คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 3

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามบรรยายต่อเนื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 3 พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง เจอแน่ พระเยซูบอกไว้เลยว่า …

“อยู่บนโลกนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา” เป็นเรื่องธรรมดา

และสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้ย้ำความจริงกันแล้วว่าความทุกข์ยากลำบากนี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย้ำอีกทีไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี พระองค์เป็นพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา เป็นความดีงาม ต้องจำตรงนี้ไว้แม่นๆ แต่ความทุกข์ยากลำบากมีสาเหตุมาจาก …

(1) ความเสียหายของระบบของโลกใบนี้ที่ล้มลง ในความบาป เนื่องจากอาดัม และเอวากบฎต่อพระเจ้า และความสาปแช่ง ก็เข้ามาบนโลกใบนี้ทั้งหมด ระบบของโลกใบนี้จึงเสียหาย ความเห็นแก่ตัว ความชั่วร้ายต่างๆ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ เหนือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง โดยมารซาตาน

(2) เกิดจากการหว่าน เข้าไปทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หว่านลงไปในระบบของความบาป พูดง่ายๆ ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์บนโลกใบนี้ แล้วท่านลองคิดดูสิ ความทุกข์ยากลำบากมันเกิดขึ้น จากมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ มนุษย์หว่านอะไรลงไป แล้วเราก็ต้องเก็บเกี่ยวอย่างนั้น  และคนอื่น ก็ต้องเก็บในสิ่งที่เราหว่านไม่ดีด้วย มันเป็นอย่างนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เขาถึงเรียกคนไง จากมนุษย์ ที่มีจิตใจประเสริฐ กลายเป็นคน คน คือมันยุ่ง ยุ่งไปหมด

(3) เกิดจากการเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า การมาเชื่อในพระเยซู ก็มีผล คือการต่อต้าน  จากระบบของโลกใบนี้ ก็เกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น

และพระเจ้าก็สามารถให้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องมือสำหรับเสริมสร้าง การฝึกฝน ลูกๆ ของพระองค์ คือคริสเตียนทั้งหลาย ให้เจริญเติบโตทางวิญญาณ ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ให้ลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก เกิดความอดทน และความอดทนจะเกิดเป็นอุปนิสัยใหม่ ในวิญญาณ ที่พระเจ้าจะใช้ได้ โรม 5:1-5 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:1-5 “1 เหตุฉะนั้น  เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อแล้ว  เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์  เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ด้วยความเชื่อ  และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง  ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า 3 ไม่เพียงเท่านั้น  แต่เรายังชื่นชมยินดี  ในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น  ก่อให้เกิดความบากบั่น 4 ความบากบั่น ทำให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้  และอุปนิสัยเช่นนั้น  ทำให้มีความหวัง 5 และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง  เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

เอเมน ความอดทน ทำให้เกิดความหวังที่แท้จริง ความหวังที่ได้พิสูจน์ โดยผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก  และเกิดเป็นความอดทน  ความหวังตรงนี้ คือความหวังในหลังม่าน ความหวังในการทรงสถิตของพระเจ้า  ก็คือในสวรรค์สถาน  ที่เราทั้งหลาย เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้อยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้านี้ ได้อยู่ในหลังม่านนี้ ได้อยู่ในสวรรค์นี้เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

นี่คือความหวัง และมันจะชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อมีการทดสอบผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ความหวังนี้เป็นเหมือนสมอ เป็นหลักที่ยึดมั่นคงของความคิดจิตใจ ไม่ว่าจะเจอพายุโหมกระหน่ำ แรงเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจอปัญหาความทุกข์ยากลำบาก ใหญ่แค่ไหนก็ตาม สมอหรือหลักที่เรายึดไว้ ในความหวังนี้ จะเป็นตัวยึดให้เราสามารถอยู่ได้ และไม่โครงเครง ไม่หวั่นไหว และความอดทนนี้  จะทำให้เกิดสันติสุขที่พระเจ้าสัญญาไว้ สันติสุขนี้เกิดขึ้นได้ที่บนโลกใบนี้เลย สันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สันติสุขซึ่งเกินความคิดของตัวเราเอง และมนุษย์ทั้งหลาย รอบข้างเราจะเข้าใจว่าสันติสุขนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เจอพายุโหมกระหน่ำอย่างนี้ เจอปัญหาทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ยังมีสันติสุข ยังมีความสงบได้อย่างไร? เป็นความสงบสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่ามกลางทุกสถานการณ์ของชีวิต

ซึ่งคำว่า “สันติสุข” หรือความสงบสุข เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจนี้ เราได้เรียนครั้งที่แล้วว่าในพระคัมภีร์ ฉบับขยายความ แอมพีฟายไบเบิ้ล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าหมายถึงอะไร? เรามาเรียนรู้นิดหนึ่ง

หมายถึงสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของท่านสงบ เพราะมีความมั่นใจในความรอด ที่ท่านได้รับมาแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งส่งผลให้ท่านไม่กลัวสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้ท่านมีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เอเมน นี่คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ที่พระเจ้าสัญญาว่าเราได้แน่นอน เมื่อเราเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ และพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา

ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่มนุษย์ เป็นคน วุ่นวายไปหมดเลย เราผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่มีความหวังใจในหลังม่าน ผู้ที่รู้ตัวเองว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่ในพระองค์ เราสามารถปลีกวิเวก ไม่ต้องอยู่ในป่า ไม่ต้องอยู่ในถ้ำ ไม่ต้องแอบอยู่ในบ้าน ไม่ต้องพบปะผู้คนเลย  ไม่ใช่  ยังดำเนินชีวิตเป็นปกติ อยู่ท่ามกลางฝูงชน อยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งหลายที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปในที่ต่างๆ ไปทำงานทำการที่ไหนก็ตาม เหมือนเดิมนั่นแหละ  เหมือนคนอื่นๆ ทั่วๆ ไป บนโลกใบนี้  แต่เราสามารถปลีกวิเวกได้ตลอดเวลา คือเราสามารถจดจ่อที่จิตใจ ที่ข้างในตัวของเรา ที่วิญญาณของเราข้างใน ที่เรานั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ที่เรามีความหวังใจ ที่สมอเราปักอยู่ ที่หลังม่าน  จงจำไว้ว่าหลังม่าน คือสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ และตอนนี้หลังม่านนั้น ก็คือในหัวใจของเรา เราสามารถปลีกวิเวกเข้ามาอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราสามารถปลีกวิเวกได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเรียกว่าตลอด 16 ชั่วโมงเลย  สมมติว่า 8 ชั่วโมงหลับไป ตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราปลีกวิเวกเลย เข้าไปอยู่ข้างใน นึกออกใช่ไหม?

และเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี ตามถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้ว ทำดีหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่เจอความทุกข์ยากลำบาก ที่พระเยซูบอกแน่นอน ทำตามที่พระเจ้าบอกแล้ว อย่าคิดอย่างนั้น  เพราะแม้ว่าเราจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ทำดีอย่างที่พระองค์บอกแล้วก็ตาม  เราก็ยังคงต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เพราะมันอยู่บนโลกใบนี้แล้ว สดุดี 34:18-19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

สดุดี 34:18-19 “18 องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่หัวใจแตกสลาย และทรงช่วยผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวัง 19 คนชอบธรรมอาจเจอความทุกข์ร้อนหลายอย่าง  แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้เขาผ่านพ้นทุกอย่างไปได้

 

“คนชอบธรรมอาจเจอความทุกข์ร้อนหลายอย่าง” คนชอบธรรม คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้า  คนชอบธรรม คือคนดี โดยกำเนิด ในวิญญาณของเราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดี คนดีอาจเจอความทุกข์ร้อนหลายอย่าง บนโลกใบนี้ นี่ตั้งแต่พันธสัญญาเดิมนะ คนชอบธรรม หมายถึงคนที่เชื่อ วางใจในพระเจ้า ในสมัยนั้น เขาก็ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ พระเยซูก็บอกว่า …

“ในโลกนี้  พวกท่านก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน”

ก็แปลว่าทุกคนต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียนก็ตาม โลกใบนี้มัน  เสียหาย  มันวุ่นวายไปแล้ว เหมือนตะกี้ที่บอกว่าความทุกข์ยากลำบาก มันมาได้วิธีใด แต่เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้ว ได้เปรียบ ดีกว่ามากมายเลย เพราะว่าขณะที่เผชิญความทุกข์ยากลำบากนั้น มีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างในของเรา จูงมือเราเดินผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เอเมน แค่นี้เอง ก็ดีกว่าตั้งเยอะแล้ว

ดังนั้น ใครก็ตามที่ฟังอยู่ตอนนี้ ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างในท่าน ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้าใช่ไหม? ยังไม่มีความหวังชัดเจนว่า …

“ฉันเอาความหวังไปอยู่ที่ไหนดี เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ฉันจะไปหวังที่ไหนดี”

มีทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูจะพาท่านไปพบกับพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และชำระบาปให้กับท่าน วันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ชำระบาปให้กับท่าน เชื่อแค่นี้เอง ความหวังนี้ก็เกิดทันที เพราะว่าร่างกายของท่านจะเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน  และจากนี้ไป  เป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะนำพาชีวิตท่าน อย่างที่เรากำลังคุยกันในวันนี้ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเกิดขึ้นแน่ๆ บนโลกใบนี้ ท่านจะเดินคนเดียว โดยพึ่งพาตัวเอง กำลังตัวเอง  ในการผ่านชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างนั้นหรือ? คิดให้ดีๆ ว่าอะไรที่ได้เปรียบกว่ากัน

เพราะฉะนั้น เรากลับมาถึงผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็อย่าคิดนะว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก

“ฉันแค่พยายามทำความดีทุกอย่าง ทำตามคำสอนทุกอย่าง แล้วจะต้องไม่เจอกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน”

มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเจอแน่ ต่อให้ทำดีอย่างไร? ทำตามพระเจ้าขนาดไหน? ก็ต้องเจอ เดี๋ยวเราจะเรียนรู้กันต่อไปว่าทำไม? รายละเอียดมากขึ้น ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ อยู่บนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ตราบใดที่เรายังไม่ตาย เราก็จะมีความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แน่นอน บอกกับตัวเองเลย คนที่เป็นคริสเตียน ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ก็ประสบความทุกข์ยากลำบากได้เหมือนกัน ซึ่งเมื่อเจอแล้ว ก็ไม่ต้องตกใจว่าโอ้โห ทำไมเจอ

หลายครั้งเราได้ยินคำสอน เพราะเราตกใจ พอเราตกใจ เราก็ไปหาคำตอบ เราก็ได้ยินคำตอบ คือคำสอนที่มาแบบแปลกๆ หลายครั้งที่เราได้ยินคำสอนว่าคริสเตียนที่ต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากทั้งหลาย เป็นเพราะว่าไปทำอะไรผิดต่อพระเจ้าหรือเปล่า?  คุ้นๆ นะ มีนะ ไปทำอะไรผิดไหม? ไปทำบาปอะไรหรือเปล่า? ลองสำรวจตัวเองให้ดีๆ ว่าไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า? หรือไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธ ลงโทษหรือเปล่า? ใส่ร้ายพระเจ้าอีกต่างหาก แต่ความจริง คือความทุกข์ยากลำบากหลายครั้ง ที่มาถึงเรา  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว บางครั้ง เราหว่านสิ่งที่ไม่ดี เราก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดี มันก็เป็นไปตามกฎของความทุกข์ยากลำบาก เป็นการเพิ่มเติมความทุกข์ยากลำบาก แต่หลายครั้ง เราไม่ได้หว่าน อะไรเลยที่ไม่ดี ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักหน่อยหนึ่ง  แต่ก็ยังต้องรับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น จริงไหม?  มันเป็นเรื่องจริงๆ นะ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องตกใจ พอเกิดความทุกข์ยากลำบาก …

“ฉันทำอะไรผิด ฉันทำอะไรแย่”

อย่างเช่น ในปัจจุบัน โรคระบาดโควิด ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เราไม่ต้องทำอะไรเลย ผลของโควิดก็มาถึง ที่เรานั่งใส่หน้ากากนี้ ไม่ใช่ผลของมันหรือ? คริสเตียนบางคนในโลกนี้ ติดโควิด ตายก็มี เขาทำอะไร? บางคนก็บอก …

“เขาทำบาป”

ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เกิดขึ้น ถามบางคนบอกว่า …

“ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า ต้องขอพระเจ้า เอาโควิดออกไป”

ใช่หรือไม่? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกันนะ บางคนเขาสอนจริงๆ นะว่าโควิด มันมาจากพระเจ้า สมัยก่อนก็บอกว่าเอดส์ก็มาจากพระเจ้า ลงโทษคนบาป แล้วคนไม่บาป ก็โดนด้วย หมายถึงคนที่ทำบาป ผิดศีลธรรมทางเพศ พระเจ้าลงโทษให้เอดส์มา แล้วเด็กๆ ที่เกิดมา แล้วติดเอดส์เลย เขาไปทำอะไรผิดทางเพศ เห็นไหม? เราใส่ร้ายพระเจ้ามากเกินไปหรือเปล่า? คิดให้ดีๆ โรคร้ายต่างๆ มันมีมาเยอะแยะมากมาย และนอกจากโควิด ในอดีต โรคฝีดาษ อหิวาตกโรค ตาบอด หูหนวก ถามว่าต้องทำอะไรไหมเกิดมาหูหนวกเลย เกิดมาตาบอดเลย ทำอะไรหรือเปล่า? มนุษย์ก็สอนกันผิดๆ ก็พยายามไปหาใหญ่เลย อดีตทำอะไร พ่อแม่เธอไปทำมั้ง ไปกันใหญ่ว่ากันตามตรง ถ้าจะลากกันยาวขนาดนั้น ต้องลากยาวแบบพระเจ้าบอก ลากไปถึงโน้นเลย บรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวาไปทำบาปนั่นแหละ คำสาปแช่ง ความบาปต่างๆ ความเสียหายของระบบโลกใบนี้ รวมทั้งการเป็นอยู่ของมนุษยชาติเสียหายไป ก็เพราะความบาปของมนุษยชาติที่เอาบาปเข้ามาบนโลกใบนี้นั่นเอง โลกมันถูกสาป วิปริตไปแล้ว มันจึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา เป็นผลของมัน ผลของความบาป คือความตาย ความตายกำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราหนีความทุกข์ยากลำบากของโลกใบนี้ ไปไม่ได้หรอก ไม่มีทาง แต่เราสามารถหนีความทุกข์ จากความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้ เราสามารถมีความสงบ มีสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้  เอเมน  เราต้องคิดตรงนี้ ให้ชัดๆ นี่คือความจริง

รวมความ ก็คือการฝึกตัวเองให้มีความมั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  เราจำเป็นจะต้องฝึกตัวเองในสิ่งที่ควรจะทำ อันดับแรก ต้องรับรู้ว่าพระเจ้าบอกอะไรเรา ที่เป็นความจริง เราจะไม่ถูกหลอกไง พอเราถูกหลอกว่าพระเจ้าลงโทษเรา  เราก็ไม่แสวงหาสันติสุขแล้ว จะมีสันติสุขได้อย่างไร? เพราะพระเจ้าลงโทษเราอยู่ เราก็พยายามไปหาผิดที่

“ฉันคงเลวมาก ฉันคงอันโน้นอันนี้”

แล้วก็ยุ่งไปหมดเลย ไม่เจอสันติสุข ไม่เจอศัตรูตัวจริงว่าใครเป็นคนทำให้เรา เป็นอย่างนั้น หรือความทุกข์ยากลำบาก มันเกิดขึ้นจากอะไร?

คำถาม ก็คือ … “แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? ฝึกฝนตัวเองอย่างไร? เพื่อให้ได้สันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่เข้าใจตรงนี้ได้”

คำถาม คือเราควรทำอย่างไร? ก็อย่างที่บอกอันดับแรก ก็คือความจริง  พระเยซูบอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงเยอะๆ จะทำให้เราเป็นไทเยอะๆ ความจริงจะทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหว ความจริงจะทำให้เราอดทนนานนนนนนน ได้ ความจริงจะทำให้เราเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณได้ ความจริงจะทำให้ความหวังในการอยู่ในสวรรค์สถาน หลังม่านที่จะอยู่ชั่วนิรันดร มันชัดเจน จับต้องมองเห็นได้ เพราะเรารู้ความจริงเหล่านี้ มันชัดขึ้นทุกวันๆ โรม 8:16-18 มาดูสิว่าเราควรทำตัวอย่างไร? ฝึกฝนอย่างไร? พระเจ้ากำลังนำเราไปสู่สันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ด้วยวิธีใด จะทำให้เราไม่หวั่นไหว มีความมั่นคง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเกิดขึ้น  เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้

โรม 8:16-18 “16 พระวิญญาณเอง  ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย 18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา”

 

อ่านตามผมนะ … “พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณของเรา”

อันนี้เกิดขึ้นกับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับเรา เข้ามาอยู่กับเรา  ตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ทันทีเลย และพระวิญญาณที่เข้ามาอยู่กับเรา จะเป็นพยานยืนยันกับตัวเรา … ตัวเราจริงๆ ก็คือวิญญาณของเรา จะเป็นพยานกับวิญญาณของเรา กับความคิดจิตใจ ที่เป็นใจใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเราตลอดเวลาเลยว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่หลังม่านแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นลูกธรรมดา เป็นทายาท

เป็นทายาทหมายถึงเป็นลูก และมีมรดกเตรียมไว้ให้ด้วย  ไม่ใช่เป็นลูกธรรมดา แต่มีทรัพย์สมบัติไว้ให้ด้วย เป็นพยานว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เพราะฉะนั้น อันนี้ไม่ค่อยอยากอ่านนะ

“เพราะฉะนั้น เราก็ต้องร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระเยซูด้วย”

อย่าตกใจ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ในข้อ 17 บอกว่า … “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

คำว่า “ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์” ตรงนี้ เป็นภาษาเปรียบเทียบว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างนี้เอง … เมื่อท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ … ถูกไหม? พระเยซูคริสต์ได้อะไร? ท่านก็ได้ด้วย ถูกไหม? พระเยซูคริสต์ได้พระสิริ ได้รับเกียรติจากพระเจ้า มาเป็นลูกและเป็นทายาท นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ท่านก็ได้รับเหมือนกับพระองค์เลย คือเป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นทายาทพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ถูกไหม? เมื่อท่านเป็นหนึ่งกับพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ได้ตรงนี้แล้ว ท่านก็ต้องได้ตรงนี้ด้วย ได้ร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ด้วย มันหมายถึงอย่างนี้ คำว่า “ถ้า” ไม่ได้หมายถึงว่าได้หรือไม่ได้? แต่มันเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู รับสง่าราศีด้วยกัน  เวลาเจ็บ ก็ต้อง …

“ไม่เอา”

ไม่เอาได้ไหม? มันไม่ใช่เราเลือกนะว่าจะเอาหรือไม่เอา มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้นเอง มันต้องเป็น มันไม่ใช่ว่าเราเลือกว่าไม่อยากเจ็บ ไม่ได้ ก็เหมือนกับเรามาเชื่อพระเยซูแล้ว แล้วเราบอกว่า …

“ไม่อยากเป็นลูกพระเจ้า  ขอเป็นทาสพระองค์”

ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง เป็นธรรมชาติ เมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่  ก็ต้องเป็นลูก พระเยซูเป็นอะไร? เราก็เป็นตามนั้น

เจ็บ ก็ต้องเจ็บด้วยกัน ภาษาเดิม คำว่า “ทนทุกข์อย่างแท้จริง”  ตรงนี้มันแปลว่าทนทุกข์ในลักษณะเดียวกันกับพระเยซู เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  ทนทุกข์แบบพระเยซูทนทุกข์ ลักษณะเดียวกัน เดี๋ยวเราไปดูว่าลักษณะเดียวกันเป็นอย่างไร? ทนทุกข์อย่างนี้ โดยวิธีอะไร?  โดยวิธีที่พระเยซูสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกับเราแล้ว จะเป็นผู้นำเราไปเอง ตามธรรมชาติ พระเยซูจะนำเราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก วิธีเดียวกันกับที่พระองค์กระทำตอนเผชิญความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ พระองค์ก็ทำอย่างนั้นแหละ พูดง่ายๆ อุปนิสัยของพระองค์ ก็เป็นของอุปนิสัยเราด้วยเช่นเดียวกัน ถูกไหม? เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระเยซูต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ยกตัวอย่างเช่น ตอนถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน อย่างอยุติธรรม สิ่งที่พระเยซูทำ  และเราก็ต้องฝึกฝน ทำตามด้วย เพราะพระเยซูกำลังนำเราไปอย่างนั้น เช่นเดียวกัน  สิ่งที่พระเยซูทำคืออะไรตอนที่ถูกจับไป  …

(1) พระเยซูไม่ทำบาป … พระเยซูทรงทำอะไรตอนที่เผชิญความทุกข์ยากลำบาก เอาง่ายๆ เลย ตอนที่ถูกจับ ก่อนไปถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยความอยุติธรรม ถูกเฆี่ยนตี ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า เขาเรียกว่าดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยามทุกชนิด แล้วก็ทำการทรมานพระองค์อีก  สิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญนี้ พระองค์ทรงโต้ตอบด้วยวิธีใด ไม่ทำบาป ก็คือไม่ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า  ทำตามพระเจ้านั่นเอง คือไม่ทำบาป  ทั้งๆ ที่ทรมาน ทั้งกายและใจ พระองค์ยอม  ไม่ตอบโต้เลย

เพราะฉะนั้น พระเยซูก็นำพาเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ผ่านความทุกข์ยากลำบาก โดยโต้ตอบแบบเดียวกับที่พระเยซูโต้ตอบ ก็คือเมื่อผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นมา ไม่ทำบาป

ทุกคนก็คิดว่า … “เอ๊ะ! ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ไม่ทำบาป แปลว่าอะไร?”

ทำบาป คือทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัย ตอนที่เราผ่านความทุกข์ยากลำบาก พระเยซูจะฝึกเราให้เหมือนพระองค์ ยกตัวอย่าง ไม่โกงเขา เวลาเราจะโกงเขา อาจจะผ่านความทุกข์ยากลำบาก เพราะเราไม่มีเงินใช้ มองไป ลูกก็ต้องเรียนหนังสือ ข้าวจะกินก็ไม่มี ต้องผ่านความทุกข์ยากลำบากไหม? ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ในยามโควิดอย่างนี้ การค้าก็ไม่ได้ เงินเดือนก็ไม่มี อธิษฐานรอคอยพระเจ้า แต่ปรากฏว่ามีโอกาสผ่านเข้ามา ถ้าเราโกงเขา เราคอรับชั่นตรงนี้ เราก็จะได้เงินมากินข้าว  สามารถพ้นจากความทุกข์ยากลำบากไปได้  เราจะทำไหม? นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูบอกว่าพระองค์ให้เราทุกข์ร่วมกับพระองค์ ในลักษณะของพระองค์

เราไม่คอรับชั่น เรากลับมาที่บ้าน ก็ยังไม่มีเงินเหมือนเดิม ถามว่าตอนนั้นทุกข์ไหม?  ลูกก็ไม่มีค่าเล่าเรียน อาหารก็ไม่พอ แถมเขามาทวงค่าเช่าบ้านอีก ทุกข์ไหม? นั่นแหละ ทุกข์ … ทุกข์เพราะเราไปทำอะไรมาบ้าง? เราไปหว่านอะไรไม่ดีไหม? ไม่ใช่ ทุกข์เพราะร่วมกับพระเยซู แปลว่าอย่างนี้   เราไม่โกงเขา

บางครั้ง การพูดโกหก ทำให้เราสุขสบายขึ้นนะ  แต่เราไม่โกหก ใช่ไหม? รัฐบาลบอกจะช่วยอย่างนี้ๆ เราไม่มีเงิน เราอยากให้ช่วย เราไปโกงสิทธิ์ ไปโกหกเขาบอกว่าเราอายุเท่านี้ๆ เรามีสิทธิ์เท่านั้น แล้วเราก็ไปเอาเงินเขามา อย่างนี้เป็นต้น  เราไม่เอาเปรียบเขา เราไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ขโมย สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น แลกกับความสุขสบายกับความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น แม้ขัดสน เราก็ไม่ขโมย  ให้มันรู้ไปว่าจะต้องตาย ฉันก็จะไม่โกงเขา ฉันก็จะไม่เอาเปรียบเขา สมมติ ในยามที่โควิดหนักกว่านี้ ในยามที่เกิดข้าวยากหมากแพง เราจะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาไหม? เราจะแย่งของที่เขาแจกไหมว่าไม่มีน้ำกิน ถ้าไม่มีน้ำกิน ตายนะ เราก็จะไปทุบ สู้กับคนอื่นเขา จะไปแย่งน้ำเขามา เพื่อว่าลูกเมีย ครอบครัวเราจะได้มีกิน อย่างนั้นหรือ? เห็นไหม?

แต่ถ้าเราไม่เอา เขาแย่ง เราไม่แย่ง เขากลับมาแย่งเราอีก  แล้วเขาแย่งเอาไปได้ด้วย  เพราะเราไม่สู้เขา ทุกข์ไหม? ทุกข์ แต่เรามีความหวังในพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเรา นี่แหละ คือการทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ชนิดที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ผมพยายามอธิบาย มันลึกซึ้งกว่านี้นะ

(2) พระเยซูอดทนนานในการอธิษฐานกับพระเจ้า … พระเยซูไม่โต้ตอบ ถึงแม้จะทุกข์ยากลำบากถึงตาย ถึงทรมานก็ตาม พระองค์ทรงอดทนนาน ตอนอธิษฐานที่สวนเกเสมเน รู้แล้วว่าจะต้องไปถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมานถึงขนาด กลัว เหงื่อเป็นเลือดเลย  เสร็จแล้ว ในที่สุด พระองค์อธิษฐานจบลงตรงที่ว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  พูดง่ายๆ ตายเป็นตาย  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย อดทนนานในการอธิษฐานกับพระเจ้า เห็นไหม?

นี่คือวิถีทางที่เราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ก็ต้องวิธีเดียวกัน และเราไม่ต้องพยายามนะ อย่างที่ตะกี้นี้บอกพระเยซูจะนำเราไปเอง เป็นธรรมชาติ จากข้างในตัวเรา พระเยซูพยายามที่จะนำเราออกมาจากวิญญาณข้างใน ให้เราดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณที่อยู่ข้างใน

(3) พระเยซูตอบสนองต่อความทุกข์ยากลำบาก ด้วยวิธีมีความหวัง ไม่ใช่มองความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แต่พระองค์มองไปที่ข้างหน้า คือมองไปที่พันธสัญญาของพระองค์ ก็คือพระบิดาสัญญากับพระองค์ว่าพระองค์ทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เพื่อรวบรวมมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด ให้กลับมาสู่พระเจ้าพระบิดา ผ่านทางพระองค์ … พระองค์บอกว่าเมื่อพระองค์ถูกยกขึ้น คือเมื่อถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์จะนำพาผู้คนบนโลกใบนี้ ทั้งหมดเลย เข้ามาหาพระองค์ คือได้รับความรอดในพระองค์ พระองค์มองไปที่เป้าหมาย ที่พระองค์มา เพื่อไถ่บาปมนุษย์

แล้วเราล่ะ เราผ่านความทุกข์ยากลำบาก เรามองไปที่ไหน? เรามองไปที่น้ำใช่ไหมว่าน้ำไม่มีจะกิน ไม่มีน้ำเราตายแน่ เขาแย่งน้ำกัน  เมื่อเขาแจกมา เราได้ 1 ขวด เราก็จะไปหยิบ 1 ขวด มีคนแย่งไป 1 ขวด เราไม่ได้มองไปที่น้ำจะช่วยเรามีชีวิตหรือไม่? น้ำจะมีหรือไม่มี ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่เรามีอยู่ คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา  และพันธสัญญาที่พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว  และไม่โกหกเลย สาบานด้วยพระนามของพระองค์เอง คือพระเจ้าว่าเป็นจริง พระองค์ไม่โกหก คือเราได้อยู่ในหลังม่าน อยู่ในอภิสุทธิสถาน อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน อยู่กับพระองค์เรียบร้อยแล้วเดี๋ยวนี้ พระองค์อยู่กับเราตอนนี้ ไม่ได้หนีไปไหนเลย อยู่ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวพระองค์ทรงจัดการเอง นี่คือการมองไปที่ข้างหน้า ในสิ่งที่เราหวังไว้ ตามพันธสัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในพระคำของพระองค์

และเหนือสิ่งอื่นใด คือข้อ 18 ที่บอกไว้ว่า … “ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา” เห็นไหม?  ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  มันเทียบไม่ได้เลยกับพันธสัญญาของพระเจ้า ที่อยู่ในใจของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นกับเราบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังอดทน รับอยู่ในปัจจุบันนั้น เทียบไม่ได้เลยกับสง่าราศี พระเกียรติสิริ ในฐานะลูกของพระเจ้า  ทายาทของพระเจ้า  ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ตามพันธสัญญาของพระองค์ ซึ่งไม่มีทางโกหกเลยแม้แต่นิดเดียว  เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันเป็นพยานอยู่ในใจของเราตลอดเวลา เป็นอย่างนั้น พุ่งไปที่จิตใจเมื่อไร ก็ได้รับการยืนยันอย่างนั้นตลอด

พูดง่ายๆ ข้อนี้ ก็มีค่าเท่ากับว่าชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับมาแล้ว ในสวรรค์สถาน ที่เราเป็นลูกของพระองค์ เป็นเหมือนกับมัดจำ 99.99% ของชีวิตนิรันดร์ คืออย่างนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว วิญญาณของเราข้างใน  พระเยซูบอกสวรรค์อยู่ในใจของท่าน และอยู่ล้อมรอบตัวของท่าน คือพอเรารับเชื่อปั๊บ วิญญาณตัวจริงๆ ของเราย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์  ทันทีทันใดเลย  แม้ว่าร่างกายยังดำเนินชีวิตอยู่บนใลกใบนี้ก็ตาม แต่วิญญาณและใจใหม่ของเรานั้น อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว รอวันที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ ตามแผนการของพระเจ้า เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ แทนร่างกายนี้

ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เมื่อเทียบกับชีวิตนิรันดร์ทั้งหมดแล้ว เหมือนเราได้รับมา 99.99% แล้ว รออีกนิดเดียว ก็คือให้พระเจ้าใช้ อดทนนิดหนึ่งบนโลกใบนี้ แป๊บเดียว ก็ได้ชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในสวรรค์สถาน ซึ่งเราได้รับมาแล้ว 99.99% นี่มันหมายถึงตรงนี้ ในข้อ 18 นี้

ความทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกข์ทรมานมากน้อย ก็แล้วแต่พระเจ้าจะเป็นผู้จัดเตรียมและเตรียมแผนการไว้ให้กับคนๆ นั้น  ในการที่จะใช้เขาขนาดไหน? อย่างที่บอก ถ้าพระองค์ไม่ใช้แล้ว เสร็จการงาน เรียบร้อยแล้ว

“ครั้นเสร็จการงาน ต้องลาจากโลก           จิตใจพ้นทุกข์ พ้นความเศร้าโศก

เพราะข้าจะได้อยู่เมืองสวรรค์                    กับองค์พระคริสต์ เป็นนิตย์นิรันดร์”

จริงๆ เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้  แต่พระเจ้าใช้ร่างกายในการทำงานบนโลกใบนี้ อีกแป๊บเดียว เมื่อเสร็จการงานแล้วก็พักผ่อน  จบนิดเดียวเอง  ดังนั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าจะใช้งานเรามากน้อยเพียงใด บางคนทุกข์ทรมานกับปัญหาของตัวเองในเรื่องครอบครัว บางคนก็พบกับปัญหาในทางสังคม ความทุกข์จากการถูกคนอื่นรังแก ถูกคนอื่นเขาเอาเปรียบ บางคนเกิดจากปัญหาความไม่เข้าใจของครอบครัว บางคนทุกข์จากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจการเงิน บางคนมีโรคภัยไข้เจ็บติดตัว รักษาไม่หาย ทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้า เหน็ดเหนื่อย ไม่มีสันติสุข ทั้งที่เกิดกับตัวเองและเกิดจากคนที่เรารัก

นี่คือจำนวนหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน เป็นธรรมดา ไม่ว่าทำหรือไม่ทำ  ก็อยู่ในกลุ่มอย่างนี้ ประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดของความทุกข์และปัญหาเหล่านี้ หลายเรื่อง มันหาคำตอบไม่ได้ ไม่ต้องไปหา  และไม่มีวิธีแก้ไข และมนุษย์ทุกคนต้องทนทุกข์รับไว้   ทุกคนนะ ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วเป็น ไม่มาเชื่อก็เป็นอยู่แล้ว

หลายครั้ง เราไม่สามารถตอบได้ว่าเพราะเหตุใด ก็ได้แต่หนุนใจกัน อธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณ และมีความหวังในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ใช่ทุกอย่างจะมีคำตอบไปหมด ไม่ใช่ ถ้าเรามีคำตอบไปหมด เราก็เป็นพระเจ้าเสียเอง แต่นี่เราพึ่งพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้ากำลังนำพาชีวิตเรา เราก็ได้แต่ปลอบโยนจิตใจ แล้วก็ไม่ต้องพยายามไปหาว่ามันมาจากไหน? อย่างไร? มองข้ามช๊อตไปที่อนาคตอันใกล้ มองปลีกวิเวกเข้าไปในวิญญาณจิตของเรา ที่อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในสวรรค์

ซึ่งการปลอบโยน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเจริญเติบโตด้วย ทั้งผู้ปลอบโยนและผู้ถูกปลอบโยน แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าบอกว่าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันมีวันสิ้นสุดลง มันเป็นชั่วคราวเท่านั้น เป็นคำสัญญาจากพระเจ้าว่าชั่วคราว พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ไม่โกหกเลย บอกว่าใช้งานเราเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น ใช้งานเราผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นมันเพียงแค่นิดเดียวเอง อย่างที่ผมบอก 99.99% แล้ว เหลืออีกนิดเดียวเอง

ในขณะที่ตัวตนแท้จริงของเรา ที่อยู่ข้างในเรา  คือที่วิญญาณของเรานั้นเต็มด้วยสง่าราศี ที่สวยสดงดงาม มีแต่ความดีงาม เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า เวลามองไปที่กระจก มองตัวเองให้เห็น มองทะลุกระจกไปให้เห็น สง่าราศีของลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระองค์ นั่งอยู่กับพระเยซูในสวรรค์สถาน  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ในขณะนี้เลย ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สง่างาม เพียงแต่รอวันที่จะสำแดงความสง่างามนั้นออกมาให้ครบถ้วนบริบูรณ์เท่านั้น คือทิ้งร่างนี้ไป แล้วก็ได้รับร่างใหม่ รอแค่นี้เอง นิดเดียวเอง ถามท่านว่ารอได้ไหม? ตอนนี้ก็พูดง่ายนิดเดียว รอได้ แต่พอมันเผชิญจริงๆ มันก็ของจริงนะ  ทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระเยซู มันทนทุกข์จริงๆ วิญญาณข้างในเรา สง่าราศีของพระเจ้าจับอยู่ เป็นเหมือนพระเยซู แต่ข้างนอก ระบบของโลกนี้ ที่เราต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เป็นเหมือนหนังคนละเรื่องเลย

พระคัมภีร์ในหนังสือ เปโตรจึงบอกว่าผู้เชื่อทั้งหลาย คือเราทั้งหลายเปรียบเหมือนมนุษย์ต่างดาว เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็จริง แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ เราเปรียบเหมือนมนุษย์ต่างดาว ที่ร่างกายภายนอกสวมร่างกาย ที่เป็นมนุษย์ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น เราควรจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? อย่างโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา เปโตรบอก เราดำเนินชีวิตแบบคนแปลกหน้าบนโลกใบนี้ นี่ไม่ใช่บ้านเรา  พระเจ้าส่งมาทำงาน แป๊บเดียว เดี๋ยวไปแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้  จำเพลงนี้ได้ไหม?

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้  ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่  ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้  ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

สะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้แหละ ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ก็คือการตอบโต้ และการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ ด้วยวิธีการเดียวกันกับที่พระเยซูทำเป็นตัวอย่าง ให้พระองค์นำเราไป ยอมอดทน นั่นแหละ คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  2 โครินธ์ 4:7-10 ได้ยืนยันตรงนี้ …

2 โครินธ์ 4:7-10  “7 แต่เรามีของล้ำค่านี้  ในภาชนะดิน เพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ำเลิศนี้ มาจากพระเจ้า  ไม่ใช่มาจากตัวเราเอง 8 เราถูกบีบคั้นอย่างหนักทุกด้าน  แต่ไม่ถึงกับถูกบดขยี้   สับสน  แต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง 9 ถูกข่มเหง  แต่ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง  ถูกฟาดล้มลงแล้ว  แต่ไม่ถึงกับถูกทำลาย 10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้  ในกายของเราเสมอ  เพื่อชีวิตของพระเยซูจะสำแดงในกายของเราด้วย”

 

ผมจะแปลให้ฟังอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ … เรามีของล้ำค่านี้ในภาชนะดิน ก็คือข้างในเราเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า นึกออกใช่ไหม? เป็นแสงสว่างชัดเจน แจ่มใส

อยู่ในภาชนะดิน ก็คืออยู่ในภาชนะที่อ่อนแอ ถูกเขาข่มเหงรังแก ก็เจ็บ ไม่ได้กินข้าวนานๆ ก็เจ็บ ก็ทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ทุกข์ หรือถูกเขาเฆี่ยนตีโดยอยุติธรรม ก็ทุกข์เหมือนกัน นี่คือความอ่อนแอ แต่ข้างในเป็นลูกของพระเจ้า  ง่ายๆ ก็คือแต่เรามีของล้ำค่านี้ในภาชนะดิน เรามีของล้ำค่า เรามีทองแท้อยู่ข้างใน แต่ภาชนะที่ใส่ข้างนอก เป็นเหมือนตุ่มเก่าๆ ที่เปราะแตกง่าย ถ้าเทียบอีกอันหนึ่ง ท่านจะเห็นชัดเลย คนไทยน่าจะรู้ดี

เรามีของมีค่า คือตัวข้างในเราเป็นทองแท้ แต่ข้างนอกเป็นเจ้าเงาะ เงาะถอดรูป เดินไปที่ไหนคนเห็นเป็นเงาะ แต่ข้างในเรา คือทองแท้ เหมือนเลย เอาตรงนี้มาใช้ได้  เราเปรียบเหมือนเจ้าเงาะ แต่ข้างในเป็นทองแท้ … ทองแท้เป็นของพระเจ้า  ฤทธานุภาพของพระเจ้าทำให้เราเป็นทองแท้ เราถูกบีบเค้นจากทุกด้าน  คือเจ้าเงาะถูกข่มเหงรังแก ถูกเขาดูถูก เจ้าเงาะน่าเกลียดน่าชัง ดำก็ดำ นิสัยก็ไม่ดี  เจ้าเงาะถูกใช้งานอะไรต่างๆ เหล่านี้  ถูกบีบเค้นต่างๆ เหล่านั้น แต่ข้างในเรายังคงเป็นทองแท้อยู่ตลอดไป เพราะมันไม่ได้เป็นมาจากตัวเราเอง แต่เป็นมาจากการถูกสร้าง บังเกิดใหม่ โดยพระเจ้า โดยฤทธานุภาพอันล้ำเลิศ ที่มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง  เอเมน ไม่ต้องทำ มันก็เป็นทอง มันเป็นทองตั้งแต่เกิดแล้ว เกิดมาเป็นทอง ก็เป็นทอง เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม ก็เป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้าเลย ไม่ต้องทำให้เป็นลูกพระเจ้า มันเป็นลูกพระเจ้าอยู่แล้ว

เมื่อเป็นลูกแล้ว ตามธรรมชาติ เดี๋ยวพระเจ้าก็จะเลี้ยงดูลูกของพระองค์ให้เจริญเติบโต ค่อยๆ โตขึ้นมา แล้วอาหารที่จะให้กับลูกของพระองค์ ที่จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณได้ ก็คือผ่านทางความอดทนในความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น  เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้นั่นเอง

เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในกายของเราเสมอ ความตายของพระเยซู ก็หมายถึงการตายต่อบาป  การรับรู้ เราแบกไว้ตลอดเวลาว่าเราตายต่อบาปแล้ว เราเชื่อฟังต่อพระเจ้า เราไม่ใช่ทาสบาปอีกต่อไป เราไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไปแล้ว อย่างที่บอกเมื่อตะกี้ เขาโต้ตอบ แย่งกัน เพื่อเอาชีวิตรอด เราไม่โต้ตอบ เราไม่รังแกคน เราเสียสละ เราไม่เห็นแก่ตัว แม้ว่าจะเสียชีวิตก็ตาม แต่วิญญาณเรารอดแล้ว นี่หมายถึงตรงนั้น  เราแบกตรงนี้ไว้ตลอดเวลา  เราพร้อมเสมอที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ความเห็นแก่ตัว ถ้าให้ชัดเจน ก็คือเราพร้อมเสมอ ที่จะทำตาม ความรักที่อยู่ข้างใน ใน 1 โครินธ์ 13 ไปอ่านดูข้อ 4 เป็นต้นไป  เราพร้อมเสมอที่จะทำตามนั้น พระเยซูจะพาเราไปตามนั้น ถ้าเราไม่ทำตามนั้น เราก็ทำบาป  ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม

ในนี้บอก เพื่อชีวิตพระเยซูจะสำแดงในกายของเรา เห็นไหม? ถามว่าเราแบกไว้  ทำตามน้ำพระทัย ให้พระเยซูนำไปตลอด เพื่ออะไร? เราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เพื่อพระเยซูที่อยู่ในเรา จะสำแดงออกมา จะปรากฏออกมาชัดเจน  เพื่อทองแท้ จะให้คนเขาเห็นชัดเจนขึ้น  จากข้างนอกที่เป็นเหมือนเจ้าเงาะ คือให้เราผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  ทองแท้ที่อยู่ข้างใน คือพระเยซูจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาทุกวันๆ ผ่านทางการประพฤติ การปฏิบัติ อุปนิสัยใจคอในการดำเนินชีวิต ต่อผู้คนรอบข้าง มันผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีทางลัด ความอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ฝึกฝนให้เรา ทำตามพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ตามที่พระเยซูทรงนำ เพื่อที่ชีวิตของพระเยซู ที่อยู่ภายในเรา ตัวเราที่เหมือนพระเยซู วิญญาณของเรา มันจะได้ฉายออกมาชัดเจน บนโลกใบนี้

สำแดงออกมาทางไหน? ก็คือสำแดงออกมาทางการกระทำของเรา ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ที่พระองค์ทรงใช้ เราเป็นทาสของพระองค์แล้วใช่ไหมตอนนี้ แต่ก่อนนี้เราเป็นทาสบาป ตอนนี้ เราเป็นทาสพระเจ้า ให้พระเจ้าใช้ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิดของเรา มอบให้พระองค์ แล้วมันต้องใช้การฝึกฝน ไม่ใช่ทุกคนทำได้ตลอด พอเริ่มต้น ก็ทำได้ อย่างนี้เลย มันต้องใช้การฝึกฝนเอา ผ่านทางการตัดสินใจ เรื่องต่างๆ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ผ่านทางปฏิกิริยาของเราที่ตอบโต้กับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นว่าเราจะตอบโต้ สถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ด้วยวิธีใด ด้วยวิธีของพระเยซู ซึ่งเป็นความรัก  หรือด้วยวิธีของตัวเราเอง  ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เป็นความเกลียดชัง เป็นความเห็นแก่ตัว ด้วยวิธีใดล่ะ นั่นแหละ ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่

ซึ่งกระบวนการที่จะทำให้ชีวิตของเราเจริญเติบโตเหมือนพระเยซู ที่อยู่ภายในเรา ได้สำแดงออกมาให้เราชัดเจนได้  ขบวนการนั้น เราไม่สามารถบังคับ หรือสั่งให้มันเกิดขึ้นเองได้ มันทำไม่ได้ มันค่อยๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เราไม่ต้องพยายามทำ  และเราก็เร่งให้มันทำเยอะๆ ขึ้นเลย ก็ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่า …

“วันนี้ฟังคำบรรยายใช่ ฉันให้พระเยซูที่อยู่ในตัวฉันสำแดงออกมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น  ฉันตั้งใจแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะทำให้ชีวิตของฉัน เหมือนพระเยซูมากที่สุด ให้สำแดงออกมากที่สุดในชีวิตของฉัน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป และจะเริ่มทำอย่างเต็มที่เลย”

มันไม่ใช่ มันต้องผ่านทางพระเยซูนำไปเอง เป็นไปตามธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป มันเป็นกระบวนการ เป็นขั้นตอน  แบบธรรมชาติ

เหมือนใครที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับธรณีวิทยา การเปลี่ยนแปลงของระบบโลกใบนี้ จะทราบเรื่องนี้ดี … ธรณีวิทยา ก็คือการศึกษาขบวนการการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของโลก ในแต่ละช่วงเวลา เช่นถ้ำต่างๆ ที่เราเห็น ก็เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ คือเกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดิน และน้ำฝน จนทำให้เกิดโพรงถ้ำ ซึ่งขบวนการธรรมชาติเหล่านี้ มันจะค่อยๆ เกิดขึ้น ใช้เวลานานมากเลย ซึ่งถ้ำใหญ่บางถ้ำต้องใช้เวลานานมากที่น้ำจะไปเซาะ ค่อยๆ เป็นโพรงใหญ่  ยิ่งใหญ่มากเท่าไร น้ำก็ยิ่งเซาะมากขึ้นเท่านั้น น้ำแรงมาก เซาะมากเท่าไรก็จะเป็นโพรงถ้ำอยู่มากเท่านั้น มันต้องใช้เวลา เช่นเดียวกัน มีกระบวนการที่จะใช้สิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราทำ ก็คือต้องการให้ฉายแสงชีวิตเราออกมา พระองค์เพียงต้องการให้อดทนรอเท่านั้น

ทุกคนพูดพร้อมกันสิ “อดทน”

สิ่งที่เราต้องทำ คืออดทน ไม่ต้องพยายามทำอย่างอื่น ทำอย่างเดียว คืออดทน อดทน แปลว่ารอ ไม่ใช่อดทนทำนะ ไม่ต้องทำอะไรเลย อดทน คือรอคอยกระบวนการที่พระเยซูกำลังทำ รู้ว่ามันกำลังเกิดผลในตัวของเรา  อย่างนี้ดีกว่า

กระบวนการที่จะให้ชีวิตของพระเยซู ที่อยู่ภายในเรา ได้สำแดงออกมา ก็เป็นกระบวนการแบบธรรมชาติอย่างนี้  ที่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นอุปนิสัยของเราให้เหมือนพระเยซู ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ซึ่งในกระบวนการ ตามธรรมชาติ ที่จะเปลี่ยนแปลงเราได้ ก็คือการเผชิญกับความทุกข์ยาก ตอนที่ตะกี้บอกว่าถ้ำในหิน จะเป็นถ้ำใหญ่เล็ก น้ำไปเซาะ ก็คือน้ำทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากต่อหิน นานๆ ไป มันก็จะเป็นโพรง ลักษณะเดียวกับการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ทำให้เกิดความบากบั่น และอดทน

ความบากบั่นและความอดทนนี่แหละ จะเป็นตัวเสริมสร้างเราให้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ได้ ในโรมบทที่ 5 ที่เราอ่านไปแล้ว เห็นไหมพระเจ้าทรงพระปัญญามากมายมหาศาล เอาความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ ให้เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องมือของพระองค์ ซึ่งก็เหมือนถ้ำที่ตะกี้นี้ ที่บอก ยิ่งการกัดเซาะยิ่งแรงเท่าไร? การก่อตัวของถ้ำ ก็ยิ่งเร็วและมีขนาดใหญ่เท่านั้น

ถ้าเราเปรียบการก่อตัวของถ้ำ คือการที่ชีวิตของพระเยซูในตัวเราสำแดงออกมา น้ำใต้ดินที่กัดเซาะ ก็เปรียบเสมือนอุปสรรคปัญหาต่างๆ มากมาย ยิ่งปัญหามากเท่าไร? อุปสรรคมากเท่าไร?  ชีวิตแบบพระเยซูก็จะสำแดงออกมาจากร่างกายของเรา  ชีวิตของเรามากขึ้นเท่านั้น  ซึ่งไม่ต้องห่วง  ไม่มีใครเลือกได้ว่าอยากได้ถ้ำใหญ่ถ้ำเล็ก  อยากให้พระเยซูจ

ใหญ่ขนาดไหน? ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้เตรียมแผนการให้กับเราแต่ละคน  ให้กระทำสิ่งที่ดี ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในเราแต่ละคนเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ การงานดีของเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเหมือนเปาโลหมด ไม่ใช่ทุกคนต้องเหมือนเปโตรหมด แต่ทุกคนผ่านวิธีการ ขบวนการเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน และทุกครั้งที่เราจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เมื่อเรามีพระเจ้า มีพระเยซูในชีวิตของเรา ได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เราก็จะมีสภาพเหมือนในข้อ 8, ข้อ 9 ที่บอกว่า …

“เราถูกบีบคั้นอย่างหนักทุกด้าน  แต่ไม่ถึงกับถูกบดขยี้   สับสน  แต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง  ถูกข่มเหง  แต่ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง  ถูกฟาดล้มลงแล้ว  แต่ไม่ถึงกับถูกทำลาย”

ท่านเห็นอะไรว่ามันสู้กันภายในกับภายนอก พระเจ้าจะสถิตอยู่กับเรา แต่เราถูกบีบเค้นจากภายนอก หนักมาก อยากจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ข้างนอกมันก็ต่อสู้ อยากจะทำตามระบบของโลก ข้างในต่อสู้บอกว่า …

“ฉันอยากทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า”

แล้วทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าปุ๊บ มันก็เกิดความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นอีก อย่างที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างมา นี่แหละคือการถูกบีบเค้นอย่างหนัก  ไม่ถึงกับการถูกบดขยี้ ก็คือพระเจ้าอยู่กับเรา เดี๋ยวพระเจ้าช่วยเราเอง ยกตัวอย่าง เมื่อตะกี้นี้ เมื่อการกันดารมาถึง ไม่มีน้ำจะกิน  เราไม่สนใจน้ำแล้ว  เราทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้คนอื่นเขา ยอมเขา ฝากความหวังไว้ที่พระเจ้า พระเจ้ามีอย่างอื่นมาแทน  ถ้าพระเจ้ายังต้องการให้เรา ใช้น้ำนั้นให้เป็นประโยชน์ เดี๋ยวพระเจ้าให้ทูตสวรรค์เอาน้ำ มาให้เราก็ยังได้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าผมกำลังพูดอะไร? แต่ในขณะที่เราตัดสินใจ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยความรักนั้น มันเหมือนถูกบดขยี้ ถูกข่มเหง แต่ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง ถูกข่มเหง แต่พระเจ้าก็อยู่ด้วย  นึกออกใช่ไหม? คนเขียนถูกข่มเหงใช่ไหม? คนเขียนคือใคร?  คือเปาโลถูกข่มเหง  ถูกเอาหินขว้าง ก็ไม่ตาย  เพราะพระเจ้ายังไม่ให้เขาตาย ถูกเขาจับ เฆี่ยนแล้วถูกติดคุก แต่พระเจ้าก็ปล่อยเขาเป็นอิสรภาพ เห็นไหม? แต่ขณะที่ถึงเวลาจะไปแล้ว ถูกจับไปติดคุก แล้วก็ถูกตัดศีรษะ เพราะพระเจ้าบอกเสร็จงานแล้ว กลับบ้านได้ นี่มันเป็นอย่างนั้น

คือแล้วแต่พระเจ้าจะทรงกระทำในตัวเรา เราแค่อดทน รอคอยและเชื่อมั่นในพันธสัญญาของพระองค์ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงทำได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์ก็แล้วกัน

และเมื่อเราผ่านกระบวนการตามธรรมชาติตรงนี้แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างแน่นอน  อย่าลืมนะว่าต้องใช้เวลา  ท่าทีในการแสดงออกของเราจะเปลี่ยนไป การตอบโต้ การตอบสนองต่อผู้คนรอบข้าง และสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา ก็จะเปลี่ยนไป จากที่เคยหงุดหงิด โมโหง่าย ก็จะสงบลง นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าชีวิตของพระเยซู ที่อยู่ในตัวเรา ได้สำแดงออกมามากขึ้น

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ อีกอันหนึ่ง ก็คือยิ่งใกล้ๆ คริสตมาส ยิ่งเห็นชัดเลย บางคนไปประชุมงานคริสตมาสกัน งานประกาศคริสตมาสทะเลาะกัน ศิษยาภิบาลกับศิษยาภิบาล ผู้นำกับผู้นำ หรือบางคนเป็นหัวหน้ากับหัวหน้า  ทะเลาะกันใหญ่เลย  ทะเลาะกัน  เพราะไม่เห็นด้วยกันกับตรงนี้ ทะเลาะกัน  เพื่อจะจัดงานประกาศข่าวประเสริฐ เอาความรักไปให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ แต่คนที่ทำงานเอง ทีมงานเองทะเลาะกันใหญ่ เพื่อจะเอาความรักไปให้คนอื่น ท่านพอมองเห็นไหม? นี่คือความเจริญเติบโตหรือไม่? ซึ่งไม่เป็นไร? เริ่มแรกมันเป็นอย่างนี้ แต่พอไปนานๆ แล้ว พระเยซูก็จะเปลี่ยนเรา คราวนี้ก็จะสงบทำด้วยความรักและจะยอมมากขึ้น

ท่านเคยรู้จักวงจรชีวิตของผีเสื้อไหม? มันลักษณะเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงของผีเสื้อ ต้องใช้เวลาและธรรมชาติ วงจรชีวิตของผีเสื้อนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ เริ่มจากการเป็นไข่ แล้วไข่ก็จะฟักออกมาเป็นตัวหนอน ซึ่งเรียกว่าตัวหนอนแก้ว ต่อมาตัวแก้วจะหยุดกินอาหาร และไม่เคลื่อนไหว สะสมอาหารไว้ในตัว แล้วก็จะกลายสภาพเป็นดักแด้ และจากดักแด้ก็จะกลายเป็นผีเสื้อที่บินออกมาอย่างสวยงาม

ผมก็ไปอ่านเจอเฟสบุ๊คของคนๆ หนึ่งที่เขียนเปรียบเทียบไว้ดีมาก ขอนำมาอ่านให้ฟัง เป็นการจบการบรรยายในวันนี้ เขาเขียนไว้อย่างนี้ ดีมากเลย …

“หนึ่งในกระบวนการที่ดักแด้ จะแปลงร่างไปเป็นผีเสื้อนั้น มันมีช่วงที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่    และในขั้นตอนนี้เอง  คนที่ดูอยู่  ก็ทำได้แต่เฝ้ามอง  เพราะการลงมือไปกรีดดักแด้  ไม่ได้เป็นการช่วยให้ผีเสื้อพ้นจากความยากลำบาก  ที่ต้องอดทนกับความอึดอัดภายในดักแด้ได้  แต่การทำเช่นนั้น  จะทำให้ตัวอ่อนผีเสื้อต้องตาย  เพราะมันยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกมาโบยบิน

การที่หนอนจะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นผีเสื้อ  ไม่ได้เกิดขึ้น  เพราะหนอนตกผลึกคิดได้  ไม่ใช่เพราะมันต่อสู้ให้ได้มาซึ่งพลัง  หากแต่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ  ที่พระเจ้าวางไว้

ภาพนี้  สะท้อนให้เราเห็นว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงชีวิต  ไปสู่สง่าราศีอีกระดับนั้น  ก็ไม่ได้ได้มาโดยความสามารถของเรา  ที่ต่อสู้ให้ได้มา  ไม่ใช่เพียงสติปัญญาของเรา  ที่นำเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงนั้น  แต่เป็นกระบวนการสร้างชีวิตจากพระผู้สร้าง  ที่รักเราและปรารถนาอยากให้เป็นอย่างนั้น  จะปั้นแต่งชีวิตของเราแต่ละคนให้สวยงาม   สมเป็นพระฉายของพระองค์”

เพราะฉะนั้น ด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย ซึ่งเป็นธรรมชาติของพระเจ้า เป็นพระลักษณะของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ พระองค์ทรงนำพาเราผ่านตรงนี้ ในที่สุด วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราวางใจในพระเจ้า หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวก็เข้าไปสู่การเป็นผีเสื้ออันสวยงามแล้ว  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็ต้องดิ้นรน  แต่ดิ้นรนไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเราไปเอง เพียงแต่เชื่อ วางใจ หลบปลีกวิเวกเข้ามาสู่ความสงบในพระองค์ตลอดเวลาเท่านั้นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***********************