วารสาร Holy News ฉบับที่ 1377

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 1

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายวันนี้ ผมใช้ชื่อเรื่องว่า “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ทำไมเราต้องมีการมาคุยกันเรื่องนี้  ก็เพราะว่าจนทุกวันนี้ คริสเตียนที่มีหลักข้อเชื่อเหมือนกัน  ซึ่งน่าจะพูดว่าควรจะเหมือนกัน  อ่านพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่การตีความหมาย และความเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าหลายๆ แห่ง  ยังไม่ตรงกัน แตกต่างกัน  ซึ่งหลายเรื่องก็เป็นความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ตรงกับข่าวดีของความจริงของพระเยซูคริสต์เลย แต่เป็นเรื่องของการทำตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา  หรือตามความเชื่อที่สอนต่อๆ กันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเราก็ได้เรียนกันมาเยอะแยะแล้วว่าหลายเรื่องไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้าในนั้นเลย ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้สังเกต เราก็ปล่อยมันไป เชื่อตามๆ กันมา เขาว่าอย่างนั้น ก็ว่าอย่างนั้นไป ถามจริงๆ แล้วว่าใช่ไหม? ทำไมมันไม่ใช่  ไม่แน่ใจ อย่างที่ผมพูดย้ำมาตลอดว่าการตีความถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ประเด็นที่สำคัญที่สุด คืออะไร?

อย่างแรกเลย เราต้องทราบก่อนว่าถ้อยคำตรงนั้น วลีนั้น กำลังพูดหรือเขียนถึงใคร?  และในบริบทนี้ กำลังพูดเรื่องอะไร? อย่าลืมว่าเราอ่านพระคัมภีร์เท่ากับว่าเรากำลังไปอ่านจดหมายของคนอื่นเขา ไปแอบอ่านของคนอื่นเขา  ไม่ได้แอบหรอก แต่จริงๆ ไปอ่านของคนอื่นเขา  ต้องรู้สิว่าเขาเขียนถึงใคร? เรื่องอะไร? ไม่ใช่จู่ๆ ไปเอานิดหนึ่งมา แล้วก็มาตีความเอง  ไม่ใช่หยิบเอาแค่ประโยคเดียว วลีเดียว แล้วก็พยายามตีความหมาย โดยการเพิ่มความคิดของตัวเองเข้าไป  ความเข้าใจของตัวเองเข้าไป สติปัญญาของมนุษย์เข้าไป  และความต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นของตัวเองเข้าไป  ตีความตามความต้องการของตัวเอง  เขาเรียกว่าคอนซับชั่น อุปทาน นึกเอาเองว่า …

“ฉันอยากได้อย่างนี้”

ก็เอาถ้อยคำนี้มาใส่

“ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูยากจน ทำให้ฉันร่ำรวย  ฉันอยากรวย ฉันก็เลยบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรวยแล้วๆ”

ซึ่งมันไม่ใช่ มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณต่างหาก อย่างนี้เป็นต้น เราเรียนรู้กันมาบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องระวังในการอ่าน  ทำความเข้าใจในบริบท  “บริบท” คือเรื่องราวทั้งเรื่องว่าเขาพูดถึงใคร? พูดอะไร?  พูดหมายความว่าอะไร?  อย่าหลงประเด็น เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ เหมือนที่เราพูดกันอยู่เสมอว่าต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้มันถูกก่อน  เพราะถ้ากระดุมเม็ดแรกผิดไป ต่อมาทั้งหมด มันก็จะผิดหมด มันจะยุ่งและแก้กันไม่ออกเลยคราวนี้ และเพราะมีการตีความหมายกันผิดๆ แบบนี้  มีการเข้าใจไม่ถูกต้องอย่างนี้  แล้วก็สอนกันต่อๆ มาอย่างนี้ มันจึงมีคำถามเกิดขึ้นตลอดเวลาว่าทำไมถ้อยคำในพระคัมภีร์ตรงนี้ มันขัดแย้งกับถ้อยคำตรงโน้น  บางข้อหาคำตอบมาอธิบายไม่ได้  ก็พยายามยัดเยียดเหตุผลทางโลกเข้าไป  ยัดเยียดความคิดของมนุษย์เข้าไป เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นใช่หรือไม่? คิดในใจนะ

แต่ถ้ากระดุมเม็ดแรกถูก พื้นฐานความเชื่อในหัวใจของข่าวประเสริฐถูกต้องเป๊ะ พื้นฐานถูกปุ๊บ  ถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  จะไม่มีตรงไหนขัดแย้งกันเลย แม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งจบวิวรณ์ มันจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด เรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องข่าวดีของพระเจ้า  เรื่องการมาช่วยกู้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เรื่องความดีงามของพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมนไหม? มันต้องเป็นอย่างนี้ ถูกไหม?

วันนี้ก็เลยอยากมาย้ำยืนยันอีกครั้งให้กับสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีสมาชิกบางท่านยังมีคำถามอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อ แต่ว่าเขาได้ยินของเก่ามา ยังจำของเก่าอยู่ ยังสังเกตว่าเอ๊ะ! ของเก่า อย่าว่าแต่ว่าเขาได้ยินจากที่อื่น  แม้เราเอง ผมเอง และศิษยาภิบาลที่สอนบนนี้เอง ก็ยังเคยสอนแบบผิดๆ มาก่อน แต่พอเรารู้ เราก็แก้ไข พอแก้ไข สมาชิกได้ยินของเก่าไป ยังจำของเก่าได้  ยังไม่ได้แก้ ยังมาถามว่า …

“มันแย้งกับตอนที่แต่ก่อนนี้ อาจารย์สอนว่าอย่างนี้ไง”

ต้อง “ขอโทษครับ อันนั้นมันผิดไปแล้ว ยังไม่รู้ ขอบคุณพระเจ้า”

ตอนนี้รู้แล้ว ก็เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ ก็เลยมาตอบคำถามให้กับสมาชิกที่ยังสงสัย ยังอยากจะเรียนรู้ ไม่ใช่สงสัย เพราะว่าต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ สงสัยเพราะอยากจะเรียนรู้ต่อเนื่อง อย่างนี้ดีนะ

และท่านใดที่ยังสงสัยตรงไหน? ได้ยินตรงไหน? อ่านตรงไหนไม่เข้าใจ  แล้วรู้สึกมันแย้งกัน  ทำไมไม่เหมือนกับที่เราได้เรียนรู้มา ไม่ว่าจะที่นี่ หรือที่ไหนก็ตามที่เราได้ยินมา มันไม่ตรงกัน แล้วมันแปลว่าอะไรจริงๆ หรือแม้กระทั่งอ่านดูแล้ว บางเรื่องไม่เข้าใจ อยากจะเรียนรู้เพิ่มขึ้น ก็สามารถถามเข้ามาได้ ผมและคณะศิษยาภิบาลก็จะเอามาย่อยให้ เอามาเปิดเผยให้  เอามาเรียนรู้กัน  มานั่งวิเคราะห์ เอามาคุยกัน  ถือว่าเป็นการมาคุยกันดีกว่าว่าอย่างนี้มันใช่ไหม? ตามเหตุและตามผลเลยนะ  เพราะฉะนั้น อย่าได้รู้สึกเกรงใจ  หรือพอมีอะไรแย้งแล้ว ไม่กล้าถาม  อยากให้ถาม อยากให้แย้ง และอยากให้ฟังจริงๆ เลย เพราะเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามหลักของการอยู่ร่วมกันในคริสตจักรของพระเจ้า  คือต่างฝ่ายต่างเป็นร่างกายของพระคริสต์  เสริมสร้างซึ่งกันและกัน ตรงนี้คนนี้พลาด ตรงนี้คนนี้ไม่เข้าใจ คนนี้มาเสริม คนนี้พลาด  คนนี้มาเสริม เสริมซึ่งกันและกัน ตรงไหนขัดแย้งกัน อย่าลืมนะ ท่านสามารถส่งคำถามมาได้เลย เขียนจดหมายมาก็ได้

มาถึงคำถามจากผู้เชื่อ ที่จะมาอธิบายในวันนี้ ดูสิว่าตรงกับของใครที่ตั้งใจไว้ ที่ส่งคำถามเข้ามา แล้ววันนี้มีการนำขึ้นมาวิเคราะห์กัน ก็คือในหนังสือมัทธิว 6:33 อันนี้ดังมาก อ่านปุ๊บ ทุกคนจะได้ยินมา จะได้รู้ว่าที่ได้ยินมา และได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เอาไปใช้แล้ว มันตรงกับบริบทนี้ไหม?  ที่บอกว่า …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

เอเมนไหม? เอเมน

คำถาม คือฟังนะ ตรงนี้ใครๆ ก็ได้ยิน ใครๆ ก็จำได้ คริสเตียนจะจำได้มากเลย ผู้เชื่อถามว่า …

“เขาจะต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์มากเท่าไรในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ถึงเรียกว่าแสวงหาก่อน”

ชักจะไม่ค่อยเอเมนแล้วนะ

“เขาจะต้องให้ความสำคัญกับการอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การไปโบสถ์วันอาทิตย์ การถวาย การรับใช้พระเจ้าในงานประกาศมากสักเท่าไร ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

มีคำว่าก่อน ก็แปลว่าต้องมีเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น  ต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอะไรล่ะ?  ก่อนการทำมาหากิน ก่อนการทำกิจกรรม หรือก่อนงานอดิเรกอย่างนั้นหรือ? คิดแล้วใช่ไหม? คิดตามแล้ว

คำถาม ก็คือ … “แล้วจะเปรียบเทียบกันอย่างไรล่ะ  เพราะการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เราก็ยังต้องทำมาหากิน ยังมีหน้าที่การงาน ยังต้องดูแลครอบครัว ยังมีงานอดิเรก มีกิจกรรมต่างๆ มีความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ปฏิสัมพันธ์กันต่างๆ  เช่นนี้แล้ว เรายังต้องแสวงหาอาณาจักรของสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้ามากขนาดไหน? ถึงจะตรงตามเงื่อนไขก่อนกิจกรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด”

นี่เขาคิดดีนะ  เขาถามดีนะ ซึ่งจริงๆ อยู่ในใจพวกเราทุกคนอยู่แล้ว  แต่เราไม่มีโอกาสถาม

ผู้เชื่อที่มีงานอดิเรกที่ชอบทำเป็นประจำ … งานอดิเรกของท่าน คืออะไร? คริสเตียน ทำกับข้าว ออกกำลังกาย  เดินชมสวน เดินช้อปปิ้ง ตีกอล์ฟ แล้วมีอะไรอีกเยอะแยะ เตะฟุตบอล ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเครื่องดนตรี  ผู้เชื่อที่มีงานอดิเรก ที่ชอบทำเป็นประจำบ่อยๆ จนเป็นงานอดิเรก ซึ่งทำให้ชีวิตเขา ครบถ้วนบริบูรณ์ สนุกสนาน  มีชีวิตชีวา มีความสุขในพระคริสต์ เพราะเขาเป็นคริสเตียน

ผู้เชื่อที่ปากกัด ตีนถีบ เต็มไปด้วยความเครียด  และมีความวิตกกังวลในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หาเช้ากินค่ำ มีไหม? มี เยอะไหม? เยอะ คนเหล่านี้เขาต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าเท่าไร? ต้องเอาเวลาไปหาเท่าไร?  นี่เขาหาแค่นี้ ก็แทบไม่มีเวลาทำมาหากินแล้ว เคยคิดไหม?

และผู้เชื่อที่มีสถานะเป็นพ่อแม่ ที่ต้องเฝ้าดูแลลูกตลอดเวลา เลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ดี หาเช้ากินค่ำ ลูกจะเปิดเทอมอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ต้องหาเงินเพิ่มเติมอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ต้องใช้ เขาจะต้องเจียดเวลามาแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนการไปหาเงินเหล่านั้น การทำหน้าที่เหล่านั้น มากสักเท่าไร? ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจว่าเขาทำถูกต้องแล้ว ผู้เชื่อเหล่านี้  ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่คือชีวิตจริงๆ ของเรา ใช่หรือไม่? วันทั้งวันก็มีงานมีการทำ ยุ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน

ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างนี้ ที่เราพยักหน้า ใช่ มันก็เป็นชีวิตของคริสเตียน ในทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนไม่แตกต่างกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียนเลย  และดำเนินชีวิตอย่างนี้ในฐานะคริสเตียน  ก็มีคนมาหาคุณ คนที่มีความหวังดี แต่โลกไม่ต้องการ  มาถึงบอกว่า …

“คุณรู้ไหม? คุณใช้เวลากับงานอดิเรกมากเกินไป คุณควรแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระพรถึงจะตามมา”

แล้วคุณจะมีความรู้สึกอย่างไร?  คุณต้องสละเวลา มาโบสถ์วันอาทิตย์ มาร่วมสัมนา ศึกษาพระคัมภีร์ เรียนรู้ หรือเข้าห้องรวีตอนเช้า ซึ่งสำคัญมาก  อธิษฐานโต้รุ่งเยอะๆ แสวงหาพระเจ้าก่อนสิ แล้วพระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งที่คุณขาดอยู่นั้นให้  สิ่งที่คุณกำลังหาอยู่ สิ่งที่คุณหาเช้ากินค่ำอยู่ พระองค์จะเติมให้ แล้วคุณจะคิดอย่างไร?  คุณจะมีความสุขกับความหวังดีที่เขาแนะนำคุณอย่างนั้นหรือไม่?  แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าขึ้นมาพูด …

“พระเยซูบอกให้คุณหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

สะดุ้งเลย พอบอกถ้อยคำของพระเจ้า แล้วแถมพระเยซูพูดเอง ยิ่งสะดุ้งใหญ่เลย

“คุณมีกิจกรรมอื่นๆ ทำเยอะแยะ ทางโลก เยอะเกินไปไหม? มากกว่าทางโลกฝ่ายวิญญาณไหม?  ถ้ามากกว่าทางโลกฝ่ายวิญญาณ ก็แปลว่าคุณไม่แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

อะไรประมาณนี้  ยังมีอีกเยอะแยะ นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจคริสเตียนทั้งหลายทั้งหมด ถึงข้อพระคัมภีร์นี้นั่นเอง  เพียงแต่พูดหรือไม่พูด? สนใจหรือไม่สนใจ? เก็บเอาไว้อยู่ในใจ และเก็บเอาไว้ด้วยความทุกข์ ไม่ใช่ไม่ทุกข์ แต่เป็นทุกข์ที่มองไม่เห็น มันคาใจอยู่ข้างใน ทำอะไรก็ไม่มีอิสระ

“ไหนพระเยซูบอกว่ามาหาพระองค์ แล้วเราจะเป็นอิสระ พระวิญญาณสถิตอยู่ที่ไหน? ที่นั่นมีอิสระ”

นี่อิสระที่ไหน? มันทุกข์ทรมานมาก ทำอะไรก็ฟ้องผิด  ไม่มาคริสตจักร ก็ฟ้องผิด ไม่อธิษฐาน ก็ฟ้องผิด  ไม่อ่านพระคัมภีร์ ก็ฟ้องผิดว่าแสวงหาน้อยไป เพราะฉะนั้น คงจะทำอะไร ก็ไม่เจริญมั้ง  วันนี้มีมาตอบแล้ว

วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กัน  เมื่อมีการวิเคราะห์ ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเอาข้อความนี้ข้อความเดียว แล้วมาตีความว่านี่มันหมายความว่าอย่างนี้  โดยไม่มีเหตุมีผลว่ามันมาจากไหน? มาจากผมคิดเองหรือ?  ไม่ใช่ ถ้ามาจากผมคิดเอง ผมก็ตอบเลยว่าคำตอบคืออย่างนี้ๆ แต่วันนี้วิเคราะห์ คือมาดูเหตุผลกันว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่? มัทธิว 6:33 อ่านอีกครั้งหนึ่ง …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

ก็อย่าลืมนะ ทุกครั้งที่เราศึกษาพระคัมภีร์ ต้องเข้าใจในบริบทก่อนว่าถ้อยคำตรงนี้ เขียนถึงใคร?  และกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  ถ้อยคำนี้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า “แต่” ก็แปลว่าต้องมีเรื่องราวก่อนหน้านี้  ที่ต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? แล้วค่อยมาถึงคำว่า “แต่” ถูกไหม?  บางทีมันคำเดียวเองนะ สำคัญมาก  ในพระคัมภีร์ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าไปนึกว่าเป็นวลีใหญ่ๆ คำเยอะๆ แล้วถึงจะสำคัญ

จริงๆ คำว่า “แต่”  คำว่า “ดังนั้น “ คำว่า “เพราะฉะนั้น” คำว่า “เหตุฉะนั้น” คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” สิ่งเหล่านี้ คำเดียวเอง  ประโยคเดียวเอง นิดเดียวเอง แต่มีความหมายมากมายเลย “เพราะฉะนั้น” อย่างนี้ ต้องไปดูแล้วว่าเพราะฉะนั้น คืออะไร? ก่อนหน้านี้ จะมีอะไรมา ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

ตอนนี้เราจะย้อนกลับไปดูที่มัทธิว บทที่ 4 ดูสิว่า “แต่” มันมาจากไหน?  ดูมัทธิว บทที่ 4 ก่อนหน้านั้น มีบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้เริ่มต้นภารกิจของพระองค์ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปี  ได้บันทึกไว้ในบทที่ 4 พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เราทราบดี มาจากแมรี่ หญิงพรหมจารี ตั้งแต่ขวบแรกจนถึงอายุ 30 ปี ไม่ได้ทำเรื่องประกาศเลย  ดำเนินชีวิต  เป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า 1 คนเท่านั้นเอง

เริ่มต้นอายุ 30 จึงเริ่มประกาศ จึงเริ่มการงานของพระองค์ เริ่มต้นจากการเข้าบัพติศมา โดยยอห์นบัพติศโต หลังจากบัพติศมาปุ๊บ ก็เข้าไปสู่การเตรียมพร้อม  โดยการอดอาหาร แล้วมารก็มาทดลองในถิ่นทุรกันดาร 40 วัน พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ หลังจากนั้นแหละ เริ่มต้นภารกิจ 3 ปีของพระองค์ ตรงนี้แหละ คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ดูสิว่าพระองค์มาทำอะไร? ตั้งแต่อายุ 30 ปี มัทธิว 4:17 …

มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่าจงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”

 

“ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่

กลับใจใหม่เพราะอะไร? เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว  เดี๋ยวจะเห็นชัดเจน ผมจะพาท่านไปดุ  กำลังพูดกับชาวยิว  ให้ชาวยิวกลับใจใหม่ แสดงว่ากลับใจจากการไม่เชื่อฟังในพระเจ้า  เพราะว่าสวรรค์มาใกล้แล้ว สวรรค์ คือพระเมสิยาห์ ที่ชาวยิวรู้จัก ได้ยินมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี บรรพบุรุษบอกให้ฟังแล้ว พระเจ้าสัญญาแล้วว่าพระมาซียาห์จะมา พระองค์จะมาเป็นผู้เริ่มต้นสวรรค์ที่นี่  พระองค์จะนำเอาอะไรต่างๆ ที่เผยพระวจนะในอดีตมา  แล้วชาวยิวเหล่านี้ ลืมไปแล้ว เพราะว่าผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตั้งแต่สมัยมาลาคี มาถึงตอนนี้หลายร้อยปีแล้ว ไม่มีการเผยพระวจนะอีกเลย ชาวยิวส่วนใหญ่จึงลืมเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญา พระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์มา คือพระมาซีฮาห์จะมาช่วยเหลือมนุษย์

ชาวยิวคือใคร? คือตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวงนั่นเอง เริ่มต้นจากชาวยิวนี่แหละ  ชาวยิว ก็คือชาวอิสราเอล ซึ่งพระเจ้าดูแลเป็นพิเศษ นำพามาตั้งแต่ต้น หลายพันปีแล้ว  พระองค์จึงมาบอกกับชาวยิวว่ากลับใจใหม่เสีย มาถึงแล้ว ที่สัญญาไว้ตั้งนาน รอแล้วไม่มาๆ ก็เลยลืมไปเลย ลืมแล้วไปอยู่ในหนทางของตนเอง ชื่นชมยินดีกับบัญญัติ 10 ประการ บัญญัติ 613 ข้อ ที่โมเสสเขียนขึ้นมา ที่พระเจ้าให้ทำตาม ชื่นชมยินดีว่ารักษาบัญญัติ  ทำตามบัญญัตินั้น ก็พอแล้ว

ลืมไปว่าธรรมบัญญัตินั้น พระเจ้าบอกให้บัญญัติชั่วคราวเท่านั้นเอง  แล้ววันหนึ่งเราจะส่งพระบุตรมา  ส่งพระมาซีฮาห์มา ลืมข้างหลังไป  พอใจแต่รักษาบัญญัติ มั่นใจในการรักษาบัญญัติ ก็คือมั่นใจในการกระทำตามบทบัญญัติ  เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ตามบัญญัติเดิมนั่นเอง  ซึ่งพระเจ้าบอกไม่ใช่ นั่นเป็นเงา  จริงๆ แล้ว จะเล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ คือพระมาซีฮาห์ที่จะมาเกิด และตอนนี้พระองค์มาเกิด ยืนอยู่ที่นี่แล้ว พระองค์มาประกาศว่าจงกลับใจใหม่ เพราะผู้ที่ท่านรอคอย พระมาซีฮาห์ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว  มาประกาศเอง คือสวรรค์มาแล้ว กำลังพูดอยู่นี่ นั่นหมายถึงอย่างนั้น

เราลองมาดูข้อ 23 บทเดียวกัน  อันนี้ชัดเจนเลยว่าชาวยิวแน่นอน …

มัทธิว 4:23 “พระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงในหมู่ประชาชน”

 

ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา  “ธรรมศาลา” มีที่เดียว ก็คือในพวกชาวยิว ธรรมศาลา คือที่ๆ ชาวยิวมารวมกันเรียนพระคัมภีร์เดิมสมัยก่อน  “พวกเขา” ก็คือพวกชาวยิว ทำอะไร? ประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า  (ที่พวกเขาลืมไปหมดแล้ว)

ข่าวดีที่เผยพระวจนะมาในอดีต เป็นพันๆ ปีว่าสวรรค์จะมาแน่นอน พระมาซีฮาห์จะมาแน่นอน  อาณาจักรของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่แน่นอน  ตามที่เขารอคอยกันมาตั้งนาน  ตอนนี้มาแล้วนั่นเอง

นี่คือภารกิจของพระเยซู ที่มาประกาศ ผมใช้คำนี้ว่าประกาศ  ผมจึงไม่อยากใช้คำว่าสอน  เพราะว่าสอน ทำให้คนเข้าใจผิด  โดยเฉพาะคนไทย พอบอกว่าสอน  ก็นึกถึงการกระทำ เพื่อเราจะทำอะไรบางอย่าง  แต่นี่ไม่ใช่ นี่เป็นการมาประกาศบอกว่าสิ่งที่สัญญาไว้ มาแล้ว มาจริงๆ แล้ว แล้วเรา คือผู้นั้น  แล้วก็เริ่มต้น มุ่งตรงไปประเด็นนี้ตลอดเลย  โดยการทำหมายสำคัญ อัศจรรย์ เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงของประชาชนให้หาย เริ่มทำอัศจรรย์ต่างๆ เพราะว่าไม่มีใครทำได้เลย ชุบคนตาย ก็ไม่มี มีพระองค์ทำได้ผู้เดียว  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นผู้นั้นจริงๆ อันนี้เติมให้ฟัง

แล้วพูดถึงข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเจ้า คืออะไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือพระองค์มาแล้ว แล้วใครที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์ วางใจในพระองค์ที่พระเจ้าส่งมานั้น  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่และเข้าสวรรค์ได้ พระองค์บอกว่าถ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้หรอก  นี่คือการประกาศ บอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่ ท่านจะมาใช้การพึ่งพาตนเอง  ทำให้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเองเป็นไปไม่ได้แล้ว ต้องมาบังเกิดใหม่เท่านั้น  และต้องผ่านทางพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แล้วท่านถึงจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับความรอด  ได้รับชีวิตนิรันดร์  พระองค์กำลังมาประกาศเรื่องนี้  ทั้งหมดเลย นี่พูดเติมให้มากกว่าข้อพระคัมภีร์ในวันนี้  ที่สงสัย

อุปมาต่างๆ ก็จะพูดถึงเรื่องนี้ว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เป็นอย่างไร?  ต้อนรับพระองค์ คืออะไร?  คือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน เป็นกิ่งที่เข้าไปต่อกับพระองค์ เป็นหินที่เข้าไปต่อกับพระองค์ พระองค์เป็นศิลามุมเอก เราเป็นศิลาเล็กๆ ที่เข้าไปต่อ  ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรา เขาจะเกิดผล  มีชีวิตนิรันดร์ อะไรประมาณนั้น  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ กำลังประกาศข่าวดีเรื่องสวรรค์ จะได้ไม่ลืมเรื่องวิเคราะห์เมื่อตะกี้นี้อยู่

ตรงนี้ คือที่บอกว่าเป็นกระดุมเม็ดแรกนั่นเอง ทุกครั้งที่อ่าน หรือศึกษาพระคัมภีร์ ต้องยึดความจริงตรงนี้เป็นหลักก่อนเลย ทุกครั้งที่อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่านเรื่องราวการประกาศของพระเยซูคริสต์ ในตลอด 3 ปี ในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ทุกครั้งที่อ่าน จะศึกษานั้น ต้องยึดความจริงตรงนี้ให้เป็นหลักเลยว่าพระองค์กำลังมาทำอะไร?  เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ต้องกลัดให้ถูกต้องก่อน ก็คือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น การบังเกิดใหม่ การต้อนรับพระเยซูคริสต์ การเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือโลกวิญญาณ การกินเนื้อพระองค์ กินเลือดพระองค์ ก็คือโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่มก็เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ท่านต้องรู้

ตลอดระยะเวลา 3 ปี พระเยซูคริสต์ตระเวนประกาศ พระองค์ประกาศแต่เรื่องอาณาจักรของสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติ

มาสอนเรื่องที่ว่าวิธีจะเข้าสวรรค์เขาเข้ากันอย่างไร?  ก็คือวางใจในพระมาซีฮาห์ แล้วก็ได้รับความรอด จบ ถ้าบอกว่าจะสอน พระองค์สอนอยู่แค่นี้  สอนว่าวางใจในพระองค์ วางใจในพระมาซีฮาห์ และท่านจะรอด  ท่านจะได้บังเกิดใหม่ จบ  นี่คือกระดุมเม็ดแรก

กระดุมเม็ดแรกมีอะไรอีก มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  และต้องผ่านทางพระองค์เท่านั้น  และมีทางเดียวเท่านั้น  ที่จะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ก็คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่พระเจ้าส่งมาให้นั่นเอง  นี่คือพื้นฐาน กระดุมเม็ดแรกของการอ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และไม่มีการกระทำใดๆ บนโลกนี้ ที่สามารถนำไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เลย  ไม่ว่าการกระทำนั้น จะดีขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้เป็นผู้ชอบธรรมครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม  ที่จะเข้าสวรรค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว

นี่คือกระดุมเม็ดแรกพื้นฐาน  ที่ท่านต้องเรียนรู้ก่อน ที่จะอ่านพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เอาตรงนี้เป็นพื้นฐาน ท่านจะได้ไม่หลง

เราย้อนกลับไปดูว่าบริบทก่อนที่จะมาถึงข้อ 33 ที่วันนี้เราวิเคราะห์กัน ที่บอกว่าจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ก่อนหน้านั้น กล่าวถึงอะไร? อยากให้อ่านมัทธิว 6:19-20 ก่อน

มัทธิว 6:19-20 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้”

 

เห็นไหมครับ สะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ก็คือการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอด      ได้รับชีวิตนิรันดร์   ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์   ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์ ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศเอาไว้นั่นเอง

การแสวงหาทรัพย์สิ่งของบนโลก ก็คือดำเนินชีวิตเหมือนปุถุชนคนธรรมดานั่นแหละ ทำมาหากิน เอาแต่สะสมทรัพย์ ซึ่งมันเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น อย่างนี้เป็นต้น

มัทธิว 6:25-31 จำเมื่อสักครู่นี้ด้วย อ่านข้อ 20 อีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวเราจะย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ …

มัทธิว 6:19-20 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้

 

สะสมทรัพย์ตรงนี้ ไม่ใช่หมายถึงสะสมทรัพย์ทีละบาทๆ ไม่ใช่นะ  คือการเก็บรักษา คือให้พุ่งตรงไปที่การมีทรัพย์สมบัติ  เก็บเอาไว้อยู่ในสวรรค์ ตอนดำเนินชีวิตบนโลกนี้อยู่  มีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์แล้ว  มันแปลว่าอย่างนั้นนะ  ไม่ใช่มานั่งเก็บทีละนิดๆ ตรงนี้ความหมายเดิม แปลว่าการมี การเก็บไว้  จำตรงนี้ไว้นะ เดี๋ยวกลับมาอีกที มัทธิว บทที่ 6 ต่อมาข้อ 25-31 เข้าใกล้ข้อความที่วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันในมัทธิว 6:33 ตอนนี้มาถึงมัทธิว 6:25-31 …

มัทธิว 6:25-31 “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม ไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า เท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’”

 

พระเยซูกำลังบอกว่าการทำมาหากิน การสะสมทรัพย์ การหาทรัพย์ หากินบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ไม่สำคัญนะ สำคัญ  แต่มันน้อยกว่าสิ่งที่พระองค์กำลังจะพูดถึงนี้ มันน้อยกว่ามาก  แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้าซะ  ขนาดพระเจ้ายังดูแลนกในอากาศ ต้นไม้ ดอกหญ้าขนาดนั้น  ดูแลชีวิตท่านมากกว่านั้นอีก  ท่านไม่ต้องเครียดมากนักสำหรับเรื่องนี้  แต่มาเครียดเรื่องนี้ดีกว่า เรื่องอะไร? “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

ในบริบทตรงนี้ พระเยซูกำลังแยกให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างทรัพย์สินบนโลกใบนี้  ซึ่งเป็นทรัพย์สินชั่วคราว  จะกิน จะอยู่ จะมีชื่อเสียงโด่งดัง  จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญเท่าไร? ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาหาตรงนี้กันทั้งนั้น 100%

มนุษย์แสวงหาสิ่งเหล่านี้ ด้วยความเครียด กังวล วิตก พระองค์กำลังเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เรากำลังวิตก กำลังหาเหล่านี้ มันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง มันจำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใช่  แต่มันแค่ชั่วคราวเอง  พระเจ้าดูแลได้ เทียบกับทรัพย์สินตามพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ในพระคัมภีร์ในชีวิตนิรันดร์นั้น มันเทียบกันไม่ติดเลย  ก็คืออาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ ตรงนี้มันสำคัญกว่ามาก

ในข้อ 25 ที่บอกว่าอย่าวิตกกังวลกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม หรือพะวงกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ก็คืออย่าวิตกกับการพยายามสะสมทรัพย์ชั่วคราวนั้น การทำมาหากินนั้น อย่าวิตกกังวลบนโลกใบนี้ เพราะมันไม่สามารถช่วยอะไรเราได้ หลังจากที่เราตายจากโลกนี้ไปแล้ว สมบัติอะไรต่างๆ ที่เราหาได้บนโลกใบนี้ ที่เรากังวลและพยายามทำมาหากินเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่มันช่วยท่านไปอยู่สวรรค์ไม่ได้ มันไม่สามารถที่จะติดตัวท่านตอนตายไปได้นั่นเอง

ทรัพย์สินบนโลกเป็นของชั่วคราว ที่มีตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทอง มีทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง คำสรรเสริญ รวมทั้งการสะสมบารมี ความดี โดยหวังว่าจะช่วยให้เราไปสวรรค์หลังความตายได้ มันช่วยไม่ได้ พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังจะบอกอย่างนี้  สิ่งที่มนุษย์แสวงหา มันช่วยไม่ได้

ในข้อนี้บอกว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ? ชีวิต คือตัวตนจริงๆ ของเรา ข้างใน ที่มันจะอยู่ตลอดไป ซึ่งมันกำลังตายอยู่ตอนนี้  มันตาย มันพินาศอยู่นี้ ตัวนี้สำคัญกว่า ชีวิตสำคัญกว่าอาหาร ชีวิตสำคัญกว่าที่ตามองเห็น สำคัญกว่าสิ่งที่โลกมองเห็นนั้นเยอะแยะ ชีวิตตรงนี้ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์หลังความตายทางร่างกายนั่นเอง  ที่เราจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตรงนี้แหละ คือคำว่าชีวิต เป็นทรัพย์สมบัติอันถาวรนิรันดร์ มีค่ามากมาย มากสูงสุด และสำคัญกว่าอาหาร ชื่อเสียงอะไรบนโลกใบนี้ต่างๆ ที่ท่านสะสมอยู่ ที่ท่านหาเช้ากินค่ำ ที่ท่านพยายามหากันอยู่นั่นแหละ นี่พระองค์กำลังแยกแยะให้เห็น 2 ฝั่ง

ข้อ 31 จึงสรุปว่า “ฉะนั้น อย่ากังวลว่าเราจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม  หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม” ความหมาย คืออย่าวิตกกังวลกับการแสวงหา การทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม  เป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตาว่ามีลาภ ยศ สรรเสริญ ประสบผลสำเร็จ แล้วก็อยู่สุขสบายบนโลกใบนี้ โดยไม่สนใจชีวิตหลังความตายในโลกวิญญาณเลย ไม่ใช่ไม่ดี การแสวงหาอย่างนั้น แต่ให้มาตรงนี้ก่อน เพราะตรงนี้สำคัญ มันเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายในชีวิตของท่าน ที่ท่านหาบนโลกใบนี้ มันก็โอเคดีอยู่หรอก แต่มันไม่ได้ช่วยท่าน  มันแค่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น นี่กำลังพูดอย่างนี้

ผมก็พยายามอธิบายละเอียดมากๆ ให้ท่านพยายามที่จะตามมาติดๆ เพื่อให้เราดูว่าสิ่งที่เราวิเคราะห์กันนี้ มันมีเหตุผลมากเพียงพอไหม? ที่จะตีความว่าอย่างนี้  มัทธิว 6:32 …

มัทธิว 6:32 “เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า (คนต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิว) ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้”

 

ในที่สุด ก็มาสรุปในข้อนี้ว่าทั้งหลายทั้งปวง ที่พูดมาตั้งแต่ต้น เรื่องการสะสมทรัพย์สินบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินชั่วคราวนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาทำกัน ชาวยิวจะไม่ทำอย่างนี้ (ชาวยิวในอดีต) ชาวอิสราเอลในอดีต เขาจะไม่ทำอย่างนี้  แต่มาหลงทางตอนนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิด แล้วกำลังพูดอยู่นี้ ชาวยิวเริ่มหลงทาง แล้วออกไปจากความเชื่อเดิม ไม่วางใจในพระเจ้าเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว แล้วก็วางใจในการประพฤติดีของตนเอง การดูแลตัวเองด้วยตัวเอง ทำความชอบธรรมด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติ แล้วก็นึกว่า …

“ฉันดีแล้ว พระเจ้าพอใจแล้ว ฉันทำได้ดี ฉันทำได้เยอะกว่าท่าน ท่านทำน้อย เพราะฉะนั้น ฉันสมควรที่จะเป็นผู้ชอบธรรม”

ซึ่งพระเยซูบอกว่าไม่ใช่เลย นั่นคือสิ่งที่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เขาก็แสวงหาทรัพย์สิ่งของบนโลกใบนี้ แบบนี้ทั้งนั้น เห็นชัดเลยว่าพูดกับคนยิว คนที่ไม่มีพระเจ้าตรงนี้ หมายถึงคนต่างชาติ คนยิวเขามีพระเจ้าตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่มีพระเยซู พระเจ้าสัญญาว่าพระเยซู คือพระมาซีฮาห์ จะเสด็จมาภายหลัง และขณะที่เสด็จมา ยืนอยู่ พูดนั้น พวกเขาลืมพระองค์ไปแล้ว เขาจึงมีแต่พระเจ้าที่เขาเชื่อ แต่เขาไม่เชื่อพระเยซู นี่มันเป็นอย่างนั้น พระเยซูจึงต้องมาประกาศให้เขาก่อนเลย  เพราะเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับคนอิสราเอล ก็คือคนยิวนั่นเอง

เพราะฉะนั้น แทนที่จะขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ ก็คือทรัพย์สินบนโลกใบนี้ ความชอบธรรมบนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่มีค่า คือไม่ถาวรนิรันดร์ แต่จงหันกลับมากลับใจใหม่ พูดกับชาวยิว ที่เริ่มลืมไปแล้ว ลืมพระมาซีฮาห์ ลืมพันธสัญญาไป  พระองค์กำลังจะบอกว่าเพราะฉะนั้น อย่าไปแสวงหาทรัพย์สิน สิ่งของ หรือความชอบธรรมด้วยตนเอง ซึ่งไม่มีค่าถาวรนั้น แต่จงกลับใจใหม่ แสวงหาสิ่งที่สำคัญกว่า  และมีค่ามากกว่าที่ท่านแสวงหาความชอบธรรมด้วยตัวเอง  ด้วยการรักษาบทบัญญัติ  หาชื่อเสียง หาความเด่นดังในหมู่ชาวยิวด้วยกัน ท่านมาหาตรงนี้ดีกว่า มันถึงเวลาแล้ว ท่านจงกลับใจใหม่ซะ มาเก็บทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ไว้ในที่ๆ ถาวร ไม่มีมด  ปลวก อะไรมาทำลายได้ ดีกว่าไหม? คำตอบก็จะมาอยู่ที่มัทธิว 6:33 …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

หาคำตอบเจอหรือยัง เจอแล้ว ตะกี้นี้ เราบอกแล้วว่าเราจะมาวิเคราะห์ว่าตรงนี้มันแปลว่าอะไร? แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ชัดเจนเลย โดยตรง ตอนนี้กำลังพูดกับชาวยิว แต่ชาวยิวสามารถเล็งไปถึงบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้  เพราะชาวยิว คือตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง เห็นชัดไหม?

ท่านจงกลับใจใหม่ มาแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า เพราะอาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว อาณาจักรสวรรค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าสัญญาไว้ มาแล้วตอนนี้ จงกลับใจใหม่มาตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เถิดชาวยิวเอ๋ย

สรุปว่าบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ ลืมไปแล้ว อันดับแรกเลย และสามารถเอาไปใช้ เล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่ไม่ใช่ยิว ก็ได้ ที่ไม่เชื่อพระองค์ ซึ่งจริงๆ แล้วพระองค์จะประกาศหลังจากนั้น ประกาศกับชาวยิวให้เรียบร้อยก่อน  แล้วค่อยมาประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง  เรียกว่าข่าวดี เผยแพร่ออกไปถึงบรรดาชนต่างชาติ  โดยผู้นำ ก็คืออาจารย์เปาโล

เพราะฉะนั้น บริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่ยังไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์

สรุปว่าพระองค์พูดเรื่องเกี่ยวกับการประกาศแผ่นดินสวรรค์กับผู้ที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง พูดกับชาวยิวว่าพระองค์ คือสวรรค์ที่มาตั้งอยู่แล้ว  พระเยซู ก็คือพระมาซีฮาห์ พระมาซีฮาห์ ก็คือสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ลงมาตั้งอยู่แล้ว ให้มนุษย์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว อยู่สวรรค์เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

“จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” ก่อนที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ และก่อนตายด้วย หาทางเข้าสวรรค์ หาความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่ความชอบธรรมของตัวท่านเอง  “ท่าน” คือชาวยิวที่เคร่งครัดในการรรักษาบทบัญญัติของโมเสส มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วนึกว่าการรักษาบทบัญญัตินั้น ทำให้เขาได้รับความรอด พระเจ้าอภัยให้ ซึ่งไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว  เขาได้รับความรอด เพราะว่าโลหิตของสัตว์ ซึ่งเขาถวายเป็นประจำทุกๆ ปีต่างหาก ไม่ใช่บทบัญญัติที่เขารักษาไว้เลย แต่เป็นเพราะว่าพระเมตตาของพระเจ้ามากกว่า พระเยซูกำลังบอกว่าความชอบธรรมที่เขาสร้างด้วยตนเองนั้น มันไปไม่รอด ตอนนี้พระมาซีฮาห์มาแล้ว บทบัญญัติใหม่มาถึงแล้ว ก็คือเชื่อในพระมาซีฮาห์  พระโลหิตของพระมาซีฮาห์เท่านั้น ที่ทำให้เขารอด ปลอดภัย ครั้งเดียวเป็นพอ ตลอดรอดฝั่ง ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ เป็นความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าให้ฟรีๆ เลย ผ่านทางพระเยซูคริสต์มาเชื่อในพระองค์เท่านั้น  นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพยายามอธิบาย และประกาศให้กับชาวยิวได้รู้

อาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้า คือสวรรค์ในโลกวิญญาณมาตั้งอยู่ พอเชื่อในพระมาซีฮาห์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนเปิดประตูเข้าสู่สวรรค์เลย  พอเข้าสู่สวรรค์ปุ๊บ มันจะเข้าไปได้อย่างไร? ก็ต้องเป็นคนที่ไม่บาป คนไม่บาป เรียกว่าเป็นคนชอบธรรม  พระเจ้าชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และได้นำพาผู้เชื่อคนนั้น ผ่าตัดทางวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมเลย นี่แหละ คือที่เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้า

แสวงหา เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย ตอนที่เป็นอยู่บนโลกใบนี้  และเป็นผู้ชอบธรรมเลย ตรงนี้ก่อนอย่างอื่น แล้วสิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้  มาถึงทรัพย์สมบัติแล้วนะ  สิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้ สิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้  และแสวงหาบนโลกใบนี้ คือทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขภาพแข็งแรง ความปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง  มีสันติสุข ไม่ทะเลาะกัน  เต็มล้นด้วยความรัก เต็มล้นด้วยความสุขกาย สุขใจ สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ จะถูกมอบให้กับท่านทันที เมื่อท่านพบกับอาณาจักรสวรรค์ คือเข้าอาณาจักรสวรรค์ และพบกับความชอบธรรมของพระองค์ คือได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ก็คือได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์

สวรรค์จะมีความสุขอย่างนี้  ตรงนี้ คือสิ่งที่เพิ่มพูนให้กับท่าน ท่านจะได้ในโลกวิญญาณ ทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณจะเป็นของท่านทันที ท่านสะสมไว้ ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอท่านรับเชื่อปุ๊บ ในสวรรค์เกิดเครดิตให้กับท่าน ท่านได้รับทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ พระเยซูยอมยากจน เพื่อให้ท่านมั่งมี เดินบนโลกใบนี้ มั่งมีทันทีเลย  มั่งมีในโลกวิญญาณ คือ

“ฉันได้นั่งอยู่กับพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว และดีพร้อม เป็นเหมือนพระเจ้าพระบิดาเลย  เพราะเป็นลูกของพระองค์ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า ครอบครองมรดกทุกอย่าง ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที นี่คือการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์นั่นเอง เมื่อท่านพบกับอาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน จะพบได้อย่างไร? ผ่านทางพระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์

เห็นไหม พระเยซูกำลังเปรียบเทียบทรัพย์ในโลก เป็นภาพลวงตา อยู่ชั่วคราวกับทรัพย์ในสวรรค์ ซึ่งเป็นถาวรนิรันดร์ เห็นหรือยัง? ทรัพย์ในโลกที่จับต้องมองเห็นได้ เห็นจริงๆ  แต่เป็นภาพลวงตา เพราะมันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จบไปแล้ว  ตายไป ก็เอาไปไม่ได้  กับทรัพย์ในสวรรค์ ที่ตะกี้นี้พูด มันเป็นถาวรนิรันดร์ อยู่ไปตลอดกาลเลย ที่สวรรคสถาน  คือการได้เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นลูกของพรเจ้าเรียบร้อยแล้ว แล้วยังได้ทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญที่ดีกว่า คือเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีค่ามากมายมหาศาล มีค่านิรันดร์ มากกว่าทรัพย์สมบัติที่มองข้ามไป สละข้ามไป ไม่ให้ความสำคัญมากนัก ตอนอยู่บนโลกนั่นเอง เห็นหรือยัง? คือสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ไม่สะสมทรัพย์ไว้บนโลก

จำพระเยซูพูดได้ไหม? พระเยซูพูดว่าผู้ที่มองข้าม หรือสละ ตรงนี้ภาษาเดิมเรียกว่ามองข้าม ผู้ที่มองข้ามทรัพย์สมบัติ หรือเรียกว่าสละทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ บนโลกใบนี้ ไม่เห็นแก่โลกใบนี้ แต่เห็นแก่พระองค์ พระเยซู จะได้รับกลับคืน 100 เท่า หมายถึงได้รับกลับคืนมากมายมหาศาล บริบูรณ์ หมายถึงตรงนี้ เพราะฉะนั้น ขายทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ให้หมดเลย ทิ้งให้หมดเลย แล้วมาซื้อไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ก็จะได้สิ่งที่ตัวเองขายไปทั้งหมด

“ขาย” ตัวนี้ ไม่ได้ขายสิ่งของ หมายถึงละไปก่อน สละไปก่อน เห็นความสำคัญน้อยกว่าพระเยซู เลือกพระเยซูไว้ สำคัญกว่า ได้พระเยซูได้มากกว่าสิ่งที่เราละไปตั้งเยอะแยะมากมาย เพราะว่าสิ่งที่ละทิ้งไปทั้งหมดนั้น กลับคืนให้กับเราเป็นของแถม เพราะสิ่งที่เราได้รับ เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ส่วนสง่าราศี ที่จะได้รับทรัพย์สมบัติ ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นั้น เป็นเหมือนของแถมเลย

เพราะว่าของแถมนี้ กลับกลายเป็นมีทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ที่เป็นของจริงตลอดชั่วนิรันดร์กาลเลย  ทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ จะรวยขนาดไหน? จะมั่งมีขนาดไหน?  เทียบไม่ได้ จะมีชื่อเสียงขนาดไหน? ลาภ ยศ สรรเสริญมากขนาดไหน? เทียบกับทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญตรงนี้ไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น เชื่อวางใจในพระเยซู กลายเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ ร่วมรับเกียรติกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ จึงเป็นรางวัลที่เราลงทุนไปในโลกใบนี้ ลงทุน คือเราเห็นแก่พระเยซู มากกว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ การแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ก็ทำไปตามหน้าที่ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญก่อน มันหมายถึงอย่างนั้น

ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเป้าหมายของการประกาศทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ และเป็นเป้าหมายของความหมายของข้อพระคัมภีร์ที่เรามาวิเคราะห์ในวันนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น  คำตอบของคำถามข้างบน ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงจะประทานให้กับท่านใช่ไหม? ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ถ้อยคำตรงนี้ไม่สามารถใช้กับผู้เชื่อในพระเจ้าแล้วได้ โดยเฉพาะคนยิวในตอนนั้นที่พูด ไม่มีใครเชื่อสักคน เพราะยังไม่ถึงเวลา พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่เป็นขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีผู้เชื่อสักคนหนึ่ง พูดกับชาวยิวที่ไม่เชื่ออย่างแน่นอน 100% อยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถมาใช้กับคนที่เชื่อแล้วได้เลย ไม่สามารถเอามาพูดกับคนที่เป็นคริสเตียนได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะพูดไป มันจะเสียหาย มันไม่ถูกต้องตามบริบท เพราะคนที่เป็นคริสเตียน เขาได้เชื่อในพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้หาจนพบอาณาจักรสวรรค์แล้ว  ได้พบความชอบธรรมของพระองค์แล้ว

พบหรือยังคริสเตียน? พบแล้ว แล้วจะไปหาอะไรอีกล่ะ เจอแล้วก็เจอเลย ไม่ว่าคริสเตียนที่เป็นยิว หรือคริสเตียนต่างชาติ เขาไม่ต้องมาแสวงหาอีกแล้ว  เพราะว่าเขาได้พบแล้ว  เจอแล้ว ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พบความชอบธรรมของพระองค์แล้ว แล้วยังได้รับเกียรติสิริพร้อมทรัพย์สมบัติในสวรรค สถานทั้งสิ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้วในขณะนี้ ทันทีเมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จริงหรือไม่

เพราะฉะนั้น จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  จึงควรเป็นของผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ชาวยิว เป็นคนต่างชาติก็ตาม ข้อพระคัมภีร์นี้  คำพูดของพระเยซูคริสต์นี้ ยังคงใช้ได้สำหรับเขาเหล่านั้นทั้งหมด คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงเหล่านั้น ทรัพย์สมบัติและสวรรค์จะประทานให้กับท่าน ในทันที พร้อมๆ กันเลย

ถ้าเอามาใช้กับผู้ที่ไม่เชื่อ มันตรงเป๊ะเลย คือพระเยซูกำลังจะบอกว่าจงแสวงหาสวรรค์ของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน ที่ช่วยให้ท่านรอด และมีชีวิตอยู่นิรันดร์ได้ เพราะในขณะนี้ ท่านอยู่ในความพินาศ  วิญญาณของท่าน เป็นเหมือนวิญญาณที่เป็นมะเร็ง  รอคอยความตายอย่างเดียว วันใดที่วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านอยู่ในความตาย  ท่านเป็นมะเร็งอยู่ ท่านจะไปแสวงหาทรัพย์สมบัติเพื่ออะไร?  ในเมื่อท่านต้องตายอยู่แล้ว สิ่งที่ท่านควรจะทำ คือท่านควรจะไปหาหมอรักษามะเร็งก่อน  แล้วค่อยไปทำมาหากินทีหลัง  ถูกหรือไม่ คิดให้ดีๆ พูดกับมนุษย์คนไหนก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น คนนี้ป่วย หมอบอกจะตายภายใน 2 เดือนนี้ แล้วยังไปทำมาหากิน เพื่อจะสะสมทรัพย์อะไรต่างๆ คงไม่มีใครทำอย่างนั้น พระเยซูกำลังพูดอย่างนี้แหละ เพียงแต่คนนั้นจะรู้ไหมว่าเขาป่วยถึงขนาดตาย สิ่งที่ต้องทำก่อน คือต้องรักษาตรงนี้ให้หาย แล้วค่อยไปหากิน ชีวิตต้องรักษาไว้ก่อน เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณนี้หนักกว่านั้นอีก พระคัมภีร์บอกว่าในวิญญาณนั้น มนุษย์อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย  และเมื่อร่างกายสิ้นสุดลง วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ในความตายนั้น  เพราะฉะนั้น ก่อนที่ร่างกายจะสิ้นสุดลง รีบหาทางแสวงหาสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไปก่อน แล้วทรัพย์สมบัติในสวรรค์ คือสง่าราศี การร่วมครองราชย์กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์นั้น ก็จะเป็นของท่านด้วย

อยากจะฝากพี่น้องที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้ฟัง อันนี้เป็นของท่านแน่นอน จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้นั้น จะถูกประทานให้กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นสง่าราศี  ลาภ ยศ สรรเสริญ ความแข็งแรง  ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ มันจะเป็นของท่านทั้งหมดเลย เป็นแพ็คเกจเดียว ได้ทีเดียว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์  คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นของท่านทุกคน ไม่ว่าท่านจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ชาวยิวก็ตาม  ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับตรงนี้  เป็นข่าวสารที่มาถึงท่าน ในนามพระเยซู เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เมื่อพูดถึงความรักของแม่ ท่านนึกถึงใคร? … นึกถึงพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักของพระองค์ให้กับแม่  แล้วมีเพศเดียว   สถานะเดียวในโลกนี้   ที่มีความรักที่ลึกซึ้ง   ที่เหมือนพระเจ้ามีต่อมนุษย์ เพราะเป็นเพศเดียวที่ให้กำเนิดลูก  นึกออกใช่ไหม?  คือพ่อให้กำเนิดจริง แต่พ่อไม่เห็นชัดๆ ต่างจากแม่ต้องตั้งท้องตั้ง 8-9 เดือน เขาเรียกว่าจากเนื้อของเนื้อ   จากเลือดของเลือด   จากกระดูกของกระดูก   คือแม่จะใกล้ชิดมาก  เพราะฉะนั้น จะเห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ชัดมาก ในความรักที่อยู่ในเพศแม่

 

เพลง “ใครหนอ”  … จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ  เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ

นี่คือความรักที่แม่มีให้กับลูก  จนผู้คนเห็น  ซึ่งตรงนี้  ผมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ตาม  คนเป็นลูกก็ตาม  เป็นแม่เองก็ตาม  จะรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านี้ มันใช่จริงๆ

ครูน้อย  สุรพล โทณะวณิก  ท่านแต่งเพลง (สนิทกันมาก)  ท่านบอกว่าแต่งเพลงนี้  จากการเห็นทุกอย่าง   เห็นชีวิต  เอาชีวิตประจำวัน  เอาความรักที่แม่ห่วงใยลูกมากขนาดไหน?  เขาเรียกว่าลูกในไส้  พ่อไม่สามารถบอกลูกในไส้ได้  แต่แม่พูดลูกในไส้  ลูกในท้อง  ท่านบอกว่าเอาคำต่างๆ เอามาจากอิริยาบท  หรือว่าชีวิตประจำวันของแม่  ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย  โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อน  ตอนแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 2507

ท่านได้บอกว่านึกถึงภาพอย่างนี้  จริงๆ ทั้งเพลง  ผมเอาเฉพาะท่อนนี้มาให้ท่านเห็นว่า … “จะเอาโลกมาทำปากกา” … นึกถึงว่าแม่รักลูกขนาดไหน?  … “ประกาศพระคุณไม่พอ” … แม่มีการกางมุ้งนอน  ให้ดูหนัง 4 จอ  ที่เราคุยกัน  ตอนนั้นคือความเป็นจริง  แม่เป็นผู้กางมุ้ง  แล้วพาลูกไปนอน  สมัยก่อนไม่มีมุ้งลวดเหมือนปัจจุบัน  นอนต้องกางมุ้งกันยุง  แล้วก็ให้ลูกนอน  ดูแลยุงไม่ไต่  ไรไม่ให้ตอมอะไรประมาณนั้น

 

ทำไมผมเอาเพลงนี้มาให้ท่านได้เห็น  เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความรักของพระเจ้าถึงบรรดามนุษย์ทั้งปวง  โดยที่ผ่านทางความรักของแม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน  ที่ครูน้อย  สุรพลเห็น  แล้วเอามาแต่งเป็นเพลง  เขาเรียกว่าเป็นธรรมชาติของความรักที่พระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่เป็นแม่ทุกคน เป็นอย่างนี้หมดเลย

 

และในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร?  ผมเลยไปค้นพระคัมภีร์ที่เทียบความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านทางเพศแม่

อพยพ 19:4 บันทึกไว้อย่างนี้ … “พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว  และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน  และนำเจ้ามาถึงเรา”

นี่พระเจ้ากำลังบอกถึงว่าพระองค์ทรงนำพาประชากรของพระองค์อย่างไร? เหมือนลูกนกอินทรีบินบนปีกแม่ของมัน  คือแม่กางปีกออก  แล้วลูกแปะไว้ข้างหลัง  บนปีก  แล้วไปเลย  ท่านกลัวอะไร?  พระเจ้ากำลังถามท่านว่าท่านกลัวอะไร? ตอนนี้ ท่านอยู่บนปีกของพระเจ้า ท่านกลัวอะไร?

มีอีกอันหนึ่ง   อันนี้สะใจมากเลย   อ่านแทบร้องไห้เลยนะ  โฮเซยา 13:8 ดูสิ พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้เลยนะ พระเจ้าตรัสว่า … “เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป   เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก   เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา   สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ”

นี่หมายถึงศัตรูของลูกของพระเจ้า  พระเจ้าจะปกป้องลูกของพระองค์  จากศัตรูที่มาทำร้ายลูก  เป็นเหมือนแม่หมีที่รักลูกมาก แล้วลูกถูกขโมยไป  คุณเคยดูสารคดี หมีกริซลี  เขาบอกหมีกริซลีดุมาก  เวลาไปถ่ายรูป ต้องระวังมากๆ แต่ถ้าบอกว่าถ้ามันตกลูก ขณะที่มันเลี้ยงลูกอยู่นะ ต้องไปไกลๆ เลย มันจะโกรธ มันจะเกรี้ยวกราดมากๆ มันจะหวงและห่วงลูกของมันมาก มันจะทำร้าย แบบไม่เลือกหน้า

เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะโจมตี และฉีกพวกเขาออก ฉีกศัตรูของลูกออกไป เรากลัวอะไร ตอนนี้เราประสบปัญหาอะไรบ้าง เรากลัวอะไรไหม? ความจนจะมาฉีกเราเหรอ สุขภาพร่างกายจะทำร้ายเราใช่ไหม? นรกจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า? มารซาตานจะทำร้ายเราหรือ?

พระเจ้าบอก …

“เราจะปกปักษ์พวกเจ้า เหมือนแม่หมีที่ปกปักษ์ลูก เราจะฉีกศัตรูของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”

พระเยซูมาช่วยลูกๆ ทุกคน คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดจากบาป ไม่ต้องลงนรกใช่ไหม? แล้วเขาไม่เข้าใจ บรรพบุรุษของเราสมัยนั้น คือสมัยอิสราเอล 2,000 ปีก่อนนั้น เขาไม่เข้าใจ พระเยซูจึงระบายอารมณ์ออกมาว่า …

“โอ … เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างบรรดาผู้ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามา เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย เราต้องการเข้ามาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งลูกหลานของเจ้าเยอะแยะมากมาย ให้ได้รับความรอด แต่เจ้าไม่ยอมเลย”

และพระองค์พูดถึงเราทั้งหลาย  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ใช้อะไรแทนลูกๆ ที่เราจะรวบรวมมาเหมือนแม่ไก่ที่จะมาปกไว้ด้วยปีกของมัน ให้เราเข้ามาซุกอยู่กับพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เหมือนไหม? เหมือนเด๊ะ แล้วธรรมชาติ ความรักชนิดนี้ พออ่านปุ๊บ เรารู้ทันที เพราะว่าเป็นธรรมชาติของความรักที่อยู่ในเพศแม่ นั่นเอง

เปิดลิ้งค์เพลงนี้ ฟังด้วยกันนะครับ  https://www.youtube.com/watch?v=rU6NQNHGRkY

พระเจ้าอวยพรครับ