คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 2

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราจะมาต่อกันถึงเรื่องสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราได้เริ่มหัวข้อใหม่ในการบรรยาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตคริสเตียนของเรา ดำเนินบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข และนิ่ง แล้วเกิดประโยชน์มากมายในทางของพระเจ้า ต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 2 พูดง่าย ทำยากมากเลยนะ จากที่เกริ่นไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่าการบรรยายชุดนี้จะเรียนรู้กันว่าในขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ซึ่งแน่นอน เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เพื่อให้ยังคงมีสันติสุข และมีใจชื่นชมยินดีได้ เหมือนที่พระคัมภีร์บอก แม้ต้องอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ก็ตาม เราต้องทำอย่างไร? ถึงจะได้ตรงนี้

พระคัมภีร์ที่เราได้อ่านกันครั้งที่แล้ว  สอนไว้ว่าให้ความหวังใจ และความมั่นใจในความคิดจิตใจของเรา เหมือนสมอเรือ ที่ปักไว้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหว โครงเครงไปตามระบบของโลกนี้ ตามพายุ คลื่นใหญ่เล็กต่างๆ โหมมาพัด จะทำให้เรือเราจม ฮีบรู 16:18-19 ที่เราได้เริ่มต้นกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฮีบรู 16:18-19 “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก 19 ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวัง ที่อยู่เบื้องหน้าเรา ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่นในความคิดจิตใจ และความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

 

หยั่งรากลึก ในความคิดจิตใจเรา เป็นเหมือนดั่งสมอเรือ ความหวังในความคิดจิตใจของเราความหวังในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ความหวังในหลังม่าน ก็คือการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า หลังม่านก็คือสวรรค์สถาน  ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และในความหวังของเรา ซึ่งเชื่อแล้วตอนนี้ ขณะนี้เราอยู่ในหลังม่าน  เราอยู่ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป ให้ความหวังตรงนี้  เป็นเหมือนสมอเรือที่แข็งแกร่งอยู่ในความคิดจิตใจ ที่จะยึดเอาไว้อย่างแน่น

และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดจิตใจของเราก็จะมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โครงเครง ด้วยความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเรา แม้ว่าจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานับประการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะไม่หวั่นไหว หรือหวั่นไหวน้อยลง  สามารถยืนได้บนเรือที่โครงเครงบ้าง พายุจะมาขนาดไหนก็ยังยืนอยู่ได้ ไม่ล้มลงและกระเด็นตกจากเรือไปเลย

แล้วเราจะต้องทำอย่างไร? เพื่อให้สมอของเราปักไว้ถูกที่ เรารู้แล้วนะว่าปักไว้ที่ไหน? ปักไว้ที่พระคริสต์ ปักไว้ที่ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ซึ่งเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้วนิรันดร์ ตลอดไป ให้เป็นเสาหลัก มั่นคง แน่นหนา เราจะทำอย่างไร? พระเจ้าจะช่วยเรา มั่นคงไม่หวั่นไหวนี้ ด้วยวิธีใด ที่พระเจ้าจะนำเราไป เพียงแค่อธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ แล้วก็อยู่เฉยๆ ในห้องอย่างนั้นหรือ? แล้วเราก็จะได้ความมั่นคง สันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  แค่เข้าไปในห้องอธิษฐาน … อธิษฐานบ่อยๆ แล้วจะเกิดความมั่นคงหรืออย่างไร? เราจะมาเรียนรู้กัน คำตอบอยู่ตรงนี้  กิจการ 14:21-22

กิจการ 14:21-22 “21 พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น  และมีคนมากมายมาเป็นสาวก  จากนั้น  พวกเขากลับไปยังเมืองลิสตรา  เมืองอิโคนียูม  และเมืองอันทิโอก  22 เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้น  และให้กำลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อ  มั่นคงในความเชื่อ  พวกเขากล่าวว่า  “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย  เพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”

 

“พวกเขา” หมายถึงเปาโลและทีมงานในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ในยุคแรกๆ ตอนที่บันทึกอยู่ ตอนที่อ่านเปาโลกับพวกกำลังออกจากเมืองลิสตรา และกำลังจะไปที่เมืองตามที่อ่านเมื่อสักครู่นี้ มาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ นึกภาพดูนะ กำลังมาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ แล้วดูว่าเปาโลได้หนุนใจเขาว่าอย่างไร?

“เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้น” มาเยี่ยมพี่น้องผู้เชื่อใหม่  มาเยี่ยมพี่น้องที่เมืองอิโคนิยูม เพื่อให้สาวก คือผู้เชื่อใหม่เข้มแข็งขึ้น และให้กำลังใจพวกเขา ต่อไปนี้เราจะให้กำลังใจผู้เชื่อ เลียนแบบเปาโล ให้สัตย์ซื่อ มั่นคงในความเชื่อ  ก็คือให้มั่นคงในสมอ ในหลักการ ยึดแน่นไว้ในความเชื่อ ในความหวังใจ ในชีวิตนิรันดร์ ในข่าวดีของพระเจ้า ที่เขาได้เชื่อแล้ว  ยึดถือไว้นั้น  ให้กำลังใจ ให้เขาเกิดความมั่นคงในความเชื่อ  ไม่หวั่นไหว   ด้วยวิธีใด?  พวกเขากล่าวว่า … พวกเขา ก็คือเปาโล …

เปาโลหนุนใจผู้เชื่อใหม่ว่า … “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย ในการเข้าอาณาจักรพระเจ้า”

ต่อไปนี้เรามาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ กำลังเดือดร้อน  กำลังพบกับพายุ ปัญหาต่างๆ เราพูดตรงนี้ได้หรือเปล่า? ไปเยี่ยมปุ๊บ ไปบอกเลย …

“พี่น้อง เราต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากนะ ในการเข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้า แล้วเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิตนิรันดร์นั้น เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้นะ”

มันหมายถึงอย่างนั้นใช่ไหม? ถูกเป๊ะเลย ไม่ผิด เปาโลพูดหนุนใจว่าถ้าพูดอย่างนี้ เขาจะเกิดความเข้มแข็งขึ้น เป็นการให้กำลังใจกับพวกเขา ให้มีความมั่นคงในความเชื่อ ในข่าวดีที่เขาได้รับไปแล้ว และเจริญเติบโตแล้ว ไปยังผู้เชื่อแล้ว ไม่เหมือนสมัยนี้นะ เราไปหนุนใจ เรานึกว่าอย่างนี้ เป็นการหนุนใจ แต่ไม่ใช่เลย ในการหนุนใจของพระเจ้า เป็นลักษณะเอาความจริงไปพูดมากกว่า ความอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เป็นพระพร เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจ การบอกความจริง ทำให้เขาเจริญเติบโต

คราวนี้ เรามาพูดถึงความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ แสดงว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันมีจริง  และความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ สำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า คือผู้เชื่อทั้งหลาย มันก็เป็นจริงด้วย หนีไม่พ้น ท่านกำลังคิดในใจใช่ไหม แย้งว่า …

“ถ้าอย่างนั้น พระเยซูบอกว่า … ‘ผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข’”

ผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้ ผู้นั้นจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถูกไหม? เพราะพระเยซูบอกว่า …

“จงมาหาเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

แต่ตะกี้เราอ่าน บอกว่าเราจะพบความทุกข์ยากลำบาก ในการเข้าสู่สวรรค์ มันแย้งกันหรือ?  ข่าวประเสริฐแย้งกันนะ พระเยซูบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เปาโลบอกว่า … “ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย” คืออะไร?

“ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในการดำเนินชีวิตบนโลก”

แต่พระเยซูบอกว่า … “ใครที่แบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา”

ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย  ไม่ได้หมายถึงทำงานทำการ เป็นกรรมกรแบกหาม หรือทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ใช่ ผู้ใดแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยในเรื่องบาปของตัวเอง เราจะต้องชดใช้หนี้เวรกรรม ไม่หมด ไม่สิ้น ไม่รู้อีกกี่ร้อยชาติ ไม่มีวันที่จะใช้เวรกรรมหมดไปได้ ในชีวิตเก่าของเรา  ที่ยังไม่รู้จักพระเยซู เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  นั่นแหละคือการแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย มาหาพระเยซู พระเยซูจะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข เราจะหายเหนื่อยทางวิญญาณ

ฮีบรู 10:17 บอกว่า … “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป” พระเจ้าบอก “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

สดุดี 103:12  บอกว่า … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด  พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา  คือความบาปของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น” คือเอาออกไปเลย

 

โรม 4:8  บอกว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

และตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ พระองค์ว่า … “สำเร็จแล้ว” … สิ่งเหล่านี้มันสำเร็จแล้ว ก็คือข่าวดีของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ข่าวดีของพระเจ้า คือทำให้คนมีความสุข คือบาปได้ถูกยก ได้ถูกชำระ พ้นจากบาปเวรกรรมเรียบร้อยแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้วต่างหาก นี่แหละคือสันติสุขที่ถูก ความสุข การได้พักผ่อน ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คนละเรื่องกัน ก็คือตามที่เปาโลบอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในการเข้าอาณาจักรของพระเจ้า  เดี๋ยวเราจะรู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเป็นลักษณะอย่างไร?

ก่อนที่เราจะเรียนรู้กันถึงรายละเอียด สิ่งสำคัญเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ มาจากไหน?  ท่านต้องคิดในใจอยู่แล้วล่ะ ท่านต้องมีความสงสัยบ้างอยู่ในใจทุกคน

“เอ๊ะ! ฉันมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันยังพบกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ แล้วความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้มันมาจากไหน?”

เพราะยังมีหลายๆ คนเข้าใจผิด ที่ยังคิดด้วยเหตุผลของตนเอง หรือได้ยินมาว่าความทุกข์ยากลำบาก มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง ตามน้ำพระทัยของพระองค์

ฟังดูแล้ว เหมือนมันมีเหตุผลเลย เพราะพระเจ้าควบคุมทุกอย่าง พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทำอะไรทุกอย่างได้  พระองค์จะไม่ให้เกิดขึ้นก็ได้ เราก็คิดของเราไปตามประสา เราไม่ได้สังเกต ไม่ได้เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งสามารถตอบได้เลยว่ามันไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าไม่ได้นำเอาความทุกข์ยากลำบากมาบนโลกใบนี้เลย จริงๆ แล้วปัญหา ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ บนโลกใบนี้  มีสาเหตุมาจาก … พอสรุปเป็นข้อๆ ได้ คร่าวๆ อย่างนี้ สรุปจากในพระคัมภีร์ คือ …

  1. ความเสียหาย ความลำบาก ความทุกข์ยาก ความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ เกิดจากความเสียหายของระบบของโลกใบนี้ ที่ล้มลงในความบาป ความบาปที่ลงไปสู่มนุษยชาติ ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา ความบาป ทำให้เกิดความตายและคำสาปแช่ง มันตกลงมาอยู่เหนือโลกใบนี้ อยู่ในระบบของโลกใบนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าโลกใบนี้กับมนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้าไปแล้ว เสียหายไปแล้ว ความเห็นแก่ตัว ความชั่วต่างๆ ของมารซาตานถูกฝังอยู่ใน DNA ของมนุษยชาติไปแล้ว ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “มนุษย์เป็นทาสมารไปแล้ว”

ทาสมาร คือทาสของความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัว ความชั่วอะไรเยอะแยะไปหมด ท่านจะเห็นว่าระบบมันเสียหายไปแล้ว และมันก็เกิดความชั่วร้ายต่างๆ เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เกิดจากความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่รู้ตัวเองบ้าง? ไม่รู้ตัวเองบ้าง? ทำสิ่งเสียหายให้กับโลกใบนี้ เพิ่มเติมเข้าไปอีก ท่านเห็นไหม?

ยกตัวอย่างว่ามนุษย์คนหนึ่งทำความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันกระทบถึงคนดีๆ ด้วยไหม? กระทบ เห็นไหม? นึกภาพออกไหม?

มนุษย์คนหนึ่งเมายา แล้วก็ไปเผาบ้านตัวเอง พอเผาปุ๊บ มันลามไปข้างบ้าน ข้างบ้านเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย  เขาได้รับความทุกข์ยากลำบากไหม? ได้รับ ทั้งโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนั้น

ฝุ่น อะไรที่เป็นโพลูชั่นต่างๆ มันเกิดมาจากอย่างนี้  นี่คือความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บ

  1. มาจากการหว่าน คือการกระทำของคนๆ นั้น ตะกี้มีความทุกข์ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ตะกี้คนอื่นทำ แล้วเราได้รับ หรือว่าระบบของโลกนี้ ที่ถูกสาปแช่ง มันเป็นอย่างนั้นอยู่ และเราก็ได้รับความทุกข์ยากลำบาก

คราวนี้อันที่สอง คือเราทำเอง ก็คือเราละเมิดกฎธรรมชาติของบนโลกใบนี้ คือเราละเมิด เราไปทำ  เราก็ได้รับความทุกข์เอง  พระคัมภีร์บอกว่าการกระทำเหล่านั้น เหมือนเป็นการหว่าน หว่านในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือหว่านในความชั่ว พูดง่ายๆ ก็ต้องได้รับสิ่งที่ชั่วร้ายเข้ามา หว่านในสิ่งที่ดี ก็ได้รับสิ่งที่ดี นึกออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความเลวร้าย ความทุกข์ยากลำบาก ก็เกิดจากการกระทำของเรานั่นแหละ  บางอย่างที่เราทำแล้ว มันเอาความทุกข์ยากลำบากเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น เรากินไม่เลือก เรากินไม่หยุด เรารู้ว่าไม่ดีเราก็ยังกิน ไม่ว่าจะกิน เพราะสู้มันไม่ได้ จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรืออะไรก็ตาม แต่ในที่สุด เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เรากินอยู่ หมอบอกว่าเราน้ำหนักเกินมากแล้ว ตรงนี้ต้องงด เรางดไม่ได้ เรากินต่อไปอีก เราก็เกิดโรคร้ายขึ้นมา นั่นแหละคือการหว่าน ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเป็นโรค เกิดมาแล้วเป็นโรค อันนั้น มันเกิดจากการถูกสาปแช่งของบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการกระทำของเรา อันที่สองเกี่ยวกับการกระทำแล้ว

  1. ชัดเจนเลย เป็นเฉพาะพวกเราทั้งหลาย โดยพิเศษ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดจากการเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเกิดจากการเป็นผู้เชื่อ พอเป็นคริสเตียนแล้ว เกิดอะไรขึ้น เราดีใจใช่ไหมว่าพระเจ้าบอกพอเรารับเชื่อปุ๊บ เราย้ายจากอาณาจักรของความมืดเข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรา ออกจากการเป็นทาสมาร มาสู่ลูกของพระเจ้า เรากำลังดีใจใหญ่เลย  นั่นทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่ตะกี้พูด เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น แต่ในโลกวัตถุนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเห็นภาพทันที เรามาสู่อาณาจักรที่โลกนี้ ไม่ใช่เป็นของเราอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นของโลกอีกต่อไป  เราเป็นของพระเจ้า เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ก็จะต่อต้าน ต่อสู้กับเรา ต่อต้านต่อสู้ มันก็คือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเราไม่ได้เข้ามาเฉพาะการมีส่วนเข้าในพระสิริของพระเจ้า คือเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างของพระเจ้าเท่านั้น แต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะความทุกข์ยากลำบากทำให้เกิดความอดทน เพราะมันเป็นจริง เพราะเราได้อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว แน่นอน ศัตรูของเรา คือความมืดนั่นเอง แต่ขอบคุณพระเจ้า จงยินดีเถิด เพราะเราได้ชนะโลกแล้ว พระเยซูบอกเราชนะโลกแล้ว ข้างในเราชนะโลกใบนี้แล้ว แต่ที่เดินอยู่ ไม่ใช่ของเรา เป็นศัตรูทั้งนั้น โลกใบนี้ คือศัตรูของเรา มันก็เกิดความทุกข์ยากลำบาก เขาเรียกว่าเกิดความขัดแย้ง ในการดำเนินชีวิต แน่นอน ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

พระเยซูจึงบอกว่าโลกเกลียดเรา เป็นเรื่องธรรมดา เพราะความมืดกับความสว่างเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ผู้เชื่อที่วางใจในพระเจ้า ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน  ที่บังเกิดใหม่แล้ว  มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา จะตอบสนองต่อความทุกข์ยากลำบากอีกแบบหนึ่ง  ไม่เหมือนกับคนที่ยังไม่เชื่อ

เขาจะตอบสนองด้วยผลของพระวิญญาณ  คือด้วยพระเจ้าที่อยู่ในตัวเขานั่นแหละ  เขาก็จะมีท่าทีต่อความทุกข์ยากลำบากอีกแบบหนึ่ง ทำให้เกิดมีสันติสุข เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนได้ แต่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะมีชัยชนะเหนือโลกแล้วก็ตาม

ความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างไร?  เห็นไหม? คริสเตียนมีความพิเศษ มีความทุกข์ยากลำบากแบบที่ 3 ตะกี้นี้ที่บอก เพราะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกข์กว่าคนอื่นอีก ทุกข์กว่าอย่างไร? คนอื่นอาจจะไม่ทุกข์มากขนาดนี้  คือในใจเขาไม่คิดอะไร? ก็ทำไปเฉยๆ แต่ของเราไม่ได้ พระเจ้าที่อยู่ข้างในเราเร้าใจเรา ให้เราทำอีกแบบหนึ่ง ต่อระบบของโลกนี้

ยกตัวอย่าง เราถูกข่มเหงรังแก พระวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในเรา ให้เราตอบสนองด้วยวิธีอะไร? มีท่าทีอย่างไร? …

“พระบิดา แก้แค้นแทนลูกที” … อย่างนั้นหรือ?

“พระบิดาช่วยจัดการมันที” … อย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่ คนที่เป็นคริสเตียนแท้ทุกคน เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะเจริญถึงขั้น …

“พระบิดาอภัยให้เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป ยกโทษให้เขาด้วย”

ถูกไหม? ถามว่าตอนอธิษฐาน มันเจ็บไหม? ที่เขาทำเรา สตีเฟนเจ็บไหม? สตีเฟน มัคนายกรุ่นแรก ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย หวังดีกับเขามาก อยากให้เขาได้รับความรอด ถูกเอาหินขว้างตาย แต่สตีเฟนบอกว่า …

“พระเจ้า  อภัยให้เขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

เปาโลก็เหมือนกัน  ถูกทุบ ถูกตี ถูกจับ เฆี่ยน ติดคุก อภัยให้เขา ช่วยเขาอีกต่างหาก นี่แหละ คือความทุกข์ยากลำบากของคริสเตียน ที่เป็นอีกแบบหนึ่ง นอกเหนือจากความทุกข์ยากลำบากที่ต้องรับไว้ เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป บนโลกใบนี้  ไม่มีใครหนีพ้น  เราจึงเห็นชัดเจน

และพระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้ง 3 แบบให้เป็นประโยชน์ ที่เสริมสร้างให้เราเจริญเติบโต หยั่งรากลึกในความเชื่อ ความหวัง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้ พระเจ้าจะสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น ก็ด้วยผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ถ้าไม่ผ่าน ก็ไม่ได้ถูกสร้าง เหมือนที่เราร้องเพลง …

“ขอทรงสร้างเรา  ให้มั่นคงเถิด  ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร

เป็นพระวิหาร  อันสง่างามของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ขณะที่เราร้อง เรานึกว่าขอทรงสร้างเราด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความสุขสบาย ไม่ใช่ วิธีสร้าง มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องผ่านความทุกข์ยากลำบาก เหมือนที่เปาโลพูดเมื่อสักครู่นี้ ให้กำลังใจเราทั้งหลาย ให้เรามีความมั่นคงในความเชื่อ ให้เรามีความมั่นคงในความคิด ไม่หวั่นไหวอีกต่อไป โดยบอกว่าท่านต้องผ่านความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา  ในการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์   มาอ่านในฟีลิปปี 4:4-6 เมื่อเราพูดถึงความชื่นชมยินดีและสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ นี่คือข้อพระคัมภีร์ที่ฮิต ฮอตที่สุด จำกันได้เยอะที่สุด ท่องกันได้หมด ส่วนทำได้หรือเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวมาเรียนกัน …

ฟีลิปปี 4:4-9  “4  จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด  5 จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน  ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน  ความอดทนนานของท่าน  เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง  6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย  แต่ในทุกๆ สถานการณ์  จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งเกินความเข้าใจ  จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์  8 สุดท้ายนี้  พี่น้องทั้งหลาย  จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ  หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ  คือสิ่งที่จริง  สิ่งที่น่านับถือ  สิ่งที่ถูกต้อง  สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง  9  ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้  ได้รับ  ได้ยินจากข้าพเจ้า  หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า  จงนำไปปฏิบัติ  และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน”

 

ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้  เป็นคำสอนพื้นฐาน สำหรับผู้เชื่อที่ต้องการแสวงหาสันติสุข และความสงบที่แท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์ในชีวิต

ข้อ 4 บอกว่า … “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”

“จงชื่นชมยินดีในพระเจ้าเสมอ” … “เสมอ” ก็แปลว่าตลอดเวลานั่นเอง  ภาษาเดิมบอกว่าเป็นนิสัยเลย แล้วในชีวิตเราเจอแต่ความสุขตลอดเวลาหรือเจอความทุกข์บ้าง?  ก็สลับไปสลับมา ก็แสดงว่าตรงนี้ พระคัมภีร์กำลังบอกเราว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา ก็คือทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จงชื่นชมยินดีเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันว่า … ก็แสดงว่าตอนแรกๆ อาจจะมีความสุขดี แต่พอมีความทุกข์ ความลำบากเข้ามา  ชักไม่ค่อยจะชื่นชมยินดี เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าขอย้ำว่าจงชื่นชมยินดีเสมอ” เมื่อเดือนที่แล้วยังชื่นชมยินดีอยู่เลย เดือนนี้ประสบปัญหา ก็จงชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า … “จงชื่นชมยินดี ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จงชื่นชมยินดีในทุกกรณี” … นั่นเอง

แล้วจะชื่นชมยินดีตรงไหน? ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ? ไม่ใช่ ก็ตามที่บอกสมอหลัก ที่เราไปปักอยู่ที่ไหน? ที่หลังม่าน ก็คือสถานที่อภิสุทธิสถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และที่เราอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแล้วตอนนี้  เราเกิดใหม่แล้ว ให้เราปักความคิดไว้ตรงนี้เลยว่าเราอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแล้ว เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว เราจึงสามารถชื่นชมยินดีได้ตลอดเวลา เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ถ้าเผื่อเราไปปักเอาไว้ที่ความทุกข์ ความสุขบนโลกใบนี้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวโควิดมี เดี๋ยวโควิดหาย เดี๋ยวโรคอื่นมา โรคนี้มา  เราก็หันไปเหมากับสถานการณ์บนโลกใบนี้  ที่มันขึ้นๆ ลงๆ  แล้วมันหนักไปทางลงอยู่เรื่อย  ไม่ค่อยขึ้น เพราะมันเป็นศัตรูกับมนุษย์ทั้งหมด เราก็แย่สิ เหมือนเรือที่ไม่มีสมอ ถูกลมคลื่นพัดเซไปเซมา แต่ถ้าเราปักไว้ที่การทรงสถิตของพระเจ้า ปักไว้ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระเจ้า เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ไปไหน แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดนิรันดร์ อย่างไรก็นิรันดร์ มันก็ไม่เคว้งคว้าง

ข้อ 5 บอกว่า … “จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน”

ตรงนี้เจ็บจริงๆ ตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ข้อ 5 บอกว่าจงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ชื่นชมยินดีตอนมีความทุกข์ลำบากใช่ไหม? ท่านจงให้ความอ่อนสุภาพของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน ประจักษ์แก่คนทั้งปวง

นี่แหละ สตีเฟนถึงพูดว่า … “อภัยให้เขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

ซึ่งหนึ่งในนั้น ที่ได้ยิน ได้ฟัง ก็คือเปาโลเอง เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง เพราะตอนนั้น เปาโลยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกันกับการเอาหินขว้างสตีเฟน … สตีเฟนกำลังพูดว่าอภัยให้เปาโลด้วย ขณะนั้นเขาชื่อเซาโล  อภัยให้เซาโลด้วย เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  และอีกไม่กี่ปีต่อมา เซาโลผู้นี้ ก็ได้กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า และเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทำงานให้พระเจ้า ลักษณะเดียวกัน ก็ถูกข่มเหงรังแก แล้วเปาโลก็คิดแบบเดียวกัน อภัยให้เขาเถิด  เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป แล้วก็มาสอนเราว่าสันติสุขเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ไม่ใช่วิธีอื่น  จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่ คริสเตียน แก่ผู้เชื่อเท่านั้น แก่พี่น้องในคริสตจักรเท่านั้น ไม่ใช่ แต่แก่คนทั้งปวง … “คนทั้งปวง” หมายถึงทั้งโลกเลย มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด เห็นไหม?  เราบอกว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ไม่ดี คนนี้เลว  เราตัดสินไปหมดเลย ตัดสินไปจนกระทั่งว่าประเทศนี้ก็ไม่ดี ประเทศนั้นก็ไม่ดี ประเทศโน้นก็ไม่ดี เราตัดสินเขาไปหมดว่าคนนี้เลว แต่ในพระคัมภีร์บอกว่า …

“จงสุภาพอ่อนโยน ไม่เห็นแก่ตัว อดทนนาน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง” ก็คือจงให้ผลที่สถิตอยู่ในเรา พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ให้ฉายแสงออกมา  ผลทั้ง 9 อย่างของพระวิญญาณ ให้ออกมาจากตัวของเรา ข้างในของเรา ที่ได้เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้าเราเชื่อ เรามั่นคง เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเชื่อตรงนี้  ก็จงให้แสงสว่าง จงให้ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้ มันออกมา แล้วฤทธิ์เดชอำนาจนี้มันออกมา ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งกับเขา ฤทธิ์เดชอำนาจออกมา โดยความอ่อนน้อม สุภาพ ไม่เห็นแก่ตัว อดทนนาน เป็นความรักแบบบริสุทธิ์ แบบอากาเป้นั่นเอง  มันก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น

ข้อ 6 “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่ในทุกสถานการณ์ จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”

อย่ากระวนกระวาย การปักสมอ การโยนสมอ ยึดแน่น ไม่โลเล ให้ความคิดจิตใจเรามีสมอมั่นคง มีหลักการมั่นคงไม่โครงเครง แม้จะอยู่ท่ามกลางคลื่น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก จะรุนแรงขนาดไหน? พายุจะแรงขนาดไหน?  ก็มีสมอ มีหลักที่ยึดมั่นคง ไม่หวั่นไหวในเรื่องใดๆ แม้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกายและใจ  ทั้งเล็กหรือใหญ่ เพราะในนี้บอกแล้วว่า …

“อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ”

แสดงว่ามันไม่มีเรื่องเดียว ใดๆ มันมีหลายชนิด หลายๆ แบบ รูปแบบต่างๆ นานา มีข้อสอบมาหาเราต่างๆ นานา หลายรูปแบบ และหลายขั้นตอน ขบวนการตรงนี้ การที่จะมั่นคง และอยู่ในความไม่โลเล ไม่โครงเครง เมื่อมีพายุมา  เมื่อมีความทุกข์ยากลำบากมา การจะมีสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้อยู่เสมอๆ และเจริญเติบโต มันจะต้องเป็นขั้นเป็นตอน เป็นขบวนการ ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย เป็นการเจริญเติบโต เป็นขบวนการธรรมชาติ ที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น ในชีวิตของเราแต่ละคน

ลองฟังตัวอย่างนี้ … พระเจ้าบอกให้ชายคนหนึ่ง ไปผลักหินก้อนใหญ่ ก้อนเดิมทุกวัน พระเจ้าบอกไปผลักหินก้อนนี้ ชายคนนี้ก็ทำตาม โดยตัวเองก็ไม่ทราบเพราะอะไร? พระเจ้าบอกให้ไปผลักหิน เขาก็คิดไปต่างๆ นานาว่าหินก้อนนี้ คงเป็นอุปสรรคปัญหา ในการเดินเหินของผู้คน เขาก็ไปผลัก หรือไม่ เขาก็คิดต่อไป หรือใต้ก้อนหินจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ให้ไปผลัก เขาก็ทำตาม ผลักหินทุกวัน แรกๆ ก็ดีใจ พระเจ้าสั่งแค่นี้สบายมาก พอผลักไปนานๆ เข้า ชักเบื่อ เพราะหินมันก้อนใหญ่ เขาก็นึกว่าสบาย เดี๋ยวผลักๆ ไป ก็เคลื่อนเอง  ปรากฏว่าหินมันไม่เคลื่อนเลย ผลักไปกี่วันๆ มาดู มันเหมือนเดิมอยู่ นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเลย

ชายคนนี้ก็เกิดความสงสัยว่าพระเจ้าให้ทำไปทำไม? เสียเวลาเปล่าๆ ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย มาสั่งให้เราผลักทุกวัน ไม่เห็นได้อะไรสักอย่าง ก็เลยไปถามพระเจ้าว่า …

“ที่ให้ผลักก้อนหินเดิมทุกวัน มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ให้ไปผลักทำไม?”

พระเจ้าตอบว่า … “ใครบอกเจ้าว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองให้ดีๆ ลองดูสิ ให้ไปดูที่กระจก”

เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ? แทนที่เขาไปดูที่หิน เขาไปดูที่กระจก เขาเห็น …

“ลองดูร่างกายของเจ้า ดูแขนขาของเจ้าสิ ตอนนี้มันแข็งแรงมากขนาดไหน?”

ผลักทุกวันๆ สมมติว่าผลักมา 5 ปีแล้ว กล้ามแข็งแรงขึ้นเยอะเลย …

“จากนี้ต่อไป เจ้าสามารถทำอะไรมากขึ้นได้ เพราะเจ้าแข็งแรงขึ้น สามารถยกของได้มากขึ้นอีก เห็นไหม? เจ้าเจริญเติบโต”

เหมือนหนังกำลังภายใน เคยดูหนังกำลังภายในไหม? ที่อาจารย์บนภูเขา ที่มาสอนวิชาบู๊ตึ๊ง กำลังภายในที่สุดยอดกระบี่ อะไรแล้วแต่ เด็กหนุ่มคนนี้ถูกเรียกขึ้นไปฝึก ดีใจมากเลย อาจารย์รับเราเป็นศิษย์ ฝึกเราเป็นจอมยุทธ ในอนาคต ขึ้นเขาไป ดีใจมากเลย  จะไปเรียนจอมยุทธ ปีแรกทั้งปี อาจารย์บอกว่าไปตักน้ำขึ้นมาให้อาจารย์ใช้หน่อย ล้างหน้าล้างตาทุกเช้า กุฎิอยู่ยอดเขา ตักน้ำข้างล่าง แล้วก็แบกขึ้นมา แรกๆ ก็ดีใจ  กะว่าแบกสักอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็ได้เรียนแล้ว ปรากฏว่าแบกไปทั้งเดือน

“อาจารย์สอนหรือยัง?”

“รอไปแป๊บหนึ่ง”

ก็แบกน้ำต่อไป แบกไปเรื่อยๆ เป็น 3 ปี ก็ไม่ได้สอนสักที

“โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว ไม่เห็นทำอะไรเลย ทุกวันมีแต่แบกน้ำๆ”

อาจารย์บอก … “โอเค ถึงเวลาสอนวิทยายุทธแล้ว”

ทำไมถึงเวลาสอน

“เจ้าดูนะ ดูให้ดีๆ ขณะที่เจ้าแบกน้ำมา ขึ้นบันไดภูเขา”

บันไดบนภูเขา มันเป็นหินวางๆ ไว้ใช่ไหม? สองข้างทาง ก็จะมีต้นไม้ วัชพืชขึ้นอยู่

“เจ้าเห็นไหมว่าอาจารย์รอจนกว่าต้นไม้ข้างทางจะตายหมด ถ้าต้นไม้ข้างทางตายหมด ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะฝึกได้”

เพราะตอนแบกขึ้นไปใหม่ๆ ไม่แข็งแรง มันก็แกว่งไปแกว่งมา น้ำก็หก มันหก ก็รดน้ำต้นไม้ทุกวัน ดอกขึ้นสวย พอเริ่มแข็งแกร่ง เดินนิ่ง ขาแข็งแกร่ง แบกน้ำขึ้นมา น้ำไม่หกเลย พอน้ำไม่หก ต้นไม้ข้างทาง มันไม่ได้น้ำ มันแห้งตายหมด ถึงเวลาแล้วที่จะฝึกวิทยายุทธได้ เพราะแข็งแกร่งขึ้น รีบร้อนไม่ได้

นี่คือขบวนการ เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตได้ว่าอะไรที่เกิดขึ้น เมื่อใช้เวลานาน 3 ปีของศิษย์คนนี้ หรือ 3 ปีของชายคนนี้  ที่พระเจ้าบอกให้ไปผลักหิน ก็คือความอดทนเท่านั้นเอง อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความอดทนทำตามที่พระเจ้าบอก  ความอดทนทำตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ในข้อ 6 ว่า … “ในทุกสถานการณ์ จงทูลขอทุกสิ่งกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”

ให้ทำไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้ไปกี่ปี? ไม่รู้ ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย เคยถามไหม? ถาม ทุกคนถามอยู่ในใจ ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย การกระทำเช่นนี้ ก็เหมือนการผลักหินของชายที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ก็เหมือนศิษย์บู๊ตึ๊งที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ที่อยากจะรีบเรียนวิชากระบี่ไร้เทียมทาน ผลักหินทุกวัน โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม? แต่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็ทำไป สุดท้ายก็เกิดผล ตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ใช่ตามที่เราคิด พระเจ้าบอกให้เราทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้าใช่ไหม? ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน อ้อนวอน พร้อมกันการขอบพระคุณ นี่เห็นชัดเลย อธิษฐาน อ้อนวอน … อ้อนวอน แปลว่านานๆ อธิษฐานบางทีอาจจะจบได้  อธิษฐาน วิงวอน คือแปลว่านาน ยาว เมื่อไร? เป็น 10 ปี 20 ปี ก็ได้ ไม่รู้ พร้อมด้วยการอดทนรอ และจบด้วยความหวัง ความหวังก็มาพร้อมกับการขอบพระคุณนั่นเอง เราก็ทำไป แล้วผลที่ได้รับคืออะไร?

ผลก็คือข้อ 7 ก็เกิดขึ้น วิชาตัวเบา วิชากระบี่ไร้เทียมทาน ฝึกจนกระทั่งเกิดขึ้น ข้อ 7 ที่บอกว่า … “แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” แล้วสมอ ก็จะค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น เล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ มันเข้มแข็งขึ้น  มีหลักยึดแน่นมากขึ้น แล้วเจ้าสมอหลักนี้ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ คือท่านก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่เมื่อพายุอะไรต่างๆ มา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดาต่างๆ นานา สำหรับมนุษย์ทั่วไป  ที่จะต้องหวั่นไหว ท่านก็จะไม่หวั่นไหว ท่านก็จะนิ่งได้ พระเจ้าก็จะสามารถใช้ท่านในงานของพระองค์ได้ เหมือนที่ใช้เปาโล ใช้พระเยซูคริสต์ ใช้สาวกและคนอื่นๆ อีกมากมาย ใช้ด้วยวิธีนี้แหละ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า ในขณะที่เจ้าทนทุกข์อ่อนแอ ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะแสดงออกมากขึ้น  จากในตัวของท่านออกมามากขึ้น  ในขณะที่เจ้าอ่อนแอ ในขณะที่เจ้าหมดแรง ในขณะที่เจ้าทนทุกข์ได้”

ผมก็ไปค้นตรงนี้มาได้ว่า … คำว่า “สันติสุขของพระเจ้า” ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันหมายถึงอะไร? เพราะบางครั้ง ผมก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าสันติสุขที่เราอยากได้กัน ที่พระเจ้าสัญญา  ที่เปรียบเหมือนกับชัยชนะเหนือโลกนี้แล้ว มันคืออะไร? อยากรู้ว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันหมายถึงออะไร? สันติสุขหมายถึงลอยๆ หรืออย่างไร? นิ่งๆ หรืออย่างไร?  อยู่ในห้องเงียบๆ หรืออย่างไร?

สันติสุขตรงนี้ ในพระคัมภีร์ฉบับเดิมที่เขาแปลโดยตรง มาจากภาษาเดิมเลย  ภาษากรีก มีอธิบายไว้อย่างนี้ สันติสุขนี้หมายถึงความคิดจิตใจท่านสงบ เพราะมีความมั่นใจในความรอด ที่ท่านได้รับมาแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งส่งผลให้ท่านไม่กลัวสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้ท่านมีความพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ เอเมน

มิน่า เปาโลจึงมีสันติสุขนี้ เผชิญกับทุกสิ่งได้ เข้าใจแล้วสันติสุขนี้ ไม่ได้แปลว่านั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ได้หมายถึงสันติสุข ที่เราต้องเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว ไม่ใช่ สันติสุขท่ามกลางการทำงานวุ่นวายไปหมด เยอะแยะในโลกใบนี้  แต่ความคิดจิตใจเรานิ่ง ไม่กลัวต่อสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้ท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร? ไม่ว่าจะเป็นนักโทษ เปาโลก็มีความชื่นชมยินดี มีสันติสุข ไม่ว่าจะเป็นอิสระ เป็นเจ้านายเขา ก็มีสันติสุขนี้ พอจะมองเห็นภาพไหมครับ? ไม่ว่าจะไปอยู่ในงานเลี้ยงของผู้เชื่อที่เชิญอาจารย์เปาโลไปเลี้ยงข้าวและอธิษฐานด้วยกัน ที่บ้านผู้เชื่อที่มีฐานะดี หรือจะถูกเขาเอาหินขว้าง แล้วก็ลากออกไป เหมือนคนตายแล้ว  หรือถูกเฆี่ยน  แล้วก็จับโยนเข้าคุก ยินดีเท่ากัน นี่คือสันติสุข อันนี้ ที่เปาโลกำลังพูดถึง และเรามีสิทธิ์ได้รับ โดยพระเจ้าจะนำเราไปแบบนี้ เหมือนกัน

ความหมาย ก็คือถ้าเราอดทน ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ในข้อที่ 6 ที่ตะกี้ เราเรียนด้วยกัน ผลที่จะได้รับ ก็คือสันติสุขของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ จะเกิดขึ้นในความคิดจิตใจของเรา สันติสุข ตามความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ คือความสุขสบายทางกาย ความมั่งมี สุขภาพแข็งแรง ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอุปสรรคใดๆ เลยใช่ไหม? นี่คือความสุข หรือสันติสุขที่มนุษย์ทั้งหลายคิดว่าเป็นอย่างนี้ และแสวงหาอย่างนี้  อย่าไปแสวงหาเลย ซึ่งมันไม่มีจริงในโลกใบนี้ มันไม่ใช่ไม่ได้นะ มันไม่มีจริง อยู่บนโลกใบนี้แบบความสุขตลอดไป ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก แม้แต่นิดเดียวเลย ทั้งกายและใจ มันเป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก ตราบใดที่อยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อย่าไปหวังตรงนี้เลย มันเป็นไปไม่ได้ มันถูกหลอก ใช้นามพระเยซูมายิ่งถูกหลอกมากใหญ่เลย  ก็เลยไม่ได้สันติสุข แทนที่จะได้รับ

เพราะฉะนั้น มนุษย์คนใดที่แสวงหาสันติสุข ตามความคิดของตนเอง แบบโลก ก็จะไม่มีวันได้รับสันติสุขแบบพระเจ้าเลย  ไม่มีทางเลย  และก็ไม่ได้รับสันติสุขแบบโลก เพราะมันไม่มีจริง มันถูกโลกหลอกว่ามี มันไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่มาเชื่อพระเจ้า  ไม่ได้รับสันติสุขแบบพระเจ้า แต่ไม่ได้รับสันติสุขแบบโลก มันไม่มีไง มันถูกหลอก บางคนบอกความสุขแบบโลก ความสุขแบบพระเจ้า ฟังดูเผินๆ เหมือนให้เราเลือกข้าง  จริงๆ มันมีข้างจริงๆ ท่านจะมีสันติสุข มีความสุขในพระเจ้า หรือไม่มีเลย หรือจะถูกหลอกว่ามีสันติสุข มีความสุขบนโลก มันหลอกเราว่ามี มันไม่มีจริง พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่าให้เราถูกหลอก ล่อลวงให้ไปทางโลก ให้ไปอยู่ทางฝ่ายโลก อย่าไปมองทางฝ่ายโลก มิได้หมายถึงพระคัมภีร์ต้องการให้เราไปมีความสุขแบบโลก ไม่ใช่ แต่ถูกหลอกว่ามีความสุขแบบโลก มันไม่มีจริงๆ ย้ำอีกทีว่ามันไม่มีจริงๆ  พูดง่ายๆ ว่าอย่าถูกหลอกนั่นเอง

พระคัมภีร์จึงใช้คำนี้ ถูกหลอก เพราะมารมันมาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย หลอกลวง แต่สันติสุขของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ ตามที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้ว่าคือสภาวะจิตใจที่สงบ มั่นใจในความรอด ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว มีความพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  นี่คือสันติสุขในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระเยซูคริสต์  ในพระองค์ และมีอยู่จริงๆ และเป็นไปได้จริงๆ เท่านั้น

กลับมาที่ข้อ 8 บอกว่า “จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ  หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ  คือสิ่งที่จริง  สิ่งที่น่านับถือ  สิ่งที่ถูกต้อง  สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง”

ตรงนี้ ก็คือผลของการเจริญเติบโต ทำให้เกิดความคิดจิตใจ ที่เป็นไปตามความคิดของพระคริสต์ ที่เป็นตัวของเราจริงๆ ก็คือความคิดแบบพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นใหม่ ตอนที่เราเชื่อในพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่นั่นเอง  ให้ตัวตนที่แท้จริงของเราดำเนินออกมา เป็นผลของพระวิญญาณ ที่สถิตอยู่ในเรา และความคิดจิตใจที่เราได้เกิดใหม่ และได้รับการฝึกฝนจากพระเจ้ามาตลอดนั่นเอง  เห็นไหม? จะกี่ปีไม่รู้ ค่อยๆ ฝึกฝนมาทีละนิดๆ ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้าวันนี้ อาทิตย์หน้าเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ซึ่งการฝึกฝนเหล่านี้  ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

เหมือนเทรนเนอร์ที่เขาไปฝึกคนไปออกกำลังกาย ฝึกเล่นกล้าม เขาต้องใช้ระยะเวลา เป็นโปรแกรม 3 เดือน 6 เดือน ปีหนึ่ง ค่อยๆ ทำไป  ทำวันเว้นวัน หยุดพักบ้าง  เร่งทำทุกวัน ก็จะบาดเจ็บ หนักกว่าเก่า พักบ้าง พอพักเสร็จปุ๊บ ก็เริ่มเล่นใหม่ ตอนเล่น มันทำความทุกข์ยากลำบากให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ สมมติเราต้องการให้กล้ามเนื้อตรงแขนมันใหญ่ วิธีทำให้มันใหญ่ ก็คือทำให้มันเกิดความทุกข์ยากลำบากกับกล้ามเนื้อตรงนี้  ไม่เกี่ยวกับขา ขาก็เล็กเรียบ ลีบเหมือนเดิม ไม่เจริญเติบโต แต่เราจะทำตรงนี้ อย่างเดียว  สมมตินะ ตรงแขนทุกวัน ยกมันทุกวัน ใช้กล้ามเนื้อ ตอนที่ยก คือความทุกข์ยากลำบาก ที่ทำให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อตรงนี้ กล้ามเนื้อตรงนี้มันก็เหนื่อย แล้วก็ปล่อยให้มันพัก แล้วก็ทำใหม่ พัก ธรรมชาติก็จะสร้างกล้ามเนื้อตรงนี้ ให้เข้มแข็งขึ้น ใหญ่ขึ้น ฉันใดฉันนั้น ทางโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ผ่านความทุกข์ยากลำบาก เข้ามาในชีวิต วิญญาณและความคิดจิตใจ เราก็จะเป็นผู้ใหญ่ในทางวิญญาณ

และวิธีการคืออะไร? ทุกคนคงถาม ผ่านความทุกข์ยากและความลำบาก แล้ววิธีการคืออะไร? คืออธิษฐานไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วรอให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น แค่นั้นหรือ? ทำอย่างไรถึงจะได้สันติสุขนี้ ก็คือการเดินเข้าไป ไม่มีทางอื่น อธิษฐานกับพระเจ้าขอให้สบายๆ ได้ไหม?  พระเจ้าทรงทราบดีกว่าช่วงไหน ช่วงพัก ช่วงไหนช่วงฝึก เหมือนเทรนเนอร์ที่ดี … เทรนเนอร์ที่ดีจะรู้ว่าจันทร์ พุธ ศุกร์ ยกน้ำหนัก 1 ชั่วโมง อังคาร พฤหัส เสาร์ไปเดินเล่นซะ หลอกกันไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าพักเท่าไร? และเอาความทุกข์ยากลำบากไปเท่าไร?  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน

วิธีการ คือข้อที่ 9 ที่บอกว่า … “ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้  ได้รับ  ได้ยินจากข้าพเจ้า  หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า  จงนำไปปฏิบัติ  และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน”

ก็คือทั้งหมดนี้  ผ่านกระบวนการเป็นระยะยาว และต้องผ่านประสบการณ์ คือต้องเข้าไปจริงๆ ไม่สามารถว่าจันทร์ พุธ ศุกร์ เทรนเนอร์บอกให้ยกน้ำหนัก 1 ชั่วโมง เข้าไป ไปนั่งมองลูกตุ้มน้ำหนักจนครบชั่วโมง เคลื่อนออกมา อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีประสบการณ์ ประสบการณ์หมายถึง 1 ชั่วโมงเข้าไปในยิม แล้วทำตามนั้น ยกน้ำหนักขึ้นมา ต้องเหนื่อย ต้องปวด  ต้องเจ็บ ในทางพระเจ้าก็ต้องเหมือนกัน คือต้องผ่านประสบการณ์ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า สำคัญอันต่อไป คือครั้งแล้วครั้งเล่า  ประสบการณ์การเข้าไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า กว่าคนๆ นั้นจะอธิษฐานกับพระเจ้าได้ว่า …

“พระเจ้าขอทรงอภัยให้กับเขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

ท่านคิดว่าก่อนหน้านี้ จะเป็นอย่างไร? ท่านคิดว่าเปาโลต้องผ่านประสบการณ์เยอะขนาดไหน จนกระทั่งเปาโลสามารถอธิษฐานว่า …

“อภัยให้เขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป?”

จากเปาโลที่เคยยืน และเห็นด้วยกับการเอาหินขว้างคนตาย หรือเดินทางไปจับคริสเตียนมาลงโทษ ขังคุก ทรมาน เปลี่ยนมาเป็นรัก และสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าแบบนี้ได้ ท่านคิดว่าต้องใช้ประสบการณ์กี่ปี? นานเท่าไร?  แม้ว่าการเชื่อพระเจ้าวันแรกเลย เราก็บังเกิดใหม่แล้ว รับเชื่อปุ๊บ พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป เป็นพระเจ้า และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แค่นั้นเราก็ได้บังเกิดใหม่ใช่ไหม? เราเชื่อจริงๆ เราจึงเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง  แต่การปฏิบัติตัวบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็จะเริ่มต้นค่อยๆ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เปลี่ยนปุ๊บ ทันทีเหมือนกับพระวิญญาณ ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลา

หว่านความเชื่อ หว่านความหวังในข่าวดีนี้ลงไปที่ในพระคริสต์ ในสวรรค์สถาน ที่ทำให้เราสามารถเข้าไปสู่หลังม่าน คือการเข้าไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้าได้  ตรงนี้จึงเป็นหลักยึดแน่นของความคิดจิตใจของเรา เป็นความหวังของเราที่ไม่โครงเครง และตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัดได้ แม้ว่าลมพายุจะพัดแรงขนาดไหนก็ตาม และมันจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  หลักนี้ก็จะเข้มแข็ง จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สมอก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ให้เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถต้านพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาได้มากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าก็จะสามารถใช้ชีวิตเราได้มากขึ้นเท่านั้น ทุกคนก็จะประจักษ์เห็นพระเจ้า เห็นพระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ออกมาจากการกระทำชีวิตของเราที่ไปกระทบกับผู้คนรอบข้างทั้งหมด ได้มากขึ้นเท่านั้นนั่นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************