเจ้า จะได้รู้จักพระเจ้า เพราะว่าตัวท่านเองได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นลูกพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านต่อไป วิวรณ์ 3:19 …

วิวรณ์ 3:19  เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอน ผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงกระตือรือร้น และกลับใจใหม่”

 

ชัดเจนเลยว่ากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ คนเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องกลับใจใหม่ไหม? บางครั้ง บางคนบอก บางครั้งเราทำผิดไป เราต้องกลับใจใหม่ ถ้าท่านใช้คำว่ากลับใจใหม่อยู่ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็อนุโลมให้ท่านใช้ได้ แต่ท่านต้องหมายถึงในใจว่าท่านต้องกลับใจใหม่นั้น ทั้งๆ ที่ท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว กลับใจจากการกระทำผิดบาปตรงนี้ ที่พระเจ้าอภัยให้เรียบร้อยแล้วนะ แต่ถ้าไม่ใช้เลย ก็ดี ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านกลับใจไปแล้วครั้งแรก แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ คือหันหลังกลับ 180 องศา มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ถ้ากลับใจใหม่อีกทีหนึ่ง ก็เท่ากับกลับไปที่เดิม มันกลับไม่ได้แล้วไง แทนที่ท่านจะพูดคำว่า …

“พระเจ้าลูกขอกลับใจใหม่” ท่านก็พูดว่า “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกกลับความคิดของลูกใหม่ ลูกจะคิดอีกแบบหนึ่ง คิดให้เป็นเหมือนตัวตนของลูกที่ได้บังเกิดใหม่”

อันนี้เราเห็นชัดเจนแล้วนะว่ากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้กลับใจใหม่ บอกให้กลับใจใหม่ ได้เห็นความรักของพระเจ้าไหม? ตรงประโยคแรก แปลตรงตัวภาษาเดิม แปลว่า …

พระเยซูบอกว่า … “เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอนวิถีทางที่ดีให้กับเจ้า ผู้ที่เรารัก”

นั่นแปลว่าอย่างนี้ ไม่ได้แปลว่าตีสอน แต่พระองค์ทรงตักเตือน ชี้แนะ พร่ำสอน แนะแนวทางว่าทางนี้จะช่วยเจ้าให้รอดได้ ด้วยความรัก เพื่อ …

“ดังนั้น เมื่อได้ยินตักเตือนและชี้แนะของเรา ที่พร่ำสอน”

แสดงว่าข่าวประเสริฐบอกอยู่บ่อยๆ อย่าพึ่งพาตนเองนะ อย่าพึ่งพาทรัพย์สินของตนเอง อย่าพึ่งพาความดีของตนเองนะ ให้มาพึ่งในเรา พูดตลอด พูดมาตั้งแต่ยุคพระคัมภีร์เดิม ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พูดจนกระทั่ง มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็พูดเรื่องนี้ พูดในขณะที่เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ และเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อทั้งหลาย ก็พูดเรื่องนี้

“อย่าพึ่งพาตนเองนะ รับพระคุณจากเรา รับความรอดจากเรา มาเชื่อในเราเถิด”

“ดังนั้น จงกระตือรือร้นและกลับใจใหม่” กระตือรือร้น คืออะไร? ก็คือให้รีบๆ กลับใจใหม่ซะ เพราะถ้าท่านไม่กลับใจใหม่ ท่านกำลังอยู่ในความพินาศ เรื่องของเรื่อง คือตรงนี้ ให้กระตือรือร้นในการกลับใจเสียใหม่ ก็คือขณะที่ยังไม่กลับใจใหม่ มันอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เหมือนหนังสือยอห์น 3:16 ที่บันทึกเอาไว้ว่า … “พระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพราะผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และยังไม่เชื่อนั้น อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อ ก็อยู่ในความพินาศที่เดิม”

ถามว่าแล้วทำไมต้องกระตือรือร้นด้วย ต้องรีบด้วย ก็รีบก่อนที่จะเสียชีวิตไง ถ้าตายไปแล้ว มันก็เข้าสู่การพิพากษาแล้ว มันจบแล้ว เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้กระตือรือร้น ให้รีบตัดสินใจ อย่าชะล่าใจนะ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับท่าน  อาจจะอีกชั่วโมงหนึ่งข้างหน้า อาจจะสิ้นใจ สิ้นใจปุ๊บ ไม่มีชาติหน้าอีกแล้วนะ สิ้นใจ ก็เข้าสู่การพิพากษา วิญญาณอยู่ในความพินาศนิรันดร์

เพราะฉะนั้น นี่คือความรัก ความห่วงใย ความเมตตาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำงานสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้พ้น จากความพินาศนิรันดร์ ในวิญญาณแล้ว ก็ยังต่อเนื่องมาบอกว่า …

“ช่วยแล้วนะ ให้รับสิทธิ์ไปเถิด อย่าถูกหลอก ช่วยแล้วนะ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาความดีงามของตนเองแล้ว มาพึ่งพาในเรา เราทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

นี่แหละ คือความรักอันยิ่งใหญ่ อ่านแล้วจะได้รู้ ได้เห็นถึงความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลายว่ามันเป็นเช่นไร? ตรงกันข้ามกับที่เขา เอาคำนี้มาผิดๆ มาขู่เราบอกว่าพระเจ้าจะคายเราทิ้ง มันตรงกันข้ามขนาดไหน? ท่านพอจะเห็นแล้วใช่ไหม? มันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ มาอ่านดูบทสรุปของบริบทนี้ ในวิวรณ์ 3:20-22 พระเยซูตรัสต่อว่า …

วิวรณ์ 3:20-22 “20 เราอยู่ที่นี่แล้ว เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใด ได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา 21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขา มีสิทธิ์นั่งกับเรา บนบัลลังก์ของเรา เหมือนที่เราได้มีชัยชนะ และได้นั่งกับพระบิดาของเรา บนบัลลังก์ของพระองค์ 22 ใครมีหู ก็จงฟัง สิ่งที่พระวิญญาณ ตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

 

เห็นไหม พระเยซูบอก … “จงมองให้เห็นเถิด” นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ “เจ้าทั้งหลาย ลูกๆ เราเอ๋ย จงมองให้เห็นเถิด ในโลกวิญญาณ เรารออยู่ที่นี่แล้ว ก็คือเราทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เรากำลังเคาะประตูใจของเจ้า ให้เปิดใจต้อนรับเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า เพื่อว่าเราจะได้เข้าไปอยู่ในเจ้า และจะเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า จะทำให้เข้าบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมเลย แล้วค่อยมาประพฤติตัวให้ดี สมกับที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของเราที่ดีพร้อมแล้ว เราจะเป็นผู้สอนเจ้าเอง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไปสถิตอยู่กับเจ้า” นั่นเอง

“ผู้ใดที่มีชัยชนะ” ถามว่ามีชัยชนะต่ออะไร? พวกท่านผู้ใดที่มีชัยชนะต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของความบาป ที่พึ่งพาตนเอง ที่มีความเย่อหยิ่งว่าฉันดีพร้อม ฉันจะทำดีต่อไป เพื่อรักษาสถานะในความดี  ที่ใครๆ ก็ชมฉันว่าเป็นคนดี ฉันจะพึ่งพาในความดี ในความชอบธรรมของตนเอง ที่สร้างขึ้นมา เพื่อจะไปเข้าสู่พิพากษาในสวรรค์ ในวันที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว ซึ่งถูกหลอก ถ้าใครก็ตามชนะกิเลสตัณหาตรงนี้ ชนะความรู้สึกดีพร้อมตรงนี้ ความรู้สึกร่ำรวยในวิญญาณตรงนี้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงนั้น ถ้าใครชนะตรงนี้ แล้วยอมสละตรงนี้ไป แล้วก็เดินมาหาพระองค์ว่าเชื่อในพระองค์ ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ไม่พึ่งพาในความชอบธรรมของตนเอง ไม่พึ่งพาในความชื่นชมของคนรอบข้างว่า …

“เธอเป็นคนดี เป็นคนมีใจบุญสุนทานดี”

“ไม่เอาแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันไม่ได้ดีพร้อม ฉันมาพึ่งพระเยซูดีกว่า ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับข่าวประเสริฐ”

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูต้องการ  เพราะว่านั่นทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ในขณะนี้ บนโลกใบนี้ ท่านจะรู้เอง เพราะว่าพระวิญญาณ จะเป็นพยานในจิตใจของท่าน

ขนาดยังไม่ทันตาย ท่านก็รู้แล้วว่าท่านได้ไปสวรรค์แล้ว ท่านลองคิดดูสิว่าเพราะฉะนั้น หลังความตาย ท่านจะมีความมั่นใจขนาดไหน? แล้วพระองค์ก็จบด้วยคำว่า …

“ใครมีหู ก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

ก็คือหูฝ่ายวิญญาณ  จงเปิดออก จงได้รับความจริงเหล่านี้ด้วยเถิด พระเยซูพูดด้วยความรัก หรือด้วยความเกลียดชัง พูดด้วยความรักหรือความประชด ท่านเห็นไหม? ความรักของพระองค์ไม่มีสิ้นสุดเลย แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ พระองค์ก็ไล่ตามตลอด เคาะประตูตลอดเวลา นี่เห็นไหม? แม้ว่าเราไม่เข้าใจ หรือต่อต้านพระองค์ด้วยซ้ำ พระองค์ไม่สนใจเลย ไม่เคยโกรธเลย รู้ว่าเราไม่เข้าใจ ถูกหลอก รู้ว่าเราตาบอดฝ่ายวิญญาณ พยายามต่อไปที่จะเคาะที่ประตู ที่จะส่งถ้อยคำพระเจ้า ส่งความจริงมาหาเรา เพื่อให้เราได้กลับใจใหม่ เพราะเป็นห่วงเรา เพราะเรากำลังอยู่ในความพินาศ ที่ตะกี้นี้ที่ผมบอกให้ท่านอ่านพร้อมกันที่ตอนต้น บอกว่า …

“เรากำลังจะคายเจ้าออกมา” หรือ “ถ่มเจ้าออกมา” ก็คืออย่างนี้แหละ คือเราไม่สามารถที่จะรับเจ้าเข้ามาได้ เพราะเจ้าอยู่ในความบาป มันอยู่คนละขั้วกัน ถ้าเจ้าไม่เชื่อในเรา เจ้าก็ถูกคายอยู่ จนกระทั่ง สิ้นสุด ถ้าไม่เชื่อเรา จนกระทั่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จบสิ้น ก็คือการคายนั้น ก็หมด ก็คือถูกคายออกไปหมดเลย แต่ขณะที่มีชีวิตอยู่กำลังคาย กำลังบ้วนเจ้าออกมา ก็คือท่านกำลังอยู่ในความพินาศนั่นเอง แต่ท่านจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อทำตัวเองให้เป็นน้ำร้อนหรือน้ำเย็น ด้วยการพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าจะทำให้ท่านเป็นน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็คือทำให้ท่านมีประโยชน์ มีผลออกมา ผลก็คือผลของพระวิญญาณ ท่านก็จะได้บังเกิดใหม่

สรุป เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อน ไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังถ่มเจ้าออกจากปาก พระเยซูกำลังพูดกับคนไม่เชื่อ หรือคนที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หรือพึ่งพาในความรอบรู้ของตนเอง หรือพึ่งพาในทรัพย์สินเงินทองที่ตัวเองคิดว่าจะเอาไปซื้อสวรรค์หลังจากตายจากโลกนี้ไปแล้วได้ ซึ่งพระเยซูบอกเหมือนกับเอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ

แล้วสำหรับผู้เชื่อล่ะ  สำหรับผู้ที่บังเกิดใหม่และเชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เมื่อเขาเชื่อ ก็รวมทั้งตัวเขาด้วย ด้วยความเชื่อ ถ้าเทียบกับเรื่องนี้ ก็คือเขาก็ได้ถูกทำให้เป็นน้ำร้อน เป็นน้ำเย็น ที่เกิดประโยชน์มากมาย ดีพร้อม ดีเลิศแล้วนั่นเอง โดยพระเยซู ถ้ามันเป็นอย่างนั้น พระเยซูก็จะพูดกับผู้ที่เชื่ออย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3-6 ก่อนจะอ่าน อธิบายนิดหนึ่ง  ถามว่าทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูก็จะพูดกับเรา ผู้ที่เชื่อแล้วอย่างนี้ ก็เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เปโตร หรือใครก็ตามที่เขียนในพระคัมภีร์นั้น เขียนจากการบอกของพระเยซูทั้งสิ้น ก็เท่ากับพระเยซูพูดเอง ผมพยายามเน้นให้ท่านเห็นว่าเป็นพระเยซูพูด เพื่อจะได้เข้ากับเรื่องเลาดีเซียนี้

ในเรื่องเลาดีเซียนี้ พระเยซูพูดผ่านทางนิมิตอาจารย์ยอห์นเขียนไว้ ที่เราสรุปว่า … “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังถ่มเจ้าออกจากปาก” … พระเยซูกำลังพูดกับผู้ไม่เชื่อ ถูกไหม? ผู้ที่พึ่งพาตนเอง

คราวนี้ผู้ที่ไม่พึ่งพาตนเองแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว วางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูพูดกับเขาผ่านทางอาจารย์เปโตร ที่ยกมาวันนี้ว่าไว้อย่างนี้ คราวนี้ฟังเลยนะ คนที่เชื่อแล้ว จะได้สบายใจ นอกจากไม่ถูกคายออกมา แล้วยังเป็นอย่างนี้อีก พระองค์พูดไว้ใน 1 เปโตร 1:3-6 อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3-6 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ ท่านต้องทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง”

 

พระเยซูบอกผู้เชื่อทั้งหลาย คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูแล้วทุกคน บอกว่าพระเจ้าได้ทำให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ “อันยืนยง” หมายถึงเป็นนิรันดร์ มั่นคง แข็งแกร่ง ไม่มีโยกเยก ไม่มีการเปลี่ยน และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลื่อนหายไป ซึ่งเตรียมไว้แล้วในสวรรคสถาน เพื่อพวกเท่าน มีมรดกในสวรรค์เต็มไปหมด และมรดกเหล่านี้ไม่มีวันสูญเสีย สูญหายเลย ไม่ว่าท่านจะประพฤติอะไรต่อไป ก็ตาม เมื่อเชื่อแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีสูญเสีย สิ่งเหล่านี้ท่านได้รับโดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำ โดยพระคุณนั่นเอง

คำว่า “พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดนั้น  หมายถึงด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกได้ปกป้องคุ้มครองวิญญาณของท่าน ที่พระองค์ได้ทรงไถ่มาเป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น ไม่มีใครทำอะไรท่านได้อีกแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว ไม่มีใครมาเอาท่านออกไปจากมือของพระเจ้าได้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านถูกปกปักคุ้มครองดูแล โดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่ และกำลังปกปักแล้ว และปกปักตลอดไป จนถึงนิรันดร์

“ซึ่งพร้อมแล้วจะปรากฏออกมาในยุคสุดท้าย”  ก็คือในวันสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ หรือวันที่เราออกจากร่างนี้ เราจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด

“พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ ในวิญญาณ” ท่านมองเข้าไปในวิญญาณพวกท่าน จะชื่นชมยินดีในเรื่องนี้มาก ในวิญญาณ แม้ขณะนี้ท่านต้องทนทุกข์ ในความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง ก็คือท่านจะมีความสุขใจ มีความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ในเรื่องนี้ แม้ว่ากายภายนอก ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะถูกข่มเหงรังแก จะมีความทุกข์ยากลำบาก เรื่องเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  หรือถูกข่มเหงรังแกในบริบทนี้ ถูกข่มเหงรังแก โดยจักรพรรดิเนโร ใส่ร้ายว่าคริสเตียนรวมกัน เผาเมืองโรม ก็เลยสั่งทหารตามล่า ตามมาทรมาน อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่มันชั่วระยะหนึ่ง แป๊บเดี๋ยวเอง บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากแป๊บเดี๋ยวเอง แต่ในวิญญาณของท่าน ท่านต้องชื่นชมยินดีว่าท่านเป็นใครแล้ว เห็นไหม? ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีมรดกมากมาย ในสวรรคสถาน เตรียมไว้ให้กับท่าน ซึ่งไม่มีวันเสื่อมสลาย มันได้แล้วได้เลย  เป็นลูกแล้ว เป็นเลย พระเจ้าคุ้มครองดูแลอยู่ และใน 1 เปโตร 1:23 พระเจ้าพูดกับเรา นึกในใจ พระเยซูคริสต์พูดกับเราอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า อันทรงชีวิตและยืนยงถาวร”

 

พระเยซูก็พูดกับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ผ่านทางอาจารย์เปโตรว่า … “ท่านบังเกิดใหม่แล้ว และเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เกิดจากพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้เกิดจากเชื้อสายมนุษย์ แต่บังเกิดใหม่จากเชื้อสาย DNA วิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีวันตาย ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือตัวเรา คือข่าวประเสริฐ  ก็คือพระเยซูคริสต์เองนั่นแหละ 1 เปโตร 2:24 พระเยซูก็บอกอย่างนี้อีกว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

 

พระเยซูพูดกับพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลายผ่านอาจารย์เปโตรว่า … “เรา เยซู เป็นผู้แบกรับบาปของพวกนายเอาไว้ทั้งหมด ที่กายของเรา ที่ไม้กางเขน เรายอมมอบชีวิตของเราเองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้กับเจ้าและมวลมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเจ้าทั้งหลาย จะได้ตายต่อบาป คือเป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรม และสามารถบังเกิดใหม่มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยรอยแผลที่เจ้าเห็นเราถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี จนเลือดอาบ จนสิ้นพระชนม์นั้น ด้วยความตายอย่างทุกข์ทรมานของเรา พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย จากความบาป หายจากการเป็นคนชั่ว หายจากการเป็นน้ำอุ่นๆ แล้ว ท่านดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในสิ่งที่เราทำ ท่านจึงจะได้รับสิ่งเหล่านี้ 2 โครินธ์ 5:21 บันทึกไว้  พระเยซูก็พูดกับเราอย่างนี้อีกว่า …

2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาป  ให้เป็นบาป  เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางอาจารย์เปาโลแล้วตอนนี้ ผู้เขียนหนังสือ 2 โครินธ์  … 2 โครินธ์ 5:21 พระเยซูบอกว่า … “พระเจ้าทรงกระทำให้เรา คือพระเยซูผู้ไม่มีบาปเลย ให้เป็นบาป เพื่อพวกเจ้า เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย  เพื่อว่าในเรา ในพระเยซู พวกเจ้าทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย จะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้ โดยผ่านทางตัวเรา คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง”

เราทั้งหลายผู้ที่เชื่อแล้ว จึงเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป โดยการกระทำหรือ? ไม่ใช่ แต่โดยความเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้ตายพร้อมพระเยซู เราก็ได้สามารถเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู อย่างนั้นเช่นเดียวกัน ฮีบรู 10:17 …

ฮีบรู 10:17 “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางคนเขียนฮีบรู ใครก็ไม่รู้ แต่เป็นพระเยซูพูดนั่นแหละ บอกว่า … “บาปทั้งหลายและการอธรรม ความชั่วทั้งหลาย ที่เจ้าเคยทำมาในอดีต และก็ทำอยู่ในปัจจุบันด้วย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยังทำอยู่ และอนาคต ก่อนตาย ก็ต้องทำอยู่แน่ๆ มากหรือน้อยก็ตาม  เราจะไม่จดจำอีกต่อไปเลย นิรันดร์”

โรม 4:8 พระเยซูพูดกับเราอีกว่า …

โรม 4:8 “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางอาจารย์เปาโล ผู้เขียนหนังสือโรม  ในโรม 4:8 บอกว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

ใช่หรือไม่ใช่? มีความสุขไหม? พระเจ้าไม่ถือโทษแล้ว ทำอะไรก็ไม่เป็นไร? พลาดไป ล้ม ลุกขึ้นมาใหม่  เดี๋ยวท้ายๆ จะบอกให้ว่าไม่ใช่ความประพฤติไม่สำคัญ

นี่เรากำลังพูดถึงความรอดทางวิญญาณ การไปสวรรค์หลังความตาย เรียกว่าวันพิพากษา จากโลกนี้ปุ๊บ เข้าสู่การพิพากษา ตายจากโลกปุ๊บ เข้าสู่การพิพากษา ดังนั้น ในวันพิพากษา เราแค่ยืนอยู่ข้างขวาของพระเยซู ในฐานะผู้เชื่อ  ผู้ชอบธรรม ที่เป็นน้องของพระเยซู ไม่ได้ยืนอยู่ เพื่อถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ได้ยืนอยู่ เพื่อได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะว่ามันเป็นคนชั่วอยู่แล้ว เราจะไม่ต้องถูกพิพากษา เนื่องจากการกระทำของเรา เพราะเราไม่ได้พึ่งพาการกระทำของเรา ในการเป็นผู้ชอบธรรม แต่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ต่างหาก พระเจ้าพระเยซูได้พูดกับเราอย่างนี้อีก ตั้งแต่สมัยเดิม ในหนังสือสดุดี 103:11-12 พระเยซูพูดกับเราอย่างนี้ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อ ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

แล้วพระเยซูก็ยังพูดผ่านหนังสือฮีบรู 10:14 อีกว่า …

ฮีบรู 10:14  “เพราะเมื่อพระองค์ (พระเยซู) ถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์แบบตลอดกาล”

 

ความรอดของเรา ในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระองค์แล้ว ท่านจะไม่มีวันกลัวการพิพากษาอีกเลย และพร้อมตลอดเวลาที่จะเผชิญกับชีวิตหลังความตาย ด้วยความปิติยินดี เอเมน อาจจะมีความวิตกกังวล กลัว แต่ความกลัว วิตกกังวลของท่าน มันไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณ มันเป็นความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิธีการตายมากกว่า แต่ถามลึกๆ เข้าไปในจิตใจของท่าน เรื่องเกี่ยวกับการจากไป ซึ่งรู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคน วันหนึ่งก็ต้องตายจากร่างกายนี้ วันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน แต่ถามว่าท่านพร้อมไหมที่จะจากไป วิญญาณข้างในท่านพร้อม เพราะว่าบาปเวรกรรมทั้งปวง หนี้บาปของท่านถูกชดใช้แล้ว ได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ นั่งอยู่ในพระองค์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อของท่าน ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ผ่านทางความเชื่อ เรียกว่ารอด โดยพระคุณ

รอด โดยพระคุณ คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องจำไว้ในใจ เลยว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า … ข่าวดีแห่งพระเจ้า ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า ข่าวดีแห่งพระคุณ แปลว่าเราได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา เราจึงได้รางวัลเหล่านี้ แต่ด้วยความรัก และพระคุณพระเจ้า ให้เราฟรีๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับสิ่งเหล่านี้มา ไม่ใช่ด้วยการกระทำ เราก็ไม่มีวันที่จะสูญเสียความรอดนี้ไป โดยการกระทำอะไรของเราเลยแม้แต่นิดเดียว จริงหรือไม่? ถูกไหม? ถูกเลย

สรุปแล้ว ก็คือพระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียว เราไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เราแค่เชื่อเท่านั้น พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อมก่อน แล้วพอเราเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติเปลี่ยนไป แล้วพระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกสอนให้เราเดิน ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ อีกทีหนึ่ง ซึ่งฝึกเด็กๆ ท่านก็รู้อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็คลาน เดี๋ยวก็ลุก ดื้อ อะไรอย่างนี้ ก็ว่ากันไป แต่ลูกก็คือลูก ใช่หรือไม่? ถูกเลย

เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งพาตนเอง ท่านไม่สามารถที่จะพยายามทำให้ตัวเองดีพร้อม เพื่อจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ท่านไม่สามารถเลย ท่านจะเริ่มต้นจากการประพฤติด้วยตัวเองให้ดีพร้อม เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านต้องอยู่ในสวรรค์ก่อน เปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยให้พระเจ้าเปลี่ยน เป็นลูกพระเจ้า แล้วท่านจึงจะมีกำลัง รู้ว่าควรจะประพฤติตัว ให้สมกับการบังเกิดใหม่นั้นอย่างไร? ความบริสุทธิ์ที่เหมือนพระเจ้า หรือดีพร้อมที่เหมือนพระเจ้า มันไม่สามารถที่มนุษย์จะทำด้วยตัวเองได้ มันต้องพึ่งพาในพระเจ้า และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว โดยทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเกิดบนโลกใบนี้  และทำให้ท่านทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ดีพร้อมแล้ว ที่จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน เพียงแต่เชื่อและรับเอา พระองค์ทรงเคาะประตู เคาะๆ เปิดประตูให้พระองค์เท่านั้นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“ความรักของพระเจ้า  เป็นแรงบันดาลใจ  ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใด ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า

 

2 โครินธ์ 5:14-15 “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย  เพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้น  คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่ จะมิได้เป็นอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์  ผู้ทรงสิ้นพระชนม์  และทรงเป็นขึ้นมา  เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์  ได้ครอบครองเราอยู่”  ความหมาย  ก็คือได้ครอบครอง  ควบคุม  ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย  เพื่อเรา  ตัวเก่าเราตายไปแล้ว นี่เราเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา คือต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยรอดนั่นเอง และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

 

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรัก พระเจ้าเป็นอย่างไร?

 

พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับรู้มากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น

 

เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

พระเจ้าอวยพรครับ