คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 10 แล้วนะ ก่อนเข้าเรื่องตอนที่ 10 เราต้องมาทบทวน และทำหน้าที่ตั้งชื่อตอนที่ 9 ก่อน เพราะว่ายังไม่มีชื่อตอนเลย ฟังกันไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาทบทวนนิดหนึ่ง แล้วก็มาช่วยกันตั้งชื่อกัน ซึ่งจริงๆ ผมตั้งไว้แล้วล่ะ เคยได้ยินไหมครับ อยากตั้งอะไร เชิญเลยนะครับ แต่ผมจะตั้งอย่างนี้ คือตั้งในใจไปแล้ว แต่อาจจะตั้งใหม่ก็ได้นะ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเน้นกันไปแล้ว มัทธิว 5:17-18 ที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์มาเพื่อทำให้บทบัญญัติสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ มัทธิว 5:17-18 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า.-

มัทธิว 5:17-19 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน”

 

บทบัญญัติเดิมที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส กำหนดไว้ว่ามนุษย์ทุกคน ต้องรักษาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป นี่คือรวมแล้ว คือกฎของโมเสสที่พระเจ้าวางไว้ คืออย่างนี้  เพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าทราบว่าทำอย่างนี้ จึงจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถเข้าไปหาพระเจ้าได้ สามารถได้พร สิ่งที่ดีๆ จากพระเจ้า เพราะเข้าไปหาพระเจ้า ก็ได้พรไง นึกออกใช่ไหม? นี่คือกำหนดไว้อย่างนี้  แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ปราศจากบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดและบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้อย่างสนิทชิดเชื้อ เป็นหนึ่งเดียวกัน ได้พรเต็มที่ ตามที่พระองค์ต้องการให้เขาได้รับ ไม่มีเลย  ได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง เท่าที่คนนั้นพอจะทำได้ ตามบัญญัติที่บอกไว้

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าคน และเยอะแยะอีกมากมาย อีกหลายกฎ นี่เห็นไหม? นี่คือบทบัญญัติ ที่พระเยซูบอก พระองค์ไม่ได้มาทำให้บทบัญญัตินี้เสียไป ยังคงเหมือนเดิม เหมือนอย่างไร เดี๋ยวฟังต่อไป และไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากบาปใช่ไหม?  ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถเข้าหาพระเจ้า หรือติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยลักษณะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย  สนิทชิดเชื้อกับพระองค์อย่างนั้น ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าต้องการได้ ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าวางกฎไว้อย่างนี้ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้ครบถ้วนบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าต้องการ

นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ พระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างบทบัญญัติเหล่านั้น เพราะบทบัญญัติเหล่านั้นยังคงอยู่ และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น คือบทบัญญัติที่บอกว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะหาพระเจ้าได้ บทบัญญัตินั้นยังคงอยู่หรือไม่อยู่? อยู่ ไม่ได้มาลบล้างนะ พวกเธอต้องบริสุทธิ์ ก็ต้องบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ ฟังให้ดีๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ตามนั้น มันไม่มีทางสำเร็จได้ตามนั้น พระองค์จึงจำเป็นต้องเข้ามา เพื่อช่วยให้บทบัญญัตินั้น สำเร็จตามที่พระเจ้าต้องการ และเกิดผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือพระเยซูทรงเข้ามา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ปราศจากบาป  ผ่านทางการเสียสละ ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์นั่นเอง และผลก็คือมนุษย์ เมื่อได้รับการชำระ ได้รับการไถ่บาป โดยพระเยซูคริสต์เกิดอะไรขึ้น ผลก็คือมนุษย์บริสุทธิ์ขึ้นมาทันทีเลย สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตามที่พระเจ้าต้องการ จึงทำให้บทบัญญัติ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จ เห็นไหม พระเยซูบอก พระองค์มา ทำให้เขาสำเร็จ มันก็สำเร็จอย่างนี้แหละ มันสำเร็จตามที่พระเจ้าประสงค์ คือมนุษย์บริสุทธิ์ สามารถเข้าหาพระเจ้าได้แล้ว นี่คือความหมายที่พระองค์บอกว่ามา เพื่อทำให้บทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์ เอเมน

บนไม้กางเขน พระองค์จึงบอก “It  is  finished” คือมันเสร็จครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว มันสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” นั้น  ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จได้แล้ว คือบริสุทธิ์ มนุษย์บริสุทธิ์ได้  มีโอกาสบริสุทธิ์ได้แล้ว

และที่เราย้ำกันมาตลอดว่าพระเยซูได้ชำระล้างเราให้บริสุทธิ์แล้ว มันก็คือบริสุทธิ์จากที่ไหน? ข้างในวิญญาณของเรา เราจึงพูดกันเสมอว่าคริสเตียนต้องบริสุทธิ์จากข้างใน คริสเตียนไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากข้างนอก ไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากพ่อแม่ ไม่สามารถเป็นคริสเตียนจากการเรียน และพยายามที่จะสอบให้ได้ปริญญาตรีทางศาสนาศาสตร์คริสเตียน ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมาจากข้างใน โดยความเชื่อเท่านั้น และก็มีผลออกมาที่ข้างนอก ข้างในต้องสะอาดก่อน แล้วจึงออกมาข้างนอก วิญญาณภายใน เป็นวิญญาณที่ต้องดีเสียก่อน แล้วจึงสะท้อนออกมาเป็นการกระทำความดีข้างนอกต่อมา ไม่ใช่พยายามทำความข้างนอก เพื่อไปล้างข้างใน สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อธิบายตรงนี้ไปนิดหนึ่ง

ถ้าเริ่มจากข้างนอก ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเริ่มจากข้างนอก ทำดีขนาดไหน? เท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปชำระล้างวิญญาณข้างในได้ และการที่จะทำให้วิญญาณข้างในบริสุทธิ์ มนุษย์ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์จึงต้องทำไม? พึ่งพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ไบเบิลจึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่าพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู การเสียสละพระชนม์ของพระองค์ มีเพียงพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น ที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่ามีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้ คือทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ นี่เราหลายคนก็รู้ดี ได้ยินอยู่บ่อยๆ

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้กันไป สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 9 ซึ่งเราจะใช้ชื่อตอนว่า “จากข้างใน มาข้างนอก” เห็นไหม ตั้งไปแล้ว ท่านตั้งหรือยัง? ตกลงชื่อตอนครั้งที่แล้ว ชื่ออะไร? “ข้างใน มาข้างนอก”

พูดพร้อมกันสิ ตอนที่แล้วชื่อตอนอะไร? “จากข้างใน มาข้างนอก”

เห็นไหม? ทุกท่านตั้งพร้อมผมเลย ทุกคนบอกตั้งชื่อนี้ดีกว่า คนมาฟังคำเทศนาซีรี่ส์ชุดนี้ คนงง พวกเราเสมือนมีโค๊ดอะไรกันในคริสตจักรนี้  ก่อนหน้านี้มีอะไรนะ ตั้งชื่ออะไรนะ “นั่งเครื่องบิน”  “กระเทียมดอง”  “แค่หลับตา”  “ปลูกแตงโม”  ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วมาคราวนี้ “จากข้างใน มาข้างนอก” ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างหนึ่ง เราตั้งใจแล้ว รู้แล้วไงว่าที่สอน ที่เทศน์ ที่บรรยายไปทั้งหมดนี้ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจเลยนะ ให้ฟังไปอย่างนั้นแหละ แต่ให้เชื่อ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งนั้น ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ใช้ความเข้าใจ … เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ตั้งชื่ออะไรก็ได้ ตั้งไปเถอะ แต่ตั้งให้มันกลมกลืนนิดหนึ่ง

และวันนี้ เราก็จะมาคุยกันต่อถึงประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน อย่างนี้มันเป็นอย่างไร? อย่างที่เราบอกว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอะไร? เราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนที่ 10 ชื่อตอนตั้งไปเลยนะ ฟังแล้วตั้งไปเลยนะ แล้วสัปดาห์หน้า เรามาลงมติอีกทีหนึ่งว่าจะใช้ชื่ออะไร? ซึ่งลงมติที่ไร ก็ตรงกันทุกทีเลยนะ ไม่มีใครแย้งสักคน

เริ่มต้นตอนที่ 10 ยังจำเรื่องเครื่องบินได้ใช่ไหม? ที่เราย้ำกันไปย้ำกันมา จำได้ใช่ไหมเรื่องเครื่องบิน ที่บอกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถบินไปไหนมาไหน? บินไปไกลๆ ไปไหนได้ โดยการนั่งในเครื่องบิน โดยการอาศัยในเครื่องบิน อาศัยเครื่องบินที่ทำการ กิจการในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมันชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้

นั่งอยู่ในเครื่องบินเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าคอยกางแขน ช่วยกัปตันในการบินไปด้วยกัน มีใครนั่งในเครื่องบิน แล้วช่วยกัปตัน ไม่มี ชีวิตคริสเตียนหลายคนเป็นอย่างนี้จริงๆ คือชอบช่วยกัปตันบินครับ นั่งเครื่องบินเฉยๆ ไม่ได้ ต้องช่วยเขาบินด้วย คือพวกไหน? ทราบไหมครับ? ถ้าพูดอย่างนี้ คิดไม่ออก ช่วยกัปตันบินอย่างไร? กัปตันของเรา คือใคร ถ้าพูดในทางพระเยซูคริสต์ กัปตันของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ มีใครช่วยพระเยซูบ้าง? ช่วยพระเยซูนำเรา มีไหม? ไม่มีเหรอ เอ๊า! ฟังดูสิ ยกตัวอย่าง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำตัวเองให้ชอบธรรมมากขึ้น”

เคยคิดอย่างนี้ไหม? ไม่เคยจริงๆ เหรอ  แล้วเคยคิดอย่างนี้ไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้น โดยทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดี”

เคยคิดอย่างนี้ไหม?  เคยน่า หรือเคยคิดไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ฉันต้องออกไปรับใช้เยอะๆ”

หรือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องนำคนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ”

โดนไม่โดน? โดนในอดีต ตอนนี้อาจจะหลายคนจะเปลี่ยนไป  หรืออีกอันหนึ่ง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องดำเนินชีวิตคริสเตียน แบบครบถ้วนบริบูรณ์”

โดนไหม? โดน จะบอกให้นะครับ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ดำเนินชีวิตคริสเตียน ได้แบบครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุดเลย แล้วได้อย่างแท้จริงเลย  และผู้นั้นอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้นั้น คือพระเยซูคริสต์ ที่สามารถดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง อย่างนั้นได้

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บอกเคล็ดลับให้กับเรา โดยการให้เราทำอะไร? จดจ่อ ปักใจ ตั้งความคิด Set your mind ก็คือตั้งความคิด ตั้งโปรแกรมไว้ที่ไหน? ตะกี้นี้ ที่บอกมีคนเดียวที่ทำได้ มีผู้เดียวที่ทำได้ ไว้ที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และเราทั้งหลายนั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น และอยู่ในพระองค์ ให้เราอยู่ตรงนั้นแหละ ให้พระองค์นำเราไปด้วย เหมือนเรานั่งในเครื่องบิน คล้ายๆ อย่างนั้น เอเมน

ให้พระองค์นำพาชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ชีวิต แล้วเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราสามารถทำได้ และอยากให้เราเป็นอย่างนั้น เอเมน ให้พระเยซูนำ จำเพลงที่เราร้องกันได้ไหม? จำแม่นหรือเปล่า?

“พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา เพื่อรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์”

“ข้าจะยืนหยัด” นี่คืออะไรรู้ไหม? ข้าจะตั้งโปรแกรมของข้าไว้ที่ Power ของพระคริสต์ ความสามารถ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ข้าจะจดจ่อ ปักใจ ดำเนินชีวิต มันหมายถึงข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์ ถามว่ายืนหยัดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ไม่ว่าพระองค์จะกลับมารับข้าไป คือเราตายจากโลกนี้ หรือเรายังไม่ตาย พระองค์กลับมาก่อน ได้ทั้งสองอย่าง ให้พระองค์ทรงนำ เราจะไม่นำตัวเราเอง หรือไม่ช่วยพระองค์บิน เราจะคอยตามพระองค์อย่างเดียว  เอเมน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาในความตายของพระองค์แล้ว ในโรมอธิบายตรงนี้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว โดยวิญญาณของเรา ก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ร่วมกับพระองค์ อ่านดูในโรม 6:3-6 จะเห็นภาพชัดเจนว่าวิญญาณเราเป็นอย่างไรตอนนี้ อะไรที่มันตายไป? อะไรที่มันบังเกิดใหม่? อะไรที่มันเหมือนพระเยซู? โรม 6:3-6

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ โอโห้! มีส่วนรวมกับพระองค์ ในการตาย และมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย ตรงนี้สำคัญมาก รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แยกกันไม่ออก พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นด้วย เหมือนตัวอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม?  เหมือนถุงชาใช่ไหม? ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำ เราก็จะได้น้ำชา ถุงชากับน้ำได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกมาทีหลัง เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับชาได้จากกันอีกแล้ว เพราะทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

แล้วก็เหมือนชานะครับ มันมีทั้งเข้มและอ่อน แต่อย่างไงๆ ทั้งอ่อนและเข้ม ก็เป็นชาเหมือนกันทั้งนั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เราอาจจะเป็นคริสเตียน แบบชาอ่อน หรือเป็นคริสเตียนแบบชาแก่ก็ตาม จะเป็นอ่อนหรือแก่ก็ตาม แต่เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเราไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเป็นคริสเตียนจริงๆ ในวิญญาณของเรา ทันทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เราไม่ใช่น้ำหรือใบชาอีกต่อไป แต่เราเป็นน้ำชา หรือที่ผมยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พูดกันจนจำได้แล้ว ก็คือเราเป็นกระเทียมดอง

พูดพร้อมกันจะได้จำแม่นดี “เราเป็นกระเทียมดอง”

“เราเป็นกระเทียมดอง” ก่อนเป็นกระเทียมดอง เราเป็นกระเทียมสด แล้วตอนนี้ เป็นอะไร? กระเทียมดอง แล้วจะกลับเป็นกระเทียมสดได้อีกไหม? ไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น กระเทียมดองที่เราคุยกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเมื่อกระเทียมสดถูกกลายสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย อันนี้ไม่ต้องถามแม่บ้านเลย ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แน่นอน

ฉันใด ก็ฉันนั้น เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว บัพติศมา คือจุ่มลงไป ท่านก็ไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว จำไว้เลย ท่านไม่ใช่คนเก่าที่ต้องพยายามทำดีด้วยตัวเองอีกต่อไป ท่านได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นไทจากบาป โดยสมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความหมายของมันเมื่อตะกี้นี้ มันเชื่อยาก ต้องพูดให้ตัวเราฟังเยอะๆ พูดบ่อยๆ จดจ่อความคิดเราอยู่ตรงนี้ เรื่อยๆ นี่คือเรื่องจริงของธรรมชาติ ของฝ่ายวิญญาณที่มันบังเกิดขึ้น และพระคัมภีร์สอนเราเรื่องวิญญาณทั้งนั้น 2 โครินธ์ 5:17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อเกิดอย่างนี้ขึ้นแล้ว สภาพทางวิญญาณเราเป็นอย่างไร?

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

อ่านตามผมดังๆ “ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

“นี่แน่ะ” ชี้ไปที่ใคร? ชี้ไปลึกๆ เลย ที่ไหน? วิญญาณของเรา เอาใหม่อีกทีหนึ่ง

“ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป หมดเลย นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

กำลังจะบอกว่าวิญญาณใหม่ทั้งนั้น โอเค วิญญาณเดิม แต่มันบังเกิดใหม่ ไม่ใช่วิญญาณใหม่ … แต่ว่าตัวเก่าเปลี่ยนเป็นใหม่ ไม่ใช่ เอาอันใหม่มาใส่ เปลี่ยนใหม่เอี่ยมเลย จากวิญญาณที่ตาย เป็นวิญญาณใหม่ นี่คือข้อความตะกี้นี้ ถ้าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว ท่านเป็นวิญญาณที่ทรงสร้างใหม่แล้วในพระคริสต์ ท่านได้กลายสภาพจากคนบาป กลายมาเป็นลูกของพระเจ้าทันที มันจึงเชื่อยากไง

จากคนบาป กลายเป็นบาปเหลือครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี นี่จากคนบาป กลายเป็นลูกพระเจ้า มันห่างกันมาก เขาถึงจับพระเยซูไปตรึง แล้วก็จับสาวกของพระเยซู ตั้งแต่เปโตรและอีกหลายคน ที่ประกาศตอนนั้น ไปทรมาน หาว่าไปหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น แต่ความจริงได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็เริ่มรู้จักเรื่องนี้เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่พระเจ้านำทางวิญญาณแล้ว  ไม่ยาก แต่อย่างที่บอก ต้องเห็นใจจริงนะ ใหม่ๆ มามันรับยาก ถ้าท่านคนเก่า ซึ่งเป็นคนบาป  ก่อนที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิ์ของท่านในพระเยซูคริสต์ ท่านยังไม่มาเชื่อ ท่านยังไม่มารับสิทธิ์ของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นคนเก่า ตามข้อพระคัมภีร์นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระคริสต์ ก็คือวิญญาณท่าน ตอนที่พระเยซูตาย  เท่ากับท่านได้ตายไปด้วย  พระเยซูเป็นตัวแทนให้ท่าน และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว รวมกับพระคริสต์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านมีสิทธิ์เป็นตามเหมือนพระองค์ด้วย มันหมายถึงเป็นตัวแทนให้กับเรา มนุษย์ทุกคน ทำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่  ที่มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป ซึ่งท่านได้รับมาโดยพระคุณ ไม่ต้องกระทำ ไม่ใช่โดยการกระทำของตัวท่านเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยพระคุณ คือโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทนให้กับเรา โดยที่ท่านไม่ต้องตาย พระองค์ทรงตายแทนเรา มันหมายถึงตรงนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้  ถ้าท่านคิดว่านะ ท่านสามารถแสวงหาด้วยตัวเองได้ หรือคิดว่าสามารถพยายามทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้ ท่านไม่ต้องพึ่งพระองค์เลย แต่ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็จงปล่อยวางและมอบให้พระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงทำให้กับท่านทั้งหมดในชีวิตของท่านเถิด ลองพระองค์เลย ลองในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงทดลองแบบอย่างนั้นนะ หมายถึงว่าในเมื่อเราทำไม่ได้ นี่บอกมีทางออกอยู่ทางหนึ่ง พระเยซูทำให้ได้ … เอ๊า! ดูสิว่ามันเป็นจริงหรือไม่? มันหมายถึงอย่างนี้ พิสูจน์เลย พิสูจน์ดีกว่า พิสูจน์เลยว่าจริงหรือไม่? บางทีเรานั่งอยู่ที่นี่ รู้จักแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ลองดูสิ พิสูจน์ดูสิว่ามันเป็นจริงไหม?  ลองมาศึกษาดู เขาเรียกว่าทดสอบพระเจ้าดู พิสูจน์พระเจ้า พระองค์อยู่ที่นี่แล้ว รอคนมาพิสูจน์เท่านั้น

พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาท่านและมนุษย์ทุกคนพบกับชีวิตใหม่ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกที พระองค์สามารถนำพาท่านมาสู่ชีวิตใหม่ โดยที่ท่านไม่ต้องทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกทีหนึ่ง ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ซึ่งในอดีต เราพยายามทำด้วยตัวเราเองมาโดยตลอด เพื่อทำให้เราบริสุทธิ์ ทำให้เราครบถ้วน

นี่คือความหมายที่บอกว่าการอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการมอบชีวิตไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกขณะจิตนั่นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จดจ่อ มอบชีวิต พึ่งพาพระองค์ทุกอย่างๆ มันหมายถึงอย่างนี้

เชื่อและวางใจให้พระคริสต์นำพาชีวิตของเรา ในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ สถานการณ์ เหมือนกับเวลาที่เรานั่งเครื่องบิน ที่ตะกี้นี้บอก เรานั่งเครื่องบิน เราก็เชื่อวางใจในกัปตันว่าจะนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยได้  โดยที่เราไม่ต้องช่วยบิน ไม่ต้องช่วยลุ้น ไม่ต้องช่วยดูแผนที่ ไม่ต้องทำตัวเองเหมือนกับว่าเรากำลังควบคุมเครื่องบินด้วยตัวเราเองตลอด ขณะที่นักบินเขาก็อยู่ที่ห้องบิน เราผู้โดยสาร นั่งอยู่ข้างหลัง ก็ทำท่าบินกับเขาด้วย ขำเนอะ แต่พอนึกถึงวิญญาณ นึกถึงความเป็นจริงในชีวิตคน หลายครั้งเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอาใหม่ คิดใหม่ เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  ทางวิญญาณมองมา เราคงเป็นตัวตลกนะ

สมมติเราขึ้นเครื่องบิน ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าบิน เราก็จะบอกว่าคนนี้ เพี้ยนๆ ยังไง ชอบกล

พอเครื่องบินจะออก กัปตันก็จะประกาศว่า.-

“ขณะนี้เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว ขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ สบายๆ จะนอนหลับ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือก็ดูไป เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อจะถึงที่หมาย กัปตันก็จะประกาศว่า “เราจะบอกท่านอีกครั้งหนึ่ง จะถึงที่หมายภายใน 15 นาทีนี้ ให้เตรียมตัว อาบน้ำ อาบท่า ไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้เรียบร้อย เครื่องบินกำลังจะลงแล้ว ถึงที่หมายแล้ว”

แต่ก็ยังมีผู้โดยสารบางคน ที่ตะกี้นี้บอกนั่งโดยสายอยู่ กังวลไปตลอดทาง คอยจับเก้าอี้ไว้แน่นตลอดเวลา สั่นทั้งตัว กลัว เครื่องสั่นที่หนึ่ง ก็ตกใจทีหนึ่ง เครื่องบินตกหลุมอากาศทีหนึ่ง ก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา ท่านลองคิดดู ไม่กล้าทานอาหารที่เขาให้มา ไม่กล้านอน ไม่กล้าทำอะไร คอยกางแผนที่เช็คเส้นทางตลอดว่าไปตรงหรือเปล่า?

ปรากฏว่าพอเครื่องบินถึงที่หมาย ลงจอด ผู้โดยสารคนนี้ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเครียดจัด ความดันขึ้นสูง กลัวตลอดทาง เหนื่อย ฟังดู มันน่าขำนะ แต่ประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนบางคน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองก็เคยเป็นอย่างนั้น  ผมถึงรู้ไง มันหมายถึงอะไร? เป็นอย่างนั้นเลย  เปรียบเทียบชัดเลย  ประสบการณ์ชีวิตหลายคนที่เป็นคริสเตียน ก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีชีวิตแบบเป็นห่วง เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นกังวลเรื่องบาปเวรกรรมของตัวเอง เมื่อไรจะหมด

พระคัมภีร์ก็ย้ำ … ย้ำจนไม่รู้จะย้ำอย่างไงแล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความชื่นชมยินดีที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้วนะครับ จำหลายข้อพระคัมภีร์ เต็มไปหมดเลย แต่ในทางปฏิบัติเราก็ยังคงแสวงหา ยังคงพยายาม ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้มากขึ้นอีก อยากทำ … อยากทำให้มากขึ้นอีก เพราะในใจมันยังไม่ชอบธรรมพอ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้พักสักที เหนื่อย ไม่ได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเลย บางคนบอก

“ไหนมาหาพระเยซูจะหายเหนื่อยเป็นสุข นี่มันหนักกว่าเก่าอีกนะ”

เคยไหม? เคยคิดอย่างนั้นไหม? เคย เพราะเราจดจ่อผิดที เพราะเราไม่เข้าใจไง เพราะเราไปเชื่อผิดที่ เข้าใจใช่ไหม? เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกเราว่าเราเป็นอิสระแล้ว เรียบร้อยแล้วจริงๆ Free indeed เป็นอิสรภาพแล้วจริงๆ เรายังไม่เชื่อตรงนั้นพอ

ฟังให้ดีนะครับ ตั้งใจตรงนี้ให้ดี สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงกับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ โดยทางความเชื่อด้วยเช่นเดียวกัน

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

ทำไมเขาให้เราพูด “เอเมน” รู้ไหม? เพราะไม่เข้าใจไง  เอเมน แปลว่า “ฉันเชื่อตามนั้น” เอเมนไม่ได้แปลว่าเข้าใจนะ เอเมน แปลว่าฉันเชื่อ เพราะฉะนั้น ผมถามว่าท่านเข้าใจไหม? ท่านตอบว่าเอเมน … เอเมน แปลว่าเชื่อ เอานะ จำไว้นะ

          สิ่งที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คิดในใจ คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นผู้ชอบธรรมชาติ ทรงสะอาดบริสุทธิ์ ทรงสะอาด ปราศจากบาป  เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาและการอภัย และเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พูดถึง ที่เขาเรียกว่าธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ ถูกไหม?  ถูกหรือไม่ถูก? ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ดองกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เห็นภาพแล้วนะ ลักษณะธรรมชาติของเรา หรือของคนที่เชื่อ ก็ได้เป็นเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเป็น คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาป เปี่ยมด้วยความรักเมตตา อภัย เหมือนกันไม่มีผิดเลยแม้แต่นิด

 

ไม่เอเมนเหรอ กำลังตกใจเนอะ ได้เยอะไปนะเนี้ย เอ๊า! 1, 2, 3 เอเมน

แต่สิ่งที่เราได้รับมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเราทำด้วยตัวเอง ให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ แต่เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน … ท่านจึงเหมือนกับพระองค์ไม่มีผิดเลย นี่พูดถึงทางวิญญาณทั้งนั้นนะ ท่านไม่กล้าพูดใช่ไหม? พระเยซูจึงเป็นพระบุตรพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเลยมีธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูชอบธรรม เราก็ชอบธรรม พระเยซูสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์ พระเยซูเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา เต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย เราก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา การให้อภัย

“แล้วเมื่อวานนี้ โมโหเขาล่ะ ยังนินทาเขาอยู่เลย”

นั่นมันเนื้อหนังนะครับ นี่กำลังพูดถึงวิญญาณท่าน เห็นภาพไหม? ชัดไม่ชัด? เข้าใจไหม? เอเมนสิ … เอเมน แปลว่าฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่เข้าใจหรอก

นี่พูดถึงทางวิญญาณเท่านั้นนะ คืออย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ คือก่อนที่เราจะได้มาอยู่ในพระคริสต์นะ คือพูดง่ายๆ ก่อนที่เราจะมารับเชื่อ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน พูดง่ายๆ ก่อนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู ธรรมชาติ ลักษณะของเราตอนนั้น แทนที่จะเหมือนกับพระเยซู ถามว่าเหมือนใครครับ ตอนนั้น เหมือนคุณนคร ไม่ใช่ ถ้าเหมือนผม ก็ไปตายด้วยกันทั้งคู่ เหมือนใคร? เหมือนแม่ ไม่ใช่ เหมือนใครนะ อันนี้หนักเลย เหมือนมาร  ถูกๆ  ถูกแบบลึกเลยล่ะ นึกในใจว่าเหมือนใคร? เดี๋ยวผมตอบให้ ฟังให้ดีๆ นะ

สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของอาดัม Nature ธรรมชาติของอาดัม มนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าตกไปในความบาป เราเป็นลูกหลานของเขา สิ่งใดที่เป็นจริง ธรรมชาติของอาดัม สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับมนุษย์ทุกคนด้วย มีอะไรบ้างที่เป็นธรรมชาติลักษณะของอาดัม

ธรรมชาติลักษณะของอาดัมคืออะไรครับ? ตะกี้นี้ เรารู้แล้วพระลักษณะธรรมชาติของพระเยซู เรารู้แล้ว ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า ตอนนี้ ลักษณะธรรมชาติของอาดัมเป็นอย่างไร? อาดัมกบฏพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เลยเป็นคนบาปไปด้วย เราก็เลยกบฏกับพระเจ้าไปด้วย เราก็ไม่เชื่อพระเจ้าไปด้วย เราก็เป็นคนที่ไม่มีความรักความเมตตา ไม่มีการให้อภัย เหมือนอาดัมไม่มีผิดเลย เพราะเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เพราะว่าเราอยู่ในอาดัมตอนนั้น เรายังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่พูดถึงตอนก่อนที่เราจะมารับเชื่อนะ ก่อนที่เราจะรู้จักพระเยซู มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? จำตอนก่อนที่ผมพูดได้ไหม? ที่พระเยซูบอกข้างนอกไม่สามารถทำให้ข้างในสกปรกได้  แต่ข้างในมันจะเอาความสกปรกออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา จำได้ใช่ไหม?

มาระโก 7:21-23 นึกออกใช่ไหม? ที่บอกว่าเพราะที่ออกมาจากภายใน (คือภายในวิญญาณ) จากวิญญาณของมนุษย์ … มนุษย์ คืออาดัม นึกออกใช่ไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าเพราะที่ออกมาจากวิญญาณของเรา คือออกมาจากอาดัมนั่นนะ คือความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา ซึ่งมีอีกมากมายกว่านี้ สิ่งสารพัด ความชั่วเหล่านั้น มาจากภายในวิญญาณ และทำให้อาดัมเป็นมลทิน คืออาดัมเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ และเราเป็นลูกหลานของอาดัม เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัม เราจึงอยู่ในนี้ ในวิญญาณของเรา ก็เลย  ถ้าเราไม่รู้จักพระเจ้า เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู ไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เราไม่เชื่อพระเยซู ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพระคัมภีร์นี้เป็นจริง สิ่งที่ออกจากวิญญาณเรา ตอนก่อนเชื่อพระเยซู คืออะไร?

ยกตัวอย่าง คืออะไร? พระเยซูบอกว่าคืออะไร? ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข็ญฆ่า ความโลภ ความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา และอื่นๆ อีกมากมายเยอะแยะ สารพัดความชั่วเหล่านี้ ออกมาจากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกหลาน ที่มาจากอาดัม ทำให้เราเป็นมลทิน คือเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  เพราะอย่างนี้ ไม่ใช่ เพราะเราไปทำ แล้วมันเป็นบาป เราไปทำ มันเป็นผลข้างในออกมาแล้ว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเราต้องไปฆ่าคนตาย เราถึงจะเป็นคนบาป  แต่บาปมันอยู่ข้างใน เราไม่ต้องไปทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วจะกลายเป็นคนบาป ทำแค่อันเดียว ก็เป็นคนบาป ไม่ทำเลย ข้างใน เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาเอง  พอเข้าใจไหม?

 

บางคนบอก “บาปคนนั้นหนักกว่าคนนี้ คนนี้หนักกว่าคนนั้น”

มันไม่มีหนักกว่าหรอก เพราะข้างในมันเป็นบาป  ตัดสินกันอยู่ที่ข้างใน บริสุทธิ์ไหม?  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  เป็นความบริสุทธิ์แบบมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คิด แบบของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่เราจะมารู้จักกับพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในตระกูลเก่าของเรา บรรพบุรุษเก่าของเรา ก็คืออาดัมและอีฟ เราก็ได้รับธรรมชาติของอาดัมเข้ามาอยู่ในตัวเราเต็มๆ ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่อยากได้ ก็อยู่เต็มๆ  เหมือนกับลูกของครอบครัวที่เป็นเอดส์ เขาไม่อยากได้เอสด์หรอก แต่อย่างไง มันก็เข้ามาอยู่ในตัวเขา โดยที่เป็นธรรมชาติ เกิดมาก็เป็นเลย เราเอง ก็เกิดมา ก็เป็นเลย อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

          อาดัมอวดดี ต้องการรู้ดี รู้ชั่วด้วยตัวเอง นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เราก็รับสภาพ ลักษณะธรรมชาติตรงนั้น เข้ามาในตัวของเรา แล้วก็พยายามที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ในการที่จะพยายามทำ สิ่งที่เรียกว่าดี ในสายตาของตัวเอง สะสมความดีในสายตาของตัวเอง พยายามที่จะละเว้นการทำบาป หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยความคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  สามารถแก้ปัญหาได้  นี่เราก็คิดอย่างนั้นแหละ พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง นี่คือธรรมชาติของบาป ซึ่งอยู่ในอาดัม ซึ่งตกทอดมาถึงเรา แต่ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ แทนที่เราจะรับมรดกธรรมชาติ ลักษณะจากอาดัม เราก็เปลี่ยนมารับจากใคร พระเยซู ที่ตะกี้นี้บอก

 

เห็นไหม พอเราเปลี่ยน ทันทีเลย  เปลี่ยนสายพันธุ์ทันที ปุ๊บ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับพระลักษณะธรรมชาติจากพระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ก็กลายเป็นอย่างนั้นเลย  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับเรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคุณของพระองค์เท่านั้น ฮาเลลูยา เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ คือตอนที่เรายังมีธรรมชาติลักษณะของอาดัมอยู่ในตัว พระคัมภีร์ใช้คำว่าเรายังอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เราอยู่ในความมืด แต่หลังจากที่เราได้มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว  คือได้มาเป็นผู้ชอบธรรม หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้รับธรรมชาติลักษณะของพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา พระคัมภีร์ใช้ความหมายคำนี้ว่าเราได้รับการย้าย เราได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรหนึ่ง ที่ชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ตลอดเลย มืด แสงสว่าง สวรรค์ ตรงข้ามกับสวรรค์ คือนรก

ยกตัวอย่างเช่น โคโลสี 1:13-14  ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าขณะที่ท่านมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวฉันไหม?  ขณะที่ฉันรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าอธิบายให้เราฟังในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเข้าใจลำบากมาก ไม่เข้าใจเลย แต่เราสามารถที่จะเชื่อได้  เอเมน เราจึงใช้คำว่าเอเมนอยู่เสมอ ไม่บอกเข้าใจแล้ว  เพราะไม่มีทางเข้าใจหรอก

“ย้ายอย่างไง ฉันก็ยังอยู่ที่เดิม ขณะที่ไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่รู้จักพระเจ้า ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรี พอรับเชื่อแล้ว ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรีเหมือนเดิม แล้วย้ายที่ไหน”

แต่ในโลกวิญญาณพระคัมภีร์บอกย้ายก็ย้าย เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เอเมนอย่างเดียว อ้าว! อ่านเอง โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “13 พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรา เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนั้น เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

อ่านตามผมนะครับ ตรงนี้ต้องดังๆ “พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ย้ายนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

ที่พูดมาตะกี้นี้ เกิดขึ้นตอนที่เรารับเชื่อ ผมรับเชื่อมาเกือบ 28 ปีแล้ว มันเป็นอย่างนี้มา 28 ปีแล้ว ตอนนั้นยังเหนื่อยอยู่ ตอนนี้เห็นชัดขึ้น  เพราะทุกอย่าง เป็นการกระทำผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณเราได้รับการกระทำให้บริสุทธิ์ วิญญาณเราได้รับการย้ายที่จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกทีหนึ่งใช่ไหม ตามพระคัมภีร์นี้ คือจากอาณาจักร ที่เรียกว่าความมืด ย้ายจากอาณาจักรของความมืด … อาณาจักรความมืด คืออะไร? อาณาจักรแห่งการสาปแช่ง อาณาจักรที่ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์ ก็คือนรก อาณาจักรที่เต็มไปด้วยความบาป  อาณาจักรที่ไม่มีพระพรเลย ถูกย้ายจากอาณาจักรนั้นแหละ เข้ามาสู่ที่ไหน? เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ นิรันดร์ นี่คือพระคัมภีร์

เราไม่ได้อยู่ในอาดัม และไม่ได้เป็นเหมือนอาดัมอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ เราเป็นเหมือนอาดัม แต่ตอนนี้ไม่ใช่นะครับ เราย้ายแล้ว

พูดพร้อมกันว่า “เราย้ายแล้ว เราไปที่เขต และย้ายแล้ว ย้ายเข้าไปสู่ บ้านแห่งสวรรค์ หัวหน้าบ้าน เจ้าบ้าน ชื่อพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ที่นั่น เอเมน”

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้  เมื่อตะกี้ผมบอกว่าให้เราไปเขต จริงๆ เราไปเขตจริงๆ เขตอยู่ที่ไหนรู้ไหม? เขตอยู่ที่เราตั้งใจและอธิษฐาน … อธิษฐาน คืออะไรรู้ไหม? อธิษฐาน คือการใช้สิทธิของเราในวิญญาณว่าเราจะเอาอย่างนี้  คำว่าอธิษฐาน ไม่ใช่การพูดลอยๆ การที่อธิษฐาน คือการตั้งใจว่า.-

“ฉันจะเอาอย่างนี้จริงๆ”

เคาะเลยนะ ที่พระเยซูบอกขอ เคาะ … เคาะไปเรื่อยๆ แล้วจะเปิดให้กับท่าน หาแล้วท่านจะพบ ขอแล้วท่านจะได้ นี่หมายถึงตรงนั้น  เราตั้งใจ เราอธิษฐาน คือวิญญาณเราเอาจริงๆ เราต้องการรู้จักพระเยซู เราก็จะพบพระองค์ มันหมายถึงอย่างนั้น เราไม่ยอมหยุดเลย เรารู้จักพระองค์ให้ได้ เขาพูดอะไร? ได้ยิน ที่เขาคุยกันตอนนี้ เขาคุยอะไรกันอยู่ เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตเราจริงๆ เลย เราไม่อายตัวเอง และไม่อายใครอีกแล้วว่าชีวิตเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเป็นคนบาปจริงๆ เราคิดอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์พูดถูกจริงๆ เลย ถ้าเรากล้าพูดอย่างนั้นนะ มันจะชัดเอง ส่วนใหญ่เราไม่กล้า เพราะเราอาย เพราะเราไม่รับความเป็นจริงไง ถ้าเราเปิดรับความเป็นจริง ยอมเลย

“พระเจ้าพูดในพระคัมภีร์ มันตรงกับฉันหมด ฉันมันเลวจริงๆ ฉันมันชั่วจริงๆ ฉันเป็นคนบาปจริงๆ”

คนนั้นแหละจะได้พบกับแสงสว่างนี้

เราต้องยอมรับว่าเรานั้น ไม่สบาย เราถึงไปหาหมอใช่ไหม?  มีใครไหมบอกว่า.-

“ฉันสบายดี แข็งแรงมากเลย”

แล้วไปโรงพยาบาล ไปทำไม? จะไปหาหมอ แสดงว่าคนนั้น ยอมรับว่าตนเองป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าป่วย อยู่บ้าน ยังช่วยตัวเองได้ เขาก็ไม่ไปหา

พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้เดียวเท่านั้นที่รักษาเราให้หายจากบาปได้ ถ้าเราคิดว่า.-

“ฉันเป็นบาปอยู่ (ป่วยทางวิญญาณ)”

แต่บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันเป็นบาปอยู่ แต่ฉันรักษาตัวเองได้”

ก็หมายความว่าไม่มาหาหมอ เขาก็ไม่มาหาพระเยซู นึกออกใช่ไหม?

อันดับหนึ่ง คือคนนั้นต้องอธิษฐาน ต้องรู้ข้างในวิญญาณว่า.-

“ฉันเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว”

อย่างนั้นจริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์เราเป็นคนบาป ต้องใช้เวรกรรมจริงๆ อันนี้ผ่านข้อหนึ่งแล้ว แต่ข้อหนึ่ง อย่างเดียวไม่ได้ เขาไม่ไปหาพระเยซูหรอก ถ้าเขาบอกว่า.-

“แต่ฉันยังสามารถทำอันโน่น ทำอันนี้ ช่วยตัวเองได้ ให้มันบาปน้อยลงอะไรต่างๆ ฉันรู้สึกสบายใจแล้ว มันดีขึ้นนิดหนึ่ง กินยาแก้ปวด ก็พออยู่ได้ ไม่ไปหาหมอ”

ก็ไม่หาย แต่ว่าอาการมันก็ทรงๆ ถูกหรือเปล่า? มันต้องมีอีกขั้นหนึ่ง ก็คือว่าคนนั้นต้องรู้ว่าตัวเองบาป ตัวเองไม่สบาย และสอง.-

อันดับที่สอง คนนั้นต้องตัดสินใจว่า.-

“ฉันช่วยตัวเองมาตั้งนาน ไม่หาย ท่าทางตายแน่ๆ ปวดหัวตั้งหลายครั้งแล้ว ปวดหัวมาตั้งหลายครั้ง กินพาราฯ มาตั้งหลายแล้ว ไม่หายเลย ฉันไปหาหมอดีกว่า ข้างบ้านเขาบอกหมอคนนี้เก่ง รักษาโรคนี้ได้ โรคนี้มีชื่อว่าโรคบาป ข้างบ้านเขาบอกว่าไปหาหมอที่ชื่อพระเยซูสิ ฉันก็เลยไปหา ฉันเลยพบพระเยซู ฉันจึงหายจากบาป เอเมน”

เห็นไหม? มันแค่นี้เอง ที่บอกว่าอธิษฐาน ขอสิ เคาะสิ มันต้องอย่างนี้ เงื่อนไขมันเป็นอย่างนั้น

ตอนที่เราเกิดจากครรภ์มารดานะ เรายังเป็นเหมือนอาดัมถูกไหม? คือเป็นคนบาปจากครรภ์เลย ออกจากครรภ์มา ก็บาปแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เป็นพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นของเราจริงๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ โดยทางพระคุณเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ก็ขณะที่เราออกจากครรภ์ เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เราก็บาปแล้ว เพราะฉะนั้น ออกจากครรภ์ของพระเยซูคริสต์ หมายถึงออกจากครรภ์ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกันสิ เอเมน

เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะได้รับสิ่งที่เหล่านี้มา เพราะพระเยซูทรงกระทำแทนเราเรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เป็นผู้รับ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ให้ท่านจำถ้อยคำตรงนี้ให้ขึ้นใจเลยนะครับ ต้องจำให้แม่นเลยว่า.-

“สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับฉัน ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณ ผ่านทางพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น”

ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ เลย ต้องท่อง ต้องจำให้แม่นๆ อย่างที่ผมบอกว่าเอาเข้าใจ มันลำบาก ต้องใช้จำเอา แล้วก็เชื่อ เอเมน

พระเยซูคริสต์ทรงกระทำทุกอย่างให้เราเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอีกแล้ว แค่บอกว่า.-

“ฉันได้มีส่วนในลักษณะธรรมชาติของพระเยซูคริสต์แล้ว”

แค่นี้ก็เกินพอแล้ว สำหรับชีวิตคนเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าเป็นคริสเตียนอยู่ เราหามาเหนื่อยพอแล้ว แต่ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับสิทธินี้ ยังไม่ได้เชื่อนี้  เขาก็ต้องแสวงหาต่อไป เขาต้องอย่าหยุดเคาะ เขาต้องเคาะต่อไป ต้องแสวงหาต่อไป ต้องขอต่อไป  อย่างที่ตะกี้นี้บอก จนกระทั่งพบหมอ ถ้าหายแล้ว ก็ไม่ต้องไปหาพระเยซูแล้ว เพราะหายแล้ว จะเข้าไปหาทำไม พระเยซูเข้ามาอยู่กับเขาเลย  เอเมน แต่ถ้าเขาไม่มีพระเยซู เขาต้องไปหาพระเยซูก่อน แต่พอไปหาพระเยซูแล้ว พระเยซูจะมาอยู่กับเขาเลย เอเมน

พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เราก็ได้มีส่วนในความสัมพันธ์ ฉันพ่อลูกตรงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย คือได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วยเช่นเดียวกัน พอไหม? แค่นี้พอหรือยัง? จริงๆ มันมีเยอะกว่านี้เยอะเลย แต่แค่นี้ ก็พอแล้วนะ

พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า

พระเยซูเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา เราเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา

แล้วพระเยซูเป็นอะไรอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลย  เราก็เป็นไปตามนั้นทั้งหมดเลย พอไหม? เกินพอ นี่ถึงเรียกว่าพระคุณ พระคุณ พระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้กับเรา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งความคิด ไม่ได้ใช้เลย เพราะขืนใช้ความคิดเมื่อไร ไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อนั้น ไม่ได้ใช้ความคิดเลยนะ เราเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ความคิดเลย เพราะคิดไป ไม่ออกเลย คิดไม่ได้เลย ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซู ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

2 เปโตร 1:3-4  จะบอกถึงลักษณะว่าตะกี้นี้ ธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระลักษณะของพระเจ้า เราได้มีส่วนนั้นทั้งหมดเลย ลักษณะของพระเจ้า ก็คือลักษณะของพระเยซู พระลักษณะหรือธรรมชาติของพระเยซู ของพระเจ้า เรามีส่วนในนั้นหมดเลย  กล้าที่จะพูดตาม ถึงไม่เข้าใจ ต้องกล้าที่จะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อตามนี้”

ในพระคัมภีร์บอกไว้ตามนี้ แม้ว่าคนจะบอกว่า.-

“เธอนิสัยไม่ค่อยดี  เธอทำอย่างนี้ ไม่ดีเลย  ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เธอเป็นอย่างนี้ๆ  เธอจนอย่างนี้ เธอจะไปเป็นอะไรอย่างนี้ได้

บอกเขาเลย “พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น ฉันยืนกรานตามพระคัมภีร์” เอเมน

อ่านดีๆ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียนกันทั้งหมดนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ มาบอกอีกลักษณะหนึ่งว่าท่านเป็นใคร ในขณะนี้ อยู่ตรงไหน? นิสัยจริงๆ ท่านเป็นยังไง? นิสัยข้างในวิญญาณ ตัวจริงของเรา คือวิญญาณ … วิญญาณจริงๆ ท่านมีนิสัยเป็นอย่างไร?  ดูสินิสัยจริงๆ เราเป็นอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

เอเมน เห็นหรือยัง? ท่านเห็นหรือยัง? ท่านสามารถเห็นได้ เพราะเห็นด้วยวิญญาณ แต่ถ้าบอกเข้าใจไหม? ท่านบอกอะไรได้ ไม่เข้าใจ แต่เอเมน เชื่อเอา

พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ตรงนี้หมายถึงว่าท่านมีส่วนในพระลักษณะธรรมชาติของพระเจ้า แม้ว่าท่านจะอยู่บนโลกใบนี้ มีตัณหาชั่วอยู่ในเนื้อหนังของท่าน สิ่งรอบข้าง สกปรก รอบข้างท่าน แต่ข้างในของท่าน มันบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด มันแปลว่าตรงนี้ ท่านจะได้สบายใจ ผ่อนคลายได้ว่าอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณท่านอยู่ในพระคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว

“แม้ว่าเมื่อวานฉันจะหงุดหงิดกับคนนี้ แม้ว่าเมื่อวานซืนนี้  ฉันอาจจะตวาดคนนี้ไป  แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้ ขับรถมา รถเมล์แถมมา 3 ป้าย ฉันด่าว่าคนขับอย่างไม่มีอะไรดีเลย แม้ว่าฉันอภัยคนนี้ ฉันยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ยังอธิษฐานอยู่ทุกวันนี้เลย แต่ในวิญญาณฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรฉันได้เลย มันอยู่ข้างนอก ข้างในฉันบริสุทธิ์แล้ว ข้างนอกไม่สามารถทำอะไรฉันข้างในเปลี่ยนไปได้ ในวิญญาณเป็นอย่างไง มันเป็นอย่างนั้นแล้ว”

และในวิญญาณเป็นอะไร?  เป็นลูกของพระเจ้า

“วิญญาณฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิดเลย ในพระคริสต์ฉันเป็นอย่างนี้แหละ”

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 8 “แค่หลับตา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 8 “แค่หลับตา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

การบรรยายวันนี้ ก็ยังอยู่ในซีรี่ส์เดิมนะครับ ชื่อซีรี่ส์ ชื่อว่า? “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 8 แล้วนะครับ ยังจำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกไว้ว่าเราจะมาตั้งชื่อตอนหลังเทศนาจบ ตั้งแต่ตอนที่ 5 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? “นั่งเครื่องบิน”

ทบทวนนิดเหนึ่ง คือเราเปรียบเทียบให้เห็นว่าโดยกฎเดิม คือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก มนุษย์ไม่สามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ แต่ด้วยกฎใหม่ที่มีชื่อว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถลอยอยู่ในอากาศ ลอยอยู่บนฟ้าได้ และบินไปไหนมาไหนได้ โดยการอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องบิน ซึ่งเทียบได้กับกฎเดิมของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตาย

เคยได้ยินไหมเพลงนี้ “คนเรามีกรรม เกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม ไม่มีหลุดพ้น”

คือคนเรามีกรรม ก็คือเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรมกันทุกคน นี่คือกฎเดิม มนุษย์ทุกคนก็รู้ และมีกฎนี้อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนเรียกกันว่ากฎแห่งบาปและความตาย กฎแห่งกรรมนั่นเอง

ซึ่งกฎนี้ ทำให้มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษของความบาป  คือความตายและตาย … ตายและตายในที่นี่ อธิบายครั้งที่แล้วไปแล้ว ตั้งหลายครั้ง ก็คือตายทางร่างกาย ก็คือร่างกายที่ถูกพระเจ้าสร้างมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องตาย ก็จำเป็นจะต้องตาย สิ้นชีวิตไปวันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณซึ่งมีอยู่นิรันดร์ ซึ่งมาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณที่ติดบาปอยู่ ติดเวร ติดกรรม ต้องไปชดใช้เวรกรรม คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว วิญญาณออกไป ก็ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ เพราะเป็นวิญญาณที่บาป  อยู่กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ พระคัมภีร์ใช้คำตรงนี้ว่าตายและตาย  ผลของ … กฎของความบาปและความตาย คือทำให้เกิดความตายและตาย แต่ด้วยกฎใหม่ มีชื่อว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎเดิมแล้ว ทำให้มนุษย์ที่อยู่ในพระคริสต์ หรือที่เรียกว่าอยู่อาศัยพระเยซูได้รับความรอด เป็นอิสระจากโทษของบาป ไม่ถูกบาปเวรกรรมและโทษของความตายดูดเขาลงไปสู่ความพินาศ … จำได้นะ

และมาถึงตอนที่ 6 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? อันนี้ต้องจำได้แน่ๆ เลย จำไม่ได้แย่เลย  ทุกคนพูดพร้อมกันว่าตอนที่ 6 ใช้ชื่อตอนว่า “กระเทียมดอง” ตอนที่ 5 “นั่งเครื่องบิน” ตอนที่ 6 “กระเทียมดอง”

คือได้สอนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ก็ได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่” วิญญาณที่ตาย

“ตาย” ในที่นี่หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณสกปรก ที่ตายอยู่นั้น ได้กลับกลายมาเป็นวิญญาณใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิตขึ้นมาใหม่” ตะกี้นี้ตายใช่ไหม? ตอนนี้มีชีวิต … ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ และจะเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิญญาณใหม่ จะไม่สามารถกลับไปเป็นวิญญาณบาปได้อีกแล้ว คือไม่สามารถเปลี่ยนจากกระเทียมดองกลับไปสู่เป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว เราเรียนกันว่าการเปลี่ยน คือชีวิตเก่าเราบัพติศมาลงไปในพระเยซู ใช่ไหม?

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง ดองลงไปใช่ไหม?  มุดลงไปใช่ไหม?  จากกระเทียมสดมุดลงไปในไหใช่ไหม?  แล้วออกมาเป็นกระเทียมดองใช่ไหม? ชีวิตเก่าเราใช่ไหม? ไม่รู้จักพระเจ้า  เป็นบาปอยู่นะ มุดลงไปในพระโลหิตพระเยซู ในพระวิญญาณของพระเจ้า ขึ้นมาเป็นกระเทียมดอง ก็เป็นวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นตอนนั้น เราเรียนตอนที่ 6 เป็นอย่างนั้นนะ

และมาถึงตอนที่ 7 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ ดักคอไว้สำหรับคนที่เรียนมาก่อนหน้านี้ เผื่อจะมีใครบางคนฟังการบรรยายก่อนหน้านี้ ในชุดนี้แล้ว จะมีความรู้สึกสบายใจในการเข้าใจผิดว่าอย่างนั้น เราก็ทำบาปก็ได้เยอะแยะสิ เพราะเราไม่มีทางจะเปลี่ยนไปเป็นคนบาป บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดแล้ว จำได้ใช่ไหมครั้งที่แล้ว ผมได้เตือนไว้ว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้น

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านพระคัมภีร์ยืนยันแล้วว่าความคิดแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะครับ แล้วเราก็รู้ว่าทำไม? พระคัมภีร์บอกว่าใครที่ทำบาป  คือผิดเป้าหมายจากพระเจ้า คือไม่เป็นไปตามเป้าหมายพระเจ้าจะถูกคำสาปแช่งทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก  ก็รู้จักกันทุกคน ไม่ว่าจะสาปแช่งมาก สาปแช่งน้อย

          ยกตัวอย่างง่ายๆ สาปแช่งน้อย ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราแข็งแรง รู้ว่าให้เรากินอะไรถึงจะมีสุขภาพสมบูรณ์ เราไปกินของเน่าๆ ของเสียๆ เราก็ได้รับคำสาปแช่ง คือก็เป็นโรคท้องเสีย ท้องอืด เห็นง่ายๆ ท่านจะได้เข้าใจว่าคำสาปแช่งหมายถึงอะไร? ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

 

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกแล้วว่าใครทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั้น เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน ยังคงต้องรับผล หนีไม่พ้น ซึ่งตรงนี้หมายถึงรับผลทั้งทางเนื้อหนัง ร่างกาย หรือเรียกว่าบนโลกใบนี้ได้รับ หรือเรื่องทางวิญญาณก็ได้รับเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น ทางวิญญาณเมื่อตะกี้ เราคุยกันว่าถ้าวิญญาณคนนั้น เชื่อในพระเยซู ซึ่งได้รับกฎใหม่ จากพระเยซูคริสต์ การอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎใหม่ ชนะกฎของความบาปและความตาย  วิญญาณเขาก็รอด เขาก็ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่พึ่งอาศัยในกฎใหม่นี้ เขาก็ยังอยู่ภายใต้กฎเดิมอยู่ เขาก็ถูกดูดหรือถูกผลักลงไปสู่ความพินาศ ในกฎเดิม คือกฎความบาปและความตาย

ทางเนื้อหนัง ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทำสิ่งใดต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือไม่? เป็นกระเทียมดอง กระเทียมสด เราต้องรับผลสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จำได้ใช่ไหมครับ?

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าใครทำสิ่งใด ต้องรับผลในสิ่งนั้น เปรียบเสมือนการหว่านเม็ดพืชใช่ไหม? ที่ตะกี้บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม ใช่ไหม?

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

สุภาษิตจีนบอกว่า “ปลูกแตงโม ก็ต้องแตงโม  ปลูกถั่ว ก็ได้ถั่ว”

เพราะฉะนั้น ใครหว่านอะไร ก็ต้องได้รับสิ่งนั้น สรุปคือในตอน 7 ที่เราได้บรรยายกันในสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ใช้ชื่อตอนว่าอะไรดี? “ปลูกแตงโม ก็ได้แตงโม” จำไว้นะ ต่อไปนี้ บทที่ 7 ชื่ออะไร? “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” ท่านนึกถึงปลูกแตงโม ท่านนึกถึงกาลาเทีย บทที่ 6 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน

เพราะฉะนั้น สรุปให้ฟังแล้วว่าคราวนี้ ถ้าพูดถึงชื่อตอน “นั่งเครื่องบิน” “กระเทียมดอง” “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

ท่านก็พอจะจำได้นะครับว่า “อ๋อ! มันเรื่องราว มันเป็นอย่างไร?  คืออะไร?” พอนึกออกแล้วนะครับว่าภาพรวมๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร?

“ฟังหรือยัง?”

“ตอนไหน?”

“ตอนปลูกแตงโม ได้แตงโม”

“อ๋อ! เห็นภาพเลย ใครหว่านอะไรได้อย่างนั้น หว่านทางวิญญาณ ได้วิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ได้เนื้อหนัง หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะทางวิญญาณหรือเนื้อหนัง ก็ต้องเก็บเกี่ยว เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้”

“นั่งเครื่องบิน”

“อ๋อ! นั่งเครื่องบิน ฉันอาศัยเครื่องบิน … บินได้ ในทำนองเดียวกัน ฉันอาศัยพระเยซูคริสต์ ฉันก็อยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย ไม่ต้องตกนรก”

อะไรอย่างนี้ เห็นไหม? มันง่าย ที่ท่านจะจำได้

“ฟังตอนกระเทียมดองหรือยัง? ฟังหรือยัง? หมายความว่าอย่างไร? กระเทียมดอง มันชัดนะกระเทียมดอง ก็รู้อยู่แล้ว”

“ฟังแล้วตอนกระเทียมดอง ฉันเป็นกระเทียมดอง เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง? ฉันดองกับพระเยซูไปแล้ว ฉันดองกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีทางกลับไปเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง”

มันแค่นี้เอง แล้วไปฟังรายละเอียดก็แล้วกันในนั้น จำง่ายดีนะ

มีตอนอะไรบ้างที่พูดเมื่อตะกี้นี้ นั่งเครื่องบิน,  กระเทียมดอง,  ปลูกแตงโม ได้แตงโม ท่านทราบแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์นี้ ก็มาตั้งกันต่อ

จริงๆ แล้ว ถ้าใครฟังการบรรยายในชุดซีรี่ส์นี้ มาทั้งหมด 7 ตอนเข้าไปแล้ว ครั้งนี้ตอนที่ 8 ถ้าตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ท่านจะจับประเด็นได้เลยว่าเนื้อหาทั้งหมด ที่ผมพูดมานั้น ที่บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ผมจะเน้นย้ำ ขยายความ แล้วก็วนไปวนมา อยู่ที่ 2 ประเด็นเท่านั้น ทำให้ท่านหัวเราะบ้าง? จำได้บ้าง? แต่ทั้งหมดอยู่แค่ 2 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นเอง เนื้อหาที่คุยกันมา 7, 8 สัปดาห์ ในเรื่องเกี่ยวกับเราเป็นใครในพระคริสต์ คำตอบ ก็คือเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ต้องมีคำว่า “แล้ว”

เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่ง เขาเรียกว่า “Partaker of the divinature” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพแล้ว

และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็ควรจะมีสันติสุข มีความสงบสุข ทั้งทางวิญญาณและในทางโลกนี้ด้วย

วนเวียนอยู่ 2 ประเด็นนี้ตลอดเลย  ที่เราคุยกันมาตลอด อยู่แค่นี้ 2 เรื่องนี้

ประเด็นแรก คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

          วนเวียนกันอยู่แค่นี้ว่ารอดทางฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? รอดทางฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ และวิญญาณของเราในขณะนี้ ก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานรวมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

 

ให้พูดพร้อมกันว่า “แล้ว”

แล้วนี้ สำคัญมากนะครับ “แล้ว”

ในประเด็นแรกนี้  มาถึงวันนี้ ฟังกันมาถึง 7 ตอนแล้ว ท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม? ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ตอบสิ ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … เก่ง ยอด ถ้าใครคนไหนบอกเข้าใจ แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง คนฟังทางบ้าน งง กันใหญ่เลย  ถูกไหม? เข้าใจไหม 7 ตอน ไม่เข้าใจ แต่ถามว่า 7 ตอนผ่านมา ท่านเชื่อเพิ่มขึ้นไหม?

พูดดังๆ “ใช่”

เราใช้ความเชื่อ เราไม่ได้ใช้ความเข้าใจ เห็นไหม เยี่ยมเลย เห็นไหม? ผมกลัวท่านตอบว่าเข้าใจๆ ผมกลัวมากเลย ลุ้นมาตั้งนาน เพราะฉะนั้น ถามอีกทีว่าเรียนมาทั้งหมด 8 ตอนแล้ว ท่านเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านเข้าใจไหม? ตอบครับ ไม่กล้าตอบ ไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เข้าใจ อยู่ในพระคริสต์ใครจะเข้าใจ ผมนั่งอยู่ที่นี่แล้ว นั่งอยู่ในพระเยซู อยู่ในสวรรค์สถานด้วย ใครจะไปเข้าใจเล่า แต่ผมเชื่อ … เชื่อมากขึ้นอีก เชื่อขึ้นเรื่อยๆ เลย

ส่วนประเด็นที่ 2 คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้เราได้รับสันติสุข ในระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้แบบทุกข์ทรมาน เพื่อรอวันที่พระองค์จะมารับเรากลับบ้านไปสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น จริงอยู่ว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ตามที่พระเยซูบอกจริงๆ แต่พระเจ้าก็ต้องการให้เรามีสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเช่นนั้น เช่นเดียวกันนะ แล้วมันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าคงไม่ต้องการให้เราได้รับตรงนี้ พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว

ในเรื่องของทางวิญญาณ ท่านได้รับมาแล้ว เรียบร้อยทุกอย่าง ครบบริบูรณ์เลย ทางวิญญาณนะ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทรงทำให้หมดแล้ว ถูกไม่ถูก? ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ความรอดทุกอย่าง พระพรทุกอย่างทางฝ่ายวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน ถูกไหม?

แต่ในประเด็นที่ 2 สันติสุขท่ามกลางโลกใบนี้  ซึ่งเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่วิญญาณนะ เรื่องของทางเนื้อหนัง อันนี้ยังต้องใช้ความพยายามของเรา ในการกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ กระทำตาม เขาเรียกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า เรายังต้องสนใจและต้องตั้งมั่นที่จะกระทำอยู่ และยังจำกันได้ใช่ไหมครับ? ที่ผมบอกว่าให้เราเรียนรู้จากชีวิตของอาจารย์เปาโล ถูกไหม?  ที่ท่านเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต โดยให้วิญญาณนำ วิญญาณที่มีพระวิญญาณนำ โดยวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นำ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้ ได้รับสันติสุขและความสงบอย่างแท้จริงขึ้น ซึ่งเคล็ดลับ ก็คือให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

เราจำได้ไหม? ผมเอาข้อพระคัมภีร์นี้มา เรามาทบทวนอีกทีหนึ่ง ข้อพระคัมภีร์นี้ ที่เปาโล อาจารย์เปาโลสอนเราว่าเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คืออะไร?  และต้องการให้เราทำอะไร? จึงจะได้รับสันติสุขและความสงบสุขบนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไป ชนะโลกใบนี้ได้อย่างไร? โคโลสี 3:1-4 ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ นะครับ เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้เลยคริสเตียนที่รักทุกคน

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ลองพูดตามผมนะ ใส่ชื่อท่านนะ

“ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

“รู้ไหม … ถามใคร”

“ถามตัวเอง”

รู้ไหม? ถามตัวเอง รู้ เราต้องอยู่อย่างนี้ จนถึงวันสุดท้ายที่เราจากโลกนี้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้อธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ที่บอกว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก”

จดจ่อ คืออะไร? ปักใจ จับจ้องอยู่กับไหน? อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เบื้องบนคืออะไร?  เบื้องบนคือวิญญาณ คือสวรรค์

ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Set your mind above where Christ is.” ตั้งโปรแกรมไว้ที่โน่น จดจ่อไว้โน่น ไว้ที่สวรรค์ ในโลกวิญญาณ

“ที่วิญญาณฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

Set your mind ก็เปรียบเหมือนการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะว่าจะทำอะไร ก็ต้อง Set … Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมทางความคิดในใจของเราว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? ก็คือ Set ว่าจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ

“จดจ่อที่ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน จดจ่อว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า” อย่างนี้

ที่ผมเปรียบเทียบการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะอะไรรู้ไหมครับ?  เพราะเวลาที่เราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็อาจจะ Error แล้วเวลามัน Error เราทำอย่างไร? เราก็ต้อง Reset หรือว่าต้อง Reboost ใช่ไหม?

ให้ทุกคนพูดพร้อมกันนะครับ “Error”

รู้ไหมว่า Error แปลว่าอะไร? ง่ายๆ เพี้ยน มันเพี้ยน Error แปลว่าอะไร? เพี้ยน … เพี้ยนแปลว่าอะไร? Error … เพี้ยนแปลว่าบ้าๆ บอๆ มันบ๊องไปแล้ว ว่า Error คืออะไร? มันเพี้ยนๆ มันไม่เหมือนเดิม มันเพี้ยนๆ มันทำอะไรมั่วๆ ซึ่งถ้าเครื่องดีๆ หน่อย มันรีเซทแป๊บหนึ่ง มันขึ้นมานะ แต่ถ้าเครื่องมันไม่ค่อยดี กว่าจะรีเซทขึ้น เอียงไป เอียงมา  เดี๋ยวท่านดูนะว่าคริสเตียนเป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

เช่นเดียวกัน การตั้งโปรแกรมทางความคิดจิตใจ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก Set your mind … Set out mind การตั้งโปรแกรมทางด้านจิตใจ เหมือนกันเลยนะครับ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แทนที่เราจะจดจ่ออยู่เบื้องบน ตามที่ผมบอก ตั้งใจจะจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน อยู่ที่โลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง มันก็เกิด Error  เกิดอะไร? บ่อยครั้งมันก็เกิด Error คราวนี้ภาษาไทย เกิดอาการเพี้ยน บ้าๆ บอๆ มันก็บ๊องๆ มันไม่ยอมไปอยู่เบื้องบน มันก็เกิด Error เราก็ต้องทำอะไร? เหมือนกัน ก็คือต้อง Reset หรือ Reboost เหมือนกัน ต้องรีเซทมันขึ้นมา ตั้งโปรแกรมความคิดของตัวเองขึ้นมาใหม่ เวลามันมีการ Error เกิดขึ้น จำได้ใช่ไหม? สัปดาห์ที่แล้วบอกไว้ แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ถึงวันนี้ ท่าน Error ไปกี่ครั้ง? ท่านเพี้ยนไปกี่ครั้ง? ตกจากสวรรค์มากี่ครั้ง? ตกหรือเปล่า?  หรือไม่ตก ถามจริง เดี๋ยวฟังต่อไป ท่านจะตอบเองว่าที่ตอบตะกี้นี้ ท่านตอบถูกหรือตอบผิด ตอบจริงใจหรือเปล่า? Error หรือเปล่า?

แล้วผมก็บอกว่าถ้าจะให้เรา Set mind มันต้องทำอะไร? เคล็ดลับ ในนี้บอกว่า Set คือให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้องความคิดของเรา ไปที่ไหน? โลกวิญญาณที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า  ผมบอกเคล็ดลับอยู่ที่ไหน?  เคล็ดลับ ก็คือให้เราทำอะไร? ให้เราเพียงแค่หลับตา แล้วผมก็เลยร้องเพลงแค่หลับตา เป็นเพลงที่พระเยซูร้องให้เราฟัง พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าถ้าเกิดเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังตั้งแต่เช้ายันค่ำเลย อ้าว! มาร้องด้วยกัน ได้หรือเปล่า? เดี๋ยวผมสอนให้ สมมติว่าพระเยซูร้องให้ท่านฟังนะ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่มันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เดินไปก็เห็นแต่โลกวัตถุ ฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้  และแม้เนื้อหนังร่างกาย ก็อยากให้เราทำสิ่งที่เป็นตามโลกวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับเนื้อหนังนี้ มันเหนื่อย เจอปัญหาอะไรต่างๆ เหนื่อยต่างๆ พระเยซูก็เดินอยู่ข้างๆ เรา เดินอยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา ร้องเพลงให้เราตลอดเวลาว่าให้เข้ามาหาพระองค์สิ พระองค์มีกำลังที่จะเสริมให้กับเรา พระองค์สามารถช่วยเราได้

หากวันใด ที่เธอไหวหวั่น                อ่อนล้า ทุกสิ่งดูเลือนราง

                        จะดูแลใจเธอ แม้กายเราต้องห่าง  เมื่อยามที่เธอต้องการใครซักคน

** แค่หลับตา                                   เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                                    จะมีฉันและเธอเท่านั้น                  ลำพัง  ไม่มีผู้ใด

                                    แม้โลกจะสับสน                             ผู้คนจะมากมาย

                                    แค่หลับตา  เปิดหัวใจ              ให้เราได้พบกัน **

ซึ้งไหม? ปรบมือขอบคุณพระเยซูนะ นี่เป็นคำพูดพระเยซูทั้งหมดเลย เอามาแต่งเป็นเพลง เป็นคำพูดของพระเยซูทั้งหมด พระองค์คอยเคาะอยู่ที่หัวใจเรา ไม่ใช่เคาะเฉพาะคนที่ไม่เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วก็เคาะ เพราะบางครั้ง เราลืมพระองค์ไง เราดำเนินชีวิต บางวันเรานึกว่าเราเดินคนเดียว เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์หงอยเลย  เราทิ้งพระองค์ไปเฉยๆ อย่างนั้น ตอนตื่นเช้ามาอธิษฐาน เสร็จออกจากบ้านไป ทิ้งพระองค์ไว้ที่ห้องอธิษฐาน  แล้วก็ไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เหนื่อยแสนเหนื่อย ลิ้นห้อย

“พระเยซูอยู่ไหน?”

“ก็ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลา เธอไม่เห็นจะสนใจ หลับตา นึกถึงฉันบ้างสิ จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เธอจะเห็นฉันเคียงข้างเธอเสมอ” เอเมน

          ถ้าเรา Set mind ของเรา หรือความคิดของเรา จดจ่อความคิดของเรา ตั้งโปรแกรมความคิดของเรา ให้ปักใจ ให้จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณนั่นเอง เพียงแค่เราหลับตา แล้วก็จะรับรู้ว่าเรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน แม้ว่าร่างกายเราจะยังอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่เราเห็นชัดเจนว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

 

และพอเราจดจ่อความคิดของเราอย่างนั้น อยู่เบื้องบนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ทราบไหมครับ? เมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับอาจารย์เปาโล ที่บอกเมื่อตะกี้นี้  คือเราก็จะเห็นภาพชัดเจนของโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นจริง มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่หลับตา ไม่จดจ่อตรงนี้ เราก็จะถูกหลอกตลอด สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นโลกวัตถุทั้งสิ้น สิ่งที่เรามองเห็น เขาเรียกว่าโลกวัตถุ โลกฝ่ายเนื้อหนัง คือพวกวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้นี้ และในเนื้อหนังร่างกายนี้ ซึ่งภาพมันชัดตามสายตาเนื้อเรา … เรามองมันชัด เราสามารถจับมันได้ มองเห็นได้ด้วยตาทางกาย ไม่ต้องไปจดจ่อ มันก็เห็นแล้ว แค่เดินผ่าน มันก็เห็น แค่จับมันก็เห็นแล้ว มันเห็น

แต่การที่จะทำให้เราสามารถรับรู้หรือเป็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ ในโลกฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนนั้น เรายังต้องใช้ความพยายามในการจดจ่อจับจ้อง ตั้งเป้า ที่เปาโลใช้คำว่า Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมของความคิด จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายวิญญาณ พุ่งเป้าไปที่ฝ่ายวิญญาณ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราไม่พยายามจดจ่อเลย ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ท่านคิดว่าโดยธรรมชาติของเนื้อหนัง ท่านจะเห็นภาพทางไหน? รับรู้ทางไหนชัดเจนกว่ากัน ตอบครับ? เนื้อหนังมันชัดเจนกว่าแน่นอน เห็นไหมครับ ท่านแพ้แน่นอน

ระหว่างภาพวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้  กับภาพทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระเจ้านะ ใครชัดกว่ากัน ถ้าเราไม่ตั้งใจและ Set โปรแกรมความคิดเราไว้ เราก็แพ้ เราก็ตกลงมาอยู่ที่สิ่งที่เราเห็น จับต้องได้ ความรู้สึกต่างๆ  ถูกไหม? อย่างนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ท่านคิดเองก็ได้ว่าอันไหนชัดกว่ากัน ท่านกำลังเจ็บป่วยอยู่ ร่างกายเราเจ็บป่วย เจ็บปวด … ปวดตรงนั้น เห็นชัดๆ แต่พอหลับตา ท่านเห็น

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ I am heal. ฉันได้รับการรักษาให้หายเรียบร้อยไปแล้ว จากบาปทั้งสิ้น พระเยซูรักษาฉันแล้ว เห็นไหมครับ โอกาสที่เราจะตามเนื้อหนังมันมีเยอะกว่าเยอะ  เพราะมันกระตุ้นเราตลอดเวลา มันเจ็บ แต่ถ้าเรา Set ฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าตั้งเป้าไว้ที่ฝ่ายวิญญาณ ตั้งเป้าไว้ที่ความคิดในโลกฝ่ายวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่นั่น เราสามารถมีสันติสุขได้ ขณะที่เจ็บป่วยนะครับ นี่คือสิ่งที่เปาโลบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับ … เคล็ดลับอยู่ที่แค่หลับตา คืออะไร? แค่ตั้งความคิดไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน จดจ่อไว้ที่เบื้องบน

“แม้ตอนนี้เราจะขัดสน ขาดแคลน มีคนมาทวงหนี้เยอะแยะ แต่ในวิญญาณนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีมากมายมหาศาล ฉันมีชีวิตยิ่งกว่ามหาเศรษฐีอีก”

แล้วมันเป็นจริงตามนั้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้บอกเอง พระคัมภีร์บอกกับเราอย่างนั้น มันก็ต้องใช้ฝึกเอา เห็นไหมครับ?

“ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนบาป ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด ทำอันนี้ยังผิดบาปอยู่เลย ก็โกหกเขาอยู่เลย ไม่มีดีอะไรสักอย่าง เธอต้องชดใช้กรรมของตัวเอง ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็ต้องไปใช้กรรม ใช้เวร คนเราเกิดมาใช้เวรใช้กรรมตลอดเวลา ทั้งโลกนี้ พูดอย่างนั้นตลอด เข้าหูเราตลอด ได้ยินมาตลอด”

แต่พอเราหลับตา เคล็ดลับหลับตา Set mind ความคิดจดจ่ออยู่ที่เรื่องเบื้องบน ทางฝ่ายวิญญาณปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้า ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว เป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีวันกลับไปเป็นกระเทียมสดอีกแล้วตลอดไป เอเมน อย่างนี้ถามว่าอะไรยากกว่ากัน การ Set การตั้งโปรแกรม ความคิดไปที่วิญญาณมันยากกว่า ถามว่ามันทำได้ไหม? มันทำได้นะ เปาโลจึงอยากให้เราทำไง ทำแล้วเราจะได้เหมือนที่เปาโลได้

เพราะฉะนั้นที่บอกว่าให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน หรือจดจ่อกับทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทางฝ่ายโลก มันจึงทำให้เกิดอะไรขึ้น  มันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่เปาโลรู้สึก ยิ่งจดจ่อมากเท่าไร เขาเรียกว่ายิ่งซึมซับ อิ่มในโลกฝ่ายวิญญาณมากเท่านั้น  ในระหว่างที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณเราเป็นใคร? เรารู้เราเป็นใคร? เดินไปที่ไหนเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ พระเยซูเดินอยู่กับเราตลอด ก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีสันติสุข และมีชัยชนะ และถ้าเมื่อไรที่ความคิดจิตใจของเรา เห็นภาพฝ่ายวิญญาณชัดเจน คือรับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณชัดเจน เมื่อเราจดจ่อมากๆ เราก็จะสามารถที่จะรับรู้ และเห็นภาพโลกวิญญาณมันชัดมากขึ้น ชัดมากยิ่งขึ้น มากกว่าอะไร? มากกว่าภาพทางฝ่ายโลก

มันมี 2 ภาพ 2 ข้าง ถ้าท่านจดจ่อแบบที่เปาโลบอก ท่านจะเห็นภาพในโลกฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ชัดเจนกว่าที่เห็นบนโลกใบนี้ เมื่อนั้น ถ้าท่านได้อย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อนั้น การดำเนินชีวิตของเราก็จะมีสันติสุข มีแต่สันติสุข ความสงบ ได้พบกับความสงบสุขใจอย่างแท้จริง พระเยซูได้คำนี้ว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง In deed เลย ไม่ใช่อิสระเฉพาะวิญญาณว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างเดียว แต่อิสระเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องตกลงไปในความทุกข์ลำบากเหมือนแต่ก่อน  และขณะที่เรา Set ตัวเราแบบนั้น อย่างที่ตะกี้บอก เป็นเคล็ดลับว่าเราหลับตา แล้วเราเห็นเลย  เห็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ เห็นอะไร?  โอโห้! เรานั่งอยู่ที่หัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เบื้องขวาของพระเจ้าอย่างเดียว แต่นั่งอยู่ในใจของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว มันยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะคิดได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อพระวิญญาณนำเรา แล้วเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  พระวิญญาณจะเป็นผู้  … เขาเรียกว่าเป็นพยานให้กับเรา เป็นผู้ย้ำยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่ามันเป็นจริงครับ มันเป็นจริงจ๊ะ มันเป็นจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ นั่งอยู่กับพระองค์จริงๆ

นั่นเป็นสันติสุขจริงๆ หลับตาเมื่อไรก็เห็นพระเยซูอยู่กับเรา ไม่ใช่อยู่กับเราแค่นั้น เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น และเมื่อความคิดจิตใจของเราจดจ่อได้ถึงระดับนี้ หรือระดับที่พูดถึงนี้เมื่อไร? คือระดับที่หลับตาก็เห็นเรานั่งอยู่ในพระเยซู นั่งอยู่ที่ใจพระเยซู ถ้าได้ระดับนี้เมื่อไร? ถึงวันนั้น เราก็จะเหมือนเปาโล เราก็ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก  เราก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เหมือนเปาโลที่บอกว่าถ้าเลือกได้ อาจารย์เปาโลก็อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เห็นสนุกอะไรเลย  ข้างบนมีความสุขกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้อง Set mind อีกแล้ว ถ้าไปอยู่ข้างบน เบื่อข้างล่างแล้ว  ไม่ใช่การเบื่อแบบชนิดท้อแท้ใจ จะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่เบื่อ เห็นภาพชัดเจน คิดถึงพระเยซู จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างนี้  อยากอยู่สวรรค์เร็วๆ

ลองอ่านดูนะว่าประสบการณ์ของเปาโล ต้องการให้เราได้รับอะไรเหมือนท่านบ้าง? ผมจะเอามาให้ท่านอ่านดูว่าท่านอยากได้อย่างนี้ไหม? ฟิลิปปี 1:21-26

ฟิลิปปี 1:21-26 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า 25 เมื่อแน่ใจอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อความก้าวหน้า และความชื่นชมยินดีของท่าน ในความเชื่อ 26 เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ อย่างเปี่ยมล้น เนื่องด้วยข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่า “ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก” อาจารย์เปาโลต้องการให้เราได้รับแบบท่าน

เปาโล คือผู้ที่จดจ่อความคิดและจิตใจของท่านอยู่ที่เบื้องบน ฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา คือเห็นภาพ รับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา ชัดเจนกว่าภาพของโลกใบนี้ ชัดเจนกว่าการรับรู้สิ่งของหรือสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลก็รับรู้บนโลกใบนี้ด้วย แต่ภาพของการรับรู้ทางฝ่ายวิญญาณของอาจารย์เปาโลชัดมาก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโล ก็คือท่านอยากไปอยู่ทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าแล้วตอนนี้ ไม่อยากไปอยู่บนโลกใบนี้ อยากอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ทิ้งร่างกายนี้ดีกว่า

“แต่ข้าพเจ้าไปไม่ได้ ถึงแม้อยากจะไป เพราะพระเจ้ายังใช้ข้าพเจ้าให้ทำงานอยู่ ก็เห็นแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ในร่างกายนี้  เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนพวกท่านในเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อไปไง คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ให้เป็นประโยชน์”

คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ ให้เป็นประโยชน์อยู่ ใช้ร่างกายนี้ทำงาน ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ ทำอะไรก็ได้ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่อไป บางคนคิด

“ฉันก็เหมือนเปาโลนะตอนนี้ ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน ทำไมพระเจ้าไม่ให้ไป ฉันก็ไม่เห็นไปประกาศข่าวประเสริฐที่ไหนเลย”

คำว่า “ประกาศข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนเปาโลนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ที่พระเจ้าให้ท่านยังอยู่ ก็ให้ท่านรับใช้พระเจ้า ในการประกาศข่าวดี ในรูปแบบที่พระเจ้าเตรียมให้กับท่าน อะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็เป็นแม่บ้านต่อไป  เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นอาม่า อากงแก่ๆ พระเจ้ายังไม่รับไป ก็อยู่ แสดงว่าพระเจ้าใช้เขา ใช้ทำอะไร ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้าจะตั้งชีวิตแต่ละคนไว้เป็นอย่างไร? จงขอบคุณพระเจ้า ขณะนั้น เรายังทำงานอยู่ เมื่อหมดหน้าที่ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเด็กขนาดไหน? เล็กขนาดไหน? อายุเท่าไร? ถ้าหมดหน้าที่ พระเจ้ารับไปทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง พระเจ้าดูแลให้เรื่องนี้ เอเมน เข้าใจนะ ไม่ใช่เดี๋ยวกลับไปนี้ ทุกคนพยายามที่จะหา ประกาศข่าวประเสริฐกันใหญ่ ไม่ใช่ ประกาศอยู่แล้ว ท่านทำกับข้าวอยู่ดีๆ อยู่ที่บ้าน ดูแลลูกหลาน เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน ท่านก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ พอเข้าใจไหม? เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ต้องมาทำตามกันทุกคน ไม่ต้องทำเหมือนกันหมด

แล้วเปาโล คนเดียวกัน ก็ได้รู้แล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายวัตถุ มันแตกต่างกันอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่า.-

“ในขณะที่ข้าพเจ้าขัดสน แต่ข้าพเจ้ามีพร้อม”

ฟังดู ฟิลิปปี 4:11-13 ดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ อยากได้ไหม? อยากได้มาก เป็นเหมือนเมื่อตะกี้นี้ที่ผมพูดไหม? เหมือนเลย ถ้าเราทำอย่างที่เปาโลสอนเราได้ คือตั้งโปรแกรม ความคิดของเรา จดจ่อไว้ที่เบื้องบน  เราก็จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกัน

ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”  เอเมน

 

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร?  และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็รู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร?”

และเราก็รู้ว่ายามแข็งแรงเป็นอย่างไร? ยามร่างกายร่วงโรยอ่อนแอมันเป็นอย่างไร? รู้ไหม? และข้าพเจ้าก็รู้ว่าไปไหนมิตรสหาย ก็เข้าใจข้าพเจ้าหมด กับตอนนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ มันต่างกันอย่างไร? รู้ไหม? รู้ ชีวิตบนโลกเป็นอย่างนี้

ฉะนั้นเปาโลบอกว่าอย่างไร? “ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทุกสถานการณ์เลย”

เราตะกี้นี้ บอกเราอยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดนั้น เราอยากมีความพอใจในทุกสถานการณ์ไหม? เราอยากมีความพอใจ ในตอนที่เพื่อนฝูงไม่เข้าใจเรา คนนี้ก็ไม่เข้าใจเรา ทั้งๆ ที่เราหวังดีกับเขา เราทำดี เขาไม่เข้าใจหรอก เราอยากจะมีความพอใจในขณะที่ถูกเขาเอาเปรียบเราไหม? เขาเอาเปรียบเราใหญ่เลย  เราก็ยังพอใจอยู่ ยิ้ม เราพอใจไหม?  ที่ตอนนี้ เราพยายามดูแลสุขภาพที่สุด มันได้แค่นี้ มันเจ็บป่วยไปตามวัย หรืออะไรก็ว่าไป  เราพอใจได้ไหม? เราพอใจในขณะนี้  ที่เราขาดๆ เกินๆ ไม่มีเกินหรอก มีขาดอย่างเดียว เงินก็ไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแต่หนี้สิน เราพอใจไหม? หรือเรากำลังบอกว่า.-

“ไหนๆ พระเยซูคริสต์บอกเราจะมีเยอะแยะมากมาย ไม่เห็นมีเลย”

หรือเราพูดอย่างนั้น เราบ่นอย่างนั้น หรือเราบอกว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกทำดีแล้ว ฝากไว้ที่พระองค์”

เราพอใจไหม?  ถ้าเราอยากพอใจ ไม่ยาก มันมีเคล็ดลับ มาดูกันต่อไป

เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าเผชิญเรือแตก ก็ทนได้ ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีที่จะอยู่บนโลกนี้อย่างพอเพียง เพราะข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับ”

เคล็ดลับ คืออะไร? เปาโลรู้แล้ว บอกเราเรียบร้อยแล้ว เคล็ดลับ ก็คือแค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ ใช่ไหม? เคล็ดลับ ก็คือมองไปที่เบื้องบน เคล็ดลับ ก็คือจดจ่อความคิดเราไปที่เบื้องบน เคล็ดลับของเรา ก็คือ Set ตั้งโปรแกรมเราไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราอยู่ในพระองค์ เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซู เอเมน พูดแค่นี้ยังมันเลยนะ  ภาพตอนนี้ท่านชัด เพราะท่านฟังอยู่ แต่เดี๋ยวออกจากโบสถ์ไป ท่านก็เริ่มลางเลือนแล้ว ตอนที่ออกจากนี้ไป  รถท่านถูกเฉี่ยวตอนนี้ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ก็ถูกลากลงมาอยู่บนโลกใบนี้

“รถของฉัน”

“ที่ไหนรถของเธอ? ที่ไหน?”

“บนโลกใบนี้”

“แล้วมันเป็นอะไร?”

“กระจกมองข้างมันหายไปแล้ว”

เมื่อท่านออกไป แล้วกลับบ้าน ขึ้นรถเมล์ โบกตั้งนาน มันไม่จอดเลย ไม่ยอมจอดเลย ท่านต้องรอตั้งนาน ร้อนก็ร้อน จนกระทั่งฝนตกมา แล้วรถถึงจะมาอีกคัน คันที่ 5 แล้วยอมจอดให้ท่านขึ้น ตอนนั้นท่านอยู่ที่สวรรค์หรืออยู่ที่บนโลก นั่นแหละ ที่ท่านฟังอยู่ในโบสถ์ ขณะนี้ จำได้ไหม? ท่านยังจำตรงนี้ได้ไหม?

          เคล็ดลับ คือให้เรารู้ว่าเราอยู่เบื้องบน เราอยู่ในสวรรค์ โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา

                   “โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา                  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

                   สมบัติฉันสะสมไว้                    ที่ในสวรรค์เบื้องบน

                   ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่               ณ ประตูบนวิมาน

                   และฉันรู้ว่าโลกนี้                       ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

 

ทุกวันนี้ทูตสวรรค์ยังร้องเรียกเลย “เมื่อไรจะมาๆ”

เราก็บอกว่า “เดี๋ยวรอพ่อก่อน พ่อบอกไปเมื่อไร ก็ไป”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น  โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  จะเอาอะไรกับมันมากมายนัก ใช่ไหม? นี่คือที่บอกว่าการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก มันเกิดผลอย่างนี้แหละ เอาหรือไม่เอา? อยากได้ไหม? อยากได้

คริสเตียนต้องหลับตาเดิน คริสเตียนต้องหลับตาเดินถึงจะมีชัยชนะ พระคัมภีร์บอกว่า Walk by faith Not by sight ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเดินไป แล้วท่านหลับตา ไม่ใช่นะ ขับรถก็หลับตา ตกหลุมตกร่องไป อันนั้นช่วยไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ ให้เราหลับตา เราถึงจะเห็น ลืมตา เรากลับไม่เห็น คริสเตียนเราต้องหลับตา ตรงนี้หมายถึงให้เราจับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ให้เราปักใจ จดจ่ออยู่ที่นั่น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันทำไมรู้ไหมครับ? ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ชัดมากเลย บอกว่า.-

“เพราะสิ่งที่เรามองเห็น คือวัตถุสิ่งของจับต้องได้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนสวรรค์สถาน ที่เรา Set your mind นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ เอเมน”

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เอเมน … ขอบคุณพระเจ้า เอเมน

พูดตามผมนะครับ “เพราะฉะนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่ท้อใจอีกแล้ว ถึงแม้กายภายนอกของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังทรุดโทรมไป ป่วยบ้างนิดหน่อย เจ็บโน่น เจ็บนี่ รักษาไม่หายสักที แต่วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน ได้ยินไหม? วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก ดังนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่จับจ้อง ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น บนโลกใบนี้นั้น ไม่จีรังยังยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น การเงินนั้น ร่างกายนั้น สุขภาพร่างกายนั้น ครอบครัวบนโลกใบนี้นั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่เห็นนั้น คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้นถาวรนิรันดร์ เอเมน”

ให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้อง ที่เบื้องบน ที่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ ซึ่งเห็นไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับที่ตา มองก็ตาม แต่เมื่อใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าของพระเยซูที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ คือแค่หลับตา เห็นหมดเลย เป็นไปตามถ้อยคำพระเยซูพูดทั้งสิ้น แค่หลับตา ได้ยินเสียงพระเยซูเลย แค่หลับตาได้เข้าถึงว่าพระเยซูพูดว่าอะไร? หลับตา ได้รู้ว่าน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ หรือของพระบิดา คืออะไร? สำหรับเราที่รักพระองค์ น้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าสำหรับเราที่รักพระองค์ คืออะไร? คือสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ท่านรักพระองค์ไหม? ถ้าท่านรักพระองค์ ท่านหลับตา … หลับตาเพื่ออะไร? เพื่อพอหลับตาครั้งใด ท่านจะเห็นว่า.-

“ฉันอยู่ในพระคริสต์”

นี่คือเคล็ดลับ “หลับตาเมื่อไร ฉันเห็นว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ ทั้งหมดนั้นอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ อยู่ในนั้นหมดแล้ว แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นถาวรนิรันดร์”

เคล็ดลับ คือให้เราหลับตาเท่านั้นเอง หลับตาเราจะเห็น หลับตาเราจึงจะได้ยินเสียงพระเยซู หลับตา เราจึงจะเห็นพระองค์ หลับตาแล้วเราจะเข้าใจว่าพระองค์ต้องการให้เราทำอย่างไร? หลับตาแล้วเราจะรู้ว่าเราควรดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? หลับตาลง ร้องบทเพลงนี้ร่วมกับพระเยซู

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ก่อน เทศน์เรื่องอะไร?  ตอนที่ 5 ใช้ชื่อเรื่องว่านั่งเครื่องบิน ตอนที่ 6 ครั้งที่แล้ว ใช้ชื่อตอนว่ากระเทียมดอง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 7 วันนี้ จะตั้งชื่อเรื่องหลังจากบรรยายแล้ว

ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่องผลของการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ซึ่งผมได้สรุปเป็น 2 ประเด็นหลักๆ มาย้ำกันดูนิดหนึ่ง

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะกฎเก่าไปเรียบร้อยแล้ว

กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย ถ้าใครทำผิดทำบาป แม้เพียงนิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตาย ซึ่งทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎเก่าก็ต้องตายอย่างแน่นอน เพราะทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ ตายในที่นี่ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายอยู่ ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ และเมื่อทิ้งร่างกายไปนี้ ทิ้งร่างกายที่เรามองเห็นนี้ คือตายจากโลกนี้ไป ก็จะไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย

ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายไปแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ไม่ต้องตายและตายอีกไป อยู่บนโลกนี้ ก็รู้จักพระเจ้าเลย อธิษฐานกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้าพระบิดาเลย แล้วก็เมื่อทิ้งร่างกายนี้  ร่างกายที่เราอยู่อาศัยนี้  จากโลกนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นั่นแหละเรียกว่าอยู่ในกฎใหม่ หลุดพ้นจากความบาปและความตาย หมายถึงอย่างนี้นะ นี่คือประเด็นแรกนะ

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้กลายสภาพเป็นจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่”

“ตายอยู่” ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เขาเรียกว่าวิญญาณที่ตายอยู่

เราได้กลายสภาพจากวิญญาณที่ตายอยู่นี้ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เรียกกันว่ามีชีวิตขึ้นมาทันที พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิต”

“มีชีวิต”

หันไปหาคนข้างๆ บอกว่า “เธอมีชีวิต”

ไม่ใช่ว่าเรามองเห็นว่าเขาหายใจ แล้วบอกว่า “เธอมีชีวิต”

ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ เข้าใจไหม? อยู่ในกฎใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีชีวิต ท่านทราบตรงนี้นะ แปลว่าอย่างนี้นะ เมื่อไรก็ตามได้ฟังคำบรรยาย หรือว่าอ่านเองในพระคัมภีร์ ถ้าบอกว่ามีชีวิต ท่านมีชีวิต มันหมายถึงวิญญาณนะ ไม่ใช่มาย้ำท่านว่าท่านหายใจอยู่ ท่านมีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นเรื่องของวิญญาณ ก็คืออะไร? ก็คือสภาพเปลี่ยนใหม่ จากที่เราบอกว่าสภาพที่เป็นกระเทียมสด กลายเป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ใช่ไหม? ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้ย้ำยืนยันในบทนี้  ให้กับเราอย่างชัดเจน ระหว่างความแตกต่างของการอยู่ภายใต้กฎเก่า และภายใต้กฎใหม่ใช่ไหม? ซึ่งพอจะสรุปใจความสำคัญได้อย่างนี้นะครับว่าผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จะปักใจอยู่กับความต้องการทางเนื้อหนัง ที่พยายามจะแสวงหาความรอดจากการกระทำของตนเอง เพราะเนื้อหนังของคนเหล่านี้ ที่อยู่ภายใต้กฎเก่านั้น จะคอยกระตุก คอยย้ำเตือนว่า.-

“ต้องทำดีๆ”

เพื่อชดใช้บาปเวรกรรม ซึ่งได้ยินแว่วๆ หูตลอดเวลาว่า.-

“เมื่อไรจะชดใช้บาปเวรกรรมหมดสักทีหนึ่ง คนเราเกิดมา มันก็ต้องใช้เวรกรรม เรื่องธรรมดา”

คนที่อยู่ในวิสัยบาปจะคิดอย่างนี้  ชดใช้ก็ไม่รู้ว่าหมดเมื่อไร? เราเองสมัยก่อนก็คิดอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดสักที แต่เรารู้ว่าเราต้องใช้เวรใช้กรรม ใช่ไหม?

แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือตามวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณนั้น ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นกระเทียมดอง เขาก็จะปักใจในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คืออะไร? ก็คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์เป็น คือต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน และพระองค์ก็ได้ประทานสิทธินั้นให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า คนที่อยู่ในพระคริสต์ก็จะปักใจตรงนี้แหละ เชื่อตรงนี้แหละ อยู่ในชีวิต มีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน

ครั้งที่แล้ว เราถึงได้จบลงที่ตรงนี้ว่าให้เราย้ำเน้นกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระคริสต์ มันอยู่อย่างไร? ลักษณะเป็นอย่างไร? แล้วก็ให้เราดำเนินชีวิตจดจ่อในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือให้วิญญาณข้างในเราเองนั่นแหละนำ พระวิญญาณนำ ถามว่านำใคร? นำวิญญาณของเรา วิญญาณของเรา คือใคร?  วิญญาณของเราที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นดองกับ 3 พระภาคนั่นเอง

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าให้แต่ละวันเราดำเนินชีวิตให้เน้นไปที่ไหน? ที่วิญญาณของเราก็ได้ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจไหม? หรือจะเน้นไปที่บอกพระวิญญาณนำ ก็ได้ ก็คือหนึ่งเดียวกัน เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ท่านจะมองเห็นภาพนะ เหมือนอย่างที่เปาโลพยายามที่จะบอกเราว่าเปาโลเขาได้อะไร? แล้วเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 เราจะอ่านกันนะครับ เปาโลอยากให้จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ มันสำคัญกับเราอย่างไร? โคโลสี 3:1-4 อ่านแล้วเราจะได้ปฏิบัติตาม นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา ที่บอกเราว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราควรจะทำอะไร?

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เบื้องบนตรงนี้ คือที่ไหน? เบื้องบนตรงนี้ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เราคิดว่าเป็นในสวรรค์ หรือจะบอกว่าเบื้องบน ก็คือที่วิญญาณ หรือจะบอกว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ  หรือจะบอกว่าที่เกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ตรงนี้บอกให้เราจดจ่อที่ไหน? จดจ่อที่วิญญาณ คิดว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ วิญญาณพระเยซูอยู่ที่ไหน? และเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่สติปัญญาบนโลกใบนี้

ถ้อยคำตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ควรจะทำอย่างนี้ หรือการดำเนินชีวิตโดยให้วิญญาณนำ ก็คือการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้พบกับสันติสุข ความสงบสุขมากเลยทีเดียว เหมือนที่เปาโลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ทำได้ เอเมน เรียกว่าอัศจรรย์ ชีวิตอัศจรรย์ มันเป็นไปได้จริงๆ  คือในทางวิญญาณ ใครที่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ฟังให้ดีๆ นะครับ ใครที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในทางวิญญาณนะ ก็จะได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้รับสันติสุขขณะอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่รอคอยที่วันหนึ่งพระเจ้าจะรับวิญญาณเรากลับบ้าน ทิ้งร่างเก่านี้ไป ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูต้องการให้เรา มีชีวิตอยู่ที่เต็มไปด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข แสดงว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดว่าให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข

นี่เป็นอะไร?  นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าต้องอดทน ทุกข์ๆ ไป ไม่มีทางเลือกเลยนะ  แล้วก็รอให้ไปสวรรค์ แล้วจะมีความสุข ไม่ใช่ … ใช่บนโลกใบนี้มีความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบนี้ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ตกอยู่ในความบาป  ที่อาดัมและอีฟได้นำเข้ามาบนโลกใบนี้แล้วก็จริงอยู่ แต่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? อยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราได้ชนะโลกนี้ไปแล้ว ชนะโลก ก็คือชนะสิ่งเหล่านั้น ความทุกข์เหล่านั้น ไปเรียบร้อยแล้ว ความวุ่นวาย ความวิปริต ผิดเพี้ยนของโลกใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูชนะ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย  เพราะฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบมีชัยชนะตรงนั้น  เราจะได้มีสันติสุข เขาถึงเรียกสันติสุข เขาถึงไม่เรียกความสุข มันเรียกว่าสันติสุขไง

เปาโลจึงบอกว่าวิธีการที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขบนโลกนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ก็คือ “จงให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ภาษาอังกฤษนะครับ อันนี้พระคัมภีร์ยอดเยี่ยม ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “จดจ่อ” เขาใช้คำว่าอะไรรู้ไหมครับ? “Set your mind above where Christ is.”

Set your mind” คำนี้ยอดเยี่ยม เพราะอะไรรู้ไหมครับ ถ้าแปลตรงคำภาษาไทย ปัจจุบันนะ มันตรงกับคำที่กำลังฮิตเลย ต่อไปจะฮิตมากกว่านี้ เขาเรียกว่า Set your mind แปลว่าอะไรรู้ไหม?  Set แปลว่าอะไรรู้หรือเปล่า? ตั้งโปรแกรมความคิดของท่านที่โลกวิญญาณ ที่ในสวรรค์เท่านั้น พอตั้งโปรแกรม คนรู้เลย นึกถึงคอมพิวเตอร์ นึกถึงไอโฟน ไอแพค ไออะไรเยอะแยะ ไอค๊อกแค๊ะ ท่านนึกถึง Set อ๋อ! กด เพราะฉะนั้นใครตอนนี้ Errorไป ก็ทำไม? เดี๋ยวก็กลับไป set ใหม่ set ไปที่ไหน? Set ไปที่โลกวิญญาณ set ไปที่สวรรค์

 

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์ๆ”

Set ไปตรงนี้ นี่เปาโลบอกไว้อย่างนั้น

คำว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน” หรือคำว่า “Set your mind above” ทำอย่างไรครับ? เราลองย้อนมาดูตัวเราเองนะครับ ที่ผ่านมา จะกี่ปี กี่สิบปีก็แล้วแต่ เคยมีไหมครับที่เรารู้สึกอยากได้อะไร หรือที่พูดกันบ่อยๆ ว่าฝันอยากได้อะไรบ้าง? นั่นแหละ คือ set your mind เคยไหม?  ย้อนกลับไปสิ  ท่านเคยคิดว่าอยากได้ เดี๋ยวไม่ต้องย้อนกลับไปมาก ย้อนกลับไปแค่เมื่อวานนี้ก็ได้ ท่านฝันว่าท่านอยากได้อะไร? จะคนเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็มีความฝันกันทั้งนั้น ถูกไหมครับ? หรือว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่มีความฝัน มี

บางคนก็บอกว่าฝันอยากจะไปเที่ยวไกลๆ พอหลับตา นึกถึงภาพตัวเอง นั่งอยู่ที่ชายหาดกว้างๆ  น้ำทะเลใสๆ จนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในทะเล มีเสียงเพลงเบาๆ เพราะๆ

หลับตาลงสิ ฟังผมอย่างเดียว … ฟังเพลงเพราะๆ อยู่ริมชายทะเล ลมพัดเย็นๆ เฉื่อยๆ นึกถึงภาพเหล่านี้ ยิ้มนิดๆ แค่นี้ก็มีความสุข … พอลืมตามาอีกที โอโห้! อยู่ในรถเมล์ ผู้คนมากมายร้อนแดด โอ๊ย! ร้อนๆ วันนี้ทำไมร้อนอย่างนี้ เหงื่อแตกเลย ใช่หรือไม่ใช่?

ถามว่าตอนที่หลับตาตะกี้นี้ มันมีสุขไหม? สุข ท่ามกลางอะไร?  ท่ามกลางแดดร้อน รถเมล์วุ่นวายไปหมดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ของโลกใบนี้ ถูกไหม?

นี่คืออะไร? นี่คือความสุขที่สามารถหาได้  ไม่ใช่เฉพาะมาเชื่อพระเจ้าแล้วได้  รู้วิธียังได้เลย เขายังเอาไปใช้ในการสอนหรือว่าการรักษาคนที่เป็นโรคเครียด นี่คือหนึ่งในการรักษา เขาบอกให้หลับตา แล้วยิ้ม นึกถึงอะไรก็ตามที่สวยๆ ที่ตัวเองชอบ แล้วยิ้ม

บางคนเขาก็สอนบอกว่ารักษาด้วยวิธียิ้มไม่พอ แถมนึกถึงอะไรที่มีความสุขมากๆ แล้วหัวเราะออกไปเลย  ลืมตามา เรื่องทั้งนั้น  ตอนลืมตามันหัวเราะไม่ออก แต่หลับตามันหัวเราะได้ ถามว่าให้ทำอย่างนั้น เพื่ออะไรรู้ไหม? เพราะมีกฎระเบียบของพระเจ้าสร้างไว้ว่าเมื่อร่างกายมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มีความรู้สึกในการ Set your mind จดจ่อที่ความคิด ความคิดท่านเป็นอย่างนั้นเมื่อไร? มันจะเกิดหลั่งสารสุขออกมา  นี่ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องวัตถุแล้วนะ สารสุข คือสารเคมีตัวหนึ่งที่หลั่งออกมา เมื่อเราคิดแล้วมีความสุข ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นหรือเปล่า?  ไม่เป็น ความจริงมีปัญหาเยอะแยะ เปิดตาออกมา นั่นก็ทวงหนี้  นี่ก็มาวุ่นวาย แถมยังป่วยอยู่ หลับตาเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต สารสุขหลั่งได้ เขายังเอาไปใช้ในโลกใบนี้เลยนะ ในการรักษาสุขภาพร่างกายของคน  คือการ Set your mind คือจดจ่อไปที่ทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกกันว่าคริสเตียน ควรจะมีการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยการหลับตา ไม่ใช่ลืมตา ถ้าคริสเตียนหลับตามีความสุข ถ้าคริสเตียนลืมตา มันลำบากนะ  เพราะฉะนั้นคริสเตียนต้องหลับตา เวลาอธิษฐานส่วนใหญ่เราจึงหลับตา ถูกไหม? เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ท่านต้องหลับตาบ่อย เจออะไรไม่ชอบมาพากล หลับตาก่อนเลย  แต่ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ได้นะ

ผมนึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ผมเอาคอนเซ็ปนี้ คือคริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือแค่หลับตา ถูกไหม?

ด้วยความเชื่อ คือไม่ใช่ด้วยตามองเห็น พระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผมก็เลยเอาคอนเซ็ปนี้ไปให้ไก่ สุธี เขาแต่งเพลงๆ หนึ่ง อยากให้แต่งเพลงนี้ แล้วเขาก็แต่งออกมาได้ดีด้วยนะ … หลับตาแล้วเราจะได้อยู่ใกล้ๆ พระเยซู พอเราหลับตาปุ๊บ เราไปนั่งอยู่ที่ไม่ใช่ข้างๆ พระเยซูนะ แต่นั่งอยู่ในหัวใจของเธอเลย เคยได้ยินไหม? ถ้าเป็นแบบมนุษย์เขาเรียกว่าเลี่ยน แต่ทางพระเจ้ามันใช่เลย

          ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับใคร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์ “In” เลยนะ ไม่ใช่นั่งข้างๆ In ในพระเยซู เรานั่งตรงนั้น ที่ไหน? ทางฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่หลับตาแล้วเห็น เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วเราก็นั่งอยู่ในหัวใจพระเยซู ซึ้งกันทั้งคู่เลย นี่ขนาดเขาเอาไปจีบกันได้เลย

 

พระเยซูจึงบอกว่า.-

“นี่แหนะ เราเคาะอยู่ที่หัวใจของเธอ เปิดออกสิ แล้วเราจะได้เข้าไป”

เปิดหรือยัง? เปิดด้วยวิธี Set your mind ตั้งโปรแกรมในความคิดใหม่ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ พระคัมภีร์บอกในวิญญาณเป็นอย่างไร? Set ไปตรงนั้นเลย  พระคัมภีร์บอกวิญญาณของเรา นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า Set ไปตรงนั้น ให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เพลงว่าอย่างนี้นะ

                        “แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                        จะมีฉันและเธอเท่านั้น ลำพังไม่มีผู้ใด

                        แม้โลกจะสับสน ผู้คนจะมากมาย

                        แค่หลับตา เปิดหัวใจ ให้เราได้พบกัน”

โอ๊ย! ซึ้ง แค่ฟังก็ซึ้งไปหมดเลย นี่คือพระเยซูกำลังร้องเพลงนี้กับเรา  พระเยซูกำลังบอกเราว่าดูสิ แค่หลับตา เราก็สามารถอยู่ใกล้ๆ เวลาคิดถึงพระเยซู เราจะทำอย่างไร? จะใกล้พระเยซูได้  ถ้าเราบอกว่าพระเยซูอยู่ในสวรรค์ และอยู่ไกลกันเหลือเกิน แล้วจะรอให้วันที่จากโลกนี้ไปเจอกับพระเจ้า  ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้ แต่ไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้น แล้วเหรอ?

“เมื่อไรเธอจะกลับมาจากอเมริกาสักที ฉันรอเธอตั้งนาน ไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้วเหรอ ต้องเรียนจบถึงจะเจอกันเหรอ”

“อ๋อ! มีสิ”

“ทำอย่างไร?”

“แค่หลับตาเธอยังมีฉันข้างเธอเสมอ”

เห็นไหม? คิด แล้วทำไม? หลับตาลง คิดถึงพระเยซูก็หลับตา คือผมกำลังอยากจะบอกว่าแค่ยกตัวอย่างพวกนี้ เราก็พอจะบอกเห็นภาพแล้วว่าการที่เราจดจ่อ ปักใจ หรือ Set your mind หรือว่า Set mind หรือ Set ตั้งความคิดของเรา หรือความฝันของเรา ที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะให้เป็น อยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเลย แค่เพียงเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นบนโลกใบนี้ เรายังได้ประโยชน์จากมันมากมาย ได้รับความสุข นั่งยิ้มอยู่คนเดียวได้ เหมือนเมื่อตะกี้นี้ ท่านลองคิดดูสิ และมากกว่าสักเท่าใด สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เชื่อพระเยซูแล้ว เป็นกระเทียมดองแล้ว ที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับเรา โดยการเรียนรู้แล้ว คือพระเจ้าได้เตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา และเราจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีความบาปติดตัวอีกแล้ว นิรันดร์กาล สวรรค์ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

ท่านคิดว่าคนที่คิดอย่างนี้ Set mind หรือตั้งความหวังไว้ตรงนี้ได้ ตลอดเวลาควรจะมีความสุข สันติสุข พักผ่อนในชีวิตมากขนาดไหน?  ตอบสิ มากขนาดไหน? มาก เยอะเลย นี่แหละคือที่เป็นเคล็ดลับที่เปาโลอยากให้เราได้รับ นี่แหละคือสิ่งนั้น ถ้าทำไม่ได้ เปาโลคงไม่บอก และสำหรับคนทั่วไป ที่มีความฝัน หรือมีใจจดจ่ออยู่กับความฝันบนโลกนี้นะ นึกให้ดีนะ อาจมีความสุขได้ ในขณะที่กำลังนึกฝันอยู่ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ชั่วแป๊บเดี๋ยวเท่านั้น  พอลืมตามาเจอปัญหากันหมดแล้ว แต่ในทางพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตลอดนิรันดร์ หลับตาเมื่อไรเห็นอย่างนั้น หลับตาเมื่อไรเห็นตรงนั้น แล้วมันเป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนที่ตะกี้เราหลับตาๆ ว่าเราจะไปภูเก็ต หลับตาว่าเราจะไปอันดามัน หลับตาแล้วเราจะไปมัลดิฟอะไรอย่างนี้ เราอาจจะไม่ได้ไปก็ได้นะ ถูกไหม? แต่ในทางพระเจ้า เราได้ไปแน่ๆ เห็นไหม?  แล้วมันจะมีความสุขมากกว่ากันขนาดไหน ท่านคิดดูสิ คนที่เป็นคนยืนยันกับเราว่าเราได้ไปนั้น คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งเลย  ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ควบคุมอยู่ ตื่นมาตอนเช้า เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เหมือนเดิม เราก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียวว่าที่เราฝัน ที่เรา Set your mind ที่เรา Set mind ตั้งใจ จดจ่อไว้เบื้องบนที่ว่าวันหนึ่ง เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันเป็นจริงครับ เพราะว่าผู้ที่สัญญานั้น คือผู้เดียวกันกับผู้ที่สั่งดวงอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละ มันขึ้นที่เดิมตลอดเลย ใช่ไหม?  เอเมน

แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เปาโลสอนว่าอย่างไร? เปาโลสอนบอกว่าให้เราเอาใจจดจ่อ ให้เอาความคิดของเราจดจ่อไว้กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ แต่ให้จดจ่อกับที่ฝ่ายวิญญาณของเรา  ฝ่ายวิญญาณๆ ไม่ใช่เรื่องสวรรค์อย่างเดียว แต่รวมทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราบอกสวรรค์ บางทีเราคิดแค่เพียงสวรรค์ที่ว่าเป็นสวรรค์ แต่ถ้าเราบอกว่าทางฝ่ายวิญญาณ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าไม่ใช่สวรรค์ก็ได้ บนโลกใบนี้ ก็มีวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ และฝ่ายวัตถุสิ่งของที่จับต้องได้

ลักษณะนี่แหละ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เราคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ตาม ให้เราคิด ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้ คืออย่างนี้ ยกตัวอย่าง สมมติในขณะนี้ วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่กับพระเจ้า ในไหน? ในสวรรค์ ร่างกายท่านอยู่ที่ไหน?  ร่างกายท่านอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ นั่งอยู่ ให้ท่าน Set อย่างนี้ ไปที่ไหนให้ท่านรู้ตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ตอบสิ แล้วแต่คนถาม ถ้าคนถามเข้าใจตรงนี้  ท่านก็สามารถตอบได้ ท่านอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้านิรันดร์กาล ใช่ไหม? เจ้านายไม่รู้จักพระเจ้าถามท่าน

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“อ๋อ! ฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

เจ้านายบอก “เดี๋ยวมาเอาเงินเดือนสุดท้ายไปเลย ไม่ต้องมาทำอีกแล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลด้วย”

ท่านเข้าใจไหม? ให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ท่านสามารถพูดจริงด้วย ถามว่าจริงด้านไหน? ท่านจำเป็นต้องพูดด้านไหน? ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดในเรื่องฝ่ายโลกวัตถุนี้ ก็ต้องพูดไป

“ท่านอยู่ที่ไหน?” เจ้านายถาม

“ตอนนี้อยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ตรงกรุงเทพกรีฑา เดี๋ยวเลิกตอนเที่ยง เดี๋ยวไปเจอได้ครับ”

อะไรอย่างนี้  แต่ถ้าผมอยู่บนนี้ถามท่าน กำลังเทศน์อยู่ ถามท่านว่า.-

“ขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน?”

สามารถตอบได้ “วิญญาณฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน”

ถ้าเรา Set  ตั้งความคิดของเราบนโลกวิญญาณอย่างนี้ตลอดเวลา  ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป เอาง่ายๆ นะ สมมติว่าขับรถอยู่ มีคนตัดหน้า ท่าน Set ความคิดท่านอยู่ที่ในสวรรค์ ท่านจะตอบโต้เขาว่าอย่างไร?

“พระเจ้า เอาอย่างไรดี อภัยให้มันแล้วกัน พระเยซูเอาไงดีล่ะ”

พระเยซูบอก “อภัยให้เขาแล้วกัน”

“โอเค”

แต่ถ้าท่าน Set ตั้งความคิดท่านบนโลกใบนี้ ท่านจะทำอย่างไร? คิดเอาเองแล้วกัน

สัปดาห์ที่แล้วผมยกตัวอย่างหิวข้าว จะไปกินข้าว เข้าไปถึง เข้าไปก่อน สั่งก่อน ได้หลัง ท่านก็ต้อง Set อะไร? Set วิญญาณของท่าน … ท่านก็จะปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ถูกไหม? เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสุขภาพไม่ดี  เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ทำดีที่สุด ก็ได้แค่นี้ ป่วยๆ ออดๆ แอดๆ Set ไปที่วิญญาณ ปรับตรงไปที่วิญญาณ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ มันเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ทำดีที่สุดแล้วนะ ไปหาหมอ กินยาอะไร ดูแลสุขภาพ แล้วมันได้แค่นี้เอง Set กดไปที่วิญญาณ พุ่งไปที่ … จดจ่อไปที่วิญญาณ สันติสุขมันก็สามารถมาได้ ท่ามกลางความเจ็บป่วย

นี่คือความหมายของการให้เอาใจและความคิดจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน คือฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก หรือเรียกว่าเนื้อหนัง ต่อไปนี้ ต้องจำไว้ให้ได้นะครับว่าจากนี้ต่อไป พระคัมภีร์จะมีอยู่แค่ 2-3 คำนี้ จะต้องจำให้ได้ว่าถ้าเป็นเบื้องบน ก็คือสวรรค์ ถ้าเป็นเบื้องล่าง ก็คือนรก ถ้าเป็นเบื้องบน ก็เป็นเบื้องบนสวรรค์ ในวิญญาณ ถ้าเป็นฝ่ายโลก ก็เรียกว่าเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง วิสัยบาปของเนื้อหนัง มันมีอยู่แค่นี้ ท่านจะต้องนึกเห็นภาพเหล่านี้  ท่านจะสามารถเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าได้มากขึ้นว่ามันคืออะไร? กำลังคุยถึงเรื่องอะไร?  ซึ่งตอนนี้หลายท่านก็เข้าใจมากขึ้นเยอะนะครับ ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้จบกันไปเมื่อตะกี้นี้ ที่สรุป

ที่ตะกี้นี้ เพิ่งแค่สรุปตอนแรกนะ เพิ่งสรุปสัปดาห์ที่แล้ว ที่เทศน์มา นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นของวันนี้เลย วันนี้จะเริ่มต้นแล้ว เทศน์มา 4-5 ตอน ครั้งที่แล้ว บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง ผมก็กลัว ต้องรีบมาแก้ มาบอกว่าให้เราคิดอย่างไร?  บางคนไปฟังคำเทศนามา 6 ตอนแล้ว พอได้ฟังทั้งหมดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ เราได้เป็นกระเทียมดองกับพระคริสต์ไปแล้ว  ไม่สามารถกลับเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เราได้รับความรอด เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่สามารถกลับเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

ทุกคนตอบว่า “เอเมน”

ซึ่งมันเป็นจริง แต่ผมก็เป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนรู้ตอนนี้ ในนี้ ตั้งแต่เรียนมา รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นกระเทียมดอง เราเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดใหม่เอี่ยม เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีบาป ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว  และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว  ไม่สามารถกลายมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว ที่ผมห่วงก็คืออะไร รู้ไหมครับ? ก็คือเมื่อทิ้งท้ายไว้อย่างนี้  เมื่อสอนมาอย่างนี้ คือผมเกรงว่าอาจจะมีบางคนฟังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย ถามว่าสบายใจ เพราะอะไร? มั่นใจว่าได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าว่าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ แล้วผมก็บอกตามที่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ทุกคนก็สบายใจ อันนี้มันสบายใจมากเกินไป เลยเป็นห่วง กลัวว่าจะมีคนสบายใจอย่างนี้ว่า.-

“ต่อไปนี้ จะทำผิดทำบาปอะไรก็ได้แล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวต่อบาปอีกแล้ว ยังไงๆ ฉันก็ได้รับความรอดอยู่ดี ได้อยู่ในพระคริสต์อยู่ดี ได้ไปสวรรค์อยู่ดี”

ใช่หรือไม่ใช่? บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ไง นี่แหละ เพราะว่าอะไร?  เพราะเรายังอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม ถึงแม้เราจะข้างในสะอาดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในความคิดเก่านี้ มันก็จะอย่างนี้แหละ ก็คิดอย่างนี้ได้

วันนี้ ผมเลยจะมาปิดรูให้หมดเลย เอาให้เสร็จเลย หนีไม่พ้นเลย คนที่คิดอย่างนี้ ตั้งใจฟังหน่อยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ จะตั้งใจอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ก่อนอื่น คืออย่าลืมนะครับว่าทั้งหมด ที่เราฟังกันมาในเรื่อง “อยู่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? เราเป็นใครในพระคริสต์นั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณทั้งนั้น  ผมย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่ออยู่ในพระคริสต์แล้ว จะทำบาปแค่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อันนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่นะครับ เพราะใครที่ทำบาป ฟังให้ดีนะ ก็ยังคงต้องรับผลของความบาปอยู่ดี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับทางวิญญาณครับ เยาะเย้ยนิดหนึ่ง คำละเรื่องกันครับ

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าใครทำสิ่งใด ก็จะต้องรับผิดชอบในผลจากการกระทำสิ่งนั้น เปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราหว่านอะไรลงไป ก็จะได้รับผลจากสิ่งที่หว่านนั้น เคยได้ยินสุภาษิตจีน เขาบอกว่าอย่างนี้

ปลูกแตงโม ได้อะไร?  มันก็ต้องได้ถั่ว เอ้อ! ไม่ใช่ ปลูกแตงโม ก็ต้องได้แตงโม ปลูกถั่วก็ต้องได้อะไร?  ท่านเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องเทศน์แล้ว ท่านรู้แล้วเนี้ยว่าปลูกถั่ว ต้องได้แตงโม ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้  ท่านยังรู้เลย มันเป็นไปไม่ได้ ปลูกถั่ว ต้องได้ถั่ว ทำอะไรก็ต้องได้อันนั้น จะมาบอกว่า.-

“อยู่ในพระคริสต์ ฉันปลูกถั่ว จะได้แตงโม”

ได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน กาลาเทีย 6:7-8 บันทึกไว้นะ ให้ท่านอ่าน

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ค่อนข้างขู่ท่านนิดหนึ่งว่าให้ท่านตั้งใจฟัง เพราะว่ามันต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ แต่มันไม่ยากนัก ท่านจะเห็นชัด สว่างเลย

ไม่ว่าเราจะเป็นกระเทียมดอง หรือกระเทียมสด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม

ให้เราพูดพร้อมกัน “ไม่ว่าฉันจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่ฉันหรือเรากระทำไป ที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป … บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Miss the target ซึ่งผมเคยอธิบายบ่อยๆ ว่าบาปแปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ มันผิดเป้าหมาย เรียกว่าบาป พระเจ้าตั้งใจให้เราไปทางซ้าย เราไปทางขวา เรียกว่าเรากำลังทำบาป เข้าใจนะ

เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่าทำบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เราต้องเก็บเกี่ยวผลของมันตามที่พระคัมภีร์บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น ฟังให้ดีนะ หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าทางฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณก็ตาม เราก็ต้องเก็บเกี่ยว มันมี 2 อัน ทั้งฝ่ายโลก เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่าที่เรากระทำนั้น มันเกี่ยวข้องไปทางด้านไหน? ไปทางด้านฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณ

สำหรับถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านในกาลาเทีย ตะกี้นี้ ในบริบทนี้ เล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณครับ เมื่อตะกี้เราอ่านเล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณ หมายถึงรวมๆ นะ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณก็จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ทางฝ่ายโลกได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกฎที่พระเจ้าวางเอาไว้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวฟังต่อไป

ในนี้บอกว่าอะไร? ตะกี้เราอ่านพร้อมกันบอกว่าอะไร?

“อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ … อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า”

          เราไม่สามารถที่จะปิดบังพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงทราบหมดทุกสิ่ง แม้ว่ามนุษย์บนโลกใบนี้มอง จะเห็นว่าเขาเป็นคนดี หรือเราเป็นคนไม่ดี หรือเรากำลังทำดี หรือเรากำลังทำไม่ดี ก็ตาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่พูดคนนั้นเลย  แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่กำลังมองเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าเนื้อแท้ข้างในวิญญาณของเรานั้น เราเป็นอย่างไร?  คิดอะไร?  ตั้งใจอะไร?  เราหลอกลวงคนได้ แต่เราหลอกพระเจ้าไม่ได้ นั่นหมายความตรงนี้  ตรงนี้มันหมายความอย่างนี้ เข้าใจแล้วนะ

 

ต่อไปบอกว่า “ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น” ฟังให้ดีนะ

หมายถึงผู้ที่จดจ่อในวิสัยบาปของตัวเอง จากวิญญาณข้างในนี้ ที่มีบาปติดอยู่ ฟังให้ดีๆ บาปที่มันยังติดอยู่ ในวิญญาณข้างใน ก็คือยังไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกไหม? จากวิญญาณข้างในที่มีบาปติดอยู่ ที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง กบฏต่อพระเจ้า ต้องการพึ่งตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเรียกกันตามธรรมชาติว่าบาปในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำนี้

“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” หมายถึงตรงนี้ ข้างในนะ ข้างในวิญญาณ ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งถ้าเขาหว่าน ฟังให้ดีนะ ถ้าเขาหว่านความไม่เชื่อในวิญญาณนี้ลงไป หว่านก็คือจดจ่อตรงนี้  จดจ่อๆ จดจ่อที่ความบาป ก็คือไม่เชื่อ เขากำลังทำอะไร? เขากำลังทำบาป ก็คือไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขากำลัง Miss the target เขากำลังพลาดเป้า วางไว้สำหรับเขา คือเขาไม่เชื่อในพระเยซู ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขาว่าเขาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังอยู่ในภายใต้บาปเหมือนเดิมอยู่ดี แล้วยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศจากบาปทางวิญญาณตามนั้น เอเมน เข้าใจไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ แค่นั้นเอง

ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือในวิญญาณ ตอนนี้ท่านรู้แล้ว วิญญาณหรือพระวิญญาณ คนที่หว่านเข้าไปในทางเรื่องด้านวิญญาณ ก็คือผู้ที่จัดจ่อในทางวิญญาณ จดจ่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู อยู่ภายใต้กฎใหม่ในพระคริสต์ เชื่อและพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขารู้ตัวตลอดเวลา เขาตั้งจิตใจจดจ่อในนี้ เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้ ตัวเองต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการพึ่งในพระเยซู ต้องการพระองค์ Need เลยล่ะ จำเป็น

“ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันไม่รอด” พูดง่ายๆ

คนนั้นก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของการหว่านอย่างนี้  ผลคืออะไร? ในพระคัมภีร์บอกชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นอิสรภาพจากการถูกลงโทษ เนื่องจากความบาปนั่นเอง เอเมน แค่นี้เอง ตะกี้นี้ที่อ่านมาทั้งหมด เป็นอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้  แน่นอน ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ เห็นไหม? ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หลอกมนุษย์ ไม่ตั้งใจหลอก แต่มนุษย์อาจจะเข้าใจผิด แต่พระเจ้าไม่เข้าใจผิดหรอก ชัดเจน ในกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อข่าวประเสริฐในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือไม่? ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐอย่างจริงใจหรือไม่? ฟังให้ดีนะ ไม่ใช่เชื่อข่าวประเสริฐอย่างเดียว ท่านเชื่ออย่างจริงๆ หรือเปล่า?  ไม่มีใครรู้ คนข้างๆ ท่านก็ไม่รู้ ถามว่ามีผู้รู้ไหม? มี ใคร? พระเจ้ารู้ พระองค์ทรงเห็นลึกเข้าไปในวิญญาณของเราว่าเราเชื่อจริงหรือเปล่า?

เช่น เอาง่ายๆ นะ บางคนอาจจะมาโบสถ์เป็นประจำ แต่มาเพราะว่าเขามีกิจกรรมที่โบสถ์ เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้  หรือคนมาเป็นประจำ มาเพราะครอบครัวมาทั้งหมด เลยตามมาด้วย  หรืออาจจะแม่บังคับให้มาก็ได้ หรือแฟนอาจจะบังคับให้มาก็ได้  มาเพื่ออยากได้แต่งงานก็ได้ ใครจะรู้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหม?

กับอีกคนหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยได้มาหรอก มาขาดๆ หายๆ เพราะว่าเขาติดธุระ มีภารกิจจำเป็นที่ต้องทำ มาไม่ได้จริงๆ แต่จิตใจเขา เขาเชื่อพระเยซูอย่างจริงๆ เลย  จดจ่ออยู่ที่พระองค์อยู่ตลอดเวลาเลย

ตาเราอาจจะมองเห็น 2 คนนี้ไม่เหมือนกัน ถูกไหม? เราอาจจะพิพากษาตามสายตาของเรา จะพิพากษาว่าคนที่ไม่ค่อยได้มานั้น ซวยแน่เลย เราพิพากษาเขาไปแล้ว ตามสายตาเรา ก็ต้องคิดว่าคนที่มาโบสถ์เป็นประจำ ต้องเชื่อจริงๆ แน่ๆ เลย แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หลุดรอดจากการตัดสินของพระเจ้า  จากสายพระเนตรของพระเจ้าไปได้เลย ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เอเมน

และถ้าเรานำข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อพระคัมภีร์ตะกี้นะ มาใช้ในทางโลก เช่นเดียวกันกับที่บอกว่าผู้ที่หว่านวิสัยบาปของเขา ก็คือผู้ที่ทำ Miss the target ถูกไหม? ตะกี้ที่ผมบอก ผู้ที่หว่านวิสัยบาป ก็คือผู้ที่กระทำ Miss the target ก็คือทำบาป ทำผิดน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ตรงตามเป้าหมายพระเจ้า แม้ว่าวิญญาณของเขานะ จะได้รับการสร้างใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนที่จริงๆ เลย เป็นกระเทียมดองแล้วจริงๆ สะอาดหมดจดแล้วจริงๆ และวิญญาณของเขา ข้างในของเขา ก็ไม่อยากทำบาปแล้วจริงๆ ด้วย แต่เพราะเขาอาจยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ที่มีความสกปรก มีเชื้อของความบาปอยู่ มันไม่อาจหรอก มันเป็นเลย แต่เขายังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้  ที่มีเชื้อบาปอยู่แน่ๆ เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ในขณะนี้  ก็เลยถูกล่อลวงด้วยวิสัยบาป ในเนื้อหนังนั้น ในร่างกายที่เป็นร่างกายเก่านั้น คือพูดง่ายๆ คือสู้ไม่ไหว แพ้เนื้อหนัง อาจจะล้มลงในการทดลอง อาจทำบาปเข้า จะทำนานๆ ที หรือทำเป็นประจำก็ตาม เขาก็ยังจะยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศ หรือเรียกว่าความเสียหาย จากการกระทำนั้น คือยังต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในชีวิตเขาอย่างแน่นอน เอเมน ไม่ใช่พอมาเชื่อพระเจ้า ก็ยกเว้น ไม่ได้ มันเป็นกฎของพระเจ้า พระเจ้าควบคุมดวงดาวต่างๆ ขึ้นตามที่พระองค์บอกทั้งหมดได้อย่างไร? ถ้าพระองค์บอกอันนี้เอา อันนี้ไม่เอา แล้วกฎคืออะไร? ไม่รู้ แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรม … เที่ยงธรรมตรงนี้ หมายถึงตรงนี้ด้วย แต่ทั้งนี้ เป็นคนละเรื่องกันกับทางวิญญาณนะครับ ในสิ่งที่เขาได้รับตะกี้นี้ เข้าใจไหมครับ? เขาเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป มันคนละเรื่องกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะวิญญาณได้รับความรอดไปเรียบร้อยแล้ว ย้ำอีกที วิญญาณเขาได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ทางโลกเขาต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งที่เขาได้กระทำไป ไม่มีทางหนีได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะมันเป็นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมดองหรือกระเทียมสดก็ตาม ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งนั้น

“เอเมน” พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ๆ ขอบคุณพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนไม่เชื่อ ทางวิญญาณ ในทางวิญญาณ คนไม่เชื่อ ในวิญญาณเขาไม่เชื่อเรื่องพระเยซู ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกหรือเปล่า? ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด เป็นคนบาปอยู่ เป็นวิญญาณบาปอยู่ ถามว่าถ้าเขาหว่านหรือทำ เรียกว่าทำก็แล้วกัน เพราะทำกับหว่านอันเดียวกัน ถ้าเขาหว่านหรือทำในสิ่งที่ดี เขาก็จะได้ดีไหม? ถามอีกที ได้ดีไหม? เขาไม่เชื่อนะ กฎนี้ เป็นกฎตายตัว ทุกคนทำตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เห็นไหม? แม้ว่าเขาจะอยู่ในความบาป แม้ว่าวิญญาณเขาจะอยู่ในความบาป แต่ถ้าเขาทำสิ่งดี เขาได้รับสิ่งดีกลับตอบไหม? ได้รับ และมีไหม? เป็นไปได้ไหมที่คนที่ยังไม่ได้กระเทียมดอง แล้วทำดี มีไหม? มีหรือไม่มี? คิดให้ดี มีเยอะแยะเลย ท่านจะเห็นภาพหรือยัง? เห็นเยอะแยะเลย

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาบริจาคถวายเงินสร้างโบสถ์ได้ไหม? ได้หรือไม่ได้? และการสร้างโบสถ์เขาถวายคนเดียวหมดเลย ทั้งที่ดินด้วย สามารถทำให้เขาเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหม?  เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไปได้หรือไม่ได้? ไม่ได้ แต่เขาจะได้รับพระพรทางฝ่ายโลกใบนี้ เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพเลยนะ ถูกไหม? ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้เกี่ยวกับทางวิญญาณ มันไม่ได้กระทบถึงฝ่ายวิญญาณเขาเลย  เขาทำดี แต่ความดีนั่นไม่สามารถมาทำให้วิญญาณเขากลับกลาย หรือมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นกระเทียมดองแล้ว เกิดใหม่ ในวิญญาณของเขาข้างในแล้ว ถามว่าเขามีโอกาสไปทำไม่ดีไหม? มีหรือไม่มี? มี และการกระทำที่ไม่ดีของเขา ทำให้กลับกลายเป็นกระเทียมสดไหม? กลับกลายเป็นวิญญาณบาปเหมือนเดิมไหม? เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เห็นไหม? ท่านตอบเองหมดแล้ว ผมกลับบ้านดีกว่า ท่านตอบเองหมดแล้ว

เพราะว่าอะไร? ทำไมถึงไม่ได้ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับเปลี่ยนตรงนั้นได้ ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถไปจัดการกับทางวิญญาณได้ว่าวิญญาณจะได้กลับมาใหม่ กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดในพระเจ้าได้ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ ติดต่อกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาปได้ ก็โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์เท่านั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือทางพระเยซูเท่านั้น  แต่ถ้าเขาหว่านในสิ่งที่เป็นโลกใบนี้ จะหว่านดี เขาก็ได้ดี หว่านไม่ดี เขาก็ไม่ได้ดี  มันก็ยังคงอยู่ตลอดไปนั่นแหละ

นี่จึงเป็นการสนับสนุนพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ ดูแลหมดทุกกฎ ทุกระเบียบ พูดไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลำเอียง เห็นแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่บอกว่า.-

“ดีใจจัง ต่อไปนี้ทำบาปได้เยอะๆ”

ก็เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ก็ไปหว่านก็แล้วกันเถอะ ท่านจะได้เก็บเกี่ยวแตงโมเยอะๆ ถ้าอยากได้แตงโม ก็เก็บเกี่ยวเข้าไป ถ้าอยากได้ถั่ว ก็ใส่ถั่วเข้าไป อยากได้ดีๆ ก็ใส่ดีๆ เข้าไปเยอะๆ ถ้าอยากได้ไม่ดี ก็ใส่เข้าไปสิ เดี๋ยวได้เองแหละ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราโลภ เราก็ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? ซึ่งเรียกกันว่าทำบาปใช่ไหม? พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นคนโลภใช่ไหม? เรากำลังทำผิดเป้าหมายพระเจ้าทำไว้ ก็คือทำบาป คือถ้าเราแปลตรงๆ อย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดว่าเราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนาเลย เรากำลังมาพูดถึงเรื่องกฎ เหมือนวิทยาศาสตร์เลย มันธรรมดา เหมือนธรรมชาติ ที่เขากำลังค้นหาวิทยาศาสตร์เรื่องไฮโดรเจนอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเลย ทำบาป ก็คือทำบาป ทำไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า … ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า Miss the target เรียกว่าเมื่อไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าวางไว้แล้ว ถ้าทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีๆ  ทั้งโลกนี้ ทั้งวิญญาณด้วย ดีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราฝืนมัน เราก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี

พระเจ้าบอกให้เรานอนหัวค่ำ เราไปนอนดึก เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกกินพอดีๆ เรากินเยอะ เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกให้เราหุ่นดีๆ เราไปหุ่นไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกน้ำหนักควรจะประมาณนี้ เราไปน้ำหนักเกินมาก ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

มันเป็นเหตุและผลทั้งนั้น

          เรื่องถ้าเราโลภ ก็เท่ากับทำบาป  เรากำลังทำไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าไม่ทำตาม มันได้คำสาปแช่ง เหมือนอาดัมและอีฟ ตัวเขาเองไม่ทำตามพระเจ้า พอไม่ทำตามพระเจ้า อะไรเข้ามา คำสาปแช่ง ทุกคนอ่านใหม่ๆ ตกใจ พระเจ้าสาปแช่ง … สาปแช่ง นี่ก็คือได้สิ่งที่ไม่ดีไง เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป แค่นั้นเอง เหมือนเรากินเยอะเกินไป ท้องอืดนั่นแหละ พอเรากินเยอะเกินไป เกิดอะไรขึ้น  เกิดคำสาปแช่งในท้องของเรา คือท้องของเราจะเกิดความอืด พอเรากินอะไรที่ไม่สุก มีพยาธิเข้าไป เราก็จะท้องเสีย … ท้องเสีย คืออะไร? คือถูกสาปแช่ง แต่พอเราบอกถูกสาปแช่ง แล้วไม่อธิบาย คนกลัว

 

“สาปแช่งฉัน”

มันก็คือผลนั่นแหละ ผลไม่ดี เขาเรียกสาปแช่ง แต่ถ้าผลดี เขาเรียกพระพรไง เรียกว่าพร

โอเค! เรารู้แล้วว่าทำไม่ดี ทำผิดตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าทำบาป

ท่านทราบไหมครับว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ความโลภ ถือว่ามีพิษรุนแรงมากที่สุด ตัวหนึ่ง เพราะเป็นต้นเหตุหลักที่นำไปสู่บาปตัวอื่นๆ และเป็นบาปที่นำไปสู่ความชั่วอีกมากมายเลย มีคำกล่าวเกี่ยวกับความโลภไว้ว่าเราควรกลัวความโลภ ซึ่งเป็นบาป เพราะมันจะนำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายที่สุด

ความโลภเปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่ทำให้มนุษย์มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะเห็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าสำคัญกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมครับ? เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เรื่องความโลภ นำไปสู่ความชั่วเยอะแยะมากมายไปหมด ทำให้คนฆ่ากันตายได้ เพราะความโลภนี้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน ฆ่ากันได้ เพราะความโลภ

นี่ก็เป็นตัวอย่างของคนที่หว่านความโลภ ซึ่งเป็นวิสัยของบาป ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ก็ต้องได้รับผลของความโลภ ที่พูดมาตะกี้ทั้งหมด เห็นไหมครับ? พี่น้องฆ่ากันหมดเลย ก็เพราะความโลภ เห็นไหม? ไม่เกี่ยวเลย เขาหว่านสิ่งนี้ เขาก็ต้องได้สิ่งนั้น แม้คนที่เชื่อพระเยซูเอง  หว่านตรงนี้ เขาก็ได้เก็บเกี่ยวตรงนี้

ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม? มีผู้รับใช้ที่ต้องขังอยู่ในคุก ผู้รับใช้คนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทนกับความล่อลวงไม่ได้ เขาต้องการใช้เงิน มีปัญหาจำเป็น ต้องใช้เงินในครอบครัว พอดีมีโอกาสผ่านเข้ามา ในการที่จะขายของเถื่อน ของที่หนีภาษี ของที่ผิดกฎหมาย  เขาเลยอธิษฐานกับพระเจ้าว่าเขาขอทำครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ทำ แล้วเขาก็ได้เงินมาจริงๆ จำนวนมาก แล้วก็เอาไปใช้หนี้ ใช้อะไรต่างๆ หมดไป ปรากฏว่าในที่สุด ผ่านไประยะหนึ่ง เขาเดือดร้อนอีกแล้ว เขาก็เลยบอกกับพระเจ้าว่าขออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว แล้วเขาก็ไปขายของเถื่อน คราวนี้ถูกจับได้ แล้วติดคุกเลย

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง  ที่ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเรายังฝืนทำอยู่ เดี๋ยวมันโดน ถ้าเรารีบเลิก มันอาจจะโดนน้อยหน่อย หรืออาจจะรอดจากหนักเป็นเบา

เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเก็บเกี่ยว หรือแม้กระทั่งความโกรธก็ตาม ความโมโห พระเจ้าบอกให้เราสงบนิ่ง ให้อภัย แต่เราฉุนเฉียวๆ คนอื่น ขับรถเฉี่ยว ไม่เบื้องขวาพระเจ้าแล้ว บนโลกนี่แหละ วิ่งเข้าไปสู้กับเขา ไปด่าเขาอย่างนี้  เขาเปิดประตูออกมา เอาปืนยิง ไม่ตาย แต่อาจเป็นอัมพาต คุ้มไหม? ก็มันเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างนี้

ผมพยายามอธิบายให้เราฟังบ่อยๆ ว่าเมื่อพระเจ้าเตือนแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ  ทั้งทางฝ่ายวิญญาณ และทางฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำ ในทางด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายโลกก็ตาม เราจะต้องเก็บเกี่ยว ถ้าเผื่อมันไม่ดี เราต้องเก็บเกี่ยวแน่นอน ในทางตรงกันข้ามนะครับในการทำบาปกับวิสัยบาป กับการทำ Miss the target เราทำอีกด้านหนึ่ง  อีกด้านหนึ่ง คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจเราก็สบาย ไม่มีศัตรู ใครเขาจะมายิงเราเหรอ ถูกไหม? เรานิ่งซะ มันก็สงบ มันก็ไม่เกิดเรื่อง หรือเกิดน้อยหน่อย

เพราะฉะนั้น บอกตรงๆ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเราหรอก หลายคนชอบบอก พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าไม่มานั่งลงโทษหรอก เพราะอะไรรู้ไหม? พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเรา แต่มันจะเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ตำรวจเขาไม่มาจับท่านหรอก แต่ใครจับรู้ไหม? กฎหมายจับท่าน ตำรวจเขาไม่ได้ปรับท่านหรอก แต่ใครปรับ กฎหมายปรับท่าน ตำรวจไม่ได้จับท่านติดคุกหรอก ใครจับท่านติดคุก ศาลก็ไม่ได้สั่งให้ท่านติดคุกหรอก ใครสั่งให้ท่านติดคุก กฎหมายที่ตราไว้ว่าคุณฆ่าคน คุณต้องติดคุก ไม่ใช่ศาล … ศาลแค่ทำตามอะไร? ทำตามคำสั่งในนั้น มันเป็นตามนั้นอยู่แล้ว ในยอห์น 3:17-18 อ่านตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันกฎของมันอยู่แล้ว ถ้าใครทำตาม ก็ได้ ถ้าใครไม่ทำตาม ก็เสร็จ

ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษมนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์

อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษ ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์นะ พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์ … พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปนะ  … พระองค์ไม่ได้มาลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ  เปล่าเลย  คือเขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์ที่เราอ่านตะกี้นี้ เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ด้วยกฎของความบาปและความตายที่มีอยู่ดั่งเดิม ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดอีก ถูกไม่ถูก?

เพราะฉะนั้น ใครทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น ทุกสิ่งที่เรากระทำ ต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในทางโลกหรือทางวิญญาณก็ตาม และผลที่จะเกิดขึ้น เป็นไปตามเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ตามเวลาที่เราคิด หรือเราต้องการ เราหว่านในวิญญาณ แล้วก็ได้ทางวิญญาณ หว่านทางโลก ก็ได้ทางโลก

เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนหว่านในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ทุกคนเรียกกันว่าความดี หว่านความดี ทั้งความดีในวิญญาณ และดีในทางโลก ท่านจะได้เก็บเกี่ยวผลดีในทางวิญญาณและในทางโลกด้วย กาลาเทีย  6:9-10 จึงบอกต่อมาว่าให้ทำอย่างนี้ อ่านเอง

กาลาเทีย 6:9-10 “9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บ ในเวลาอันสมควร 10 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ”

 

เอเมน เห็นไหม? เราจะได้รอดทั้งวิญญาณด้วย และในขณะเดียวกัน อยู่บนโลกนี้ ก็มีสันติสุข มีความสุข เท่าที่มันควรจะเป็น ที่พระเจ้าให้ไว้ และสัปดาห์หน้าก็มาเรียนรู้กันต่อไปว่าจะดำเนินกันอย่างไรต่อไป อย่าลืมตั้งชื่อเรื่องที่ผ่านมานี้ จะเรื่องอะไรนะ ส่งจดหมายไปที่บ้าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 6 “กระเทียมดอง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 6 “กระเทียมดอง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ เราก็ยังอยู่ในหัวข้อการบรรยายเรื่องซีรี่ส์เดิมนะครับ ก็คือเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนนี้เป็นตอนที่ 6 แล้ว … แล้วทุกครั้ง ผมก็จะเริ่มต้น ถามคำถามท่าน คำนี้แหละ 6 ตอนมาแล้ว ถามว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และท่านก็จะตอบผมทุกครั้งว่าไม่รู้ 6 ตอนแล้ว อย่างน้อยรู้สักนิดหนึ่ง ก็ยังดี ลองถามคนข้างๆ

“เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองถามคนข้างๆ นะครับ และผมก็จะถามไปเรื่อยๆ ต่อจากนี้ไป  ถ้ามีการบรรยายเรื่องนี้เมื่อไร? ก็จะถามอย่างนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะว่ามันเป็นหัวข้อเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” คำตอบคราวๆ พอจะจำได้ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ … แล้วเราเป็นอะไรอีก … เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นผู้ที่ดองกับพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ เป็นเนื้อเดียวกันกับพระคริสต์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูดเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ กับกฎใหม่ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ จำได้ไหมครับว่าผมยกตัวอย่างเรื่องอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว กฎธรรมชาติ ผมได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดของโลก ดูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นวัตถุอะไรก็ตาม เมื่อขึ้นไปในที่สูง ก็จะต้องตกลงมา ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ ถูกไหมครับ แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เพราะกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบินได้เอาชนะเหนือกฎแห่งธรรมชาติ ก็คือกฎแรงดึงดูดของโลก

ทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติของทางวิญญาณนะ ทางวิญญาณ กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตาย อันนี้ชัดเจน จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี มนุษย์ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี กฎเวรกรรม กฎแห่งกรรม นี่แหละคือกฎของความบาปและความตาย แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่ใต้กฎแห่งบาปและเวรกรรมอีกต่อไป และกฎใหม่นี้ ชื่อกฎว่ากฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ จำได้ใช่ไหมครับ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ยังจำสมการที่เราสรุปกันครั้งที่แล้ว ได้ใช่ไหมครับ? มาทบทวนนิดหนึ่ง สมการของตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ เทียบกันระหว่างโลกวัตถุกับโลกวิญญาณ เทียบเครื่องบินกับกฎที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราทั้งหลาย

“เครื่องบิน”

ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก มีผลทำให้มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงดึงไว้  แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ผลออกมา ก็คือมนุษย์สามารถบินได้ ดูดเราไม่ลง เราลอยอยู่

“มนุษย์”

ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ หรือเรียกว่ากฎเก่า คือกฎแห่งความบาปและความตาย มีผลทำให้มนุษย์ต้องตายและตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทั้งเดี๋ยวนี้และจากโลกนี้ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตาย ผลออกมา ก็คือมนุษย์เป็นอิสระจากความตาย อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งทิ้งร่างนี้ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์

ตรงนี้แหละ เขาจึงเรียกกฎที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำขึ้นมานี้ว่าข่าวดี

ให้พูดพร้อมๆ กันว่า “ข่าวดี”

ให้พูดให้คนข้างๆ ฟังว่า “ข่าวดีรู้ไหม?”

ข่าวดีที่พูดตะกี้นี้ ข่าวดีคืออะไร?  คือพระเยซูคริสต์มาทำกฎใหม่ให้เกิดขึ้น ให้เราสามารถหลุดพ้น เอาชนะเหนือกฎเก่า คือกฎแห่งบาปเวรกรรม กฎของความบาปและความตาย นี่คือข่าวดี

เมื่อตอนที่เริ่มมีการคิดค้นทฤษฎีแห่งการยกขึ้น ตอนนั้น ก็เป็นข่าวดีของโลกนะว่าบัดนี้ มีผู้ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติได้แล้ว คือเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก แรงโน้มถ่วงของโลก และเป็นจุดกำเนิดของการสร้างเครื่องบิน ที่สามารถนำพาผู้คนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ต่อมานั่นเอง เป็นข่าวดีเริ่มต้นว่าเขาเจอกฎนี้แล้วนะ  ข่าวดีไหมอย่างนี้ ข่าวดีบนโลกนี้นะ

สองพี่น้องตระกูลไรต์รู้จักใช่ไหม? ออวิลล์กับวิลเบอร์ ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของการคิดค้น สร้างเครื่องบิน และได้ประสบความสำเร็จในการนำอุปกรณ์บินขึ้น และลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 1909 ในวันนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างรวมกันเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งนี้อย่างมากมาย เป็นข่าวยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของโลก เป็นข่าวดีของโลก นี่คือเรื่องจริง นี่คือประวัติศาสตร์

ท่านลองคิดดูนะครับ แค่บอกว่ามีคนพบกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ที่สามารถเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกได้แล้ว ทำให้มนุษย์ซึ่งไม่สามารถบินได้นั้น โดยธรรมชาติไม่สามารถบินได้นั้น  กลายมาเป็นบินได้ โดยใช้เครื่องบินแค่นี้  ยังนับว่าเป็นข่าวดีของโลก ฉลองกันเยอะแยะมากมายในปี 1909 นี่กี่ปีแล้ว เพิ่งจะร้อยกว่าปีนี่เอง เพิ่งจะร้อยเศษๆ ปี

นี่ย้อนไปชัดๆ ให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นข่าวดีของโลก เจอกฎใหม่ แล้วขณะนี้ ในโบสถ์หรือทั่วโลก คริสเตียนจำนวนมากที่รู้จักพระเยซู กำลังประกาศข่าวดีว่าบัดนี้ ได้มีผู้ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตายได้แล้ว จากเดิมที่มนุษย์ทุกคนต้องตายจากโทษของความบาป กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปได้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว ที่เราเคยติดปากกันว่าเมื่อไรมันจะใช้หมดสักที ข่าวดีมาถึงแล้วว่าใช้หมดได้เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ยิ่งกว่าดีอีก ฉลองกันยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าเมื่อตะกี้อีก ฉลองกันทุกวันอาทิตย์ยังฉลองอยู่เลย เรากำลังนั่งฉลองอยู่นี่

นี่คือข่าวดี … ข่าวดีมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว … แล้วที่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่า ฟังให้ดีนะ ก็ไม่ได้แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้ขึ้นเครื่องบินนะครับ ถูกไหม? แม้ว่าสองคนนี้  จะคิดค้นกฎของการยกขึ้น สร้างเครื่องบินได้ และมีคนสร้างเครื่องบิน แต่ก็มิได้หมายถึงสร้างมา เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นเครื่องบิน ถูกไหม? ถูกหรือไม่ถูก คิดให้ดีๆ แค่บางคนเท่านั้น แล้วคนๆ นั้น ต้องมีเงินพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงจะบินกับเขาได้ มันไม่ใช่สำหรับทุกคน

แต่สำหรับกฎของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำขึ้นมาสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีนั้น ให้ฟรี สำหรับทุกคนเลย นี่ผมเปรียบเทียบให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนเลย ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ เข้าไปอยู่ในกฎใหม่นี้ ง่ายๆ มีสิทธิ์ทุกคนเลย ทำเพื่อทุกคนเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่าฮาเลลูยา นี่แหละที่เขาเรียกว่าข่าวดี  และข่าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ข่าวดี” “Gospel” และ Gospel หรือข่าวดีนี้ ก็ใช้คำนี้มาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี มีคนออกไปประกาศข่าวดีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังประกาศอยู่ และประกาศมากขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เราที่นั่งอยู่ในที่นี่  ก็กำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร? ข่าวดีกันทุกวันอาทิตย์เลย

ทุกวันอาทิตย์ ที่ท่านเข้ามาอยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ เข้ามาประชุมกันที่นี่ เราพูดถึงเรื่องอะไรกัน สรุปง่ายๆ คือเรื่องของข่าวดี อาจารย์วราพรขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี ผมขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี เขานมัสการกัน เขาร้องเพลง เขาร้องเพลงเกี่ยวกับข่าวดี ท่านอยู่ข้างล่างคุยกัน ก็คุยกันเรื่องข่าวร้าย

“เศรษฐกิจมันเป็นอย่างนั้นนะ ฉันแย่เลย ฉันลำบาก”

ท่านพูดถึงเรื่องข่าวดีไหม? คงคุยกันบ้าง … บ้าง ไม่ใช่ไม่คุย … คุยบ้าง ท่านเห็นไหม? ข่าวดีทั้งนั้น

ที่ตะกี้ผมบอกเศรษฐกิจของโลก หรือท่านดูในทีวี ส่วนใหญ่มันเป็นข่าวร้าย มันไม่ใช่ข่าวดี มันเป็นข่าวปลอม มันไม่ใช่ข่าวจริง ของจริง คือในโบสถ์นี้ ที่เรากำลังประกาศ เรากำลังประกาศเรื่องของพระเยซู คือข่าวดี นอกจากตัวอย่างในเครื่องบินแล้ว ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมได้สอนและยกขึ้นมา ทุกคนก็ยัง … จำได้ไหมครับ? อีกอันหนึ่งที่ผมได้เปรียบเทียบเรื่องนี้ คือนอกจากเครื่องบินแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกระเทียมดอง ยังจำได้ไหมครับ ไม่ใช่ หมายถึงจำวิธีทำนะ หมายถึงยังจำได้ไหมมันหมายความว่าอย่างไร?

ให้พูดพร้อมกันว่า “กระเทียมดอง”

ครั้งที่แล้ว เราบอกว่าจากกระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู ผสมน้ำตาล ใส่เกลือนิดหนึ่ง ก็จะกลายสภาพเป็นกระเทียมดอง รู้ อันนี้ชัดเจนแจ่มใส เห็นกับตาเลย กระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นกระเทียมดอง แล้วเมื่อกระเทียมสด ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย ฮาเลลูยา เอ๊ะ! มันเกี่ยวอะไรกับพระคัมภีร์ คนที่ฟังครั้งที่แล้ว จะฮาเลลูยาแล้วตอนนี้ ถูกหรือเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น จากวิญญาณเดิมของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณบาป เคยอยู่ภายใต้กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย สกปรกโสโครก แต่เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง คือเป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป อยู่ภายใต้กฎใหม่ และไม่กลับเป็นวิญญาณบาปอีกต่อไปเลย เย้ๆๆๆๆๆ ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เอเมน เพราะอะไร?

ที่ไม่ได้กลับไปเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะทันทีทันใดที่เราบัพติศมา ซึ่งแปลว่าจุ่มลงไป ชุบลงไป ดองลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature จำได้ใช่ไหม? Divine Nature เข้าไปสู่ธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เราไม่มีทางกลับไปที่เดิมได้ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เอเมน มันน่าตื่นเต้นมาก

และเพราะจากความจริงทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์จึงได้ย้ำยืนยันกับเราว่าบัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ฮาเลลูยา เราจึงหลุดจากกฎเก่า ที่เคยพูดว่าเมื่อไรมันจะชดใช้บาปเวรกรรมทั้งหมดสักทีน่า  ตอนนี่เราอยู่กฎใหม่ พูดว่า.-

“มันใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นอิสรภาพแล้ว เอเมน” ถูกไหม?

โรม 8:1-2 จึงบันทึกย้ำยืนยันให้เราเรื่องนี้ว่า.-

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เพราะอะไร?

“เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) พ้นจากบาปและความตาย”

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เห็นไหม? ร้องจำให้ได้นะ หลับไปก็ร้องอย่างนี้ (ก่อนตาย) ก็ร้องอย่างนี้ ถ้าตายรู้ตัวนะ ถ้าตายไม่รู้ตัวแล้วไป  มันไปสวรรค์อยู่แล้วล่ะ

จากที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอน วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว ถึงตรงนี้ เราก็จะสรุปได้พอสังเขปว่าการที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นั้น  ก็จะเกิดผลสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก สรุปได้อย่างนี้ คือ.-

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะเหนือกฎเก่าแล้ว

นี่ประเด็นแรกเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราใช้สิทธิ์ของเรา เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีอำนาจ เรามีชีวิตอยู่เหนือกฎเก่าแล้ว กฎเก่า ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครทำผิด ทำบาป แม้เพียงแค่นิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตายและตาย คือตายทั้งสองอย่าง คือตายเดี๋ยวนี้ และตาย ชีวิตนี้หมดลมหายใจไป วิญญาณก็ตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ และในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลย  ที่จะไม่เคยทำผิดบาป เพราะมนุษย์ทุกคน คือคนบาป พระคัมภีร์พูดชัดเจน

สรุป ก็คือทุกคนที่อยู่ในกฎเก่า ก็ต้องได้รับโทษ คือความตายและตาย หนีไม่พ้น อย่างแน่นอน ถูกไหมครับ?

แต่ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว นี่คือประเด็นแรกที่เราได้รับและสรุปได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในพระคริสต์เกิดอะไรขึ้น

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้กลายสภาพเป็นอะไร? กระเทียมดองแล้ว อันนี้ต้องจำให้แม่นนะ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราก็ได้กลายสภาพเป็นกระเทียมดอง ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ถูกไหม? เราได้เป็นวิญญาณใหม่ เราได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด ปราศจากบาป ทั้งหมดใหม่เอี่ยม 100% มีลักษณะ หรือเขาเรียกว่ามีลักษณะเหมือนพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า.-

“จงมองให้เห็นเถิด นี่แน่ะ เป็นใหม่ทั้งนั้น”

ใครก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ เขาได้ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป กลายเป็นใหม่ทั้งนั้น

หันไปหาคนข้างๆ บอก “ใหม่ทั้งสิ้นเลย ในตัวเธอ … ในตัวเธอนะ ไม่ใช่ข้างนอกนะ สิวอะไรก็เหมือนเดิม แต่ในตัวเธอ คือวิญญาณนั้น ใหม่เอี่ยมเลย ยกเว้นเสื้อ ฉันจำได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอใส่ตัวนี้มา ใช่หรือเปล่า? เสื้อใส่ตัวเดิมมา”

แต่วิญญาณเขาใหม่ ถึงแม้เสื้อจะเก่าก็ตาม

พระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการอยู่ในกฎเก่าและในกฎใหม่ อยู่ในกฎเก่าและกฎใหม่ คือให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็นกระเทียมสดกับกระเทียมดอง

อันเก่า ก็คือกระเทียมสด  ใหม่เอี่ยม ก็คือกระเทียมดอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัด เพราะหลายคนเขาชอบทำกระเทียมดองอยู่แล้ว จะได้จำแม่น ซึ่งถ้าสมมติว่าใครก็ตามที่เข้าใจตัวอย่างที่ผมพูดมาเมื่อตะกี้นี้ เข้าใจลึกซึ้ง กระจ่างแจ้งเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเครื่องบินก็ตาม เรื่องกฎเก่าและกฎใหม่ เรื่องกระเทียมดองก็ตาม เวลาที่อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ท่านจะชัดทะลุปรุโปร่งไปเลย  ท่านจะเข้าใจท่านจะเข้าใจถ้อยคำในบริบทของโรมบทที่ 8 อย่างชัดเจน จะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ลองอ่านดูนะครับ โรม 8:5-6  ผมยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง มาให้ท่านอ่านดูว่าพอท่านรู้ เข้าใจที่ผมยกตัวอย่างเรื่องกฎของเครื่องบิน แล้วกฎของกระเทียมดอง พูดง่ายๆ ชัดๆ นะ ไม่ต้องให้ละเอียดมาก เดี๋ยวท่านจะจำไม่ค่อยได้ ท่านรู้แล้ว กฎของเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น กฎเก่ากฎใหม่ นึกออกใช่ไหม?

อ้อ! กระเทียมดอง มันเคยเป็นกระเทียมสดมาก่อน เดี๋ยวนี้เราเป็นวิญญาณใหม่แล้ว ไม่ใช่วิญญาณเก่า แล้วท่านลองอ่านข้อความเหล่านี้ คราวนี้ท่านจะเข้าใจ สว่างขึ้นมา พระคัมภีร์หมายถึงอย่างนี้นั่นเอง  ลองดูนะครับ โรม 8:5-6 เวลาอ่านไปนึกในใจด้วยนะ กระเทียมดอง กระเทียมสด เครื่องบิน เราลอยขึ้น กฎแห่งการยกขึ้น  คิดในใจอย่างนี้  แล้วเดี๋ยวท่านอ่านดู ท่านจะเข้าใจ โรม 8:5-6

โรม 8:5-6  “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิต  ตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ 6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

 

ตามมาใกล้ๆ ตามชัดๆ นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ตามมาด้วยวิญญาณของท่าน ตั้งใจฟังตรงนี้นะครับ

“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาปตรงนี้ ถามว่าหมายถึงใครครับ? ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจว่าหมายถึงผู้ที่ทำผิดหรือทำบาป ใช่ไหม? อ่านดู มองผิวเผินดู มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  แต่อย่างที่ผมบอกนะ คิดในใจว่าพระคัมภีร์กำลังสอนเราเรื่องอะไร? ตั้งแต่บทก่อนๆ หน้านี้แล้ว เรื่องของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎเก่ากฎใหม่ เรื่องของอะไร? เรื่องของกระเทียมสด กระเทียมดองที่ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ นึกออกในใจนะครับ

วันนี้ผมจะขออนุญาตนะครับ มานำเสนอให้ท่านได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าในแง่มุมที่ผมจะพูดต่อไปนี้นะ มันน่าจะเข้ากันได้ดีกับในบริบทของหนังสือโรม ว่ากันตามจริง มันเข้ากันได้กับหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย  มันจะไม่แย้งกันเลย ท่านก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองว่าท่านฟัง แล้วว่าอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ กฎเก่า ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำถูกต้องตามบทบัญญัติครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ทำผิดบนบัญญัติแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องได้รับโทษ ไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ และผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ สิ่งที่วิสัยบาปต้องการ คืออะไร? เนื้อหนังต้องการอะไร? คิดให้ดีๆ  เนื้อหนังเรา วิสัยบาปของเรา  ต้องการจะกระทำด้วยตัวเราเอง พยายามที่จะหาทางไปสู่หมดบาปเวรกรรมด้วยตัวเอง จากการกระทำของตัวเอง เพราะในจิตใจของเรา วิสัยบาปนี้ มันจะระลึกเสมอ อยู่ตลอดเวลาว่า.-

          “ฉันเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง ฉันต้องทำ เมื่อไรมันจะหมดสักทีๆ”

 

ตัวนี้คือวิสัยบาป ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ก็จะได้อย่างนี้ว่าผู้ที่ยังดำเนินชีวิต ภายใต้กฎเก่า ก็จะปักใจของเขา คือพยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อไปสู่ความรอดจากบาปเวรกรรมให้ได้

ได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซู  “ก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก เพราะฉันอยากจะทำเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร?  อยู่ดีๆ ฉันทำผิด แล้วมีคนมาชดใช้ให้ฉัน มันไม่น่ามีเหตุผล ไม่เอาล่ะ ฉันทำเองดีกว่า ถูกหรือไม่ถูก”

อดีตเราก็คิดถึงอย่างนั้น ถูกไหม? พอเราได้ข่าวดีว่ามีพระเยซูมาเกิด ไถ่บาปเรา … เราฟังไหมตอนแรกๆ ถามว่าเราไม่ฟัง เพราะอะไร? ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ฟังเพราะอะไร? เรายังไม่เข้าใจ เราไม่เคยได้ยินเลย เราก็ไม่สนใจ เพราะอะไร? ก็เพราะวิสัยบาปที่อยู่ในตัวเก่า ที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา มันต้องการที่จะทำด้วยตัวเอง มันมีความเย่อหยิ่ง ตัวนี้แหละเป็นเชื้อบาปตัวหนึ่งที่เป็นเชื้อบาปใหญ่เลย เริ่มต้นจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตัวนี่แหละ เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองแน่กว่าพระเจ้าผู้สร้างเขา แล้วก็ตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ เชื้อบาปนั้น ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จนมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในเนื้อหนังร่างกายของเรา ในนิสัยบาปเรานั้น มีเชื้อใหญ่ตัวนี้อยู่ ก็คือเชื้อของความเย่อหยิ่งจองหอง

“ฉันจะต้องทำด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เชื่อหรอก”

นี่มันเป็นอย่างนั้น  โอเคต่อนะครับ

ในบรรทัดต่อมา เขาบอกว่า “แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” นี่อีกฝั่งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแล้วนะ

“แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณประสงค์”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตรงนี้ง่าย ทุกคนก็รู้ว่าก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  อยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ สิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย … น้ำพระทัยพระเจ้าตรงนี้ ก็คือต้องการให้เรา ปักใจตรงนี้ คือให้เราระลึกอยู่เสมอว่านี่พระเจ้าต้องการอะไร? ต้องการให้เราระลึกถึงเสมอว่าวิญญาณตัวเราเองถูกสร้างใหม่แล้ว เราเป็นกระเทียมดองแล้ว นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณต้องการให้เรารู้ เป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ได้ ในสวรรค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  จนถึงนิรันดร์เลย และวิญญาณเราก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้ด้วยจริงๆ ถ้าเผื่อเราใช้สิทธิของเราในข่าวประเสริฐนั้น เราอยู่ในนั้นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันทีเลย อยู่ในพระคริสต์

คนที่อยู่ในพระคริสต์อย่างนี้ เราต้องปักใจตรงนี้ เพราะพระวิญญาณต้องการให้เขาปักใจอยู่ตรงนี้ให้ได้ สู้กับเนื้อหนังที่ไปอีกข้างหนึ่ง พอเข้าใจไหม? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เชื่อแล้วเท่านั้นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ ในอดีตที่เรายังไม่รู้จักพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าก็ต้องการให้เรารู้ตรงนี้ แต่เรายังไม่รู้ เราก็ปักใจของเราอยู่แต่เนื้อหนังของเรา

เราเกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรม เราก็ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แต่ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ซึ่งพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ก็ต้องการให้ผมและท่านมารู้จักกับกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวดี ท่านจะได้ไม่มาปักใจตรงนี้  พอเข้าใจไหม?

 

ข้อต่อไปบอกว่า “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

ชัดเจนเลย “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย” คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า นี่ท่านจะเห็นชัดว่าถูกเลย เมื่อตะกี้นี้ที่วิเคราะห์มา ใช่แล้ว นี่คือจิตใจของคนที่เป็นบาป นำไปสู่ความตาย คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่านั้นแหละ ต้องรับโทษของบาป คือความตายและตาย  ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้จักพระเจ้ารู้ ก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ซึ่งเขาสรุปกันทั่วโลก เรียกว่านรก

“แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข” พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณควบคุมอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เป็นกระเทียมดองกับพระเจ้า เป็นกระเทียมดองกับตรีเอกานุภาพไปเรียบร้อยแล้ว จิตใจนั้น คือจิตใจของผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์และสันติสุขที่แท้จริง เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดเลยนะ มันไม่ได้ยากเย็นเลยนะข่าวดี  โรม 8:9-11 เรามาอ่านกันดู ตั้งใจอ่าน อย่างที่ตะกี้นี้บอก นึกในใจ มีกฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง

พูดพร้อมกันสิ “กฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง วิญญาณเก่า วิญญาณใหม่”

อ่านตรงนี้นะ โรม 8:9-11

โรม 8:9-11 “9  อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาปถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ในนี้บันทึกว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน … ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาป  เช่นเดียวกัน ถ้าเราเปรียบ เป็นกฎเก่ากับกฎใหม่นะ  ถ้อยคำตรงนี้  ก็จะอธิบายได้อย่างนี้ว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน คือถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้รับบัพติศมา จุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาปอีกต่อไป  คือไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป

กฎเก่าที่ต้องพยายามพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้รับความชอบธรรม เพื่อจะได้เข้าไปหาพระเจ้าได้ เพื่อจะได้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยพระวิญญาณ ภายใต้กฎใหม่ ที่เราได้บังเกิดใหม่ คือกฎแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความบาปและความตายแล้ว เอเมน

 

ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่าน ก็ตายไป”

ฟังให้ดีๆ นะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน” เชื่อพระเจ้าแล้วนะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม” ตรงนี้ คืออะไร? คือเขาเรียกว่าไคล์แม๊กของเรื่องพระเจ้าเลย ไคล์แม็กของเรื่องไปสวรรค์ ไคล์แม็ก ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป ฟังให้ดีๆ กายของท่านตายไป เพราะบาป ย้ำให้เห็นว่าที่เราเรียนรู้กันมาตลอดทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องทางวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่ผมเคยบอกมาตลอดใช่ไหม?

พระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องของวิญญาณ อ่านเท่าไร ให้ท่านพยายามนึกถึงเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ถ้าท่านไม่ใช้โลกวิญญาณ ใช้วัตถุ หรือวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ หรือสติปัญญาแบบมนุษย์เข้าไป ท่านจะไม่เข้าใจเลย และไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว ท่านเข้าใจผิดอีกต่างหาก แล้วจะไปเข้าข้างอีกฝั่งหนึ่ง คือกฎเก่า พระเยซูมาพร้อมกับกฎทางวิญญาณทั้งสิ้น ทุกเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่พระองค์บอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” แล้วทุกคนไม่มีหูเหรอ พูดมาได้อย่างไรว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มันหมายถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด

และอีกอันหนึ่งที่บอกว่า “สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น สิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเขาทั้งหลายที่รักพระองค์”

          แต่พระเจ้ากำลังหมายถึงตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ เขาถึงต้องอธิษฐานให้เราตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก  อธิษฐานหูฝ่ายวิญญาณของเราเปิดออกไง พระเยซูจึงบอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มองไป ก็มีหูทุกคน ถูกไหม? นี่เรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

 

มาอธิบายต่อเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าบอกว่า.-

          “ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป คือแม้ว่าเราจะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว ได้จุ่มลงไป มุดลงไป เป็นกระเทียมดอง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว ได้อยู่กับพระคริสต์แล้ว แต่เป็นเพียงวิญญาณของเท่านั้น ทั้งหมดที่พูดมา ส่วนกายของเรา ที่มองเห็นอยู่นี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อหนัง ซึ่งยังคงมีสภาพบาปอยู่ เพราะฉะนั้นกายของเรา คือร่างกายของเรานี้ ยังคงต้องตายอยู่ดี ในวันหนึ่งข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่? ใช่

 

แล้วคราวนี้ พระคัมภีร์จึงบันทึกข้อนี้มา เป็น Happy Ending ของเรา ถ้ามีอยู่แค่นี้ ตายเลย เราไม่มีความสุขเท่าไรเลย แม้อยู่ในพระคริสต์ก็ไม่สุข เพราะเราต้องอยู่กับมันตลอดไป มันนี่คือใคร?

พูดพร้อมกัน “ตัวฉันเอง”

ตัวที่เป็นร่างกายของเรา ที่เป็นบาปอยู่นี่ “ฉันจะต้องอยู่กับมันตลอดไปเลย วิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ดองกับพระเจ้าเลย แต่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่ยังคงบาป ฉันจะอยู่กับมันถึงนิรันดร์เหรอเนี้ย ฉันจะต้องบังคับมันอย่างนี้ตลอดไป  ตายแน่ การเป็นคริสเตียนของฉัน มันก็เลยเป็นพระพรแค่ครึ่งเดียว 50% ที่เหลือทารุณพอสมควร ฉันต้องอยู่อย่างนี้เหรอเนี้ย สิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ต้องทำมัน ฉันจะต้องอยู่อย่างนี้ อยู่ในสวรรค์ ฉันอยากด่าใคร? ฉันก็ด่าอย่างนั้นเหรอ อยู่บนโลกมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ถามว่าเป็นไหม? เป็นหรือไม่เป็น? ยิ้มๆ แล้วตอบเลย เป็นหรือไม่เป็น? เป็น เวลาโกรธมาหน้าตาก็บูดบึ้ง แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ข้างในมันตั้งใจซะที่ไหน มันไม่อยากจะทำ ฉันก็กลุ้มเหมือนกัน ที่ทำลงไป”

ถามจริง กลุ้มไหม? หรือว่าไม่กลุ้ม เวลาเราโกรธใคร ยิ้มแย้มแจ่มใสไหมข้างใน ชื่นใจ วันนี้ได้โกรธคน ด่าซะมันไปเลย กลับถึงบ้านแฮปปี้ นอนหลับสบาย  น้อยคนนะเป็นอย่างนั้น  นอกจากจะเพี้ยนไปแล้ว  ถ้าเป็นคนปกติไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน มีใครไหม? เห็นคนแก่ เห็นเด็กจะข้ามถนน ไปแกล้ง อุ้มออกไปเลย ไปแกล้ง ไม่ให้เขาข้าม แล้วก็สบายใจจัง มีความสุข ไม่มีหรอก ไม่ใช่ ลึกๆ ข้างในวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้าทุกคน แม้ว่ายังไม่รู้จักพระเจ้า ก็เป็นของพระเจ้าทั้งนั้น แต่มันเสียหายยับเยิน เพราะความบาป เชื่อของความบาป ที่มันปิดอยู่ แล้วแม้กระทั่ง เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้มาบังเกิดใหม่ข้างในวิญญาณแล้ว  แต่เราก็ต้องอยู่กับใคร? อยู่กับมันต่อไป อย่าไปรักมันมาก อยากจะดุด่าใครนะ ไปหน้ากระจกเลย ไปซัดมันให้เต็มที่ อันนั้นแหละคือตัวจริง เลวที่สุด คือไอ้นั้นแหละ ใคร? มัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาปอยู่) ไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริง คือวิญญาณครับ มันคือร่างกายของเรา

          นี่คือความหวังใจมาก พระคัมภีร์บันทึกไว้ตรงนี้ ถึงกระนั้น วิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม แต่ถึงแม้ร่างกายของเราจะต้องตายไป  แต่วิญญาณของเรา ก็ยังคงอยู่ และมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้า เพราะวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณของผู้ชอบธรรมแล้ว หมายถึงไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชนักติดหลังเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากบาปแล้ว หรือเรียกว่ากระเทียมดองไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างแน่นอน นี่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เอเมน

 

วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าอย่างไร? พระองค์สัญญาว่าในข้อเมื่อตะกี้นี้ ย้อนไปอ่านนิดหนึ่ง

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตซึ่งต้องตายแก่ท่านนั้นด้วย”

กายของท่านที่ต้องตาย พระเจ้าจะประทานชีวิตให้ใหม่ด้วย คือพูดง่ายๆ ให้ร่างกายใหม่กับท่าน … ท่านจะไม่ได้ไม่ต้องอยู่กับมันอีกต่อไป  เมื่อท่านทิ้งร่างกายบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณท่านออกจากร่าง หมายถึงตายจากโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน เตรียมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องอยู่ในความบาป ไม่ต้องทำชั่ว ไม่ต้องอยากทำชั่ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ซึ่งมีความคงทนอยู่ไม่นานนัก แค่นิรันดร์กาลปีเท่านั้นเอง

วิญญาณท่านก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ถูกไหมครับ? สะอาดหมดจดแล้ว ท่านได้สวมร่างกายใหม่ด้วย นี่แหละ คือความหวังใจที่ตะกี้นี้ผมบอกไป เพราะฉะนั้นตอนนี้อดทนอยู่กับมัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาป) อีกนิดเดียวๆ แป๊บเดี๋ยว เราชนะมันแล้ว เอเมน โรม 8:12-13 จึงบันทึกอย่างนี้

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาป ที่จะ ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

ตั้งใจฟังตรงนี้ชัดๆ นะ  นี่ขยายความเมื่อสักครู่นี้ “พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธต่อวิสัยบาป”

คำว่า “พันธะ” ในข้อนี้ พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “Debtor” ที่แปลว่าลูกหนี้ ความหมาย ก็คือท่านไม่ใช่เป็นลูกหนี้ของเนื้อหนัง ความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนังอีกต่อไปแล้ว นี่หมายถึงคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และถ้าท่านยังปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนัง กฎเก่า ท่านก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎเก่า และท่านจะต้องตายและตาย อธิบายชัดนะ เหมือนเดิมเลย  นี่คือข่าวประเสริฐ กำลังอธิบายเรื่องข่าวประเสริฐ เหมือนที่บอกว่าข่าวดีเรื่องเครื่องบินมาถึงแล้ว เครื่องบินบินได้จริงๆ หรือบอลลูนก็ได้ บอลลูนมันลอยขึ้นได้จริงๆ ข้ามไปเถอะ ขึ้นไปเถอะ

ยกตัวอย่างเช่น ข้ามไปเถอะ เพราะภูเขาไฟในเกาะนี้มันจะระเบิดแล้ว ถ้าคุณขึ้นไป ลอยไปอยู่ที่โน่น ย้ายไปอยู่อีกเกาะหนึ่ง เกาะนี้มันจะยุบลงไปแล้ว เร็วๆ  มิฉะนั้น ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะต้องตาย แต่คราวนี้หนักกว่า ในข้อพระคัมภีร์นี้หนักกว่า คือตายทั้งร่างกายและวิญญาณ และนิรันดร์ด้วย คือถ้าท่านไม่เดินทางวิญญาณหรือพระวิญญาณก็ตาม คือท่านไม่เดินทางวิญญาณ ไม่ได้เห็นทางวิญญาณตามที่ข่าวประเสริฐได้พูดถึง ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ถ้าไม่ได้เดินทางวิญญาณ ท่านอยู่ทางวัตถุเนื้อหนัง ก็คือกลับไปที่โลกวัตถุ กลับไปที่กฎเก่า กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ตราบใดที่ท่านเดินอยู่ในเนื้อหนังนั้น คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองว่าจะต้องทำเอง จะต้องเป็นอย่างโน่นอย่างนี่ด้วยตัวเอง ท่านจะไม่มีทางได้รับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

ง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบ ก็คือถ้าท่านพยายามบินด้วยแขนของตัวเองเมื่อไร? ไม่พึ่งใครเลย ท่านก็หล่นลงมาแน่นอน หล่นไหม? หล่นแน่นอน ถ้าท่านไม่พึ่งเครื่องบิน ท่านหล่นลงมาแน่ ท่านไม่พึ่งกฎแห่งการยกขึ้น ท่านหล่นลงมาแน่นอน ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนกระเทียม ที่พยายามดองตัวเอง ได้ไหม? กระเทียมมันกระดืบๆ มันกี่ปี มันถึงจะลงไปในไหน้ำส้ม มันต้องมีคนเตรียมน้ำส้ม เตรียมอะไรต่างๆ ไว้ แล้วก็จับกระเทียมนั้น ใส่ลงไปในไหนั้น มันถึงจะเป็นกระเทียมดอง

“ฉันจะต้องกระเถิบทีละนิดๆ เมื่อไรฉันจะถึงไหน้ำส้มชูไหมเนี้ยะ” เป็นไปไม่ได้

ถ้าพูดเหมือนตะกี้นี้ ท่านหัวเราะกระเทียมตะกี้นี้ กระเทียมเมื่อไรจะไปถึง ถ้าผมพูดอย่างนี้ ท่านจะกล้าหัวเราะไหม?

“ฉันจะสะสมคุณความดี เพื่อจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ฉันจะพึ่งในการกระทำของตนเอง ฉันจะไม่พึ่งในอะไรทั้งสิ้น ฉันจะไม่พึ่งในพระเยซูเลย ฉันจะพึ่งการกระทำ ฉันจะสะสมการกระทำดีของฉัน สะสมบุญของฉันไปเรื่อยๆ”

อ้าว! ไม่หัวเราะล่ะ ได้ไหม? ไม่ได้ นี่ตามกฎนี้ ไม่ได้ ถูกไหม? ที่ตะกี้พูดถึงกระเทียมยังหัวเราะเลย แต่พอพูดถึงตัวเอง ไม่ยอมหัวเราะ เราก็คืออย่างนั้นในอดีตใช่ไหม? เรานึกว่าเราทำอย่างนั้น  ทำอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่หมด เราก็ยังทำไม? ทำ เพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเราไปปักใจอยู่ตรงนั้น ตรงไหน? ตรงกฎเก่า ตรงเนื้อหนัง ตรงเนื้อหนังมันเต็มไปด้วยความบาป แต่พระเจ้ามาไถ่เรา ให้ความรอดเรา เริ่มต้นที่วิญญาณของเราก่อนเลย มันต้องเริ่มต้นตรงนั้น  ถ้าเราเริ่มต้นที่เนื้อหนังจะไม่เจอพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จึงบอกมนุษย์ทุกคนว่าทางรอดจากบาป ทางรอดจากนรก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นผู้พูดเอง พระคัมภีร์ก็พูดอย่างนั้น ท่านต้องเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ โดยทางฝ่ายวิญญาณ โดยการนำของพระวิญญาณ ที่เป็นผู้ควบคุมการดำเนินการทั้งหมด ในครอบครัวของพระคริสต์ นำพาท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ท่านจึงจะสามารถได้รับความรอดได้ ท่านกำลังพึ่งในพระเจ้า เพระเยซูคริสต์นั้นเอง

พระคริสต์ก็เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เปรียบเหมือนสถานที่หนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้ากับพระองค์จะทำบ้านขึ้นใหม่ โดยจะมีเราเข้าไปอยู่ในนั้น

“เรา” ก็คือคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และจริงๆ เรา ก็คือทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคน … ทุกคนเลยนะ ประกาศข่าวนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ แต่คนที่จะเข้าไปได้ ก็มีเพียงแค่คนที่ยอมรับสิทธินั้น ยอมรับว่ามันเป็นจริง

“ฉันจะยอมรับสิทธิของฉัน”

ถ้าไม่เอา แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? ถ้าท่านยังไม่เชื่อในฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ อย่างที่อธิบายมาตะกี้ ท่านจะไม่มีวันที่จะได้รับความรอดจากบาป พ้นจากบาป เวรกรรม พ้นจากการถูกลงโทษ จากบาปเวรกรรม พ้นจากนรกได้เลย  และจะต้องไปสู่ความตายและตายในที่สุด อย่างที่ผมบอก ตายนิรันดร์ ตายครั้งแรก ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ทิ้งโลกใบนี้ไป จากโลกใบนี้ไป ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าท่านรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นกระเทียมดอง … ดองกับพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ ท่านอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย กำลังอยู่ตอนนี้ แล้วเมื่อจากโลกนี้ไป ท่านก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เอเมน

โรม 8:14-16 “14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก 15 แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่าน เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” 16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือสรุปให้เห็นอีกทีหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ เจน

ให้ท่านพูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นทาสของความกลัวอีก”

ท่านรู้ไหมว่าทาสของความกลัวแปลว่าอะไร? “เป็นทาสของความกลัวอีก” คือกลัวตกนรก กลัวผิด  ฟ้องผิดตลอด  กลัวบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ ตอนนี้นครไม่มีวิญญาณนั้นอีกแล้ว ไม่เป็นทาสแล้ว ไม่กลัวแล้ว ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่มีวิญญาณแห่งความกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่วิญญาณที่ให้มาเป็นวิญญาณที่ … อ่านตาม

“แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับวิญญาณ ผู้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่าอับบา พ่อ”

เข้าใจหรือยัง? เราร้องว่าพระบิดาเจ้า พระบิดา เรานึกว่าเรื่องธรรมดา ทำไมพระเยซูสอนเราให้อธิษฐานอย่างนี้ว่า “พระบิดา” ทำไมขึ้นคำแรกเป็นคำนี้ เพราะไม่มีใครจะสามารถพูดตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้บังเกิดใหม่ เขาจะได้เป็นกระเทียมดอง เขาจึงจะพูดตรงนี้ได้ชัดเจนแจ่มใส ไม่อย่างนั้น เขาต้องนึกว่าเขากำลังเล่นลิเกอยู่ เขาอาย เขาไม่กล้าพูด ทุกวันนี้มีใครอายบ้างตรงนี้ เพราะข้างในมันชื่นใจ รู้ว่าใช่ รู้ว่า.-

“ยืนยันอยู่ในใจฉัน”

ใครยืนยัน “วิญญาณฉันและพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น”

ยืนยันว่านี่ใช่เลย เราอยู่ที่นั่นแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแล้ว และไปถึงนิรันดร์ด้วย

การดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ ก็คือการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือการดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ บางคนบอกการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ คืออะไร? อ๋อ!  ต้องไปทำดีอย่างนั้น ต้องไปช่วยคนยากคนจน ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดตรงนั้น ไม่ได้สอนจริยธรรมตรงนั้น พระคัมภีร์กำลังจะบอกว่าการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือสำนึกในวิญญาณอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร? เราเป็นใคร เราเป็นใครในพระคริสต์

ตรงนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิตตามวิญญาณ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดกันว่ามาสอนจริยธรรม ไบเบิ้ลไม่ได้สอนจริยธรรม ผมจะบอกให้ท่าน เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านรู้ตรงนี้ จริยธรรมจะออกมาเอง มันจากข้างในมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอกไปข้างใน ฟังให้ดีๆ นะ มันจะข้างในออกมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอก แล้วพยายามจะไปล้างข้างในให้สะอาด เป็นไปไม่ได้ ข้างในสะอาด แล้วเดี๋ยวมันจะออกมาข้างนอกเอง เอเมน

การดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือโดยการไถ่บาปของพระเยซู ให้ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้นแหละ ในการที่เราได้รับการไถ่แล้ว เราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด จนกระทั่งได้กลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์พูดแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตโดยวิญญาณตรงนี้ รู้ตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องย้ำยืนยัน และเน้นกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราชนะอย่างไร? มันคือใคร? มันก็คือใคร? ก็คือเนื้อหนังร่างกาย มันจะเถียงเราตลอด ต้องจับมันให้อยู่ให้ได้ แล้วก็ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ ข้างในนำ ดำเนินชีวิตโดยเอาวิญญาณนำหน้า ถามว่าพระวิญญาณนำใช่ไหม? ใช่ แต่พระวิญญาณก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร พระบิดา และก็ใครอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งใครน๊า จำไม่ได้แล้ว ตัวเราเองนั่นแหละ โดยพระวิญญาณนำ ก็คือวิญญาณของเรา ดำเนินชีวิตโดยวิญญาณของเรา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ 3 พระภาคอยู่ด้วยกันนั่นแหละ พอเข้าใจไหม?  คือให้เราทำไม? ให้เรามองในโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนที่อาจารย์เปาโลสอนไว้ ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน จดจ่ออยู่ที่พระคริสต์ ที่สถิตอยู่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตรงนี้แหละ คือดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ

“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้นเลย”

“ที่ตรงไหน?”

“ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ที่คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ด้วย ขณะที่ฉันเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยว วิญญาณฉันก็นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์สถานด้วย ฉันต้องบังคับตัวเองให้มันจดจ่ออยู่ตรงนั้นให้อยู่ได้ เพราะมันพยายามดึงฉันอยู่เรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ นี่กำลังอยู่ที่ริมถนน ร้อนก็ร้อน ข้ามถนนก็ไม่ได้ คนขายก๋วยเตี๋ยวยังเอาไปให้คนอื่นก่อนอีกต่างหาก ฉันมาก่อน แต่ได้ที่หลัง ฉันโมโหแล้วนะ ฉันก็โมโหหิวอยู่ ฉันมาตั้งนาน ทำไมคนนั้นได้ก่อน ทำไมคนมาทีหลังได้ก่อน ฉันชักโกรธแล้ว ฉันก็ระเบิดออกไปเลย เพราะฉันหลุดจากเบื้องขวาของพระเจ้า ลงมาอยู่ที่ไหน? ลงมาอยู่ที่มันแล้ว มันชนะตอนนั้น ฉันแพ้”

เพราะฉะนั้น เราต้องจดจ่อปักใจพุ่งไปที่ไหน? พุ่งไปที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่เบื้องบนกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราเป็นกระเทียมดองแล้ว เราอยู่ในกฎใหม่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งพระวิญญาณแล้ว เรามีชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระองค์ทรงอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา เรายิ่งใหญ่มากๆ เลย แต่พระเยซูบอกยิ่งใหญ่ ก็ต้องยิ่งเสียสละหมดเลย เพราะมีเยอะแล้วไง คนที่เห็นแก่ตัวโลภ เพราะเขายังไม่รู้ เขานึกว่าเขาขาดอยู่ เขาอยากจะเอา แต่พอเรารู้อย่างนี้ เราเลยเฉยๆ ไง เพราะเรามีเยอะมาก … มากๆ จริงๆ เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ เอเมน นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญ

เราจะจบด้วยอ่านตรงนี้ด้วยกัน โคโลสี 3:1-4 ย้ำตรงนี้ด้วยกันว่าพระเยซูต้องการให้ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณนี้อย่างไร? โดยวิญญาณนี้อย่างไร? ให้เราจดจ่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพื่อชีวิตเราจะเต็มไปด้วยชัยชนะตลอดเวลา

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เอเมน … และนี่คือการที่เราสามารถจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนได้ คือการมีความหวัง และรู้ว่าที่เบื้องบน ที่ในพระคริสต์ ที่เราสถิตอยู่ด้วยนั้น ตอนนี้มันเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? เตือนตัวเองบ่อยๆ เราเป็นใคร? พูดให้ตัวเองฟังอยู่บ่อยๆ วนเวียนให้ตัวเองรู้บ่อยๆ ร้องเพลงนี้บ่อยๆ “อยู่ในพระคริสต์” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในหัวข้อคำบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ เป็นตอนที่ 5 ตอนที่ 1 จำได้ไหม? จำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 แล้วจะมีต่อไปเรื่อยๆ ฟังกันมา 4 ตอนแล้วใช่ไหมครับ? ตอบกันได้หรือยังว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ตอบกันได้ไหม? อย่างน้อย ยังพอจะรู้นะว่าเราเป็นใครในพระคริสต์บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ได้หมด ผมพยายามที่จะย้ำตรงนี้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ประเด็นที่สำคัญ ที่เราได้คุยกันไปทั้งหมดใน 4 ตอน ก็เพื่อย้ำให้เรารู้ตัวและให้เรามั่นใจอยู่เสมอว่าเรานั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อยากจะเน้นตรงนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ในวิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ด้วย เข้าใจไหม? เข้าใจไหมครับ?

หลายคนบอกเข้าใจ แสดงว่าจำไม่ได้

เข้าใจไหม?

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา นี่ต้องอย่างนั้น

ไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าเชื่อ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

แล้วยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งที่แล้ว  ผมได้ยกตัวอย่าง เวลาที่เราจะเดินทางไปไหน โดยเฉพาะไปที่ไกลๆ เราก็บอกว่าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งจะบินไปเชียงราย แล้วก็บินกลับมา ผมเมื่อยแขนไปหมด ไม่เมื่อยแขน เพราะผมอยู่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ใครบินไปไหน ตอนนี้ทุกคนก็บอกว่าบินทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เห็นมีใครบินสักคน นั่งเครื่องบินไป ไม่เห็นมีใครบอกนั่ง ทุกคนก็บอกว่าบินไปโน่นบินไปนี่

ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ ฟังให้ดีนะครับ ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ แต่มนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน ถูกหรือไม่ถูก? เราสามารถอธิบายการบิน ที่เครื่องบินมันบินได้ แบบง่ายๆ ด้วย เขาเรียกว่าทฤษฎีการเคลื่อนที่ของอากาศ

คือทฤษฎีบอกว่าอากาศที่เคลื่อนที่เร็วกว่า จะมีแรงกดดันต่ำกว่า และลักษณะของปีกเครื่องบิน จะทำให้อากาศที่เคลื่อนผ่านใต้ปีก มีความเร็วต่ำกว่าด้านบน เพราะฉะนั้น ความดันใต้ปีกเครื่องบิน จึงสูงกว่าความดันเหนือปีกเครื่องบิน จึงทำให้เกิดแรงยกขึ้น ที่เรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น จึงทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นและลอยอยู่ได้ เข้าใจไหมครับ? ตอบสิ? ตอบดังๆ สิครับ?

“ไม่เข้าใจ”

นี่ ต้องตอบอย่างนี้ถึงถูก ยอดเยี่ยมมากเลย ตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อไหม? เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ขึ้นไปบินทำไมล่ะ เพราะเชื่อไง

ซื้อตั๋วเครื่องบิน ต้องไปคิดเหรอ มันจะยกขึ้นตรงไหน? ตรงนี้ปีกเครื่องบินเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้เคยคิดเลย ผมก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วผมก็เดินจ้ำๆ เข้าไปในเครื่องบิน นั่นแหละ แต่กฎเหล่านี้ มันอธิบายแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ลักษณะเดียวกัน ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และผมก็ไม่ต้องมาสอนเรื่องนี้ว่าเครื่องบินมันจะขึ้นอย่างไรให้มันชัดเจน เพราะว่าวันนี้ไม่ได้สอนเรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการยกขึ้นของเครื่องบินอย่างไร? แต่เพียงต้องการเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นภาพว่าด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลก อย่างนี้เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ ถูกไหม? โยนของมีน้ำหนักไป มันก็ตกลงดิน เขาเรียกว่าแรงดึงดูดของโลก เขาเรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติใช่ไหมครับ? ทำให้ไม่มีวัตถุใดๆ สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ มันถูกดูดลงหมด ถูกไหม? ไม่ว่าเราจะโยนวัตถุอะไรขึ้นไป วัตถุนั้นก็ต้องตกลงมา วัตถุนั้นโยนขึ้นไป มันบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อกฎแห่งการดึงดูด”

แล้วมันลอยอยู่ได้ไหม? ไม่ได้ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็ตกลงมาอยู่ดี ไม่ว่าคนนั้นจะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อหรือไม่เชื่อ”  ก็ตาม

เวลาเขาเดินออกมาจากระเบียบชั้นบน แล้วก้าวออกไปข้างนอก ที่ไม่มีพื้นแล้ว เขาก็ตกลงมา แม้เขาจะบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่เชื่อกฎหรอก ถึงจะมีแรงดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ”  ก็ตกลงมาอยู่ดี

แต่กฎแห่งการยกขึ้น คืออะไร?  กฎแห่งการยกขึ้น ที่เมื่อตะกี้ที่บอกว่าเครื่องบินเอาไปใช้ ที่นักวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา กฎแห่งการยกขึ้น อันที่ตะกี้นี้บอก เป็นกฎที่ได้เอาชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก ถูกไหม? เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงทำให้เครื่องบินสามารถอยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาติ สามารถยกขึ้นและลอยอยู่ได้ เคลื่อนไปในอากาศได้ ในขณะที่กฎธรรมชาติยังอยู่ … อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ แรงดึงดูดของโลกยังอยู่ไหม? อยู่ เครื่องบินที่บินอยู่ ลอยอยู่ในอากาศ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ แต่พลังแห่งกฎแห่งการยกขึ้น ชนะ มีอำนาจเหนือกว่าในตอนนั้น และเราซึ่งเป็นมนุษย์ที่โดยตามกฎธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถบินได้ ถ้าเป็นตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถบินได้ แต่เมื่อเราเอาตัวเราเข้าไปนั่งอยู่ในเครื่องบิน เราก็ได้อาศัยเครื่องบิน ทำให้เราเอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ และสามารถบินไปไหนมาไหนได้

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เราก็เลยอาศัยเครื่องบิน เครื่องบินทำให้บินได้”

ถูกไหม? เราไม่ได้พยายามบินด้วยตัวเอง เราไม่ต้องพยายามบินได้ด้วยตัวเอง ถูกหรือเปล่า? เราอาศัยอะไร? เครื่องบิน ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ

ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติทางฝ่ายวิญญาณนะ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกฝ่ายวัตถุ มนุษย์ก็มองไม่เห็น แต่มีอยู่ ถูกไหม? มนุษย์มองไม่เห็นกฎนี้ แต่มีอยู่ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน กฎธรรมชาติมีอยู่อันหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่ากฎแห่งบาปและความตาย มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายด้วยครับ เหมือนกับกฎแรงดึงดูดของโลก ซึ่งมีอยู่ กฎแห่งบาปและความตาย ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอาศัยพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ตะกี้เราอาศัยเครื่องบิน เพราะอาศัยในพระเยซูคริสต์ อาศัยพระเยซูคริสต์จะมีกฎใหม่ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป

และกฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต รู้ได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ชัดเจนแล้วนะ ในหนังสือโรมนะครับ โรม 8:1-2 ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นจะๆ เลย จำให้ได้เลยต่อไปนี้ โรม 8:1-2 ลองอ่านพร้อมๆ กันก่อนนะครับ

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

เอามาเทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้แล้ว อันนี้เหมือนกันเลย พูดตามนะครับ

          “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการล่วงหล่นหรือตกลงมาแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในเครื่องบิน เพราะโดยการอยู่ในเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น ได้ปลดปล่อยให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นอิสระ จากกฎแห่งการดึงดูดของโลก” เอเมน

 

ไม่มีอะไรเลย ธรรมดาเลย ชัดไหม? เริ่มเข้าใจชัดเจนใช่ไหมครับ มันมีกฎของมันอยู่ เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะอะไร? เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปนั่นเอง กฎเก่าที่เรียกกฎแห่งบาปและความตาย ก็คือบัญญัติ ในสมัยโมเสส คือพันธสัญญาเดิม คือตาต่อตา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือพูดง่ายๆ ซึ่งฟังดูเหมือนดี แต่เพราะมนุษย์ตกลงในความบาปแล้ว เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดมาก็มีเชื้อบาปติดมาแล้ว มันก็เลยทำดีไม่ได้ มันก็เลยทำไม? ก็เลยทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น ได้อะไรล่ะ ก็ได้ชั่ว เพราะชั่วไง นี่มันเป็นตรรกะง่ายๆ นะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือไม่มีการอภัย ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด สมัยนั้นเรียกว่ากฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ส่วนกฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ก็คือกฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือพระคัมภีร์ใช้คำว่ากฎใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ … ในพระเยซูคริสต์มีพระคุณอยู่ที่นั่น ไม่ต้องทำดีได้ดีแล้ว ทำชั่วก็ได้ดี กล้าพูดได้เลย โดยความเชื่อในกฎใหม่นี้ เป็นกฎที่ทำให้เราได้รับความชอบธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ เปล่าๆ โดยไม่ต้องกระทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้เรา

ฟังดู แล้วมันเหมือนกับมันไม่ยุติธรรมนะ แต่กฎมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนกับที่กำลังจะบอกว่ายุติธรรมไหม? ที่คนดีๆ ทำดีมาตลอด แล้วก็เดินออกไปที่ระเบียบ แล้วก็ตกระเบียบลงไป แรงดึงดูดของโลกดูดลงไป หรือคนดีๆ ขึ้นเครื่องบิน แล้วเครื่องบินลำนั้น กฎแห่งการยกขึ้นมันเสียไป ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด มันต้องพุ่งเร็ว อยู่ในเงื่อนไขของกฎแห่งการยกขึ้น ทำให้กฎแห่งการยกขึ้นเสียหายไป แรงดึงดูดของโลก ก็ดูดเขาไป ตก อย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเหรอ แล้วอะไรคือยุติธรรม มันอยู่ที่กฎระเบียบที่ถูกตั้งไว้แล้ว ผู้ที่ควบคุมระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่าเป็นอย่างนั้น  ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องดำเนินตามกฎของพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างที่ผมบอก เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ยังมีอยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแห่งความบาปและความตายก็มีอยู่เช่นเดียวกัน

 

และที่บอกว่า “บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” ก็เพราะว่าการลงโทษผู้ที่กระทำผิด เป็นกฎที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติสมัยโมเสสอันเดิม สมัยนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด ซึ่งผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้อีกต่อไปแล้วไง พระเจ้าได้สร้างกฎใหม่ขึ้นในพระเยซูคริสต์แล้ว กฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เราเป็นอิสรภาพจากกฎเก่า ที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในนี้ เราก็มีกำลัง มีอำนาจอยู่เหนือพลังของกฎเก่า ซึ่งกฎเก่า ก็คืออะไร? คือความบาปและความตายต้องชดใช้ เราเลยไม่ต้องชดใช้ เราจึงเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่ได้กฎใหม่แล้ว นักวิทยาศาสตร์สร้างกฎนี้ขึ้นมา แล้วเจอกฎนี้ ก็คือกฎการยกขึ้น เรานั่งยิ้มไปเลย เพราะอะไร? เพราะขณะที่เรานั่งยิ้มนั้น เรามีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก เราลอยอยู่ในอากาศได้ เอเมน เห็นไหม?

แล้วทำไมต้องมีกฎใหม่ของพระเยซูคริสต์ มาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติ ท่านคิดในใจว่าทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้มนุษย์ทำตามบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้รอดจากการถูกลงโทษไม่ได้หรือ! เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ให้มนุษย์ทำดีสิ จะได้ … ได้ดีอย่างเดียวไง เป็นไปได้ไหม?  ผมไม่ตอบ ผมให้พระคัมภีร์ตอบดีกว่า พระคัมภีร์จะตอบว่าทำได้หรือไม่ได้? โรม 8:3-4 จะบอกเลยว่าทำไมมนุษย์จึงทำไม่ได้

โรม 8:3-4 “3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอ เนื่องจากวิสัยบาป เนื่องจากเชื้อของความบาป เนื่องจากสันดานของความบาป  ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ตกทอดมาจากอาดัมและอีฟบรรพบุรุษของเรา ทำให้มนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวก็ทำบาป

จะทำดีสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำบาป  ไม่มีใครสอนอะไรเลย ตั้งแต่เด็กๆ มา ก็เริ่มโกหก เริ่มอิจฉาริษยา เริ่มเห็นแก่ตัว ใครสอนเด็กเหล่านี้  เชื้อมัน เชื้อที่อยู่ในตัวเด็ก พระคัมภีร์บอก ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่บาป คือบาปทุกคน ถ้ามนุษย์สามารถทำตามบัญญัติภายใต้กฎแรก ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือไม่ทำบาป ไม่ทำผิดบทบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว มนุษย์ก็จะรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ คือไม่ต้องรับโทษในความผิดของตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ทำ แต่ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีมนุษย์คนไหนสามารถรักษาบทบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่กระทำผิดบาปเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยโกหกใครเลย  ไม่เคยคิดไม่ดีต่อใครเลย  พระเจ้าจึงต้องให้มีกฎใหม่ เพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากกฎเดิม ซึ่งติดเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เพราะถ้าไม่มาปลดปล่อยจะไม่มีใครรอด พ้นจากการถูกลงโทษเลย ทุกคนต้องได้รับโทษหมด ที่เราคุ้นๆ กันว่าเกิดมาใช้เวรใช้กรรม ไม่หมดสักที เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที มันเรื่องจริง แต่ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีก่อน ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน บนไม้กางเขน พระองค์ทรงไถ่เรา

ถ้อยคำตรงนี้จึงบอกว่าเพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์อ่อนแอ ไม่สามารถบินได้ นักวิทยาศาสตร์จึงช่วยแล้ว ช่วยทำ ช่วยหา จนพบกฎแห่งการยกขึ้น  สร้างเครื่องบินมา ทำให้เราชนะแรงดึงดูดของโลก สามารถบินได้ ความอ่อนแอของมนุษย์บินไม่ได้ แต่โดยนั่งบนเครื่องบิน มนุษย์กลายเป็นบินได้ เอเมน

ลักษณะเดียวกัน สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการกระทำตามบทบัญญัติ ไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากการถูกลงโทษได้  เพราะไม่มีใครเลย อย่างที่บอกว่าไม่มีใครเลยที่จะทำถูกต้องได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะมนุษย์ทุกคนมีวิสัยบาปอยู่ ภาษาเดิมจริงๆ เขาเรียกว่าสันดานบาปอยู่ เชื้อบาปที่อยู่ในตัว ที่จะกระทำความผิดอย่างแน่นอน คือพูดตรงๆ ก็คือถึงไม่ทำไม่อะไรเลย ก็เป็นคนบาป เพราะมันบาปมาจากสายเลือด เข้าใจใช่ไหมครับ? มันมาจากสายเลือด อย่างไงๆ ก็เป็นคนบาป

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป ไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป จึงเป็นคนบาป แต่กำลังหมายถึงมนุษย์ทุกคนเป็นเชื้อสายของอาดัมและอีฟทั้งสิ้น และอาดัมและอีฟพามนุษย์ทั้งครอบครัวของตัวเอง เผ่าพันธุ์ทั้งหมดตกลงไปในความบาปทุกคน ก็เลยโดนโทษนี้ไปด้วย

พระคัมภีร์ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด ไม่บาปเลย ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย โดยการทำตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยตัวเอง โดยการกระทำด้วยตัวเอง โดยพยายามด้วยตัวเอง ไม่มีสิทธิ์เลย เช่นเดียวกัน ที่ผมบอกมนุษย์อ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์เลย ที่จะบินได้ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ ต่อให้ไปเล่นกล้ามเท่าไร ก็บินไม่ขึ้น ถูกไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตัวเอง  ต้องมีใครมาช่วยสักคนหนึ่ง พูดง่ายๆ และผู้นั้น ที่เรารู้ก็คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ กฎของวิญญาณ โรม 3:20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

 

“โดยการรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้”

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่าอยู่ กฎความประพฤติ กฎการทำอยู่ คือกฎแห่งบาปและความตาย พระคัมภีร์ใช้ชื่อนี้ กฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครยังอยู่ในกฎเก่านี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรมของตนไปได้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่ได้เลย  เพราะยังอยู่ในกฎเก่าอยู่ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่มนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ ก็คือต้องหากฎใหม่ให้ได้ หากฎใหม่ให้เจอ แล้วกฎใหม่นั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ที่ไม้กางเขน โดยส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน ก็คือคนนั้นต้องหากฎนี้ให้เจอ และต้องมาอยู่ภายใต้กฎใหม่นี้ ที่เรียกว่ากฎวิญญาณนี้ ซึ่งเป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต เขาจะต้องเชื่อในกฎนี้ และเข้ามาอยู่ในกฎนี้ เขาถึงจะชนะกฎของความบาปและความตาย ซึ่งเขาต้องชดใช้เวรกรรมของเขา ถ้าไม่อยากชดใช้ ก็เข้ามาอยู่ในกฎใหม่ที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย กฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

และผู้ที่สามารถอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น  จะย้ายเข้ามาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ก็ไม่ใช่ด้วยการกระทำอีกแล้ว วิธีเดียวเท่านั้น ที่ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้นั้น ก็คือต้องเป็นผู้ที่เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ และผู้ที่จะอยู่ในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น พระคัมภีร์พูดไว้ คือผู้นั้นต้องเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

และเชื่อในข่าวดี คืออะไรไม่เข้าใจ? อ๋อ! ข่าวดีของพระเยซู ก็หมายถึงต้องเชื่อในข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับท่าน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม บาปท่านได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว ไถ่ท่าน โดยฟรีๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปรับอย่างเดียว นี่คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องเสียอะไรเลย ได้เปล่าๆ เรียกว่าข่าวดี  ถูกไหม?  เข้าไปรับสิทธิ์ คนนั้น มีหน้าที่เชื่อในข่าวดีนี้ ที่มาถึงเขา เชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วก็เดินเข้าไปรับสิทธิของเขา เท่านั้นเอง  เขาก็จะได้รับสิทธิ์นั้นทันที เขาจะได้เข้าไปอยู่ในกฎใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

จำได้ไหมในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ดังเลยนะ เดี๋ยวจะให้ท่านเห็นชัดๆ ข้อพระคัมภีร์ดังเลย ยอห์น 3:16-18 อ่านพร้อมกัน แล้วก็เน้นๆ ตอนช่วงท้ายๆ ข้อ 18 พยายามอ่านให้เน้นๆ ว่าเป็นอย่างไร?

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ในนี้ข้อ 16 บอกว่า “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

ก็คือชีวิตที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป

ในนี้บอกว่า “เพราะพระเจ้าไม่ได้จะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อจะพิพากษาโลก”

ไม่ได้มาเพื่อตำหนิ เพื่อจัดการ “ฉันจะลงโทษเธอ” ไม่ใช่ แต่มาเพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์บนโลกนี้ จะได้รอดจากอะไร? จากกฎของความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย และหนี้เวร หนี้กรรมต่างๆ ที่เราต้องชดใช้

ในข้อที่ 18 บอกว่า “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว”

จริงๆ คำว่า “พิพากษา” มันต้องมีคำว่า “ลงโทษ” อยู่ในนั้นด้วยนะ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เห็นหรือยัง? แปลว่าอะไร?

“ผู้ใดที่ไม่เชื่อพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว” คือเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เกี่ยวกัน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แล้วจะสั่งปรับโทษ เราไม่เชื่อในการที่เครื่องบินยกขึ้นได้ แต่พอเรานั่งบนเครื่องบิน กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกมันก็มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน กฎของความบาปและความตายมันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ มันอยู่แล้ว มันคอยจะดูดคนลงไป อยู่แล้ว  ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ยังถูกดูดอยู่ดี

ในนี้บอกว่าเพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ เพราะไม่เชื่อ ในนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อว่าพระเยซูมาทำกฎใหม่ให้เรา มีสิทธิ์ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตายแล้ว เขาไม่เชื่อตรงนี้ เขาจึงได้รับการลงโทษ อยู่แล้ว เป็นธรรมดา

เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ลงมาเกิด เราก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเราไม่เชื่อพระเยซู แล้วถูกลงโทษ แต่มันถูกลงโทษ ตั้งแต่อาดัมและอีฟพาพวกเราทั้งหมด บรรพบุรุษของเรา พาเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมดลงไปในความบาป  เราได้รับโทษแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมแปลตรงนี้ให้ท่าน เปรียบเทียบตรงนี้ให้กับท่าน … ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นนะครับ อ่านตามผมนะครับ พูดตามผมนะครับ ดังๆ เลยนะ

“ผู้ใดที่เชื่อกฎแห่งการยกขึ้น  ก็ไม่ล่วงหล่นลงมา ผู้ใดไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้นนี้ ก็ล่วงหล่นลงมาอยู่แล้ว แน่นอน 100%” ใช่ไม่ใช่?

“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อว่ามีกฎแห่งการดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ ฉันก็เดินออกไปเลย”

ถ้าผมเดินออกจากเวทีนี้ไป ผมตกไหม? ตก ถ้าอย่างนั้น ผมไม่เดินออกไปหรอก ผมเชื่อ  ถ้าไม่มีกฎในการยกขึ้นมาช่วย ไม่มีเครื่องบิน สมมตินะ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น  เราจะไม่ได้บินเลย ตลอดชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะไปไกลขนาดไหน? ก็ไม่กล้าไป เพราะเราขี้เกียจนั่งเรือ เรากลัวเมา เข้าใจใช่ไหม?

ถ้าย้อนกลับไปที่ตัวอย่างในเรื่องเครื่องบินตะกี้นี้ ลักษณะเดียวกัน คือถ้าเรายังคงอยู่กับข้อจำกัดของกฎเก่า คือกฎเก่า กฎธรรมชาติ บอกว่าวัตถุไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เราจะแพ้กฎนั้น กฎนั้นเรียกว่ากฎแรงดึงดูดของโลก กฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อในกฎใหม่ก่อน ที่นักวิทยาศาสตร์เขาสร้างขึ้นมา คือเชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น เขาคิดขึ้นมาว่ามันมีกฎแห่งการยกขึ้นจริงๆ นะ ที่ทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้ และลอยอยู่ได้ เราก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ ผ่านทางเครื่องบิน โดยอาศัยเครื่องบิน ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ เพราะฉะนั้น ผมจะเขียนสมการให้ท่านดู

เครื่องบิน ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแรงโน้มถ่วงของโลก นี่พูดถึงเครื่องบินนะ กฎธรรมชาติ คือมันมีแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ ไม่สามารถบินได้ ถูกไหม?

คราวนี้กฎไม่ธรรมชาติ กฎที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นอีก กฎที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมา ก็คือแต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะ เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะฉะนั้น สรุปออกมาเป็นผล สามารถบินได้ ลอยอยู่ในอากาศได้

เทียบกับมนุษย์ … มนุษย์นะ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาตินะ ธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ต้องตายและตาย … ตายเดี๋ยวนี้และตายจากโลกนี้ไป ก็เรียกว่าตาย 2 ครั้งเลย  ตายทางวิญญาณด้วย ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลได้ เรียกว่าตาย เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก

ย้ำอีกทีหนึ่ง ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกวันนี้ ทำให้มนุษย์ต้องประสบกับความตาย ต้องอยู่ในนรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว และเป็นอิสระจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ สิ้นสุดชีวิตแล้ว วิญญาณก็สามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นิรันดร์กาล อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่หลังความตาย เข้าใจใช่ไหม? ตรงกันข้าม ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ ก็คือต้องไปอยู่ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เราเป็นคนบาป เราต้องไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกว่านรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศ” ความตาย  แต่คนที่อยู่กับพระเจ้าเรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์

 

ถามว่าทำไมผมถึงพยายามยกเรื่องเครื่องบินขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ปัจจุบัน ควรจะมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันกับการนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน? ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เครื่องบินบินกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนคนกลัวกัน แต่เดี๋ยวนี้บินกันเยอะมากๆ ข้างบนอากาศ คนบินกันเยอะ เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างจะเห็นชัด มันจะเห็นชัด ถามว่าเวลาที่ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ใครก็ตามที่เดินทางโดยเครื่องบิน ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ท่านต้องทำอะไรบ้างไหม? บนเครื่องบิน  ที่จะทำให้เครื่องบินยกขึ้นให้ได้ ท่านไปช่วยยกเครื่องบินไหม? ตอนที่นั่งอยู่ในเครื่องบิน หรือในขณะที่มันลอยอยู่บนท้องฟ้า ท่านช่วยทำอะไรไหมที่มันลอยอยู่บนฟ้าได้  ท่านต้องคอยช่วยนักบินดูแผนที่ไหม? ก็ไม่ต้อง ท่านต้องคอยช่วยดูทิศให้ไหม? เผื่อว่ากัปตันบินเลี้ยวผิดอะไรประมาณนี้  ท่านก็ไม่เคยคิด ท่านต้องคอยช่วยควบคุมระดับการบินไหมว่าสูงไป เตี้ยไป

“นักบินทำไมบินเตี้ยอย่างนี้ น่าสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ 10,000 … 30,000 กิโลเมตร อะไรอย่างนี้ สมมตินะ สูงกว่าพื้นดิน อะไรอย่างนี้  ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม? แค่นั่งเฉยๆ แล้วก็ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใคร? ของคนข้างๆ ไม่ใช่ หน้าที่ของกัปตัน … กัปตันหรือนักบินก็จะพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ตะกี้ผมบอกคนข้างๆ หมายถึงใครรู้ไหม? บางคนเป็นคริสเตียน กัปตันของเรา คือพระเยซู แทนที่เราจะนอนหลับ แล้วพึ่งในพระเยซู พึ่งคนข้างๆ แทน เข้าใจไหม? พึ่งคนข้างๆ แทน มันต้องพึ่งพระเยซูนะ ต้องยึดพระเยซูผู้เดียว ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากพระเยซูเท่านั้น แต่คนข้างๆ มาเพื่ออะไร? เพื่อหนุนจิตชูใจเราเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าพึ่งเขา จนกระทั่งเขาพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ มันเป็นไปไม่ได้

นั่นแหละครับ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ควรจะดำเนินชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ถูกไหม? คริสเตียนทุกคนรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่การได้รับชีวิตนิรันดร์และได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระองค์ทรงตั้งเป้าอย่างชัดเจน แจ่มใส แล้วก็หมดบาป แล้วไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็มันรู้จักพระเจ้าแล้ว คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอวิญญาณออกจากร่าง สามารถไปอยู่สวรรค์ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ ง่ายๆ อย่างนี้

พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์เป็นทางนั้นที่จะนำพาเราไปพบกับพระเจ้าได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เราได้รับสิ่งนั้นจากพระเยซูมาเรียบร้อยแล้ว เราได้รับแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับบางคนได้รับแล้ว ไม่ไปใช้สิทธิของเขาก็มี แต่เราทั้งหลายในที่นี่ เราได้รับแล้ว … แล้วเราก็มาใช้สิทธิของเราแล้วด้วย อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรครับ อะไรที่เราต้องทำ มีไหม? ตอบ อยู่บนเครื่องบิน คุณต้องทำอะไรไหม? ไม่ต้องทำ เพราะฉะนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ลำบากใจนะ มันอยากทำ มันติดนิสัยเก่ามา มันอยากทำ คุณไม่ต้องทำ คนละเรื่องกัน ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องทำดี ไม่ใช่นะ ไอ้ทำดี ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำดี มันอยู่ในวิญญาณมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว พระเจ้าใส่ลงไป เป็นธรรมชาติ ที่เขาอยากทำดี แต่ทำชั่วนั้น เขาไม่อยากทำ แต่มันอดไม่ได้ มันสู้กับมันไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนทำชั่ว ไม่ต้องส่งเสริม ไม่มีใครอยากทำชั่วอยู่แล้ว แต่มันชั่วจริงๆ ก็เพราะเขาสู้ตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับเชื้อความบาปที่อยู่ในตัวของเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ? นี่มันต้องเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั้น เราไม่ต้องทำอะไร เพราะพระเยซูทำให้หมดแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูทำให้เราแล้ว สมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า Finish … It is finished. มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แล้วๆ ครบถ้วนแล้ว จบ เราไม่ต้องทำอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ต้องย้ำอีกทีว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือทำดีอะไรต่างๆ  พระวิญญาณจะนำเราเอง ถึงแม้พระวิญญาณไม่นำเราในอดีต อย่างที่บอก ไม่เชื่อพระเจ้า จิตวิญญาณของเขาคนนั้น ลึกๆ ในใจเขาอยากทำดีทุกคน เพียงแต่มันสู้กับกิเลสตัณหาเนื้อหนังไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเรา ฟังให้ดีนะ วิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้วเช่นเดียวกัน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ … เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว … พระองค์มาตายที่ไม้กางเขน … ตายหรือยัง? ตอบทุกคน ตายแล้ว … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เห็นไหมทำหมดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าที่พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันเกิดผลในชีวิตของเราอย่างนี้ โรม 6:3-6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเกิดผลที่เราอย่างไร?

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เอเมน … เป็นอิสระไหม? ถ้าไม่เป็นอิสระ อ่านตามผม เป็นอิสระแน่เลย อ่านตามดังๆ เลยนะ อ่านให้ตัวเองฟัง

          “เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่าวิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อวิญญาณบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

 

ถามว่าอิสระนั้นที่ไหน? ที่วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ไม่มีผิดเลย  พวกนี้วิญญาณทั้งนั้น มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตาย แล้วมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย รวมความก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ … พระองค์ทรงทำอะไร เราทำอันนั้นด้วย  นี่มันเป็นอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอกไว้ ตื่นเต้นน่าดูเลย ตื่นเต้น

ตัวอย่างที่จะอธิบายให้ท่านเห็นภาพตรงนี้ให้ดีที่สุด ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว หรือครั้งก่อนโน่น ที่ได้ยกตัวอย่างเรื่องถุงชา ที่พูดไปแล้ว คือถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้อะไร? ที่ครั้งที่แล้วคิดอยู่ตั้งนาน ตอบ ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้น้ำชา ไม่ใช่กาแฟ เพราะเราใส่ถุงชา … ถุงชากับน้ำร้อน ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกไป เสร็จแล้ว หยิบถุงชาออกไปเลย เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับถุงชาอีกต่อไปแล้ว เพราะมันรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มันไม่มีทาง ไม่มีทางเลย นึกถึงเรากับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอะไร?  ใครจะมาแยกเราได้ มีใครหน้าไหนจะมาแยกเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ มันหมายถึงอย่างนี้ มีใครจะมาปรับโทษเราได้อีก การปรับโทษ ก็หมายถึงจะมีใครมาว่าเรา … เราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้เป็นหนึ่งกับพระองค์ ไม่มีใครหรอก เมื่อเราเชื่อข่าวประเสริฐนี้ ยึดไว้ให้ดีๆ ทางวิญญาณมันเกิดสภาพนี้แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

เช่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว แยกกันไม่ออก และก็เหมือนกับตัวอย่างเรื่องน้ำชาว่าอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเพราะบางครั้ง เราก็ชงชาแบบเข้ม บางครั้งเราก็ชงชาแบบอ่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นชาแบบเข้มหรือแบบอ่อน อย่างไรมันก็เป็นน้ำชาอยู่ดี อย่างไรๆ ก็เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ดี เพียงแต่มันจะเข้มหรืออ่อนเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ถามท่านในที่นี่ ท่านเป็นคริสเตียนเข้มหรืออ่อน ไปถามเอง ไม่ต้องไปถามคนข้างๆ ด้วยนะ ท่านเป็นคริสเตียนแบบเข้มหรือแบบอ่อน จุ่มไปด้วยกันนั่นแหละ ทำพร้อมกันนั่นแหละ แต่บางคนเข้ม บางคนอ่อน อย่าหันไปหาคนข้างๆ สิ ดูตัวเองๆ ฉันใดก็ฉันนั้น คริสเตียนก็มี คริสเตียนที่แข็งแรงแล้ว อันนี้หมายถึงวิญญาณนะครับวิญญาณ แข็งแรงแล้ว และคริสเตียนที่ยังทำไม? ทางวิญญาณนะ อ่อนแออยู่ ยังเป็นชาอ่อนอยู่ นี่พูดถึงวิญญาณทั้งนั้นนะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็น คริสเตียนที่อ่อนแอ เป็นชาอ่อนๆ ยังไงๆ ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตอบ ใช่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตายไปแล้ว สิ้นจากชีวิตบนโลกนี้แล้วไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ในสวรรค์เหมือนกัน เอเมน และสามารถเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกันเลย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอย่างนี้ พระเยซูตาย เราตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูตาย  คนที่เป็นคริสเตียน อ่อนแอ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ชอบนินทา แต่เขาเชื่อข่าวดีจริงๆ นะ … เพราะเป็นก็คือเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ? เขาเป็นชาแล้ว เขาก็เป็นชา เป็นอย่างอื่นไม่ได้

คือเราพูดเอาเขาออกไป ประพฤติอย่างนั้น มันไม่น่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียน คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาเชื่อในข่าวดีนั้น แล้วหรือยัง? จริงๆ คุณรู้ได้อย่างไร?  ถามสิ คุณรู้ได้อย่างไร?  รู้เอง  พูดเอง คิดเอง พระเจ้าอาจจะไม่ได้มองเขาอย่างนั้น เขาอาจจะเชื่อจริงๆ ก็ได้ แต่เขาสู้ไม่ได้กับเนื้อหนังขนาดนี้ เขาก็เป็นเพียงแค่ชาอ่อน วันนี้ออกจากโบสถ์ เดินออกไป วันนี้ชาอ่อนชาแก่ โอเค อย่าไปทำอย่างนั้น ใช่ไหม?

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนี่ไหม? ทุกคนพูดพร้อมกันว่ากระเทียมดอง เพราะจากวันนี้ไป ท่านจะต้องพูดคำนี้ตลอดไปเลย เดี๋ยวท่านตั้งใจนะ รู้จักกระเทียมดองใช่ไหม? ใครทำกระเทียมดองเป็นบ้าง? เขาก็ต้องเอากระเทียมสดใช่ไหม? ใส่น้ำส้มสายชูใช่ไหม? น้ำตาลใช่ไหม? เกลือใช่ไหม? แล้วก็ดองไว้ ดองไว้กี่วัน? ไม่รู้ แต่ดองไว้ก็แล้วกัน สักระยะหนึ่งก็แล้วกัน  ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเขาดองไว้นานเท่าไร? ทราบแต่ว่าพอได้ที่ เขาก็จะเรียกมันว่าจากกระเทียมสดใส่ลงไปกี่วันไม่รู้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเรียกกระเทียมสดอีกต่อไป ทุกคนเรียกว่าอะไร? กระเทียมดอง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู พร้อมน้ำตาลและเกลือ และอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ ตามสูตรของแต่ละคน คือจากกระเทียมสด

ถ้าพูดตามภาษาพระคัมภีร์นะ แปลเหมือนกัน แต่พูดภาษากรีกให้ท่านฟังนิดหนึ่ง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกบัพติศมาลงในน้ำส้ม น้ำตาลและเกลือแล้ว ยังหัวเราะอีก ทำไมผมผิดตรงไหน? ก็วันนั้นเราเรียนมาตั้งแต่บทแรกแล้วใช่ไหมว่าบัพติศมาแปลว่าจุ่มลง มุดลง ดำลงไป แต่กระเทียมสดดำลงไปไม่ได้เหรอ ทำอย่างไร? ก็พูดภาษากรีกไงว่า.-

“ฉันจะเอากระเทียมสด บัพติศมาลงไปในน้ำส้มสายชู และน้ำตาล และเกลือ สภาพเดิมที่เรียกว่ากระเทียมสดเมื่อตะกี้นี้ ก็จะหายไป  ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งใหม่เรียกว่ากระเทียมดอง”

เห็นไหมบอกว่าให้จำไง เรียกว่ากระเทียมดอง และเมื่อมันถูกเปลี่ยนเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เป็นได้ไหม? ใครสามารถทำกระเทียมดองให้เป็นกระเทียมสดได้ ใครสามารถทำได้ ถ้าทำไม่ได้ คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร มันทำให้กลับไปเป็นที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าจับท่านบัพติศมาลงไป ก็คือพระเจ้า ก็เหมือนเราทำกระเทียมดอง จับเราจุ่มลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ สะอาดหมดจดแล้ว

ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ กลับไปฝึกการทำกระเทียมดองเรื่อยๆ ท่านจะเห็นภาพเอากระเทียมสดมา นึกถึงชีวิตเก่าเรา พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เราก็เหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้

หยิบกระเทียมสดหัวนี้ ใส่ลงไปในโถ น้ำส้มสายชู ตามสูตรของเรา ปิดฝามันไว้เลย เปิดออกมา ฉันให้บังเกิดใหม่กับกระเทียมเม็ดนี้แล้ว ชื่อกระเทียมดอง ไม่ใช่กระเทียมสดอีกต่อไป แล้วมีใครมาเปลี่ยนได้ไหม? ฉันเอง ฉันยังเปลี่ยนไม่ได้เลย มีใครสามารถเปลี่ยนเป็นกระเทียมอื่นได้ไหม? เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น อยากให้ท่านเห็นชัดเจนอย่างนี้ จึงพยายามที่จะค่อยๆ ยกตัวอย่าง แล้วก็พูดซ้ำ พูดอยู่ตรงนี้ พูดอยู่แถวๆ นี้ เพื่อให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่มีอะไรทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่สามารถกลับมา แล้วบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อพระเยซูแล้ว”

พระคัมภีร์จึงบอกในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไรรู้ไหม? บอกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะไม่ทำบาปเลย ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย  สมัยก่อนผมมานั่งคิด มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร? ก็เชื่อพระเยซู ก็ยังทำบาปอยู่เยอะแยะ อ๋อ! เขาหมายถึงวิญญาณไง วิญญาณไม่ทำบาปแล้ว แต่เนื้อหนังมันคนละเรื่องกัน มันยังเดินอยู่ด้วยกัน เข้าใจไหม? ถ้าท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วท่านยังทำบาป มันไม่จริง ท่านโกหก คำว่าโกหก หมายถึงท่านทำจากข้างในนะ ทางวิญญาณข้างใน

เพราะฉะนั้น เมื่อคนเป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เขาจะไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะวิญญาณเขาใสนิ๊งเลย ไม่มีบาป ทุกอย่างสะอาดหมดจด ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างของเชื้อบาปที่อยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง รอวันที่จะเปลี่ยนร่างนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกนี้ พระเจ้าเห็นว่างานการบนโลกนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ใช้เราจนครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เอากลับบ้าน ทำไม? เดี๋ยวจะเปลี่ยนอะไหล่ให้ อะไหล่ๆ วิญญาณไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว วิญญาณนิ๊งแล้ว แต่ร่างกายนี้สกปรก เอาทิ้งไปเลย ใช้อันใหม่ดีกว่า ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ลำบาก ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องมานั่งทาสิว ทาอะไรอีกต่อไป สวยงามตลอดชีวิต ก็คือร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราในสวรรค์สถาน

คราวนี้ ท่านลองเปลี่ยนตรงนี้ ท่านลองเปลี่ยนกระเทียมสด เป็นวิญญาณเก่าของท่าน แล้วท่านนึกตามนะครับ วิญญาณเก่าของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป แล้วเปลี่ยนคำว่าจุ่มลงในน้ำส้มสายชู เป็นบัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่ได้รับแทนที่จะเป็นกระเทียมดอง ก็จะเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากบาป แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ ฮาเลลูยา เห็นหรือยัง? ท่านเปลี่ยนแค่นี้เอง ชุบวิญญาณท่านลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขึ้นมาเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับที่กระเทียมสดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือก็ว่าไป เอเมน

กระเทียมดองไม่สามารถกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านได้การรับการสร้างใหม่ ให้บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปได้อีกต่อไปเลย เพราะท่านได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่า.-

 

“นี่แน่ะ เห็นไหม? มันใหม่ทั้งสิ้นเลย นี่แน่ะๆ Be hold  จงมองให้เห็นเถิดว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นได้รับการสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” 2 โครินธ์ 5:17 เอเมน

เพราะฉะนั้น ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกวันนี้นะครับ อยากจะบอกท่านว่าสิ่งเดียวที่พระคัมภีร์ต้องการให้เราทำ สอนเรา ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? พักผ่อน สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น แต่พระเยซูร้องเพลงนี้เลย สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พระเยซูร้องว่า.-

“เธอยังมีฉันอีกทั้งคน  เรายังมีหนทางมากมาย ขอให้มั่นใจว่าฉันไม่เคยมาสาย ขอเพียงแค่เธออย่ายอมแพ้มันเสียก่อน” เอเมน

จำได้ไหมเพลงนี้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ท่านจะได้เอาเทปนี้ไปฟัง เอาซีดีนี้ไปฟัง พระเยซูร้องให้ท่านว่ามั่นใจในพระองค์ อดทน เชื่อวางใจในพระองค์ ย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า.-

“ฉันกำลังอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระองค์กำลังนำพาชีวิตฉันไปจนถึงชีวิตนิรันดร์” เอเมน

ย้ำกับตัวเองตลอดเวลาได้ไหม? ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องหัดกินกระเทียมเยอะๆ กระเทียมดองไม่ใช่กระเทียมสด หัดกินกระเทียมดองเยอะๆ เพราะกระเทียมดองมีประโยชน์ เขาว่านะ รักษาสุขภาพ เวลาท่านกิน ท่านจะได้นึกถึงตลอดเวลา เอาขึ้นมาดูก่อนกิน ถ้าตราบใดกระเทียมสด ถูกทำเป็นกระเทียมดองแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

“ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ฉันก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในตรีเอกานุภาพอย่างนั้นเลย” เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า สดชื่น พักสงบ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อการบรรยายในซีรี่ส์นี้ครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เรามาเรียนรู้กันต่อนะครับ ในหัวข้อเรื่องนี้

พูดพร้อมกัน  “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองพูดกับคนข้างๆ สิว่าเขาจำได้ไหม? “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ถามใคร? ต่างคนต่างถามซึ่งกันและกัน  เราจะมาเรียนรู้ เราอยากรู้ เราย้ำกันมาหลายครั้งแล้วนะครับว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซู พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตามถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเจ้า พระเยซูตรัสนะครับ ว่าพระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณของพระองค์ จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ซึ่งเรียกกันว่าตีเอกานุภาพ เราเข้าไปเป็นหนึ่ง ในตรีเอกานุภาพ

รวมความ ก็คือเราเข้าไปมีส่วน เข้าไปมีส่วนสามัคคีธรรม มีส่วนในความยิ่งใหญ่ ความล้ำลึก ล้ำค่าสูงสุด  คือเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าธรรมชาติของสวรรค์ ธรรมชาติของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนเป็นหนึ่งในนั้นเลย  เอเมน สรรเสริญพระเจ้า

และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในตรีเอกานุภาพแล้ว เราก็เลย โดยปริยาย ได้รับความเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากมลทินทั้งปวง ปราศจากความบาปทั้งปวง ได้รับพระสิริของพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์นั่นแหละ ในพระลักษณะนี่แหละ ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่านานานัปการ คือนับไม่ถ้วนนั่นเอง พระพรเยอะแยะมากมายมหาศาล

และครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันถึงประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คน ที่แม้จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณตามที่พระเยซูบอกไว้ เยอะแยะมากมาย แต่ไม่เห็นมีชีวิตที่มีสันติสุข ตามที่พระเยซูบอกเลย ไม่เห็นมีชัยชนะโลก ตามที่พระเยซูบอกเลย  ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เลย ตามที่เราได้ทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้ว

และผมก็ได้ยกเอาคำพูดของอาจารย์เปาโลมาเป็นแบบอย่างในตอนนั้นว่าในเรื่องของว่าเปาโลดำเนินชีวิตอย่างไร? ทำไมเปาโลได้สันติสุขนั้น  ทำไมเปาโลได้พระพรนานัปการตรงนั้นไปแล้ว เราก็จะเลียนแบบเปาโลใช่ไหมครับว่าเปาโลได้แล้ว เปาโลมีสันติสุขอย่างนั้น เราก็อยากได้เหมือนกัน และวิธีใด ก็คือวิธีทำเหมือนที่อาจารย์เปาโลทำนั่นเอง  ท่านได้แล้ว เราก็ทำ ซึ่งท่านเขียนไว้เป็นเคล็ดลับอยู่ในโคโลสี 3:1-4 เราอ่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

พูดตามผมนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

เวลาพูดถึงชื่อของตัวเอง พูดดังๆ แล้วก็ชี้ที่ตัวเองด้วยนะครับ  “จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”  ทำไมความคิดของบางคนอยู่ที่หน้าอกล่ะ คิดอย่างไรอยู่ที่หน้าอก

“จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

พูดกับใคร? พูดกับเจ้าของสมองที่ตะกี้เราชี้นั่นแหละ เข้าใจไหม?  พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง บางครั้งต้องบังคับมันนะ มันชอบจดจ่อกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้  ในนี้เขาบอกให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ อ่านต่อ

“เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว (ไม่ยอมตายกันเหรอ ดังหน่อย) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า จำไว้ รู้ไหม?”

“รู้”

ประเด็นสำคัญ คือให้ใจและความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก นี่คือหัวใจ นี่คือเคล็ดลับ นิดเดียว แต่ทำยากๆๆๆๆ

คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และเราก็อยู่ในนั้นด้วย ในพระคริสต์ด้วย เบื้องบน คือที่ที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และ

“ฉันก็อยู่ที่นั่น ในขณะนี้ด้วย”

ไม่ใช่รอว่าตาย แล้วไปอยู่ตรงนั้น ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หลับตาลง

“ทุกวันนี้ ท่านอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์”

นี่แหละ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้  จดจ่อจนกระทั่ง เวลาท่านเกิดอะไรขึ้นก็ตามบนโลกใบนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก จดจ่อแบบเปาโลเลย จดจ่อ 24 ชั่วโมง นึกคิดอะไรปุ๊บ เราอยู่ที่นี่ พอท่านคิด ท่านไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนะ การกระทำบนโลกใบนี้ ที่จะโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากระทบ มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ยกตัวอย่าง เขาตบหน้าท่านปุ๊บ ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านก็ทำไม? เอาข้างซ้ายให้เขาตบ ไม่ เราก็หลบซะ แล้วก็รีบหนีไปซะ อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ให้เขาตบต่อ อันนั้น อะไรป้องกันได้ ก็ป้องกันไป แต่เราจะไม่เอาปืนมายิงเขาเลย ถูกไหม? เราทำท่าจะโกรธปุ๊บ เราก็ระลึก

“ฉันอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

แต่ถ้าท่านบอกว่า “ฉันอยู่ในประเทศไทย  ฉันเป็นของของประเทศนี้  ฉันเป็นคนไทย  ฉันเป็นโน่น  ฉันเป็นนี่  ฉันเป็นอะไรก็ตาม อยู่บนโลกนี้ ท่านเสร็จมันเลย นี่ไม่มีสันติสุขแน่นอน ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบชีวิตท่าน ท่านตัดสินใจด้วยตรงนี้แหละว่าท่านอยู่ที่ไหน?  ถ้าอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านชนะ แต่ถ้าท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านแพ้มาร เอเมน ทำได้ไหม?  ตอบตรงๆ ทำได้ไหม? ไม่ได้  แต่ก็พยายามทำให้ได้บ้าง แต่ทำให้ครบ มันไม่ได้นะ ก็พยายามที่สุดนะ ก็พยายามกันต่อไป ใช่ไหม?

ใครที่สามารถทำได้ตามนี้ ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามที่พระคัมภีร์ พันธสัญญาของพระเจ้า สัญญาไว้ในพระคริสต์ว่าจะได้รับอย่างนี้ และจะได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยพระพร นานัปการ เต็มไปด้วยความสุขสงบ และเต็มไปด้วยความพอเพียง ทุกอย่าง ไม่ใช่พอเพียงเรื่องการเงินอย่างเดียว พอเพียงทุกอย่าง พอเพียงหมด พอใจแล้ว

“ในพระคริสต์ ฉันพอใจแล้ว”

          ซึ่งเป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ที่แท้จริง อย่างที่เปาโลอยากให้พวกเราทั้งหลายมีประสบการณ์ตรงนี้ ซึ่งท่านได้รับแล้ว  ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านก็มีความสุข มีสันติสุข ท่านจะอยู่อย่างอดยาก หรืออยู่ในคุกตะราง หรือไปอยู่ในพระราชวัง ท่านมีค่าเท่ากัน คือท่านพอเพียงเสมอ เพราะท่านรู้ว่าต่อให้ท่านอยู่ในพระราชวังนั้น ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านติดคุกอยู่ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรเลย อยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในพระคริสต์ เอเมน จะจนในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ จะร่ำรวยในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นมีอะไรของเราสักอย่าง หรือแม้จะพูดว่าทุกอย่างเป็นของเราก็ได้ แต่แล้วแต่พระเจ้านะ เอเมน เห็นไหมครับ? เคล็ดลับ และเคล็ดที่ไม่ลับ คืออะไร?

 

เคล็ดที่ไม่ลับ คือที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คืออะไร? อยู่ที่เราอยู่ที่เรากำลังมาเรียนรู้ 4 ตอน คือเรียนรู้ว่าการที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่อย่างไร? เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายลำบาก และไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ได้ มันมองไม่เห็น มันต้องใช้ความเชื่อ ถามว่ามันเชื่ออะไร? เชื่อในที่พระคัมภีร์ พระเยซูบอกไว้ พระเจ้าสอนไว้ว่ามันเป็นอะไร? เป็นอย่างนี้ ตรงไหนบ้าง อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้สอนตามที่ศิษยาภิบาลอยากสอน ไม่ใช่ พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ฉันมีความสามารถอย่างไรในพระคริสต์? ฉันมีสง่าราศีอย่างไรในพระคริสต์?”

ตรงนี้ คือเคล็ดไม่ลับ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ที่บอกว่าใช้เวลาหน่อยหนึ่ง นานๆ เลยนะครับ อีกไม่รู้กี่ตอน ซึ่งเรากะกันไว้ว่ากี่ตอนนะคราวที่แล้ว 30 กว่าตอน ตอนนี้เพิ่งไป 4 เอง คิดดูสิ พูดไปเรื่อยๆ ไม่จบตอนนี้แน่ๆ นี่คือเคล็ดไม่ลับ คือต้องเรียนรู้ มาเชื่อพระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ มาเชื่อแล้วต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? ท่านเป็นใคร? เราจะได้รับสิทธิของเราครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ทั้งหมด คือให้รู้ว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ทำไมถึงใช้คำว่า “ซ่อน” เพราะมันไม่เห็นชัดๆ ไง ถ้าบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้ทุกคนถูกย้ายเข้ามาอยู่ในวัง อย่างนี้ก็ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย สมมตินะ สมมติเขาใหญ่เป็นวังใหญ่ๆ อันหนึ่ง คนมาเชื่อพระเจ้า เขาก็ย้ายมาอยู่เมืองนั้นหมด เก็บข้าวของออกจากหมู่บ้านที่เราอยู่ ออกไปที่โน่นหมด อย่างนี้ก็ไม่ต้องอธิบาย แต่นี่ไม่ใช่ บ้านก็ยังอยู่เหมือนเดิม สิวที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนที่เจอกัน แล้วยังหมั่นไส้ ก็ยังเหมือนเดิม อาการหงุดหงิดของเราที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม แล้วบอกว่าเราได้ถูกสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มันเชื่อยาก ลำบากมาก แต่มันไม่ยากตรงที่พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเราแต่ละคน ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ฟังบ่อยๆ เขาว่าอย่างไร? อย่างนั้น

คือพูดง่ายๆ ว่าต้องสนใจนั่นเอง  สนใจสิทธิของเรา ที่พระเจ้าทำให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์นะครับ

พูดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง “ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? … ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์”

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องเรียนรู้ … ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้เราเรียนรู้เสมอ ในใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทั้งหลาย ทั้งปวงที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย ที่บอกในพระคัมภีร์ เราก็จะได้รับ ไม่ใช่ “จะ” นะ เราได้รับแล้ว แต่มันจะปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา จริงๆ เราไม่ใช่จะได้รับนะ แต่ได้รับแล้ว แต่เรายังไม่ใช้สิทธิเลยสักทีหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้ว ถ้าเราสนใจมันนะครับ

พระเยซูจึงบอกว่าอย่างไร? ถ้าท่านได้รู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ถูกไหมครับ? ในหนังสือยอห์น 8:31-32 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ?

ยอห์น 8:31-32 “31 ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ  32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

เพราะฉะนั้น เรากำลังสำแดงความรักของเรา คือพระเยซูตรัสว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เรากำลังเข้าไปหา เราเข้าไปเรียนรู้ เพื่อว่าอะไร? เพื่อว่าเราจะได้รู้ความจริงนั้น ไม่ใช่คนนี้พูด ไม่ใช่คนนั้นพูด ไม่ใช่ศิษยาภิบาลพูด ไม่ใช่โลกพูด แต่เป็นพระเยซูตรัส พูดเองในพระคัมภีร์ แล้ววิญญาณจะสอนเรา ถ้าเราเอาจริงๆ จังๆ จะพาเราเข้าไปรู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? และนั่นเป็นความจริง และความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกไว้ ความจริงที่พระเยซูหมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ก็คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือการไถ่บาป ทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่พระองค์ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นมโหฬารในโลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละคือสิ่งที่บอกว่าความจริง

ยกตัวอย่างเช่นเกิดอะไรขึ้น พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ไถ่บาปเราหมดเรียบร้อยไปแล้ว เราพ้นจากบาปเวรกรรมแล้ว เราไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในจำนวนความจริง เห็นไหม?

ความจริงคืออะไร? คือท่านไม่ต้องทำเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว นี่คือความจริง

ความจริงคืออะไร? เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า กลายเป็นลูกของพระเจ้า

นี่คือหนึ่งในความจริงและอีกมากมาย แม้กระทั่งเรานั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่งกับพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ ในที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน นี่ก็อีกหนึ่งความจริงที่เราต้องเรียนรู้ และความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นไท ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง แล้วทำไม? รับรู้ความจริงแล้วทำไม? เชื่อ จริงๆ เราก็ตั้งใจเชื่ออยู่แล้วทุกวันนี้ แต่บางทีเรายังไม่รู้ความจริง เราตั้งใจจะเชื่อ ถ้าเราตั้งใจเชื่อด้วย พอเรารับรู้ความจริง เรารับรู้ความจริง เราเชื่อปุ๊บ เราก็ได้รับตามที่พระเยซูบอกไปทั้งหมด ใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนั้น ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นอิสรภาพ ได้รับอิสรภาพ ได้รับการเป็นไทจริงๆ มีอิสรภาพอย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ใช่ต้องรอว่าเป็นอิสระแล้ว ตายแล้ว ไปสวรรค์แน่ อิสระจากนรก ไม่ใช่ นั่นมันของอีกนาน ตอนนี้เลย พ้นจากนรกเดี่ยวนี้เลย ได้จริงๆ เป็นอิสระจากอะไรต่างๆ ที่มนุษย์ไม่ชอบ ที่เป็นความทุกข์ เป็นความชั่วร้าย

พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงให้อิสรภาพกับเราแล้ว เราเป็นไทแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังทำตัวเหมือนยังอยู่ในคุกอยู่ ยังถูกพันธนาการอยู่ ยังไม่ชอบเชื่อ หรือยังไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูบอกไว้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คริสเตียนหลายคนก็เป็นอย่างนี้

ท่านลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเราเป็นนักโทษ ถูกคุมขังอยู่ในคุก นึกไม่ค่อยออกใช่ไหมครับ?  นึกถึงตัวเรานะ แล้ววันหนึ่งผู้คุมก็เอากุญแจมาเปิดประตูออกมา แล้วบอกว่า

“อ้าว! เธอออกไปได้แล้ว ชดใช้โทษแล้วทั้งหมด เป็นอิสรภาพแล้ว ออกไปได้”

นึกถึงภาพนะ เปิดประตูกรงขัง แล้วบอกให้เราออกไป แล้วเราก็ลุกขึ้น แล้วก็บอกผู้คุมว่า

“ฉันไม่ออกหรอก ฉันทำผิดมาตั้งเยอะ ฉันสมควรจะได้รับความทุกข์มากกว่านี้อีก ฉันสมควรจะรับโทษมากกว่านี้ ฉันไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ในคุกนี้ต่อไป”

แล้วก็นั่งลง ประตูก็เปิดอ้าไว้อย่างนั้น เห็นภาพไหม? ตลกนะ คริสเตียนหลายคน ยังเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูบอก พระองค์เอากุญแจมาเปิดประตูคุกให้เราใช่ไหม? ให้เราเดินออกไป เหมือนผู้คุมเมื่อตะกี้นี้ไหม? พระองค์บอกว่าไม่ว่าจะเป็นโทษบาป ความผิดร้ายแรงขนาดไหน? ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งหมดเลย พระองค์ได้ไถ่ให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาไปหมดแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่เลือกที่จะกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม  ไม่ยอมเดินออกมา ไม่ยอมรับอิสรภาพของตัวเอง คือพระเยซูทำให้ อย่างครบถ้วน

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเยซูเน้นย้ำกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ถ้าเราได้รับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ก็แสดงว่าคนที่ไม่ออกมา ไม่ได้ความรับความจริง ถามว่าเขาไม่ได้รับความจริงเพราะอะไร?  เพราะถูกโกหกไง มันไม่มีทางที่คนเราจะไม่คิดอะไรเลย อยู่เฉยๆ ไม่มี อยู่ตรงกลาง ไม่มี คือเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าพระเยซูบอกอย่างนี้ บอกเราเป็นไท … ไม่เอา … ถ้าผู้คุมบอกให้เราออกไป เป็นอิสรภาพแล้ว

“ไม่เอา ฉันจะอยู่ ฉันเชื่อนะ แต่ฉันจะอยู่”

มันไม่มี มันไม่มีตรงกลาง คือเรากำลังถูกหลอกอะไรบางอย่าง? เรากำลังเชื่ออะไรบางอย่าง? จากข้อมูลทางโลกนี้ จากมารที่ใส่เข้ามาว่าเราจะต้องทำอะไรอีกบ้าง? ถ้าเรามาเชื่อพระเยซู

“เธอยังไม่พร้อม”

มันจะใส่ที่หูเรา มันจะส่งข้อมูลมาหาเราว่า “เธอเอาอีกแล้ว เธอจะต้องทำอย่างนี้”

อีกแล้วครับท่าน เราก็เลยติดอยู่ที่คุกนั้นอีก แล้วเราก็ไม่กล้าออกมา ในหนังสือโรม 6:6-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ … นี่ก็อีกหนึ่งความจริงในพระคัมภีร์ นี่คือหนึ่งในจำนวนเยอะแยะในพระคัมภีร์ที่เป็นความจริง

โรม 6:6-7 “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป

 

พระคัมภีร์บอกเราเป็นอิสระจากบาปแล้ว อิสระคืออะไร? อิสระเลย อิสระตลอดไป ไม่ใช่อิสระเข้าๆ ออกๆ ตรงกลาง ไม่ใช่ อิสระตลอดไป

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูใช่ไหม? เชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในเรื่องข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว ก็ให้เราเชื่อในผลของข่าวดีนั้นด้วย หมด ครบถ้วนเลย ข่าวดีนั้น เกิดประโยชน์อะไรให้กับชีวิตของเราบนโลกใบนี้บ้าง? เอาเลยๆ เอาทั้งหมด ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พระเยซูทำให้เรามีสิทธิ์ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอีกนะ พระเยซูไม่ต้องทำอีกแล้ว เพียงแต่เราไปรับสิทธิ์ของเรา เชื่อในสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ของเรา ที่พระเยซูทำให้ และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้วในพระคริสต์นั้น การมาเรียนรู้เรื่องนี้ ก็คืออย่างนี้ว่ามาหาผลประโยชน์ในนี้ มาหาประโยชน์ในนี้ มาหาสิทธิของเราในนี้

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น ถึงเรื่องนี้ ถึงเรื่องสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ว่าทำไมสิทธินี้เป็นอย่างไร? ท่านเห็นว่าให้เห็นลักษณะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นแบบโลกใบนี้ ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าอยู่ในพระคริสต์ทางวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเรา รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลยนะครับ

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งนะครับ หลายคนในที่นี่ก็เคยเดินทางโดยเครื่องบิน เดี๋ยวนี้เครื่องบินเขาบินกันแบบว่าเล่นเลยนะครับ แล้วเวลาจะเดินทางไปไหน? ผมก็จะบอกใครๆ ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าผมจะบินไปนิวซีแลนด์ เดือนหน้าจะบินไปฮ่องกง ถูกไหม? เราก็จะพูดกันติดปากว่าเดือนหน้าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ ถามว่าผมบินไปจริงๆ ไหม? ผมต้องไปหาปีกมาใส่เหมือนนกไหม?  เริ่มหัดบิน ผมจะไปฮ่องกงแล้ว ต้องทำไม? พูดพร้อมกัน ต้องทำไม? ไม่ต้อง ฟังให้ดีๆ นะ ไม่ต้อง ผมไม่ต้องใช่ไหม?  ไม่ต้องเตรียมตัวที่จะทำให้เหมือนนก แล้วจะบินนั้น แต่ผมกำลังบอกว่าผม … ด้วยความเชื่อ ผมกำลังจะบินไปฮ่องกง บินมาจากออสเตเรียแล้ว ตอนนี้จะบินไปฮ่องกง เป็นว่าเล่นเลย ผมจะบินไปที่ต่างๆ ด้วยวิธีการที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในไหน? อยู่ในเครื่องบินถูกไหม? ผมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แทนที่จะติดปีก ผมก็เดินทางไปที่สนามบิน แล้วเอาตัวเองเดินเข้าไปอยู่ที่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ให้พูดพร้อมกัน “ในเครื่องบิน”

ใช่ไหม? ผมเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แล้วผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ผมก็กำลังทำที่ผมบอกท่าน ผมกำลังบินไปฮ่องกง แค่ผมเอาตัวผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ผมก็กำลังบินอยู่ ขณะที่ผมนั่งอยู่ในเครื่องบินนั้น กฎทางด้านฟิสิกส์ กฎทางด้านเครื่องยนต์ กลศาสตร์ กลไกต่างๆ ก็จะทำให้เครื่องบินสามารถบินได้ อยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก หรือแรงโน้มถ่วงของโลก

ปกติธรรมชาติ บนโลกใบนี้ เขามี เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ กฎแรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่าGravity กฎแรงโน้มถ่วง หรือกฎดึงดูดของโลก คือดึงดูดวัตถุอะไรต่างๆ ลงมาบนโลกหมด เขาเรียกว่ากฎของการดึงดูด แต่ที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาใช้กฎหนึ่งพิเศษ ซึ่งชนะกฎของธรรมชาติในการดึงดูด คือกฎแห่งการยกขึ้น วิ่งเร็วๆ ทำปีกกินลม อะไรต่างๆ ว่าไปนะ ใครทำกฎนี้ก็ตาม ก็จะสามารถชนะกฎของธรรมชาติ มันก็ชนะกฎของการดึงดูด เครื่องบินก็เลยสามารถขึ้นไปบินอยู่บนอากาศ ทั้งๆ ที่มีแรงดึงดูดของโลกยังดึงดูดอยู่ไหม?  ยังอยู่ แต่มันแพ้แรงของกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ทำให้ผมสามารถบินขึ้น ลอยขึ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทรได้ พอเห็นภาพไหมครับว่าผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นอะไร?

กฎธรรมชาตินั้น มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะว่ามีแรงดึงดูดของโลกอยู่ วัตถุออกไปก็ตก แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เราจึงใช้คำว่าบินไปโน่น บินไปนี่ เพราะเครื่องบินใช้กฎ เครื่องบินคืออะไร? เครื่องบิน คือเครื่องที่ใช้กฎแห่งการยกขึ้น ซึ่งมีกำลังพัฒนาขึ้นมาเหนือกฎแห่งการดึงดูดของโลก เหนือธรรมชาติ

ในทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน  นี่กลับมาทางวิญญาณนะ ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย ถูกไหม? นี่คือกฎธรรมชาติ เกิดออกมาจากท้องแม่ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ไม่รู้ผู้หญิงผู้ชาย  ไม่รู้ว่าทำดีหรือไม่ดีไม่รู้ เดินออกไประเบียงชั้นหนึ่ง ตกมาไหม? ตก บำเพ็ญเพียรไปถึงอีก 50 ปี เดินมาที่เดียวกัน ตกไหม? ตก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มันอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด ถูกไหม? ถูก จนกว่าจะมีกฎอะไรบางอย่างที่มาช่วยเขา ทำให้เขาไม่ตกลงมา

          มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย เป็นธรรมชาติ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ในพระคริสต์นี้ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป เหมือนไหม? ท่านไปอยู่ในเครื่องบิน … เครื่องบินมีกฎที่อยู่เหนือกว่าแรงดึงดูด แรงดึงดูด … ดูดท่านไปอยู่พื้นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์นั้น กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ใช่ไหม? ทำให้ท่านมีชัยชนะอยู่เหนือ กฎของความบาปและความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว ถามว่าแล้วกฎความบาปและความตาย ยังมีอยู่อีกไหม? มีหรือไม่มี? ตอบพร้อมกัน มีหรือไม่มี? มีอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องเครื่องบิน เราออกไป เราก็ตก ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด และมนุษย์อยู่ในความบาป ไม่มีทางที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่งเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น เห็นภาพหรือยัง?  กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่เราอยู่นี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์” หรือ “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” จำเพลงนี้ได้ไหม?

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู

                   ได้ทำให้เรา พ้นจากบาป และความตาย … เอเมน

 

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

ถ้าเราเปรียบเมื่อตะกี้นี้ สมมติแต่งสดเลย “เพราะว่ากฎแห่งการยกขึ้น ในเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ ได้ทำให้เราบินไปโน่นและไปนี่ ลอยอยู่บนอากาศได้”

เหมือนกันไหม? เพี้ยน ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นผมร้องเพลงแบบนี้นะ สุดๆ พยายามอธิบายสุดๆ เลย ร้องเพี้ยนก็เอา

ถามว่าเวลาท่านจะบินไปไหนมาไหน? ท่านก็ต้องทำอะไร? คือหาวิธีใช่ไหม? คือไปซื้อตั๋วเครื่องบินใช่ไหม? หาเงินไปซื้อตั๋วเครื่องบินอย่างนี้ ถูกหรือเปล่า? แต่ท่านไม่เคยพยายามอย่างที่ผมบอก ไม่เคยพยายาม ใครบอกจะไปฮ่องกง ทำอย่างไร? ออกกำลังกายใหญ่เลย หรือไม่มีใครเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วบอกว่า.-

“เหนื่อยมากเลยวันนี้ บินเมื่อยแขนมากเลย”

มีใครไหมที่บินไปต่างประเทศ แล้วบอกว่า.-

“เมื่อยแขนมากเลย ทั้งวันทั้งคืนเลย”

มีใครทำอย่างนั้นไหม? ไม่มีเห็นไหม? เพราะว่าเขารู้ เขาเชื่อว่ากฎนี้มันชนะ โดยออโตเมติก ถูกไหมครับ? เพียงแค่อะไร? เพียงแค่เอาตัวไปนั่งในเครื่องบิน แล้วก็เชื่อวางใจในกฎที่เครื่องบินกระทำให้ และวางใจในกัปตันของเครื่องบิน คือนักบิน ว่าเขาสามารถจะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราทำแค่นี้เอง ถูกไหม?  เราทำแค่นี้เอง เราวางใจ วางใจในกฎของการยกขึ้น และวางใจในคนขับเครื่องบิน แค่นั้นเอง เช่นเดียวกัน เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ พระสัญญาของพระองค์บอกว่า.-

“ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ท่านได้เป็นขึ้นใหม่แล้วกับพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงที่ไม้กางเขนกับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว”

นี่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเองนะ เอเมน ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เหมือนที่ตะกี้นี้ขึ้นเครื่องบิน ไม่ต้องพยายามกางแขนบินๆ ท่านเชื่อในพระเยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูทำให้กับท่าน พระเยซูทำให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่เชื่อและวางใจว่าพระองค์จะทรงนำพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสวรรค์สถาน ชีวิตนิรันดร์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ได้อย่างแน่นอน เหมือนที่เรานั่งบนเครื่องบินนั่นแหละ

          คริสเตียนหลายคนที่ยังไม่สามารถพบกับสันติสุขได้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังพยายามที่จะทำตัวเอง ยังพยายามที่จะทำด้วยตัวเองอีก กลายเป็นว่า.-

          “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำดีมากขึ้นอีก”

          ฟังนะครับ “ฉันอยู่ในพระคริสต์  ฉันต้องทำทุกอย่างให้พระเจ้ารัก ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องรักษาบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงฟ้องผิดอยู่เสมอ เมื่อทำบาป”

          สมัยก่อนฟ้องผิดน้อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ อยู่ในพระคริสต์ พอทำบาป ยิ่งกลัวใหญ่เลย ใช่หรือไม่ใช่

 

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ วันอาทิตย์ต้องมาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ฉันรู้สึกผิดบาปมากเลย”

ไม่ใช่พูด เพื่อให้ท่านไม่มาโบสถ์นะ ไม่ใช่นะ อย่าถือโอกาส เห็นไหม? ถูกไหม?

“ในพระคริสต์ ฉันขึ้นแท็กซี่ วันนั้นเหนื่อยจะตาย แต่ฉันก็ต้องพยายามฝืนตัวเอง ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนขับแท็กซี่ เพราะว่าเขาสอนฉันว่าฉันต้องประกาศ ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา”

ใช่หรือไม่ใช่? แล้วมันเป็นอย่างไร?

“ฉันเชื่อในพระคริสต์”

แล้วอย่างไรต่อไป  “ฉันต้องทำโน่น ทำนี่ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าไม่รักฉัน … ถ้าฉันไม่ถวายสิบลด พระเจ้ารักฉันไหม? ไม่รัก ฉันจะไม่ได้รับพระพร”

คือพระเจ้าไม่รัก ถูกไหม?  ได้ยินคุ้นหูเลย  ถ้าท่านไม่ถวายสิบลด ท่านจะไม่ได้รับพระพร ใครบอก พระพรมันได้ไปแล้ว หมดแล้ว  จะมาเอาพระพรอะไรอีกล่ะ ตอนนี้อยู่ที่เราจะรู้ความจริงหรือไม่? เราจะเป็นอิสรภาพหรือไม่เท่านั้นเอง ให้ท่านถวาย ก็เพียงแต่ทำให้ท่านลดกิเลสตัณหาลง ทำให้ท่านไม่โลภ ทำให้ท่านล่ะความคิดจดจ่อกับโลกนี้ มาจดจ่อที่พระเจ้า ในสวรรค์สถานที่เบื้องขวาที่ท่านนั่งอยู่ ท่านจะได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองตรงนั้นเลย แล้วมาจากไหนล่ะ? ไม่รู้ เสียงแว่วมา แถวๆ ไหนไม่รู้ มันเข้าหูเรา เหมือนเมื่อตะกี้นี้บอก เธอยังไม่หมดบาปหรอก เธออยู่ในคุกต่อไป นายทวารมาเปิดประตู เราก็ไม่ยอมออกไป เพราะเราได้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งมาว่าเรายังไม่หมดเวรหมดกรรมนั้น เห็นไหมชัดไหม? ชีวิตอย่างนี้ มันก็เลยเหนื่อยเห็นไหม? มันไม่ได้อิสรภาพตามที่พระเยซูบอกจริงๆ

เพราะอะไร? เพราะพระเยซูพูดไม่จริงหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราถูกหลอกไง หลอกเพราะความเชื่อเก่าๆ หมายถึงวิถีทาง ชีวิตของเราตั้งแต่เด็กมา หลอกเพราะอะไร? เพราะสิ่งรอบข้าง หลอกเพราะอะไร? เพราะเราไม่สนใจในการที่จะไปเรียนรู้ว่าพระเยซูพูดอะไร? ในพระคริสต์เราเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจก็ตาม เราก็ต้องเข้าไปศึกษา แล้วเข้าไปเรียนรู้ และต้องเชื่อตามนั้นให้ได้ แล้วก็ฝึกฝน มันก็จะไม่เหนื่อยและได้พบกับสันติสุข ได้พบกับความสงบสุข อย่างที่พระเยซูคริสต์พูดอย่างแท้จริงในชีวิตนี้

อย่างตัวอย่างเมื่อตะกี้ที่เปรียบเทียบการอยู่ในเครื่องบินกับการอยู่ในพระคริสต์ มีอะไรที่แตกต่างกันพอจะนึกออกไหมครับ มีอะไรแตกต่างกัน นึกนะครับ

          [1.] คือการที่ท่านจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบินได้ ท่านต้องทำอะไรหลายอย่างมากเลย ตั้งแต่ทำตั๋วพาสปอร์ต ซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า ไปบางประเทศนะครับ ต้องจัดกระเป๋า แต่การได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เชื่อลูกเดียว ถูกไหม? นี่แหละเขาเรียกว่า.-

                   “พระคุณพระเจ้า นั่นแสนชื่นใจ         ช่วยได้ คนชั่วอย่างฉัน”

          รู้ไหมว่าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Amazing Grace มันยิ่งกว่าอัศจรรย์มากมายนักเลย ไม่ใช่พระคุณเฉยๆ พระคุณ อัศจรรย์มากมายหลายประการที่ช่วยฉันรอดพ้นจากความบาปเหล่านั้น

          [2.] คืออะไร? คือแม้ท่านจะได้เข้าไปนั่งในเครื่องบินแล้ว เชื่อวางใจในนักบินแล้ว แต่โอกาสที่ท่านจะไปถึงปลายทางที่ท่านตั้งใจไว้ ได้ 100% ไหม? ไม่ร้อย ท่านจะมีโอกาสไปไม่ถึงปลายทาง มีไหม?  แม้ว่าจะมีน้อยก็ตาม มี เครื่องบินตกไง มีใช่ไหม? มี แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม แต่สำหรับการอยู่ในพระคริสต์ รับรอง 100% ว่าท่านได้ไปถึงจุดปลายทางตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน เอเมน หลับๆ ตื่นๆ … ตื่นๆ หลับๆ มันก็ถึง ถูกไหม?

 

เวลาผมไปต่างประเทศ ผมชอบมากที่สุด คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือก่อนขึ้นเครื่องบิน เข้าห้องน้ำ ทำธุระอะไรเสร็จหมดทุกอย่าง ให้เรียบร้อยเลย แล้วอย่างไรรู้ไหม? พอขึ้นเครื่อง ถึงเวลาอาหารไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่กินอาหารแล้ว นอน เพราะมันเป็นความสบายที่สุด อาหาร คือถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย เพราะกินมันผะอืดผะอม เวลาก็เปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน แต่ถ้าบางคนโอเค ก็แล้วแต่นะ แต่สำหรับผม … ผมเตรียมตัว ผมอยากนอนที่สุด เพราะรู้สึกสดชื่นเมื่อได้หลับและตื่นขึ้นมา เมื่อถึงที่แล้ว ถึงที่ในที่นี่ หมายถึงถึงที่หมายนะครับ ไม่ใช่ถึงที่ แบบภาษาไทยนะ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ  ตื่นมาถึงที่แล้ว หมายถึงถึงที่หมาย สมมติไปฮ่องกง ตื่นมา เครื่องบินก็จะลงแล้ว สบาย ไม่ต้องไปทรมานอยู่บนเครื่อง ถูกไหม? หลับ อ้าว! ถึงแล้วเหรอ สดชื่น แข็งแรง

แต่มีบางคน ทำไมรู้ไหม? ขึ้นไปถึงเก็บโน่นเก็บนี่ ดูทีวี ดูไอโฟน ฯลฯ เหนื่อย นี่บางคน เขาอาจจะชอบอย่างนั้น ไม่ได้นอน หันไปโน่น หันไปนี่ วุ่นวายไปหมด นั่นบางคนนะ นี่บางคนอาจจะเป็นอย่างนี้นะ แต่จริงๆ คงไม่มีหรอก คืออาจจะเดินไปถึงถามแอร์ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว เมื่อไรจะถึง เครียดไหม? สมมติมันบิน 8 ชั่วโมง

“ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเนี้ย”

พอเสร็จ “อ้อ! เหลืออีก 4 ชั่วโมง”

อีกชั่วโมงหนึ่งผ่านไป “ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ผมมองไปหน้าต่างไม่เห็นอะไรเลย เมื่อไรจะถึง”

นี่เปรียบเทียบกับชีวิตของเราบนโลกใบนี้ มันจะอย่างนี้ไหม? เราหงุดหงิด อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ดั่งใจ อันนี้ไม่ได้ดั่งใจ เหมือนไหม? เหมือนคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน วิ่งไปเคาะห้องนักบิน

“บินดีๆ หน่อยนะ ระวังหน่อย ผมคาดว่ามันคงจะมีตกร่องหลุมอากาศ พายุมาหรือเปล่า เพราะผมนั่ง แล้วมันสะเทือน มันแปลกๆ ผมเลยมาดู”

มีไหม? ไม่น่าจะมีเนอะ แต่ชีวิตจริงๆ ในการเป็นคริสเตียน มันมีถูกไหม? เราไม่เชื่อในกัปตันของเรา กัปตันกำลังพาเราไป เราอยากได้อย่างนี้ ก็พอกันกับอะไร? ก็พอกันกับว่าเราไปบอกนักบิน

“นี่ กัปตันๆ บินช้าหน่อยสิ เดี๋ยวมันไม่ปลอดภัย ผมเห็น ให้รัดเข็มขัด แสดงว่ามีพายุ … พายุมาต้องเบาหน่อย อย่าเร็วไป”

ถูกไหม?  ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติสุขเลย  แล้วก็นั่งบนเครื่องบิน แล้วก็เหงื่อแตกไป กลัว กลัวโน่นกลัวนี่

“สะเทือนอีกแล้ว ทำไมมันมืดล่ะ ไม่เห็นสว่างสักที แล้วเกิดน้ำมันหมด ทำอย่างไร? แล้วเกิดเครื่องบิน เครื่องมันเสีย ดับเครื่องหนึ่งทำอย่างไร? เกิดมันจะลง  ล้อมันหายไปอันหนึ่ง ทำอย่างไร?”

มันคิดไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุด เครื่องบินก็จอดที่ฮ่องกงอย่างเรียบร้อยหมดเลย แล้วที่เครียดมาทั้งหมดนั้น ฟรีหมดเลย ให้ฟรี ได้ฟรีไปเลย คือไม่ได้พักผ่อนเลย คริสเตียนก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

ในที่สุด ก็ไปสวรรค์ แต่ก่อนไปสวรรค์ อยู่เหมือนนรกเลย วุ่นวาย อยู่ในพระคริสต์วุ่นวายไปหมดเลย เครียดอันโน่น เครียดอันนี้  ก็พระคริสต์บอกแล้วว่าอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุด เราเชื่อไหมพระเจ้าทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ? คืออย่างน้อยที่สุด ไม่ได้เชื่ออะไรมากมายเลยนะ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เมื่อมาเชื่อพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ต้องรู้และต้องเชื่อว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ที่เราร้องว่า.-

“พระเจ้ายิ่งใหญ่”

          ถูกไหม? ตัวนี้เอามาใช้สิ เมื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ก็มอบไว้ที่พระองค์เลย พระองค์ทรงควบคุมทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้แน่ๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ แต่มันต้องดีแน่นอน เพราะพระองค์สัญญาไว้ว่ามันดี ถึงที่หมายแน่ เอเมน ยังไงถึงฮ่องกงแน่ ถึงที่หมายแน่ๆ ฝากไว้เลย พระองค์นำพาท่าน ต่อให้มีพายุมา ทำท่าเหมือนจะหล่นตกพื้น เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่ก็แล้วกัน อย่างนี้มันก็มีสันติสุข ถูกไหม?

 

เราต้องเอาชีวิตเราฝากและวางไว้ที่พระเจ้า พระเยซูจึงสอนเรา ให้เราอธิษฐานอย่างนี้

“พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์                        พระนามเป็นที่สรรเสริญ

ขอสวรรค์ลงมา                                ให้น้ำพระทัยสำเร็จ บนโลกนี้

เหมือนกับดั่งอยู่ในสวรรค์”

ใช่ไหม? แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมหมดทุกอย่าง

“ขอโปรดประทาน                           อาหารประจำวัน

ขออภัยบาปของข้า                          เหมือนข้า อภัยให้ผู้อื่น

โปรดอย่านำข้า                                 เข้าในการทดลอง

แต่โปรดช่วยข้าจากสิ่งชั่วร้าย”

แล้วต่อไป ร้องต่อไปว่าอย่างไร? ที่อธิษฐานมาทั้งหมด เพราะว่าอะไร? เพราะว่า.-

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์”

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์ อาเมน”

คร่อก! … หลับสบาย

          พระเยซู พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลับสบาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ นึกภาพทั้งหมด ให้นึกว่าเรากำลังอยู่บนเครื่องบินแล้วกัน ลำนี้  ขอบคุณพระเจ้า ท่านขึ้นถูกลำแล้ว ลำนี้ไม่ได้ซี่ซั้วลงที่ทะเลที่ไหน? ลำนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แน่นอน เพราะว่ากัปตันมีนามว่าเยซูคริสต์ ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องจ่ายตังค์ ทุกอย่างฟรีหมด ใช้ความเชื่อ เข้ามาเลย นี่เขาเรียกว่าข่าวดีไง อย่างนี้ไม่ว่าข่าวดีเหรอ ไม่ต้องจ่ายสักอย่างเลย เข้ามา แล้วทำไม? ทำตามบทเพลงนั่นแหละ แล้วก็คร่อกๆ หลับไปเลย เดี๋ยวพอถึงที่หมาย ทูตสวรรค์จะมาเรียกเอง

 

“ถึงแล้วครับ”

“ถึงไหน?”

“ในสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์สถานกับพระองค์”

เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ กำลังหลับ มันจะตกหลุม ตกร่องบ้าง เครื่องบินนะ ตกร่องอากาศบ้าง มันจะชะเวิบชะวาบบ้าง มันจะสะเทือนบ้าง ห้องน้ำจะเล็กๆ ไม่เหมือนอยู่ข้างล่างบ้าง แปรงฟันยากหน่อยหนึ่ง ห้องน้ำนิดเดียว หรืออะไรต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน อดทนหน่อย แป๊บเดียวเอง ก็ใช้มันให้น้อยหน่อยสิ หลับซะส่วนใหญ่สิ เดี๋ยวมันก็ถึง

นี่คือเอามาเปรียบเทียบให้ท่านดูว่าเราควรจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร? ทุกอย่างเลยนะ รวมหมดเลย ทุกเรื่องในโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระองค์หมด ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ลูกเต้า ไม่ว่าจะเรื่องปัญหา เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเรื่องของการงานที่ทำอยู่ มันบีบรัดเหลือเกิน อะไรแล้วแต่ ทุกปัญหาที่อยู่บนโลกใบนี้ วางไว้ที่ข้างๆ ซะ รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มี มีอยู่

“แต่ฉันจะนอน เข้าใจไหม? ฉันจะหลับแล้ว”

แล้ววิธีกินยานอนหลับ คืออะไร? คือเพลงเมื่อตะกี้นี้ ร้องเข้าไปสิ แม้ว่าจะร้องเพี้ยนก็ร้องได้ อธิษฐานเข้าไปสิ

“พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

คือร้องเรียกทั้งหมดนี้เลยนะ พระบิดา ก็คือเราเป็นลูกแล้ว พูดบ่อยๆ เรารู้ เรามั่นใจ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

“ขอให้โลกนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

เห็นไหม? ไม่ได้เป็นไปตามใจเราเลย  หมายถึงเป็นไปตามพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามเรา ขอให้เป็นไปตามพระองค์

“ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน”

แค่นั้น ขอทรงโปรดประทานอาหาร อย่าให้มันอดยาก นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว

“ช่วยเราที่จะดำเนินชีวิต อภัยให้กับคนอื่นได้ และขอช่วย โปรดอย่าพาเราเข้าไปในการทดลอง”

ประเภทหวาดเสียว หลุมอากาศเยอะๆ ไม่เอาๆ แต่ก็ขอเป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ ถ้ามันต้องเอา ก็หยวนน่า แล้วแต่พระองค์ ขอทรงประทานกำลังให้ลูกทนได้ก็แล้วกัน เพราะว่าทั้งหมดนี้ เป็นอะไร? เพราะว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง ฤทธิ์อำนาจก็เป็นของพระองค์ ฤทธิ์เดชทุกอย่างก็เป็นของพระองค์ เพราะฉะนั้นลูกหลับแล้ว จบ เอเมน

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015 เรื่อง “พระคุณของแม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  สิงหาคม  2015

เรื่อง “พระคุณของแม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ก็เป็นพิเศษ เป็นคำบรรยายวันแม่ ถ้าถามพวกเราทุกคนว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักของใคร? ตอบสิ?  ความรักของใครยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลเลย … ต้องเป็นความรักของพระเจ้า  ถูกไหมครับ? เป็นความรักของพระเจ้า  … ความรักของพระเจ้า เป็นความรักของผู้ที่ให้กำเนิด เป็นความรักของผู้ที่เป็นผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิด เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ หรือให้กำเนิดมนุษย์ พระองค์จึงทรงรักมนุษย์ทุกคน

และที่บอกว่าความรักของพระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุดนั้น ก็เพราะความรักของพระเจ้าเป็นความรักแบบที่ไม่มีเงื่อนไข พระคัมภีร์บอกไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขาด้วยตัวพระองค์เอง จะทำตัวไม่น่ารักอย่างไรก็ตาม จะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม จะผิดบาปอย่างไรก็ตาม จะกบฏต่อพระองค์อย่างไรก็ตาม จะว่าพระองค์อย่างไรก็ตาม จะไม่เชื่อฟังอย่างไรก็ตาม แต่ความรักของพระองค์ คือพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลายนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิด ที่เราเรียกความรักในลักษณะอย่างนี้ว่าความรักแบบอากาเป้

พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “ความรักแบบอากาเป้” ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มีความรักแบบนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถ้าไม่นับความรักของพระเจ้านะ สมมติว่าตอนนี้เราไม่นับความรักของพระเจ้า ท่านคิดว่าความรักของใครใกล้เคียงกับความรักของพระเจ้ามากที่สุด? ตอบเลยครับ? ความรักของใครใกล้เคียงกับความรักแบบอากาเป้มากที่สุด เท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้เลย ใครครับ? แม่ … แม้กระทั่งพ่อที่นั่งอยู่ที่นี่ยังบอกแม่เลย คิดดูแล้วกัน ก็คือความรักของแม่ เพราะว่าความรักของแม่เป็นความรักเดียวกันกับพระเจ้า  คือเป็นความรักของผู้เดียวในมหาจักรวาล คือเป็นความรักของผู้ให้กำเนิด ผู้สร้างเหมือนกัน

ความรักของแม่ หรือความรักของผู้ให้กำเนิด เป็นความรักที่มีเยื่อใย สายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง ตัดกันไม่ขาด สายเลือดจริงๆ ตัดกันไม่ขาด เป็นความรักในลักษณะเดียวกับความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ตัดได้อย่างเดียว คือสายสะดือ แต่ความรักตัดกันไม่ได้ เยื่อใยตัดกันไม่ได้ ส่งให้แล้ว ผ่านทางครรภ์นั้น

และตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรู้จักเรา และทรงรักเราตั้งแต่ก่อนเกิด … พระคัมภีร์บอกอย่างนั้นนะครับ ถามว่าพระเจ้าแล้ว มีใครไหมครับที่รักเราตั้งแต่ก่อนเกิด คิดให้ดีๆ นอกจากพระเจ้ารักเราก่อนเกิด มีใครไหมที่รักเราก่อนเกิด ตอบ … มี … ต้องตอบว่าแม่และพ่อ แต่จริงๆ แม่สำคัญกว่า เพราะแม่ต้องรู้ตัวเองว่าเราต้องตั้งท้องเขา

ถามว่าตอนที่รู้ว่าจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง?  ยัง ถูกไหม?  รู้ว่ากำลังจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง? ยังไม่ได้ตั้ง แต่ใจไปแล้ว  รักเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่า.-

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย  ใครก็ตามที่มาอยู่ในท้องนี้ ฉันรักเขาเป็นลูก”

นี่แหละเขาเรียกว่าก่อนเกิดไง? ใช่ไหม?  9 เดือนที่แบกอยู่ในท้อง ไม่ใช่เรื่องแบบหมูๆ นะ พูดเหมือนกับผมเคยแบก ไม่ใช่ง่ายๆ เลย  ถ้าไม่รู้ ให้เราลองแบกลูกแตงโม ลูกหนึ่งได้ไหม?  ต้องเกินเนอะ ลูกใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง ให้แบกสักวันหนึ่ง ลองดู ใครก็ตาม คนที่เป็นพ่อ ลองแบกดู หรือใครที่เป็นลูก ลองแบกดู วันเดียวพอ นี่ 9 เดือนคูณไปกี่วัน 9×30 = 270 วัน แบกท้องไว้

คนเป็นแม่ต้องมีความอดทนขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ต้องลำบากขนาดไหนที่ต้องแบก ไม่ใช่ลูกแตงโม แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ความหนักประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ความหนักอย่างเดียว แต่มีสื่อ มีอะไรต่างๆ ออกมา ทั้งแพ้ ทั้งอะไรต่างๆ วุ่นวายหมด ต้องระมัดระวังตัว เพราะกลัวว่าลูกจะพลอยได้รับผลเสียไปด้วย ถ้าเราทำอะไร แต่แม่ก็ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกที่อยู่ในท้อง เพราะตั้งใจแล้ว เพราะรักไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะท้อง ถูกไหม? เพราะความรักลูก ที่มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด เหมือนที่พระเจ้ารักเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก นึกออกใช่ไหม? เรา … แม่ก็รักเขาก่อนที่จะสร้างบ้านอีก เริ่มจากบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คือในครรภ์ของเรานั่นแหละ บ้านเริ่มต้นนั่นแหละ จนกระทั่งคลอดออกมา หาเปล หาอะไรต่างๆ เราเตรียมไว้แล้ว บางคนไปดูห้างสรรพสินค้า ซื้อของมายังไม่ทันได้ท้องเลย  นึกออกใช่ไหม? ยังไม่ทันท้องเลย ซื้อโน่นซื้อนี่ ปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นผู้ชาย ซื้อของเป็นผู้หญิงหมดเลย เคยได้ยินใช่ไหม? อะไรประมาณนั้น ก็เอาของผู้หญิงไปเปลี่ยน เป็นผู้ชายมา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนเด็กนะ ไปเปลี่ยนของ

นี่แหละเป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า และเหมือนจริงๆ เลย และมีเพศเดียวที่เป็นอย่างนี้ เราพูดกันอยู่เสมอว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าไม่รัก ถูกไหมครับ? พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าบอกไม่รัก เช่นเดียวกัน ไม่มีพ่อแม่คนไหนเลยที่ไม่รักลูก 100% ฟังวันนี้จบ ท่านจะรู้เลยว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น หลายคนอาจจะคิดแย้งในนี้ ตอนนี้ หรือเคยได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรบางอย่าง แต่ไม่มี อิสยาห์ 49:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

อิสยาห์ 49:15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ”

 

สรุปแล้ว คือไม่ได้นั่นเอง นี่พระเจ้าตรัสนะ

พระเจ้าบอกว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ?”

พูดสรุป ก็คือไม่มีทางใช่ไหม?  พระเจ้ากำลังพูดกับเราอย่างนี้ “ไม่มีทาง”

แต่เพราะคนเป็นแม่ยังเป็นมนุษย์ เป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ

พระเจ้าบอกความจริงให้เรา “ไม่มีทางหรอก แม่ไม่มีทาง เขาจะไม่รักลูกของเขาหรอก ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย”

แต่เป็นเพราะแม่ของเรา เป็นแม่ที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นบาป และตราบใดที่ยังมีสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนัง ก็ยังคงอยู่ในความบาป ใช้ชีวิตอยู่กับความบาป ความบาป ทำให้มนุษย์อ่อนแอ จึงไม่สามารถสำแดงความรัก หรือกระทำได้ตามอย่างที่ตัวเองอยากได้ คือรักเขาและอยากจะทำอย่างนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้ารักมนุษย์ และพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง เพราะพระองค์ไม่บาป เข้าใจใช่ไหมครับ? เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? เพราะพระเจ้าไม่มีบาป ไม่มีความอิจฉาริษยา ถูกไหมครับ พระเจ้าไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ ความรักของพระองค์จึงมั่นคง ไม่มีเปลี่ยนแปรปรวน ไม่มี และสำแดงความรักมั่นคงนั้น ให้กับมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมดเลย ยุติธรรมเลย พอเห็นภาพไหมครับ? เทียบพระเจ้ากับมนุษย์ที่เป็นแม่ จริงๆ มันเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่มนุษย์อ่อนแออยู่ในความบาป แม่ที่เป็นมนุษย์ บางครั้งก็อาจมีบ้าง หรือไม่ต้องบางครั้ง หลายครั้งมีบ้าง ก็คือที่จะไม่สามารถที่จะรักลูกของตัวเองได้ ตามที่ตัวเองอยากจะรักอย่างนั้น ข้างในมันอย่างหนึ่ง แต่มันทำไม่ได้ ก็เพราะอะไร? ก็เพราะแม่อ่อนแอเหลือเกิน เพราะแม่เป็นมนุษย์ แม่เต็มไปด้วยความบาป  อ่อนแอ มันทำไม่ได้ จริงหรือไม่จริง? ดังๆ เลย จริงหรือไม่จริง? แม่ต้องพูดเลยว่าจริง

เราทำไม่ได้ เราอยากจะทำให้ดีกว่านี้ แต่เราทำได้แค่นี้เอง  เพราะความบาปที่อยู่ในตัวแม่ หรืออยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์อ่อนแอ ทำให้แม่อ่อนแอ เช่นพออารมณ์เสียขึ้นมา เกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ความรักก็เริ่มหวั่นไหว ถูกหรือไม่ถูก? ไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ ตามสถานการณ์รอบข้าง ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักให้มันมั่นคง เหมือนที่พระเจ้ารักได้ ทั้งๆ ที่อยากจะทำ ไม่สามารถรักลูกตัวเอง เหมือนที่พระเจ้ารักมนุษย์ได้

นี่คือสัจจธรรมทำความเป็นจริง พระคัมภีร์พาเราให้เห็นถึงความเป็นจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจในการดำเนินชีวิต มันทำไม? เราถึงตอบปัญหาได้ ในขณะที่สังคมตอบปัญหาไม่ได้ ทำไมแม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย เขาไม่รักหรือไง? รัก ตอบกันไม่ถูก ตอบไม่รู้จะตอบอย่างไร?  แต่ในพระคัมภีร์มีบอกเราว่าอย่างไร?

สรุปแค่ตอนนี้นะ แม่รักลูกทุกคน ใช่หรือไม่ใช่? ถูกต้อง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แม่รักลูกทุกคน ไม่มีทางลืมลูกของตัวเอง ไม่มีทางเกลียดลูกของตัวเอง ถ้าถามจริงๆ ถามแม่จริงๆ ว่ารักลูกของตัวเองหรือเปล่า? ขณะที่ทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ดีต่อลูก เขารักไหม? รัก เพราะมันเป็นอะไร? ทำไมถึงรัก เพราะอะไร?  เพราะในธรรมชาติที่พระเจ้าใส่ไว้ไง พระเจ้าใส่ไว้ในสิ่งต่างๆ ให้กำเนิด จะรักสิ่งที่เขาให้กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ ซึ่งวิญญาณมาจากพระเจ้า  เป็นพระฉายพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เหมือนพระองค์ เขาต้องรักผู้ที่ให้กำเนิดแน่นอน ตามธรรมชาติ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ แต่พอเกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิต มันไม่สามารถเอาชนะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ชนะความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถชนะอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรียกว่าเสียสละได้ เพราะอะไร เพราะมันอ่อนแอ มันสู้ไม่ได้ นี่คือความเป็นจริง อยากจะรักลูกให้มากกว่านี้ มันทำไม่ได้ ไม่อยากจะเห็นแก่ตัวเลย แต่มันก็เห็นแก่ตัว เพราะอะไร? เพราะฮอร์โมนในร่างกาย เพราะความกลัว พอความกลัวมา ก็หมดแล้วนะ

แล้วความกลัวมาจากไหน? ความกลัว ก็มาจากเชื้อบาป ที่มันติดอยู่กับตัวของมนุษย์ทุกคน ผ่านทางอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงไปในความบาป และได้รับคำสาปแช่งมา คำสาปแช่งนั้น ก็ตกลงมาอยู่ที่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคน จึงเต็มไปด้วยความบาป และความบาปทำมาให้อีกอันหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือความกลัว  …  ความกลัวทำให้เราเห็นแก่ตัว  …  ความกลัวทำให้เราไม่เสียสละให้ใครแล้ว เพราะความกลัว เราจึงสามารถทำชั่วได้เยอะแยะมากมาย หมายถึงเยอะแยะก่ายกองไปหมด และความกลัวนี่แหละ ทำให้เราไม่สามารถรักลูกเราได้ เหมือนที่เราอยากจะทำ ถูกไหม?

นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ทุกคน ที่เป็นลูกทั้งหลายควรจะได้รู้ ที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้  ลูกทั้งหลายควรได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังวันนี้ว่าแม่ของเรานั้น ที่เราคิดว่าทำไมเขาทำอย่างนี้? เขาไม่รักเราหรือ? คำตอบในวันนี้ คือเปล่าเลย เขายังรักเราอยู่ แต่เราต้องเข้าใจว่าเขา ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความบาป เพราะอ่อนแอเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนจึงควรที่จะเข้าใจ และสมควรอย่างยิ่งที่จะรักพ่อแม่ของตัวเอง นี่เติมให้พ่ออีกคนหนึ่ง วันนี้จริงๆ มันต้องมาคู่กันนั่นแหละ แต่อย่างที่บอกนะ ตามหลักธรรมชาติ แม่มีความสำคัญมากกว่า ลึกซึ้งกว่า เด็กและลูกๆ ทุกคนควรจะรักพ่อและแม่ของตัวเอง ผู้ให้กำเนิดเราเองนั่นแหละ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีข้อแม้เลย ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้นะ ไม่ว่าพ่อแม่จะปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจเถิดว่าพ่อแม่รักเราอย่างแน่นอน ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เอเมน

ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราสามารถผ่านเหล่านี้ไปได้ว่า.-

“ยังงั้นๆ ฉันก็ตัดสินใจ ตั้งใจแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อแม่รักเรา ฉันเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าสอนมา พระเจ้าบอกอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ให้ฟังว่าพ่อแม่เราอยู่ในสถานะอะไร? แม่เราอยู่ในสถานะอะไร? รักเราขนาดไหน? ไม่ว่าฉันจะมองไป แล้วแม่ทำอะไรก็ตาม อย่างนี้ก็ตาม  ฉันรู้สึกไม่ชอบ หรือไม่รู้สึก สังคมบอกว่าไม่ถูก ฉันก็จะยังรักแม่ของฉันอยู่ เพราะเขารักฉัน … ฉันรู้ว่าเขารักฉัน เขาไม่ได้เกลียดฉันเลย”

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลยที่จะไม่รักแม่ของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์นะ และจงจำไว้เลยว่าแม่รักเราที่สุดแล้ว เกินกว่านี้ทำไม่ได้แล้ว แม่ทุกคนก็สุด แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ไม่ใช่สุดของคนนี้ จะมาเทียบกับคนนี้ ไม่ใช่ สุดก็คือสุด … สุดของแต่ละคน ก็คือสุด … สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ อีกคนหนึ่งสุด ก็แค่นี้ อย่าเอาแม่คนนี้ มาเปรียบเทียบกับแม่คนนี้ มันทำไม่ได้ ของใคร ก็ของเขา เพราะเขาทำได้แค่นี้ มันสุดแล้ว ถามว่ารักไหม? มันรัก และมันสุดแล้ว  ทำดีกว่านี้ได้ไหม? ไม่ได้แล้ว เพราะอะไร? เพราะมันอ่อนแอ มันได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาให้เรา คือให้ดีที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจถึงชีวิตของเขาว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราอาจจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น

แต่ถ้าฟังอย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าสอนเราว่าอย่างไร? ว่าแม่รักเราอย่างไร?  เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และสามารถที่จะแม่ของเราได้ว่าแม่รักเราที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีแม่คนไหนในโลกเลย ที่ไม่รักลูกของตนเอง นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  เราเชื่อตามนี้ แล้วมันเป็นไปตามนี้จริงๆ

ยกตัวอย่างให้ฟังนะ ผมเคยทำเพลง และร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่ง นานมาแล้ว เกือบจะ 40 ปีแล้ว เป็นเพลงที่เกี่ยวกับแม่นี่แหละ เป็นเพลงที่เหมือนกับสอนอย่างนี้ ให้รู้ว่าแม่รักเรามากขนาดไหน? แม้ว่าสังคมจะไม่เข้าใจ และว่าแม่ว่าไม่ดี ผมบอกให้ฟังเลยนะ ในโลกนี้ ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแม่คนไหนที่ทำไม่ถูก เข้าใจไหมครับ? แม่ทำผิดเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ทำผิด เพราะเขาเกลียดลูกของเขา มันอาจจะมีปัญหา มันอาจจะมีความจำเป็น มันอาจจะมีอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง เป็นไปตามความบกพร่อง หรือความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ที่มันเกิดจากคำสาปแช่งมา ตั้งแต่สมัยอาดัมและอีฟ โลกใบนี้ เต็มไปด้วยสกปรก โสโครก แย่ไปหมดแล้ว เราก็บาป เขาก็บาป สังคมรวมบาปทั้งหมดเลย มันกระทบกระทั่งกันทั้งหมด ยุ่งไปหมดเลย วุ่นวายอีลุงตุงนังไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น การกระทำที่ไม่ถูกต้องอะไรต่างๆ บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ทำให้เขาคนนั้น ต้องทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าไม่ดี แต่เขาทำสิ่งเหล่านี้ มิได้ เขาไม่รักลูกของเขา บทเพลงนี้ ชื่อเพลง ผมใช้ชื่อเพลงว่า  “แม่ใจร้าย” เคยได้ยินไหมครับ?  เนื้อเพลงว่าอย่างนี้ว่า.-

สาวเจ้าเพิ่งแต่งงาน หนีความกันดาร

                        ไปทำงานแดนไกล

                        พอสามเดือน จึงรู้ว่าท้อง

                        แต่งานห้ามท้อง เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        จึงตัดสินใจ ลาไปกลับบ้าน

สาวเพิ่งแต่งงาน มาจากต่างจังหวัด หนีความกันดาร ต่างจังหวัด เกิดความกันดาร ไม่มีเงินจะกินข้าว หน้าแล้งอะไรอย่างนี้  ฤดูแล้งเข้า  ทำมาหากินไม่ได้ ทำเกษตรก็ไม่ได้  จึงต้องมาทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ก็เข้ามาทำงานที่โรงงาน

สมัยก่อนนี้ โรงงานดังนะ ถือว่าถ้าจะทำงานโรงงาน ต้องเข้ามากรุงเทพ  เขาเข้ามากรุงเทพ เพื่อทำงาน  ฟังนะครับ ปรากฏว่าทำงานไป 3 เดือน ทำไม? เพิ่งรู้ว่าท้อง เพราะเพิ่งแต่งงานไง  ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? ก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม? ไม่รู้จะทำอย่างไง? อยากได้เงินก็อยากได้เงิน แต่รักลูก มีท้องแล้ว ก็เลยต้องกลับบ้าน เมื่อกลับบ้าน เกิดอะไรขึ้น  ต่อสัปดาห์หน้าแล้วกัน  ไม่ได้ คราวนี้ผมตายแน่ ทุกคน แล้วอะไร? สามเดือนแล้วเป็นอย่างไร? เดี๋ยวดูสิว่าแม่ใจร้ายจริงไหม? สามเดือนแล้วนะ ขึ้น บขส. สมัยก่อนใช้บริการ บขส. … บขส. ไม่มีแอร์ รถแน่เอี้ยดเลย สามเดือนก็กลับไปตายที่บ้านดีกว่า มีเท่าไรก็แค่นั้น เอาลูกไว้ก่อนแล้วกัน  ดูแลลูกไว้ก่อน อย่างไรก็ว่ากันนะ กลับไปบ้าน  พอกลับไปถึงหมู่บ้านปุ๊บ ลงรถ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน  ถึงบ้านปุ๊บ

แล้วก็สุดร้าวราน ถึงบ้านพบพาน

                        ผัวว่ามีเมียใหม่   จึงอุ้มท้องกลับโรงงาน

                        หาเงินซมซาน ไม่ได้ยอมบอกใคร

                        อีสาวเอาผ้ามารัดบังหน้าท้องไว้ (x2)

                        ลำบากเท่าใด ไม่ยอมกล่าวขาน

                        โอ๊ย!  ซิมันไม่ยอมกล่าวขาน

ความรู้สึกแม่เป็นอย่างไรตอนนั้น … ก็คือตัดสินใจทำอะไร? ทำอย่างไรได้ ก็กลับมาโรงงาน ไม่บอกใคร? กลับมาสู้ต่อ ไม่มีบ้านอยู่แล้ว ลูกต้องอยู่ เราต้องอยู่ ครอบครัวต้องอยู่ต่อไป กลับมาทำงานต่อ

แล้วทำไง ถ้ารู้ว่าท้องเขาไม่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้น เอาผ้ามารัดที่หน้าท้อง ให้มันยุบหน่อย ให้มันเหมือนคนพุงโร่ แต่ไม่ใช่ท้อง จะได้ทำงานได้ต่อไป  ถูกไหม?

ก็คือลำบากเท่าไร? ก็ไม่พูดกับใคร? อดทน  … เห็นไหม?  เห็นความสู้ของแม่ไหม? อดทนไหม? ความแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่งไหม? แกร่งไหม? แกร่งมากเลยนะ เสร็จแล้วไงต่อไป ก็ทำงานต่อไป  เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่จะคลอดลูก จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูแลลูกของเขา เขาต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว ต่อไป

ครั้นเจ็ดเดือนพ้นผ่าน คืนข้างโรงงาน

                        ซิมันก็คลอดลูกได้

                        สองมือเจ้าบรรจง แม่วางลูกลง

                        ลูกน้อยไม่หายใจ

                        โถ! เวรกรรม สาวต้องจำหนีไกล (x2)

                        ต้องทิ้งลูกไว้ ไร้สิ้นวิญญาณ

                        โอ๊ย!  ไร้สิ้นวิญญาณ

เจ็ดเดือนผ่านไป กลางคืนข้างโรงงาน ก็คลอดลูก แสดงว่าไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ คลอดที่โรงพยาบาล แต่นี่พูดง่ายๆ ออกมาเอง เพราะแค่ 7 เดือน ยังไม่ครบกำหนด แต่เนื่องจากไปรัดไว้ เนื่องจากอะไรหลายๆ อย่าง ทำงานหนักอะไร สมมตินะ แล้วเกิดอะไรขึ้น พอคลอดลูกข้างโรงงาน

สองมือเจ้าบรรจง หมายถึงว่าเขายังนึกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่นะ เขาตั้งใจ แล้วค่อยๆ วางลูกลง นึกออกไหม? คลอดลูกตามปกติ ค่อยๆ วางลูกลง ปรากฏว่าลูกตายแล้ว อาจจะเกิดก่อนกำหนด แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครมาช่วยอะไรต่างๆ  นั่งนึกภาพนะ

“จำต้องหนีไกล” ตายแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ตกใจ รู้ว่ามีความผิด  กลัวแล้ว ความกลัวเข้ามาสู่จิตใจแล้ว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งเอาไว้ แล้วไปก่อนแล้ว รู้ว่าตายแล้ว คราวนี้ต่อไป สุดท้าย นี่สังคมแล้ว ถึงตัวเราแล้ว

เช้า พวกเพื่อนโรงงานวิพากษ์วิจารณ์ ถึงอีแม่ใจร้าย

                        สาวสินอน ระทมปวดร้าว

                        กองเลือดเหม็นคาว เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        เค๊าด่าว่าใครนะ  อีแม่ใจร้าย

                        โอ๊ย!  เค๊าว่าอีแม่ใจร้าย

เช้า พวกหนังสือพิมพ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ถูกไม่ถูก?

เช้า พวกทีวีวิทยุ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้

เห็นไหม? แม่ใจร้ายมาก  แม่ใจอำมหิต แย่มาก

แล้วตอนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ใครได้ยิน?

เลือดยังโครกอยู่เลย  น้ำตาไหล ทั้งๆ ที่รัก ทั้งๆ ที่สูญเสียลูกไป  แต่สังคมว่าเขาเป็นคนใจโหดร้าย ใจอำมหิต ได้ฟังจากวิทยุ จากทีวี หนังสือพิมพ์พูดถึงรายนี้ๆ  … เห็นไหม? เหมือนปัจจุบันไหม? คิดดูนะ

โอ๊ย! เขาว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! ทีวีว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! หนังสือพิมพ์ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เพื่อนๆ ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เลยว่าตัวเอง อีแม่ใจร้าย

นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ … นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในตัวเรา ทำให้เราช่วยตัวเองไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง  เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้น เราไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นเลย ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมานในจิตใจของแม่คนนั้นอีกไม่รู้เท่าไร? และในปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม?

ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ มีใครไหมมานึกถึงเหตุการณ์ว่ามันอาจจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ความผิดของแม่คนนั้น คนเดียว พ่อไปอยู่ไหนตอนนี้ ไม่ได้ว่าเขานะ สมมติอย่างนี้ แล้วก่อนจะถึงเขา มีคนอีกเยอะแยะมากมาย มีสถานการณ์ร่วมมากมาย มันไม่ได้เป็นความผิดของคนๆ นั้นคนเดียวเลย  แต่มันเป็นความผิดร่วมกันทั้งมวลมนุษยชาติ เพราะเราตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความอ่อนแอ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ไม่สามารถช่วยเหลือคนรอบข้างเราได้จริงๆ สักอย่างหนึ่ง เราต่างคน ต่างก็ทำ เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะไม่มีใครรักแท้สักคน เพราะไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และไม่มีบาป  ไม่มีบาปเท่านั้น ถึงมีรักแท้ได้ พอเข้าใจหรือยัง

นี่แหละ คือถ้าเรารู้ถึงปัญหาของสังคมอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่เพราะความบาป ทำให้มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น จำไว้เลยนะครับว่าสำหรับลูกๆ ทั้งหลาย  จำเรื่องนี้ไว้ แล้วผมต้องการพูดอะไรรู้ไหมครับ?  อย่างที่ผมเคยบอกทุกๆ ปีว่าแม่เรา สำหรับลูกทั้งหลายนะ … แม่เราอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุด  แต่เป็นคนที่รักเรามากที่สุด … ถูกหรือไม่ถูก? แม่เรา สำหรับคนชาวบ้าน เขาอาจจะเป็นแม่ใจร้าย แต่สำหรับเรา เขารักเรามากที่สุด  เขามีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่จำเป็นต้องทำแบบนั้น จนสังคมไม่เข้าใจ แล้วไปตราหน้าเขาว่าเป็นแม่ใจร้าย แต่เขารักเรามากที่สุด

ถ้าเด็กคนนี้ มีวิญญาณและรับรู้เรื่องนี้ ที่ 7 เดือนตายไปเนี้ย ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้ เขาจะรักแม่เขาไหม? รักแน่นอน เห็นไหม? แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะความกลัว เพราะความไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร? ก็แก้กันไปตาม สติปัญญาขนาดนั้น ที่เป็นคนบาป แค่นั้น ได้รับการศึกษาแค่นั้น แล้วได้แค่นี้เอง จะทำอย่างไรล่ะ เห็นไหม?  ถูกไหม? เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทั้งหลายฟังตรงนี้ไว้นะครับ แม่ของเราอาจจะไม่ได้ดีที่สุด ตามสายตาของผู้คนรอบข้าง แต่เขาเป็นแม่ที่รักเรามากที่สุด  ในมหาจักรวาลนี้  เอเมน

ต้องตัดปัญหาไปทีละเรื่องๆ ทีละอย่างว่าสำหรับลูกกับแม่แล้ว ลูกควรจะมีท่าทีอย่างไรกับแม่ของเรา ซึ่งจริงๆ ก็รวมไปถึงพ่อของเราด้วยนั่นแหละ  แต่วันนี้พิเศษ ให้แม่เป็นใหญ่แล้วกัน ในสุภาษิต 23:25 พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงตรัสสั่งเรา สอนเรา กำชับเรา อย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เพราะนี่คือความจริง

สุภาษิต 23:25 “จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ (หรือได้ชื่นใจ)”

 

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ” เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วทั้งพ่อและแม่ที่ให้กำเนิด รักลูกที่เขาให้กำเนิดแน่นอน เหมือนกับพระองค์ พระองค์จึงบอกนี่คือกฎเกณฑ์เลยว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่มีข้อยกเว้น … ไม่มีข้อยกเว้น  ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ ก็เป็นลูกมาก่อนทั้งนั้น  ที่อายุมาก  เดี๋ยวนี้ที่ยังเด็กๆ ก็เป็นลูกปัจจุบัน แต่ที่โต ก็เคยเป็นลูกมาก่อน เพราะฉะนั้น พูดมาถึงเราด้วยว่าพระเจ้าสั่งเลยนะว่า.-

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ ได้ชื่นชมยินดี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น”

พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนี้ว่า “จงทำให้พ่อแม่ยินดี จงให้แม่ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้ที่ได้คลอดเจ้านั้นได้ยินดี ได้ปลื้มใจ ถ้าเขาทำไม่ดี ให้เขาได้ทุกข์ใจไปเลย”

พูดอย่างนี้หรือเปล่า?  ไม่พูด แต่มนุษย์พูดไหม? เพราะมนุษย์พูด เพราะมนุษย์ชี้นิ้วอย่างเดียว ว่าเขาอย่างเดียว ประณามเขาอย่างเดียว คิดอะไรก็อันนี้ไม่ดี  อันนั้นแย่  เขาเรียกว่าทับถมอย่างเดียวเลย ไม่คิดถึงเหตุผล หรือเหตุผลอะไรต่างๆ เพราะมนุษย์มีแต่มองเขาตรงข้าม ไม่เคยมองตนเอง วันหนึ่งท่านจะมองกระจกสักกี่ครั้ง มองกระจกประมาณ 1 นาที แต่มองคนอื่นเท่าไร? ตัดนอนออกไป 8 ชั่วโมง ที่เหลือมองคนอื่นหมด แต่มองตัวเอง มองกระจกแค่ตอนแปรงฟัน ไม่รู้กี่นาที  ไม่รู้ ต่อวัน เพราะฉะนั้น เราจะมองแต่คนอื่น แล้วตัดสินคนอื่นตลอดเวลา อย่างนี้ๆ เห็นไหม? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าบอกว่า.-

“จงให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้า ไม่รู้ล่ะ เขาคลอดเจ้าหรือเปล่า? ถ้าคลอดเจ้า จงให้เขาชื่นใจนะ เคารพเขานะ รักเขานะ”

แม้เขาจะทำผิดก็ตาม  แม้เขาจะทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะทำกับลูกอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้เขาจะทำอย่างไร? เขารัก เขาทำไม่เป็น

เมื่อกี้เราพูดถึงหน้าที่ของลูกแล้วใช่ไหม? คราวนี้มาถึงหน้าที่ของแม่ แม่วันนี้อยากจะบอกนะครับ ใครที่เป็นแม่ อย่าลืมนะครับวันนี้ พูดทุกคนคำว่า “แม่” หมายถึงมีพ่อพวงมาด้วยนะ คนที่เป็นแม่ ทุกวันนี้ผมรู้เยอะแยะ ทั้งโลกเลย เต็มไปด้วยความท้อแท้ เต็มไปด้วยความทุกข์ กังวล กลุ้มใจ เป็นห่วง ถามว่าใคร? ลูก จริงหรือไม่จริง? มีลูกที่เป็นวัยรุ่นอยู่ แม่ก็เป็นห่วง  ห่วงไม่จบไม่สิ้น ไม่เลิกเลย  กลุ้มใจ ท้อแท้ … ท้อแท้เพราะอะไร?  มันไม่ได้ดั่งใจเลยนะ

“มันน่าจะอย่างนี้ มันน่าจะอย่างนั้น”

เป็นห่วงไปหมดทุกประการ ทุกอย่างเลย

          ผมเลยอยากจะบอกพ่อแม่ หรือแม่ที่กำลังทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้ว่าท่านยังมีความหวังนะ ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ … ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ที่เดียว ถ้าท่านไม่มีพระเยซูคริสต์ ท่านจะไม่มีความหวังเลย  เพราะที่ผมพูดมาทั้งหมดตะกี้นี้แล้ว ให้เหตุผลท่านแล้วว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันเกิดอย่างไร? ถูกไหม? ท่านเห็นภาพนั้นไหม? ถ้าท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็เดินเข้าไปอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ต้น มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย  ไอ้นั้น ก็ผิด ไอ้นี่ ก็ผิด ไม่รู้จะแก้อย่างไร? พันละวันพันละเกไปหมด ไม่รู้จะแก้ตรงไหน? เพราะต่างคนต่างก็บาป แก้กันเอง คนแก้ก็บาป คนถูกแก้ก็บาป ต่างคนต่างบาป รวมกันแล้ว มันจะไปไหน? มีพระเยซูเท่านั้น ที่ไม่บาป เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถช่วยเหลือเราได้ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย  ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์

 

          วิธีทำอย่างไร? เชื่อพระองค์ แล้วมอบทุกอย่างไว้ที่พระองค์เลย ไม่ต้องตัดสินบนพื้นฐานของโลกใบนี้อีกต่อไปเลย ทุกสถานการณ์มอบไว้ที่พระเจ้า  วางใจในพระองค์ เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สามารถควบคุม ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ และในมหาจักรวาลนี้ได้ ตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมและครอบครองอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้เลย พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่ตาเรา มนุษย์ธรรมดามองเห็นว่าไม่ดีนั้น ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ของดีที่สุด ในที่สุด

 

ดีที่สุด ในที่สุด หมายถึงตอนนี้อาจจะไม่ดี แต่ในที่สุด มันจะมีดีที่สุดของที่สุด รออยู่ แล้วในที่สุด เราถึงจะได้ดี เข้าใจใช่ไหมครับ? มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่อย่างนั้น เราแม่ทั้งหลายเอ๋ย จะหมดความหวังเลยนะครับ  ลูกบางครั้ง เป็นวัยรุ่น อยากจะไปทำอย่างโน่นอย่างนี่ แล้วท่านจะไปเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะสมัยนี้ … สมัยก่อนยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีไอโฟน ไม่มียูโฟน ไม่มีบีโฟน ไม่มีอะไรโฟนๆ ทั้งนั้น ยิงนก ตกปลาธรรมดา กลุ้มใจลูกเต็มไปหมด ท่านจะปิดกั้นอะไร ท่านจะบอก “อย่า” ในเมื่อไอโฟนมันสอนหมดทุกอย่าง ในอินเตอร์เน็ตสอนทุกเรื่อง ทุกความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันชัดเจนหมดแล้ว ท่านว่าท่านเสียงจะดังกว่าสื่อเหล่านี้หรือ!  สื่อเหล่านี้มันคุมโลกไปแล้ว  ท่านจะบอกปิดไม่ให้ดูๆ ท่านคิดว่าท่านปิดไหวไหม? ไม่ไหว ถูกไหม? ท่านปิดได้ไหม? ไม่ได้ ปัจจุบันจะเห็นชัด แล้วความหวังท่านจะอยู่ที่ไหน?  ก็คือถ้าท่านไม่เชื่อพระเยซู ท่านก็จะมีแต่ความกลุ้มใจ กลัว เขาจะไปนั่น เขาจะไปนี่ จะติดยาไหม? จะอันโน่นไหม? วุ่นวาย จะไปเป็นโจรหรือเปล่า?  จะทำงานอะไร?  หากินอย่างไร? มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยใช่ไหม? แต่ท่านมีพระเจ้า ท่านสามารถวางใจในพระเจ้า ท่านพึ่งในพระองค์ … พระองค์จะทรงนำให้ลูกเราไปในทางที่ดีเอง แม้ว่าขณะนี้ เราอาจจะมองดูว่าไม่ดีก็ตาม  เข้าใจใช่ไหมครับ?

ลูกเราอาจจะทำอะไรที่ไม่ดีในขณะนี้ ลูกเราอาจจะติดยาอยู่ ลูกเราอาจจะติดตะราง  ติดคุกอยู่ ถามว่าแล้วเราทำดีที่สุดหรือยัง? ทำดีแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า.-

“เพราะพ่อแม่เขาไม่ค่อยได้ดูแล”

แล้วท่านรู้ไหม บางคนพ่อแม่ดูแล ก็เป็น ผมไม่ได้พูด เพื่อว่าบอกว่าท่านไม่ต้องดูแล เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุดแล้ว โอเค … แค่นั้นแหละ ถามตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุด แล้วใครเป็นคนบอกว่าดีที่สุด คือเราเข้าไปหาพระเจ้า พระเยซูหรือยังว่า.-

“พระองค์ช่วยลูกด้วยๆ ลูกทำได้แค่นี้”

นั่นแหละ คือดีที่สุดของท่านแล้ว  ถูกหรือไม่ถูก? ตราบใดที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู แล้วบอกพระเจ้าว่า.-

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกทำดีที่สุดแล้ว”

นั่นผมมั่นใจว่าท่านดีที่สุดแล้วจริงๆ แต่ถ้าคุณบอกไม่มีพระเยซู แล้วคุณมาหาผม แล้วบอกว่า

“ผมทำดีที่สุดแล้ว”

ไม่แน่มันอาจจะมีบางอย่างที่คุณจะทำได้มากขึ้น ถ้ามีกำลังจากพระเจ้าเข้ามาสนับสนุนคุณ เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมกำลังจะบอกว่าพระเยซูเป็นคำตอบ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่เขาจะอยู่อย่างไม่ท้อแท้ อยู่อย่างมีสันติสุข อยู่อย่างมีความหวังว่าลูกที่เขารัก ต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นตอนนี้ก็ตาม แม้ว่าเขาจะเห็นตอนนี้ อาจจะดูไม่ดีต่างๆ แต่ในที่สุด เขาต้องดีแน่นอน เพราะเราอธิษฐานให้เขา เราหวังใจเขาในพระเยซูคริสต์ แม้ตอนนี้เขาจะติดยาอยู่ อนาคตเขาอาจจะเป็นผู้รับใช้ เยอะแยะนะครับคำพยานทั่วโลก คำพยานเยอะแยะเลยนะ ผมจะบอกไม่ใช่น้อยนะ เยอะเลย ทั่วโลกเลยว่าลูกติดยา แต่ในที่สุด ลูกกลายเป็นคนประกาศเรื่องพระเจ้า คนสอนเรื่องพระคัมภีร์ กลับใจใหม่เยอะแยะ เคยได้ยินไหม? แล้วยังเรื่องอื่นๆ อีก ลูกที่เคยดื้อกับแม่อย่างมากมาย ติดตะราง ติดคุก กลับกลายเป็นคนดีมากมาย รักแม่มากกว่าลูกที่ไม่ได้ติดคุกด้วยซ้ำ มีไหม? มี

นี่ขนาดพูดท่านยังเห็นเลยว่ามี  ถ้าบอกว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ตอบสิ ได้ไหม? ได้ … ใช่ทุกอย่างอยู่แล้ว   เพราะฉะนั้น เห็นไหม ถ้าเราเอาปัญหาทั้งหมดนี้ แม่ทั้งหลาย มาคุกเข่าต่อพระเจ้า แล้วบอก

“พระเจ้า … ลูกฝากลูกคนนี้ ฝากด้วยเถิด”

ท่านคิดว่าพระเจ้าจะฟังท่านไหม? ในเมื่อพระเจ้าบอกมาอย่างนี้ว่าความรักของแม่บริสุทธิ์ ท่านคงคิดว่าแม่คุกเข่าอธิษฐานให้ลูก จะได้อย่างนี้ไหม?  เห็นไหม?  ในพระคัมภีร์มีเสมอ พระเยซูจึงบอกว่าเข้ามาหาพระองค์เถิด พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข คือเข้ามาหาพระเยซู แล้ววางไว้ที่พระองค์อย่างนี้ ไม่ต้องเอาสติปัญญาตัวเอง จบ ทิ้งไปแล้ว ต่อไปนี้ ทำได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นแหละ

          “ฉันเรียน ป.4 มา ฉันทำได้แค่นี้  ฉันก็หยุดอยู่แค่นี้แหละ”

          “ฉันเรียน ม.4 มา ฉันทำสุดได้แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้แหละ”

          “ฉันมีสติปัญญาเป็นด็อกเตอร์  ฉันทำได้แค่นี้ ฉันทำสุดแค่นี้”

          ต่างคนต่างสุดของตัวเองแล้ว  ที่เหลือ

          “พระเจ้าช่วยลูกด้วย ช่วยลูกของลูกของลูกด้วย”

          ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ยืนยาวพอ  “ช่วยลูกของลูกของลูกของลูกของลูกอีกทีหนึ่งด้วยเถิด” ใช่ไหม?

 

พระเยซูจึงบอก  จึงให้เราอธิษฐานอย่างนี้  มัทธิว 6:9 บอกว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ สอนคำอธิษฐานเดียวว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ คำอธิษฐานนี้ทำไม? ทำให้เราสามารถที่จะวางใจในพระเจ้าทั้งหมดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงครอบครองในทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์ ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำหนดไว้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มาหาพระเจ้า ผู้กำหนดทุกสิ่งดีกว่า แล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราดี เพราะพระองค์รักเรา … เราเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำได้ อย่างไรก็ดี สัญญา พระองค์สัญญา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ลูกของพระองค์นั้น พระองค์จะทรงกระทำให้เกิดเป็นผลดีทั้งสิ้น  อย่างไรตอนจบ มันต้องดี เชื่อพระองค์หรือเปล่า? แล้วก็วางใจในพระองค์

“ใครจะว่าอย่างไรแล้วแต่ ฉันมีความหวังในลูกฉันเสมอ อย่ามาว่าลูกฉันก็แล้วกัน”

หมายถึงไม่ใช่ไม่ฟังนะ ฟัง

“ฉันมั่นใจในลูกฉัน เดี๋ยวเขาก็ต้องดี”

แล้วเราตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ดี ทำอย่างไร? ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาก็ดีเอง  มั่นใจถึงขนาดนี้ เอเมน แล้วทำอธิษฐานนั้น ก็อยากให้เราจำเอาไว้ จำเป็นบทเพลงเลย คำอธิษฐาน จำไว้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ต้องเกิด ก็เกิดทุกข์อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็ตามอธิษฐานตามนี้  ไม่เกิดอะไรขึ้น  แต่ละวัน อธิษฐานตามนี้  มีชีวิตอยู่ อธิษฐานตามนี้ แม่ทุกคนอธิษฐานตามนี้

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยด้วยเถิด อย่านำลูกและลูกของลูก และหลานของลูกเข้าไปสู่การทดลอง แต่ขอให้หลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวงของโลกใบนี้ที่มีอยู่ เหตุเพราะอะไร? พระองค์ทรงทำได้ เพราะฤทธิ์เดช อำนาจ พลัง พระสิริเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

ให้แม่ทุกคนร้องบทเพลง (เพลงคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9) นี้ให้ได้ ถ้าร้องไม่ได้ แม่ก็ใช้ท่องเป็นอาขยานก็ได้ ให้แม่วางใจในพระเจ้า มาจากมัทธิว 6:9 ที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน

เราลองคิดดูนะครับ สมมติว่าแม่รักลูกของเราเองอย่างมาก แล้วเราก็กลุ้มใจกับลูกเรา ท้อแท้ เพราะเราอยากจะให้เขาได้ในสิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิด อยากให้เขาทำ มันดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาอาจจะมีอย่างอื่นที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาได้ เราอยากให้เขาเป็นอันนี้ เราอยากให้เขาเป็นอันนั้น เราอยากให้เขาทำอันนี้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เขาเป็นอย่างไร? มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

          เพราะฉะนั้น แม่เข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานอย่างนี้ จึงเป็นแม่ที่สงบ จึงเป็นแม่ที่มีสันติสุข ผมไม่ได้บอกว่ามีความสุข แต่มีสันติสุข เป็นแม่ที่นิ่งและมีความหวังอยู่เสมอ ไม่เดือดร้อนมากมาย จนเกินไปบนโลกใบนี้ ไม่กลัวจนเกินไป ไม่กังวลจนเกินไป แต่เขาจะอยู่กับพระเจ้า และอธิษฐานให้ลูกๆ เขาเสมอ อย่างนี้แหละ  เอเมน

 

********************