วารสาร Holy News ฉบับที่ 1355

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาหนุนจิตชูใจกัน โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราในการปลอบโยนจิตใจของเราจากพระเจ้า  เพราะเราอยู่ในยุคนี้ ในปัจจุบันนี้ รู้สึกต้องเผชิญปัญหาหลายด้าน  ทั้งด้านสุขภาพ ทั้งด้านการกินการอยู่  ทั้งด้านความปลอดภัย ในชีวิต ในการเดินทางทุกอย่าง มันเหมือนกับว่าเราอยู่ในยุคของความทุกข์ยากลำบากมากเหลือเกิน แต่พระเจ้าบอกว่าไม่หรอก มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว คือความทุกข์ยากลำบาก มันอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่อาดัม ทิ้งพระเจ้า และก็หันมาพึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎของการกระทำด้วยตนเอง ตกลงไปในความบาป  เมื่อนั้น คำสาปแช่ง  และพระพรจากพระเจ้า ก็เลยหายไปจากชีวิตของมนุษยชาติ รวมทั้งบ้านที่มนุษย์อยู่ รวมถึงโลกใบนี้ ก็เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มด้วยความเสียหาย วิปริต เกิดความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปหมด ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพียงแต่เรานึกไม่ถึง วันนี้พระเจ้าจะชี้ให้เราเห็น  พระเจ้าจะมาปลอบประโลมใจเรา

ผมเลยตั้งชื่อเรื่องวันนี้ว่า “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ซึ่งพระเจ้าได้ปลอบประโลมใจ บรรดาลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราจะดูตัวอย่างจากเรื่องราวในหนังสือเปโตร เพราะผมเห็นว่ามันชัดเจนมาก และเราจะได้ดูเป็นตัวอย่างว่าจากการปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากของเขาได้ด้วยวิธีใด?

พระคัมภีร์เปโตร เป็นจดหมายเขียนถึงบรรดาผู้เชื่อ ชาวยิว เขียนโดยอัครทูตเปโตร ซึ่งเป็นชาวยิว  และเป็นอัครทูตซึ่งได้ถูกแต่งตั้งมา เพื่อประกาศให้กับคนยิว สำหรับเปาโลก็ถูกแต่งตั้งมาให้ประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็คือคนต่างชาติ

จดหมายฉบับนี้  อัครทูตเปโตรเขียนถึงชาวยิว ที่ถูกข่มเหงรังแก กระจัดกระจาย หนี ลี้ภัย เร่ร่อน ไปอยู่ต่างถิ่น เพราะกลัวตาย กลัวความทุกข์ยากลำบาก ที่เสียใจ เนื่องจากการถูกข่มเหง รังแก กระจัดกระจายไปทั่ว เอเชียไมเนอร์

ก่อนจะเรียนรู้จากพระคัมภีร์ เรามาเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ดูแบ็คกราว์น หรือเบื้องหลังของอัครทูตเปโตร ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้

อย่าลืมนะ เรียนรู้กันไป เปโตรเขียน ใครเป็นคนบอกให้เขียน  พระเยซูเป็นผู้บอกให้เขียน  เราจะได้รู้ว่าก่อนจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น พระเยซูประกาศ พระเยซูสอน พระเยซูบอกให้เราฟังว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร?  เพราะฉะนั้น เวลาอ่าน เวลาศึกษา ต้องรู้ว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็นนั้น  อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นผลของโลกวิญญาณ  เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณ  ถ้าอย่างนี้จะเข้าใจง่ายขึ้น และชัดขึ้น  พระองค์ทรงพูดผ่านทางอัครทูตเปโตร เพื่อให้ความจริงในโลกวิญญาณได้ปรากฎ ให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ได้รับรู้

อัครทูตเปโตร เดิมก็คือชาวประมงคนหนึ่ง ในพวกสาวกรุ่นแรก เขาเรียกว่าอัครสาวกรุ่นแรก ก็คือ 1 ในจำนวน 12 คน ที่พระเยซูทรงเลือกตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  และเป็นผู้ที่พระเยซูได้เลือกบอกว่าเป็นเหมือนกับเสาหลักของคริสตจักร เป็นคนที่เดินกับพระเยซู สนิทกับพระเยซูมาก ฟังเทศนาจากปากของพระเยซู ด้วยตัวของเขาเอง และถามพระเยซูเวลาเขาสงสัย ถามแบบซื่อๆ พูดง่ายๆ ว่าเดินกับพระเยซูเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันคนหนึ่ง ได้รับประทานอาหารรวมกับพระเยซู เป็นอัครทูต ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกที่ใกล้ชิดที่สุด คนหนึ่ง เป็นสาวกรุ่นแรกๆ เป็นคนแรกที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้

พระเยซูบอกว่า … “เปโตร ท่านไม่ได้พูดด้วยตัวท่านเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้พูด”

พระเยซูถามพวกสาวก 12 คนว่า … “ท่านว่าเราเป็นใคร?”

ทุกคนก็ตอบว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ มีเปโตรคนเดียวที่บอกว่าเป็นพระคริสต์ … พระคริสต์ หมายถึงพระผู้ช่วยให้รอด  คือพระมาซีฮาห์  ที่ชาวอิสราเอลรอคอย มาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่พระเจ้าบอก ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษหลายพันปีแล้ว

และอัครทูตเปโตร เป็นพยานสำคัญ ที่ได้เห็นจริงๆ เห็นกับตาเนื้อของตนเอง  ถึงการทนทุกข์ทรมานของพระเยซู เมื่อถูกจับ และถูกตรึงที่ไม้กางเขน ได้เห็นการตายต่อหน้า และเห็นอุโมงค์ว่างเปล่า  ก็คือได้เห็นการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และได้สัมผัสใกล้ชิดพระเยซูหลังจากการเป็นขึ้นจากความตาย คือได้จับมือ ได้กอดพระเยซู ได้กินข้าวกับพระเยซู หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ท่านลองคิดดู ก่อนจะอ่าน เราจะได้รู้ว่าบุคคลที่เขียน มีข้อมูลอะไรในสมองเขาบ้าง เป็นผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันเพ็นเตคอส เป็นครั้งแรก และเป็นสาวกคนแรกที่ได้ลุกขึ้นเทศนาประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์  เป็นผู้แรกของโลกใบนี้เลย ที่ได้ประกาศข่าวดี หลังจากที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันเพ็นเตคอส

และหลังจากนั้น เปโตรก็ทำหน้าที่ของเขา ตามที่พระเยซูแต่งตั้งไว้ ก็คือเป็นอัครทูต คือผู้นำข่าวสาร คือผู้เผยพระวจนะตามที่พระเยซูพูด รุ่นแรก รุ่นที่พระเยซูแต่งตั้ง

รุ่นที่พระเยซูแต่งตั้งเองเลย เขาถึงเรียกว่าอัครทูต … เปาโล พระเยซูก็แต่งตั้งเองเช่นเดียวกัน ให้ออกไปประกาศ อัครทูต ก็คือผู้ออกไปประกาศ เป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเรารู้แล้วว่ามีหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนยิว โดยเฉพาะ คือพี่น้องร่วมชนชาติเดียวกับเขา คือเป็นคนยิว เราเริ่มรู้เบื้องหลังแล้วว่าเป็นเช่นไร?

หลังจากการเขียนจดหมายนี้ ไปหนุนใจไม่นาน เปโตรก็ถูกจับ ก็พลีชีวิต รู้ว่าถูกจับ แล้วต้องตาย เขาก็ไม่กลัว เขาก็จับและไปตรึงที่ไม้กางเขน ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน เฟื่องฟูในสมัยเนโร เปโตรก็ถูกจับในยุคนี้ และถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยการถูกตรึงที่ไม้กางเขน ซึ่งเปโตรให้เขาตรึง แบบกลับหัวกลับหาง ก็คือเอาศีรษะลง เพราะว่าเขารู้สึกไม่คู่ควรกับการที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เหมือนกับพระเยซูคริสต์  เพราะฉะนั้น เขาทำสิ่งเหล่านี้ขึ้น เพื่อแสดงถึงความเชื่อ  และเป็นที่หนุนใจให้กับบรรดาผู้คนที่เชื่อเหมือนกัน และกำลังถูกข่มเหง จากบุคคลเดียวกัน ด้วยวิธีการทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ในทางวิญญาณ ทำได้แต่เพียงเนื้อหนัง ร่างกายเท่านั้น ที่พระเจ้าอนุญาตให้มันเป็นไปแค่นั้นเอง ซึ่งเดี๋ยวเราเรียนต่อไป เราจะรู้ว่าการหนุนใจของพระเจ้าเป็นเช่นไร?

ก่อนถูกจับ แล้วตรึงไม้กางเขน เปโตรได้เขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อหนุนใจ เป็นกำลังใจ เป็นสิ่งที่ต้องการชี้ให้ผู้เชื่อทั้งหลาย ที่กำลังทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสได้เห็น เพื่อจะได้มีความปิติยินดี ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เพราะพวกเขากำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส จากการถูกข่มเหงรังแก อย่างหนักของจักรพรรดิเนโร ในช่วงนั้น ช่วงที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับนี้ อยู่ในราว ค.ศ.64 ยุคสมัยของจักรพรรดิเนโร ซึ่งเป็นคนโหดร้าย และข่มเหง คริสเตียนอย่างหนัก

มีหลักฐานบันทึกไว้ว่าจักรพรรดิเนโร ต้องการจะสร้างกรุงโรมใหม่ ซึ่งเขาปกครองอยู่ เขาเบื่อ ปรากฏว่าเสนอสภา แล้วสภาไม่รับ ไม่อนุมัติ  แต่เขาบ้าอำนาจ เขาอยากจะสร้าง เขาเลยวางเพลิงเผาเมืองโรมเก่า เพื่อจะได้ไหม้ เหมือนไล่ที่ เพื่อจำเป็นจะต้องสร้างใหม่ ตามแบบที่เขาคิดไว้ในใจ เขาก็เลยเผา เผาแล้วทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้สภารู้ เขาเผา แล้วเขา ก็โยนความผิด ป้ายความผิดให้กลุ่มคนที่ป้ายได้ง่ายที่สุด และไม่มีปาก มีเสียงที่สุด และเป็นที่สังคมรังเกียจที่สุด ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ในขณะนั้นนั่นเอง ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ถูกป้ายความผิดว่าเป็นผู้กระทำสิ่งนี้ ก็คือชาวคริสเตียน เป็นผู้กระทำสิ่งนี้ เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ ก็คือมาจากกลุ่มคริสเตียน

เป็นเหตุให้เกิดการกวาดล้าง และการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ทั่วจักรวรรดิโรมัน  จักรวรรดิโรมัน ไม่ใช่ที่โรมอย่างเดียว ที่เมืองขึ้นต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เปโตรจึงเขียนหนังสือนี้ เพื่อหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายที่หนีเอาตัวรอด ฟังให้ดี “ที่หนีเอาตัวรอด”

“อ้าว! มีความเชื่อ แล้วทำไมหนีเอาตัวรอด?”

เดี๋ยวลองเรียนรู้กันต่อไป ผู้เชื่อทั้งหลายที่หนีเอาตัวรอด จากการถูกข่มเหงรังแกนี้ กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

เปโตรเขียนจดหมายไปเพื่ออะไร? ก็คือพระเยซูกำลังจะไปบอกเขา ให้กำลังใจกับเขาว่าเขาทนทุกข์ลำบาก เพราะอะไร? และทำอย่างไรถึงจะผ่านได้ เพื่อสอนให้เขารู้ว่าควรวางใจพระเจ้าอย่างไร? วิธีใด? มองไปที่ใด? ถึงจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ให้ผ่านไปด้วยดีได้

ลองนึกถึงภาพ เวลาเรียนรู้ด้วยกัน จะได้รู้ว่าใน 1 เปโตร เขียนช่วงไหน? เรากำลังอ่านจดหมายของคนอื่นเขา ที่เขาเขียนไปหาใคร? เราต้องรู้ว่าเขาเขียนไปหนุนใจ ในขณะที่คนทุกข์ขนาดไหน? ทุกข์มาก ทุกข์น้อยขนาดไหน? เพื่อเราจะได้มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ผมคิดว่าสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสมัยโน้น เพียงแต่มันคนละรูปแบบกันเท่านั้น คือทุกวันนี้เรากำลังเผชิญกับวิกฤตปัญหาเหมือนกัน ก็คือความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามาในชีวิต เหมือนกัน มีคนเขาพูดไว้อย่างนี้ว่า …

ตอนที่เราทุกข์ ปวดฟัน เราก็พูดว่า … “โอ๊ย! ปวดฟันแทบจะตาย”

ตอนเราปวดท้อง เราก็พูดว่า … “โอ๊ย! ปวดท้องแทบจะตาย”

คือสำหรับมนุษย์แล้ว ทุกข์ปุ๊บ ความรู้สึกมันได้รับแค่ แทบจะตาย ก็คือทนไม่ไหว แต่ความทุกข์นั้น อาจจะดูเหมือนมากหรือน้อยต่างกัน แต่ความรู้สึกของคนเหมือนกันหมด คนปวดฟันก็ทรมาน จะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร? คนเป็นมะเร็ง ก็เหมือนกัน จะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร? ท่านพอมองเห็นไหม? แต่มะเร็งกับปวดฟัน ท่านลองคิดดู มันต่างกันขนาดไหน? แต่ความรู้สึกของผู้คน ที่ได้รับนั้น ความรู้สึกไม่ต่างกัน คือทุกข์เท่าไร เราก็ไม่อยากจะรับ และเราก็นึกว่ามันสุดแล้ว

เพราะฉะนั้น ในยุคปัจจุบัน มันคนละรูปแบบกับในอดีต แต่มันก็ทุกข์เหมือนกัน โควิดนี้ทำให้เราทุกข์ไหม? เราก็เหมือนกับดำเนินชีวิต เคยเป็นอิสระมาก่อน ไปไหนก็ไปได้ทั่วโลกเลย ไม่ใช่ทั่วประเทศอย่างเดียว ทั่วโลกเลย ตอนนี้จะไปไหน? แค่ออกจากบ้านไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน ยังต้องระวังตัวด้วย บางครั้ง ห้ามออกไปเลย เป็นมา 2 ปีกว่าแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่าจะไปต่างประเทศ ก็ทุกข์ใจ เพราะมันเคยมีอิสระ แล้วมันไม่มี แล้วบางคนติดโควิดอีก ติดเชื้ออีก อุตส่าห์ระมัดระวังมากมาย ยังติดอีก  บางคนผลกระทบจากโควิด ไม่มีคนเข้าร้าน ขายของไม่ได้ ค้าขายไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถูกเลออฟจากงานอีก อะไรอย่างนี้ มันก็คือความทุกข์ อีกรูปแบนหนึ่ง ซึ่งสำหรับเรา ในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกทุกข์น้อยกว่า  หรือจะมากกว่าชาวยิวที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ที่ถูกข่มเหงรังแกโดยจักรพรรดิโรม คือเนโร ในสมัยนั้น ถูกไหม? คือไม่ว่าจะยุคไหนๆ ก็ตาม ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังไงเรายังต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน ไม่มีทางใดทางหนึ่ง ที่เราจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ยากลำบากนี้ไปได้เลย ไม่ทุกข์กาย ก็ทุกข์ใจ ทุกข์กับความกลัว  ความวิตกกังวล ทุกข์กับเศรษฐกิจ ปัญหาการกิน การอยู่ ปัญหาสุขภาพ คือให้รู้ว่ามันไม่มีสิ่งปกติในโลกใบนี้ ทุกวันนี้ ทุกสิ่งมันเป็นวิกฤติ คือไม่ว่าจะทุกข์จากการถูกข่มเหงรังแก ที่ไม่ยุติธรรม

อย่างที่เรากำลังจะเรียนรู้ ในชาวยิว ในสมัยจักรพรรดิเนโรแล้ว มันยังมีความทุกข์ จากธรรมชาติของความบาป ที่เกิดคำสาปแช่ง วิปริตบนโลกใบนี้อยู่ อย่างเช่น ทุกข์จากธรรมชาติวิบัติต่างๆ ทุกข์จากมนุษย์ช่วยกันทำให้ธรรมชาติเสียหายอะไรต่างๆ ทุกข์จากการกระทำของมนุษย์ ด้วยกันเองต่างๆ

ยกตัวอย่าง ทุกข์จากสงคราม หรือทุกข์จากเชื้อโรคอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือความทุกข์ ที่หนีไม่พ้น ที่มันเกิดขึ้นแน่ๆ การถูกข่มเหงรังแก อาจจะไม่เกิด หรือเกิด อาจจะน้อย อย่างเราอยู่ในประเทศนี้ เราก็ไม่ถูกข่มเหงรังแกในปัจจุบัน แต่เราก็มีอย่างอื่นแทน ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ สำหรับคริสเตียน ก็มีอยู่ 2 แบบ แบบหนึ่ง ก็คือถูกข่มเหง โดยเราไม่ได้ทำ อีกแบบหนึ่ง ก็คือได้รับตามที่เราหว่านไป เราทำไม่ถูกต้อง ตามกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว กฎของการกระทำบนโลกใบนี้  กฎแห่งกรรมของโลกใบนี้ ย้ำอีกที บนโลกใบนี้ คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำอะไรผิดไป ก็ต้องรับผิด ไปโกงเขา ก็ต้องถูกตำรวจจับเข้าคุกเข้าตาราง อันนี้ ก็ความทุกข์เหมือนกันนะ หรือความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ก็คือความทุกข์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเช่นโควิด เราไม่ได้ทำนะ พระเจ้าก็ไม่ได้ปล่อยให้โควิดมาทำเรา มันเกิดขึ้น เป็นเช่นนั้นเองบนโลกใบนี้ที่วิปริตไปแล้ว ซึ่งตะกี้นี้อธิบายให้ฟังไปแล้วนะ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปเทียบกันว่าสมัยโน้นเขาทุกข์กว่าเรา หรือสมัยนี้เราทุกข์กว่าเขา สำหรับมนุษย์เมื่อทุกข์ ก็บอกว่าสุดแล้วทุกที

อย่างเช่นในยุคจักรวรรดิโรมัน ในสมัยเนโร ท่านรู้ไหมว่าการข่มเหงรังแก ที่บอกป้ายความผิดให้คริสเตียน ทำไมเขาต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปต่างถิ่นขนาดนั้น หนีเพราะอะไร? ทำไมถึงต้องกลัวถึงขนาดนั้น ท่านลองคิดดูนะ

ยกตัวอย่างนิดเดียวพอ คือมีทั้งถูกจับไปเผาไฟทั้งเป็น เผาให้คนดู ไม่ได้ไปแอบลงโทษในคุกในตารางนะ แต่ในที่สาธารณะ ต้องการให้คนดูเลย จับไปให้คริสเตียนต่อสู้กับสัตว์ดุร้าย ในสนามแข่งขัน เพื่อให้คนดู เป็นการบันเทิงอย่างหนึ่ง จับไปตรึงไม้กางเขน แล้วก็เผา ยกตัวอย่าง แค่นี้พอแล้ว ท่านว่าผู้เชื่อในสมัยนั้น หวาดกลัว และหนีเอาตัวรอดกันอย่างไร?

ท่านอาจจะถาม … “แล้วทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเลย ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเขาล่ะ”

อย่างที่ผมบอกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรากำลังถามในเรื่องของวัตถุว่า …

“ทำไมพระเจ้าไม่ช่วย”

ช่วยอะไร? ช่วยให้เขาพ้นจากการถูกข่มเหงรังแกนี้ ถูกไหม? มันก็คือพ้นจากสถานการณ์ แบบวัตถุบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ถูกไหม? มันก็ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ ที่ผมบอกว่าเราต้องเรียนรู้ จากเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น พระเยซูจะอธิบาย ประกาศ ชี้ให้เราเห็นถึงโลกวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขณะที่เราถามเมื่อตะกี้นี้ว่า …

“แล้วทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเขา ให้หลุดรอดพ้น”

ก็ต้องตอบในโลกวิญญาณว่า … “พระเจ้าได้ช่วยแล้ว รอดแล้ว การข่มเหงรังแกเหล่านั้น ไม่สามารถทำอะไรผู้เชื่อได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ถูกหรือไม่ถูก? ในโลกวิญญาณ

อย่างนี้ถึงจะตอบได้ ไม่งั้นคนถามมา เราก็ตอบไม่ได้

“อ้าว! ทำไมคริสเตียนติดโควิด ทำไมพระเจ้าไม่ปกป้อง คุ้มครอง ดูแลเรา พระเจ้าคุ้มครองดูแลเราไง ทำไมปล่อยให้เราเป็นอย่างนี้ ไหนบอกว่าโดยรอดแผลเฆี่ยนของพระเยซูเราได้รับการรักษาให้หายแล้ว แล้วทำไมยังเป็นโควิดได้อย่างไร?”

เพราะคนถามมองที่โลกวัตถุ สิ่งของบนโลกใบนี้ แต่ความจริง ที่พระเยซูกำลังประกาศ กำลังสอน กำลังบอกเรานั้น เป็นเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

“ทำไมยังเป็นโควิด ทำไมพระเจ้าไม่รักษาให้หาย”

ตอบทางวิญญาณ หายหรือยัง? หายแล้ว ไวรัสโควิดทำอะไรเราได้ไหม? ไม่ได้ ทางวิญญาณ ทำได้แต่ทางเนื้อหนัง ร่างกาย ซึ่งมองเห็นอยู่ แต่ผลของข่าวประเสริฐ มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณอย่างเดียว ตามที่ตะกี้นี้ได้พูดตามผม แล้วว่าเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว  ไม่อย่างนั้นท่านถูกหลอกแน่นอน

ถูกหลอกเพราะอะไร?  เพราะท่านไม่รู้จักความจริงในโลกวิญญาณ พระเยซูจึงได้ตรัสคำนี้ว่า …

“มองไปที่โลกวิญญาณ ถ้าใครรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ความรู้ ความจริงในโลกวิญญาณนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก”

อย่างเมื่อตะกี้นี้ ที่ท่านไม่ถูกหลอก ท่านตอบได้ว่าทางโลกวิญญาณมันเป็นเช่นไร? เพราะท่านรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ความจริงในโลกวิญญาณทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งคำหนุนใจของพระเยซูผ่านทางอัครทูตเปโตรนี้ ที่เรากำลังจะเรียนรู้นี้ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 ก่อน แล้วก็จะไล่ไปเรื่อยๆ ในซีรี่ย์ชุดนี้ คำหนุนใจของพระเยซูนี้ ให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ในสายตาของมนุษย์บนโลกใบนี้ ถูกไหม? แสนสาหัส ในยุคนั้น ถ้าเผื่อสิ่งเหล่านี้ คำหนุนใจเหล่านี้ จากพระเยซูที่ไปถึงบรรดา ผู้คนที่ทุกข์ทรมานเหล่านั้น ในสมัยนั้นอย่างไร? เราก็สามารถใช้คำหนุนใจเดียวกันนี้ มาใช้กับเราในยุคปัจจุบันได้เช่นเดียวกัน  ถูกหรือไม่? เพราะพระเยซูอยู่นิรันดร์ พระองค์ทรงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง เราก็สามารถใช้คำหนุนใจอันเดียวกันนี้ มาหนุนใจพวกเรา ในการเผชิญกับวิกฤติปัญหาปัจจุบันในวันนี้ได้เช่นเดียวกัน

การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เราได้แบ็คกราว์นมาแล้ว คราวนี้เราเริ่มต้น 1 เปโตร 1:1 …

1 เปโตร 1:1 “เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์  ถึงบรรดาผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้  ซึ่งได้เร่ร่อน ลี้ภัย  กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชีย และบิธีเนีย”

 

อย่างที่บอก ย้ำอีกครั้งหนึ่ง อ่านพระคัมภีร์ ต้องกระดุมเม็ดแรกถูกก่อน กระดุมเม็ดแรก ต้องรู้ว่าเขียนถึงใคร? เรารู้แล้ว …

(1) เขียนถึงผู้เชื่อหรือเปล่า? ใช่ ผู้เชื่อที่กำลังทนทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหงรังแก

(2) เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

นี่คือกระดุมเม็ดแรกทั้งนั้น  กระดุมเม็ดแรก คือเขียนถึงใคร? กระดุมเม็ดที่สอง คือมันเกี่ยวกันกับโลกอะไร โลกวัตถุหรือโลกวิญญาณ?  …  โลกวิญญาณ  ถ้าเติมอัน 3 เข้าไป ก็ได้ว่า …

(3) ใครเป็นคนเขียน? พระเยซูเป็นคนเขียน ผ่านทางเปโตร

ถ้าเป็นหนังสือของเปาโล ก็คือพระเยซูเขียนผ่านเปาโล ถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิม ก็เขียนผ่านทางผู้เผยพระวจนะต่างๆ  นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่ต้องเข้าใจ จะได้เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก อ่านข้อนี้แล้ว ท่านคิดว่าเปโตรกำลังเขียนถึงบรรดาผู้ที่เชื่อ ที่ได้ลี้ภัย ที่เร่ร่อนกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ เขียนโดยวิธีใด? ส่งไปที่ไหน? นึกภาพออกไหม?

ท่านลองนึกถึงภาพคนกำลังเขียนเรื่องนี้ แล้วตัวเองก็อยู่ท่ามกลางการข่มเหงรังแกชนิดเดียวกัน อย่างนี้ ถูกข่มขู่ เขาเรียกว่าถูกขู่ให้ตาย หรือจะถูกฆ่าตายในวันนี้ พรุ่งนี้ ก็ไม่รู้ ขณะที่พระเยซูบอกให้เขียน เขียนอยู่ในท่ามกลางอย่างนั้น แล้วจะส่งให้ใคร? ไม่เหมือนหนังสือเปาโลส่งให้คริสตจักรเอเฟซัส คริสตจักรกาลาเทีย ผู้เชื่อชาวกาลาเทีย อันนี้ส่งให้ใครก็ไม่รู้ กำลังบอกว่าส่งให้ใครนะ? ผู้ที่ตกใจกลัว เร่ร่อน หนีเอาตัวรอด กระจัดกระจายไปทั่วต่างๆ ในจักรวรรดิโรมัน ไปต่างจังหวัด ไปไกลๆ ไม่อย่างนั้นถูกจับ ฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมาน แล้วคนเหล่านี้หนีด้วยอะไร? หนีด้วยภาพที่เขาเห็นเพื่อน พี่น้อง เห็นญาติสนิท เห็นภรรยา เห็นลูก เห็นพ่อ เห็นแม่ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกเผา ถูกตัดคอ ถูกเอาไปให้สัตว์ดุร้ายกิน

นึกถึงภาพเหล่านี้  เขียนไปหาคนเหล่านี้ เราจะได้นึกถึงความรู้สึกของผู้รับ และผู้เขียน เปโตร อย่างที่บอก เขียนจดหมายฉบับนี้ จบไม่นานนัก เขาก็ถูกจับ แล้วก็ถูกตรึงกางเขน นึกภาพนะ  เราอ่านดู จะได้มีความรู้สึกอินกับเรื่องนี้ว่าเพราะฉะนั้น เรื่องราวเหล่านี้ ที่กำลังจะหนุนใจเขาเหล่านี้ ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เลย ถูกหรือไม่ถูก? มันเรื่องเป็นเรื่องตาย จะมาพูดอะไรที่มันเป็นแบบมาสอนให้ทำดีนะ กำลังจะหนีตาย ทำดี แล้วเราจะได้ไม่ถูกจับ ไม่ใช่นะ เดี๋ยวเราต้องอ่านดูอะไรที่พระเยซูต้องการให้ผู้คนเหล่านี้ ทั้งคนเขียน ทั้งคนได้รับจดหมาย ให้มีความรู้สึกสามารถหลุดพ้น ออกจากความวิตกกังวล ความกลัว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์บนโลกใบนี้  แต่ให้มีความหวังใจในชัยชนะของเขา ให้สามารถปิติยินดีได้ อะไรเป็นเคล็ดลับ อยากรู้ไหม?

นี่คือเป้าหมาย นี่คือก่อนอ่าน ต้องเรียนรู้ตรงนี้ จึงจะเกิดประโยชน์ได้ นี่คือหนึ่งในจำนวนกระดุมเม็ดแรกนั่นแหละ และเขียนไปถึงพวกเขาเหล่านี้ อย่างที่บอก จ่าหน้าซองถึงไหน? ถึงกาลาเทีย ไม่ใช่ ถึงที่ไหน? ถึงผู้คนที่กระจัดกระจายต่างๆ ไม่มีคริสตจักรอยู่ แอบซ่อนอยู่ แล้วจดหมายฉบับนี้เขาก็ส่งกันไปเรื่อยๆ นึกออกใช่ไหม? เหมือนจดหมายลับ ส่งต่อไปที่คัปปาโดเซีย ส่งต่อไปที่แคว้นนี้ ส่งต่อไปที่นี่ สมมติส่งไปคัปปาโดเซีย ก็ไม่ได้ส่งไปที่คริสตจักรคัปปาโดเซีย ส่งไปที่คัปปาโดเซีย แล้วก็ผู้เชื่อต่างๆ ที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ ต้องใช้สัญลักษณ์เรื่องปลาว่าเป็นคริสเตียน แต่ภายนอกไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคริสเตียน  ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวถูกข่มเหงรังแก แล้วจดหมายส่งอย่างไร? ครอบครัวนี้ มี 8 คน อ่าน 2-3 วัน แล้วส่งต่อไปที่คัปปาโดเซีย อยู่ในอีกตำบลหนึ่ง อะไรต่างๆ เหล่านี้ คือส่งมือต่อมือไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เป็นชุมชนที่จะมาอ่านรวมกันเยอะแยะ แต่ทุกคนเหล่านั้น กำลังมุดอยู่ในรู หนีการข่มเหงรังแก หนีทหารโรมัน ที่จะมาจับตัวไป รับโทษอะไรต่างๆ เหล่านั้น ทุกวันนี้ยังมีหลักฐานของสถานที่ของผู้คนเหล่านี้ อยู่ในประเทศแถวๆ ตุรกี เป็นที่เขาหนีไปอาศัย และต้องอยู่อย่างไร? อยู่ในถ้ำอย่างไร? หนีจากการข่มเหงรังแกนี้อย่างไร? และจดหมายนี้ คงอ่านอยู่ในถ้ำ นึกภาพออกนะ

เปโตรใช้คำว่า “บรรดาผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้” ใครคือผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้ ท่านคงสงสัย ตามที่เราได้เคยเรียนรู้กันมาว่าการที่เรามาเชื่อพระเจ้าได้นั้น ไม่ใช่ว่าเราเลือกพระเจ้า บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า เลือกที่จะเชื่อพระเจ้า แต่ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเลือกเรา เห็นไหม? พระเจ้าทรงเลือกเรา  แต่ตามสายตามนุษย์มองตามวัตถุแล้ว เหมือนเราเลือกมาเชื่อพระเจ้าใช่ไหม? เราไม่เคยเชื่อ แล้วเราเลือกจะมาเชื่อ เลือกจะมาโบสถ์ เชื่อในข่าวดี ดูเหมือนเราเลือก

แต่ในโลกวิญญาณ พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่ใช่เลย ก่อนที่คุณจะเลือก พระเจ้าทรงเลือกคุณก่อนแล้ว ทางวิญญาณ ตอนเราเกิดมา เรายังไม่เชื่อพระเจ้า ขวบหนึ่ง ก็ยังไม่เชื่อพระเจ้า บางคนเกิดมา 30 ปี ก็ยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เลือกใช่ไหม? แต่ก่อนเกิด พระเจ้าเลือกคนนี้แล้ว เข้าใจใช่ไหม นี่คือความหมายมันเป็นอย่างนั้น ใน 1 เปโตร 1:2 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:2 “พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์  และรับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณ และสันติสุข มีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ”

 

“พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว” โลกวิญญาณนะ กำลังอธิบายเรื่องโลกวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าได้บอกว่าพระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคน ให้ได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? ถูกไหม?

ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อทุกคนที่ได้วางใจในพระองค์ จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

เพื่อมนุษย์กี่คนนะ? “เพื่อมนุษย์ทุกคนจะไม่พินาศ จะได้รับชีวิตนิรันดร์” แสดงว่าพระเจ้าเลือกทุกคนไหม? เลือกทุกคน ยอห์น 1:12 ว่าอย่างไร? …

ยอห์น 1:12 “ทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานให้สิทธิ ให้เขาได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า”

“ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นบุตรของพระเจ้า” ถูกไหม? “ทุกคนที่เชื่อ” ก็แสดงว่าพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับทุกคน ถูกไหม?  ก็คือเลือกทุกคน ให้มาเชื่อในพระเยซู เพื่อจะได้รับความรอด มาเป็นบุตรของพระองค์ ก็คือเลือกทุกคนมาเป็นลูกของพระองค์นั่นเอง เห็นไหม?

แต่ถ้าเรามองทางวัตถุ อย่างที่ตะกี้บอก คนนี้ยังไม่ได้เลือกเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่อายุ 30 เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่ พระเจ้าเลือกคุณก่อนแล้ว แต่คุณยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของคุณนั่นเอง พระเจ้าทรงเลือกสรรมนุษย์ทุกคน ตรงนี้ชัดเจน เลือก เพื่อเขาจะได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ โดยพระวิญญาณ

พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า วางแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา คือพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์ เพื่อมาทำการไถ่ และช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอด กลับมาหาพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม นี่คือที่บอกว่า “ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า” ก็คือพระองค์ทรงเลือกทุกคน  และพระองค์ก็ทรงทราบด้วยว่าคนนั้นถูกเลือกแล้ว แต่ปฏิเสธการเลือกของพระองค์

จำที่พระเยซูยกตัวอย่างได้ไหมว่างานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว การ์ดเชิญก็ออกไปแล้ว แต่คนที่ถูกเชิญไม่มา พระเยซูบอกว่าเพราะฉะนั้น เจ้าของงาน ก็เลยให้บ่าวเอาการ์ดเชิญไปเชิญใครก็ได้ทั้งโลกเลย ใครที่อยากมา เอาการ์ดไปเชิญเขา

นี่คือภาพของอย่างที่บอกเมื่อตะกี้ พระองค์ทรงเลือกแล้ว เลือกเขามาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ตัดสินใจเลือก มันก็เป็นหน้าที่ของเขา เขาถูกเลือก แต่เขาไม่รับ เขาถูกเชิญ แต่เขาไม่ยอมมา เขาถูกเชิญ แต่เขาปฏิเสธการรับเชิญนั้น แต่การ์ดเชิญไปถึงเขาหรือยัง? ถึงแล้ว ความรอดไปถึงเขาหรือยัง? ไปถึงแล้ว แต่เขาไม่รับ ตรงนี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านไม่ได้มองที่โลกวิญญาณ ท่านจะไม่เข้าใจถึงความหมายของสิ่งที่กำลังพูดเมื่อสักครู่นี้

ก็คือพูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคนก่อนล่วงหน้าแล้ว  เลือกให้มาทำอะไร? ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ เลือกให้มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์สะอาด ที่พระองค์จะทรงใช้สอย เป็นที่บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ มาเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว

การทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณนี้ แปลว่าการถูกแยกออกมา เป็นของศักดิ์สิทธิ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้า ซึ่งไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ เพราะตรงนี้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สะอาดแล้ว ตรงนี้เล็งให้เห็นถึงกฎระเบียบในสมัยโมเสส ในอดีต ซึ่งชาวยิวรู้ดี การทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ ก็คือพระวิญญาณจะมาแยกเราออกมา เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์

จะอธิบายตรงนี้ให้ฟังว่าพระองค์ทรงเลือกมนุษย์ทุกคน พระบิดาทรงเลือกมนุษย์ทุกคนล่วงหน้าแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เลือกสรรแล้ว และรับการ์ดเชิญ ก็คือคนที่ได้เข้ามาผ่านพระเยซูแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว เขาคนนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้าไปชำระเขา จำได้ไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเจิมเขาด้วยไฟ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบัพติศมาเขาด้วยไฟ แห่งพระวิญญาณ เหมือนที่เปโตรได้รับเมื่อวันเพ็นเตคอส

การบัพติศมาด้วยไฟ คือการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ทางความประพฤติใช่ไหม? เพราะความประพฤติเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ใช่ไหม? แต่การชำระนี้ ผมบอกแล้ว มันเล็งไปถึงโลกวิญญาณ มันจะได้ไม่ถูกหลอก

ไปช้าหน่อย แต่ละเอียดอย่างนี้ มันดีกว่าไปเร็วๆ แล้วก็มองแต่ภาพ มองแต่สิ่งที่ตามองเห็น ไม่ได้มองด้วยความเชื่อ ในโลกวิญญาณ  มันจะถูกหลอก

พระวิญญาณบัพติศมาเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าแล้ว และรับการเลือกสรรนั้น ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พระเจ้าต้องการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเจิมเขาด้วยไฟ บัพติศมาเขาด้วยไฟ ให้เป็นบริสุทธิ์ เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นสิ่งของแยกส่วนออกมาจากโลกใบนี้เลย สะอาดหมดจดอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ อยู่ในบ้านของพระองค์ บ้านของพระองค์ ก็คือในสวรรค์ เห็นใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น การชำระนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าเรียกเรามาให้ประพฤติบริสุทธิ์  ไม่ใช่

เรียกเราและเลือกเรามา ให้เป็นคนที่กระทำความบริสุทธิ์ พยายามทำดี ให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่

เลือกเรามา เพื่อจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เจิมเราด้วยไฟ ทำให้เราเป็นคนบริสุทธิ์เลย เป็นคนบริสุทธิ์ทางวิญญาณ  เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเรา  ที่จะอยู่นิรันดร์ ร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ตายจากโลกใบนี้แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้เอามันไป หลังความตาย หรือใครจะเอาบ้าง? ไม่มีใครเอา เอาก็เอาไปไม่ได้ด้วย เพราะมันเน่าแล้ว แต่สิ่งที่จะไปในโลกวิญญาณ คือวิญญาณของเรานั่นเอง ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเรา ตัววิญญาณตัวนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจิมเราด้วยไฟ ชำระเราให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ทำเมื่อไร? ทำทันที เลือกสรรไว้แล้ว เพียงแต่ท่านรับคำเชิญเท่านั้นเอง ทำทันที ก็คืออาหารพร้อมแล้ว พระเยซูบอกงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว ก็คือทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว 1 ในจำนวนนั้น คือการบัพติศมาด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จะทำให้ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด  ศักดิ์สิทธิ์นั้น พร้อมแล้วบนโต๊ะ ท่านมาถึงก็พร้อมได้กินเลย แต่ท่านรับเชิญไหม? ไปเชิญแล้วท่านรับไหม? ถ้าท่านรับ ก็เข้ามากินได้เลย กินเมื่อไร? กินเมื่อท่านรับ ก็คือเมื่อท่านรับเชื่อ ยอมรับว่าพระเจ้าเลือกท่านไว้ ในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านยอมรับ เดินเข้ามา ท่านก็ได้การชำระ ได้การทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้ารอคอยอยู่แล้ว เพราะมันพร้อมแล้ว ในงานเลี้ยง

ในงานเลี้ยงมีอะไรอีก? เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณอีก พระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคน ให้มาได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู ตอนเดินอยู่บนโลกนี้ พระเยซูบอกว่าสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากท่าน คือให้ท่านวางใจในเรา คือพระองค์ทรงเลือกมนุษย์ทุกคนให้มาได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซู ก็คือเลือกมนุษย์ทุกคน ให้มาเชื่อพระเยซู แสดงว่าเลือกไว้หรือยัง? เลือกแล้ว เชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว เพียงแต่ยอมรับไหมว่าพระองค์ทรงเลือกให้เราเชื่อ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามที่จะเชื่อ ความเชื่อมันรออยู่ตรงนั้น เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

เรียกให้มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือเลือกให้มาเชื่อฟังต่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซู เราเพียงแต่รับคำเชิญเท่านั้นเอง ตรงนี้อาจจะฟังเข้าใจยากหน่อย เพียงแต่รับคำเชิญ พอรับคำเชิญ มันเชื่อออโตเมติกเอง ฟังข่าวประเสริฐ แล้วก็ตรงที่เราบอกเชื่อ เพียงแต่รับคำเชิญ พอรับคำเชิญปุ๊บ  ออโต้ฯ มันเปิด ความเชื่อที่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดขึ้นทันที ในวิญญาณของคนๆ นั้น มันเชื่อทันที ก็คือเมื่อเรารับคำเชิญ จากการได้ยินข่าวประเสริฐ คือต้อนรับความจริงนี้ พอต้อนรับความจริง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความเชื่อในวิญญาณของเรา ความเชื่อนี้ พระเยซูบอกมันเหมือนเม็ดมัสตาร์ดเล็กนิดเดียว เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ก็คือเราต้อนรับความจริง พอต้อนรับความจริงแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความเชื่อขึ้น พระเจ้าทรงประทานความเชื่อให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ทำให้มันโต เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือการบังเกิดใหม่ เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

และเข้าไปสู่ชีวิตินิรันดร์ แล้ววิญญาณเปลี่ยนใหม่เป็นอะไร? วิญญาณที่เกิดจากความเชื่อตรงนี้ มันก็เป็นวิญญาณเดิมอยู่ ก็คือเป็นวิญญาณแห่งความเชื่อ คือมันจะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว มันไม่ใช่มาบังเกิดใหม่ เพื่อที่จะประพฤติ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ใช่แปลว่าอย่างนั้น

มารับคำเชิญ แปลว่าพระเจ้าเลือกเอาไว้ เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกที่เชื่อฟังของพระเจ้าในวิญญาณ ซึ่งบางครั้ง เป็นลูกพระเจ้าในวิญญาณแล้ว เชื่อฟังพระเจ้าโดยธรรมชาติของการบังเกิดใหม่แล้ว ความประพฤติยังดื้ออยู่เลย พระเจ้าอภัยให้ เขายังงอนอยู่เลย ยังขุ่นเคืองอยู่เลย ได้ไหม? ได้ เพราะนั่นเป็นความประพฤติ ที่ตามองเห็น ไม่ใช่โลกวิญญาณ แต่ในวิญญาณของเรานั้น เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่เชื่อฟัง เป็นลูกแล้ว เป็นๆๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

“เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซู” ก็คือเพื่อให้พวกท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทุกคนเป็นลูกที่เชื่อฟังทั้งสิ้น ถูกไหม? ความหมายทางนี้ คือทางโลกวิญญาณ เป็นลูกที่เชื่อฟังทั้งสิ้น วิญญาณเป็นลูกของพระองค์ที่เชื่อฟัง ร่างกายข้างนอก อาจจะทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง นั่นคนละเรื่องกัน นี่กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ

ซึ่งอย่างที่บอกว่าบางคนก็ใช้ตรงนี้ ไปเป็นการประพฤติ ปฏิบัติว่าให้มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าเลือกเราทุกคนให้เป็นคริสเตียน เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามในพระคัมภีร์สอนไว้ว่าให้เราเชื่อตามคำสอนของพระเยซูทุกอย่างเลย ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก ดูเหมือนมันใช่ แต่ไม่ใช่

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่า “จงอภัยให้คน 70×7 ครั้ง”

เราก็พยายามอภัย แล้วทำได้ไหม?  70×7 ต่อความผิดครั้งเดียว พระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณว่าวิญญาณท่านต้องบังเกิดใหม่ ถึงจะอภัยให้เขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ได้ ไม่มีที่ติเลย คือต้องเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ที่เป็นวิญญาณแห่งการให้อภัย  เป็นวิญญาณแห่งความรัก พระองค์ไม่ได้มาสอนบอกว่าให้ท่านดำเนินชีวิตด้วยความประพฤติ อภัยให้คน 70×7 ครั้ง มันทำไม่ได้หรอก มันทำได้อย่างไรเล่า แต่ในวิญญาณมันทำได้ โดยการอัศจรรย์ การบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณ

เพราะเรามาสอน แปลความหมายเป็นโลกวัตถุ มันก็จะฝืน มันก็จะเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็รู้สึกฟ้องผิด ทำไม่ได้ เชื่อฟังพระเยซูนะ เขาตบแก้มซ้าย เอาแก้มขวาให้เขาตบ มันทำไม่ได้ มันอดไม่ได้ เขาตบแก้มซ้าย มือขวาเราพร้อมแล้ว ตบแก้มขวาอีกที อัดแน่ สู้แน่ แล้วเราก็ไปนั่งฟ้องผิด …

“ทำไมเราทำตรงนี้ไม่ได้”

เพราะเราไปแปลความหมายตรงนี้ผิด

พระเยซูกำลังบอกว่าให้วิญญาณเราพร้อม แล้วความประพฤติก็ค่อยๆ ฝึกฝนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่มันจะไม่สมบูรณ์แบบครบถ้วนบริบูรณ์แน่นอน ก่อนตายจากโลกใบนี้ ก็ไม่มีวันสมบูรณ์ ตายจากโลกใบนี้เท่านั้น ออกจากร่างกายนี้เมื่อไร จึงสะอาดบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนวิญญาณที่เป็นอยู่ ตอนที่อยู่ในร่างเหมือนกัน วิญญาณอยู่ในร่าง สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์เลย พร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์ และอยู่ในสวรรค์แล้วด้วย เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายที่มันสกปรก ที่มันอยู่ในระหว่างการสร้าง การเปลี่ยนแปลงความประพฤติเสียใหม่ของคนๆ นั้น ร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งได้มากได้น้อยเท่าไรก็ไม่รู้ พระเจ้าไม่ได้มาวัด พระเจ้าดูคุณภาพของชีวิตทางวิญญาณเท่านั้น พระเจ้าไม่มาดูข้างนอกว่าข้างนอก คนนี้ทำบาป 10 ครั้ง ดื้อ 20 ครั้ง คนนี้ดื้อ 500 ครั้ง  เพราะฉะนั้น คนนี้ดื้อไม่เท่ากับคนนี้  คนนี้ดื้อ 500 ครั้ง สะอาดไม่พอ ไม่ใช่เลย พระองค์ทรงกระทำการงานในทุกคนเท่าๆ กัน และพระองค์ทรงเห็นทุกคนทำผิดเท่าๆ กัน มีอุปสรรคปัญหาในการเชื่อฟังพระเจ้าในการปฏิบัติตัวบนโลกใบนี้ เท่าๆ กัน จะมา 3 ครั้ง 5 ครั้ง หรือ 100 ครั้ง พระองค์มองดูแล้วเหมือนกัน จะมาบอกแค่อิจฉาริษยาเขาเท่านั้นเอง อีกคนหนึ่งบอกคนนี้ฆ่าคนตาย พระเจ้ามองมา มันเท่ากันหมด ผิดก็คือผิด ก็คือยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ในความประพฤติอย่างแน่นอน  แต่วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมอยู่ในสวรรค์แล้ว และพร้อมอยู่ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เขาเชื่อแล้ว

และตอนท้ายของข้อความนี้ บอกว่า “ขอพระคุณและสันติสุข มีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ” ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน พระเยซูกำลังพูดถึงความจริงทางโลกวิญญาณ นึกภาพนะ พระเยซูกำลังพูดถึงความจริงทางโลกวิญญาณ ต้องขอพระคุณไหม? ขอจากใคร? ไม่มี จริงแล้ว ตรงนี้ไม่มีคำว่า “ขอ” เพราะเมื่อมีคำว่า “ขอ” คือเรายังไม่มี เราต้องขอจากพระบิดาเจ้า ในนี้บอกหรือเปล่าว่าขอจากพระเจ้า ไม่มี

ถ้าเป็นการขอตรงนี้ น่าจะเป็นการขอให้เป็น หรือขอให้ท่านรับรู้ไว้ ถูกไหม? เพราะในนี้ไม่ได้บอกว่าขอให้พระเจ้า ขอให้พระวิญญาณ ไม่มี “ขอพระคุณ” คือขอให้ท่านรู้ว่านี่คือความจริง  ขอให้ท่านรู้ความจริงว่าพระคุณและสันติสุข มีในพวกท่าน อยู่ในพวกท่านอย่างล้นเหลือแล้ว

ผมกำลังพูดถึงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ขอให้ท่านเห็นถึงโลกวิญญาณว่าพระคุณและสันติสุข มีอยู่ในพวกท่านอย่างล้นเหลือแล้ว เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้ว ได้รับการชำระ แยกส่วนออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เห็นไหม? เพราะถ้าเราแปลเป็นลักษณะจับต้องมองเห็นได้ เราก็นึกว่าเราต้องประพฤติตัวให้มีพระคุณดีๆ จะได้รับพระคุณเยอะๆ จะได้รับพระคุณเหลือล้น ก็ต้องประพฤติตัวให้ดีๆ จะมีสันติสุข ก็ต้องประพฤติตัวให้ดีๆ

แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  ตรงนี้กำลังหมายถึงว่าพระเจ้าได้กระทำให้ท่านบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ชำระท่าน แยกส่วนท่านออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น ให้ท่านเชื่อฟัง เป็นลูกที่เชื่อฟัง พระองค์ก็เป็นผู้ทำ

พระคุณและสันติสุข คือลักษณะชีวิตที่บังเกิดใหม่ ที่อยู่ในตัวท่านนั่นแหละ ที่บังเกิดใหม่นั้น มีลักษณะเป็นพระคุณ

พระคุณ หมายถึงท่านได้รับมาฟรีๆ พระคุณ คือพระองค์ทรงรับท่านเป็นลูกของพระองค์ โดยที่ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนเรารู้ถึงพระคุณของพ่อแม่เรา หมายถึงอย่างนั้น

ในข้อความนี้ ถ้าท่านรู้แบบนี้ คือตามความเป็นจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัว จากการข่มเหงรังแก จากความทุกข์ลำบากที่กำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

พระคุณและสันติสุขมีแด่พวกท่าน คือมีในพวกท่านอย่างล้นเหลือ  “ล้นเหลือ” แปลว่าเกินความพอเพียง เกินเลย มากกว่าพอเพียง มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง  อะไรมากกว่า? พระคุณและสันติสุข พระคุณ คือรับท่านเป็นลูก เลือกท่านตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ให้ท่านบังเกิดใหม่  มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระองค์แล้ว และให้ท่านได้มีสันติสุขในวิญญาณของท่าน ความสุขอยู่ในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน เหล่านี้มันเกินพอกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่ท่านเผชิญ พระคุณพระเจ้าได้ทรงชำระให้ท่านบริสุทธิ์แล้วนั้น โดยพระคุณ ก็คือโดยความเมตตา ความเข้าใจ ความรักดังแก้วตาดวงใจ มันเพียงพอที่จะทำให้ท่านเต็มไปด้วยสันติสุขในวิญญาณของท่าน ร่าเริงในวิญญาณของท่าน เป็นธรรมชาติ แม้ว่าสิ่งที่ตามองเห็นข้างนอก ในกายนี้ ท่านกำลังทนทุกข์ทรมาน เพราะถูกข่มเหงรังแก อยู่ท่ามกลางการกดขี่ข่มเหง อยู่ท่ามกลางการขู่ การฆ่าให้ตาย ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ การชำระได้บังเกิดขึ้น ผ่านทางการชำระทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ชำระแล้วเกิดการเป็นบุตรของพระเจ้า … เป็นบุตรพระเจ้าแล้วทำไม? เชื่อฟังพระเจ้า … เชื่อฟังพระเจ้าแล้วทำไม? เต็มล้นด้วยพระคุณในวิญญาณ … เต็มล้นด้วยพระคุณในวิญญาณ แล้วอะไรอีก? เต็มไปด้วยความสงบสุข หรือสันติสุข

“เป็น” ทั้งสิ้น ในโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว เป็นๆๆ  เป็นหมดเลย

อ่าน 1 เปโตร 1:3-4 จบตรงนี้ก่อน แล้วเราค่อยมาต่อในสัปดาห์ต่อไป …

1 เปโตร 1:3-4  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

 

จะจบตรงนี้ก่อน เพื่ออย่างน้อย สัปดาห์นี้ก็ยังได้สรุปตรงนี้ให้ท่านเห็นว่าเราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ด้วยวิธีใด? โดยวิธีการรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าเราเป็นอะไรแล้ว เราทำอย่างไร? อยู่อย่างไร? ในโลกวิญญาณ

“สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่”

“ทรงให้เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่” คือได้ทำไปแล้ว ทางไหน? ทางวิญญาณ

“เข้าในความหวังใจอันยืนยง” คือเป็นความหวังอันไม่มีเสื่อมสูญสลายไปเลย ความหวังในทางไหน? ในทางวิญญาณ

“โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย” เข้าในมรดกที่เป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลายในโลกวิญญาณ

“และไม่เน่าเสีย ไม่เลือนหายไป” ไม่มีวันจบ ก็คือท่านเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย เป็นตลอดไปเลย

“ซึ่งได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์ ให้พวกท่าน” เป็นลูกแล้ว มีมรดกด้วย มรดกมากมายให้ท่านครอบครอง เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์

“ในสวรรค์” คือในโลกวิญญาณ มันไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ตรงนี้ถ้าใครรู้ ก็สามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้ด้วยสันติสุข และพระคุณของพระเจ้า ที่มีอยู่ข้างใน  ยิ่งรับรู้ความจริงตรงนี้มากเท่าไร เราก็จะเป็นอิสระจากการโกหกในเรื่องโลกวิญญาณมากเท่านั้น รู้ตรงนี้มากเท่าไร เราก็จะมีสันติสุขตรงนั้นมากเท่านั้น รู้ตรงนี้มากเท่าไร? เราก็จะรู้ตรงนั้นว่าเรามีความหวังอันยืนยงอย่างไรในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถาน เราก็จะสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ เหมือนกับที่พระเยซูกำลังหนุนใจให้กับบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ในยุคสมัยคริสตจักรเริ่มต้น การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก มันก็คือวิธีการนี้นั่นเอง

และเราจะเรียนรู้กันต่อไป ในโลกวิญญาณว่าพระองค์ปลอบโยนจิตใจของเราทั้งหลาย ยามเราทุกข์ยากลำบาก ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ด้วยวิธีใดต่อไปในสัปดาห์หน้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 4:17-18 … “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา   เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์” 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก ((อากาเป้ แบบพระเจ้า)) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น”

 

เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต   บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวายทุกวัน แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิตแด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิต ด้วยความเชื่อให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ร่วมตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  แล้วถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่ พระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์มาเป็นชีวิตของเรา

 

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณ เป็นของขวัญ ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์ มากำเนิดเป็นชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา  พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ การบังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้

 

เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักอากาเป้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เข้ามาในความคิดจิตใจ   แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจความรักนี้   ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา   ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิด ของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิต ด้วยพลังความรักอากาเป้แบบพระเจ้านี้บนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

 

พระเจ้าอวยพรครับ